660327 ตรวจสอบความจบกิจเป็นอรหันต์ในเรื่องเศรษฐกิจ ปรับทุกข์ปลุกธรรม #16 ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/137JmerIPQ1rGuIY-wGDiKhb1dwV26dCF/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1KhBsbZkvOHfR5Xs42rq85Xw1rXxhaxHq/view?usp=share_link
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/A2HOO4Q501A
และ https://fb.watch/jxjSKBfLQy/
พ่อครูว่า… วันนี้วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 6 ค่ำเดือน 5 หน้าร้อน ปีเถาะ
SMS วันที่ 24 – 26 มี.ค. 2566
_วรัช นาวาบุญ · กราบพ่อครูครับ กราบเรียนถามครับ ผมอายุ 73 ปีเกิดพ.ศ. 2492 ผมย้ายไปอยู่ที่บ้านราชเลยได้ไหมครับ ย้ายทะเบียนบ้านนะครับ ผมยังทานเนื้อสัตว์บ้างตามครอบครัวครับ งานปลุกเสกปีนี้ผมไปครับ และจะไปแจ้งเจตน์จำนงค์กับผู้ใหญ่ใช่ใหมครับ งานจะให้ผมอยู่ฐานใหนก็ได้ครับ มีปมด้อย ยกของหนักมากไม่ค่อยไหวครับ กราบนมัสการเรียนถามครับ ด้วยความเคารพยิ่ง
ถ้าไม่มีเหตุ เป็นภาระทางพุทธสถานเกินไป จักขออาศัยฝากกายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขารใว้กับแดนพุทธราชธานีครับ ขออาริยะบุคคลทั้งหลายช่วยเมตตาแนะด้วยสอนด้วยครับ สาธุ
พ่อครูว่า… กินเนื้อสัตว์อยู่บ้านกับครอบครัวแต่มาอยู่ที่นี่ต้องไม่กินเนื้อสัตว์ ถ้ามาอยู่ที่นี่ไม่กินเนื้อสัตว์เลยก็มาได้ 73 ปีก็ไม่ แต่ก่อนนี้อาตมาก็บอกว่า 60 แล้วไม่อยากจะให้มาแต่เดี๋ยวนี้ก็เอาเถอะมาเถอะไม่มีปัญหาอะไร
_ไพร จริยา · ที่สันติอโศกถือว่ามีปัญหาไหม? เรื่องจอดรถ เห็นมีคนประท้วงและบอกว่า สันติอโศกเอาเปรียบสังคม
พ่อครูว่า… ก็เป็นปัญหาเพราะว่าไม่มีปัญญา คนไม่มีปัญญาก็มีปัญหา ก็เห็นสันติอโศกเขาไม่เห็นมีปัญหาอะไร ก็มีปัญหาอยู่คนเดียว คนที่สันติอโศกเขาไม่เห็นมีปัญหาอะไร คนไม่มีปัญญาก็มีปัญหา
จริงๆแล้วไปมีความทุกข์ ทุกข์เพราะว่าไปแบก ไปแบกเหตุผล ไปแบกที่ตัวเองตั้งเป้าจะต้องเป็นอย่างนั้นจะต้องเป็นอย่างนี้ เขาบอกว่าไม่มีความสำนึกในสาธารณะ
แล้วคุณนั่นแหละไม่มีความสำนึกในสาธารณะ ที่จอดๆกันอยู่นั้นก็เป็นเรื่องสาธารณะ ขนาดเจ้าหน้าที่เขายังไม่มายุ่งด้วยเลย จอดรถ เจ้าหน้าที่เทศกิจเขายังไม่มาว่าอะไรเลย เขาก็เห็นเป็นสาธารณะ ที่จริงถนนเป็นส่วนสาธารณะแล้ว เขาก็ไม่ได้ติดใจอะไร เทศกิจเขาไม่ได้ติดใจอะไร แต่คุณนั้นเป็นประเด็นปัญหาเอง คุณคนที่ไปจัดการวุ่นวายหาว่าสันติอโศกเอาเปรียบสังคม
ก็ที่นั่นเป็นสังคมกลุ่มของชาวอโศกเขาไม่มีปัญหา แต่คุณน้อยนี่มีปัญหาเอง ก็อยากจะเป็นนายแบกทุกข์ เพราะว่ามีปัญหาก็แบกไป ก็คงจะซักซ้อมไปเป็นนายกมั้ง ซ้อมแบกๆไปเดี๋ยวก็ได้เป็นนายกนะ
_จรรยา ประเสริฐ · วันนี้ออกนอกบ้านไปทำธุระ ที่ตลาดเสนานิคม เห็นเจ้าคุณอลงกต ท่านออกบิณฑบาต ตอนประมาณ เกือบ 9 โมงเช้า คนใส่บาตรด้วยเงิน ทั้งไทย ทั้งพม่า แรงงานต่างด้าว มีคนเดินประกาศ ว่าเอาเงินไปช่วยคนป่วยที่วัด เจ้าคุณอลงกต เดินไม่ได้ ต้องนั่งรถเข็น ยิ้มแย้มแจ่มใส คนมาใส่บาตรด้วยเงินเป็นแถว ดิฉันเห็นแล้ว ต้องเดินก้มหน้าหลบไปอีกทางหนึ่ง ด้วยความรู้สึก ประเดประดังเข้ามาอย่างบอกไม่ถูก บอกตัวเองว่า ของใคร ก็ของมันหนอ ทางเรามาทางนี้แล้ว ก็อย่าไปเศร้าหมองอะไรเลย กราบสาธุค่ะ
พ่อครูว่า… ก็จริงอย่างคุณจรรยา ประเสริฐว่า มันไม่ใช่หน้าที่ของพระหรือของภิกษุที่จะไปรับแบก ต้องไปช่วยคนป่วย ต้องไปรักษาคนป่วย ต้องเอาคนป่วยมาแบกมาหาม มันไม่ใช่เลย ก็ท่านทำมันก็ต้องทุกข์ของท่านเอง เพราะว่ามันไม่ใช่หน้าที่ มันไม่ใช่เรื่อง ว่าจริงๆแล้วทำผิดวินัยด้วย ภิกษุไปรักษาไข้รักษาคนเจ็บป่วยไม่ได้ ก็ผ่านไป
_พรศรี ทองเกษร · หัวหน้าพรรคสัมมาธิปไตย ใครได้กราบนับว่าเป็นคนที่โชคดีมากๆเลยค่ะ เพราะท่านเป็นคนที่ควรเคารพบูชาคนหนึ่ง
พ่อครูว่า… มีคนเคยท้วงว่า มากราบฆราวาสทำไม ก็ต่างคนต่างเห็นต่างคนต่างรู้สึก มันเป็นจิตบริสุทธิ์ของแต่ละคน เป็นสิทธิไม่ได้ไปบังคับอะไรกัน ก็เป็นไปตามธรรม
_เมฆงาม โชควิบูลย์กิจ · กราบนมัสการพ่อครูสอนดีมากพูดเรื่องการเมืองได้ดีมากชัดเจนและช่วยพัฒนาสังคมไทยให้ก้าวทันการณ์ เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดเจนที่สุดต้องพิสูจน์ให้โลกนี้ค่ะ
พ่อครูว่า… เอา คนที่เห็นก็มี 2 แบบ 2คนยลตามช่อง คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม เป็นธรรมชาติ
_แดง สารคาม · จะอธิบายให้คนที่บ้านเข้าใจเรื่องการเมืองได้ยังไงคะ คนที่บ้านเกือบทั้งหมู่บ้านเกลียดลุงตู่ทั้งนั้นเลยค่ะ แม้น้องเขยก็เกลียดลุงตู่ค่ะ
_จนแท้ บุญคุ้มมาจน · กราบคารวะพ่อครูครับ คนในหมู่บ้านลูกอ.รัตภูมิ สงขลาสมัครเป็นสมาชิกพรรคสัมมาธิปไตยเกือบ 30 คนครับ..
