660305 พ่อครูเทศน์เปิดงาน ปฏิญาณศีล 8 งานพุทธาภิเษกฯครั้งที่ 47 ปฐมอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1tokNbxUt8j2CRevh0RJvl8DK1pXraoyQvsBk8-A_XMQ/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/13eMvyJF9XscESNqqw1dOCfe1VLije5RD/view?usp=share_link
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/tEkAgZTnExU
และ
แม่นเป้าเข้าหาแก่นโลกุตระ
พ่อครูว่า… วันนี้วันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม 2566 ที่บวรปฐมอโศก เป็นวันแรกของงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ครั้งที่ 47 อาตมาอายุย่างเข้า 89 ปี วันนี้วันที่ 5 ขึ้น14 ค่ำ จะขึ้นเป็นเดือนที่ 10 ของอายุ 88 ปี 9 เดือน 1 วัน อาตมาตกฟากประมาณ 8 โมง หรือ 7 โมงกว่า แม่บอกว่าตกฟากตอนที่พระเดินบิณฑบาตกลับมาเห็นหลังไวๆเข้าวัด
อาตมาทำงานมาด้านศาสนาตั้งแต่รู้ตัวเองว่า เรานี่ไปเสียเวลาเป็นลิงลมอมข้าวพองอยู่ทั้งโลกตั้ง 36 ปี โอ๊ยตาย 36 ปีก็เลยมาทาง มาแล้วไม่มีอะไรสงสัยข้องใจในเรื่องทางนี้ ทางธรรมะทางศาสนาไม่ได้สงสัยไม่ได้ข้องใจ ไม่ได้สะดุดอะไรเลยชัดเจนทุกอย่าง แม่นเป้า ไม่ใช่มุ่งเป้านะแต่แม่นเลย พั๊วเลย มั่นแม่นเป้ามาก มาแล้วก็ตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ มันก็เลยเวลาตายแล้ว เวลาตายของอาตมาอายุ 72 ก็พยายามยังนะยังไม่ตายพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าดู เลยนะท่านบอกว่าพากเพียรแล้วมันจะได้เลยอายุ อายุ 72 นี่ เลยได้
พระพุทธเจ้าบอกว่าอานนท์ เราจะมีอายุต่อไปอีกถึงกัปเลย หรือเลยกว่ากัปก็ได้ ท่านตรัสอย่างนั้นเลย กัป ของท่านประมาณ 120 ปี ทุกองค์ พระอานนท์ก็ 120 พระกัสสปะก็ 120 จึงเสีย นอกจากอัครสาวกเบื้องซ้าย เบื้องขวา สารีบุตร พระโมคคัลลานะ เสียก่อน สิ้นก่อน สิ้นก่อนพระพุทธเจ้า 80 ปี
เรื่องเหล่านี้ที่จริงมันมีเหตุปัจจัย มีหลักเกณฑ์ ทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องโมเม ทุกอย่างจะบอกว่าลงตัว ทั้งตัวเลข ทั้งรูปทั้งนาม ทั้ง Static และ Dynamic ถ้าสิ่งใดที่มันเป็นหนึ่งเดียว มันจะลงกันหมดเลย มันจะเป็นอันเดียวกันหมดเลย ลงตัวพร้อมกันทั้งรูปทั้งนาม จะเป็นเพศหญิงเพศชายก็หายหมด เป็นหนึ่งเดียวเป็น 0 ไม่มีเพศเลย นปุงสกลิงค์ ลงตัวเหมือนกันหมด จบ
2 เพศมารวมเป็นหนึ่งเดียวไม่ใช่เป็นกระเทยนะ เป็น 0 เลย หนึ่งเดียวหรือ 0
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นอจินไตยยาก เป็นเรื่องที่ทุกอย่างมาเทียบกัน เข้ามาเปรียบกัน ให้รู้ว่าอะไรเหนือกว่าอะไรอะไรควรกว่าอะไร
อะไรดีกว่าอะไร อะไรควรมีอะไรไม่ควรมี มันจะชัดเจนทุกอย่าง
อาตมาตั้งใจว่างานพุทธาภิเษกนี้ จะเอา พระไตรปิฎกเล่ม 9 เป็นเล่มเริ่มต้นพระสูตร มีทั้งหมด 13 สูตร ใน 13 สูตรนี้ร้อยเรียงและมีสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนซับซ้อน จะเอามาขยายให้ฟัง ขยายพอสมควร จะว่าสังเขปก็คงจะไม่สังเขปทีเดียว เป็นนิกเขป มันจะได้ประมาณนึง ใช้เวลาแค่ 5 วันไม่ถึง 7 วัน วันสุดท้ายก็สรุปงาน อาตมาก็ไม่ได้อธิบายทุกวันด้วย แค่ 3 วันก็ต้องได้ประมาณนึง นั่นแหละก็ต้องไปติดตาม ก็เท่ากับว่าเริ่มต้นเอาไว้แล้วโปรดอ่านต่อฉบับหน้า โปรดติดตามตอนต่อไป
เนื้อหาโลกุตรธรรมต้องตาม กาละ เทศะ ฐานะ
ก่อนจะได้อธิบาย ครั้งนี้เป็นการพาปฏิญาณ เป็นการปฐมนิเทศก่อนก็แล้วกัน
ธรรมะพระพุทธเจ้านี่ ไม่ว่าจะพูดในมุมไหน หยิบขึ้นมาเรื่องใด หรือแม้แต่จุดใด เริ่มเข้าไปที่จุดใด หรือมีธุลีละอองใดเกิดขึ้นมา มันมีเรื่องราว มันมีสัมพัทธภาพกันทั้งหมด เกี่ยวเนื่องกันทั้งหมดเลยไม่มีอะไรขาดตอนกัน ในสิ่งที่ลงไปในคำว่ามี ยังมีอยู่ ทุกอย่างเป็นอิทัปปัจจยตา ทุกอย่างเป็นปัจจยาการเป็นปฏิสัมพันธ์กัน แล้วมันมีความซับซ้อน แต่มันมีระบบ คนไม่รู้ไม่มีระบบเลย ยุ่งยิ่งกว่ากลุ่มไหมที่มัน แก้ไม่ออกเลย ยิ่งกว่าลิงแก้แห
ยิ่งแก้ยิ่งยุ่งจะขาดจะพังจะแตกแยกออกไปเสียหายเลย มันจะไม่เกิดผลดีอะไรได้
อาตมา ทำงาน จริงๆ มา 50 กว่าปีนี้ รู้สึกได้มรรคได้ผลได้บุคคล ได้ความจริงจากจิตวิญญาณของคนมาเป็นอาริยบุคคล มาเป็นจริงๆมาเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ซึ่งอาตมาไม่ได้ระบุตัว เพราะถ้าหากระบุตัวก็อาจจะเพ่งเล็งกันมาก ก็อาจจะเปรยๆปรายๆ ผู้มีปฏิภาณปัญญาก็จะพอรู้พอเข้าใจกันในที จะบอกว่าบอกกันได้ไหมได้สำหรับผู้มั่นใจ ก็บอกกันได้ แต่อย่าไปพูดเล่นๆไป ต้องระมัดระวังการที่จะบอกคุณธรรมของตนเอง
ถ้าเผื่อว่าตนเองไม่มีคุณธรรม บอกไปแล้วมันพลาด ผู้รู้ชี้มาหน้าแหกเลย ไม่ใช่หน้าแตกนะหน้าแหกเลย หมอไม่รับเย็บเลย มันก็ขายขี้หน้าไม่รู้จะเอาหน้าไปขายใครไม่มีใครซื้อ หมอไม่รับเย็บ หน้าไม่รู้จะขายใครไม่มีใครเขาซื้อเลย หน้าอย่างนี้เอาไปขายใครก็ไม่มีใครซื้อ มันแย่เลยเสียหายต้องระมัดระวัง
