660310 พ่อครูเทศนาภาคค่ำ งานพุทธาภิเษกฯครั้งที่ 47 ปฐมอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1xu95Ipk0GR0Yp2VhioddJvSmmn9jrEbINyVrahuVjyE/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/HtzJhMoulHY
และ https://fb.watch/jaXrDnyoJ6/
หลักฐานยืนยันความจริงที่ถูกต้องตรงธรรมในคำสอนพ่อครู
พ่อครูว่า…เจริญธรรมทุกๆคน วันนี้วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2566 ที่บวรปฐมอโศก แรม 4 ค่ำ เดือน 4 ปีเถาะ ชวด ฉลู ขาล เถาะ ก็เป็นปีที่ 4 เหมือนกันวันนี้ตอง 4 อาตมาก็คงจะได้เทศน์ในงานพุทธาภิเษกฯ วันนี้เป็นครั้งสุดท้าย พรุ่งนี้ก็จะสรุปงานกัน โดยเฉพาะรายการตอนเย็น 6 โมง อาตมาเทศน์ นอกจากพาเปิดงานในตอน 9:00 น ถึง 10:00 น. แล้วก็เทศน์ 6 โมงวันเว้น เดี๋ยวนี้เขาให้วันเว้นวัน ก็ได้ประมาณนี้
แข็งแรงขึ้นมาเต็มที่อีกเมื่อไหร่ล่ะก็ … มันมีเรื่องที่จะต้องพูด ที่จะต้องอธิบายละเอียดลึกซึ้งไป เห็นความละเอียดลึกซึ้งของธรรมะ แต่ก็มีต้น ถ้าเผื่อว่าจับต้นแล้วก็ชนปลายหมด จับต้นแล้วก็มีการสังเคราะห์ สัมพันธ์กันเป็นลำดับ เป็นขั้นเป็นตอน จนกระทั่งถึงปลายสุดจบ จบแล้วก็ยังมีจบหลายจบอีก จบสูงสุดที่สุดก็เป็น พระพุทธเจ้า จบรอบแล้วรอบเล่า ๆ อีก อาตมาก็ยังไม่ถึงจบสุดท้ายสูงสุด ยังมีปณิธานเต็มที่อยู่ที่จะต้องพากเพียรเกิดอีกเกิดแล้วเกิดอีก แม้ตายแล้วชาตินี้ชาติหน้าก็ยังไม่ยอมปรินิพพานเป็นปริโยสาน
รู้หมดแล้วไม่มีปัญหาเลยเพราะว่าได้เข้าใจและดับโลก ดับอัตตา สำหรับโลกตั้งแต่โลกหยาบ โลกอบาย โลกกามารมณ์ โลกรูปารมณ์ แม้แต่โลกอรูปารมณ์ ซึ่งเป็นโลกในระดับต้นในภาษาต้นๆหยาบๆ อาตมาก็เข้าใจตั้งแต่ภายนอกเข้ามาถึงภายใน เป็นรูปราคะ อรูปราคะต่างๆ ย่อยละเอียดไปจนถึงกระทั่งอุทธัจจะ กุกกุจจะ วิจิกิจฉา จนกระทั่งจบด้วยอวิชชา เป็นวิชชา
ก็ชัดเจน เข้าใจหมดทั้งปัญญาและตัวดับ ตัวที่ดับคือ อาการ ลิงค นิมิต ของจิตเจตสิกต่างๆ ก็สามารถทำได้จริง อาตมาก็บอกแล้วอาตมาพูดไป ที่พูดไปนี้เป็นความจริงที่รายงานความจริง ไม่ได้อวดตัวอวดตน แต่มันเป็นเรื่องสูง เป็นเรื่องโลกุตระ เป็นเรื่องธรรมะในระดับอาริยธรรม ที่คนยุคนี้เขาเสื่อมไปจากอาริยธรรม ชาวพุทธเองแท้ๆก็เสื่อมไปจากโลกุตรธรรมเสื่อมไปจากอาริยธรรมของพระพุทธเจ้า ตามที่พระพุทธเจ้าท่านทรงพยากรณ์เอาไว้แล้วใน อาณิสูตร ว่ามันจะเสื่อม อาตมาก็กลับมากอบกู้ นี่ก็พูดซ้ำพูดซาก เคยพูดมาแล้วไม่รู้กี่ที
ก็พูดมาอาตมาไม่มีครูอาจารย์ มีของตนเองและมีหน้าที่ที่จะมากอบกู้มาทำ เป็นไก่ตัวพี่ในชาตินี้ ที่จะต้องกอบกู้โลกุตรธรรมที่มันเสื่อมไปจริงๆตามคำตรัสของพระพุทธเจ้านั้น ยืนยันกันจริงๆ ถ้าผู้รู้แล้วก็ให้พิสูจน์จากสิ่งที่เกิด สิ่งที่เป็นจริง
-
คำสอนของพระพุทธเจ้าเลย ยังโชคดีที่มีพระไตรปิฎก และก็ยังนับถือพระไตรปิฎก ฉบับนี้แหละ ฉบับสยามรัฐที่เราใช้กันอยู่ เป็นพระบาลี ก็ยังถือเล่มเดียวกันอยู่ เชื่อถือกันว่าถูกต้องหมด ใช้ได้ แม้ผู้ไม่รู้ท่านจะบอกว่าจะฉีกทิ้งเท่านั้นเท่านี้ส่วน ก็เป็นเรื่องความไม่รู้ของท่าน แต่ผู้รู้ รู้จริงๆ จะไปฉีกทิ้งทำไมเพราะมันใช้ประโยชน์ได้ แล้วเอามาปฏิบัติได้ด้วย
นอกจากพระไตรปิฎกยืนยันแล้วข้อ 2. ผู้ที่ขยายความ อธิบาย สาธยายเป็นอุเทศเป็นนิเทศต่างๆ จากคำสอนพระพุทธเจ้า จากพระบาลีตัวเดียวกันก็ได้ แต่เอามาอธิบายแล้วต่างกัน
อย่างอาตมาอธิบายต่างกัน อันนี้ก็เป็นข้อยืนยัน พระบาลีอันเดียวกันของพระพุทธเจ้านั่นคือของพระพุทธเจ้าอันเดียวกันนะ ถูกแล้วเป็นของพระพุทธเจ้า ไม่ได้แย้ง เป็นของพระพุทธเจ้าเอง แต่คนชาวพุทธยุคนี้มาอธิบายอย่างนั้น แม้เป็นคณะใหญ่ เป็นผู้ที่ได้เรียนมากรู้มาก จบเปรียญ จบด็อกเตอร์ทางศาสนา จบในนี้ ด็อกเตอร์ในมหาวิทยาลัยพุทธศาสนาเองในเมืองไทย หรือไปจบมาจากเมืองนอก พุทธศาสนาจากเมืองนอก ซึ่งอาตมาก็บอกแล้วว่าคนไปจบพุทธศาสนาจากเมืองนอกมานั้น มันก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะต้องไปเชื่อมั่นได้ว่า มันถูกต้องเพราะว่า ศาสนาของเมืองนอก ผู้ที่สอน อาจจะเป็นพุทธ แต่ไม่ได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เป็นไทย ไม่ได้อยู่ในเมืองไทย
แม้แต่คนไทยที่อยู่ในเมืองไทยก็ไม่ได้เรียนน้อยเรียนต่ำกว่า ที่เขาคร่ำอยู่ในตำราของชาวพุทธเป็นชาวต่างชาติหลายคน อาตมาจำชื่อได้ไม่ค่อยเต็มไม่ค่อยถูก ก็ไม่อยากจะกล่าวถึงเท่าไหร่ ที่เขาอ้างอิงถึงผู้รู้ทางศาสนาพุทธ แล้วก็ยังยึดถือกันมา
ทีนี้ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ทางท่านผู้ที่รู้มาก่อนท่านอธิบายไว้ อย่างที่มีมาก่อนอาตมาจะมาแสดงตัว มาแสดงธรรม ท่านแสดงไว้ว่าอย่างนั้น แต่อาตมามาแสดงตัว มาแสดงธรรมกลับเห็นว่า มันไม่ใช่อย่างนั้น ก็แย้งกัน แย้งกันท่านก็ถือว่าผิด ท่านถือว่าอาตมาผิด จึงมีเหตุการณ์ที่ท่านจะจัดการอาตมา เพราะถืออาตมาว่าจะมาเป็นกบฏต่อศาสนาพุทธ จะมาล้มล้าง จะมาเปลี่ยนแปลง จนเกิดเหตุเกิดเรื่องอย่างที่มันได้เกิดมาแล้ว ตั้งแต่ พ.ศ 2532 พ.ศ.2525 ก็เป็นพันตำรวจตรีอนันต์ เสนาขันธ์ เป็นผู้จุดชนวน พ.ศ 2532 มหาประยุทธ์หรือท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เป็นตำแหน่งของท่านปัจจุบันนี้ เป็นผู้จุดชนวน
เสร็จแล้วจนกระทั่งก็ต้องสู้ไปจนถึงขั้นออกนอกพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า คือไปให้ฆราวาสตัดสินธรรมะพระพุทธเจ้า มันไม่ใช่เรื่องของคดีโลก เป็นคดีธรรม แต่ทางโน้นไปให้ทางศาลของฆราวาสเป็นผู้ตัดสิน ก็ตลกดี อาตมาก็แพ้ เพราะว่าทางโน้นมีพลัง มีอิทธิพล มีอำนาจ มีอะไรต่ออะไรที่เยอะแยะ ซึ่งก็มีเหตุการณ์นะไอ้ตอนแพ้นี่ ผู้พิพากษาจะออกมาอ่าน แต่ก็มีคนที่มาเอาใบที่จะอ่านกลับไป และได้รับใบอ่านมาอ่านใบใหม่ มันมีหลักฐานอยู่นะมันมีภาพมีอะไรให้เห็นอยู่ กับผู้ที่เห็นๆกัน แต่ไม่รู้ว่าตอนนั้นมันมีอะไรถ่ายไว้ โทรทัศน์ก็คงไม่ได้ถ่ายไว้เพราะยังไม่ถึงยุคมีโทรทัศน์กัน แต่คงไม่มีใครไปถ่ายภาพเพราะว่าเขาห้ามถ่ายภาพอยู่ในศาล แต่อาตมาไม่ได้พูดความเท็จหรอก พูดความจริง ก็เห็นลีลานี้อยู่ เห็นผู้พิพากษาก็หน้าตาชอบกลอยู่ มันเป็นเหตุการณ์ปัจจุบันต้องใช้ปฏิภาณปัญญามาก อาตมาก็สงสารผู้พิพากษา ก็ไม่รู้ว่าท่านชื่ออะไร ก็แล้วไป สรุปแล้วก็เป็นผู้ผิด ตัดสินให้ต้องติดคุก แต่รอลงอาญา ก็อยู่นอกคุกไปจน 2 ปีก็จบไป พอ 2 ปีครบแล้ว มันก็หมดคดี หมดคดีแล้ว จะหาเรื่องอีกก็คงไม่ได้แล้วเพราะถือว่าหมดแล้ว