_สุธน สายทอง Suton Saithong • ผมฟังธรรมพ่อท่านมาสองปี ฟังแล้วนำไปปฎิบัติ ลด ละ จาง คลายได้จริงครับ ด้วยความเคารพอย่างสูงสุดครับ
พ่อครูว่า… ดีมาก ส่งข่าวอย่างนี้ก็ดี อาตมาก็สบายใจที่เทศน์ไปแล้วบรรยายธรรมะของพระพุทธเจ้าไปแล้วคนนำไปประพฤติปฏิบัติได้มรรคได้ผล บอกว่า ละหน่ายจางคลายจากกิเลส เป็นความได้มรรคได้ผล ซึ่งต้องเป็นความมีปัญญาที่จะรู้จักจิตวิญญาณจิตใจของตัวเองว่ามัน ละหน่ายจางคลายจากกิเลส มีอาการ ละหน่ายคลาย จากอะไรก็แล้วแต่ ที่ยืนยันบอกไปว่าละหน่ายคลาย จากวัตถุจากทรัพย์สินเงินทอง เห็นว่าจิตของเรามีอาการ ละหน่ายคลาย ก็เป็นการอ่านจิตใจของตนเองเป็นอ่านละหน่ายคลายเป็น เป็นการปล่อยการวาง เป็นเรื่องของศาสนาพุทธโดยตรง
_คุณดินดี ณ อุบล … กราบนมัสการพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ด้วยความเคารพค่ะ ปัจจุบันคนจำนวนหนึ่งสร้างความมั่นคงหลังความตายโดยการซื้อประกันชีวิตด้วยเหตุผลมากมาย แต่ชาวอโศกปฏิบัติตนมีศีล5เป็นอย่างต่ำ และอยู่ภาพใต้การปกครองแบบสาธารณโภคี ถามค่ะ ชาวอโศกมีความมั่นคงหลังความตายแล้วใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า… ช่างคิดเนาะ ชาวอโศกมาอยู่ในระบบการปกครองแบบสาธารณโภคีแล้ว มีความมั่นใจในความตายใช่ไหม ลองคิดดูสิ ใช่
_สู่แดนธรรม… ยังไม่ตายก็มีความมั่นคง
พ่อครูว่า… ยังไม่ตายก็มีความมั่นคงแล้วโดยที่ไม่ต้องไปแย่งชิงเงิน แย่งชิงทรัพย์ศฤงคารอะไรอีก ก็สบายๆแล้ว อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ
นอกจากจะมาจน มาพอ แล้วก็สร้างสรรค์ มีเหลือมีเกิน เสียสละเผื่อแผ่ผู้อื่นไปด้วย นี่เป็นเรื่องจริงที่เราทำสำเร็จ ทำผลปรากฏจริง ไม่ใช่พูดด้วยปากเปล่าไม่เข้าเรื่อง มันเป็นจริง แล้วก็ไม่ได้ฝืดฝืน ไม่ได้ทรมาน ไม่ได้ขัดสน ไม่ได้ทำแบบอวดอ้างเอาหน้าเอาตาอะไรด้วย
ทำไมชาวอโศกต้องหาสมาชิกพรรคสัมมาธิปไตยด้วย
_เจ็ดก้าว . กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพอย่างสูงที่สุด ผมไม่เข้าใจว่า การจัดตั้งพรรคสัมมาธิปไตยจะเป็นการตัดคะแนนสนับสนุนลุงตู่ให้อยู่ต่อหรือไม่ครับ การออกทีวีทุกวันเรียกร้องให้คนมาสมัคร ก็เหมือนเป็นการหาเสียงนะครับ กราบแทบเท้าขออภัยอย่างสุดเศียรเกล้าจริงๆครับ
พ่อครูว่า… ก็เราเองมันคนกลุ่มน้อย คนยังไม่ค่อยจะเข้าใจ เราก็จำเป็นจะต้องบอกกล่าว จะใช้ศัพท์โลกๆเขาบอกว่าเป็นเรื่องบอกบุญกันหน่อย ไม่เช่นนั้นมันก็ไม่ได้ครบแล้วมันก็ทำไปทำไม ทำแล้วก็ไม่สำเร็จ ทำแล้วสูญเปล่า เมื่อเราไม่ได้เราก็เลยยอมจำนน มันไม่สำเร็จมันก็สูญเปล่าเฉยๆ ทำแล้วก็เพื่อประโยชน์
เพราะว่าเรื่องพวกนี้ แม้แต่แค่จะหาสมาชิกมันก็ไม่ค่อยง่ายแล้ว เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่คิดว่า มันคงจะต้องแบกต้องหามกันไม่ใช่เล่นเหมือนกัน ต้องอุตสาหะ วิริยะ กันหนักหนาพอสมควรทีเดียว ก็ทำดู ไปไม่รอดจริงๆก็เลิก ก็ลองทำดู ไปได้ก็เป็นประโยชน์ คิดว่าอย่างนั้นนะ
เสร็จเรื่องของ SMS แล้ว อาตมาก็จะบรรยายอธิบายกันต่อ เรื่องของเศรษฐกิจ ก็ได้บรรยายกันมาเรื่อยๆ (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
จุดแบ่งที่สำคัญคือโลกียะกับโลกุตระ
จุดแบ่งที่สำคัญจุดแยกที่สำคัญก็คือโลกียะกับโลกุตระ
เศรษฐกิจแบบโลกียะหรือเศรษฐกิจแบบโลกุตระ มันต้องมีความแตกต่างกัน แตกต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญด้วย เพราะว่ามันแตกต่างกันอย่างทวนกระแส มันไม่ได้แตกต่างกันอย่างที่ว่ามีมากมีน้อยกว่ากัน หรือแค่มีดีมีชั่วกว่ากัน
แน่นอนเรื่องดีนั้น โลกุตระก็ต้องดีด้วย แต่มันเหนือชั้นกว่านั้น คือคนโลกุตระนั้น เรื่องทุกข์เรื่องสุข ไม่เกี่ยงเรื่องทุกข์ และไม่โลภ ไม่ตะกละตะกรามเป็นสุข
ถ้าฟังตรงนี้แล้วไม่เกี่ยงเรื่องทุกข์ แล้วไม่ตะเกียกตะกายอยากได้สุข นี่เป็นภาษาไทยง่ายๆ ถ้าเผื่อว่าคนมีความรู้สึกอย่างนี้จริงๆนี่แหละเป็นอาริยบุคคล ซึ่งเป็นหัวใจของศาสนาพุทธ เรื่องสุขเรื่องทุกข์หรือไม่สุขไม่ทุกข์นี้ เข้าใจ มันจะมีสภาพที่หนักเหนื่อยลำบาก แล้วเรียกอันนั้นว่า ทุกข์
ก็เราเห็นว่าเหตุปัจจัยหรืองานอย่างนั้น ควรทำ หรือยิ่งสำคัญต้องทำด้วย เราก็ทำ มันยากเราก็รู้ว่ามันยาก ยุคนี้แน่นอนที่สุด คนมันแย่ คนมันกิเลสหนา กิเลสหยาบมาก ช่วยยาก
