660322 เคล็ดวิชา 9 ประการ ของจอมยุทธโลกุตระ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1eP1SkWuK_QuW8kQTZiQeZrg7Tbe-57oe/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1W84kSVbnXDvYkyEnDIdSC-v1OAt1Tv1W/view?usp=share_link
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/NTBVpnn-q1k
และ https://fb.watch/jqJZK_fbP_/
สมณะเดินดิน… วันนี้วันพุธที่ 22 มีนาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก มันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ปีเถาะ เราเหลือเวลาอีกไม่มากเท่าไหร่ก็ใกล้จะงานปลุกเสกงวดเข้ามาทุกที ช่วงนี้ดูเหมือนพ่อครูมีเทวดามาปลุกบอกว่าเป็นเจ้าสำนักโลกุตระแต่เช้า จริงๆแล้วพวกเราก็เป็นพวกสำนักโลกุตระ ไปเบามาเบา
พ่อครูพยายามไขความเป็นเศรษฐศาสตร์ออกมา แต่ก่อนพ่อครูให้เขียนบนเฮือนศูนย์สูญหลังคาว่า ประโยชน์สูง-ประหยัดสุด คือ Minimum cost Maximize Profit ต้องทำอะไรให้ประหยัดที่สุดแต่เกิดประโยชน์สูงที่สุด ในทางเศรษฐศาสตร์
วิถีชีวิตของนักปฏิบัติธรรมเป็นวิถีชีวิตของนักเศรษฐศาสตร์อยู่แล้ว ที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างต้นทุนต่ำสุด เรามีศีลแต่ละข้อๆ ก็พยายามทำให้ชีวิตของเราไม่ไปเบียดเบียน ไม่ไปโลภใคร ไม่ไปคิดทำร้ายใคร มีศีล 5 คุ้มครองตัวเองได้อยู่แล้ว
พ่อครู ให้หลักเกณฑ์ของสำนักโลกุตระเอาไว้
-
ป้องกันตัวเองได้
-
ไม่คิดเบียดเบียนใคร
-
ช่วยเหลือคนอื่นอีกด้วย
-
มีปฏิภาณปัญญาที่เป็นโลกุตระ (สัมมาทิฏฐิ)
-
สำนักนี้จะต้องพาคนมาจน
-
จน กระทั่งอยู่กันเป็นสาธารณโภคี มีสารณียธรรม 6 มี บวร บ้าน วัด โรงเรียน ครบ และอยู่กันอย่างเป็นธรรมชาติด้วย
-
พยายามพาคนให้มาเป็นกสิกร สร้างพืชพันธ์ุธัญญาหาร เป็นอาชีพ มาเป็นกสิกรดีที่สุด
หนังสือเรื่อง มังกรหยก เขาสร้างจินตนาการว่า ใครได้สุดยอดวิชาจะเป็นหนึ่งในแผ่นดิน สำนักโลกุตระก็มีสุดยอดวิชา คือ จรณะ 15 วิชชา 8 ใครได้วิชานี้ก็จะเป็นหนึ่งในแผ่นดินเหมือนกัน พวกเราก็ฝึกอยู่เพื่อถึงจรณะ 15 วิชชา 8 ทำให้ชีวิตเรา มีกำลังภายใน ตัวจริงเลย ที่อยู่เบา ไปเบา มาเบา จนเมื่อก่อนพันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ บอกว่า พวกนี้ให้กินกล้วยน้ำว้าหวีเดียวทำงานได้ทั้งวัน เป็นผู้ที่มีภาระเบาและมีกำลังสร้างสรรค์ เสียสละอะไรได้มากมาย นี่ก็เป็นเคล็ดวิชาที่พ่อครูพาพวกเราฝึกฝน ให้พวกเราเป็นจอมยุทธจริงๆ ที่จะออกไปช่วยโลกช่วยสังคม
เราช่วยในด้านพาณิชย์ ด้านกสิกรรม ตอนนี้จะออกไปทางด้านการเมือง แต่การเมืองนี้ต้องสุดยอดฝีมือจริงๆเลยนะ เพราะเขี้ยวลากดินอยู่เยอะ ไม่อย่างนั้นส่งไปแล้วตายคาสนามรบ ต้องดูทิศทางให้มากเพียงพอ สุดยอดแล้ว ถ้าได้การเมืองบุญนิยมออกไปอีกอันหนึ่งที่ฝ่าด่าน
ลองนึกถึงพลเอกประยุทธ์ ยืนอยู่บนเวทีมา 7-8 ปี โดนบูลลี่ โดนด่า โดนว่า นายกฯเปิดใจที่ภูเก็ต บอกว่าไปนั่งทะเล อยากจะไปเที่ยวทะเลได้ 8 ปีไม่ได้ไปไหนเลย มีแต่ว่าทำงานทั้งวันเพราะกลับบ้านอาบน้ำนอน ตื่นมาก็ไปทำงาน ไม่ได้พาครอบครัว พาภรรยาออกไปไหนเลย เพราะถ้าคิดว่าถ้าออกไปแล้วคนอื่นก็เดือดร้อน ไปแล้วต้องมีคนคุ้มกัน 8 ปีไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเลย มีแต่ไปทำงานทั้งวัน โดนกดดันขนาดนี้ ก็สมแล้วที่พ่อครูตั้งให้เป็นโพธิสัตว์ระดับหนึ่งเลยทีเดียว ถูกกดดันขนาดนี้ก็ยังยืนหยัดกอบกู้ชาติบ้านเมืองขึ้นมาได้
วันนี้คิดว่า พ่อครูคงจะมาไขเศรษฐศาสตร์โลกุตระกันต่อ ขออาราธนาพ่อครูครับ
โพธิสัตว์ระดับ 7 ขึ้นไปจึงมีความรู้เองเป็นเองได้
พ่อครูว่า… ไขแน่ มาเป็นปึ๊งเลย เขียนไปแก้ไปทวนไป ฟังซ้ำซากแต่ขยายความออกไปอีก ไม่ใช่ง่าย ปัญญาพระพุทธเจ้าข้อที่ 1 ข้อที่ 2
ข้อที่ 1 ได้ยินได้ฟังจากพระพุทธเจ้า จากสัตตบุรุษ ต้องฟังอย่างละอายอย่างแรงกล้า เกรงกลัวอย่างแรงกล้า เคารพอย่างแรงกล้า อะไรพวกนี้ในข้าว 1