ทางธรรมวินัยนั้น อาตมาก็ยืนยันเด็ดขาดว่าอย่างนี้ และที่สำคัญก็คือที่พูดไปแล้วเมื่อกี้ว่าพระไตรปิฎกพระพุทธเจ้าเป็นหลัก
-
คำอธิบายของ 2 ฝ่าย ทีนี้ก็ข้อที่ 3
3.คนตัดสิน ประชาชนพุทธศาสนิกของศาสนาพุทธเหมือนกันเป็นผู้ตัดสิน แต่ถึงตัดสินนั่นแหละอาตมาก็ยังมีส่วนน้อยอยู่ดีเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นส่วนน้อยอยู่เพราะฉะนั้นจะเอาส่วนปริมาณส่วนน้อยนี้เป็นเครื่องตัดสินก็ไม่ได้
ก็ต้องไปเอาที่ลึกกว่านั้นคือแล้วคำที่อาตมาอธิบายมันเป็นอย่างนี้เช่น คนต้องมาจนต้องมาลด ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ต้องมีวรรณะ 9 แล้วจะเป็นสังคมสาราณียธรรม 6 อย่างนี้เป็นต้น นี่ก็พูดหลายครั้งแล้วย้ำซ้ำซาก ทำได้จริงไหม
วรรณะ 9 คนจะเป็นได้จริงไหม และสาราณียธรรม 6 จะมีชุมชนสังคมแบบนั้นได้ไหม ที่อยู่ด้วยกันอย่างสงบ อบอุ่น อยู่กันอย่าง สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม สูงสุดคือไม่มีตัวตน ไม่ยึดเป็นของตัวของตน
ลาภ ยศ สรรเสริญ ดูชัดๆก็คือวัตถุ ลา ภ ยศ ทำงานแล้วเอาเข้ากองกลาง ตั้งแต่มันมีสิ่งแทนธนบัตร เงินทอง ข้าวของ เพชรนิลจินดา วัตถุ ที่ดิน บ้านช่องเรือนชานอะไรต่างๆ มันลงตัวมันชัดเจนไหมว่าเป็นของกองกลางที่ไม่ได้แย่งได้ชิงกัน ไม่ได้ปล้นได้จี้อะไรกัน ไม่ได้คดีแย่งชิงปล้นจี้อะไรกัน ที่จะเป็นคดีขึ้นโรงขึ้นศาล 40-50 ปี อโศกเราไม่เคยมีคดีขึ้นโรงขึ้นศาลแย่งทรัพย์สินเงินทองแย่งสมบัติ หรือทะเลาะวิวาทตีรันฟันแทง ขึ้นโรงพัก ขึ้นศาล 50 กว่าปีไม่มีสักคดี
สิ่งเหล่านี้แหละคือพฤติกรรมแท้ของมนุษย์ อันนี้เป็นอีกข้อหนึ่ง ที่จะยืนยันตัดสิน ที่ประชาชนแม้แต่คณะใหญ่ ที่ยังอยู่คนละฟาก ที่แยกกัน โดยท่านก็เข้าใจว่า ท่านเป็นนิกายแล้วท่านก็มาผลักให้เราเป็นนิกาย
คำว่า นิกาย มันผู้ใดที่ทำนิกาย หรือทำให้สงฆ์แยกกัน มันมีอนันตริยกรรม ไม่ต้องมา บอก อาตมาไม่ทำและอาตมาก็ไม่ได้ทำ พูดว่าไม่ทำ อาตมาจะไม่ทำนิกายและอาตมาก็ไม่ได้ทำนิกาย แต่ท่านทำนิกายกัน หลายอันอาตมาไม่ลงรายละเอียด ที่แสดงเห็นว่าท่านออกนอกธรรมวินัยพระพุทธเจ้า ทำไปโดยอำนาจบาตรใหญ่ ให้ประชาชนเห็นความแยกนะ ไม่ลงไปที่นานาสังวาส
คำว่า นานาสังวาส เป็นศัพท์วิชาการของพระพุทธเจ้าสูงสุด สังวาส แปลว่า ร่วมกันอยู่เป็นพุทธร่วมกันอยู่นะ แต่มันมีความแตกต่างกัน นานา ไม่ใช่กายต่างกัน
นิกาย คือ กายต่างกัน อันนี้มันหยาบ มันแรง เพราะ คำว่า กาย มันกินความลึกมาก และอาตมาก็มั่นใจว่าทางเถรสมาคมนั่นแหละได้เสื่อมไปจนกระทั่งเข้าใจคำว่า กาย ผิด มิจฉาทิฏฐิในคำว่ากายแล้ว จึงไม่บรรลุธรรม เพราะคำว่ากายนั้นถ้าเข้าใจผิดไปแต่ต้นเท่ากับกลัดกระดุมเม็ดแรกผิดเลย คุณปฏิบัติธรรมไปอีก กลัดกระดุมเม็ดต่อไปก็ยิ่งผิด และมันไม่ได้ผิดเพียงแถวเดียวเท่านั้น มันจะผิดเป็นปากกรวย มันจะบานออกไปเรื่อยๆเลย
พอผิดคำว่า กาย มาพิจารณาสติปัฏฐาน 4 มีกายในกาย มันก็ออกไปเลอะเทอะไปหมด ความเป็นกายในต่างๆในพระบาลีมีเยอะ ไปเปิดพจนานุกรมบาลีดูสิ คำว่ากาย มีความหมายต่างๆนานา กายกลิ กายปัสสัทธิ กายปาคุญญตา กายลหุตา กายกัมมัญญตา กายอะไรอีกเยอะแยะ มันมีนัยยะสำคัญที่ต่างกันมากมายในคำความเป็นกาย พอผิดแล้วก็เลอะหมดเลย
เมื่อกายผิด กายหยาบกว่า ผิด จิตก็ต้องผิดด้วย มันก็ยิ่งไปกันใหญ่เลย เพราะฉะนั้นก็เอาปัจจุบันธรรม แล้วพวกเราปฏิบัติตามที่อาตมานำพามา 40-50 ปีมาก็มีกลุ่มหมู่ เป็นกลุ่มสาราณียธรรม 6 เป็นชุมชนที่เป็นสาราณียธรรม 6 ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า อยู่เป็นชุมชนที่มีความรักกัน ระลึกถึงกัน เคารพกัน มีความอบอุ่น เอื้อเฟื้อเจือจาน ทำมาหากิน ช่วยเหลือกันและเอาเข้าสู่กองกลาง ทุกคนก็ปฏิบัติตนให้มีคุณสมบัติ วรรณะ 9 เป็นคน เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) แม้แต่ที่สุดเป็นคนมีน้อยที่สุดเป็นศูนย์ก็พอ แล้วเป็นคนขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) มีจิตเป็นพระอรหันต์ก็ขัดเกลากายวาจาอีก เป็นโพธิสัตว์ระดับ 5 ระดับ 6 ระดับ 7 ขึ้นไปอีกอย่างนี้เป็นต้น
อาตมาก็นำพาประพฤติปฏิบัติอธิบาย แล้วพวกเราก็มีฐานจริงพวกนี้ แต่มันไม่ใช่จะดูกันออกง่ายๆว่าใครสูงระดับไหน ไม่พึงพูดเล่น พูดผิดมันอาบัติหนัก เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครพูดเล่นในชาวอโศก ไม่มีใครอวดดิบอวด คนที่อวดดิบอวดดีก็แยกออกไปแล้วก็เป็นธรรมชาติธรรมดามีความที่เป็นเศษบกพร่อง error เศษตกเศษหล่น ก็มีบ้างแต่มีน้อย 5 คนจะถึง 10 คนหรือเปล่าก็ไม่รู้ที่อยู่ด้วยกัน โดยเฉพาะนักบวช
นี่คือหลักฐานยืนยัน เอาอันนี้เป็นตัวแท้ อาตมาเห็นอันนี้ถึงความจริง นอกจากจะมาปฏิบัติได้แล้วมันยังมีความจริงอีกอัน ได้แล้วจิตบรรลุมันไม่ฝืน มันไม่ยากไม่ลำบาก มันสบายๆ มันประพฤติได้โดยไม่ต้องเกร็ง ไม่ต้องไปสังวรระวังแล้ว มันเป็นอัตโนมัติเลยก็ได้ มันจริงไหม
ก็มาพิสูจน์ มายืนยันตรวจสอบความเป็นจริงเหล่านี้กัน มีให้ตรวจสอบได้ตลอดเวลา มี และอาตมาก็มั่นใจว่านอกจากมีแล้วนี่ ไม่สูญ อาตมาตายไปแล้ว คณะนี้ก็ยังอยู่ ซึ่งมีคนเขาบอกว่า โอ้ย สำนักแต่ละสำนักนี่ถ้าหัวหน้าตายลง สำนักนั้นก็ค่อยๆเสื่อมๆๆๆ อยู่ไม่นานหรอก