แต่คนที่มีบารมี คนที่สามารถรับรู้ธรรมะแล้วก็ทำได้บรรลุได้ ก็มารวมกันอยู่อย่างชาวอโศก มันก็ไม่ยากสำหรับคนที่ได้ หรือที่ยากก็พากเพียรปฏิบัติจนมันง่าย ได้โดยง่ายได้โดยไม่ลำบากในฌานทั้ง 4 ก็เผากิเลสไปแล้วก็มาได้ สบาย ก็เป็นสัจจะ
คนที่ไม่มีสัมมาทิฏฐิหรือว่าเป็นคนที่ต่อต้าน ไม่สามารถที่จะเข้าใจธรรมะที่เป็นโลกุตระได้ ก็แน่นอน ตราบใดเขาก็ยังเข้าใจยากอยู่นั่นเอง มันเป็นธรรมชาติธรรมดา
ที่จริงแล้วมันก็จะว่าไปแล้วคนโลกีย์เขาก็เหน็ดเหนื่อยหนักหนาสาหัสจะเป็นจะตายกันอยู่ แต่เขาจะเป็นจะตายในเรื่อง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เขาก็เหน็ดก็เหนื่อยกัน เขาก็แย่งชิง พากเพียร อุตสาหะ สามารถที่จะเก่งกว่ากัน แข่งกัน หาเสียงว่าข้านี่แหละ ตนเองนี่แหละจะเป็นผู้ทำให้คนร่ำรวย อะไรอย่างนี้ อยู่ดีมีสุขกับการมีลาภ เสพลาภ มียศเสพยศ มีสรรเสริญเสพสรรเสริญ สักการะมากมายก็ยิ่งเสพสรรเสริญ สักการะได้ยิ่งๆ แล้วอยู่นานได้ยิ่งๆ ก็เสพมันเข้าไปให้หนักยิ่งๆขึ้น ก็ไม่รู้จักความเสพ เขาไม่รู้จักว่าการสั่งสมลงไปให้จิตนั้น เขายังมีภพมีชาติมีกิเลส ทรัพย์ทวีหนาขึ้น ๆๆ ด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หรือ สักการะ ยกย่องกันไป
แต่คนโลกุตระนั้นจะว่าเหน็ดเหนื่อยก็เหน็ดเหนื่อย หนักหนาสาหัสเหมือนกัน แต่คนโลกุตระนั้นก็จะ เป็นการเหน็ดเหนื่อยที่คุ้ม
เพราะว่าได้โลกุตระแล้วมันไม่ต้องเป็นเหน็ดเหนื่อยไม่ต้องไปซ้ำซากกับสิ่งนั้นอีกแล้วมันเลิกเลย แต่ของโลกียะนั้น เขาเสพสมสุขสม ได้ลาภได้ยศมาเสพสม มันไม่มีวันจะจบกิจ มันไม่มีวันที่จะไม่ติดไม่เสพ เพราะเขาไม่ได้เข้าสู่โลกุตระ ไม่เข้าไปสู่ความรู้จักกิเลส แล้วก็เข้าใจด้วยภูมิปัญญาอันยิ่งแล้วล้างกิเลสได้จริงๆ
ภูมิปัญญานี้เป็นธรรมาวุธที่ยิ่งใหญ่ที่ไปล้างกิเลส กิเลสนี้มันโง่ ปัญญามันคือฉลาด
เพราะฉะนั้นเกิดจิตที่เป็นปัญญาจริงๆ เป็นอัญญธาตุ ปัญญาธาตุ มันจะมีฤทธิ์อำนาจที่ปราบโง่เพราะมันฉลาดจริงๆ แต่ถ้าเผื่อว่าไม่ถึงขั้นจริง พลังงานที่เป็นปัญญาไม่จริงมันไม่ล้าง มันไม่สามารถกำจัดโง่ได้ กำจัดโง่ไม่ได้
เพราะฉะนั้นจะต้องเป็นของจริง เพราะฉะนั้นแม้โลกุตระจะเหน็ดจะเหนื่อยอย่างไรแต่มันจบกิจ รู้แจ้งรู้จริงว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อะไรนั้น ตัวเองโง่มาไม่รู้กี่ชาติแล้ว วิ่งไล่มา ยื้อแย่งกันไป สมบัติผลัดกันชมกันมา ถึงขั้นฆ่าแกงกันก็ได้ เดี๋ยวนี้ทั้งโลกเขาก็ยังเป็นกันอยู่อย่างนั้น
เพราะฉะนั้นคนที่ไม่รู้จริงๆก็จะโง่ไม่จบสิ้น งมงาย สะสมวิบาก ก็มีวิบากที่มันจะต้องติดต้องยึดต้องซับต้องซ้อนอยู่อย่างนั้น ทับถมลงไปในจิตใส่จิตอีก ยิ่งขึ้นๆๆ มันไม่ได้คลายไม่ได้หน่าย มีแต่หนาเข้าไปอีกเรียกว่า ปุถุ มันยิ่งหนาแน่นเข้าไปอีก
กิเลสยิ่งหนายิ่งแน่นขึ้นนั่นแหละคือมันชั่ว ชั่วของปรมัตถ์เลยนะ กิเลสหนาเพิ่มคือความชั่ว แม้จะมีความสุข สุขมันหลอกนะ ทำชั่วได้สำเร็จสมใจเป็นสุข มันยิ่งชั่ว มันยิ่งเลว มันยิ่งร้าย มันยิ่งแรงขึ้น หนักหน้าไปทุกที ไม่มีที่สิ้นสุด โดยคนเขาทำนี้ เขาไม่รู้ว่ามันคือชั่ว คือเลว คือร้าย แล้วเขาก็แรงโดยเขาไม่รู้หรอก
สมัครสมาชิกพรรคสัมมาธิปไตยไม่ได้ไปแย่งคะแนนเสียงลุงตู่
_ดญ.ใสกลางเพ็ญ(น้ำมนต์) … กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพศรัทธาสูงสุด การที่เราสมัครพรรคสัมมาธิปไตย แต่เราไปเลือกพรรคลุงตู่ได้ไหมคะ ไม่ได้มีข้อห้ามหรือไปตัดคะแนนลุงตู่ใช่ไหมคะ บอกว่าหาเสียงสนับสนุนลุงตู่ได้ไหมคะ
พ่อครูว่า… ทำไม น้ำมนต์จะไปหรือ อ้อ… เป็นคนส่งใบเท่านั้น ไม่ใช่คนเขียนถาม
อิสระเสรี ได้ คุณจะไปเลือกพรรคเพื่อไทยก็ได้ อิสระเสรีภาพจริงๆนะพูดจริง แต่ควรหรือไม่ควรก็อยู่ที่คุณ ไม่ได้มีข้อห้ามอะไร ในส่วนที่พูดกันว่าแล้วอยู่พรรคสัมมาธิปไตย แล้วจะไปเลือกพรรคลุงตู่ จะเป็นการตัดคะแนนลุงตู่ใช่ไหม
พูดให้ชัด คุณ 1 คะแนน คุณอยู่สัมมาธิปไตย คุณก็ไม่ได้ใช้สิทธิ์ให้พรรคสัมมาธิปไตย ถ้ามีคนพรรคสัมมาธิปไตยสมัคร คุณก็ไม่เลือกคุณก็ไปเลือกพรรคลุงตู่ แน่นอนตัดจากสัมมาธิปไตยไปให้ลุงตู่ก็ถูก แต่มีพรรคสัมมาธิปไตยไม่ได้ลงสมัคร คุณก็เอาคะแนนเสียงที่คุณมีสิทธิ์ คุณจะไปตัดทิ้งทำไมให้สูญเปล่าก็ไปเลือกพรรคที่คุณพอใจ พรรคลุงตู่เป็นต้น มันก็ไม่ได้ตัดคะแนนอะไรนี่