ข้อ 2 ก็อย่างแรง แต่ข้อ 2 คือต้องเข้าไปอีก เข้าไปถามแล้วถามอีก เข้าไปรับทราบอีก เพื่อให้ความรู้นั้นเจริญงอกงามไพบูลย์ จะต้องให้บริบูรณ์ไพบูลย์ ให้เต็มไปแล้วไปอีก ไม่ใช่ว่าจะได้เก่งเองทีเดียว ไม่ได้
มีขั้นตอนที่จะเป็นเองนั้น ต้องขั้น 7 ขึ้นไป ขั้น 5 ขั้น 6 ยังไม่เป็น สยังอภิญญา ยังไม่ได้อย่างนี้เป็นต้น
ขั้น 7 ทำไม ไขให้ฟังนิดนึง ขั้น 7 ทำไมถึงเป็นของตนเองได้แล้วไม่ต้องไปรับจากพระพุทธเจ้า
เพราะว่าผู้ที่เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ขึ้นไปนี้ ที่อาตมาเคยอธิบายไปแล้วว่าเป็นผู้ที่สอบผ่านเข้าไปถึงขั้นว่า เป็นผู้ที่จะมีสิทธิ์ นิยตะ เที่ยงแท้ เป็นนิยตโพธิสัตว์ เป็นสัตตบุรุษที่เที่ยงแท้ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้เองแล้ว มีคำว่า เอง ตัวเองเป็นเองรู้เอง
เริ่มต้นรู้เองตั้งแต่รู้บัญญัติ รู้ภาษา ได้สัมผัส กว่าจะได้เป็นนิยตโพธิสัตว์ต้องพบพระพุทธเจ้ามาตั้งหลายพระองค์ แล้วก็ต้องบำเพ็ญมาเอง ฝึกฝนเองมาไม่รู้กี่ล้านชาติ เพราะฉะนั้นจึงสามารถที่จะมีคุณวิเศษ มีคุณธรรมคุณสมบัติ มีความรู้ ปัญญา ความสามารถ ครบครัน ที่จะเข้ามา ที่จะเป็นจริงในตัวบุคคลในตัวโพธิสัตว์นั้นๆ
นี่ขยายความให้ฟังละเอียดๆ ตามที่อาตมาเห็นเป็นจริง
ที่พูดไปนี้นะยังรู้สึกว่า ยังไม่ชัด ยังไม่เต็มในความ ที่จริงไม่เต็ม อาตมายักไว้อยู่เหมือนกัน ในความเป็นจริงว่า จะต้องใช้เวลาอีกนานนับชาติไม่ถ้วน กลัวคนจะท้อ ว่าตายๆ กลัวคนจะไม่มาเป็นโพธิสัตว์ จบอรหันต์แล้วก็จะไปแล้ว บ๊ายบาย เอาตัวรอดไป เจาะรูรอด กลัวจะไม่เป็นโพธิสัตว์ อาตมาก็เลยยักไว้หน่อยนึง
แต่อาตมาก็เคยพูดว่า ผู้ที่ไม่เห็นแก่ตัวจัดเกินไป พอบรรลุอรหันต์แล้วมันจะได้คิดเลย เพราะกว่าจะบรรลุอรหันต์จริงๆ มันต้องล้างความเห็นแก่ตัวต้องล้างตัวตนจริงๆ มันหมดตัวตนจริงๆแล้ว
คำว่า หมดตัวตน ไม่มีตัวตน นี้ ของพระพุทธเจ้าชัดๆ มันไม่มีตัวตน แต่ไม่ได้หมายความว่าความคิดอ่าน ความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มันจะไม่มี ไม่ใช่ มันยิ่งเจริญ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มันยิ่งเจริญ มันยิ่งจะมีความเห็นคนที่เขาทุกข์ มันอยากช่วยคนที่เขาทุกข์ มีความเมตตา
กรุณา ลงมือช่วย ลงมือทำ ช่วยให้เขาพ้นทุกข์ ช่วยจนสำเร็จ แล้วก็เกิดมุทิตา ยินดีด้วย เขาได้พ้นทุกข์แล้วนะ ก็หมดหน้าที่ ก็ไม่ถือเป็นบุญเป็นคนไม่ติดใจ ล้าง ไม่ให้ติดค้างในจิตว่าเราจะต้องมีเราเป็นของเรา ยึดติดอย่างแท้จริง จึงมีจิตสะอาดเป็น ปริสุทธา บริสุทธิ์ อุเบกขาจะมีองค์ 5
เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์ยิ่งบำเพ็ญก็ได้ ยิ่งทำไปเรื่อยๆ มีหลายกิจการงานสำเร็จไปเรื่อยๆ หลายบุคคล ความบริสุทธิ์ก็จะยิ่ง ปริโยทาตา ยิ่งบริสุทธิ์มีความสะอาดที่สะสมความสะอาด มี มุทุภูตธาตุ
มุทุภูตธาตุที่รวมตกผลึก ทั้งเจโตและปัญญา ทั้งคุณธรรมและสิ่งที่ไม่ติดยึดเป็นตัวเป็นตน ทั้งความฉลาด ทั้งศรัทธา อยู่ใน มุทุภูตธาตุนี่หมดเลย เป็นคลังแห่ง แก่นแกนของจิตวิญญาณทั้งหมด
เพราะฉะนั้นยิ่ง มุทุภูตธาตุ เจริญดี การทำการงานด้วยอัญญา ซึ่งเป็นความเฉลียวฉลาดมาทางโลกุตระ ได้จาก อัญญธาตุ มาเป็น อัญญาธาตุ แล้วเจริญเป็นปัญญา ก็ยิ่งทำงานได้ดีขึ้น ดีขึ้น ทำเท่าไหร่ๆ จิตก็สะสมเป็นประภัสสร เป็นความใสสะอาดยิ่งๆๆๆ ผ่องใสยิ่งๆๆ
เพราะฉะนั้นจะผ่องใสทั้งจิตใจ ผ่องใสทั้งกาย ออกมาให้เห็นเป็นรังสีเป็นรัศมี อย่างนี้เป็นต้น นี่คือสัจจะที่มีได้ เป็นจริง
เริ่มต้นจาก SMS ต่อ
_ป้าแจ๊ว…ดิฉันเป็นลูกชาวนา ดิฉันเขียนใบสมัคร ตามหมู่ ความสามารถพิเศษคือชาวนา กสิกรรม วันนี้พ่อครูสอน ปัจฉาท่านย่อย พ่อครูท่านก็เป่าปี่บนหลังควาย ตกคำว่า เป่าปี่เพลงหนังบนหลังควาย
พ่อครูสอนสัตว์ที่อยู่ในจิต เก๊ๆ ผีๆ ที่อยู่ในร่างในกายในกาย ทุกๆคนได้มีไม่ มีได้ อยู่ได้
อดีต ดิฉันขี่ควายมามาก พาควายไปทำงาน ขึ้นนั่งบนหลังควายสบายมากๆ ทำงานร่วมกัน ควายบางตัวมันใช้ดี ขยัน ดิฉันก็ขยันช่วยกันไถนา ขนข้าว มันมีควายขี้เกียจ มันดื้อ บางตัวไม่ดีมันชอบหนีเที่ยวก็ขายมันไปเลย