จริง ถ้ามันไม่ใช่โลกุตรธรรมแท้ๆ มันก็ต้องเสื่อมในเวลาไม่นานนัก แต่ถ้าเป็นโลกุตรธรรมแท้แล้วนาน แต่ก็อีกแหละ โลกุตรธรรมถึงจะอยู่นานเท่าใดก็ต้องเสื่อม เสื่อมไปก่อนโลกียะที่เขาหลงอยู่ใน ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อันนั้นมีครองโลก โลกียธรรมที่หลงเสพติด ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มันมีตลอดนิรันดร มันไม่เสื่อมไปไหน ประชากรเพิ่มขึ้นมันก็มีเพิ่มขึ้น นอกจากจะมีประชากรของศาสนาอื่น มาแย่งเอาศาสนิกของพุทธนี่แหละไป
แต่พุทธแม้จะเป็นโลกียะก็ไม่ไปอื่นเขาง่ายๆ ชาวพุทธทุกวันนี้ในสังคมปัจจุบันนี้ พ.ศ. 2566 มีชาวพุทธอยู่ในประเทศไทย 95% แต่เป็นอาริยะหรือเป็นผู้ที่มีโลกุตรรธรรม พูดให้ชัดก็คือมาเป็นชาวอโศก ถึง 10 %ไหม ไม่ถึง 10% แต่แน่นอนโลกุตรธรรมไม่มีในศาสนาอื่นใดในโลก มีอยู่ในนี้เท่านั้น และคุณสมบัติ คุณวิเศษ คุณธรรมของศาสนาพุทธ เป็นพฤติกรรมที่โลกกำลังต้องการ ด้วยลึกๆกำลังต้องการแต่เขารู้ยาก รับได้ยากเอาไปปฏิบัติตามได้ยาก เพราะลึกซึ้ง คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องไม่จริง จริงตรงตามคำตรัสนี้ทั้งนั้น อาตมายืนยันว่าอาตมาเป็นคนพูดความจริง ความไม่จริงอาตมาพูดไม่เป็น พูดแล้วคนเขาฟังแล้วหมั่นไส้ สำหรับคนที่เขาไม่มีภูมิปัญญาพอที่จะเข้าใจความจริง อันซื่อสัตย์บริสุทธิ์อันนี้ เขาฟังแล้วเขาก็หมั่นไส้ เข้าใจไม่ได้ ก็บังคับเขาไม่ได้หรอกอันนี้ เกิดความไม่เข้าใจแล้วก็ความไม่เชื่อถือ ดีไม่ดีก็ไม่รับไม่เอา มันก็เป็นธรรมชาติ มันไม่ประหลาดอะไร
อาตมาทำงานศาสนา อาตมาไม่ได้ต้องการว่าใครจะเอาหรือไม่เอา แล้วก็จะมีอะไรจะเอาอะไรมาตอบแทน จะเอาทรัพย์ศฤงคาร เอาวัตถุสมบัติ เอาตำแหน่งยศศักดิ์ เอาคำสรรเสริญเยินยอยกย่องมาให้ หรือนามธรรมขั้นเอาสุข เอาความสุขมาให้อาตมา
ไอ้ความสุขมันให้กันไม่ได้หรอก ของใครก็ของมันที่จะยึดถือของตนเอง แล้วก็ยึดถืออย่างนี้ไว้ จนกระทั่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า คนที่ไปยึดถือความสุขนั่นแหละคือคนที่ไปยึดถือความทุกข์ เพราะสุขทุกข์มันเป็นอันเดียวกัน มันเป็นมายา สุขมันเป็นมายาของความทุกข์ ทุกข์นี้เป็นมายา เป็นผี เป็นมาร แล้วคนก็ไปยึดทุกข์ว่าเป็นความสุข นี่คือความจบคำจบ ไม่มี เหมิดคำเว้า ไม่มีคำจะพูดอีกแล้ว ภาษาไม่มี มีแต่สภาวะอันนี้ ถ้าใครเข้าถึงสภาวะนี้ไม่ได้ ก็ต้องงงแน่ เพราะว่าไม่มีภาษาจะบอกสภาวะอันนี้ ภาษามันเป็นคำย้อนแย้งกัน ที่อาตมาขึ้นต้น เป็นภาษาที่มันเหมือนหลอกลวงมายา แต่มันไม่ใช่ มันเป็นสิริมหา มันไม่ใช่มายา แต่มันเป็นลักษณะเหมือนมายาแต่มันเป็น สิริ มันเป็นมหา มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดครบหมด ยิ่งใหญ่
แก่นหัวใจประชาธิปไตยโลกุตระ
นี่คือลักษณะสภาวธรรมจริงในคน มีภาษายืนยันหลักฐาน คำตรัสของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า พระอนุสาสนี อันนี้คือปาฏิหาริย์ พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างไร ตรัสไว้ในเรื่องสาราณียธรรม 6 อาตมาเอามาทำได้ นี่คือปาฏิหาริย์ ตรัสเรื่องวรรณะ 9 อาตมาพามาทำได้แล้วก็ยืนยัน
และอธิบายรายละเอียดไปถึงขั้นมาจน ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านก็มีบารมีของท่านรู้ แต่ท่านก็พาคนมาจนอย่างอาตมาพามาเป็นยังไม่ได้ เพราะมันไม่ง่าย แต่ท่านรู้แล้วท่านยืนยัน แต่คนเข้าใจไม่ได้ แล้วก็เลยไม่ค่อยมีใครทำตามท่าน แม้แต่ข้าราชบริพาร ข้าราชการผู้รับหน้าที่สืบช่วงต่อ ก็ขยายไม่ออก นำพาทำไม่ออก เพราะตัวเขาก็ยังทำไม่ได้
แต่ในอนาคตพวกเราจะไปเป็นข้าราชการ ยังไม่เรียกว่าข้าราชบริพารนะ เป็นข้าราชการจะเข้าไปทำในอนาคต ข้าราชการมีทั้งข้าราชการประจำ กับข้าราชการจร
ข้าราชการจร คือนักการเมือง ข้าราชการประจำคือผู้ที่เข้าไปทำงานให้รัฐบาลแล้วก็รับเงินเดือนจากรัฐบาล แต่พวกเราจะไม่เข้าไปทำงานรับเงินเดือนจากรัฐบาลง่ายๆ เป็นคำปลายเปิดนะ อาจจะไปทำในอนาคต แม้แต่พวกเราขณะนี้มีข้าราชการอยู่บ้าง และรับเงินเดือนอยู่บ้าง
เช่น ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านเป็นข้าราชการรับเงินเดือน แต่เงินเดือนก็เอามาเข้ากองกลาง อย่างนี้เป็นต้น นัยยะลึกๆ นัยละเอียดซับซ้อนพวกนี้แหละ นักวิจัย ผู้รู้ ในอนาคตจะมา วิจัยสอบถาม
ขณะนี้พวกเราได้ตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา ชื่อว่าพรรคสัมมาธิปไตย เพื่อจะปฏิบัติค่อยๆก้าวหน้าไป ไม่ได้เป็นพรรคการเมืองไปแย่งลาภยศ ไปแย่งอำนาจ ไปแย่งตำแหน่ง แม้แต่ไปแย่งสรรเสริญ ที่เป็นโลกียะ ไม่ได้ทำทางนั้น ที่อาตมาพาทำ ตั้งเพื่อให้สอดคล้องกับทางโลกเขา เช่น อาตมาให้พวกเราไปเรียนปริญญาโท ปริญญาเอก ก็จบปริญญาโท ปริญญาเอก ออกมาเรื่อยๆ แต่จบมาแล้วไม่ได้เอาตำแหน่งยศศักดิ์นี้ไปแลกเอาเงินเดือนเงินดาวจากรัฐบาล ไปทำงานกับรัฐบาล หรือแม้แต่ไปทำงานรับใช้ที่อื่นเขาที่เป็นชาวข้างนอก ไม่ใช่ชาวอโศกเอง
เพราะฉะนั้นชาวอโศกที่จบด็อกเตอร์ คุณสมบัติที่จบด็อกเตอร์เอง ก็อยู่ในชาวอโศก ไม่ได้รับเงินเดือนเงินดาว ได้ตำแหน่งเป็นด็อกเตอร์ ก็มีหลายสิบคนอยู่ แล้วเราก็ไม่ได้นิยมที่จะขานนำหน้าชื่อเป็นดอกเตอร์อะไรกันนัก แต่ก็ขานอยู่บ้าง บอกให้พอรู้บ้าง แต่ก็ไม่ได้ขานกัน บางคนก็ไม่รู้ว่าใครเป็นดอกเตอร์ แต่ก็จบด็อกเตอร์ แล้วก็ทำงาน ก็มีความรู้ได้มาเอามาประกอบเป็นองค์ประกอบที่จะใช้งานเป็นเขาเป็นเรา มันก็ทำ จุดร่วมสงวนจุดต่างอะไรไป ก็เป็นผลไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้น ก็บอกทิศทางของพรรคการเมืองสัมมาธิปไตยกันกับพวกเราได้ เช่น เขาให้สมัคร ส.ส ถ้ามีกฎหมายบังคับเราก็จะต้องเอาไปไม่ให้ผิดกฎหมาย แต่ไม่ได้คิดว่าจะต้องไปหาเสียงอย่างที่ว่า ต้องเลือกฉันนะ ต้องลงทุนลงแรงเอาเงินทองไปโฆษณาหา เราถือว่าประชาธิปไตยหาเสียงยังไม่ใช่ประชาธิปไตยแท้ การยังหาเสียงให้ตัวเองไม่ใช่ประชาธิปไตยแท้