นอกจากคนห่ามๆคะนองๆ อยากจะอวดหลอกคนก็ว่าไป มันก็เป็นธรรมดาคนขี้โอ่ขี้อวด โดยที่เรียกว่าไม่รู้กัน
อาตมาจำเป็นในชาตินี้ จำเป็นที่จะต้องระบุบุคคล เช่น ชื่อระบุบุคคลลงไปในผู้ที่ท่านผิด ท่านผิด ระบุ ท่านถูก แต่ทีนี้จะระบุคนที่ท่านถูกนี้ มันไม่มีถูกเลยในคณะใหญ่ในส่วนใหญ่ของยุคนี้ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้แล้วใน อาณิสูตร ว่าศาสนาพุทธจะเสื่อมในอนาคต โลกุตระจะสูญหายไป ไม่มีในสังคมพุทธ จะมีแต่คำสอนที่ไพเราะแบบโลกีย์ ประโลมโลกมาแทนที่ ซึ่งในศัพท์วิชาการก็คือ จะเป็นภาษาของนักวิชาการ ภาษาของผู้รู้ ที่มันอธิบายโดยอัตโนมัติของตนเองแล้วพาให้ผิดเพี้ยนๆๆๆๆๆกันมา จนผิดหมด ไม่เหลือโลกุตรธรรม ไม่เหลืออาริยธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นโลกียธรรมหมด ไม่มีอาริยะธรรม
เป็นธรรมะ อย่างดีเรียกด้วยศัพท์วิชาการว่า กัลยาณชน คนดี กัลยาณะ แปลว่าดี ไม่ใช่อาริยบุคคล
คำว่า ปุถุชน ก็ถือว่าคนดีบ้างไม่ดีบ้าง เอาแน่ไม่ได้ ไม่รู้ได้ แบ่งแยกไม่ได้ แล้วก็อยู่ในระดับที่เรียกว่ายังไม่เจริญ ปุถุชน ปุถุ แปลว่าหนา แปลว่าใหญ่ แปลว่ามากไปด้วยกิเลส หนาไปด้วยกิเลส มาเป็นกัลยาณชนเป็นคนดีขึ้น แต่เป็นการดีแบบเทวนิยม ดีแบบโลกียะตามสมมุติโลก สมมุติไม่เหมือนกัน
ศาสดาเทวนิยมหลายองค์ เป็นศาสดาของแต่ละศาสนา ไม่เหมือนกัน ต่างคนต่างก็ว่าดีๆๆๆ ไม่ลงเป็นหนึ่งเดียว แต่ศาสนาพุทธ อเทวนิยมหรือโลกุตตระหนึ่งเดียวไม่ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าในยุคไหนที่อุบัติขึ้นมาเป็นพระศาสดา องค์ใดองค์หนึ่งในยุคใดยุคหนึ่ง กาละของแต่ละองค์ อย่างพระสมณโคดมก็มี 5,000 ปี องค์อื่นๆท่านก็มี 8,000 ปี หมื่นปี หลายหมื่นปีแล้วแต่ แต่ละองค์แต่ละองค์ จะมีอายุของกัป เรียกว่าพุทธกัป ของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ พระสมณะโคดมมี 5,000 ปี
แต่ศาสนาพุทธของพระสมณโคดม 5,000 ปีนี่ อย่าไปเข้าใจผิดว่า 5,000 ปีนี้ เป็นพระพุทธเจ้าองค์เล็กองค์ต่ำไม่ใช่ แต่เท่ากันหมด ลักษณะของพระองค์ 5,000 ปีหรือ 8 หมื่นปีหรือแสนปี พระพุทธเจ้าบางองค์นี้ โอ้โห.. อายุศาสนาของท่านแสนปี 80,000 ปีอะไรพวกนี้ ก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แต่มันเกิดจากองค์ประกอบของ กาละ เทศะ ฐานะ
องค์ประกอบของเวลา ยุคกาล ความแตกต่างของสิ่งแวดล้อมต่างๆ องค์ประกอบต่างๆ เทศะ ภูมิประเทศ มนุษย์ต่างๆ มนุษย์ต่างๆ นั้นก็จะต่างกันโดยฐานะ ฐานะแต่ละบุคคล บารมีไม่เท่ากัน วิบากไม่เท่ากัน
ฝาแฝดตั้งแต่ 2 คน 3 คน 4 คน 5 คน 8 คนก็ไม่เท่ากัน ปรมาณู 2 ตัวเริ่มมี 2 ไม่มีอะไรเท่ากัน มีเท่ากันอยู่อย่างเดียว เริ่มไปหา 2 ไปหา 3 ไปหา 4 มันก็ยิ่งแตกแยก ต่างกันไปเรื่อยๆ
ถ้า 2 นี้มาร่วมเป็น 1 มันก็จะรวมเป็น 1 ยิ่งลงไปหา 0 เหมือนกันจนหายไปเลย ยิ่งไปเป็น 0 มันยิ่งไปเป็น 0 มันยิ่ง หายไปเลย ไม่รู้จะเปรียบกันยังไงมันผ่องแผ้วเหมือนกัน กลม 0 เหมือนกันเลยเป๊ะเลยนะ ต้อง 0 เท่ากัน นั่นแหละเป็นที่สุด แห่งที่สุด
ที่เรานับด้วยสังขยาเลขว่า 0 1 2 สามเส้า นี่ก็แตกต่างกันแล้ว 0 1 2 ยิ่งเป็น 3 เป็น 4 เป็น 5 ออกไปอีกกรอบนึง สามเส้า เรียกว่า 1 วงวน 1 วงกลม จะบรรจุไว้ด้วยสามเส้า มี 1. ประธาน 2. มีบวกกับลบ บวกกับลบเป็นตัวหลัก แล้วก็มีประธาน เป็นภาษาอังกฤษเขาก็มีตัว I คือประธาน แล้วมีตัว S กับ H
S ก็ She ตัว H ก็ He สามเส้า
ภาษาอังกฤษอาตมาไม่ได้เอาพยัญชนะมาอธิบาย มีแต่ภาษาบาลี ถ้าบาลีก็จะนำเอามา ประกอบนำมาอธิบายได้ แต่ก็ยังไม่ได้มาก เอามาใช้พอสมควร แล้วอาตมาก็คิดว่า ผู้จะมารู้พยัญชนะก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเท่า เอาเนื้อหา เอาสาระแท้ๆ ที่แต่ละคนจะต้องมี แล้วใช้อาศัยจริงๆ เอาอันนี้มาขยายความ อธิบายอันนี้ดีกว่า อาตมาก็เลยมาเน้นอันนี้ ไม่ไปเสียเวลากับพยัญชนะมากนัก พยัญชนะยิ่งลงไปลึกมันก็สนุกแบบพยัญชนะ
ที่นี้ความเสื่อมของศาสนาพุทธมันเสื่อมตรงที่มาหลงพยัญชนะ มีความรู้พยัญชนะแล้วก็มาสร้างระบบของพยัญชนะเรียกว่า ไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์ วิชาการพยัญชนะก็จะบัญญัติภาษาสนุกกันใหญ่ มีความรู้ความสามารถรู้มาก คนนี้รู้ไวยากรณ์ ไวยากรณะ ผู้นี้รู้วจีวิภาค ผู้นี้รู้ วากยสัมพันธ์ ผู้นี้รู้มากฉันทลักษณ์ อาตมาก็ไม่ไปลงพวกนี้เท่าไหร่
เพราะฉะนั้นอาตมาก็เหมือนลูกทุ่งในเรื่องของวิชาการ ไม่ว่าจะเป็น ไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์ อาตมาก็ไม่ลงไปในรายละเอียดพวกนี้เท่าไร แต่ก็พอมีความรู้นำมาใช้ได้อยู่ ได้อยู่ ไม่ว่าจะ ไวยากรณ์ มีประธาน มีกิริยา มีกรรม อะไรพวกนี้ก็เอามาใช้ มันไม่ได้ออกนอกจากสารัตถะแท้ๆของมัน จะมาอธิบายคำพูดภาษา วจีวิภาค จะพูดถึงเรื่องวากยสัมพันธ์ ความแตกต่าง อะไรแตกต่างกันอะไรสัมพันธ์กัน อธิบายเอาสาระ เอาเนื้อหา เอาความหมาย หรือจะมาร้อยเรียงเป็นร้อยกรองเป็น ฉันทลักษณ์ อาตมาจะมาอาศัยฉันทลักษณ์บ้าง ร้อยกรองแบบภาษา เอาภาษามาร้อยกรอง ร้อยเรียงกันไปง่ายๆเรียกว่า “ร่าย” ตั้งแต่ร่าย แล้วก็กลอน