ปัจจุบันอยู่ฟังธรรมซ้ำๆจิตที่เป็นสัตว์ควาย หายไปสิ้น เกิดจิตแท้ๆเป็นผู้รับใช้ มีควาย มีปัญญารับใช้พระอริยเจ้า คนอาริยะค่ะ
กว่าจะเขียนได้เข้าใจ จิตวิตก วิจาร ปิติ ฌาน 1- 4 ละทุกข์ ละสุข อุเบกขา
1.ถาม…ประโยชน์ตน มีความยินดีฟังธรรมพ่อครู ตอบตรงเป้าเข้าใจได้
-
ประโยชน์ท่าน พิจารณาฟัง ถูกไหมคะ
พ่อครูว่า…ประโยชน์ตนคือเราเข้าใจได้ดีมีความยินดีในสิ่งที่เราฟัง ทีนี้ประโยชน์ท่าน ประโยชน์คือพิจารณาฟังถูกไหมคะ เออ …ถูกมั๊ย …
มันต้องขยายความนิดนึงว่า ประโยชน์ตนฟังแล้วเข้าใจได้ ประโยชน์ท่าน พิจารณาก็คือ เออ เราเข้าใจได้ เราทำได้หรือยัง ทำได้แล้ว อ้อ เราทำได้แล้วเราก็จะช่วยผู้อื่นได้แล้วล่ะคือประโยชน์ท่าน
แต่ถ้าเรายังเข้าใจได้ เราก็ยังไม่เก่งยังไม่ชัด พิจารณาแล้วก็อย่าเพิ่งเลยนะอย่าเพิ่งอวดดี อย่างนี้พิจารณา พิจารณาว่าเราเก่งพอจะช่วยผู้อื่นได้แล้วจริงๆหรือ เอาน่า พอได้ นิดๆหน่อยๆ ขนาดนั้นขนาดนี้ ประมาณ จะทำประโยชน์ท่าน ตามพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า
ทำประโยชน์ตนก่อนแล้วสอนผู้อื่นจะไม่มัวหมอง ลึกซึ้งในความนี้นะ ทำประโยชน์ตนให้ได้ก่อน แล้วสอนผู้อื่นจะไม่มัวหมอง จะไม่ผิดพลาด จะไม่เสียหาย จะไม่ทำให้ต้องมาเศร้าใจทีหลัง อย่างนี้เป็นต้น
SMS วันที่ 20 มี.ค. 2566
พืชผักภายนอกจะเป็นกายได้อย่างไร
_สว่างแสง ขวัญดาว· น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
การที่เราตัดเล็บส่วนที่งอกของเราแล้วทุกข์ พ่อครูว่า เรายึดส่วนที่เป็นพีชะของเรา ว่าเป็นกาย ลูกเข้าใจได้ แต่กรณีที่มีคนมาตัดต้นไม้ ทำลายผักของเราแล้วเราทุกข์จะถือว่า เรายึดต้นไม้ ยึดผัก ยึดพีชะ ว่าเป็นกายได้หรือไม่คะ
พ่อครูว่า… ได้ ไปยึดภายนอกตัวตนด้วยซ้ำไปยึดเอาโลกทั้งโลกเป็นเรา คุณโง่ อาตมาไม่ได้บอกว่าไอ้โง่นะ เห็นไหมเขาจะยึดอย่างนั้นแล้วเขาก็ทำจริงๆจังๆใช่ไหม อย่างนี้ มันนอกกายตั้งไกลเลยมันเป็นของคนอื่นส่วนอื่นไม่ใช่ติดอยู่ที่ตัว
กายจะต้องสัมผัสอยู่ที่ตัวเอง กาย จะต้องมีสัมผัส กาย หมายถึงสภาพทั้ง 2 อย่าง ต่างกับเทวะ
เทวะ ก็แปลว่า 2 เทวะนั้นอันอื่นก็ได้ แต่กาย ต้องมีผัสสะติดอยู่ที่หหตัวเรา นี่คือนัยะสำคัญที่มันต่างกันประเด็นนึง
_ลูกยังสับสนว่า ต้นไม้กับผัก เป็นพีชะหรืออุตุ กันแน่ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
สงสัยว่า ต้นไม้นี่ เป็นพีชะหรืออุตุกันแน่ ไขความมาตั้งหลายทีแล้ว
นี่ ผลไม้ มันกองอยู่หน้าเวทีเลย กองเจ้งเพ่ง ถามพวกเราว่าอันนี้มันเป็นอุตุหรือมันเป็น พีชะ ตัดออกไปแล้วมันเป็น อุตุ มันเป็น แต่ถ้ามันอยู่ที่ต้นมันเป็น พีชะ
แต่ถ้าผลไม้นั้นเราไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรานั้นมันเป็นกายแล้ว ทั้งๆที่อุตุมันตั้งไกล มันไม่ใช่เราเลย มันไม่ใช่ยังติดอยู่กับที่ตัวเรา อยู่ที่ร่างกายสรีระของเรา มันออกไปจากสรีระของเราแล้ว มันไม่ใช่สรีระของเราด้วยซ้ำไป พืช แต่เราไปยึดว่าเป็นเรา
ผู้หญิงรักผม คนมาตัดผมไป ก็ร้องใหญ่ เขาเอาผมเราไป มันเป็นของเรา เล็บของเรา มันหักหลุดออกไปแล้ว โอ้ยตาย.. มันหลุดไป ไม่ใช่เราแล้วยังยึดว่าเป็นเราอีก เจ็บปวด ใครมาทำเล็บเราเสีย ถ้าตัวเองทำหักทำพังก็เจ็บใจตัวเอง คนอื่นมาทำพังเอาเรื่องเลยนะ ดีไม่ดี เล็บคนที่ทำอย่างสวย รักษา ใครมาทำหักทำพัง ดีไม่ดีถึงฆ่ากันเลยนะ มันหนักหนาสาหัส มันยึดจัดมันจะเป็นขนาดนั้น อย่างนี้เป็นต้น
งานปลุกเสกนี้ อาตมาจะอธิบายเรื่อง กาย บอกไว้ก่อน เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ประชาธิปไตยจะอธิบายก่อนไปถึงงาน ในงานปลุกเสกพระแท้ๆ ตั้งใจเตรียมไว้แล้วจะอธิบายเรื่องกาย