แต่นักประชาธิปไตยแท้ คือ ทำงานกับประชาชนเลย ทำไปไม่ต้องหาเสียง ประชาชนเขาเห็นว่าเราทำงานจริง เขายอมรับนับถือ ก็บอกว่าคนนี้จริง ทำงานจริงเขาก็เลือก หรือไม่เลือกไปแพ้การหาเสียงให้การหาเสียงชนะ ก็ชนะไปสิ
หาเสียงต้องลงทุนลงแรง แล้วต้องลงความคิดด้วย วิธีการอย่างไร มันจะต้องได้คะแนนเสียงมากอะไรต่ออะไร นี่ไม่เกี่ยว คะแนนเสียงไม่มากก็ไม่เป็นไร เพราะแม้เขาไม่เลือก เราสมัครเป็นข้าราชการ
สมมุติว่า เราเป็นพรรคการเมืองแล้ว แล้วเราก็ไม่ได้ ส.ส สมาชิกของพรรคการเมืองเราที่เข้าไปรับหน้าที่ เราจะมีคณะกรรมการ คณะรับผิดชอบในพรรคไปทำงาน หรือแม้แต่ผู้นี้ไม่ได้รับตำแหน่งที่พรรคแต่งตั้งก็ตาม สมาชิกพรรคก็จะไปช่วยกันทำงาน ทำงานกับประชาชน
ทำงานกับประชาชนคืออะไร คือเราไปช่วยเหลือเกื้อกูล ในส่วนที่เราควรจะช่วยได้ ตั้งแต่วัตถุ วัตถุเราไม่มี เราไม่รวย แน่นอนเงินทองนั้นไม่มีแน่ จน แน่นอน เพชรนิลจินดาก็ไม่มี แฝงเงินทองทรัพย์ศฤงคารไปอยู่ในลักษณะหุ้นก็ไม่มี หุ้นนั้นเป็นเรื่องของทุนนิยมซ้อนแฝง หลอก อะไรหลายอย่าง แม้ที่สุดไปเล่นอะไรที่เหมือนกับการพนัน คือการประกันภัย มันก็เป็นการพนันชนิดหนึ่ง ประกันภัยนั้นเป็นการพนันชนิดหนึ่ง หุ้นก็เป็นการพนัน เราก็ไม่เอาไม่เล่น เล่นแชร์เล่นหุ้นก็ไม่เล่นทั้งนั้น
แม้แต่เราให้เขา เรายังให้ แล้วจะไปเอาแชร์ไปเล่นชนะเล่ห์เหลี่ยมอะไรต่ออะไร เสียแคลอรี่ เสียเวลา ความคิดที่จะไปเอาชนะแชร์ เอาชนะหุ้น เอาชนะประกันภัย ป่วยการ ไม่ต้องไปเสียเวลา
ทีนี้ผู้ที่มีหน้าที่โดยตรงที่ไปทำงานทางการเมือง อาตมาต้องขอขอบคุณไว้ล่วงหน้าเลยว่า ผู้ที่ไปร่วมรับหน้าที่แล้วจะไปช่วยให้มันเกิดเป็นรูปเป็นร่าง ของพฤติกรรมของนักการเมือง ทำงานกับประชาชน มันมีอย่างนี้ พวกเราทำงานร่วมกันอยู่ในมวลสมาชิกเรา อย่างชาวปฐมอโศกก็ทำงานสร้างสรรค์ ปลูกผักปลูกพืชเป็นหลัก เราจะมีร่วมงานทำยาที่โรงงานทำปุ๋ยเราก็ช่วยกันทำ มีโรงงานผลิตไอ้โน่นไอ้นี่เป็นสินค้าเป็นผลผลิต เราก็ช่วยกันทำ เป็นสิ่งที่ไม่ได้มอมเมา เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์คุณค่า เป็นสาระแก่นสารให้แก่มนุษยชาติ เราทำ เสร็จแล้วทำก็ทำอย่างสาธารณโภคี
คณะผู้ที่ไปรับหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ทางการเมืองของพรรคสัมมาธิปไตย เข้าไปทำร่วมกับเขา เขาจะมีอย่างไรก็ต้องสดับตรับฟัง ในเรื่องวงการการเมืองเขา หลักเกณฑ์นั้นต้องทำแน่นอน ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ แล้วก็จะต้องทำพฤติกรรมกับนักการเมืองเขา แต่ทำอย่างอุดมคติของเรา
อุดมคติของเรา นักการเมืองหรือประชาธิปไตยแท้ๆ แบบของพระพุทธเจ้า
-
ไม่มีตัวตน 2. ซื่อสัตย์ 3. รับใช้ประชาชนจริงๆ 4. มีความรู้มีสมรรถภาพ มีสมรรถนะ ที่จะไปทำงานช่วยเหลือประชาชน ไม่ใช่ไม่มีฝีมือไม่มีความรู้อะไรเลย เอา 4 ข้อนี้ก็เหลือกินแล้ว ยืนยันว่ามีในเราไหม ตามที่อาตมายืนยันว่า สิ่งนั้นที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ สิ่งนั้นก็มีในเรา เราก็พูดตามที่เรามีจริง ยถาวาที ตถาการี ก็ไปทำ
รายได้ก็เอาไปเข้ากองกลาง คณะพรรคการเมืองเขา เขาก็พยายาม จะเอาเงินดาวน์เงินเดือนจากพรรค
ภาพ insert มีขึ้นโลโก้ของพรรคสัมมาธิปไตย พ่อครูท้วงว่า โลโก้นี้มีธงชาติอยู่ข้างบนซึ่งเขาไม่อนุมัติ เราก็อย่าไปทำผิด คือต้องไปขออนุญาตอีกสถานที่หนึ่งให้ใช้ธงชาติไทยใส่เข้าไปได้ ถ้าเราทำได้แล้วเราก็ใส่ ถ้ายังทำไม่ได้เราก็ไม่ต้องใส่ อย่าไปทำผิด มีแต่เลข 0 เลข 1 เลข 2 แล้วก็มีรูปหัวใจตั้งไว้อย่างนั้น ก็เป็นโลโก้ของสัมมาธิปไตยแล้ว
มันขยายความบางทีอาตมาก็ คืออาตมาไม่เก่งในพฤติการณ์ของนักการเมืองของไทย ประชาธิปไตยของไทย พฤติการณ์ของเขาต่างๆ อาตมาไม่เก่งทีเดียว เพราะฉะนั้นอาตมาจึงพูดรายละเอียดลงไปยังไม่ค่อยได้ ก็ค่อยๆพยายามศึกษาอยู่ พยายามที่จะรู้เขาแล้วก็เห็นว่าควรจะต้องไปถึงอย่างไรก่อน ก็แนะนำ แต่พวกเรานั่นแหละจะเป็นผู้ที่รู้ เพราะเป็นผู้ไปคลุกคลีด้วยจะทำได้มากกว่าอาตมา เป็นตัวจริง อาตมาเป็นแต่เพียงตัวดูๆ จะช่วยแนะนำ จะเรียกโก้โก้ว่าเป็นที่ปรึกษา ก็เป็นที่ปรึกษาอายุมากๆแล้ว พวกเราก็อยู่ในวัยที่กำลังทำงาน 40-50-60 ก็ยังทำได้ 70 ก็อาจจะมีบ้าง ยังมี ช่วยกันไป
เอาล่ะก็ขอพูดเอาไว้แค่นี้ก่อนว่า พวกเรานี้มีหลักในหัวใจแล้วว่า
1.ไม่มีตัวตน นี่เป็นภาษาพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ 2. ซื่อสัตย์ 3. รับใช้ประชาชน 4. มีความรู้ มีสมรรถนะที่จะทำงานกับประชาชน ให้เกิดประโยชน์คุณค่าแท้ 5. คิดออกตรงนี้ ก็ต้องไปรับทราบ ความจำเป็น ความสำคัญ ความต้องการของผู้ที่ควรจะต้องได้รับการช่วยเหลือ ข้อ 5 นี้ยังไม่ได้สรุปคำ พูดความหมายรายละเอียดเอาไว้แล้ว ค่อยไปสรุปคำ ชัดๆ คำที่พอจะสื่อได้ว่ามันมีความหมายอันนี้ คือผู้ควรได้รับความช่วยเหลือนี่แหละ นั่นก็เป็นหน้าที่ของเรา
5 ข้อเท่านี้แหละ ทำให้ลึก ทำให้ตรง ทำให้ละเอียด เพื่อยืนยันแก่นแกนของความเป็นประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้า ส่วนประชาธิปไตยของโลกนั้นมันเป็นประชาธิปไตย
-
ประชาธิปไตยทุนนิยมสามานย์
-
ประชาธิปไตยเล่ห์เหลี่ยมร้ายกาจ
-
ประชาธิปไตยเลวสุดคือมีทั้งทุนสามานย์และมีทั้งเล่ห์เหลี่ยมร้ายกาจ
ขณะนี้มีอยู่ในเมืองไทย มีตัวอย่างอยู่ในเมืองไทย ไม่ออกชื่อใครไม่รู้ก็โง่เอาก็แล้วกัน นักการเมืองที่เต็มไปด้วยคุณสมบัติ ไม่ใช่คุณ แต่เป็นโทษสมบัติ เลวสมบัติ ทุนนิยมสามานย์กับเล่ห์เหลี่ยมเลวร้ายกาจ
เล่ห์เหลี่ยมเลวร้ายกาจนี้มันเหมือนความฉลาด ใช่ที่มันเป็นความฉลาด แกมโกง เป็นความฉลาดทุจริตเลวร้าย ใช่ เขาใช้อย่างสำคัญเลยนะ
ขณะนี้ ว่ากันจริงๆเขาใช้เล่ห์เหลี่ยมนี้สำคัญ แล้วใช้มากกว่าจ่ายทุนรอนอีกนะ ได้ข่าวว่า ขี้เหนียวน่าดูเหมือนกัน แต่เล่ห์เหลี่ยมนี้ โอ้โห.. ไอ้ลิ้น สัตว์ประเภทที่มันออกมาปั๊บ ไม่รู้กี่แฉกนั่นแหละ มันตวัดปั๊บๆๆ
