660306 พ่อครูเทศน์วันมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯครั้งที่ 47 ปฐมอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1s7_ik-G1hqHUngU-moaRSAw3d_BRirM-P5I5si2v5Vg/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1YP9xWA1p0IGmoBr3D3k_R1vDu2Hi2BN4/view?usp=share_link
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/jZSHqedUfCc
และ https://fb.watch/j5DMSVhWhT/
พ่อครูว่า… เจริญธรรมทุกๆคน วันนี้วันจันทร์ที่ 6 มีนาคม 2566 ที่บวรปฐมอโศก วันที่ 6 พ.ศ. ก็ 66 ขึ้น 15 ค่ำเดือน 4 ปีเถาะ วันนี้นับเป็นวันมาฆบูชา มาเดือน 4 แล้ว แต่ก็ทางจันทรคติเขายังต้องให้กำหนดนับเอาวันนี้เป็นวันมาฆบูชา เป็นวันสำคัญ
วันมาฆบูชาเขาถือว่าเป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงที่สุด กลมที่สุด สว่างที่สุด ในหนึ่งปี หมุนเวียนมาบรรจบครบกัน 12 เดือน วันที่ลงตัวที่สุดที่พระจันทร์จะแสดงตัวต่อโลก โลกลูกนี้ ก็ถือว่า วันขึ้น 15 ค่ำเดือนมาฆะ ทางจันทรคติเขามาก่อน สุริยคติ เขาก็กำหนดกันไว้มานานแล้ว ก็ได้อย่างนั้น
เอา วันนี้อาตมาก็เตรียมเรื่องที่จะเอามาบรรยาย เอาไว้ สำหรับวันนี้ ก็จะเป็นเรื่องเก๊าเก่า เป็นเรื่องสามเส้า ของคำสอนศาสนาพุทธ คือ ทาน ศีล ภาวนา กับ ศีล สมาธิ ปัญญา 3 เส้าของ 2 นัยยะนี้ มีนัยยะสำคัญที่ต่างกัน เหลื่อมกันอยู่ หมุนรอบเชิงซ้อนอยู่ เดี๋ยวค่อยขยายความ เดี๋ยวค่อยอธิบาย
นักกลอนนอนเปล่าก็เศร้าใจ เขียนมาให้อาตมาในวันมาฆบูชานี้อยู่ 2 ราย ซึ่งก็เหมือนรายเดียว คือ ท่านสมณะเด่นตะวัน กับเพื่อนของท่านเด่นตะวัน
“มาฆบูชาวันนี้”
@วันมาฆบูชานั้นสำคัญไฉน
ชาวพุทธไทยควรระลึกควรศึกษา
ขึ้นสิบห้าค่ำเดือนสี่หกมีนา
พระศาสดาสอนธรรมสามประการ
@เรียกกันว่าโอวาทปาติโมกข์
พุทธศาสน์ทั่วโลกแผ่ไพศาล
ศาสดาทุกยุคทุกกัปกาล
ทรงประทานประกาศโอวาทมา
@สัพพะ ปาปัสสะอะกะระณัง.
จงหยุดยั้งชั่วบาปถือศีลห้า
กุสะลัสสูปะสัมปะทา
สร้างกุศลบุญญาพร้อมเพริดแพรว
@สะจิตตะปะริโยทะปะนัง
อย่าหยุดยั้งชำระใจให้ผ่องแผ้ว
พระพุทธองค์บัญญัติไว้ให้เป็นแนว
จงแน่แน่วน้อมนำทำความดี
@ทั้งเป็นวันจาตุรงคสันนิบาต
วันประหลาดเกิดอัศจรรย์ขึ้นทั้งสี่
หนึ่งเป็นวันมาฆะฤกษ์พอดี
สองสาวกล้วนมีแต่อรหันต์
@สามเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา
สี่ท่านมาโดยมิได้นัดหมายนั่น
มาชุมนุมนอบน้อมพร้อมเพรียงกัน
ตั้งหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบองค์
พ่อครูว่า… นี่ของท่านสมณะเด่นตะวัน ก็เป็นการทบทวนความจำว่าวันมาฆบูชาคืออะไร มีความสำคัญไฉนเท่าที่ได้เรียนรู้กันมาแล้ว ส่วนอีกอันหนึ่งของเพื่อนท่านเด่นตะวัน
๏ สวัสดีกันวันมาฆะหกมีนาจ้ะ !
จงได้ใฝ่รู้ดูกัน.
๏ อันวันเพ็ญเดือนสี่นั้น ก็อาจเป็นวัน-
“มาฆะ”สพร่างพรรณราย.