_พ่อครูคะ ลูกพึ่งตาสว่าง โดยพึ่งได้คิดว่าหากเราได้เสียภาษีอย่างหนักแล้วรัฐบาลเอาไปกระจายเป็นสวัสดิการเสียสละให้ประชาชน อย่างนี้ลูกก็รู้สึกภูมิใจที่ได้ช่วยเหลือประชาชนและเต็มใจที่เสียภาษี เพราะจะเห็นอนาคตของสังคมว่ามีแต่จะสงบสุขยิ่งขึ้นๆค่ะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า…ดีถูกต้องเพราะเรามีรายได้พอที่จะเสียภาษี เราเต็มใจที่จะเสียภาษี อย่าขี้โกงอย่ายักยอก แต่พวกเราไม่มีรายได้ เราเอาเข้าส่วนกลางหมดเลย เขาก็ไปคิดเงินรายได้ของส่วนกลางภาษีอันโน้นที่เขาจ่ายกัน เราก็ไม่ได้เสีย เพราะรายได้ของเรามันไม่พอจะเสียภาษี ประเทศไหนเขาก็คิดอย่างนี้ทั้งนั้น เป็นพื้นฐาน ไม่ยาก
_สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ · มนุษย์หูเทียมนอกบัตรสวัสดิการรัฐกับเบี้ยยังชีพ ๘๐๐ ค่าแบตหูเทียมกับรายได้งานศิลป์คนโลกเงียบไม่มากพอที่จะชำระภาษีฯ ยอมเสียสิทธิกลุ่มเปราะบาง พัน ‘สละเดือนละ๒๐๐ ๑๒เดือน’ ปีละ๒๔๐๐ มาหลายปีฯ ฟังพ่อครูอ่านสาระธ.สวัสดิการตปท.อ.ชิดตะวันไม่ทัน แต่ได้รับเพจจากอ.ศิษย์เอกพ่อครูส่งมาฯ อ.เปรียบนโยบายการเมืองตปท.ดีกว่าการเมืองไทยฤาเปล่า?
พ่อครูว่า…อาตมาก็ตอบในความเห็นของอาตมา การเมืองของต่างประเทศหรือการเมืองของไทย อาตมาก็ขอตอบกำปั้นทุบดินเลยว่า การเมืองของไทยในยุคนี้ขณะนี้ ดีกว่าต่างประเทศทุกประเทศ พูดอย่างโอหัง คนก็คงจะเข้าใจยากอยู่ แล้วคนที่เขาติดยึดอยู่ในความรู้ ตำรารัฐศาสตร์ การเมืองที่เรียนมาแบบเทวนิยม ชัดๆนะ.. เดี๋ยวไปศึกษากันว่าแบบเทวนิยมแตกต่างจากแบบโลกุตระที่ในเมืองไทยมีแล้ว ทำเนื่องต่อกันมานานแล้ว
จะว่าไปแล้ว มันมีตั้งแต่ก้นบึ้งของจิตวิญญาณคนไทยมาตั้งแต่รุ่นพระเจ้ารามคำแหง สุโขทัยมาจนถึงทุกวันนี้ ลักษณะที่พ่อขุนรามให้เอาใครมาตีระฆังร้องทุกข์ จะเมื่อไหร่ก็ตามมาตีระฆังได้ อย่างนี้เป็นต้น เอาเท่านี้ก่อน อันนี้
ชาวอโศกเสียภาษี 100% ดูแลแบบโลกุตระ
_จนแท้ บุญคุ้มมาจน · สวีเดนเสียภาษี50% ถือว่าวินัยในการเสียภาษีดีกว่าประเทศอื่นในโลก.แล้วก็เอาภาษีนั้นมาดูแลผู้เสียภาษีในบั้นปลายของชีวิตแบบโลกียะ แต่ชาวอโศกเสียภาษี100% และดูแลกันแบบโลกุตระครับ.
พ่อครูว่า…ชาวอโศกหาได้ 100 เอาเข้ากองกลาง 100 ที่อเมริกาเขาก็ดุนะภาษีของเขา แต่เขามีเกณฑ์หักรายได้จากระดับต่างๆสูง บางคนเสียภาษี 90% เลยนะ แต่มันก็มีวิธีหลบเลี่ยง อาตมายังไม่มีรายละเอียด แต่มีต่างประเทศเขาทำได้ขนาดนี้ก็ดีแล้ว คุณจนแท้ บุญคุ้มมาจน เข้าใจถูก
มันซ้อน คนชาวอโศกเรานี้ แม้จะมีสวัสดิการหรือดูแลกัน แต่คนชาวอโศกเองก็ไม่มีอะไรมากเป็นคนเลี้ยงง่ายบำรุงง่าย เป็นคนมักน้อย เป็นคนกล้าจน เป็นคนพอเป็นคนสบายแล้ว ใครที่ยังติดค้างอะไรก็มี สัลเลขธรรม มีข้อปฏิบัติต่ำ กลาง สูงไปเป็น ธูตะ มีอาการดีขึ้นน่าเลื่อมใสขึ้น เป็น ปาสาทิกะ จะไปจบที่ไม่สะสมได้สมบูรณ์แบบ และยอดขยัน วิริยารัมภะ
เพราะฉะนั้นคนที่มีคุณสมบัติสุดท้ายไม่สะสมเป็น 0 แล้วยิ่งอยู่กับหมู่สาธารณโภคี จะไปสะสมให้โง่ทำไม เก็บเงินสะสมไว้มันก็ต้องรักษาดูแลก็ห่วงหาก็ลำบากลำบนอะไรอย่างนี้ ก็มีกองกลางมีเจ้าหน้าที่ มีผู้ดูแลรักษาให้เบิกได้แล้วเราก็ไม่ได้ขี้โลภขี้ตะกละ ไปเบิกเอามากมาย เรามีความละอายตนเอง เบิกเอามากมายก็ละอายตนเอง ละอายอย่างแรงกล้าด้วย
มันซ้อน คำว่า ละอายอย่างแรงกล้า มันเป็นสำนึกจริงๆของคน ว่าจะมาเอามากเอาเปรียบ มันไม่ควรนะ มันจะรู้สึก คนมันจะรู้สึก
เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมหรือการเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้า จิตวิญญาณมันเจริญพัฒนาจริงๆ แล้วเจริญอย่างโลกุตระด้วย เอาแค่นี้ก่อนอันนี้
_ทรงยุทธ อัคคโกศล · กราบนมัสการพ่อครู Swedish Social Democratic Party ตัวย่อ SAP น่าจะย่อมาจากคำภาษา Swedish (Sveriges socialdemokratiska arbetareparti = SAP)
พ่อครูว่า…ก็เป็นความคิด ประชาธิปไตย สวีเดนเขาก็มีพระเจ้าแผ่นดินใช่ไหม เขาเป็นประชาธิปไตยที่มีพระเจ้าอยู่หัว มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขก็เป็นแบบนั้น ซึ่งมันก็ต่างกัน นัยยะสำคัญที่ต่างกันกับประเทศไทย
เข้าถึงไตรลักษณ์ด้วยปัญญา 8 ประการ