ตระหนี่กับประโยชน์สูงประหยัดสุด มันคนละเรื่องกันนะ ไม่ลงรายละเอียดแล้ว พอ เพราะฉะนั้นเรายังจะมีเวลาเวลาไม่มีหมด มี ตราบที่พระอาทิตย์และจักรวาล ยังคงอยู่ เราอยู่จักรวาลน้อยโดยมีนพเคราะห์ 9 ดวง มีพระอาทิตย์ 1 ดวงยังไม่แตก ยังไม่แยกส่วนของจักรวาลนี้ไป เอาแค่นี้ก็พอ ไม่ต้องไปเอาจักรวาลใหญ่ มีพระอาทิตย์ 2 ดวง มีดาวอีกมากกว่า 9 ดวง ไม่ต้องไปเอาอย่างนั้นหรอก เอาแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน ก็เหลือกินเหลือใช้แล้วในความเป็นชีวิต เราจะรู้ว่าเราทำประโยชน์อะไรได้ในความเป็นมนุษย์ และเราจะพ้นทุกข์ หรือเราจะอยู่กันอย่าง อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ
แล้วคำเหล่านี้มันเกิดมาในยุคนี้ มีคนตู่ว่า อาตมาบัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ อาตมาไม่แย้ง ก็ใช่ แต่ที่อาตมาบัญญัตินี้ไม่ได้ออกนอกโครงสร้างศาสนาพระพุทธเจ้าเลย แต่มันเหมาะสมกับยุคสมัยเป็นมหาปเทส 4 อันนี้ที่อาตมาใช้คำตั้งภาษาขึ้นมาหลายภาษา เป็นภาษาไทยๆหรือภาษาบาลีบ้าง ผสมส่วนนิดๆหน่อยๆ เพื่อให้เข้าใจสื่อสารความหมายได้ว่า
อิสระคืออะไร อิสระก็คือเป็นภาษาทางบาลีอยู่ แต่คนเข้าใจหมดแล้ว
สบายก็มาจากบาลีคือ สัปปายะ คือสงบ สงบก็อยู่ในส่วนของบาลีเหมือนกัน อาตมายังไม่อยากอธิบายลงไปเยอะ
ส ง ป ตัวบาลีไม่มีบใบไม้ สงบ อบอุ่น ภาษาไทย อิ่มเอมภาษาไทย เกษม เป็น ภาษาสันสกฤต ภาษาบาลี เขมะ เขมัง แต่คนเข้าใจดีมีความเกษมใส คือมันสบายใจรวมมาหมดเลยในนั้นมาอยู่ในมงคลสูตร ก็ไปอยู่เป็นคำสุดท้ายของมงคล 38 เขมัง เป็นคำสุดท้าย สุดยอดของมงคลหรือดีที่สุดแล้ว สุดยอดแล้ว เขมังหรือเกษม
แล้วตบท้ายด้วย มีใจเกื้อกูลอีก แล้วเพิ่มพูนการเสียสละอีก
เพราะฉะนั้นใครจะมาขัดแย้งว่า คนที่มีใจเกื้อกูล แล้วยังเพิ่มพูนพลังเสียสละอีก ให้มันมีจริงให้มันเกิดเพิ่มพูนการเสียสละให้ได้ ใครจะบอกว่าเลวไม่ดีก็พูดไปเถอะ แล้วก็พูดตรงความหมายอันนี้กัน จะแปลเป็นภาษาอื่นๆก็คือความหมายนี้แหละ เพิ่มพูนเสียสละคืออะไร ภาษาอะไรก็แล้วแต่ ภาษาอังกฤษ ภาษาแขกก็ว่าไป มันเลวไหมล่ะ
มันไม่ใช่ทำง่ายๆ สำคัญว่า เราทำจริงไหม เราจริงไหม เพราะฉะนั้นอาตมาจึงไม่อยากตาย อยากจะนำพาพวกเรา ที่มีฐานรากของจิตเป็นประธานแล้ว เป็นผู้ที่ตัวตนไม่มีหรือน้อยแล้ว ซื่อสัตย์แล้ว และก็ช่วยผู้อื่นแล้ว รับใช้ผู้อื่นแล้ว และก็มีความรู้ความสามารถ ไม่ใช่มีความรู้ความสามารถโดยปากเปล่า มีความรู้ความสามารถจริง มีพฤติการณ์พฤติกรรม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มีสมรรถนะ มีความรู้
ทีนี้ความรู้จนกระทั่งว่าจะไปเปรียบเทียบกับโลกเขาว่าจะต้องมีใบรับรอง เป็นใบปริญญา เราก็เอาผู้ที่สามารถทำได้ทำมา ไม่ได้ทำมาอวดมาอ้างแต่ทำเพื่อยืนยันว่าเราก็รู้เราก็อยู่ในเกณฑ์ของพวกคุณอยู่ เพราะฉะนั้นในพรรคการเมืองของเรานี่ พรรคสัมมาธิปไตยนี้ จึงมีดอกเตอร์อยู่ไม่น้อย ที่จะร่วมทำในนั้น
ไม่ใช่ต้องการอวดอ้าง แต่ก็ต้องยืนยันกับเขา เพื่อให้รู้ว่าเราเองก็พออยู่ในเกณฑ์ที่ไม่ใช่ว่าเอาคนขุดมาจากไหน ไม่มีหลักมีฐานอะไรรองรับ แต่นี่หลักฐานของสากลประเทศรองรับ บ้างก็จบมาจากต่างประเทศ บ้างก็จบด็อกเตอร์อยู่ในประเทศไทย แต่พวกเราจบด็อกเตอร์อยู่ในประเทศไทยมากหน่อย เพราะเราไม่มีสตางค์ส่งไปเรียนดอกเตอร์เมืองนอก ผู้ที่จบเมืองนอกมาก็เป็นส่วนเงินทุนของเขาหรือทุนอื่นๆ เราก็ไม่ได้มีทุนไปสนับสนุนไปเมืองนอกเพราะมันแพง นอกจากไปได้ทุนส่วนตัว จากรัฐ จากโน่น จากนี่ก็ว่าไป
ฉะนั้นเราก็สนับสนุนให้เรียนดอกเตอร์อยู่ ปริญญาโทเรียนไป สนับสนุน ไม่ใช่ไปได้แล้วก็เอาไปรับใช้ ไปแลก ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ทางโลก ไม่ใช่ แต่เอามาทำงานให้กับประชาชน
เพราะฉะนั้น การทำพรรคการเมือง การจะประพฤติกับสังคมประเทศ เป็นพฤติการณ์ของนักการเมืองก็จะเป็นแบบของเรา เหมือนอย่างเรานี้เป็นสังคม สังคมเราก็มีพฤติการณ์ของความเป็นสังคม แล้วก็มีเศรษฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจ ก็เป็นอย่างของเรา เป็นเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจก็เป็นอย่างของเรา อธิบายยืนยันอย่างพวกเรา เราพูดอย่างไร เราก็ทำอย่างนั้น
แม้แต่การเมืองก็จะเป็นอย่างของเรา ที่เรามั่นใจว่า เป็นอย่างพระพุทธเจ้าพาเป็น อาตมาเขียนปัญญา 8 ยังไม่เสร็จ พยายามอยู่นี่จะให้มันจบ แก้แล้วแก้อีก บอกตัวเองว่าให้พอแล้ว มันก็อดแก้ไม่ได้ มันขึ้นไปหน้า 700 กว่าแล้ว แต่ยังมาทวน rewrite อยู่อีก แต่ก็ได้เพียง 200 กว่าหน้าเอง ก็พยายามจะให้มันเร็ว เดี๋ยวจะได้ตัดเล่ม 3 ออกไป และมันจะเกินไปอีกเป็น 500 600 700 หรือเปล่า นี่ตัดเล่ม 3 ออกไปแล้วนะ ยังเหลือเล่ม 3 ยังไม่ออกมา
จบปัญญานี้แล้ว อาตมาเขียน “ประชาธิปไตยไทย”เอาไว้ ได้ร้อยกว่าหน้า ยังไม่ได้ทวนเลย ยังไม่ได้ไปเปิดดูอีกที แต่ก่อนนี้ก็เป็นความคิดอย่างนั้น มาถึงวันนี้ต้องแก้อีกแน่นอน ต้องไปขึ้นต้นใหม่หน้า 1 ใหม่อีกแล้ว ทวน ประชาธิปไตย ขยายอีก ก็คิดว่าจะไม่ให้มันยาวนัก เพราะถ้ายาวเกินไป คนไม่ค่อยอ่านหนังสือยาวๆกันแล้วเดี๋ยวนี้ อ่านสั้นๆๆๆ ยาวๆเขาไม่ยอมอ่าน เพราะฉะนั้นก็ไม่เอายาว เอาอย่างพอสมควร อย่างสั้นนี่แหละ
สรุปรวม 13 สูตร ในพระไตรปิฎกเล่ม 9
เหลือเวลาอีกเกือบชั่วโมง อาตมาว่าจะมา
สรุปรวม พระไตรปิฎกเล่ม 9 ที่มีอยู่ 13 สูตร สรุปมาแล้วจะขยายไปเท่าที่ได้ในงานนี้
ฟังที่สรุปสั้นๆไว้ก่อน อ่านโครงสร้างสั้นๆก่อน
-
พรหมชาลสูตร สูตรนี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสบอก มิจฉาปฏิบัติ 62 ที่มีแต่อดีต 18 และอนาคต 44 คือ ผู้ทำเจโตสมาธิ เป็นสมาธิโลกียะทั่วไป ของสามัญดาดดื่นที่เขาเป็นกัน โดยเขาทำตามที่ระลึกเอาจากอดีตขันธ์ และอนาคตขันธ์ เท่านั้น ไม่มีปัจจุบันชาติ ที่เป็นทิฏฐธรรม จึงไม่มีนิพพาน เพราะ สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายไม่ได้ ก็ไม่มีอะไรเกิด ตาย จริง