ทีนี้เรื่องที่เราพากันไปหาเสียงสนับสนุนลุงตู่ก็ได้ใช่ไหม เมื่อกี้มีคนท้วงคุณเจ็ดก้าว ไปหาเสียงมันไม่ถูก แม้แต่บอกเรียกคนมาสมัคร เป็นสมาชิกนี้ก็เป็นการหาเสียง เออ เอา ละเอียดๆเหมือนกันเนาะ
พูดไปก่อนแล้วว่าพวกเรามันพวกน้อย รู้น้อย แล้วก็ไม่ครบไม่พอ มันไม่พอตามกฎหมายกฎเกณฑ์อะไรต่ออะไรก็จำเป็น มันต้องมีเวลามันมีเวลามีกรอบบังคับจำกัด มีทั้งจำนวนต้องได้ โอ๊ย.. ไม่เห็นใจกันเลย ก็ดีก็เคร่งครัดในเป็นพวกคุมกฎกันไป เราก็ใช้มหาปเทสหน่อยก็แล้วกัน เพราะว่าเรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องของวงกว้าง ไม่ใช่เรื่องของวงจำกัดหรือว่าวงแคบเข้ามาหาปรมัตถ์ มันเป็นวงกว้างเข้าไปสู่สมมุติ มันก็จะต้องมีอนุโลมปฏิโลมอะไรกันบ้าง
ดี ก็ท้วงกันไปก็ท้วงกันมา
เศรษฐกิจต้องแก้ปัญหากันที่จิตวิญญาณ
ทีนี้มาเข้าสู่ที่เราบรรยายที่เราอธิบายกันไว้ต่อ
เรื่องแก้ปัญหาเศรษฐกิจ คนโลกีย์ยังมีอวิชชา เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องขี้ตู่ไม่ใช่เรื่องไปทับถม ไม่ใช่ว่านะ คนโลกีย์ธรรมดาเขายังไม่ได้ปฏิบัติธรรมเขายังไม่รู้เรื่องอะไร แม้แต่มาปฏิบัติแล้วมันยังไม่ใช่จะหมดอวิชชากันได้ง่ายๆ จะหมดกิเลสกันได้ง่ายๆ เขาไม่รู้เขายังมีความอวิชชาที่แปลว่าความโง่ เขายังมีความโง่ ยังไม่ฉลาดพอ
เพราะฉะนั้น คนโลกีย์ทั้งหลายก็จะวนเวียนอยู่กับสมบัติผลัดกันชม ไม่สิ้นสุด หยุด ไม่จบกิจ แหม! คำว่า “จบกิจ” วันนี้อาตมาเอามาพูดซ้ำพวกเราฟังแล้วจะเข้าใจลึกซึ้งขึ้น มันมีกรอบของความจบกิจ ไม่ว่ากรอบของเรื่องเศรษฐศาสตร์ ไม่ว่ากรอบของเรื่องรัฐศาสตร์ แล้วก็แยกย่อยออกไปอีกแต่ละกรอบๆ แต่ละขนาดของมัน มันสำเร็จ ได้อันนี้ๆ นี่คือความเป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ ของพระพุทธเจ้า เห็นไหม
เราทำอะไร เราปฏิบัติอะไร เรารู้ว่าอันนี้มันเป็นภาระหรือว่าเป็นทุกข์ เป็นเรื่องยากเป็นเรื่องไม่จบ เราทำจนเกิดปัญญารู้ อ๋อ..มันต้องแค่นี้ มันต้องอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นปัญญาที่รู้นี้ไปเป็นอจินไตย ปัญญานี้เป็น อจินไตย เป็นโลกุตระ
แต่ละคนจะรู้ว่ามันจบอย่างไร ขนาดไหนมันก็ของแต่ละคน คุณจะได้กี่ชั้นคุณจะได้กี่ขั้น คุณจะได้สูงเท่าใดต่ำเท่าใดอยู่ หรือแม้เข้าใจผิดอยู่บ้าง แน่นอน มันก็ต้องเป็นไปบ้าง คนที่คมชัดเลยไม่กำหนดผิด หมดรอบนี้กรอบนี้แล้วขั้นนี้แล้ว เราเกี่ยวข้องระดับนี้ อันนี้ก็อันนี้จบ ไปเกี่ยวข้องกับขนาดนี้ต่อมา สูงขึ้นเราก็รู้ว่าสูงขึ้น อันนี้หมดเลย จบกิจ สิ้นเลย
อ่านจิตเจตสิกของเราออก อ่าน อาการ ลิงค นิมิต ของเราออกเลยว่า เราเข้าใจด้วยปัญญาอันยิ่ง เราเองรู้เขารู้เรา รู้งาน รู้กิจ รู้อะไรก็แล้วแต่ ที่เราไปเกี่ยวข้องกับอันนั้นกับตัวเรานี่แหละ อ๋อ เรื่องนี้ แยกย่อยชัดๆ
ไอ้เรื่องเกี่ยวกับลิปสติกนี่ แต่ก่อนเป็นวรรคเป็นเวรยุ่งกับมัน เดี๋ยวนี้ สบม. ละจางคลาย เบาบาง น้อยลงไปได้เลยเดี๋ยวนี้หมดปัญหาเลยไม่ต้องแล้วล่ะ คุณจะรู้ไหมล่ะ
แต่เรื่องยกตัวอย่างอย่างนี้แหละ แม้ลิปสติก แม้เนื้อสัตว์ แม้แก้วแหวนเงินทอง แม้แต่ลาภยศ แม้แต่ลึกเข้าไปถึงสรรเสริญเยินยอ ยกย่อง หรือดูถูกดูแคลน เราจะรู้ตัวเราว่า เราได้ระดับไหนอย่างไรแค่ใด เขาดูถูกดูแคลนเรา เขายังเข้าใจเราไม่ได้ อย่างที่เขาพูด เราไม่เกี่ยวแล้ว เราหลุดพ้นมาแล้ว แต่เขาไม่รู้ เราไม่ได้ติดใจแล้วเรื่องอย่างนี้ ๆ
เราจะรู้ของเรา ไม่ใช่ไปดูถูกเขา เราจะเข้าใจเขาว่า เขาไม่รู้เรา แต่เรารู้เรา เราจึงรู้เขาว่าเขายังไม่รู้เรา เออเข้าท่าเนาะ เพราะเรารู้ว่าเราจริงๆ แล้วเขาไม่รู้เรา เขาก็ว่าอย่างโน้นอย่างนี้ อ๋อ..เราก็รู้เขา ว่าเขายังไม่รู้เรา ใช่ไหม นี่มันชัดเจนอย่างนี้
เพราะฉะนั้นคนที่มีอวิชชาอยู่หรือยังมิจฉาทิฏฐิอยู่ก็ตาม เขาก็แก้ปัญหาของเขาไปในเรื่องใดก็แล้วแต่ โดยเฉพาะไปพูดถึงคำใหญ่หน่อยว่าแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
คำว่า “แก้ปัญหาเศรษฐกิจ” มันมีเศรษฐกิจส่วนตัวกับเศรษฐกิจในครอบครัว เศรษฐกิจในวงที่เรารับผิดชอบ จนกระทั่งถึงเศรษฐกิจของประเทศ เรามีหน้าที่รับผิดชอบก็ต้องรู้กรอบ รู้ขนาด เศรษฐกิจ
