660411 พ่อครูให้โอวาท พิธีรับกลด ปี 2566 รุ่นใจเกื้อกูล เพิ่มพูนเสียสละ ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1h5TSQI8f3zwoSGPSdHROHJvTvrXoeFu9/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/12JGdt-O5gl3IEKYakWQt5KhY8xg-QZ-7/view?usp=share_link ดูวิดีโอได้ที่ และ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/601959565195725 พ่อครูให้โอวาท พิธีรับกลด ปี 2566 รุ่นใจเกื้อกูล เพิ่มพูนเสียสละ คุรุฟังฝน รายงาน …พิธีรับกลด เป็นพิธีสำคัญที่จัดให้แก่นักเรียนที่เรียนสำเร็จ จบการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในเครือสัมมาสิกขาชาวอโศก จัดขึ้นครั้งแรกที่พุทธสถานปฐมอโศก เมื่อปี 2542 มาจนถึงปัจจุบัน รวมเป็นเวลา 24 ปี กลด เป็นสิ่งที่ใช้กันแดดกั้นฝน เป็นหนึ่งในบริขารที่สำคัญสำหรับผู้ทรงศีล ศีลเป็นข้อปฏิบัติพื้นฐานของชีวิตที่สำคัญมาก ที่จะนำพาให้ตนเอง ครอบครัว และสังคมเกิดความผาสุกร่มเย็น และเจริญก้าวหน้า พิธีมอบกลด จี้ใบโพธิ์ และหยาดน้ำใจพรายทอง ในปีนี้ได้จัดขึ้นเพื่อให้นักเรียน นักศึกษาที่สำเร็จการศึกษา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และ ปวช. 3 จำนวน 19 คน และนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาระดับ ปวส.จำนวน 10 คน ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษา เพื่อการดำเนินชีวิตที่ถูกตรง ตามหลักธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่นักเรียนนักศึกษาได้ใช้เวลาศึกษาอยู่ในโรงเรียน หรือวิทยาลัยอาชีวศึกษาของชาวอโศก ตลอดระยะเวลา 6 ปีถึง 8 ปีครึ่ง และจะได้น้อมรำลึกถึงพระคุณของพ่อครู ท่านสมณะ สิกขมาตุชาวชุมชน และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆที่ช่วยอบรมเลี้ยงดูฝึกฝนจนนักเรียนนักศึกษา สอบผ่านการเป็นผู้มีศีลเป็นงานและสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ พ่อครูว่า…เจริญธรรมทุกคน วันนี้ก็เป็นวันฤกษ์ดีสำหรับผู้ที่จบการศึกษา ในกรอบของความรู้ที่โลกสมมุติตั้งขึ้นมา เป็นลำดับๆเป็นแผนกๆ เราก็จบกันในวันนี้ วันอังคารที่ 11 เมษายน 2566 คนเราก็มีพิธีกรรม ตกแต่ง องค์ประกอบ จัดสรรขึ้นมา เป็นจารีตประเพณีของมนุษยชาติแต่ละชาติ แต่ละเผ่า แต่ละประเทศ ก็ทำกันไป เพื่อให้เป็นเครื่องอาศัยเป็นสมมุติสัจจะ เป็นความจริงชนิดหนึ่งที่ร่วมรับรู้กันรับรองกัน แล้วก็ใช้ดำเนินไปกับชีวิต ในสังคม คนอยู่ในกลุ่มใดหมู่ใด สังคมใด ประเทศใด ก็มีสมมุติสัจจะของกลุ่มนั้น ประเทศนั้น สังคมนั้น มันเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยสมมติ เพื่อจุดหมายเป้าหมายสำคัญก็คือ เพื่อใช้อาศัยที่จะมีสิ่งที่เข้ามาร่วม เข้ามากระทบ สัมผัสแล้วก็มีจิตวิญญาณของแต่ละคน เกิดความรู้สึกไปต่างๆ แตกต่างกันไป แต่เราก็พยายามที่จะมีจุดที่พร้อมเพรียงกัน สามัคคีกัน ไม่ทะเลาะกัน อยู่กันอย่างเป็นองค์รวม แนบแน่น แน่วแน่หรือว่า แข็งแรง อยู่กันอย่างเป็นปึกแผ่น ที่มีความสามัคคีสมบูรณ์ไม่ทะเลาะวิวาทกัน เลยเข้าใจกัน กายกรรม วจีกรรม (พ่อครูไอตัดออกด้วย) โดยมีมโน (พ่อครูไอตัดออกด้วย) เป็นตัวประธาน เท่าที่รู้แล้วมีสัญญากำหนดสั่งการให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ดีที่สุด ที่เราควรจะต้องทำ แต่ละคนก็ตัดสินใช้ภูมิปัญญาปฏิภาณความรู้ของตนๆ ตัดสินให้แก่ตนว่า ขณะนี้ปัจจุบันนี้มีองค์ประกอบมี กาละ เทศะ ฐานะ อย่างนี้ เราประพฤติออกกายกรรมอย่างนี้ วจีกรรมอย่างนี้ ดีที่สุดเท่าที่เราเห็นว่าควรจะทำ ส่วนใครที่ไม่เห็นว่าดี เขาก็ตำหนิ ส่วนใครที่เขาเห็นว่าดีก็ชม คนไม่รู้ไม่ชี้ก็ไม่ติไม่ชมเฉยๆ ไม่เอาเรื่องไม่เอาราว ช่างหัวคุณประไรก็ได้ หรือคนรู้ หรือคนรู้แต่ไม่ชี้ รู้ว่าควรตำหนิหรือควรชม แต่เฉยๆก็มี หรือคนที่รู้ดีแล้วชัดเจนว่า ดี อย่างนี้ถูกต้อง ไม่ดี อย่างนี้ยังบกพร่อง แต่ไม่ชี้ก็มี ชี้ ก็มี คนชี้ ก็ต้องเป็นคนมีปัญญารู้ว่าดีถูกต้องเป็นถูกต้องแท้นะ ไม่ถูกต้องจริงๆนะ ก็มีการชมกัน ตำหนิกัน รับรองยกย่อง