_ป่ารุ่ง วนาศิริ · กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้า ด้วยสุดเคารพสุดบูชา กระผมยังคงปฏิบัติธรรมตามธรรมที่พ่อท่านพาทำ แต่ต่างกันกับญาติธรรมที่ได้ปฏิบัติอยู่กับหมู่กลุ่มมิตรดีสหายดี (กระผมทึกทักเอาเองเป็นญาติยุค 4G ผ่านทางโซเชียลแม้ยังไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปคบคุ้น) กระผมมีโอกาสที่จะได้กราบพ่อท่านที่ปฐมอโศกแต่ก็ไปได้แค่ช่วงกลางวันที่พ่อท่านยังไม่ได้ลงมาเทศน์ ด้วยกิจการงานวิบากยังมิอาจปลดวางได้ แต่ก็พากเพียรปฏิบัติลดกิเลสให้ได้ตามลำดับ ตอนนี้อยู่ในขั้นอ่านอาการและจับตัวกิเลสของตนเองได้เร็วขึ้นครับ(มักจะเป็นกิเลสตัวโทสะยึดตัวตนรับคำตำหนิหรือคำพูดที่ไม่รื่นรมณ์แล้วมีอาการครับ) แต่ยังไม่สามารถทำใจในใจให้ล้างกิเลสได้ในทันที แต่ก็มีความก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆครับ จนคนรอบข้างเริ่มแปลกใจและสงสัยว่าผมเปลี่ยนแปลงได้ไง ตรงนี้คือความมหัศจรรย์ของธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใช่ไหมครับ✨🙏✨
พ่อครูว่า…ใช่ เราจะเข้าใจถึงความไม่ยึดมั่นถือมั่น ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้น แล้วก็ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ภาษาแค่นี้เรียกว่า ไตรลักษณ์ สุดยอด จบแล้วทุกอย่าง ถ้าเข้าใจ มันก็ทุกอย่างเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา มันไม่ใช่ตัวตน แต่เมื่อเรายังยึดเป็นเราเป็นของเรา มันยังเป็นตัวตน มันก็เป็นธรรมดาที่จะเกิดอาการทุกข์สุขหรือว่ายังยึดถืออะไรต่ออะไรต่างๆอยู่
เพราะฉะนั้น ถ้าเราเกิดปัญญา เกิดความเฉลียวฉลาด เกิดปัญญายิ่งๆขึ้น เข้าใจได้ ความมีปัญญามันไม่ได้อยู่กับเท่าเดิม ปัญญาไม่ได้อยู่เท่าเดิม มันจะเจริญงอกงามไพบูลย์ขึ้นเรื่อยๆๆๆ ตามลำดับ
ปัญญาข้อ 1 ข้อ 2 ได้ฟังเรื่อยๆแล้วเอามาปฏิบัติไปอีก เราจะเข้าใจความสงบ ปัญญาข้อที่ 3 เข้าใจความสงบ 2 อย่าง แบบโลกุตระกับแบบโลกียะ ขึ้นมาเป็นลำดับ ๆๆ
ยิ่งปฏิบัติข้อ 4 ปัญญาข้อ 4 ปฏิบัติตามศีล ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ ไปเรื่อยๆก็จะได้มรรคได้ผล สรุปไปเรื่อยๆ กลายเป็นพหูสูตข้อที่ 5
ก็ยิ่งเห็นว่า เราเจริญเป็นพหูสูตไปมันดีนี่นะ ข้อที่ 6 ก็จะมี วิริยารัมภะ ยิ่งจะพากเพียรปฏิบัติ ไม่เหนื่อยหน่าย ต้องเอาให้ได้ให้ดี จนสำเร็จเป็นบัณฑิต
ข้อที่ 7 ก็เป็นบัณฑิตก็คือ ทีนี้ก็รู้แล้วเข้าสภาจะปฏิบัติตนอย่างไร นอกสภาจะปฏิบัติตนอย่างไร ไม่แย่งไม่ชิงพูด รู้จักสงบ รู้จักหยุด รู้จักเคารพ รู้จักคารวะ รู้จักเวลา กาละ เทศะ ฐานะ รู้จักโอกาสดี ในข้อที่ 7
ข้อที่ 8 รวมหมดเลย รู้จักการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป รู้จักขันธ์ทั้ง 5 รู้จักการหมดสิ้นการยึดถือในขันธ์ 5 คือเป็นปัญญาที่รู้จบ
แม้แต่เริ่มต้นเป็นอรหันต์ก็รู้จบ เป็นโพธิสัตว์แต่ละระดับไปอีก ก็รู้จบ รู้จบ ไปตามกิจของฐานะของตน โสดาฯก็ขนาดหนึ่ง สกิทาคามีก็ขนาดหนึ่งอนาคามีก็ขนาดหนึ่ง อรหันต์ก็ขนาดหนึ่ง อนุโพธิสัตว์ก็จบอีกกรอบหนึ่ง อนิยตโพธิสัตว์เก่าอีกกรอบหนึ่ง นิยตโพธิสัตว์ก็จบอีกกรอบหนึ่ง เป็นมหาโพธิสัตว์ เป็นสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า สุดท้ายท่านจะประกาศตนเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในโลกหรือไม่เป็นเรื่องของท่าน ตอนนี้อย่าไปยุ่งกับท่าน บางองค์ท่านไม่ประกาศศาสนา ท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไป
ท่านทำงานมาพอแล้ว ผ่านสัมภาระวิบากมาเหมือนกัน เท่ากันกับพระพุทธเจ้า แต่ท่านก็ไม่เอา ท่านพอแล้ว
เรื่องของความไม่ยึดติดในฐานะในตัวตนในอะไร มันสูงยิ่ง เกินที่จะคิดไม่ต้องไปคิดแทนท่านเลย ที่ท่านเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า
คนที่ยังไม่เข้าใจพอ แปลปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า คือผู้ที่สอนคนไม่ได้ พระพุทธเจ้าที่สอนคนไม่ได้ ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าคือผู้ที่ได้เฉพาะตน คุณเข้าใจผิด เข้าใจไม่ได้ ก็ไปแปลอย่างนั้น ไปเอาสั้นๆว่า ปัจเจกพระพุทธเจ้าสอนคนไม่ได้