เศรษฐกิจหมายถึงอะไร เศรษฐกิจเขาก็ให้นิยามง่ายๆว่า ความพยายามที่จะรู้ว่าเราจะแบ่งแจกสมบัติหรือจะแบ่งแจกสิ่งที่ต้องอาศัยกินใช้ อยู่ในสังคมที่มีจำนวนจำกัดเท่านี้ เฉลี่ยกันให้ทั่วถึงกันได้ อย่างเหมาะสม คนควรได้มาก คนควรได้น้อย ซึ่งอันนี้ซับซ้อน
คนควรได้มากคนควรได้น้อย คนเลวคนชั่ว ก็ช่วยบ้าง แต่น้อยไม่ต้องช่วยมันมากหรอกคนชั่ว ให้มันขวนขวายหน่อย คนดีก็ช่วยมากหน่อย ยิ่งดีแล้วยิ่งช่วยคนอื่นอยู่ด้วยเรายิ่งช่วยมากขึ้น เพราะมันเป็นภาวะซับซ้อนที่ คนนี้เขาดี เป็นภาวะที่เขาจะต้องมีสิ่งที่เราจะต้องช่วยเขาอย่างนั้นอย่างนี้ที่ควรจะช่วย ให้เหมาะสม
ช่วยด้วยกำลังทรัพย์ ช่วยทางแรงงาน ช่วยด้วยการสนับสนุน ในที่สุดช่วยด้วยความรู้ความฉลาดช่วยกันอย่างนี้เป็นต้น มันมีละเอียดละออซับซ้อนกันเยอะแยะ
การแก้ปัญหาเศรษฐกิจจึงไม่ใช่การไปแก้ปัญหาตื้นๆง่ายๆ ยิ่งระดับโลกุตระแล้วที่อาตมาพูด สำหรับตัวเราเองนั้น มาปฏิบัติธรรมแบบพระพุทธเจ้าแล้วมาเป็นคนจน เป็นคนจนก็สบาย คนจนที่มีประโยชน์ต่อสังคมไม่ตาย คนจนที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ถ้าอยู่ในสังคมที่เป็นสังคมศาสนาพุทธจริงๆแล้ว ยิ่งเป็นสังคมที่เป็นโลกุตระ มันยิ่งจะไม่ตายเลย
ยิ่งคนนี้ไม่ติดยึดแล้วก็ไม่มีตัวตน แต่ทำงาน ไม่ต้องกังวลเลยการจะอยู่จะกินจะใช้ จะมีคนช่วยเหลือไหม มี ปัดโธ่ ชัดเจน ไม่ต้องห่วงเลย
ยิ่งเป็นชีวิตที่ ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา ให้คนอื่นเขาเลี้ยงไว้แล้วเราก็มีหน้าที่ทำงานให้สังคมไม่ต้องกังวล ไม่ต้องสะสมอะไรเลย ไม่กอบโกยไม่สะสม ไม่กังวล ชีวิตก็หนึ่งชีวิต เรามีกำลังความคิดก็เอาเวลามาทำงาน ยิ่งคนที่ทำงานหน้าที่มีหมด รัฐบาลให้เงินให้ทองไว้อยู่ ต่างๆนานา พอกินพอใช้เหลือกินเหลือใช้อย่างที่เห็นๆกันอยู่ ผู้ที่มีคุณธรรม ความโลภไม่ค่อยมีแล้วหรือไม่มีเลย เท่านี้พอแล้ว มีสันโดษ มีสันตุฏฐิ ใจพอ เหลือ ก็ไม่ต้องกระดี๊กระด๊า ไม่ต้องการเพิ่มอีก มันมีความพอในใจ คนที่ไม่พอในใจอย่างที่เห็นๆอยู่นี้ รวยจนกระทั่งเงินทองจะท่วมหัวตัวเองตาย ก็ยังไม่พอ
ไม่มีสำนึกว่าถ้าเผื่อว่าเราเอง ไปกอบโกยเอาสมบัติส่วนกลางที่มันมีอยู่จำนวนหนึ่งมาไว้ที่เรามากๆๆๆ คนอื่นนี้เขาจะขาดแคลนไหม เท่านี้เขาก็โง่ เพราะฉะนั้นคนรวยนี้โง่ตรงนี้ โง่ตรงที่ว่า ถ้าเราไปเอาสมบัติ เงินทองทรัพย์สินของส่วนกลาง ของโลก ของสังคม เอามาไว้ที่ตัวมากๆ คนอื่นจะขาดแคลนไหม แค่นี้ไม่เข้าใจ นี้โง่ ไม่รู้จะทำอย่างไร
เพราะฉะนั้นคนที่เข้าใจแล้ว อย่าไปทำเลย อย่างนี้มันเลว มันทำให้สังคมเขาเดือดร้อนคนอื่น เราเก่งนะ เราฉลาดที่จะสามารถทำมาหาได้ ได้มาก ได้เปรียบเขา แต่เราก็ยิ่งเอาเปรียบๆ ทั้งเลวทั้งโง่ซับซ้อนใหญ่เลย
เพราะฉะนั้นคนรวยจะเห็นได้ว่า คนยิ่งรวยๆๆ ไม่รู้จักจบนี้ ทั้งเลวทั้งโง่ ขออภัยนะที่อาตมาพูดความจริงพูดปรมัตถ์ ไม่ได้พูดทับถม ไม่ได้พูดไปด่าคนรวยหรอก แต่พูดธรรมะ พูดสภาวะสัจธรรมให้ฟัง ตั้งใจฟังให้ดีๆ อาตมาพูดสัจธรรม ไม่ได้ไปโกรธไปเกลียดไปชัง แต่สงสาร ทำไมทั้งโง่ทั้งชั่ว
วันนี้ไขความจริงเข้าไปลึกซึ้งอยู่นะ พระพุทธเจ้าฉลาดไหม มีทรัพย์สินเงินทองไหม ตอนเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านก็ไม่เอาแล้ว ท่านเป็นเจ้าชายสิทธัตถะท่านก็ไม่เอา มาเป็นพระพุทธเจ้าซึ่งท่านก็ไม่มีอะไรเลย ทรัพย์สินลาภสักการะเยินยอท่านก็ไม่เอาเลยแต่คนให้ท่านเอง เงินทองนั้นไม่มีอยู่แล้ว ตลอดพระชนม์ชีพออกมาอย่างชัดเจน 45 พรรษา
อย่างอาตมานี้ไม่ต้องถึงขนาดพระพุทธเจ้า อาตมาตั้งแต่ออกมาจนถึงบัดนี้อาตมาไม่ต้องไปแสวงหาทรัพย์ศฤงคารอะไรให้แก่ตัวเองเลย สบาย อันนี้เป็นสัจจะที่เป็นอจินไตยที่คนโลกียะ คนปุถุชน แน่นอน เข้าใจยาก
เพราะฉะนั้นคนที่ไม่รู้จัก ก็เป็นคนมีปัญหา เป็นเจ้าปัญหา เป็นตัวปัญหา ไม่รู้จักพอเป็นตัวปัญหา คนที่รู้จักพอแล้วจะเบา จะลดปัญหา ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านก็บอกว่า เอาพอเพียง พอเพียง ท่านใช้ศัพท์สบายๆ ไม่เน้นหนักเหมือนโพธิรักษ์
สรุปแล้ว รู้จักพอบ้าง ท่านเป็นในหลวงท่านก็ต้องบอก คนที่มีเงินมีทองก็ไปทูลเกล้าถวายอยู่ ท่านจะไปพูดแรงๆเหมือนอย่างโพธิรักษ์ไม่ได้ โพธิรักษ์นั้นไม่มีปัญหาหรอกคุณ เพราะฉะนั้นคนที่ร่ำรวยไม่มาทำทานไม่บริจาคให้โพธิรักษ์หรอก ไม่มา ซึ่งอาตมาก็ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาก็อยู่ไปตามประสาของอาตมาได้แล้ว