ปัคคัณหะ ก็ควรยกย่อง คนที่ควรยกย่อง แล้วก็มีการตำหนิคนที่ควรตำหนิ มีกรอบแห่งการยกเว้นหรือหลุดพ้น ไม่ต้องตำหนิอะไรแล้วก็คือ ผู้ที่เป็นอรหันต์ไม่ควรตำหนิ เป็นผู้ที่ไม่มีอกุศลเจตนา ไม่มีจิตเจตนาคิดทำอย่างใดๆที่มันผิด มีแต่เจตนาที่เป็นกุศลที่จะให้ดีตามสมมุติสัจจะ แต่ละคนนั้นกำหนดหมายว่า ดีที่สุดของเราอย่างนี้ แสดงกายกรรม วจีกรรมออกมาอย่างนี้ดีที่สุดก็พยายามทำให้ดีที่สุด ตามเจตนาที่เป็นกุศลก็ดีแล้ว ส่วนผู้ที่รู้ผิดเจตนาว่าดีอย่างนี้ กายกรรมอย่างนี้ว่าดี วจีกรรมอย่างนี้อาการอย่างนี้แหละดี ถ้ามันไม่ถูกต้องตามส่วนรวม ดูที่เขากำหนดไว้ว่าต้องอย่างนี้นะ อาการอย่างนี้แหละ ทำกายกรรมอย่างนี้วจีกรรมอย่างนี้ ถึงจะดีที่สุดของสังคมนี้ มันก็ยึดกันไปแต่ละสังคมแต่ละหมู่ไม่เหมือนกัน ไม่ตรงกันกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยกลุ่มใหญ่ แม้แต่ในศาสนาเดียวกัน ลัทธิเดียวกัน โรงเรียนเดียวกัน อะไรเดียวกันก็ต่างคนต่างกายต่างกันสัญญาต่างกัน หรือจะมีกายต่างกันสัญญาเหมือนกันสัญญาอย่างเดียวกัน หรือจะมีกายอย่างเดียวกันสัญญาต่างกัน หรือกายอย่างเดียวกันสัญญาอย่างเดียวกัน พระพุทธเจ้าก็อธิบายไว้มีหลักเกณฑ์ให้ศึกษา เราก็รู้ตามความเป็นจริงอย่างนั้น ก็ปรับปรุงให้แก้ไขให้มันดีที่สุด ดีที่สุดของสังคมคือกายอย่างเดียวกันสัญญาอย่างเดียวกัน ผู้ที่ทำความเข้าใจแล้วก็จบตรงที่ เราต้องเข้าใจความเป็นอันเดียวกันนะ กายกรรมอย่างนี้ ถึงแม้ว่าจะสมมุติว่า มีกายกรรมอาการอย่างนี้ดี กำหนดหมายอย่างเดียวกัน แต่คนทำไม่อย่างเดียวกัน เราก็รู้ว่า อ้อคนนี้ไม่ใช่อย่างเดียวกัน เขาสมมุติอีกอย่างนึง ภาษาบาลีว่า นานา เขาก็เป็น คนกลุ่มเดียวกันสมมุติเดียวกันกับเรา แต่เขาเข้าใจอย่างนี้ เขาจึงมีอาการของกายกรรมอย่างนี้ วจีกรรมอย่างนี้ ก็รู้เขา ของคนนี้ไม่เหมือนหรือของเราก็ไม่เหมือนกับของคนอื่นก็จบ เราจะไปบังคับ เราจะไปให้คนเขามาคิดอย่างเรา ยึดอย่างเรา เห็นว่าดีว่าควรอย่างเรา เป๊ะๆเหมือนกันหมด ไม่ได้ในโลก คนนี้เข้าใจอย่างนี้ด้วยปัญญา ก็เป็นคนจบ รู้จักนานาสังวาสรู้จักความร่วมกัน แต่มีสิ่งที่ต่างกัน อยู่ร่วมกันได้ ต่างคนต่างรักอิสรเสรีภาพของแต่ละคนจริงๆ ไม่มีเจตนาร้าย มีแต่เจตนาดี ทำอย่างนี้ได้เท่านี้จบ ก็มีการยุติเรียกว่าสงบหรือว่ายุติธรรมหยุด ไม่ต้องมีการขัดแย้ง รู้จักความแตกต่าง รู้จักความเหมือนกันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติของโลก คนที่ไม่รู้จริงก็จะตำหนิกันอยู่นั่นแหละ ชมกันอยู่เรื่อย ก็มีทั้งตำหนิและชม 2 อย่าง การติการชม ซึ่งมันมีสมมุติไม่เหมือนกันไปแม้แต่ปรมัตถ์ ปรมัตถ์ก็ไม่เหมือนกันเรื่องของจิตเจตสิก ยืนยันอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้ แล้วก็จะต้องเป็นอย่างนี้ ก็ไม่เหมือนกัน แต่มีปัญญาสูงสุดเข้าใจว่า มันไม่เหมือนกันได้ ไอ้ที่เหมือนกันแล้วก็ไม่มีอะไรที่จะต้องท้วงติงกัน มันก็มีแต่ความสูญ ถ้ามี 2 อย่างก็เทียบกันแล้วมันก็ไม่เหมือนกัน ปรมาณู 2 ตัวเกิดขึ้นมาไม่เหมือนกันแล้ว แตกต่างกันเป็นภาวะ 2 มันไม่มีอะไรเหมือนกันหรอก แต่เข้าใจว่าของเขาอย่างนี้เป็นอย่างนี้แล้วก็จบ แล้วเราจะร่วมกันด้วยอย่างไร คนนี้มี 5 เหลี่ยมคนนี้มีสี่เหลี่ยมคนนี้มี 2 เหลี่ยม คนนี้มี 10 เหลี่ยม จะเข้าเหลี่ยมกันยังไงดี ให้ไม่ขบ ไม่ทะเลาะกัน ไม่ขัดกัน ก็พยายามทำให้ได้ก็จะอยู่ร่วมกันได้ดี มันมีเหลี่ยมขัดกันบ้าง ก็ทะเลาะกันบ้าง ไม่ลงรอยกันไปเท่านั้นเอง มันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นคนแล้วก็สังคมอยู่ร่วมกัน ก็รู้รายละเอียดอันนี้อันที่อธิบายมา รู้รายละเอียดแล้วก็จัดสรรกันถึงขั้นรู้ความต่างกันและเหมือนกันอย่างเดียวกัน มันก็ทำตามธรรมดาธรรมชาติเป็นอย่างนี้ ก็ไม่ต้องกำหนดให้คนนั้นต้องมาทำอย่างเราคิดเราเห็น แต่ถ้ามันเป็นความแตกต่างที่มันไม่ดี มันพิลึก มันแปลก มันดูแยก มันมีส่วนพลังงานหรือว่ากายกรรมวจีกรรมออกมาแล้วมันเกิดผลกระทบ ทำให้เสียหาย ไม่ได้เป็นการสร้างสรรค์ ไม่ได้เป็นการทำความเจริญ มีแต่ความเสียหาย มีแต่ความเสื่อม เราก็บอกกันว่าอย่างนี้มันไม่ถูกนะ มันเกิดความเสียหาย มันเกิดความไม่ควรทำ มันก็เป็นธรรมดา ต้องมีอยู่แน่นอน ก็ติติงกันไปขัดเกลากันไป แล้วมันก็จะมีกายกรรมวจีกรรมที่ถูกติ ถูกขัดเกลา หมู่ไม่ได้เห็นร่วมด้วยเป็นอย่างนี้ ก็ลดลงได้ลดลงได้ จนกระทั่งไม่มีการขบไม่มีการขัด ยอมรับได้แล้วว่า ขณะนี้ก็ดีแล้วอยู่ร่วมกันไปได้ เป็นจุดยืนทำให้เกิดความสงบแก่สังคม อย่างชาวอโศกเรานี้ อาตมาว่าปฏิบัติได้ตามธรรมของพระพุทธเจ้าที่มีพฤติการณ์พฤติกรรมของแต่ละคนออกมา มีความยุติและเป็นความสงบได้ดีมาก มีผลสำเร็จที่สวยงามมาก ที่ไหนๆๆถ้าเข้าใจแล้ว ที่จะต้องไปฆ่าแกงกัน สร้างอาวุธขึ้นมาแล้วจะต้องยึดถือพยาบาท อาฆาต ต้องเอาทางนั้นลงให้ได้ จะต้องไม่มีอยู่ในโลกร่วมกันไม่ได้อะไรพวกนี้ ที่มีความคิดรุนแรงพวกนี้คนที่เขาติดยึดก็ทำอยู่ คนที่เลิกแล้ว ไม่ทำแล้ว คนที่ได้มีความคิดมีหมู่กลุ่ม มีพลังงานสงบยุติธรรม จะเป็นพลังงานกำแพงไร้สภาพ กันไอ้พวกที่หยาบๆคายๆไม่ให้เข้ามาใกล้เรา เพราะว่ามันมีพลังฤทธิ์พลังธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่เป็นกำแพงไร้สภาพ กั้นไว้จริงๆ เพราะฉะนั้นพวกที่หยาบคายรุนแรงจะไม่เข้าใกล้หรอก มันเป็นสิ่งที่เป็น อจินไตย เป็นสิ่งที่คิดไม่ถึงหรอกแต่มันมีได้เกิดได้ อย่างพวกเราชาวอโศก เป็นคนมีกำแพงไร้สภาพนั้นที่เป็นบารมี กั้นไว้ไม่ให้สิ่งเลวร้ายนี้เข้ามาใกล้ จะเห็นได้ว่าสิ่งที่เข้ามารบกวนพวกเรารุนแรงไม่ค่อยมี เข้าใกล้ไม่ติด จะมีหลงก็มีเป็นธรรมดาเป็น Error เป็นส่วนที่เศษๆตกๆหล่นๆ ทะเร่อทะร่ามาบ้าง แต่คิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วน้อยมากซึ่งเป็นธรรมชาติของความ error โลกจักรวาลมีมหาจักรวาล มีวงโคจรของดาวทุกดวง แต่ก็ยังมีเศษอุกกาบาตที่มันเข้าวงจรไหนก็ไม่ได้ก็มีอยู่บ้าง มันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ เสร็จแล้วดีไม่ดีวันร้ายคืนร้ายไอ้อุกกาบาตนี้ก็ไปซัดดาวดวงใดดวงหนึ่ง กลายเป็นหลุมอุกกาบาต กลายเป็นเสียเส้นทางโคจรไปนิดๆหน่อยๆเปลี่ยนแปลงไป มันก็เกิดความเปลี่ยนแปลงในมหาจักรวาลเกิดเปลี่ยนแปลงวงโคจร ของกลุ่มวงโคจรดาวตั้งแต่นพเคราะห์ไปจนกระทั่งถึงกี่วงโคจรแล้วก็แล้วแต่ก็เป็นธรรมชาติ ในมวลมนุษย์จิตวิญญาณของคนก็มีเช่นนี้ มีวงโคจร มีการ กระทบ มีอะไรต่ออะไรอีก แล้วก็เกิดอุกกาบาตหรือเกิดตัวประหลาด มากระเทือนกระทบกระแทก อย่างน้อยก็เสียองศาไปจุดจุด 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1 ก็ได้ ซึ่งเราวัดไม่ได้เพราะมันน้อยเหลือเกิน มันก็เกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นทุกอย่างจึงถือว่าไม่เที่ยง แม้แต่รูปวัตถุการเป็นอยู่ก็ไม่เที่ยง จิตวิญญาณของมนุษย์ก็ไม่เที่ยง ละเอียดยิ่งกว่าวัตถุมันต้องเป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้ความไม่เที่ยงสมบูรณ์แบบแล้ว มันก็มีแตกต่างกันไป ไม่เที่ยงก็ไม่เหมือนกันหรอกไปอยู่รวมกันให้ได้ก็แล้วกัน รวมกันแล้วเข้ากันได้ สร้างประโยชน์ สร้างสิ่งที่อาศัยใช้กินอาศัยในชีวิตเป็นเครื่องอาศัย ไปตั้งแต่วัตถุหยาบไปจนกระทั่งถึงนามธรรมถึงจิตวิญญาณ สบาย ก็อยู่มีชีวิตไปแล้วๆๆจนกว่าเราจะปรินิพพานเป็นปริโยสานเด็กๆเข้าใจไหม ว่าปรินิพพานเป็นปริโยสานคืออะไร ใครเข้าใจยกมือ ไม่เข้าใจเพียงคนเดียว ดูแลกับแน่น เข้าใจอยู่ 2 คน เข้าใจได้ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน หมายความว่า จิตวิญญาณของแต่ละคนแต่ละคนรู้ที่จบ จบกิจแล้วรู้ที่จบ จบอะไร จบ จิตวิญญาณของเรา เราสามารถที่จะทำใจในใจเรียกว่ามนสิการ ทำใจในใจของเรานี้จบ เมื่อเราตายหมดลมหายใจ เราก็ไม่ให้จิตของเรารวมตัวกัน เพื่อที่จะเป็นจิตนิยามเกิดอีก หมุนเวียนเกิดไปในวัฏสงสารอีกเราทำจิตของเราได้เลยเป็นอรหันต์แล้วทำได้ แล้วจิตนั้น สลายเป็นดินน้ำไฟลมไป ความเป็นจิตนิยามเป็นอัตภาพของเราเลิกเลยในวัฏสงสารใน กาละ ในโลกในมหาจักรวาลไม่เหลือแล้ว นี่คือความจบที่สุดยอดแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าจิตวิญญาณคืออะไร