ร่ายก็อย่างหนึ่ง สัมผัสกันลงท้ายกัน อันนี้ต่ออันนี้ เชื่อมกันไปเฉยๆ เรียกว่าร่าย
กลอน ก็มีแผนผังบ้าง ลงท้ายกลอน 4 กลอน 8 อะไรพวกนี้ กลอน
กาพย์ มีการลงหนัก ลงเบา ลงแม่กด แม่กก แม่กบ มีอีกหลายกาพย์ กาพย์มีเยอะ กาพย์ 11 กาพย์ 12
ที่นี้ยิ่งฉันทลักษณ์ มีครุ ลหุ อาตมาก็ชอบนะแต่ว่าไม่มีเวลาในชาตินี้ เราจะมาสาธยายเนื้อหาสาระของสัจธรรมที่ทุกคนรับไว้ คุณไม่รู้เรื่องของไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์ ไม่ต้องเป็นเลยแต่งกลอนแต่งกาพย์ ไม่ต้องเป็นเลย เอาภาษาธรรมดามาสื่อสาระแท้ๆได้ให้แก่กันและกัน แล้วก็รู้เรื่อง เอาไปใช้ อันนี้คือกิเลส อันนี้คือสิ่งที่จะต้องเลิกต้องละ ต้องประมาณ ยืดหยุ่นได้นะอันนี้ จะต้องประมาณต้องใช้กับสังคมมนุษยชาติ เราไม่ใช่สัตว์ปลีกเดี่ยวจะต้องอยู่คนเดียวเดี่ยวๆแล้วบรรลุเป็นอรหันต์ อันนั้นเป็นการออกนอกรีต เป็นเดียรถีย์อยู่แต่ผู้เดียวเดี๋ยวเดียวก็เป็นพระอรหันต์
ไปแปลว่าไม่มีเพื่อน 2 ความหมายของพระพุทธเจ้า เขาไปแปลไม่มีเพื่อน 2 ว่า อยู่คนเดียวเดี่ยวๆ ที่จริงแล้วผู้ไม่มีเพื่อน 2 คือผู้ที่บรรลุธรรมแล้ว เขาก็เลยไปแปลว่า ไม่มีเพื่อน 2 คืออยู่เดี่ยวๆเดียวๆก็บรรลุธรรม ผู้บรรลุธรรมคือผู้ที่ไม่มีเพื่อน 2 ภาษามันเป็นภาษาสิริมหามายา มันเข้าใจยาก มี 2 ใน 1 มี 1 ใน 2 มันก็เลยเข้าใจภาวะไม่ได้
แม้แต่ในความหมายของโลกเขาทุกวันนี้ เขาก็สับสน 1 2 2 1สับสนกันมากเลย แค่ภาษา วาทะ คำพูด คุยโม้ พูดให้ชัดก็คือ เป็นภาษาคุยโม้ กับสภาวะธรรมได้จริง แค่นี้เขายังสับสนอยู่เลย
เช่น นักการเมืองเก่งแต่วาทกรรม ทำไม่ได้เรื่องเลย ไม่ได้ทำอะไรเป็นจริงเลยนักการเมืองมีแต่มาโม้ อนาคตจะให้อันนู้นอันนี้ จะสร้างอันนู้นจะทำอันนี้ ชัชชาติเป็นต้น ยกตัวอย่างจริงๆนะ ก็มันยืนยันกันแล้ว แต่แกก็ยังอยู่นะ ไปไล่ออกก็ไม่ได้มันได้เลือกตั้งมาเห็นไหมเลือกตั้งมันเป็นเรื่องซวย รู้ทั้งรู้ จะไปขับออกได้อย่างไร เป็นแต่เพียงทำไม่ได้แต่เขาไม่ได้ทำผิด ไล่เขาออกก็ไม่ได้ เขาไม่ทำสำเร็จตามที่พูดเท่านั้นเอง ไล่เขาออกก็ไม่ได้ ได้แต่ประชาชนก็เจ็บปวด เจ้าตัวจะเจ็บปวดหรือเปล่าเราไม่รู้
เราก็วิจารณ์อยู่อย่างนี้เขาจะเจ็บปวดหรือเปล่าก็ไม่รู้ ใครๆเขาก็วิจารณ์ดีไม่ดีเขาด่าเลย ไม่รู้ตัวเองเจ็บปวดหรือเปล่า ก็นี่แหละในสังคมมันก็มีตัวอย่าง พวกนี้เป็นตัวอย่างยกตัวอย่าง เพราะฉะนั้นจะว่าจริงๆแล้ว ไทยนี่โชคดีที่มีคนร้าย เป็นตัวอย่าง เขาไม่อยากเป็นคนร้ายหรอกแต่เขาไม่รู้ตัว คนเราไม่มีใครอยากเลวแต่ไม่รู้ตัว ไม่มีใครอยากเป็นคนร้าย อยากเป็นคนผิด อยากเป็นคนทุจริต แต่เขาโง่
ใช้ศัพท์วิชาการก็คืออวิชชา มันไม่รู้หรือมันมิจฉาทิฏฐิ อวิชชานี่คือโง่ เต็มๆรูปเลย มิจฉาทิฏฐิยังเปลี่ยนแปลง กำลังปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจากมิจฉาทิฏฐิมาสัมมาทิฏฐิ แต่อวิชชานี้มันคือตัวผิดตัวตั้งเลย
เพราะฉะนั้นจึงต้องมาศึกษาความถูกต้องจริงๆจนกระทั่งถึงขั้น ทำเป็นความถูกต้องที่ถูกต้องอย่าง ภาษาอังกฤษ อาตมาไปเจอคำนี้คือ Axiom มันเป็นความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เป็นความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลงแล้วนั่นแหละมันจึงจะไปถึงที่สุด ถึงที่จบ
ผู้แพ้ ผู้ยอม ผู้เสียสละ คือผู้เจริญ
เพราะฉะนั้นในพวกเรา โดยรวม อาตมาพามาทำเป็นสังคมสารานียธรรม 6 ชุมชนเราทุกชุมชนชาวอโศกเป็นชุมชนสารานียธรรม 6 อยู่กันอย่าง เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ตำรวจตกงานหมด ไม่มีคดีในหมู่พวกเราด่ากันก็ไม่มี พูดกันแรงๆหน่อยก็นอกนั้น ดีไม่ดีไม่ชอบใจ ต่างคนต่างเงียบ ต่างคนก็ไม่พูด จะมาด่ามาทะเลาะกันไม่มีในพวกเรา จะถึงทะเลาะกันตีกันฆ่ากันไม่มี นี่เป็นผลสำเร็จจริงนะ
คนอยู่ที่นี่ร้อยพ่อพันแม่ ดูซิมารวมกันอยู่ ใช่ไหม มาจากไหนต่อไหนมาเป็นพี่น้องกันจริงๆเลย อยู่กันอย่างอนุโลมปฏิโลม ศัพท์ของในหลวง ร. 9 คืออยู่กันอย่างอนุโลมอะลุ่มอล่วยกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน
ถ้อยทีถ้อยอาศัยนี่คือ มีผู้รู้จักแพ้ มีผู้รู้จักยอม มีผู้รู้จักเสียสละ
เพราะการมาเป็น ผู้แพ้ ผู้ยอม ผู้เสียสละ คือผู้เจริญ
เป็นผู้ไม่ยอม ผู้จะเอาเปรียบชนะให้ได้ ไม่ยอมสละเด็ดขาด กูต้องเป็นผู้ได้ นี่คือพวกอันธพาล อยู่ในโลกนี่แหละเทวนิยมเขาจะเป็นอย่างนั้น นี่ดูสิยูเครนกับรัสเซียยังไม่ยอมกันเลย ยังไม่มีใครเสียสละ และพวกก็ต่างคนต่างถือหางกัน ใครจะได้ผลประโยชน์อะไรก็ฉวยโอกาสนี้กันไป เพื่อที่จะสร้างผลประโยชน์ให้แก่ตัว จนกระทั่งคนกลัวว่ามันจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3