เขาไม่รู้เหตุแท้จุดแท้ของการแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้แก่สังคม เหตุแท้จุดแท้ของการแก้นั้นคืออะไร ก็ไปแก้แต่เรื่องของวัตถุ วัตถุไม่พอ ก็ไปมีเกณฑ์ของวัตถุ การจัดวิธีการของวัตถุ เขาไม่ได้มาแก้กันที่จิตวิญญาณ
อย่างชาวอโศกอาตมาพาแก้ปัญหาเศรษฐกิจทางจิตวิญญาณ แล้วอาตมาบอกได้ว่า ชาวอโศกจบกิจเรื่องเศรษฐกิจแล้ว ยิ่งถึงขั้นสาธารณโภคี ทุกวันนี้พูดได้เลยว่า ปัญหาเศรษฐกิจของชาวอโศก ถึงขั้นเป่าขลุ่ยเพลงหนังบนหลังควายได้สบายแล้ว ไม่ต้องไปกังวล ไม่ต้องไปเกรงว่ามันจะมีเหตุปัจจัยอะไรต่ออะไร มีแต่เหลือเฟือ แจก
ยกมะระขี้นกให้ดู ทำไมมะระขี้นกมันใหญ่จังเลย คนก็บอกว่ามะระขี้นกกระจอกเทศ เขาก็เอาไปทำให้กินอันเป็นแว่นๆทอดมา ก็กินกันอยู่ ไอ้นี่มะระขี้นกอะไรกัน ขี้นกกระจอกเทศ จากไหนนี่ มะระจากสวนแพทย์วิถีธรรม หลังอาคารบวร โอ้โห เจ้าประคุณเอ๋ย เอาไปแกงเผ็ดแกงเขียวหวาน
นอกจากอุดมสมบูรณ์แล้ว ผลหมากรากไม้ต่างๆ มันก็งาม เนื้อหนังอะไรของมัน มันให้ทั้งเนื้อหาแก่นสารสาระของตัวมันเองแต่ละอย่างๆ มันเปล่งปลั่ง มันสมบูรณ์ ดูบีทรูทหัวตั้งเท่านี้ มันเหมือนประชด มันใหญ่มันงามมันอวบมันสมบูรณ์ ไร้สารพิษทั้งนั้นด้วย
มันมีประเด็นของจิตวิญญาณนี่ จะต้องมีภูมิปัญญา ปัญญานะ จะต้องมีภูมิปัญญา ไม่ใช่ฉลาดอยู่ในกรอบของโลกียะ ซึ่งภาษาศัพท์วิชาการว่า เฉโก ซึ่งเขาไม่ใช้แล้ว เขาไม่รู้เรื่องแล้ว แต่อาตมาแยกอยู่นะ เฉโก กับปัญญาเป็นความรู้ความฉลาด 2 อย่างของมนุษย์ คนโลกียะปุถุชนเขาก็มีความรู้ แม้แต่ศาสดาเทวนิยมเขาก็มีความเฉลียวฉลาดรู้ในกรอบของเฉโก ไม่มีความฉลาดที่เรียกว่าปัญญาได้เลยเพราะมันไม่เป็นโลกุตระ อันนี้ก็พูดไปเขาจะได้เข้าใจแค่ไหนก็ไม่รู้ แม้แต่ในชาวพุทธจะเข้าใจได้แค่ไหนก็ศึกษาดีๆ
เฉโก คือ ความฉลาดบงการ มีความฉลาดที่เป็นตัวบงการคือ กิเลส ชาวโลกีย์ยังไม่รู้จักกิเลส ยังฆ่ากิเลส ยังกำจัดกิเลสในจิตตัวเองไม่ได้ มันจึงเป็นเจ้าเป็นพระเจ้า ที่บงการจิตใจของตนเอง เป็นพระเจ้าจริงๆ ซึ่งเป็นเรื่องจริงนะไม่ใช่เรื่องพูดไปพล่อยๆ พูดไปอย่างขี้ตู่ พูดไปว่าเอา ไม่ใช่ มันเป็นเรื่องจริงเลย
ส่วนปัญญานั้นคือ ความฉลาดที่บงการ ถ้ายังไม่สำเร็จก็บงการลดกิเลส แต่โลกียะนั้นความฉลาด เฉโก เป็นการบงการเพิ่มกิเลส แต่ของโลกุตระนั้น ความเฉลียวฉลาดเป็นการบงการลดกิเลส จนลดกิเลสหมดก็เป็นอรหันต์ มันลดไปตามลำดับๆจนกระทั่งไม่มีกิเลสเลย
เมื่อหมดกิเลสแล้วก็จบกิจ กิจของมนุษย์สูงสุดถ้าหมดกิเลสท่านถือว่าจบกิจ เพราะฉะนั้นเมื่อจบกิจแล้ว จะเป็นกิจทางเศรษฐศาสตร์ จะเป็นกิจทางรัฐศาสตร์ จะเป็นกิจทางสังคมศาสตร์จบแล้ว
นอกจากกิจทางเทคนิคเท่านั้นที่มันไม่จบกันง่ายๆ แต่กิจของมนุษยชาติของสังคมจะเป็นเศรษฐศาสตร์ก็ตามรัฐศาสตร์ก็ตาม การเมืองก็ตาม จะเป็นเรื่องของสังคมศาสตร์จบ จบ
จบกิจคือ เราไม่ทุกข์ไม่สุข เราอยู่กับสังคมไม่เป็นภัยเป็นโทษให้แก่สังคม นอกจากไม่เป็นภัยเป็นโทษให้แก่สังคมแล้ว ยังเป็นประโยชน์ ช่วยเหลือเป็นโลกานุกัมปายะหรือเป็นพหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ เป็นอายะ 3 เป็นหิตประโยชน์แก่พหุชนะ แก่มวลประชาชน พาให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข อนุเคราะห์โลก เลยไปจากกรอบประเทศของตัวเองด้วยซ้ำ ซึ่งมันเป็นสภาวะของรัศมีรังสีออกไป ซึ่งมันเป็น อจินไตย อีกชนิดหนึ่ง
“ไม่มีทฤษฎี”แบบ“โลกุตระ”แก้ปัญหาไม่“จบกิจ”
5) “ไม่มีทฤษฎี”แบบ“โลกุตระ”แก้ปัญหาไม่“จบกิจ”
“ทฤษฎี”ของชาวเทฺวนิยม หรือชาวโลกที่ยังไม่มี “ทฤษฎี”แบบ“โลกุตระ”ไม่มี“จุดสำเร็จ”ของ“ปัญหา”ว่า จะ “จบปัญหาเศรษฐกิจ”ได้สำเร็จเสร็จ“จบกิจ”แท้จริงได้เลย
เพราะ“คำตอบ”ของคนร่ำรวยหรือของผู้ได้เปรียบทางเศรษฐกิจ ที่ยังไม่มี“ปัญญา”นั้น จะไม่มีคำว่า “เพียงพอ”หรือ“พอ”เป็นอันขาด คนผู้ไม่มี“ปัญญา”รู้แจ้งรู้จริงทาง“จิตวิญญาณ”จากการเรียนรู้และปฏิบัติ จนกระทั่งเกิด“ปัญญา”แท้ใน“อาริยสัจ 4”เท่านั้น ที่จะ“ยุติ”การกอบโกย-การเอาเปรียบจากสังคม
“ความรู้-ความฉลาด“แค่“เฉโก”แก้ปัญหาไม่“จบกิจ”