๏ อัน”มาฆะ”อย่าคิดง่ายง่าย จงรู้ความหมาย
มิใช่อ้างอวดตำราใด.
๏ จาตุรงค์องค์สี่อะไร ท่องจำทำไม
ไร้เหตุไร้ผลเที่ยงตรง.
๏ พันสองร้อยห้าสิบองค์ ท่องไร้สาระ,งง.!
ไม่เห็นต้องมาแจกแจง.
๏ เป็นวันพุทธองค์สำแดง โอวาทฯ บ่แคลง
เพื่อพุทธศาสนาบวร.
๏ ไม่ใช่วันที่สั่งสอนเรื่อง”รัก”สุนทร
แห่งพุทธศาสนิกชน.
๏ เพ้อเจ้อกันจนลานลน บ้ากันเสียจน
ไม่ดูเหตุผลต้นปลาย.
๏ เห็นฝรั่งมี”วาเล็นไทน์” ก็คิดง่ายง่าย
เพื่ออวดตะแบงแข่งเขา.
๏ เป็นพุทธต้องไม่ดูเบา เรื่องโมหะเขลา
อย่ามืดมึนมัวชั่วทราม.
๏ วันนี้ระลึกคุณงาม ที่เกิดสังฆาราม
เพื่อสืบศาสนาดำรง.
๏ ชาวพุทธต้องใจมั่นคง มีสติเที่ยงตรง
ไม่หลงเลี้ยวสู่อบาย.
๏ สิ่งชั่วอย่ามา-กล้ำกราย สิ่งดีใดหมาย
จงมาสู่ท่านพลันเทอญ.๚ะ๛
พ่อครูว่า… อ้าว เอาความก็ได้ความ จะพยายามเป็นนักกวี ก็ฝึกอีกเยอะๆษหน่อย ตามที่อาตมาว่า อาตมาก็เป็น ไม่มีใครว่าอาตมาเป็นนักกวีหรอกแต่ว่าอาตมาก็สนใจและฝึกฝนเรื่องกวีการนี้มาตั้งแต่อายุ 10 กว่าขวบ ตั้งแต่เรียน ม. 3 ม. 4 ซึ่งเป็นมัธยมโบราณนะ โบราณนี้จบป. 4 แล้วขึ้นมา ม.1 ม.2 ม.3 รวมแล้วมันก็ประมาณไหนล่ะ ก็ประมาณมัธยม1 ของยุคนี้ ไม่ต้องพูดอายุเพราะอาตมาริอาจทำอะไรมาตั้งแต่เด็กๆอายุน้อยๆ เกินวัย เพราะฉะนั้นมาแต่งกาพย์กลอนมาแต่งเพลงตั้งแต่อายุน้อย ทำอะไรมาได้ก่อน โตกว่าอายุ
ทาน ศีล ภาวนา ให้เป็น ศีล สมาธิ ปัญญา
พ่อครูว่า… เอา มาเข้าเรื่อง ที่อาตมาจะเทศน์วันนี้ ตั้งใจจะเทศน์ก็คือ เรื่องทาน ศีล ภาวนา เป็นหลัก ทีนี้ก็มามีศีล สมาธิ ปัญญา หรือ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา
ทานศีลภาวนานั้นมันเป็นกรอบใหญ่ของการปฏิบัติธรรมทั้งหมดของศาสนาพุทธ ทีนี้ เจาะลึกซ้อนเข้าไปอีกก็ให้ปฏิบัติ อธิศีล ทานศีลภาวนารวมหมด ทานศีลภาวนา คือการเกิดผลเจาะเข้าไปเป็นศีลสมาธิปัญญา หรือ ตัวภาคปฏิบัติก็คือ อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา แล้วมีผลเป็น อธิมุติ และยังแถมมีวิมุติญาณทัสนะอีกให้ครบ
อาตมาวันนี้จะขยายตัวหลักๆคือ ทาน ศีล ภาวนา ที่เป็นศาสนาพุทธที่สัมมาทิฏฐิ
ทาน ศีล ภาวนา ที่ท่านผู้รู้ชาวพุทธยุคนี้ได้อธิบายกัน ก็มักจะอธิบายแยกกันไป ไม่มีปฏิสัมพัทธ์หรือว่าไม่มีปฏิสัมพันธ์กันอย่างที่มันควรจะเป็น
ที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือได้เข้าใจผิดโดยไปแยก ภาวนาออกไปเป็นการปฏิบัติ ภาวนากลายเป็นการปฏิบัติชนิดหนึ่ง เขาแยกอย่างนั้นเลยในหมู่พวกนักปฏิบัติทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติผิด คือพวกนักปฏิบัติที่หลับตา นักปฏิบัติที่หลับตานี่แหละจะเป็นคนที่ใช้คำนี้มาก บอกว่าไปภาวนาๆ ก็คือให้ไปปฏิบัติ แล้วไปปฏิบัติ สรุปง่ายๆก็คือไปนั่งหลับตา
เพราะฉะนั้นแทบจะใช้ได้เลยว่าคำว่า ภาวนา คือไปหลับตา ปฏิบัติเข้า ปฏิบัติอย่างเดียวไม่ต้องลืมตา ไม่ต้องคิดอะไรด้วยนะ อย่าคิดอะไรปฏิบัติเข้าไปแล้วจะรู้หมดเลย ปัญญาจะเกิดในนั้นหมด นี่ เขาอย่างนี้เลย
ที่จริง สู่แดนธรรม เขาเคยไปคลุกคลีกับหมู่ใหญ่มา เคยเป็นลูกศิษย์ทางสายนั่งหลับตามา น่าจะเป็นลูกคู่ทีเดียว วันนี้เขามา มา เอาไมโครโฟนมานั่งนี่จะได้เป็นคู่สอย
เพราะฉะนั้นคำว่าภาวนาก็เลยไปหมายเอาว่า การนั่งหลับตาสะกดจิตเข้าไปๆๆ ให้จิตสงบนิ่งนิ่งๆให้ได้ให้ชำนาญ ให้เก่ง ให้อยู่ได้นานๆๆๆๆ เหมือน อาฬารดาบส อุทกดาบส ที่เป็นต้นตระกูลของการนั่งหลับตาอยู่ในประวัติศาสตร์ของศาสนาพุทธ ซึ่งพระพุทธเจ้าเองก็เคยไปหลงว่า ศาสนาพุทธตอนแรกท่านยังเป็น ลิงลมอมข้าวพอง
ท่านก็ว่าอย่างไรหนอก็ทบทวนดู เมื่อบรรลุแล้ว ไปค้นดูว่าใครหนอที่เรา จะพอนำพาได้ ก็ไปนึกถึง อาฬารดาบส อุทกดาบส ออก ก็ไปหา จะไปหา อาฬารดาบส อุทกดาบส อ้าว ตายแล้ว ระลึกถึงแต่ว่าตายแล้วทั้งคู่ ท่านรู้ด้วยญานของท่าน คือมันมีสัมพันธ์มาตั้งแต่ปางก่อน ตายแล้ว ท่านก็อุทานขึ้น ฉิบหายแล้วหนอ อาจารย์ใหญ่ของการนั่งหลับตาสะกดจิต อาฬารดาบส อุทกดาบส เป็นต้นตระกูลนั่งหลับตา อาฬารดาบส ได้แค่ฌานที่ 7 อุทกดาบส ได้ ฌานที่ 8
ของฤาษีนั่งสะกดจิตเป็นสมถะและเขาจะได้ฌานที่ 7 คือดับ อากิญจัญญายตนะ หลับสนิท ไม่มีความรู้สึกนิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่มีความรู้สึก หมายความว่าอะไร หมายความว่าเขาดับสัญญาเป็น อสัญญีสัตว์ ได้สนิทสุดเลย ดับได้สนิทสุด ไม่รู้อะไรเลย อาฬารดาบส ได้ฌาน 7 ถึงขั้น อากิญจัญญายตนะ คือ ไม่มีแล้วแม้แต่นิดแต่น้อย ดับได้นิ่งสนิทไม่นึกไม่คิดอะไรเลย คือดับแต่แค่สัญญา
ส่วน อุทกดาบส นั้น ดับได้อย่าง อาฬารดาบส ได้ ฌาน 7 แต่สะกดไว้ มันก็มีแวบระลึกดูตัวขึ้นมานิดหนึ่ง แต่วิธีของนั่งสะกดจิตดับ ถ้ารู้แล้วให้ดับความรู้นั้น ก็ดับลงไปคือสัญญามันระลึกรู้มันกำหนดรู้ขึ้นมา ก็ดับลงไปอีก ก็คือจบที่ อสัญญีสัตว์ อยู่ดี ก็ดับอีกก็ดับได้ นานที่สุดนานกว่า อาฬารดาบส เท่านี้ มันไม่มีจบ มันไม่ได้ไปดับที่เหตุ มันไม่ได้ไปดับที่กิเลส มันไปทำความมืด เรียกว่า กิณหา ความดำ ความมืด เอาตัวเองทำความดำความมืดให้แก่ตัวเองเป็นที่สุดเรียกว่าจบได้แค่ กิณหา แล้วก็ไปหลงเห็นว่า กิณหา หรือความดำความมืดนี้เป็นที่สุดแห่งที่สุดของนิโรธ ดับสนิท แล้วก็หลงว่าตรงนี้คือ นิพพาน ก็ไปยินดีอยู่ตรงนี้ จึงเรียกด้วยบัญญัติภาษาว่าเป็น สุภกิณหา