แต่อาตมาบอกให้เลยว่าไม่เกิด ทำไมไม่เกิดรู้ไหม เพราะลึกๆมันรู้กันแล้วถ้าขืนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ปรมาณูลูกเดียวลงที่ไหนๆบรรลัยหมดทุกประเทศ ตูม 1 ของปรมาณูทุกวันนี้มีฤทธิ์ถึงขั้นครึ่งประเทศตายหมดเลยนะ กว่าครึ่งประเทศมันปึ๊ดเดียว มันรู้ฤทธิ์กัน ก็เลยบอกว่าอย่าทำเป็นเล่นไปนะ ถ้าเกิดสงครามโลกแล้วนี่ทุกคนมีปรมาณูอยู่ในมือกันทั้งนั้น แล้วใครคะนองกูทนไม่ได้กดปัง แล้วเป็นยังไง ลองคิดเล่นๆต่อ
ถ้าประเทศใดกดปุ่มปรมาณูใส่ประเทศนั้น ประเทศใดประเทศหนึ่งตูมเข้าไป ประเทศอื่นๆเขาจะมองอย่างไร จะดูดายไหม แล้วมันจะเป็นยังไง
มันจะเป็นอย่างนี้ประเทศที่กดปุ่มฆ่าเขาก็จะมีพวกเหมือนกัน มันก็จะไปช่วยสิมันก็จะไปช่วยสิ พวกนี้ก็จะต้องรุม พวกนี้ก็จะต้องช่วย มันจะไม่ไปช่วยกันทีเดียวหมดทั้ง 200 กว่าประเทศนี่มันไม่หรอก มันก็จะไปช่วยกันกลุ่มนึง แล้วมันก็จะเรียกร้องกันหมด คือมันจะเลวร้าย พูดกันไม่รู้เรื่อง นี่คือกลียุค
ซึ่งคนทุกวันนี้ก็ฉลาดขึ้นแล้วที่จะรู้จักภัยรู้จักโทษ รู้จักความฉิบหายทีรุนแรง ทุกวันนี้มันรู้มากขึ้น และมันก็ทำความฉิบหายความรุนแรงได้มากด้วย สมัยก่อนนี้ฆ่ากันด้วยหอกด้วยดาบ เก่งนะ สมัยนี้อะไรก็ไม่รู้ ไม่เห็นรูปเป็นร่างเลย ไม่เห็นตัวเห็นตนเลย หนีไม่ทัน ไหวไม่ทัน มันร้ายแรงรุนแรงมาก
สรุปแล้วพวกเราชาวอโศกนี้ หลุดพ้นมาจากอำนาจบ้าๆบอๆเหล่านั้น มาได้แล้ว และมันก็มีอิทธิพล อย่านึกว่าชาวอโศกไม่มีอิทธิพล แต่ไม่ใช่อิทธิพลของชาวอโศก เป็นอิทธิพลของธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นอิทธิพลของธรรมะพระพุทธเจ้า ซ้อนอยู่เห็นไหม
ชาวอโศกนี้ดูมีอิทธิพลแต่ไม่ใช่อิทธิพลของชาวอโศก แต่เป็นจากความรู้ของพระพุทธเจ้าที่เรามาปฏิบัติ เกิดพฤติกรรม เกิดจิตวิญญาณ เกิดพลังงานนั้นออกไปเป็นกระแส เป็นรังสี ออกไป ตั้งแต่รูปหยาบจนถึงนามธรรม ถึงรัศมีแสงสีอะไรออกไป ซึ่งมันไม่มีรูปร่าง จนกระทั่งเป็นนามธรรม มันไม่มีรูปร่าง ที่ใช้ศัพท์ว่าแสงสีหรือรังสีอะไรพวกนี้ พูดศัพท์ทางวิชาการว่าเป็น กัมมันตภาพรังสี
กัมมะ อันตะ ภาวะของกัมมะ อันตะ เป็นกัมมันตภาพ รังสีของกัมมันตภาพรังสี มันมีพลังงานออกไปแล้วพลังงานเหล่านี้มันมีฤทธิ์ป้องกันค้ำยันบุคคลเข้าสู่กระแส ถูกรังสีก็ทนไม่ได้ กัมมันตภาพรังสีของปรมาณูเข้ามาใกล้มันได้ที่ไหนเล่า เห็นไหม นึกถึงรูปธรรม นามธรรมก็นัยยะเดียวกัน
เพราะฉะนั้นนามธรรมขั้นจิตวิญญาณของคนมีคุณค่าระดับโลกุตรธรรม มีกัมมันตภาพรังสีของโลกุตรธรรม แล้วโลกุตรธรรมคืออะไร คือความอยู่เหนือไม่ต้องไปปะทะ นึกออกไหมทำรูปให้ดูคุณอยู่ล่างเราก็อยู่บน ไม่ได้ปะทะไม่ได้มาปรบมือกันนะ ไม่ได้มาวุ่นวายกันนะ แต่อยู่เหนือ คุณก็อยู่ชั้นล่างเราอยู่ชั้นเหนือ ลอยกันอยู่คนละชั้น รู้จักขนมชั้นไหม มันอยู่กันคนละแผ่นมันไม่ปนกันนะ ต้องไปอ่านคนคืออะไรทำไมสำคัญนัก ขนมชั้น มันไม่ไปปนกันมันอยู่กันคนละชั้น มันมีกัมมันตภาพรังสีขั้นอยู่ มันไม่เข้าไปเชื่อมต่อกันแล้ว ขนมชั้นต่อขนมชั้นมันติดกันนะ แต่มันมีกัมมันตภาพรังสีของแป้ง สี น้ำตาล อะไรแล้วแต่ มันไม่เข้าไปปนกัน ขนมชั้นหลายๆชั้น แล้วก็หลอกคนกินว่านี่คือขนมชั้นนะจ๊ะ ที่จริงแล้วก็คือแป้งเดียวกันหมดนั่นแหละใส่สีต่างกัน ดีไม่ดีน้ำตาลเท่ากัน ความมันเท่ากันความหวานเท่ากัน แต่สีต่างกันเท่านั้นหลอกคน ขนมชั้นหลอกด้วยสี แล้วคนก็บอกว่าวันนี้ฉันกินขนมชั้น ปัดโธ่เอ๊ย ที่จริงแล้วกินแป้งกับน้ำตาล อาจจะมีมะพร้าว กะทิบ้างนิดหน่อย แต่ขนมชั้นไม่ได้ใส่กะทิอะไรมากมายจะมีแป้งและน้ำตาลเป็นส่วนใหญ่ ขยายความอะไรต่ออะไรสู่พวกเราฟังจะได้เข้าใจเพิ่มขึ้น
สรุปแล้วชีวิตของเราหรือชีวิตของคนทุกคน ในความเป็นปุถุชน ก็มีความทุกข์มีความวุ่นวายอะไรมากมาย พอมาเป็นกัลยาณชนก็รู้จักฐานของความดี มันก็แบ่งชั้นเลย มีชั้นมีวรรณะ แล้วชั้นวรรณะพวกนี้ที่อยู่ในสภาพของวิชาความรู้ ก็เป็นชั้นวรรณะ ที่มีประโยชน์แก่กันและกัน ผู้ที่ชั้นสูงก็ช่วยชั้นล่าง ผู้ที่สูงกว่าก็ช่วยกว่าชั้นล่างกว่าเสมอ
แต่ในอวิชชาในเรื่องของความโง่ แบ่งชั้นวรรณะแล้ว ข่มกัน เอาเปรียบกัน ดูถูกกันดีไม่ดีเหนือชั้นเหนือก็ฆ่าเลย มีสิทธิ์ฆ่า คนนี้เป็นทาส คนนี้เป็นนายทาส จะเป็นเจ้าของทาส ในยุคนี้ไม่มีความเป็นทาสแล้ว แต่ก็ยังข่มกันเป็นเจ้าเป็นนายกันอยู่ จึงมีคำว่า นายทุน คำว่านายทุน มีคำว่านาย แต่บุญ ไม่มีคำว่า นายบุญ
ปฏิญาณศีล 8 เพื่อพ้นสังสารวัฏ เพื่อมาเป็นผู้เสียสละ ผู้รับใช้
คำกล่าวนำปฏิญาณอุโบสถศีล
[พากล่าวคำ นโมตัสสะ ภควโต ฯ ๓ จบ ก่อน]
ณ บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งจิตปฏิญาณ ในงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ครั้งที่ ๔๗ นี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย จะขอบำเพ็ญธรรม ประพฤติตน อยู่ในศีล ๘ อันได้แก่
ปาณาติปาตา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการฆ่าสัตว์ เว้นขาดความโหดร้ายทารุณ เว้นขาดการเบียดเบียนใดๆ จะพยายามสร้างเมตตาธรรม
อทินนาทานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการขโมย เว้นขาดการเอาของผู้อื่น ด้วยเชิงเอาเปรียบ ด้วยการโกง จะพยายามสร้างสัมมาอาชีพ ขยันสร้างสรร เสียสละ ละเลิกความโลภ ละเลิกความเห็นแก่ตัว
อพรหมจริยา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดเรื่องเมถุนธรรม เว้นขาดเรื่องกามคุณ จะเป็นผู้ละเลิกราคะ จะเป็นผู้กำหนดรู้เท่าทันในกาม
มุสาวาทา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการพูดปด เว้นขาดการพูดหยาบ เว้นขาดการพูดส่อเสียด เว้นขาดการพูดเพ้อเจ้อ จะพยายามพูดเป็นสารัตถะเป็นธรรม
สุราเมรย มัชชะ ปมาทัฏฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการเสพติดมัวเมา มีอบายมุขทั้งหลายเป็นต้น มีกามต่อมา มีโลกธรรม ๘ อีก และจะเว้นขาดการยึดภวอัตตภาพทั้งปวง
วิกาลโภชนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจากอาหารและเครื่องใช้ ที่ควรเว้นควรเลิก จะกินจะใช้ตามที่กำหนด จะเป็นผู้พยายามเป็นผู้มักน้อยและสันโดษ
นัจจะคีตะ วาทิตะ วิสูกะทัสนา มาลาคันธะ วิเลปนะ ธารณะ มัณฑนะ วิภูสนฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจากท่าทางอันไม่สมควร คำพูดที่มีเสียงสำเนียงอันไม่สมควร เช่น ฟ้อนรำ ดนตรี เป็นต้น เว้นขาดจากดอกไม้ของหอม เครื่องตกแต่งพอกทา เครื่องประดับประดาประดิษฐ์ประดอย เว้นขาดจากฐานะแห่งการแต่งตัว แต่งงามประดิษฐ์ประดอย
อุจจาสยนะ มหาสยนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจากที่นั่งที่นอนใหญ่ เว้นขาดจากการรับของใหญ่ เว้นขาดจากการสะสมของใหญ่ ที่สุดเว้นขาดการหลงติดความใหญ่
ศีลทั้งหลายเหล่านี้ หากข้าพเจ้าทั้งหลาย ไม่ตั้งใจประพฤติ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ย่อมไม่เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ย่อมไม่ได้ผล ถ้าหากข้าพเจ้าทั้งหลาย ตั้งใจประพฤติ ก็ย่อมได้ ตามธรรมสมควรแก่ธรรม
ดังนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลาย จักตั้งใจ ศึกษาฝึกฝน พากเพียรบำเพ็ญ ตามที่หมู่คณะ ได้นำพา ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกัน ด้วยดี ให้สุดความสามารถ
ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งใจ ปฏิญญาณไว้ ณ โอกาสนี้ …สาธุ สาธุ สาธุ
พ่อครูว่า… ไม่ใช่พูดแต่ปากนะ ไม่ใช่ท่องบ่นปฏิญาณแต่เพียงคำพูดออกไปเราต้องเข้าใจความหมายต่างๆ ไม่เข้าใจก็ขอปริ้นท์เอาไปอ่านทบทวน คําปฏิญาณต่างๆที่เราพูดไป เราเข้าใจอย่างไร คำสอนพระพุทธเจ้าเรียกว่า ไตรสิกขา
3 ไตร สิกขาก็คือการศึกษา สิกขาเป็นภาษาบาลี ศึกษาเป็นภาษาสันสกฤต การศึกษา 3 อย่าง อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา หรือ แบ่งออกมา ขยายออกมาเป็น 3 ใน จรณะ 15 ขยายมาเป็น ศีล อปัณณกปฏิปทา 3 และก็สัทธรรม 7 นี่คือ ขยายมาเป็น 3 สิกขา
เมื่อปฏิบัติโดยมีศีลเป็นหัวข้อหลัก อันนี้แหละอาตมาย้ำ พยายามบอกในศีลแต่ละข้อ มันจะต้องมีพันธกิจหรือมีสัมพัทธภาพ กับ อปัณณกปฏิปทา 3 ไม่ได้แยกกันนะ แยกกันไม่ได้
ศีลข้อ 1 เรื่องของสัตว์ คุณจะไม่ฆ่าคุณจะไม่ทำร้ายทำลาย คุณจะไม่เบียดเบียน คุณจะมีแต่กรุณา เอ็นดูกัน เอื้อเฟื้อเจือจานกัน หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ ท่านตรัสไว้ชัดในรายละเอียดของศีลข้อ 1
เพราะฉะนั้นในคนนี่เป็นสัตว์ชนิดที่จะต้องปฏิบัติจัดการปฏิบัติตามศีลของพระพุทธเจ้าสำคัญที่สุด สัตว์เดรัจฉานอาตมาก็พูดแยกให้ฟัง สัตว์เดรัจฉานแต่ละตัว ปล่อยมันไป มันอยู่ตามยถากรรมของมัน เราไม่มีเวลา ไม่มีเวลาจะไปจัดการกับวิบากกรรมของมัน เปลี่ยนแปลงมันไม่ได้ สอนมันไม่ได้ มันเป็น อเวไนยสัตว์แท้ๆ สัตว์เดรัจฉานน่ะ ไม่ต้องไปก่อวิบากกับมัน โดยที่ไปเกี่ยวข้องกับมัน เอามันมาเลี้ยงเอามันมาฆ่ากินไม่ต้องมันเป็นวิบากทั้งนั้น
วิบากด้วยรัก เอามันมาเลี้ยง ยิ่งวิบาก เอามันมาใช้งาน คุณใช้งานมันคุณให้มันคุ้มไหม คุณว่าคุณรักมันคุณให้อะไรมันคุ้มไหม คุณเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย คุณก็จูงมันไปกินหญ้ามันก็กินของมันเอง แค่คุณจูงไป แต่คุณเอาประโยชน์จากควายเท่าไหร่ เป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้าน ดีไม่ดีหลอกคนว่าควายตัวนี้ขาย 3 ล้าน 5 ล้าน ควายบ้าอะไรจะตัวละ 3 ล้าน 5 ล้าน เห็นไหมมันหลอกกัน ไม่รู้จะเอาไปบูชาหรืออย่างไรควาย 3 ล้าน 5 ล้าน พูดไปแล้วอาตมาเหมือนหยาบ ไปพูดว่าเขาแรงๆ ก็ต้องกระแทกแรงๆพวกนี้โง่ซับซ้อนแล้วหลอกอะไรกันนักกันหนา