พูดแล้ว เหมือนอาตมาไปเรียนรู้เศรษฐศาสตร์จากที่ไหนมา เศรษฐศาสตร์ที่อาตมาพูดมานี้มีอยู่ในประเทศไทยเป็นพุทธศาสนาแล้วต้องเป็นโลกุตระด้วย ทุกวันนี้มีได้เป็นได้ก็อยู่ในชาวอโศกเรานี่แหละ
ถ้าไม่ศึกษาหรือทำให้เกิดความรู้-ความฉลาดทาง“จิตวิญญาณ”เจริญจาก“เฉโก”ขึ้นเป็น“ปัญญา”ให้แก่ประชาชนเกิดรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า “เงินๆทองๆ”นั้นไม่ใช่ “พระเจ้า” แต่เป็น“ซาตาน” หรือเป็นผี เป็นมารต่างหาก
คนก็ไม่มี“ปัญญา”ต้องตกเป็นทาส“เงินๆทองๆ” เพราะรู้ไม่ได้ว่า เงินทองมันคือ งูร้าย คือ ผี มาร ซาตาน
“เงินๆทองๆ”ไม่ใช่“พระเจ้า” ไมใช่ผี มาร ซาตาน
แต่“คน”ที่“โง่”อยู่ต่างหากคือผี มาร ซาตาน เอง ฟังให้ดีนะมันซ้อนอยู่ในตัวเองทั้งนั้น หลงเงินๆทองๆเป็นพระเจ้า โง่นะ ไม่โง่นั้นเป็นผีๆมารๆเป็นซาตาน อันเดียวกันหมดเลย ทั้งคำว่าพระเจ้า ทั้งคำว่าโง่ ทั้งคำว่าผี มารซาตาน อันเดียวกันหมดเลย
แท้จริง“เงินๆทองๆ”มันไม่รู้ตัวหรอก”ว่า มันเป็น“งูร้าย” หรือมันเป็น ผี มาร ซาตาน เพราะมันแค่เป็น“วัตถุ”
คนต่างหากที่“โง่” ที่ไม่มี“ธาตุรู้”จนสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงได้ว่า ตนหลงโง่เองว่า “งูร้าย”คือ “เงินๆทองๆ” นั้นมันไม่ใช่“พระเจ้า”เลย มันเป็นแค่สิ่งสมมุติขึ้นใช้แทน“ค่า”เป็น“ตัวเลข”ให้รู้“จำนวน”กันเท่านั้น
ธนบัตรนี้คือกระดาษเขียนตัวเลขใส่เข้าไปเท่านั้น แต่ก่อนไม่มีธนบัตรก็เอาเบี้ยเอาหอย สมมุติว่าขนาดนั้นขนาดนี้ พอฉลาดขึ้นมาก็ทำธนบัตร ก็ปั๊มตัวเลขใส่เป็นเท่านั้นเท่านี้ ก่อนนั้นมีเหรียญเป็นรูจนกระทั่งพัฒนาเป็นกระดาษเบาขึ้น เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้อยู่บ้างแล้วก็ลดลงก็ใช้กระดาษเป็นหลัก ปั๊มได้ก็เป็นตั๋วแสดงค่าของเงินๆทองๆ
ที่จริงแล้ว“เงินทอง”นั้นไม่ใช่“เนื้อแท้”ที่จะ“กิน”เข้าไปได้ “อาหาร”ทำให้สังเคราะห์“ชีวิตสังขาร”ของเราได้เลย เงินๆทองๆนี้คุณจะมีหอบไว้เท่าไหร่ก็เถอะก็ไม่ใช่ นี่แหละคือความฉลาดหรือความโง่ ตรงนี้เขาก็คิดว่าเงินๆทองๆนี้ฉันเอาไปซื้ออาหารได้ ก็จริงอยู่ในสังคมที่คนยังโง่ด้วยกัน มันยังต้องพึ่งพากัน ถ้าเป็นในสังคมที่คนฉลาดคนที่มีปัญญาแท้จริง แล้วคนที่รู้จักสาระเหตุปัจจัยของชีวิตที่ดี แล้วก็ไม่เป็นทาสไอ้ตัวเลขจำนวนเงิน จำนวนตัวเลข ซึ่งเป็นกระดาษกินไม่ได้ เขาจะรู้ว่าไอ้ของกินได้นี้สำคัญกว่ากระดาษนั้น กินได้ทันที กระดาษกินไม่ได้ทันที แต่ของแท้นี้กินได้ทันทีเขาก็จะรู้
เพราะฉะนั้นเขาก็จะไม่ไปนั่งผลิตเงินๆทองๆ
คนที่ต้องหาเงินๆทองๆมาเพื่อที่จะได้ไปซื้อนั้น เป็นคนชั้น 2 ต้องมีเงินแล้วก็จะเอาไปซื้อของกินได้ คนชั้น 1 สร้างของกินตรงเลย ใครฉลาดกว่าใครเว้ย เงินๆทองๆไม่เห็นมีความสำคัญอะไรมากมาย! ผู้โง่งมงายในเงินทองอยู่จึงยังมี“ทุกข์”เพราะเงิน
ถ้ามันทุกข์เพราะไม่มีของกินมันก็สมควรอยู่ ไม่มีของจะกินมันก็จะตายเอา ต้องลนลานวิ่งหาของกินของใช้ อาตมาเองอาตมาเดินรอบอโศกนี้ราชธานีอโศก ไม่เห็นมันจะต้องอดต้องอยากได้ยังไง อะไรก็พืชพันธุ์ธัญญาหารนี้ขึ้นทิ้งกันของกิน เลือกกินเลือกใช้ เลือกกินเลือกยังชีพ มีอะไรต่ออะไรขึ้นมา อันนี้ยกขึ้นมาหน่อยเห็นคนอะไรก็ปลูกขึ้นมา ไอ้ที่ไม่ปลูกเกิดขึ้นเองก็งามเต็มไปหมด ไม่ค่อยกินกัน ไม่ค่อยนิยม นิยมอะไรก็ปลูกอันนั้น ไม่นิยมมันขึ้นเอง บางคนก็ชอบ บางทีก็สลับชีวิต กินอย่างนั้นอย่างนี้บ้างก็เลยอุดมสมบูรณ์เนาะ
ซึ่งคน“ขี้โลภ” คนผู้ไม่มีปัญญารู้จัก“ทุกข์”เท่านั้นที่ต้องจมอยู่กับ“ทุกข์”จึงยัง“ขี้โลภ”แย่งเงินทอง กอบโกยเงินทอง ขี้เหนียวเงินทองเป็น“ชีวิต” เป็น“จิตวิญญาณ” เป็นอัตตา” เป็นตัวกูของกู เชิดชู“เงินทอง”คือ“พระเจ้า”
“วิญญาณ”หรือ“ธาตุรู้”หรือ“จิตวิญญาณ”หรือ “ความรู้-ความฉลาด”ของคนปุถุชนคนโลกียะเทฺวนิยมทั่วไปนั้น จะไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“พระเจ้า”ที่ชื่อว่า “เงินๆทองๆ”คือ ผี มาร ซาตาน งูร้าย ได้ จนกระทั่ง มีภูมิปัญญาจริงแล้วอยู่ “อยู่เหนือ(อุตตระ)”มัน เพราะเรามีสิ่งที่เป็นสาระแก่นสาร สิ่งที่กินใช้อยู่อาศัย ที่ตรงแล้วเป็นชั้น 1 เงินทองมันไม่ใช่ชั้น 1 เลย ถ้าว่ากันจริงๆแล้ว จะว่าชั้น 2 ก็ยังโก้ไป มันแย่กว่านั้นด้วยซ้ำ