ก็ให้เรียนรู้ที่จิตวิญญาณของเรามันปรุงแต่งกันอยู่อย่างไร มันรวมกันเป็นอายตนะ เป็นผัสสะ เป็นเวทนา เราก็เรียนรู้เวทนา จริงๆเวทนานั้นมันไม่มีการยึดติดกันหรอก เป็นแต่เพียงมันรู้ด้วยปัญญาว่ามันปรุงแต่งด้วยธาตุ 2 เป็นรูปกับนาม ถ้ามีกิเลสโง่ มีตัณหา มีอุปาทาน มันก็จะยึดเพื่ออยู่ด้วยอวิชชา พออยู่ด้วยวิชาแล้วมันเราจะยอมให้มันอยู่ไหม ถ้าให้มันยินดียึดมันก็ยึดได้ อยู่กันอย่างรู้ เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ตายอรหันต์ ตายกายแตก หลังกายแตกแล้ว ไม่ให้มันเกิดอีกแล้ว สลายเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย แล้วเราก็ทำได้ คนที่ต้องการตายสลายเลยเป็นอรหันต์มี ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็ตายอย่างแยกธาตุตัวเองไป เลิก ก็รู้ว่าจิตวิญญาณคือธาตุรู้ของเราเองไม่มีพระเจ้า ที่จะมาเป็นเจ้าของ ตายแล้วต้องไปอยู่กับพระเจ้านิรันดร ไม่หรอกจิตวิญญาณไม่นิรันดร จิตวิญญาณเราพิสูจน์แล้วเราว่าสูญเป็นดินน้ำไฟลมได้ เราทำได้อิสรเสรีภาพส่วนตัวของเรา จิตวิญญาณเป็นของเราเราทำเอง เราจะทำให้เป็นกรรมดีกรรมไม่ดี หรือแม้แต่เข้าไปรู้นามธรรมมันสุขมันทุกข์ ก็รู้ว่าความสุขความทุกข์เป็นสมมุติหลอก ให้คนหลงติดหลงติดก็ติดแต่สุข เพราะฉะนั้นพวกเทวนิยมไม่รู้จักจิตวิญญาณ ติดในความสุขไม่เอาทุกข์ แต่ไม่มีปัญญารู้ว่า แล้วจะทำอย่างไรให้พ้นทุกข์เขาไม่รู้ แต่พระพุทธเจ้ารู้ ก็อย่าไปยึดติดว่าสิ่งที่มี 2 สภาพคือเทวะ หรือพระเจ้าหรือคือจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้นต้องมีจิตวิญญาณอยู่ก็ต้องมี 2 สภาพนี่แหละ ใครยึดกับสุขกับทุกข์ ยึดอย่างไรก็ตามสมมุติ ทุกข์กับสุขไม่เหมือนกันด้วยนะ คนบางคนให้กินแตงโมมีความทุกข์ยาก ไม่ไหว กินแตงโมนี่มันเย็นๆไม่กินต้องซดน้ำร้อน สุข อย่างนี้ก็ได้เป็นเรื่องของเขา สมมุติไปคนละอย่าง เพราะฉะนั้นสุขทุกข์นี้เป็นสุดยอดแห่งอารมณ์ของจิตวิญญาณที่ตนเอง แต่ละคนจะอยู่ มันนึกว่าโลกนี้อยู่ไปมันก็สุขหรืออรหันต์รู้แล้วว่าทุกข์กับสุขมันไม่มีหรอก มันไม่ทุกข์ไม่สุขอะไร มันไม่ยึดไม่ติด แต่เรารู้แล้วเราจะแยกสลายตาย ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เลิกก็ได้ ไม่เลิก เราจะสอนให้ผู้อื่นรู้ตาม ช่วยพูดให้พ้นทุกข์พ้นสุข รู้จักวิธีที่จะแยก จิตนิยามของเราให้สลายเป็นดินน้ำไฟลมไปเหมือนเราให้ได้ ก็เป็นโพธิสัตว์ต่อไปอีก จนกระทั่งเป็นพระพุทธเจ้ารู้โลกรู้คนอื่นๆ รู้มนุษยชาติทุกจริต ทุกความยึดติดของเขาหรือไม่ทุกคน ก็เอามากเท่าที่ประมาณไม่ได้เลย ก็เป็นพลังงานที่เป็นประโยชน์ต่อการเกิดมาเป็นมนุษย์ 1 คน มีอัตภาพหรือมีอัตตาสูงสุดจบสุดแล้วเป็นพระพุทธเจ้านี้จบจิตเป็นอรหันต์เลิกได้ ไม่ต้องเกิดมาอีกได้ ไม่ต้องมีร่างที่ต้องมารับภาระอย่างนี้อีก เป็นโพธิสัตว์ก็ช่วยคนอื่น จนสูงสุดเป็นพระพุทธเจ้า สัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็สุดยอดอยู่ตรงนั้น นี่คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า จิตตรัสรู้สิ่งสำคัญที่สุดในความเป็นคน เป็นคนต้องรู้จักจิตวิญญาณ รู้จักธรรมะ 2 เทวะ พยายามระงับกายกรรม วจีกรรมที่จะทำให้เกิดการกระทบ การขัดแย้งมีมุมมีเหลี่ยมกันอยู่ก็ลดลงมาก็เข้าใจกัน ที่อย่างหยาบๆเลวๆของชาวอโศกนั้น เราลดลงไปไม่มีในสังคมเรา เราก็อยู่อย่างละเอียดอยู่อย่าง นิ่ม อยู่อย่างอ่อนโยน อยู่อย่างสุภาพนี่แหละเป็นสังคมสูงสุดแล้ว ขณะนี้ใครได้ยินเสียงหายใจของคนไหม ไม่มีเสียงใครเลย มีแต่เสียงหายใจ ใครสามารถได้ยินเสียงหายใจได้ เห็นไหม สังคมที่เงียบสงบมีคนอยู่เป็นร้อยหลายร้อยอาจจะไม่ถึงพันตอนนี้ ยังเงียบสงบอย่างนี้ มันไม่ใช่สังคมที่จะหาง่ายๆ มีอะไรดึงความสนใจ ก็มีหลวงปู่พูดอยู่คนเดียว เป็นจุดแห่งความสนใจ เป็นจุดรวมความสนใจ คนที่ไม่สนใจบ้างก็แล้วไป แต่คนสนใจมีอยู่เกือบทั้งนั้นเยอะและรับฟังรับรู้รับความเข้าใจ ก็ฟังก็ได้ประโยชน์จากที่ฟังอันนี้ พวกเราเรียนมา 6 ปีอย่างน้อยแต่ละคน บางคนซ้ำชั้น บางคนมีอะไรเรียนต่อก็มี