อาตมาสรุปไว้แค่นี้ในนี้ อ่านแค่นี้ก่อน แล้วค่อยมาทวนอีกที
2 . สามัญญผลสูตร คือสัมมาปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ซึ่งครบๆ ก็คือ จรณะ 15 วิชชา 8 แต่ว่า สามัญญผลสูตรนี้ยังไม่ได้กล่าวถึงคำว่า จรณะ 15 วิชชา 8 หรือ วิชชาจรณะสัมปันโน
-
อัมพัฏฐสูตร คือ วิชชาจรณะ ซึ่งจะสัมปันโนจริง ก็ต้องสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธ เกิดผลจนกระทั่งบริบูรณ์จริง ซึ่งปฏิบัติได้ทั้งนักบวช ทั้งคฤหัสถ์ ที่อยู่ในบ้านในเมืองเป็นปกติสามัญ ไม่ต้องออกป่า หนีผู้คน ไม่ต้องไปหนีผู้คนอะไร หรือต้องมีสถานที่เฉพาะ หลับตาปฏิบัติแบบเดียรถีย์ อันอย่างนั้นมันคือนอกพุทธ
แต่ปฏิบัติด้วยศีล กับอปัณณกปฏิปทา 3 จึงจะมีสัทธรรม 7 แล้วมีฌาน 4 วิชชา 8 เป็นยาดำ ช่วยตลอดสาย ดังนั้นการออกป่าจึงคิดผิดเชื่อผิด ว่า ผู้เป็นอาจารย์ที่บรรลุจรณะ 15 วิชชา 8 นั้น จะต้องอยู่ป่า เขาเชื่อกันสั้นๆอยู่ และอยู่ในสูตรนี้ อัมพัฏฐสูตร
จริงๆแล้ว อัมพัฏฐมานพ เป็นผู้ที่มีไตรเวท เป็นภาษาของพราหมณ์ซึ่งก็คือพุทธอันเดียวกันกับไตรสิกขานี่แหละ เวชก็คือความรู้ ถือว่า อัมพัฏฐมานพ ลูกศิษย์ของอาจารย์ใหญ่ในสำนักหนึ่ง เป็นผู้เชี่ยวชาญ เป็นผู้ที่มีความรู้ยิ่ง เหมือนยุคนี้ที่เป็นผู้รู้อยู่ในเถรสมาคมนี่แหละ ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้รู้ยิ่ง มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย แต่เป็นพราหมณ์หาศาล
พรหมณ์มหาศาล เป็นคำด่านะ แต่ยุคนี้ต้องใช้คำว่า พระมหาศาล เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นเจ้าคุณระดับสูงๆ โอ้โห.. เงินทองเป็นคนละหลายสิบล้าน ร้อยล้านก็มีอะไรอย่างนี้ แม้แต่ที่สุดเงินรัฐบาลก็ยังให้เป็นนิตยภัต เป็นความเสื่อมหมดแล้ว มันไม่ตรงกับแบบที่พระพุทธเจ้าพาเป็นเลย เพราะฉะนั้นออกป่าก็คิดผิด วิชชา 8 จรณะ 15 ก็เสื่อม
แล้วใน อัมพัฏฐสูตร พระพุทธเจ้าก็ตรัสเรื่องความเสื่อมของชาวพุทธ 4 ประการอยู่ในพระสูตรนี้
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
พ่อครูว่า…
-
โสณทัณฑสูตร ผู้ที่จะมีศีลยั่งยืนกันได้จริง ก็ต้องครบตามศีลแต่ละข้อ ศีลจึงมาก่อน ไม่ใช่มีปัญญาแล้วจึงจะมีศีล นี่คือประเด็นที่จะพูดกัน
ศีลมาก่อน ไม่ใช่ปัญญามาก่อนศีล อย่างสายท่านพุทธทาส อย่างนี้เป็นต้น ปัญญามาก่อนศีล ท่านไม่ได้เน้นศีลเลย ท่านพุทธทาสไม่ได้พูดถึงศีลเลยด้วยซ้ำ พูดไปอย่างนั้นผ่านๆ ไม่ได้พากันปฏิบัติศีล แต่ได้ศีลโดยจารีตประเพณี ได้ศีลโดยปริยาย แต่พวกเรานี้เอาศีลเป็นหลักปฏิบัติเลย ตามลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระสูตร ปหาราทสูตร
ใน โสณทัณฑสูตรนี้ เพียงแค่มีทิฏฐิ ให้สัมมาทิฏฐิก่อน ท่านเน้นตรงนี้ สัมมาทิฏฐิก่อน จึงจะทำวิมุติ ถึงจะทำอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ที่มีผลบริบูรณ์ได้จริง ศีลนั้นจะพาสู่วิมุติ ของพุทธต้องบรรลุด้วยปัญญาอันยิ่ง ไม่ใช่แค่ศรัทธา นี่ก็เป็นนัยยะสำคัญ
พระพุทธเจ้าจะบรรลุธรรมจะต้องบรรลุด้วยปัญญาอันยิ่ง ไม่ใช่ศรัทธาอันยิ่ง ไม่เคยมีคำสอนพระพุทธเจ้าที่บอกว่า จะบรรลุธรรมด้วยศรัทธาอันยิ่ง ไม่มี มีแต่ปัญญาอันยิ่ง
-
กูฏทันตสูตร เขามีศัพท์คำว่า ยัญพิธี หรือวิธีปฏิบัติ วิธีปฏิบัติหรือพิธีกรรม จริงๆก็คือกรรมฐานเรานี่แหละ วิธีปฏิบัติหรือวิธีกระทำ ก็ต้องมีฐานะในการปฏิบัติ หรือมีฐานะในการ กระทำกรรม มีฐานะหรือที่ตั้ง เพราะฉะนั้น กรรมฐานที่ดีที่สุด คือที่ตั้งแห่งการปฏิบัติที่ดีที่สุดหรือการกระทำที่ดีที่สุด คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
เป็นคำที่พวกคุณได้ยินมาแล้วทั้งนั้นฟังให้ดีๆนะ อาตมาขยายความพวกเราฟังแล้วจะรู้สึกลึกซึ้ง ซับซ้อน เพราะฉะนั้น กรรมฐานที่ดีที่สุดก็คือศีล สมาธิ ปัญญา วิธีปฏิบัติอื่นใดก็สู้ศีล สมาธิ ปัญญาไม่ได้ นี่คือยันต์พิธีที่ยอดเลิศสูงสุด และเป็นสัมมาทิฏฐิจริง
สัมมาทิฐิให้ได้ก่อนเถอะ สัมมาทิฏฐินำทางให้ได้ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา นี่แหละคือกรรมฐาน เป็นยัญพิธีเป็นวิธีปฏิบัติที่เลิศยอด แล้วจึงจะเกิดปัญญา เกิดวิมุติ อย่าไปสับสนว่าปัญญามาก่อน หรือไปเข้าใจทิฏฐิมาก่อน ทิฏฐิยังไม่ใช่ปัญญา ทิฏฐิอาจจะมาก่อนได้
อย่าไปเข้าใจว่าปัญญามาก่อน อย่าไปสับสนว่าปัญญามาก่อนศีล ไม่ได้ ศีลต้องมาก่อนปัญญา นี่คือ กูฏทันตสูตร คำอธิบายเทียบอธิบายมานี้ยังดิ้นได้ทั้งนั้นเลย ต้องขยายต่อไปในอนาคต
-
มหาลิสูตร คือ เจริญสมาธิเพื่อได้ความเป็นทิพย์ มีไหม? ซึ่งการเจริญสมาธิก็ได้ความเป็นทิพย์ เป็นโลกียธรรม คำว่าทิพย์นี้เป็นโลกียธรรม ผู้เจริญสมาธิเพื่อเป็นโลกียธรรม มันสู้ให้เป็นอาริยบุคคล เจริญสมาธิไปสู่การเป็นอาริยบุคคลอันเป็นโลกุตรธรรมไม่ได้
ความเป็นทิพย์ในแนวคิดแบบเทวนิยมมันลึกลับ มันไม่ใช่ทิพย์ที่กระจะกระจ่าง ที่เอามายืนยันเปิดเผยกันได้ ยกตัวอย่างประกอบแซมนิดหนึ่ง
ในวิชชา 8 ประการ วิชชาข้อที่ 4
-
วิปัสสนาญาณ 2. มโนมยิทธิ 3.อิทธิวิธี 4. โสตทิพย์ 5. เจโตปริยญาณ 6. บุพเพนิวาสานุสติญาณ 7.จุตูปปาตญาณ 8. อาสวักขยญาณ
หูทิพย์ของเขา ทางเดรัจฉานวิชาได้ยินเสียงประหลาด ได้ยินเสียงลึกลับที่คนอื่นเขาไม่ได้ยิน พิเศษพิลึกพิลือ แต่ทิพย์ของพระพุทธเจ้าเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือความลึกซึ้ง หรือความละเอียดลึก บางเบาก็ได้ ยกตัวอย่าง
เช่น ท่านยกตัวอย่างเสียงที่ได้ยินมาจากไกลแว่วมา แต่คนที่หูทิพย์จะฟังออกว่า อ๋อ.. เสียงนี้เสียงกลอง เสียงนี้เสียงตะโพน เสียงนี้เสียงเปิงมาง เสียงนี้เสียงสังข์ แยกออก ได้ยินไม่เต็มหูไม่เต็มที่หรอก เบาๆไกลๆ แต่ก็ยังสามารถรู้ทิพย์นี้ได้ หมายความว่าอะไร