ซึ่งมันก็ซ้อนอีก เป็นเทวทัตก็ตามเป็นปัจเจกสัมพุทธเจ้า ไม่สามารถจะประกาศศาสนา ไม่สามารถมีศาสนาของตัวเอง บรรลุได้แต่ตัวเอง เพราะฉะนั้นคำว่า ปัจเจกพระพุทธเจ้านั้นของเทวทัตนั้น เป็นปัจเจกที่ยังไม่สัมมา เพราะฉะนั้น จะตายด้วยธรณีสูบ
การตายด้วยธรณีสูบ แม้อรหันต์ก็ไม่ตายแบบนั้นแล้ว เพราะฉะนั้นเทวทัตเป็นปัจเจกพระพุทธเจ้า ก็เป็นคำศัพท์ที่พระพุทธเจ้าท่านว่าเอาเถอะ เหมือนคนที่นั่งหลับตาแล้วก็นึกว่าตัวเองเป็นอรหันต์ ก็เหมือนกันกับเทวทัตนึกว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้า แต่ก็แค่ ปัดโธ่เอ๋ย..ยังตายด้วยธรณีสูบ เห็นไหมความซับซ้อน แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ไปเบลม(Blame) ไม่ได้ไปกดไปว่า พระเทวทัต เป็นผู้ที่ไม่ไปทำอย่างนั้น แต่ตำหนิ
เพราะว่าตำหนิพระเทวทัตนั้นตำหนิมาพอแรงแล้ว สุดท้ายตายแล้วด้วยธรณีสูบ จะไปตำหนิอีกทำไม มันก็เป็นอย่างนี้ได้
นักการเมืองโลกุตระ มีคุณสมบัติ 5 ประการ
_Hr Td : ถ้าเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนาเขาไม่ยุ่งกับการเมืองหรอก มันเป็นเรื่องของชาวบ้าน ของปุถุชน (คัมโม โปถุชชนิโก) อย่าอ้างตนว่าเป็นนักบวชในพุทธศาสนาเลย การเมืองมันอยู่กับความขัดแย้งมีพรรคมีพวก ผลประโยชน์ขัดกันก็ผิดกัน.อย่าเลย…
พ่อครูว่า…ก็ขอบคุณที่ทักท้วงกันมา อาตมาก็เห็นด้วย สำหรับคุณ อย่าเพิ่งไปยุ่งการเมืองเลย เพราะคุณยังไม่มีจิตพอหรอก ที่จะเป็นคนไม่มีตัวตน เพราะนักการเมืองต้องเป็นคนที่ไม่มีตัวตน เป็นโลกุตระบุคคลนั้นดีที่สุด ถ้าไม่มีธรรมะที่เป็นโลกุตรธรรมก็เป็นนักการเมืองที่สมบัติผลัดกันชมยิ่งใหญ่ ประเดี๋ยวก็ถูกเขาเล่นงานฆ่าแกง ลงโทษ แล้วก็หมุนเวียนฆ่าแกง เป็นเวรานุเวรกันไปอีกไม่มีวันจบ ไม่มีจบ
มันลึกซึ้งในความเป็นนักการเมืองตามที่อาตมาได้ทำตามพระพุทธเจ้าที่ท่านบัญญัติไว้แล้ว อาตมาก็เอามาใช้เป็นภาษายุคนี้ ค่อยๆฟังไป ก็จะรู้
นักการเมืองโลกุตระที่จะทำงานให้แก่ประชาชนนั้น อาตมาเริ่มทำมาแล้ว ประกาศตัวแสดงตัวว่าเริ่มทำตั้งแต่ พ.ศ 2549 ออกมาประกาศตัว ทำ อาตมาก็ทำงานรับใช้ประชาชนมาตลอด ซึ่งมันก็เป็นการเมืองชั้น 1 แล้ว
-
เสียสละมาตลอด
-
ไม่มีตัวตนมาตลอด
-
ซื่อสัตย์มาตลอด
-
มีสมรรถนะมีความรู้
-
ทำมาตามความรู้ตามความสามารถที่ได้ปฏิบัติพากันทำมา จนมาถึงวันนี้ก็เปิดจนกระทั่งตั้งพรรคการเมืองเข้าไปช่วย เข้าไปให้มันเป็นตัวอย่าง ไม่ได้เข้าไปแย่งชิงตำแหน่งอำนาจจากนักการเมืองที่เขากระเหี้ยนกระหือรือแย่งกัน ไม่
เอาเถอะ พูดไปก็ยังไม่ง่ายที่จะเข้าใจ อาตมาจะค่อยๆพาทำ พรรคของเราไป พรรคสัมมาธิปไตย
แค่ 5 ข้อที่เมื่อกี้นี้ขึ้นไป แต่ยังมียิ่งกว่านั้น ไว้ฟังจอมยุทธ 9 ประเด็นสวยกว่านี้อีก 9 ประการ มีวรยุทธ์ 9 เคล็ดวิชา ฝากไว้ก่อนโอฬาร
_ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้าครับ กราบรบกวนพ่อท่านช่วยอธิบาย ๓ ข้อเกี่ยวกับการเมืองหน่อยครับคือ
๑. Democracy ๒. Democratic ๓. Democratize
เป็นระบอบการเมืองที่พ่อท่านกล่าวถึงด้วยครับ กราบนมัสการพ่อท่านด้วย ความเคารพอย่างสูงยิ่งครับ
พ่อครูว่า…Democracy แปลว่า ประชาธิปไตย เต็มๆ คำธรรมดานี่เอง
ทีนี้ Democratic ก็เหมือนกับ Domestic คือความเป็นประชาธิปไตยองค์รวมประชาธิปไตยที่ตีกรอบ
ส่วน Democratize คือ ทำให้เป็นประชาธิปไตย
Democratic คือ ทำได้แล้วเกิดไปทีละอย่าง โสดาบันก็ได้ความเป็นประชาธิปไตยโสดาบัน เศรษฐกิจเท่ากับโสดาบัน
สกิทาคามีก็ได้ประชาธิปไตย ความรู้ความสามารถทางเศรษฐกิจเท่ากับสกิทาคามีไป ก็เป็น democratic
Democracy คือ ความเป็นกลางๆความเป็นประชาธิปไตยทั่วๆไป
Democratic คือ ความเป็นประชาธิปไตยที่ทำได้ตามกรอบเป็นระดับๆไป
Democratize เป็นกิริยาอยู่ แปลว่ากำลังทำ ทำให้เป็นประชาธิปไตย