เพราะฉะนั้นเรื่องสัตว์เดรัจฉานไม่ต้องไป ปล่อยเขาไปตามยถากรรม ไม่ต้องไปเลี้ยง ไม่ต้องไปรัก ไม่ต้องไปชัง ไม่ต้องไปเอาเขามาใช้แรงงาน ใช้แรงงานคนด้วยกันนี่ ฝึกคนให้มีความสามารถ แต่คนมันเห็นแก่ตัว มันก็ไปเอาแรงงานช้างแรงงานควาย ๆแรงงานม้า พูดอย่างไรมันก็ไม่หยุดกันหรอกเขาก็ทำกันทั้งโลกแล้วมันก็ได้ประโยชน์มันก็เห็นแก่ตัว จะพูดอย่างไรก็บอกไอ้พวกนี้มันบ้า โพธิรักษ์มันบ้า ก็เขาได้ประโยชน์นะ ประโยชน์นี่คือคนเห็นแก่ตัวคุณก็ได้ประโยชน์ แล้วคุณก็ไม่รู้ ซ้อนกรรมวิบาก คุณไปใช้ม้าใช้ควายใช้ช้าง คุณเอาเปรียบมัน กรรมวิบากคุณจะต้องไปเวียนวนอีก เจ้าหนี้ช้างม้าวัวควายที่มันเป็นเจ้าหนี้คุณเพราะคุณไปใช้มัน ไปเอาเปรียบมัน วิบากกรรมมันก็หมุนเวียนเข้า นี่ยังไม่ใช่ไปกินมันนะกินมันเอาชีวิตมันเลย ไอ้นี่ไปเอาแรงงานมัน (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
ความซับซ้อนของกรรมของวิบากพวกนี้เยอะ ละเอียดลออ ยากที่จะเข้าใจ เพราะฉะนั้นเทวนิยมไม่รู้เรื่องกรรมวิบาก ทางสายเทวนิยมเรื่องโลกีย์เขา ศาสนาอื่น ศาสนาที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ เขาก็วนเวียนอยู่ในวงวัฏสงสาร วนเวียนอะไร ใช้หนี้กัน และกัน
ได้เปรียบกันก็ไปเป็นผู้อยู่เหนือ ลดลงมาเสียเปรียบมากที่สุดมาอยู่ล่างที่สุด ดูอย่างอินเดีย จนกระทั่งยึดชั้นวรรณะ ชั้นต่ำสุด ชั้นศูทร ต่ำกว่านั้นไม่ต้องพูดเลย จัณฑาล ไม่ต้องพูดเลย ถูกเหยียบย่ำขนาดเหมือนกับไม่ใช่คน เป็นยิ่งกว่าสัตว์ สัตว์เขายังแตะต้องนะ แต่จัณฑาลยิ่งกว่าวัวกับควาย วัวนี้คนอินเดียเขายกมือไหว้นะ แต่จัณฑาลนี้เข้ามาใกล้เข้ามาเหยียบพื้นเหยียบที่เขาใช้น้ำนมล้างเลยนะ ซึ่งมันรุนแรงมากเลยในเรื่องของการแบ่งชั้นวรรณะ
เพราะฉะนั้น อันนี้เขาอยู่ได้ คนของเขาตั้งพันกว่าล้าน เขาต้องอยู่แบบนี้ แล้วเขาก็ซื่อ อินเดียเป็นพวกซื่อ ยอม ยอมจริงๆเลยนะ ขนาดที่ให้จัณฑาลอาบน้ำชั้นล่าง คนอื่นเขาอาบชั้นบนมา หลายชั้นแล้ว ชั้น พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ ศูทร เขาขึ้นไปไม่ได้เขาถือว่าละเมิดบาปเป็นเทวนิยม ที่จริงมันก็ดีทำให้ไม่วุ่นวายไม่สับสนไม่แย่งชิง มันก็อยู่กันรอด
ส่วนฝ่ายคนจีนนั้นฉลาดสายปัญญา ก็มีชั้นวรรณะน้อย ฝ่ายตะวันตก ฝ่ายยุโรปไปเทวนิยมอีกแบบหนึ่ง ไม่ใช่ปัญญานิยม ไม่ใช่สายเอเชีย เขาก็แบ่งชั้นวรรณะของเขาอีกแบบหนึ่ง แบ่งสีผิวแบ่งฐานะ แบ่งอำนาจทางโลกอะไรต่ออะไรกัน เขาแบ่งอีกมุมนึง อีกเหลี่ยมมุมนึง อีกมิตินึงไป เสร็จแล้วมันก็คือเบียดเบียนกันเหยียดกัน
พระพุทธเจ้าตรัสรู้กันแล้วว่าคนเรามันเหมือนกัน ได้อาการ 32 ได้มาเป็นคนเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นเพศผิวพรรณใด คนอยู่ในฐานะใด ส่วนไหน ซึ่งทางตะวันตก ทางยุโรป เขาก็มีอุดมคติกันนะว่ามีความเสมอภาค ภราดรภาพ สันติภาพ อะไรของเขามี 3
แต่อาตมาเป็นคนเอามายืนยัน ภาษานี้เป็นภาษาสมัยใหม่ เสมอภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ ภาษาสมัยพระพุทธเจ้ายังไม่มีอันนี้ เพราะว่ามันเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จะไปบอกว่าเฮ้ยต้องเสมอภาคได้อย่างไร มันเป็นยุคทาสไม่ได้ มันพูดกันไม่รู้เรื่องหรอก เขายังไม่รู้เรื่องกันนะ คนที่เป็นทาสก็ไม่รู้จักสิทธิของเขา เขาก็เหมือนกับจัณฑาล เขาเป็นทาสเขาไม่มีสิทธิ์หรอก เขาก็เหมือนสมบัติของนาย นายจะฆ่าจะแกงจะอะไรได้หมด กฎหมายก็ยังไม่มี นายทาสสามารถฆ่าลูกทาสได้ เพราะเป็นสมบัติของเขา ยิ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นเจ้าของหมดเลย ทั้งนายทั้งลูกทาส แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว
ยุคนี้ไม่มีแล้ว แต่ก็ยังแบ่งชั้นที่จะเป็นเจ้าโลก เป็นอำนาจ แต่ก็ยังแบ่งที่จะเป็นเจ้าโลกเป็นอำนาจบาตรใหญ่ มันหมดกันที่ไหนเล่า
เพราะฉะนั้นใครที่รู้ก่อนมีปฏิภาณหลุดพ้นต้องมาเมตตาเกื้อกูลช่วยเหลือกันสิ ใครเหนือกว่าคนนั้นเสียสละ เพราะฉะนั้น ใครที่รู้ก่อนมีปฏิภาณหลุดพ้นต้องมาเมตตาเกื้อกูลช่วยเหลือกันสิ ใครเหนือกว่าคนนั้นเสียสละ ใครเหนือกว่าคนนั้นยอมรับใช้ อาตมาใช้ศัพท์ถูกแล้วนะผู้ที่เหนือกว่ารับใช้ก็คือช่วยเหลือ ทำงานนั่นแหละ ทำงานช่วยคนที่ด้อยกว่าสิ
เหมือนพ่อแม่ต้องช่วยลูก ลูกยังอ่อนกว่ายังไม่เป็น ด้อยกว่าพ่อแม่ ก็ต้องช่วย อย่างนี้ต่างหากคือความเจริญ ไอ้คนเหนือกว่าแล้วไปเอาเปรียบคือคนชั่ว
คุณเหนือกว่าคุณก็ต้องเสียสละช่วยเหลือสิ แต่คุณกลับไปข่มเขาเอาเปรียบเขา ดีไม่ดีฆ่าเขาเลย อย่างสงครามที่เห็นๆกันอยู่ในสงครามทุกวันนี้ ฆ่า แล้วไอ้ที่เป็นนายซ้อนกันอยู่ในหมู่ของเขา สั่งการ ให้ลูกน้อง ลูกน้องนั่นแหละกลายเป็นทาส นายคือนายทาส ให้ลูกน้องไปตาย ไอ้นายอยู่
อาตมาพูดให้ผิดไหม และมันก็เป็นอยู่อย่างนั้น เพราะ ฉะนั้นผู้ที่สูงกว่าเหนือกว่าต้องมาทำงานรับใช้ ไม่ใช่รับจ้างนะ อาตมาพยายามแยกศัพท์คำนี้อยู่ ไม่ใช่ไปรับจ้าง เอาสิ่งตอบแทนจากคนที่เราไปทำงานให้เขา ไม่ใช่ เสียสละจริงๆเลยเพราะมันเป็นสัจจะ คนเหนือกว่า เก่งกว่า รู้กว่า ฉลาดกว่า อะไรก็แล้วแต่ ก็ต้องช่วยคนที่เขาด้อยกว่า ไม่ใช่ไปข่มไปเบ่งดีไม่ดีเอาเปรียบไปฆ่าทิ้งเลย ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมาอย่างนี้