สุภะ แปลว่า ดี น่าได้น่าเป็นตรงจุดนี้แหละ สุภกิณหา เขาก็ได้ตรงนี้แหละ แต่ถ้าจริงแล้ว สุภกิณหาอย่างสัมมาทิฏฐิมันคนละเรื่องกัน
สัมมาทิฏฐิรู้ดีว่า ความมืด คือ ความมืด ความดำคือความดำ ส่วนกิเลสหมดเกลี้ยง มันสว่างรู้ทั่ว รู้แจ้งโลกรู้ครบหมดทุกอย่าง มันคนละอย่างคนละกลับกัน หันหลังชนกัน คนละด้านเลย อันหนึ่งดำมืดไม่รู้เรื่อง จมดิ่งไปเป็น อาฬารดาบส อุทกดาบส สะกดจิตไว้ได้นานดำมืด ทำให้จิตนี้มันหยุดหน้าที่ของมัน ทำให้จิตหยุดหน้าที่หมดเลยทั้งเวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ กลายเป็น รูป จึงเรียกว่า รูปพรหม พรหมลูกฟัก เหมือนลูกฟักกลิ้งโค่โล่อยู่ตรงนั้น ไม่รู้เรื่องอะไรเลยใครจะกลิ้งไปอย่างไร เขาก็อยู่ของเขา จะเอาไปผ่าไปแกงก็ไม่รู้เรื่อง ได้แค่นั้น ไม่ใช่การบรรลุธรรม ไม่ใช่อริยสัจ รู้จักเหตุดับเหตุ
ถ้าศาสนาพุทธที่สัมมาทิฏฐิแล้วการบรรลุธรรมนิโรธหรือนิพพานนั้น ยิ่งรู้แจ้ง ยิ่งรู้ครบยิ่งรู้โลกเปิดโลก ไม่ใช่ดับมันตรงกันข้ามคนละเรื่องเลย มืดสุด แต่ของพุทธนั้นสว่างสุด ของสายที่ตรงกันข้ามกันหรือหลับตาปฏิบัติ คือคู่เลย เป็นคู่ของพวกสัมมาทิฏฐิกับมิจฉาทิฏฐิเลย
สัมมาทิฏฐิก็คือเปิดตาปฏิบัติตามจรณะ 15 วิชชา 8 ส่วนผู้ที่ดับหลับตานี้ไม่มีจรณะ 15 วิชชา 8 แม้ที่สุด ศีล เป็นต้น ศีล สมาธิ ปัญญา เขาก็หัวแหลกหัวแตกหมดเลย
ศีลก็ไปอีกอย่างหนึ่ง สมาธิก็แยกไปอีกอย่างหนึ่ง ปัญญาก็แยกไปอีกอย่างหนึ่ง ศีล ก็เป็น สีลัพพตปรามาส กลายเป็นจารีตประเพณี สมาธิก็ไปนั่งหลับตาเอาแบบ อาฬารดาบส อุทกดาบส ปัญญาก็ไปเป็นตรรกศาสตร์ ไปเป็นความปรุงแต่งความคิดเป็นโลกจินตา เป็นสายมหายาน ที่โอ้โห ความคิดแตกหน่อต่อไปไกล รู้มากมาย แล้วมันไม่มีที่จบหรอกเรียกว่าโลกจินตา เป็นความรู้แบบโลกๆ ไม่มีจบ เป็นความรู้ปากกรวยออกนอกโลกไปหาจักรวาล ไม่มีที่ไปหาไม่มีที่จบ น่าสงสารที่สุด ขออภัยวันนี้ต้องกล่าวพาดพิงถึงอย่างท่านประยุทธ์ ปยุตโต ท่านเป็นภันเตบวชก่อนอาตมา อายุน้อยกว่าอาตมา 4-5 ปี แต่บวชก่อนก็ต้องไหว้ท่าน