_ข่าวเช้านี้ หัวหน้าพรรคสัมมาธิปไตยประกาศนโยบายแล้วว่า เราจะทำเพียงรักษาพรรค ทำแบบสบายๆ ไม่เอาเวลามาเร่งรัดจำนวน ผ่อนการต้องเร่งสมัคร แต่ทำการหาผู้สมัครได้แบบสบาย และพากเพียรทำเต็มที่
เราจะยังไม่ลงสมัครเลือกตั้ง แต่จะทำตามพ่อครู ทำไปเรื่อยๆจนกว่าประชาชนมาขอให้ลง…
ทั้งนี้มีปัจจัยหลายอย่าง เราจะไม่บุ่มบ่าม ทั้งเรื่องกฎหมายที่เรายังไม่เก่ง ถ้าเกิดได้ลง เราก็ลากกันไปทำงานการเมืองทั้งที่ยังเรียนไม่จบ เราจะขาดการทำภายในกับจิตอาสาและประชาชน เราจะทำแบบแน่นชัวร์ๆก่อน … (ข่าวว่า พี่น้องหัวเลาก็มาสมัครแล้ว 48 คน)
พ่อครูว่า… อย่าประมาท ควรจะสมัครก็รีบสมัครกันให้ครบซะ แล้วมันจะสบายดี แล้วจะได้ทำงานอื่น ไม่ต้องไปเสียเวลามาก ดีแล้วพากเพียรเต็ม
อาตมาเคยพูดเรื่องนี้ จนประชาชนมาขอให้ลงสมัคร มาเป็นมวลเป็นหมู่พอสมควร แต่ถ้ามาคนเดียว สมัครก็ได้คะแนนเดียวจะไปลงทำไม
หลงผิดติดยึดว่าตายแล้วไม่เน่านี้ดี เป็นมิจฉาทิฏฐิ
_ไหม พวธ.: ฝากเรียนถามมาว่า การจัดงานศพแบบบุญนิยม (เฮือนสุดชีวิต ) ไม่ต้องเก็บศพไว้นาน 1-3 วัน ที่เหมาะสมในยุคเศรษฐกิจที่เป็นคุณค่าประโยชน์อะไรบ้าง ที่คนจะนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตได้พอเพียง ประหยัด เรียบง่ายคะ
พ่อครูว่า…ก็พูดมาเองตอบเอง ก็สบาย ได้ประโยชน์พอเพียงเรียบง่ายประหยัด ก็ขอขยายความนิดนึงว่า คนตายแล้ว แล้วยังติดในพิธีกรรม ในอะไร มันเป็นเรื่องของโลกโลกีย์ทั้งนั้น เป็นเรื่องของ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข สักการะ ความยกย่อง เอาเท่ เอาเก๋ เอายิ่งใหญ่ เอาแบบโลกีย์ทั้งนั้น
ถ้าเข้าใจแล้ว โดยหมู่อย่างชาวอโศกเราเป็นผู้ที่เข้าใจแล้วไม่ได้ไปติดยึด ตายแล้ว ร่างกายก็เป็นซากศพ เมื่อร่างกายเป็นซากศพ มันก็คืออุตุนิยาม แม้แต่พีชะ มันก็ไม่เป็นแล้ว
นอกจากคุณจะไปหลงผิด ตายแล้วก็ยังเอาศพมาใส่ในโลงแก้วเอาไว้ เล็บก็ยาวออก ผมก็ยาวออก ใช่ มันมีพลังงานแล้วไปติดยึดไม่ปล่อยอัตตาตัวเอง ตายไม่รู้ตาย เป็นไม่รู้เป็น ตายแล้วก็ไม่รู้จักทิ้งร่าง เข้าใจผิดมีมิจฉาทิฏฐิว่า ติดยึดในตัวกูของกู อวิชชา ก็เลยยิ่งเคารพศพที่ไม่เน่า แห้งลงแห้งลง
จริง ตามเหตุปัจจัยมันสังเคราะห์ในตัว มันน้อยลงๆ มันก็เหี่ยวลงไป มันก็ไม่เน่าเพราะมันสังเคราะห์ แต่มันก็เจริญออกไปได้ เล็บก็ยาวออก ผมก็ยาวออก เนื้อหนังมันก็ค่อยๆทรุดเสื่อม มันยังไม่เน่าไปทีเดียว แต่มันค่อยๆแห้งมันก็ไม่เป็นไร มันก็เป็นไปตามสัจจะ ที่วัตถุมันสังเคราะห์กัน
มันเป็นเรื่องของอุตุแล้ว มีพลังงานเหลือนิดหน่อย พลังงานก็ไปตามลำดับ เพราะฉะนั้นคนไม่เข้าใจไปกราบเคารพบูชาว่า ตายแล้วไม่เน่านี้สุดยอด นั่นเป็นมิจฉาทิฏฐิจะบอกให้
ตายจริงแล้ว ก็ไปฝังไปเผากัน ข้อสำคัญว่า ตายจริงหรือเปล่า ถ้าตายจริงแล้วก็เอาไปฝังไปเผากัน เท่านั้นเอง ซึ่งทางการแพทย์ หรือคนไม่ได้เก่งกาจอะไรก็สามารถที่จะรู้ได้ พอรู้ได้
เพราะฉะนั้นการจัดการศพทุกวันนี้มันเป็นพิธีกรรม ทั้งอัตตามานะ ยศชั้น สรรเสริญ ทั้งการติดยึดด้วยความไม่รู้ เป็นเราเป็นของเรา เป็นเรื่องที่ต้องทำ ถ้าไม่ทำแล้วจิตวิญญาณมันจะต้องอย่างโน้นอย่างนี้อย่างนั้น ตายแล้วไม่ไปผุดไปเกิด อะไรก็แล้วแต่ ว่าไป
อาตมาขอเอาไว้ตรงนี้ก่อน ไม่ขออธิบายยาวความ
อปัณณกปฏิปทา 3 และวิชชา 8 คืออะไร
_ดช.ธัมมะถามมา… อปัณณกปฏิปทา 3 คืออะไรครับ วิชชา 8 คืออะไรครับ
พ่อครูว่า… ดช.ธัมมะ ประถม 3 ตอบ… อปัณณกปฏิปทา 3 คือ เวลากินข้าว กินขนม กินอาหารต้องระมัดระวัง อย่าตะกละตะกราม อย่าขี้โลภ อย่ากินอย่างไม่ประหยัด ไม่พิจารณา … เอาแค่นี้ก่อน ถ้ากินข้าว กินอาหาร กินอะไรต่ออะไรอยู่ ก็จะต้องระมัดระวัง อย่าตะกละตะกราม อย่าทำเป็นเสียกิริยาเกินไปแย่งเขาอย่างโน้นอย่างนี้ ทำไม่สุภาพ ที่เรานี้มีความ สุภาพหลายอย่าง กินก็รู้จักนั่งกินเรียบร้อย อย่าทำอย่างคนไม่มีการศึกษาที่ไม่ได้สอนกัน เรามีการสอนกัน ที่จริงก็เรื่องกินอาหารนั่นแหละ โภชเนมัตตัญญุตา เรื่องเครื่องกินเครื่องใช้ด้วย แต่เครื่องกินเป็นเรื่องหลัก เครื่องใช้ก็เป็นการสัมผัสแต่ไม่ลึกซึ้งเท่ากับเครื่องกิน