ยุคนี้เป็นยุคอยู่ร่วมกันช่วยเหลือกันไม่ใช่ไปเข่นฆ่ากัน มันยุคเจริญแล้ว แต่มันก็ซ้อนอยู่ คนเจริญมันเจริญถึงขีดโลกุตระ แต่คนยังโง่มันยังโง่ดักดานมันจะฆ่าแกงกัน ยังไม่หยุดเลย แต่มันก็ยับยั้ง ซึ่งอาตมาก็พูดไปแล้วสงครามโลกมันไม่เกิดหรอก เพราะมันมีปฏิภาณรู้แล้วมีไหวพริบรู้แล้ว ถ้าเกิดสงครามโลกครั้งนี้หมด โลกนี้หมดแหละ ดีไม่ดีครึ่งค่อนโลกไม่เหลือ บางประเทศหมดเกลี้ยงประเทศเลย บางประเทศก็มีเศษเหลือไม่ตาย มีบารมีรอด
สมัยโบราณเขาก็ทำอย่างนี้มาหยาบๆแล้วสมัยนี้มันซ่อนละเอียดกว่านั้น สมัยก่อนก็ทำอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเราไม่ทำอย่างนั้นเราอยู่ด้วยกันอย่างมีอุดมคติ Globalization ไม่ต้องมีขีดคั่นทุกประเทศในโลก ไม่มีขีดคั่นไปมาได้ไม่ต้องมีวีซ่าไม่ต้องมีพาสปอร์ต ไม่ต้องมีอะไรต่ออะไรเป็นอุดมคติ ซึ่งมันทำไม่ได้หรอก มันต้องมีกฎเกณฑ์ที่จะต้องร่วมกัน คนที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้รุนแรงด้วย ขืนปล่อยอย่างนี้จะเป็นยังไง Chaos หมดเลยวุ่นวายตายชัก ไม่มีระบบระเบียบอะไรเลย คุมไม่ได้หรอก บรรลัยจักรหมด
เพราะฉะนั้นก็ต้องอยู่กันอย่างจิตวิญญาณเป็นประธาน จิตวิญญาณเห็นผู้ด้อยกว่าเราก็ต้องเกื้อกูลช่วยเหลือเสียสละ ศาสนาพุทธสอนถึงขั้นนี้ ศาสนาคริสต์เขาบอกว่าเขาตบแก้มซ้ายเราก็ยื่นแก้มขวาให้เขาตบอีกที แต่ศาสนาพุทธนี้แม้แต่เขาจะฆ่าเราเราก็ยอม เขาตัดแขนเราก็ยังดีนะ เขายังไม่เอาเลื่อยมาเลื่อยตัว เขาเลื่อยตัวก็ยังดีนะขาดส่วนขาส่วนแขนไปก็ยังดีที่เขาไม่เอาชีวิต เขามาเอาชีวิตก็มาเอาชีวิตไปไม่ต้องไปอาฆาตมาดร้ายกัน
นี่อาตมากำลังจะเริ่มอธิบายธรรมะที่จะพยายามอธิบายความซับซ้อนใน 13 สูตร ในเล่มนี้ที่ผู้รู้โบราณท่านเรียบเรียงเอาไว้ในพระไตรปิฎก ได้เห็นความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ สลับซับซ้อนสัมผัสกันอย่างซับซ้อนหลายเหลี่ยมหลายมุม ตามที่มีเวลา 6-7 วันที่จะพูด ไม่พูดแล้ว ที่จริงอาตมาถูกริบไป วันนี้ไปแล้ว อีก 3 วัน โอ้โห..แล้ว 3 วันมันจะอธิบายหมดเลย
ชีวิตของคน อาตมาเห็นแล้วว่า ศึกษา ศึกษาไปเถอะ แล้วโดยเฉพาะความรู้ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วเอามาตรัสให้พวกเรารู้ เรียกว่าตรัสรู้ พระพุทธเจ้าเอาที่ท่านรู้มาตรัสมาพูดมาอธิบายมาบอก ให้เราได้รู้ตามก็เลยมีคำรวมไว้เอามาสมาสกันเข้าไปเป็น คำเดียวคือตรัสรู้ ให้พวกเราได้รู้สิ่งที่ท่านตรัสหรือท่านตรัสสิ่งที่ท่านได้รู้มาก่อนแล้วให้คนอื่นได้รู้ตามเอาไปปฏิบัติตามบรรลุผลตาม
นี่คือเรื่องของคน เรื่องของมนุษยชาติ เป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในเรื่องของความเป็นมนุษย์ ไอ้ไปอยู่เหนือกัน ฆ่ากันแกงกัน มีอำนาจบาตรใหญ่เป็นเจ้าโลกนั้นมันเก่าโบราณแล้ว มันตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์มาตั้งแต่ผีตองเหลืองก็ยังไม่ดุไม่ฆ่ากัน ต้องเป็นยุคคนเถื่อน จนกระทั่งนึกว่ามันเจริญมาแย่งมาฆ่ามาแสดงอำนาจสมัยเจ็งกิสข่าน สมัยอเล็กซานเดอร์มหาราชล่าอาณาจักร ล่าเมืองขึ้น ไอ้นั่นมันเก่าแก่เห็น เดี๋ยวนี้ก็ยังเก่าแก่จะล่าเมืองขึ้น เป็นแต่เพียงวาทกรรมเปลี่ยนแปลงว่าฉันช่วยคุณอาตมาถึงบอกว่า เลวที่สุดในแผ่นดินคือหากินบนคำว่าช่วยเขา ขี้หมาเน่าๆไงครับ มันไม่ได้เรื่องเลย มันก็ใช้แต่วาทกรรมโวหารภาษาพูดไป ว่าไอ้เรื่องภาษาโวหารนี้ อาตมามีสำนวนหนึ่งว่า เขาพูดมาเอา 5 หาร ถ้าหารไม่ลงตัวโยนทิ้ง ก็ไม่รู้ความหมายเก่าๆเป็นอะไร พอพูดมาเอา 5 หาร หารไม่ลงตัวก็โยนทิ้ง ไม่รู้หมายความว่าอะไรเหมือนกัน
คือเอามาไตร่ตรองวิจัยแยกแยะดูให้ชัดเจน ว่าไอ้ที่พูดมานั้นมันหมายถึงอะไรกันแน่ละเอียดลออ แล้วมันซับซ้อนลึกซึ้งอยู่ในนั้นอย่างไร มาดูดีๆมันมีอะไรซ่อนกลซ่อนเชิงอยู่ในนั้น คนเรานี่นะมีอะไรซ่อนกลหรือซ่อนเชิงอยู่ โดยรู้ตัวก็ดีเจตนาจะซ่อน โดยไม่รู้ตัวก็ดีก็คิดว่าจะเอาเปรียบเอารัด มันเห็นแก่ตัวจะเป็นอย่างนั้น โดยไม่รู้ตัวก็ต้องเอาเปรียบให้ได้ก็มี
เพราะฉะนั้นคนที่รู้แล้วไม่เอาเปรียบ รู้ตัวอย่าไปทำ เสียสละดีกว่าประเสริฐกว่า เอาเปรียบเลว เกื้อกูลผู้อื่น ดี
พระพุทธเจ้ามาสอนคน. มาให้คนพิสูจน์จนกระทั่งไม่มีตัว ไม่มีสมบัติ อะไรต้องเป็นของตัวเลย แล้วก็มีความขยัน เพราะฉะนั้น วรรณะ 9 จึงจบด้วย วิริยารัมภะ อปจยะ
อปจยะ คือ ไม่มีอะไรเป็นของตัวแล้วไม่สะสม แต่เป็นคนขยันสร้างสรรค์ สร้างสรรค์แล้วก็เสียสละ สร้างแล้วก็ให้เอาไปให้หมด สร้างแล้วให้หมดสร้างมาเท่าไหร่ให้หมด ที่อาตมาใช้ศัพท์ว่าเสียภาษี 100% ให้หมดให้ไปไหน ถ้าไม่กระจายก็รวมเป็นกองกลาง ให้ไปแล้วสะพัดไม่มีที่พักเลย มันก็กระจายไปทั่วถึงกันไม่มีที่เก็บ แต่เมื่อสะพัดไปแล้วมันมีที่พักก็เป็นกองกลาง แล้วกองกลางก็จัดการสะพัดอีกทีนึง พวกเราก็แบ่งกินแบ่งใช้จากกองกลาง กองกลางก็จะมีความอุดมสมบูรณ์เพราะคนสร้างเป็นคนกินน้อยใช้น้อย จึงมีส่วนเหลือส่วนเกิน แล้วส่วนเหลือส่วนเกินก็กองรวมอยู่ในกองกลาง