ฉะนั้นคนที่รู้จริงมีปัญญาจริงจึง ไม่เป็น“ทาส”เงินๆทองๆกันสำเร็จเสร็จ“จบกิจ”จริง
จบกิจจริงๆเลย ใครลองสำรวจตรวจตัวเองดูซิว่าเรื่องเงินๆทองๆเราหมดปัญหาเลยนะ วันๆหนึ่งไม่ต้องไปกังวลอะไร ไม่ต้องไปหา ไม่เหมือนแต่ก่อนนี้ ไม่เหมือน มันจบกิจแล้วเงินๆทองๆ ใครรู้สึกแบบนั้นบ้างยกมือขึ้นซิ
อาตมาอธิบายธรรมะพวกนี้เป็นธรรมะโลกุตระหรือเป็นธรรมะที่เป็นปรมัตถธรรม ไม่ใช่ธรรมะที่จะต้องอธิบายวนๆเวียนๆอยู่ในภพชาติอะไร อันนี้ตรงเข้าไปถึงจิตเจตสิกและก็รูปนิพพาน ให้รู้ว่าเราเองติดอะไรยึดอะไร ชีวิตที่จะต้องละหน่ายคลายไอ้ที่หลงติดยึด แต่เข้าใจว่าเป็นพระเจ้าไปเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอัตตา พระเจ้าก็คืออัตตา
เพราะฉะนั้นวิญญาณหรือว่าธาตุรู้หรือว่าจิตวิญญาณจริงๆ หรือความรู้ความฉลาดของคนปุถุชนโลกีย์เทวะทั่วไป ก็จะไม่รู้จักพระเจ้าที่ชื่อว่าเงินๆทองๆว่าคือผี คือมาร คือซาตาน คืองูร้ายอะไร จนกระทั่งจะต้องอยู่เหนือ ผู้อยู่เหนือแล้วก็ไม่เป็นทาสเงินๆทองๆสำเร็จจบกิจจริง
ทำไมจึงเป็น“ทาสเงินๆทองๆ” หรือเป็น“ทาสพระเจ้า”กันนัก งมงายอยู่กับ GDP กันแบบไม่เงยหูเงยหัว ทำไมไม่เห็นความสำคัญของ“จิตใจของคน”
GDP ไปนับเอาแต่ตัวเลขเงินทองรายได้ แม้แต่ product หรือผลผลิตเขาก็ยังไม่สำคัญเท่ากับไอ้ที่ขายเป็นรายได้ เขาไปเพ่งที่ตัวเลขเงินๆทองๆ ไม่เห็นความสำคัญของจิตใจของคน อันเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง”ของคนในสังคม”มากกว่า“เงินๆทองๆ” แล้วแก้ปัญหากันที่“จิตใจของคน”กันให้ได้ มันถึงจะ“แก้ปัญหาเศรษฐกิจ”สำเร็จเสร็จ“จบกิจ”กันได้จริง
พูดไปแล้วนักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายฟังให้ดีๆเถอะ ไปงมผิดประเด็น ผิดเป้า ผิดจุดสำคัญ ไปแก้ที่ตัวเลข ไม่มาแก้ที่จิตใจคนกับเนื้อหาสาระ ทำให้คนนี้รู้จักเนื้อหาสาระแก่นสารว่าจะอยู่กับเนื้อหาสาระแก่นสาร โดยเฉพาะว่าสิ่งที่จะต้องอาศัย อาหารก็ตาม เครื่องกินเครื่องใช้ก็ตามอะไรที่จำเป็น เป็นความสำคัญเป็นปัจจัยแห่งชีวิต นี่คือให้เขามารู้จักอันนี้กัน ไปมัวแต่บอกว่าไม่มีเงินไม่มีทอง ยากจนๆ จะแก้ปัญหายากจนๆๆ เมื่อไหร่มันจะจบกิจ เมื่อไหร่มันจะสำเร็จ
เพราะฉะนั้นกำหนดผิดฝาผิดตัวสิ่งที่เป็นปัญหาแท้ มันก็เท่ากับปัญญาไม่มี มันก็เท่ากับโง่ มันก็เท่ากับไม่รู้ความจริง
เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าผู้ที่จะมีหน้าที่ทำการช่วยสังคม แม้แต่ตนเองก่อน แก้ปัญหาให้ตัวเองก็ไม่ได้ ตนเองก็ไปหลงเรื่องเงินๆทองๆเรื่องของตัวเลข ว่านี่เป็นตัวชี้บ่งความเป็นเศรษฐกิจ แล้วก็ไปวุ่นวายอยู่กับตัวเลข เงินๆทองๆแม้แต่ของตัวเองก็ตาม แล้วจะไปแก้ปัญหาให้แก่สังคมโลก
บางคนที่เข้ามาเสนอหน้าจะมาแก้ปัญหา ตัวเองนั้นรวยแล้วนะ เงินๆทองๆตัวเองมีเยอะ ประสบผลสำเร็จได้เงินๆทองๆแล้ว แล้วก็เห็นว่าตัวเองนี้ พ้นปัญหาเศรษฐกิจ แล้วก็จะมาแก้ปัญหาให้แก่คนไปรวยๆอย่างตนเอง แล้วก็มาครอบงำทางความคิดว่าจะแก้ปัญหาให้หายจน ฉันนี่แก้ปัญหาตัวเองสำเร็จแล้ว เห็นไหมนี่รวย รวย
คนก็ต้องพาเชื่อ คนก็ต้องเชื่อว่า เออ..คนนี้จริงๆแล้วมีสิ่งที่เขาได้กระทำมาแล้วของเขาสำเร็จประโยชน์ เขาได้เป็นคนรวย เขาก็จะมาแก้ปัญหาให้แก่เรารวยอย่างเขาได้
คนที่จะได้รับการแก้ปัญหานั้นฉลาดแกมโกงเท่าเขาไหม มีแทคติกมีวิธีการที่จะเอาเปรียบเอารัดได้อย่างเก่งเท่าเขาไหม ไม่เก่งเท่าหรอก จะเก่งเท่าเศรษฐาไหม จะเก่งเท่าทักษิณไหม มันแก้ปัญหาไม่ได้หรอกขี้โม้ทั้งนั้น เพราะเขามีวิธีการแทคติกต่างๆ กลเม็ดเด็ดพรายที่จะเอาเปรียบเอารัดในเชิงนั้นเชิงนี้ เขาไม่เก่งเท่าคุณหรอก คนที่เก่งมีวิธีการโลภโมโทสันเอาเปรียบให้ได้มากๆถึงขั้นโกงให้ได้มากๆนั้นดีหรือเลว…เลว
แล้วคุณจะเอาความเลวนั้นมาแจกจ่ายให้คนอื่นเป็นเหมือนอย่างคุณ มันซับซ้อนไหม คุณโง่ไปเถอะ อย่าเอาความโง่ของคุณมาแจกให้คนอื่นที่ยังไม่ได้โง่อย่างคุณ
คนจนนะ
1.จนเพราะจำนน ยังอยากจะเป็นอย่างเขาแต่มันโง่ก็เลยจำนนต้องยอม
-
คนจนอย่างมีปัญญา ไม่ไปเอาหรอกอย่างคุณ เพราะมันแก้ปัญหาไม่สำเร็จแล้วมันก็ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงเลย อย่างสำคัญก็คือ มันไม่ใช่ความดีงาม ถามไปแล้วเมื่อกี้นี้ มันเป็นความชั่วความเลว