แล้ววิชชา 8 คืออะไร เอาอย่างนี้
วิชชา 8 มีอยู่ 8 ข้อ
1.วิปัสสนาญาณ 2.มโนมยิทธิญาณ 3.อิทธิวิธญาณ 4.โสตทิพย์ญาณ 5.เจโตปริยญาณ 6.บุพเพนิวาสานุสติญาณ 7.จุตูปปาตญาณ 8.อาสวักขยญาณ
วิปัสสนาญาณ คือ ความรู้ในขณะที่สัมผัส ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส โผฏฐัพพะกระทบภายนอก มโนกับธัมมายตนะภายใน แล้วก็พิจารณาแล้วก็เห็นของจริง เรียนรู้ให้รู้ของจริงว่า มันเกิดกิเลส แล้วเราก็ลดกิเลสได้ เมื่อลดกิเลสได้นี่แหละ เป็นญาณข้อที่ 2 เรียกว่ามโนมยิทธิ ญาณข้อที่ 2. คือสำเร็จทางจิต มีฤทธิ์ทางจิต สามารถทำให้กิเลสลดได้ ไม่ใช่เหาะเหินเดินน้ำดำดิน ไม่ใช่ ไม่ใช่ไปหยั่งรู้ใจผู้นั้นผู้นี้ไม่ใช่
เป็นการลดกิเลสได้ เป็น อนุสาสนีย์ ปาฏิหาริย์ เดินน้ำดำดินเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ หยั่งรู้ใจคนนั้นคนนี้ได้เป็นอาเทสนาปาฏิหาริย์ พระพุทธเจ้าเบื่อหน่ายรังเกียจไม่เอา เอาแต่อนุสาสนีฯอย่างเดียว
-
อิทธิวิธญาณ ก็คือการทำอย่างมโนมยิทธิสำเร็จนั่นแหละ มีฤทธิ์อย่างนั้น ที่ลดกิเลสได้นั่นแหละแต่ได้หลากหลาย วิธะ แปลว่า มากมายหลากหลายยิ่งขึ้น เก่งขึ้น ทำได้มากยิ่งขึ้นๆ
-
ก็ยิ่งเจริญเก่งขึ้นละเอียดขึ้นเป็นทิพย์ แม้จะเป็นของที่รู้ยากอยู่ไกลๆ ละเอียดลออ ก็เก่งขึ้นตามลำดับๆๆ เรียกว่า ทิพยโสตญาณ
-
เจโตปริยญาณ 16 คือ ญาณ ที่มีหลัก 16 อย่าง มี 16 ภาษา ตั้งแต่ ราคะ โทสะ โมหะ
เจโตปริยญาณ 16
-
สราคจิต (จิตมีราคะ) 2 . วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ) 3. สโทสจิต (จิตมีโทสะ) ราคะ โทสะ โมหะ 3 อย่างนี้ เราก็ต้องรู้ว่ามันมีกิเลสนี้หรือไม่ แล้วเราก็ทำให้ ราคะ โทสะ โมหะลดลงได้ เรียกว่า วีตะ
-
วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ) 5. สโมหจิต (จิตมีโมหะ) 6. วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ) ทำให้มันดับไป ให้มันลดลงไปตามลำดับ จนถึงขั้นไม่มี
-
สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) เป็นจริตของศรัทธาหรือเจโต สุจริตพุทธิจริต เป็นทางปัญญาก็เป็น 8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)
สายเจโต จะเกาะตัวแน่นและตีไม่แตก ก็ต้องให้รู้ตัวเอง ทำให้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ก็ไม่เจริญ ถ้าเปลี่ยนแปลงได้ก็เจริญ หาก เปลี่ยนแปลงไม่ได้ก็เป็น อมหัคตจิต ถ้าเปลี่ยนแปลงได้เจริญขึ้นก็เป็น 9. มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น) 10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น)
ถ้าทำได้ เจริญขึ้นๆ เราก็จะรู้ว่าจิตเราเจริญขึ้นพัฒนาขึ้นเป็น สอุตตรังจิตตัง
-
สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ) เราจะรู้ว่าเจริญกว่านี้ยังมีอีกเราจะรู้รอบว่า โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นอย่างไร หรือศึกษาเป็นโพธิสัตวภูมิต่อ รอบ อนุโพธิสัตว์ อนิยตโพธิสัตว์ นิยตโพธิสัตว์ จะรู้ความจริงตามความเป็นจริงเก่งได้เป็นลำดับๆไป จะรู้ได้ว่าจบหรือไม่ เป็นรอบๆก็เป็น
-
อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) เป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ สูงไปเป็น อนุโพธิสัตว์ ก็จะรู้รอบรู้กรอบไปเรื่อยๆ ความเป็น อนุโพธิสันตว์ เป็นนิยตโพธิสัตว์ เป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นโพธิสัตว์ระดับ 9 ก็จะรู้จบของตนเองในระดับที่ 9 นั้น เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง หรือแค่เป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างที่อธิบายแล้ว
-
สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว) 14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์) 15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) . . . 16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) . (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 135)