ก็อยู่ ยิ่งคนเข้าใจว่าสังคมนี้เป็นสังคมที่พอแล้ว ข้างนอกเราเข้าใจแล้ว ไปดิ้นรนเพิ่มความรู้เพิ่มสมรรถนะอะไรเอามาให้ชีวิตเพื่อที่จะ รวยลาภ รวยยศ รวยสรรเสริญขึ้นไปอีกไม่เอาแล้ว ผู้ใดเห็นอย่างนั้นก็หยุดก็พอจบ ไม่เอาแล้ว เมื่อไม่เอาแล้วก็อยู่กับหมู่ อยู่กับหมู่ก็อยู่กันไป มีงานมีอะไรรับผิดชอบก็ช่วยกันไป ไม่เห็นแก่ตัว รู้พักก็รู้เพียรขยันทำงานสร้างสรรค์ไป มันก็เป็นสถานที่ที่จบกิจ สถานที่ที่มีเศรษฐศาสตร์มีรัฐศาสตร์ที่จบกิจ เศรษฐศาสตร์ก็คืออยู่กันอย่างมีการสร้างสรรค์ มีอาศัย พออยู่พอกิน เหลือกินก็แจกจ่ายเกื้อกูลออกไปแก่ที่อื่น การเป็นอยู่ของพวกเรา ผู้บริหารก็ไม่มีความลำบากอะไร บริหารง่ายเลี้ยงง่ายบำรุงง่ายมักน้อยสันโดษ มีวรรณะ 9 จริงๆ สบายที่สุดเลยเป็นสังคมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเอามาเป็นทฤษฎีหลักสูตรให้เรียนรู้ประพฤติ สำเร็จ หลวงปู่ดีใจและภูมิใจมากที่เกิดมาในชาตินี้เอาทฤษฎีของพระพุทธเจ้ามา มาอธิบายแล้วก็มาทำให้พวกเราสนใจ แม้แต่พวกเราเด็กๆก็เข้าใจ และสามารถปฏิบัติประพฤติได้ สอบได้ใบคะแนนเกียรตินิยมทั้งนั้นเลย เรียบร้อยสอบได้ชั้นดีมาก แสดงว่าคนเรานี้ไม่ว่าในยุคไหน ก็สามารถที่จะพัฒนาให้เป็นคนที่ดีตามสมมุติของโลกได้ ในที่สุดไม่ใช่สมมติของโลกแต่เป็นความจริงของจิตวิญญาณคือรู้สุขรู้ทุกข์ แล้วก็ไม่เดือดร้อนในความทุกข์ไม่หลงใหลในความสุข อยู่อย่างที่สบาย มันไม่ตรงกันทีเดียวต่างกันเล็กๆน้อยๆตามสภาพ ส่วนคนที่เขายังติดยึดอยู่มาก ต้องการจัดจ้าน ต้องการมากต้องการใหญ่ เขาก็แย่งกัน เพราะฉะนั้นช่องว่างระหว่างความต้องการมันกว้าง มันใหญ่เกิน เขาก็ไม่สงบ แต่พวกเรานี้สงบอบอุ่น สบาย ปนี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และพาทำ หลวงปู่ก็เข้าใจอย่างนี้แล้วพาพวกเราทำอย่างนี้ ใครจะไปทำอย่างอื่น จะไปพาคนหาเงินให้ได้มากๆ จะพาคนสร้างอำนาจให้ได้ใหญ่ๆ จะพาคนสร้างอาวุธให้เก่งๆ ก็เชิญไปเถอะ เรามาสร้างอาหารให้เก่งๆ แข่งกัน ใครจะสร้างอาวุธเก่งก็ช่างศีรษะเขา เรามาสร้างอาหารให้มากๆ เป็นอาหารที่ดีๆมีปริมาณมาก กินใช้อยู่ในนี้อุดมสมบูรณ์ในชีวิตเรา แจกจ่ายเครือแหเผื่อแผ่ผู้ที่ควรเผื่อแผ่ออกไป ได้กว้างเท่าไหร่ก็เท่าที่เราสามารถมีความสามารถที่จะทำได้มีสมรรถนะสูงเท่าใด เราก็ทำไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นการบูรณะสิ่งต่างๆ บูรณะคือเติมสิ่งที่บกพร่อง ซ่อมแซมสิ่งที่ชำรุดขึ้นเรื่อยๆ ให้มันเต็ม ให้มันสมบูรณ์ ให้มันบริบูรณ์ อยู่เรื่อยๆ เพราะทุกอย่างไม่เที่ยง มันมีความเสื่อมเป็นธรรมดา มีคนทำให้เสื่อมเป็นธรรมดาก็เพิ่มเติมไป เพราะฉะนั้นสุดท้ายจริงๆที่เราจะต้องทำงานคือต้องมาบูรณะสิ่งที่เสื่อมสิ่งที่คนทำเสื่อม กับมันเสื่อมโดยธรรมชาติ เราก็ต้องบูรณะไปเป็นที่สุด เพราะฉะนั้นเพลงบูรณภาพหลวงปู่เป็นเพลงสุดท้ายแล้ว เลิกแต่งเพลงแล้ว บูรณภาพเป็นตัวจุดสุดแล้ว เป็นผู้ที่มาซ่อมแซมมาทำให้เต็มทำให้สมบูรณ์ ทำให้เกิดการบูรณะให้บริบูรณ์ให้ได้อยู่ตลอด เพราะเรารู้ว่าสิ่งที่บกพร่องสิ่งที่ต้องซ่อมแซมโดยธรรมชาติหรือโดยมนุษย์นี้ทำให้มันเสื่อม ทำให้ฉิบหายลงไป เราก็จำเป็นที่จะต้องบูรณะ ซ่อมแซม ปรับปรุงให้มันสมบูรณ์ ให้มันบริบูรณ์ ก็เป็นกิจที่เราจะต้องคอยเสียสละ ต้องเป็นผู้มาเก็บส่วนที่มันเสื่อมที่มันเสียหาย โดยธรรมชาติเราก็สุดวิสัย โดยคนนี้แหละก็ต้องสอนคน บอกให้คนรู้ว่า เอ็งนั้นแหละมาทำให้มีความเสื่อม ธรรมชาติก็ทำความเสื่อมอยู่แล้วแต่เอ็งนี้มีกรรมกิริยากายวาจา ด้วยจิตโง่ๆมาทำให้เสื่อมอีกมันไม่ดีหรอก โดยปรมัตถสัจจะเป็นหนี้ ซึ่งในกรรมวิบากพวกนี้เป็น อจินไตย เทวนิยมเรียนรู้จบด็อกเตอร์มาไม่รู้กี่ใบก็ไม่ได้เรียนรู้กรรมวิบาก ไม่ได้ดูการแก้ปัญหาให้จบให้เสร็จ เขาเรียนรู้ไม่จบไม่ว่าจะเป็นรัฐกิจ สังคมกิจเขาไม่มีจุดจบ ตัดสินว่าจบแล้วอย่างไรแค่ไหน ไม่มี และไม่มีวิธีการรายละเอียดจะทำอย่างไรให้มันจบกิจได้ คุณจะอธิบายกับโลกในด้านเศรษฐกิจก็ตาม หลวงปู่นี้พาพวกเราทำได้ เศรษฐกิจในสิ่งที่มีอย่างพอเหมาะจำกัดหรือมีเท่านี้แบ่งกันกินแบ่งกันใช้กัน ชาวอโศกมีแบ่งกินแบ่งใช้ สร้างขึ้นมาเองไม่ได้ไปเป็นภาระ ไม่ได้ไปแย่งชิงมาจากใคร เป็นน้ำพักน้ำแรงของเรา เหลือกินเหลือใช้ แจกก็ได้ เราก็มาเป็นเจ้าหนี้นี่แหละคือเจ้าโลกเป็นเจ้าหนี้ ขออภัยเราไม่เป็นลูกหนี้แต่เราเป็นเจ้าหนี้ด้วย เพราะเราไม่ได้ไปเอาของใครมีแต่เราได้ให้ ได้เสียสละ ชีวิตสุดแล้ว คนที่ไม่ได้เป็นลูกหนี้ เป็นแต่เจ้าหนี้ คนขี้โลภ คนจากกอบโกยเอาของคนอื่นด้วยวิธีการได้เปรียบใดๆมาแล้วมากอบโกยเอาสิ่งที่เป็นทุนของเราไปหาทางออกดอกออกผลทำให้มันเกิดความโลภขึ้นไปอีก คนพวกนี้เป็นหนี้ไม่จบ เป็นหนี้ข้ามชาติ น่าสงสารไม่จบกิจในการเป็นหนี้ไม่จบกิจในการหมดความโลภความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เขาจะทุกข์ทรมานไม่รู้หยุดไม่รู้จบ แต่พวกเรารู้ยุติรู้จบรู้สงบรู้สบายชีวิตเกิดมา ตัวเองเราก็เป็นแล้วเราก็สงบได้ ไม่มีแย่งชิงสร้างสรรค์ กินอยู่ตามสภาพนั้นของคน มีอยู่มีกินสร้างสรรค์เกินอยู่เกินกิน มีเหลือก็เผื่อแผ่กัน ยังเหลือแจกอื่นๆเขาได้อีก อธิบายไป วนแล้ววนเล่า มันไม่มีที่จะอธิบายต่อไปอีกแล้ว เพราะพวกเรามีจุดจบ จบกิจสมบูรณ์ไม่ว่าจะทางเศรษฐศาสตร์หรือรัฐศาสตร์ การดูแลเลี้ยงดูบริหารกัน การสร้างอยู่สร้างกินกันก็สบาย การมีชีวิตอยู่เกิดแก่เจ็บตายก็อยู่กันไปได้ สุดท้ายที่สุดชีวิตก็มี เสร็จแล้วก็สลายให้เลย เป็นขี้เถ้าขาวๆเลย มีดำๆบ้าง มันหมดแล้วครบแล้ว ชีวิตชีวิตเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปมันมีกิจกรรมกิจการงานมีสิ่งที่จะช่วยเหลือกัน โดยไม่จำเป็นจะต้องมาบังคับเลยไม่ต้องมาว่าจ้าง ไม่ต้องอวดดีเบ่งข่มกันว่าฉันเป็นลูกจ้าง นายจ้าง หมดปัญหามีแต่ปัญญา เข้าใจสภาพพวกนี้ นี่มหาวิทยาลัยขั้น Doctor ก็ไม่มีนะการบรรยายอย่างนี้ ไม่ว่ามหาวิทยาลัยใดในโลกไม่มีการบรรยายอย่างที่หลวงปู่บรรยายให้ฟัง หรือหลวงปู่เป็นผู้บรรยายให้ฟัง หลวงปู่เชื่อว่าพวกที่กำลังเรียนดร.กันนี้ ฟังไม่เข้าใจเท่าพวกเราหรอก จริง ถามดูก็ได้ หลวงปู่อธิบายไปนี้ ใครเข้าใจดียกมือขึ้น … เคยเข้าใจพอได้ยกมือขึ้น ใครเข้าใจไม่ได้เลยยกมือขึ้น …ไม่มีเลย คำอธิบายพวกนี้ไม่ใช่เรื่องตื้นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ไม่ใช่เรื่องโลกๆง่ายๆแต่เป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องของมนุษย์และสังคมที่ยิ่งใหญ่ นอกจากนั้นเรารู้วิธีจัดสรรกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมของเราด้วยได้ผลจึงอยู่กันอย่างสงบอบอุ่นในพวกเรา เนี่ยหลวงปู่เอาพยัญชนะมานี้อยู่กันอย่างสงบ อบอุ่น สบาย อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ คำว่า ใจเกื้อกูล มันมีใจอย่างนั้นเลย มันไม่ได้อยากเห็นแก่ตัวมันรู้ว่าเห็นแก่ตัวชั่ว เกื้อกูลผู้อื่นนี้เจริญ เป็นมนุษย์ศิวิไลซ์ เป็นมนุษย์อาริยะ เป็นมนุษย์อริยะ เป็นมนุษย์อารยะ ที่คนต้องการได้แล้วใจเกื้อกูล เพราะฉะนั้นคนที่เป็นผู้ที่เกื้อกูลผู้อื่นนี้ เป็นผู้เสียสละจบแล้ว ความเป็นมนุษย์ที่สูงสุดเป็นคนมีใจเกื้อกูล แล้วก็เป็นคนที่เพิ่มพูนการเสียสละ แต่ละคนมีจิตแบบนี้เลย นอกนั้นเราก็ไม่ต้องกังวลเลย มีที่อยู่ มีสังคม มีหมู่กลุ่ม มีพฤติกรรม มีการสร้างสรรค์ มีการกินการใช้กัน ดำเนินชีวิตเรียบร้อยราบรื่น ง่ายงาม สมบูรณ์ที่สุดเลย เราพูดกับคนที่เข้าใจแล้วรู้แล้ว ไม่ต้องละเอียดลออพูดละเอียดแล้วเอาอะไรพูด ตีหัวเข้าบ้าน พูดสำคัญๆก็รู้เรื่องกันแล้ว จริงๆแล้วจะพูดไปว่า พวกเรานี้ดูเหมือนเศษๆของสังคมเขา แต่พวกเรานี้ยอดหัวกะทิของสังคมแล้ว แต่คนก็ไม่ค่อยเข้าใจ คนมาเรียนรู้วิชาโลกุตระแล้วเข้าใจถึงกายถึงจิตเข้าใจกิเลส แล้วก็ทำให้กิเลสลด พวกเรานี้ทำให้กิเลสลดได้ไม่น้อยก็มาก ทำให้กิเลสลดได้บางคนอาจจะลดได้น้อยๆ แต่ละคนก็ลดได้มาก กิเลสลดได้มาก อาจจะใกล้อรหันต์ก็ได้แต่ละคนพวกเรา แต่พวกเราไม่ได้กำหนดรู้ รายละเอียดยังสับสนวนไปวนมา แม้ว่าเราจะอายุเท่านี้ก็เป็นอรหันต์ได้ อายุที่รู้เดียงสากันตั้งแต่ 7 ขวบขึ้นไปบรรลุอรหันต์ได้ คนที่พอรู้เดียงสาพอมีบารมีอย่างในยุคพระพุทธเจ้า 7 ขวบก็บรรลุอรหันต์ อายุขนาดพวกเรายุคนี้ก็เป็นได้ คนไม่เข้าใจศาสนาพุทธที่เขาเสื่อมแล้วเลอะเทอะเป็นจารีตประเพณี วิธีการบานปลายออกไปออกเป็นเดรัจฉานวิชา ไสยศาสตร์เป็นเรื่องผ่าออก ไกลนิพพานไม่ใกล้นิพพาน มีแต่ห่างออกไป ไกลออกไป เห็นแล้วก็น่าสงสาร พวกเรานี้เข้ามาใกล้นิพพานและมีนิพพาน นิพพานน้อยจนถึงนิพพานมากขึ้น จนกรอบของชีวิตอัตภาพ จบยุติเป็นอรหันต์ ซึ่งเป็นสภาพที่ รู้ได้บรรลุจริงได้ ผู้ที่มีสมองมีปัญญาที่ฟังเข้าใจแล้วรู้ได้ปฏิบัติจริงเป็นอรหันต์ได้ ไม่ว่าในยุคไหนเลย โลกไม่ว่างจากอรหันต์ ตราบเท่าที่มีผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ยุคไหนก็ตาม ยุคพระพุทธเจ้าก็ไม่ละเว้น ยุคนี้มีพระโพธิสัตว์อย่างหลวงปู่ ที่เป็นของจริงพามาสร้างอรหันต์ จึงเกิดอรหันต์ขึ้นไม่น้อย แต่คนไม่เข้าใจ เขาไม่รับรองเพราะเขาไม่รู้และรู้ผิดๆด้วย รู้อรหันต์เก๊ แล้วไปเคารพอรหันต์เก๊กันเราก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร (พ่อครูไอตัดออกด้วย) เราก็ช่วยเขาไม่ได้เพราะเขาไม่มีภูมิพอที่จะรับรู้ได้ ยุคนี้ก็มีคนรับรู้ได้จำนวนน้อยก็ถูกแล้ว ชาวอโศก นั้นมีจำนวนจำกัดไม่ได้เป็นของสาธารณะ พระพุทธเจ้าก็ตรัสมันไม่ใช่ของทั่วไปของสาธารณะปุถุชน มันเป็นเรื่องของอารยชนเป็นคนประเสริฐ เป็นคนที่มีภูมิปัญญาที่รู้ความจริงในความเป็นจริงนี้จริงๆ จึงเต็มใจที่จะมารับรู้และเข้ามาในวงจรหมู่กลุ่ม พวกเราทุกคนเรียกภาษาทั่วไปว่าเป็นคนมีบุญหรือมีกุศล มีสิ่งที่ดีนำพา เป็นบารมีของแต่ละคน ได้มาร่วมอยู่ในนี้ใช้ชีวิตอยู่ในนี้ จนกระทั่งอย่างน้อยบางคน 3 ปี บางคน 5 ปี บางคน 8 ปี บางคนมากกว่านั้น บางคนไม่ไปไหนแล้วอยู่อย่างนี้แหละ อย่างพี่ๆบางคนไม่ไปไหนแล้วดีที่สุด คุณต้องเชื่อคำสอนพระพุทธเจ้าในกาลามสูตรบอกว่าให้อิสระ ไม่ต้องนึกว่าเป็นครูของเรา ไม่ต้องเชื่อว่าเป็นครูของเรา ตัดสินเอาเอง ความหมายของ จี้ใบโพธิ์ และหยาดน้ำใจพรายทอง _รบกวนหลวงปู่ บอกความหมายของ กลด จี้ใบโพธิ์หยาดน้ำใจพรายทอง จี้ เป็นสิ่งที่เอามาแขวนห้อยคอเป็นรูปใบโพธิ์ ใบโพธิ์ก็หมายถึง ภาษาบาลีโพธิแปลว่าความตรัสรู้ เพราะฉะนั้นใบโพธิ์นี้มันหมายถึงรูปธรรม นามธรรม คือความตรัสรู้ เอาโลหะเงินก็มี ไม่ใช่เงินก็มีเป็นโลหะทองคำก็มี เราเอามาทำเป็นรูปใบโพธิ์ก็เรียกจี้ใบโพธิ์ ที่นี้มีคำว่าหยาดน้ำใจ มีรูปใบโพธิ์แล้วเจาะตรงกลางเอามาทำเป็นหยดน้ำห้อยไว้ตรงกลาง พวกเราก็คงเห็นกันแล้ว เดี๋ยวนี้หยาดน้ำใจก็หายากแล้วเพราะไม่ได้สร้างขึ้นใหม่ จะเป็นรูปใบโพธิ์แล้วเจาะเป็นรูปหัวใจตรงกลางห้อยด้วยหยาดน้ำใจ ยิ่งเป็นหยาดน้ำใจพรายทอง ให้แก่ นักศึกษา ปวส. มีทั้งหยาดน้ำใจเป็นใบโพธิ์ มีทั้งเป็นความตรัสรู้ มีน้ำใจที่เป็นความเกื้อกูลเพิ่มพูนเสียสละทั้งหมดเลย มีความหมายทั้ง อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ ครบอยู่ในนั้น ที่หยาดน้ำใจจะมีเส้นผมของหลวงปู่อยู่นิดๆ ใส่ไปในนั้นด้วย หลายคนมือซนไปแกะออกหลุดหายไปเลยช่วยไม่ได้ มันจะร่วงหายไปได้ง่ายๆเพราะใส่ไม่กี่เส้น ก็เป็นเครื่องหมายเป็นเครื่องสื่อให้พวกเรารู้ พวกเราเข้าใจ สรุปแล้วเป็นเรื่องของปรมัตถสัจจะ เป็นเรื่องของจิตวิญญาณจิตใจมันทั้งรู้และทำได้ ทำได้สูงสุดเป็น ปรินิพพานเป็นปริโยสาน สุดท้าย หรือมีนิพพาน มีปรินิพพาน ในชีวิตเป็นๆอยู่แล้วเราก็ยังไม่จบ ไม่จบขั้นทำ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน หลังจากการตายแล้วก็ไม่รวมจิตวิญญาณแตกสลาย ไม่มารวมเป็นจิตวิญญาณของเราอีก เลิกอัตตาเลย กลายเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย จบไปเลยไม่มีเราไม่มีอะไรส่วนที่จะเหลือเศษอยู่อีก เป็นอัตภาพ ของจิตนิยามหรือจิตวิญญาณ นี่เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ ที่โลกมีพระพุทธเจ้าองค์เดียวตรัสรู้ ศาสดาเทวนิยมทั้งหลายแหล่จำนนหมด เขามีจิตวิญญาณนิรันดรหมด แต่ของพระพุทธเจ้านั้นจิตวิญญาณเลิกสลายได้ จะอยู่ยาวไปนิรันดรเลยก็ได้ แต่จะอยู่ไปทำไมเพราะรู้ทุกข์แล้วการเกิดเป็นทุกข์ ชาติปิทุกขา ก็ไม่ต้องไปเกิดอีก เกิดไปก็เท่านั้น อย่างนี้เป็นต้น เกิดไปก็มีทุกข์ แต่ก็ยังเห็นว่าเป็นประโยชน์อย่างหลวงปู่เนี่ย. รู้ว่ามันทุกข์แต่มีประโยชน์ หนึ่งสืบทอดสิ่งที่เป็นความรู้ คนอย่างพระพุทธเจ้าตรัสรู้มาแล้วก็สืบทอดต่อไปอีก เป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดแล้วในความเป็นคนกับความเป็นสังคม ก็ทำไป สืบทอด เป็นประโยชน์แก่คนสืบศาสนาด้วย ต่อศาสนานี้ ให้ไปยาวยืน แต่เราก็ไม่ไปหลงใหลว่า มันยาวยืนไม่ได้ มันต้องจบ เราก็ไม่เป็นคนใจดำถึงขนาดนั้น ก็คิดอยู่ว่าจะจบ 9:30 น ก็ดี พวกเราก็ยังมีจำนวนแต่ลดลงนะ คนมาเรียน ทั้งๆที่มาเรียนฟรี คนก็ดีขึ้นนะ ปฏิเสธไม่ได้ แต่ทำไมสังคมข้างนอกคนที่เป็นพ่อแม่พอรู้ไม่ยอมให้มาเรียน ไม่ยอมส่งลูกให้มาเรียน นี่ เป็นการชี้บ่งถึงว่าโลกุตรธรรมนี้ยาก ให้ฟรี ก็ไม่เอา ต้องดิ้นรนไปเสียเงินเสียทอง อธิบายจริงๆก็บอกว่าดี แต่พ่อแม่บางคนก็บอกว่า ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นอย่างโน้น ก็ต้องไปแย่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เพราะยังหลง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เขาก็ต้องทำ แต่ถ้าพ่อแม่ที่เข้าใจแล้วหรือว่าเด็กตัวนักเรียนเอง พ่อแม่ก็เข้าใจอยากให้อยู่ด้วย หรือบางทีพ่อแม่เข้าใจแต่เด็กไม่เข้าใจก็พยายาม พ่อแม่ก็พยายามใช้สิทธิของความเป็นพ่อแม่บังคับมาหรือผู้ที่เข้าใจบ้างให้มาเอาอันนี้ ก็ได้บ้าง คนที่พูดอย่างไรมันก็ไม่เอาเข้ามามันก็เกเรด้วย ก็ต้องเอาออกกัน จะเขาเอาออกกันเองหรือเราเอาออกก็แล้วแต่เกเรอย่างนั้นก็ว่ากันไป ก็เป็นไปตามธรรมดาธรรมชาติ ในโลกในสังคมก็ช่วยกันอยู่ไปอย่างนี้แหละ เกื้อกูลกัน ทำงานช่วยมนุษยชาติอย่างหลวงปู่ทำงานช่วยมนุษยชาติมาตั้งแต่รู้ตัวอายุ 36 ปี ก็มาทำงานช่วยเหลือมนุษยชาติให้แก่สังคมประเทศชาติ ให้เป็นคนที่เจริญแบบพระพุทธเจ้า ให้เป็นโลกุตระเลย หลวงปู่พยายามช่วย ช่วยประเทศชาติ ไม่ได้รับเงินเดือน ช่วยฟรี ช่วยอย่างเต็มใจ ถูกตำหนิด้วย ถูกด่าด้วย แต่เข้าใจเขา ไม่ใช่คนหน้าด้าน แต่เป็นคนรู้ว่า เขาไม่รู้เขาก็ต้องด่าอย่างหยาบคายด้วย ไม่ได้โกรธได้เคืองอะไร แต่ก็ไม่ใช่หน้าด้าน ด่าแล้วก็ยังหน้าด้านทำอยู่อีก ก็พวกคุณทำอะไรไม่ดีอยู่ เราจะทำดี ซึ่งเรามั่นใจ บริสุทธิ์ใจ ว่ามันดีจริงๆไม่ใช่ดีปลอมๆ ผู้รู้ทั้งหลายแหล่ไม่มีอคติอะไรมากมาย ก็จะยอมรับว่าสิ่งที่อาตมาทำนี้ มันเป็นสิ่งดี เพราะฉะนั้นผู้รู้ไม่ต้านเขาทำไม่ได้อย่างนี้ด้วย กิเลสเขายังมีเขายังเกินเขาก็ มีมานะอัตตา เขาก็ต่อต้านแต่เขาไม่รู้ตัว 1.เขาไม่รู้จริงๆเขาก็ต้าน 2. เขารู้แล้วล่ะว่าดี แต่เขาไม่ให้ทำก็เพราะว่าไม่ต้องการให้เราเด่นเกิน ก็เป็นสัจจะเป็นมานะอัตตาของเขาเท่านั้นเอง แต่ถ้าเขาเห็นว่าดี ควรสนับสนุนก็ควรมาช่วยกันสนับสนุน ผู้ไม่สนับสนุนก็เรื่องของเขา ไม่มีปัญหา เราก็ทำงานของเราได้อยู่ เพราะว่าเราทำแล้ว จุดจบของมันเราไม่ได้ทำสิ่งที่ไม่ดีให้แก่มนุษยชาติ สังคม จุดจบของมัน มันจบจริงๆเขาไม่รู้ว่าดี ก็เกรงใจเขาจริงๆ คนไม่รู้ก็ตรวจสอบสิทธิ์มันไม่ดีอะไรบ้าง อาตมาว่ามันดีสมบูรณ์แบบกว่า ขนาดพวกเรามานั่งฟังอยู่อย่างนี้เป็นชั่วโมงสงบเงียบได้ ไม่มีภาวะต่อต้านอะไรมากมาย ลองถามดูซิดูใจจริงๆดูพวกเรา คิดว่าที่มานั่งฟังหลวงปู่พูดอยู่นี้ พูดวนๆซ้ำๆซากๆ มันมีประโยชน์ไหมใครว่ามีประโยชน์ยกมือ … ก็เข้าใจกัน เพราะฉะนั้นอันนี้แหละไม่มีปัญหา จะเสียเวลากับสิ่งนี้เท่าใดก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นสิ่งที่จบเป็นสิ่งที่มีประโยชน์กันจริงๆ เอาล่ะพอสมควรแก่เวลาดำเนินอันอื่นต่อไปสำหรับหลวงปู่จบแล้ว ลงจากเวที…สาธุ Categories: ธรรมะพ่อครู, ศาสนาBy Samanasandin11 เมษายน 2023Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:660410 พ่อครูเทศน์ภาคค่ำ เรื่อง กาย งานปลุกเสกฯ#45 ราชธานีอโศกNextNext post:660414 พ่อครูเอื้อไออุ่น งานตลาดอาริยะ 2566Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024