หมายความว่า ธรรมะที่ละเอียด ลึกซึ้ง บางเบา แต่ผู้ที่มีปฏิภาณแล้ว สัมผัสปั๊บ อ้อ.. ชัดเจน แม่น แม่นความจริง แม่นเป้า นี่คือทิพย์ นี่คือความหมายของอนุสาสนีปาฏิหาริย์
กลับมา ทีนี้
-
ชาลิยสูตร ยืนยัน ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นแหละ ที่บรรลุผล อาสวักขยญาณ ก็ ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นแหละที่บรรลุผลสุดยอดของพุทธ เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ คือ อาสวักขยญาณ มีญาณรู้ในการสิ้นอาสวะ ขยะ คือสิ้น สิ้นกิเลสอาสวะ
ผู้ที่สามารถสิ้นอาสวะได้ก็จะรู้ได้ด้วยตนเองเลยว่า ชีพหรือสรีระ นั้นคืออย่างไร เช่นว่า กาย ไม่ใช่สรีระ เพราะ สรีระไม่มีชีพ คำว่าสรีระ ก็ไม่รู้จะทำไง เป็นบาลี ต้องทับศัพท์ ภาษาไทยเรียกว่า ร่าง ถ้าไปเรียก ร่างกาย คำว่ากายเลยใช้ฝั้นเฝือ คำว่าร่างคือสรีระภายนอกด้วย
เพราะฉะนั้น คำว่า กาย ไม่ใช่ร่างภายนอก ไม่ใช่ซากศพด้วย ไม่ใช่ดินน้ำไฟลม ไม่ใช่ สิ่งที่ไม่มีชีพ ไม่มีชีวะ กายนี่ .. กายมีชีวะ
และที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ กาย ต้องมีคู่ 5 คู่ ส่วนใจนั้นคือ มนายตนะกับธัมมายตนะนั้นภายใน แต่ข้างนอกกาย มี 5 คู่ อันนี้แหละยากบี 18
ขออธิบาย อุปาทายรูป 24
5 คู่นี้ มันต้องมี 10 ใช่ไหม แต่มันกลับเหลือ 9 เข้าใจกันยากตรงนี้ เพราะอะไร เพราะหักใจที่มันคือกาย ตัวรับรู้ออกไปซะ 1 เพราะฉะนั้น 5 คู่ก็เลยเหลือ 9 อันนี้ก็อธิบายยากจังเลย ถ้าไปกาย มี 5 คู่แล้วมี 10 มันจะเกิน 24 รูป จะกลายเป็นรูป 25 สิ่งเหล่านี้เป็นความลึกซึ้ง
-
มหาสีหนาทสูตร ทีนี้มีคำมาอีกคำก็คือ ตปะ หรือบาลีคือ ตบะ คนต้องมีตบะตามควรตามจริง ต้องมี และตบะที่ดีที่สุดอีก ตบะที่ดีที่สุดก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
ตบะคือ เครื่องความเพียรเผากิเลส ทีนี้ความเพียรเผากิเลสคือ ปฏิบัติไตรสิกขา ไม่ใช่ทาน ซึ่ง ทานนั้นไม่ใช่ไตรสิกขา ไม่ใช่ศีล สมาธิ ปัญญา แต่ตบะนั่นคือศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ใช่ทาน
นี่แหละผู้ที่มิจฉาทิฏฐิก็ตบะก็คือความเพียร แล้วไปเพียรอย่าง เดียรถีย์ ได้อดทนอดกลั้นทรมานร่างกายอย่างโน้น มันไม่ใช่ ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างสัมมาทิฏฐิที่พระพุทธเจ้าพาปฏิบัติ พวกเราฟังศีล สมาธิ ปัญญา สัมมาทิฏฐิมาไม่มีปัญหา แต่ข้างนอกเขาเป็นมิจฉาทิฏฐิ ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ พวกเราพูดแล้วเข้าใจไม่มีปัญหามากคุณมีชีวิตมีความหมายว่าเป็นการสำคัญ
-
โปฏฐปาทสูตร ท่านขยายความก็คือสัญญาอย่างหนึ่งเกิด สัญญาอย่างหนึ่งดับ ไม่ใช่ให้ไปดับสัญญาไปหมดสิ้น คุณมีชีวะ คุณต้องใช้สัญญา ยังไม่ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน สัญญาเป็นตัวสำคัญมากตั้งแต่ต้นจนปลายเลย ทำงานหนักมากเลยสัญญา สัญญาคือความกำหนดรู้กับความจำ มีความหมายสำคัญ 2 อย่างในคำว่าสัญญา เป็นตัวทำหน้าที่กำหนดรู้ ท่านไปแปลภาษาสวยๆว่า เป็นการสำคัญมั่นหมาย สัญญาคือการสำคัญมั่นหมาย ภาษาสวย แต่มันรู้ยากกว่าคือการกำหนดรู้ คือตัวธาตุรู้ของเราเป็นตัวกำหนดอันนั้นอันนี้ สัญญา กับความจำนี่คือความหมายของสัญญา
เพราะฉะนั้นไม่ให้ดับสัญญาสิ้นไป เพราะถ้าไปดับสัญญาสิ้นไปแล้วกลายเป็น อสัญญีสัตว์ พอไปดับสัญญา มันก็ดับอย่างมืด ดับอย่างบอด ดับอย่างแข็งทื่อ ไม่ให้ธาตุรู้มันทำงาน ทั้งๆที่ธาตุรู้มันต้องทำงาน คุณยังมีชีพ เมื่อไม่ให้ตัวธาตุรู้ทำงานมันก็ไม่ได้ทำงาน มันก็ไม่รู้ว่าที่มีอยู่ใน อะไร แล้วก็ไปหลงความไม่รู้ ไม่ทำงานอะไรนี่แหละก็คือการจบคือนิโรธ คือนิพพาน คือการดับ น่าสงสารที่สุดเลย จริงแล้วมันซ้อนอยู่นิดๆ เพราะฉะนั้นมันก็จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงอะไรไม่ได้ สัญญามันไปกดไว้
เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ใน โปฏฐปาทสูตร มีอัตตา 3 ที่มีซ่อนไว้นิดเดียว โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา อยู่ใน โปฏฐปาทสูตร ไม่ได้ขยายความอะไรมากแต่อาตมามีความรู้อันนี้เอง ก็เอา อัตตา 3 นี่มาขยายความให้ปฏิบัติกันจริงๆเลย
โอฬาริกอัตตา คืออัตตาหยาบภายนอก ดับได้แล้วก็เป็นอัตตาอย่างกลาง เป็น มโนมยอัตตา หมดแล้วก็ดับอรูปอัตตา เป็นตัวสุดท้าย ต้องดับไปเป็นลำดับ
มันจะดับได้อย่างไร ก็ต้องมาเรียนรู้แล้วมาปฏิบัติ ดับได้ จนกระทั่งไม่วิปลาสไป เพราะไปวิปลาส 4 แล้วจนกระทั่ง ผู้ที่วิปลาส 4 ตกผลึกลงไปเป็นวิปลาส 3
วิปลาส 4 ก็คือ เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง เห็นสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข เห็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวใช่ตนมาเป็นตน เห็นสิ่งที่ไม่น่าได้ ไม่น่าเป็น ไม่น่ามีเลย มาเป็นความน่าได้ น่ามี น่าเป็น นี่คือวิปลาส 4 ยังไม่ลงรายละเอียดนะ เมื่อไปทำวิปลาส 4 นี้หนักเข้าก็ตกผลึกเป็นวิปลาส 3 มันก็จะมีทิฏฐิวิปลาสนั่นแหละตัวสำคัญนำ เสร็จแล้วก็เลยไปทำงานเป็นสัญญาวิปลาส ไปกำหนดใช้งาน ตกลงสั่งสมเป็นคนจิตวิปลาส คนก็เลยจมอยู่ในวิปลาส 4 เพราะมันมีรากฐานของวิปลาส 3 เป็นแกน จิตมันวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส สัญญาก็เลยกำหนดทำงานวิปลาสไปหมด
-
สุภสูตร พระพุทธเจ้าก็ยืนยันวิชชา 8 ที่เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ วิชชา 8 วิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิ อิทธิวิธี โสตทิพย์ เจโตปริยญาณ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ
มันเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์คือ พระพุทธเจ้าตรัสคำอย่างไร คนฟังแล้วเอาไปปฏิบัติเอามายืนยันกันได้ ไม่ใช่ลึกลับเป็นทิพย์ เป็นอะไรไปลึกลับปาฏิหาริย์เป็นสิ่งทิพย์ ตามมาพูดกันไม่ได้