คุณคนหนึ่งมีแรงงานทำงานแล้วตีราคาแล้วประมาณ 1,000 คุณกินใช้แค่ 200 ก็เหลืออีกตั้ง 800 คนหนึ่ง 800 มี 2 คน 1,600 มี 3 คนก็ 2,400 มี 5 คน 10 คน 20 คนเข้าไปมันก็เยอะ เพราะฉะนั้นกองกลางของคนจนมาก มาก
เพราะฉะนั้นเอามาสร้างของส่วนกลาง ของที่ร่วมกันใช้ร่วมกันอาศัย เรียกว่าสาธารณูปโภค มันก็ดูมีอุดมสมบูรณ์แข็งแรง อย่างบ้านราชเรา ตอนนี้เอาสายไฟฟ้าลงดินหมด เอาท่อร้อยลงใต้ดินหมด ไม่ให้มันรกรุงรัง เสาไฟฟ้าเอาออกหมด แพงนะ เราทำได้คนไม่ค่อยรู้หรอกแต่พวกเรารู้กัน แต่สายทางด้านโยธาเขารู้ทั้งนั้น เอาสายไฟฟ้าลงดินมันแพง เราทำได้ บ้านราชเราทำแล้ว เอาลงดิน โดยเฉพาะเรื่องส่วนกลางส่วนไหนทำแล้ว ส่วนนอกไปรัศมีนั้นไม่ใช่เราทีเดียว แต่ในส่วนที่เราเป็นสิทธิ์ของเรา เราลงหมดแล้วหมดไปหลายล้านเราก็ทำ เรียบร้อยปลอดภัยด้วย สายแรงสูงข้างบนมันไม่ดีไม่ปลอดภัย ดีไม่ดีงูพาดก็ช็อตก็ไม่ดีอีก ตัวเองงูก็ตาย มันทั้งไม่สวยไม่งามไม่สมบูรณ์แบบ แต่ไอ้นี่สมบูรณ์แบบ อะไรอย่างนี้เป็นต้น
สิ่งที่เราทำได้ในพวกเรานี้ เป็นคนจนนะ คนไม่มีเงินนะไม่ใช่พูดเล่นมันไม่มีจริงๆไม่ได้เอามากอบมาโกยไม่ได้เอามาสะมาสม เรามีแต่ทำแล้วสะพัด เป็นแต่เพียงมีเหลือ ก็หมุนเป็นคงคลังนิดหน่อย พอสะพัดเป็นประจำวันประจำเดือนประจำปีพอเป็นไป เราก็ประมาณมัตตัญญุตาให้มันได้สัดส่วน ไม่ขาดไม่รันช็อต Cover ดีก็เป็นต่อไปเราก็ทำของเรา มันเป็นความฉลาดที่เรารู้ว่าเราจะทำกับสังคม โดยเฉพาะที่สังคมเรารับผิดชอบ สังคมที่เราต้องดูแลช่วยเหลือ
อโศกพยายามจะช่วยเหลือ ในๆ ที่เป็นชาวอโศกขยายออกไป แต่อุดมคติของชาวอโศกมันไปขัดแย้งกับอุดมคติของคนข้างนอกเขา แม้แต่ เถรสมาคม. เขาเป็นพวกศาสนาด้วยยังขัดแย้ง เพราะเขาไม่เอามาจน เพราะเขาไม่เอาไม่มียศไม่มีศักดิ์ เขายังมีโลกธรรม เขายังมี ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เขายังเสพสุขด้วย กาม เสพสุขด้วย ลาภยศสรรเสริญ เสพสุขด้วยอัตตา ที่เขายังไม่รู้ตัว เขายังทำเต็มรูปอยู่เลยเห็นชัดๆ แต่จะไปว่าเขาทีเดียวเสียก็ไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้เป็นต้นตัวกลาง มันเสื่อมกันมาตั้งแต่นานแล้ว มาถึงวันนี้เขาก็รับเชื้อ
50 กว่าปีอาตมาแก้ไขปรับปรุงมาเป็นโลแกุตระได้แค่นี้ ไม่มีคนชมอาตมา มีพวกคุณเห็นคุณค่าชม ชม สุดเกล้าสุดเศียร พูดยกยออาตมาจนกระทั่งคนอื่นเขาจะอ้วกแตกตาย โพธิรักษ์มันอะไรกันนะมีคนยกย่อง แหม โพธิรักษ์ก็ ดังปึง ภาษาอีสานแปลว่าหน้าบาน จมูกบาน ปึ่งออกมาโตออกมา ศัพท์ที่รู้กันทั่วคือหน้าบานที่แท้ก็ระบบการออกมาเรื่อยๆ แหม จงดีใจไม่ได้รับคำยกย่องชมเชย
อาตมาพอรู้ตัวเองว่าคำยกยอยกย่อง อาตมาจะยินดีด้วยคำยกยอยกย่องหรือ ถ้าอาตมายินดีในคำยกยอยกย่องนั้นอาตมาก็เป็นขบถ ขบถต่อพระพุทธเจ้า อย่างแน่แท้
ในพรหมชาลสูตร…
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวติเรา ติพระธรรมติพระสงฆ์ ในคำที่เขากล่าวตินั้น คำที่ไม่จริง เธอทั้งหลายควรแก้ให้เห็นโดยความไม่เป็นจริงว่านั่นไม่จริง แม้เพราะเหตุนี้ นั่นไม่แท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้นั่นก็ไม่มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาไม่ได้ในเราทั้งหลาย
พ่อครูว่า… คนเขาอยากจะทราบเราก็เปิดเผยให้ดูให้เห็น เปลือยให้เห็นเลย ไม่ใช่คำหยาบนะ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรมชมพระสงฆ์ เธอทั้งหลายไม่ควรเบิกบานใจ ไม่ควรดีใจ ไม่ควรกระเหิมใจในคำชมนั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ ดูกรภิกษุทั้งหลายถ้าเธอทั้งหลายจักเบิกบานใจ จักดีใจ จักกระเหิมใจในคำชมนั้น อันตรายจะพึงมีแก่เธอทั้งหลายเพราะเหตุนั้นเป็นแน่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพวกอื่นจะพึงกล่าวชมเรา ชมพระธรรม หรือชมพระสงฆ์ ในคำชมนั้น คำที่จริง เธอทั้งหลายควรปฏิญาณให้เห็นโดยความเป็นจริงว่า นั่นจริงแม้เพราะเหตุนี้ นั่นแท้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้คำนั้นก็มีในเราทั้งหลาย และคำนั้นจะหาได้ในเราทั้งหลาย.
พ่อครูว่า… คำตรัสพระพุทธเจ้าในพารากราฟนี้มีแค่นี้ อาตมาทำตามคำสอนพระอนุสาสนีย์ของพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น คนชมอาตมา อาตมาก็ฟัง อ้อ มี ก็จบในตัว ไม่คัดค้านจะชมก็ชมไปแต่ทุกข์แล้ว
เขาติ มีในเราอันใด เราก็แก้เสีย ปรับปรุงตัวเสียขอบคุณเขา กราบเขาเลยเขาติเราถูกมันเป็นคุณค่าประโยชน์แก่เราเหลือเกิน เราโง่ ไม่รู้ตัวให้เขามาบอกให้เขามามองให้ ก็กราบขอบคุณเขาที่เขาติ
เพราะฉะนั้นคำติจึงเป็นคุณค่าอย่างยิ่ง คำชมนั้นพระพุทธเจ้าบอกว่า เป็นคำเลวร้ายไม่เกิดความเจริญอะไรแก่เราเลย คิดดูสิเป็นความจริง คำติเป็นความจริงมีคุณค่า คำชมเป็นคำไร้ค่า แต่คนไปชอบคำชมคำสรรเสริญยกย่องจึงซวย
จบ