แม้จะใช้คำว่าการเกิด ระลึกชาติได้เป็นต้น เกิดมาไม่รู้กี่ชาติ เกิดเป็นคนชื่อนั้น ตระกูลนี้ ก็ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขา ก็คือ ยืนยันชาติแห่งการเกิดในปัจจุบันนี้ เกิดกรรมในปัจจุบัน ตั้งแต่กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่พิสูจน์ได้ นี่จึงจะเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ เช่น
ศีลข้อที่ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ให้มีเมตตา หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ พวกคุณก็สบายได้หมดเลย คุณทำได้ถูกต้องตามคำสอนพระพุทธเจ้าตั้งแต่ขั้นต้น หยาบ ไปจนถึงละเอียดหมด นี่เป็นปาฏิหาริย์ ปฏิบัติศีลตามคำสอนพระพุทธเจ้าแล้วชัดเจน ถาวรด้วย ยั่งยืนด้วย สบายด้วย ไม่ฝืน ไม่ยาก อวิปฏิสาร
อานิสงส์ของศีลมีอีก 10 ประการ สบายใจ ใจไม่เดือดร้อนอะไรเลย มีแต่จะศีลเคร่ง ใจไม่เดือดเนื้อร้อนใจ อวิปฏิสาร สบายๆและแถมยังมีอุปกิเลสอีก มีความยินดี อิ่มเอมใจ แล้วถึงขั้นเป็นสุขมีความสุขด้วย แล้ว มียถาภูตญาณทัสนะ และสุดท้ายมีวิชชา และ วิมุติ
-
อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ)
-
ปามุชชะ – ปราโมทย์ (มีความยินดี)
-
ปีติ (ความอิ่มเอมใจ) .
-
ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)
-
สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)
-
สมาธิ (จิตมั่นคง)
-
ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง) . .
-
นิพพิทา (เบื่อหน่าย) .
-
วิราคะ (คลายกิเลส)
10.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน)
(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม 24 ข้อ 1 , 208)
-
เกวัฏฏสูตร ปาฏิหาริย์มี 3 อย่าง ก็ขยาย ปาฏิหาริย์ 3 อย่าง ในปาฏิหาริย์ 3 อย่างนี้เดียรถีย์นอกพุทธจะนิยมอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ แต่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเรา ดูกร เกวัฏฏะ เราทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองแล้ว จึงได้ประกาศให้รู้ ปาฏิหาริย์ 3 อย่าง เป็นไฉน ? คือ 1. อิทธิปาฏิหาริย์ (แสดงฤทธิ์ทางใจ ไปซ้ำกับพวกคันธารี) 2. อาเทสนาปาฏิหาริย์ (หยั่งรู้จิตคนอื่น ไปซ้ำกับมณิกา) 3. อนุสาสนีปาฏิหาริย์ (สอนวิชชา๘ เป็นปัญญาสัมปทา) พระองค์ทรงเห็นโทษภัยจึง อึดอัด(อัฏฏิยามิ) ระอา(หรายามิ) เกลียดชัง(ชิคุจฉามิ) ในอิทธิปาฏิหาริย์และอาเทสนาปาฏิหาริย์ แต่ทรงยกย่องให้สอน ให้ทำใจ ให้เข้าถึงอนุสาสนีปาฏิหาริย์ (เกวัฏฏสูตร พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 339-341)
สอนว่าอย่างไรแล้วก็ทำได้อย่างนั้นอศีล อสมาธิ อปัญญาที่ถูกต้อง ศีลที่สัมมาทิฏฐิสมาธิที่สัมมาทิฏฐิ ปัญญาที่สัมมาทิฏฐิ วิมุติที่สัมมาทิฏฐิ อย่างนี้เป็นต้น
เพราะท่านถือว่ามันเป็นโทษในอิทธิปาฏิหาริย์และอาเทสนาปาฏิหาริย์
เพราะฉะนั้นท่านบอกโทษด้วย ว่าถ้าผู้ใดปฏิบัติแม้มีในตนจริง มีอิทธิปาฏิหาริย์ก็ตาม มีอาเทสนาปาฏิหาริย์ก็ตาม มีในตนจริงขืนปฏิบัติ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ แม้มีจริง
แต่ถ้าไม่มีจริง อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์นี่แหละ ถ้าไม่มีจริงแล้วแสดง ก็เป็นปาราชิก เช่น สมีธัมมชโย อวดอุตริมนุสธรรมว่าตนเองดูคนเกิดคนตายได้ ตายไปแล้วอยู่ในสวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้ เมื่อเขาสอบทานขึ้นไป โดยสร้างเรื่องว่าได้มาทำบุญกับท่านอย่างนั้นอย่างนี้แล้ว เสร็จแล้วตายไปแล้ว ตอนนี้ถามว่าพ่อผมอยู่ที่ไหน
เขาก็บอกเป็นตุเป็นตะธัมมชโยว่าพ่อเธออยู่ชั้นนั้นชั้นนี้ ก็ได้มาทำบุญที่ธรรมกายแล้วได้เท่านั้นเท่านี้ ดีแล้วอยากจะให้พ่อเป็นสุขกว่านี้ก็มาทำบุญให้มากกว่านี้อีกนะ เสร็จแล้วคนนี้ก็เลยเปิดเผยว่าพ่อผมยังอยู่ยังไม่ตาย ผมสร้างเรื่องมาให้ท่านลองดู คนก็ยังหลงเชื่อกันอยู่ เรื่องนี้ ไขขึ้นมาแล้วก็ยังมีคนเชื่ออยู่
สมีธัมมชโยนี้ปาราชิก 2 ตัว 1. อวดอุตริมนุธรรมที่ไม่มีในตน 2. เป็นกบฏเรื่องเงิน ขึ้นศาลแล้วก็ตัดสินผิดอะไรต่างๆ สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร บอกว่าปาราชิกเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นพระลิขิตของท่านตั้ง 3-4 ใบ. เสร็จแล้วคนก็ยังหลงไหลได้ปลื้มอุ้มชูกันจนบัดนี้ก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์เลย ขออภัยอาตมาพูดความจริงสงสารเขานะ อาตมาสงสารทุกคนที่มาเกิดและร่างเป็นคน
คนได้ร่างเป็นคนนี้ประเสริฐแล้ว ยิ่งได้มาพบพุทธศาสนายิ่งประเสริฐยิ่งขึ้น ยิ่งสามารถเรียนรู้อาริยธรรม ยิ่งประเสริฐขึ้นยิ่งกว่า ยิ่งบรรลุอรหันต์ได้เลย เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ดีเยี่ยมที่สุด คุณจะต่อภพภูมิโพธิสัตว์ต่อไปอีก เชิญ เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติธรรมะนี้ ถ้าไม่เข้าใจ
ทีนี้เมื่อกี้ยังไขความไม่หมด ถ้าเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ ผิดแล้วต้องปลงอาบัติถ้ามีจริง ถ้าไม่มีจริงก็ต้องปาราชิก ส่วนอนุสาสนีปาฏิหาริย์นั้น ไม่มีอาบัติ
ถ้าไม่มีในตนจริงก็อาบัติปาราชิกเหมือนกัน แต่ถ้าเผื่อว่ามีในตนไม่มีอาบัติ แสดงได้ทุกอย่าง แม้ที่สุดยิ่งเป็นอรหันต์ขึ้นไปแล้ว หมู่ยกสติวินัยให้ด้วย ไม่มีอาบัติใดเลย เพราะว่าท่านจะมีมหาปเทส มีสัปปุริสธรรม 7 พิจารณาแล้ว อันไม่เที่ยงด้วย กาละ เทศะ ฐานะ ท่านจะมีใจซื่อ พระอรหันต์ขึ้นไปแล้วจะจริงใจทุกอย่างเพราะท่านซื่อ คนเข้าใจไม่ได้ แน่นอนคนเข้าใจไม่ได้ง่าย อาริยธรรมเข้าไม่ง่าย มันก็ต้องมีคนแย้งเยอะแต่อย่าไปเสียเวลา สำหรับพระอรหันต์จริง ท่านยกไว้ให้หมู่ยกไว้ โดยไม่ต้องไปปรับอาบัติท่าน ส่วนคน ไปห้ามเขาไม่ได้ เขาจะมาตู่มาปรับอาบัติก็เป็นเรื่องของเขา
-
โลหิจจสูตร