แล้วท่านก็มีความรู้มากเป็นผู้รู้ เป็นเลินเนจแมน (Learned man) เป็นผู้ศึกษามาก รู้มากท่องจำพุทธพจน์ได้มาก สอน สาธยายอยู่ก็มาก รู้มากท่องจำได้มาก สาธยายอยู่มากสอนมาก แต่ ท่านไม่ได้บรรลุธรรม ขออภัยที่กล่าวความจริงนี้ ไม่บรรลุในชาตินี้ เข้าหลักเกณฑ์เป็น ปทปรมบุคคล ไม่ใช่ไม่รู้นะ แต่รู้มากจนสรุปไม่ลงหาจุดสำคัญ
เริ่มตั้งแต่รู้จักกายอย่างสัมมาทิฏฐิหรือยัง จับความเป็น สักกะ สักกายะของตน ตั้งแต่เริ่มต้นเลย เรียกว่า พ้นสักกายทิฏฐิ สังโยชน์ข้อที่ 1 ได้ดีหรือยัง
อาตมาทำงานศาสนาพุทธโลกุตรธรรมมาถึง 50 กว่าปี มาถึงวันนี้ได้นำคำว่า กาย หรือคำอื่นๆอีก ของศาสนาพุทธ คำว่า กาย คำว่า ฌาน คำว่า สมาธิ คำว่า บุญ เป็นต้น มาขยายความ ซึ่งมันผิดเพี้ยนไป มันไม่ถูกนี่ จนวันนี้แล้ว ผู้ติดตามอาตมาฟังดีๆแล้วได้มรรคได้ผล ฟังรู้เรื่องแล้วเอามาปฏิบัติจนกระทั่งเกิดมวลชน ถึงวันนี้อาตมามีผลสำเร็จ มีมวลชนที่รู้มรรคผลแล้วก็สามารถมาปฏิบัติได้จริง เป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ กันจริงๆได้ประมาณนี้
วันนี้วันมาฆบูชา คือ วันรวมพลคนมาวันนี้จึงเป็นคนที่มา คนที่มารวมกันนี้อาตมาได้พบหน้าตาบ้องแบ๊วอยู่นี่ มองไปมืดๆถึงขั้นทะลุออกนอกศาลาไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ข้างล่าง ไม่เห็นหน้าไม่เห็นตาแล้วก็ตาม ได้ประมาณนี้คือผู้มา นอกนั้นผู้ยังไม่มาไม่มา นี่คือผู้มา นอกนั้นคือผู้ไม่มา ยังมาไม่ได้ เอาแค่นี้ก่อนไปงงเอาเองว่าหมายถึงอะไร
ก็ได้แค่นี้ นี่เป็นเครื่องยืนยันนะ มันเป็นเรื่องความเป็นจริงของปัจจุบันสภาวะในคำว่า คุณมีผลสำเร็จ คุณมีการก้าวเดินของคุณ ไปได้ไกลถึงจุดไหนถึงจุดนั้นจุดนั้นวินาทีนี้ ตรงนี้ มันเป็น มีอันนี้ได้อันนี้มันเป็นสัจจะทั้งหมด คุณจะบันดาลอย่างอื่นไม่ได้ มันได้เท่านี้มันเป็นอย่างนี้แหละ ถ้าอาตมายังไม่ตาย มี มาฆบูชาหน้า จะมากกว่านี้ แต่ยังไม่รู้ว่าจะเกิดที่ไหน จะมาฆบูชาที่ไหน สถานที่ไหนในอนาคตไม่รู้ ก็ค่อยๆจำไว้ว่าอาตมาจะพยากรณ์ถูกหรือผิด
แม้ว่าเหตุปัจจัยในวันมาฆบูชาปีหน้า คนจะมาน้อยกว่านี้ อาตมาก็ยืนยันว่า อาตมารู้ว่าอาตมาก็ไม่ผิด แต่จะรู้ว่ามีเหตุปัจจัยอะไร เอาล่ะคอยฟังติดตาม
ที่นี้มาต่อ ทาน ศีล ภาวนา เมื่อกี้นี้เกริ่นแล้วว่าเขาได้เข้าใจคำว่า ภาวนาผิด เอาภาวนากลายไปเป็นตัวภาคปฏิบัติ แต่จริงๆแล้วภาวนามันเป็นภาคตัวเกิดผล เอาภาวนาไปเป็นเหตุ ไปแล้วมิจฉาทิฏฐิไปแล้วสิริมหามายา คุณเล่นกลแล้ว คุณมีแต่มายา เพราะคุณจับตัวผิดนี่แหละคือตัว 2 สำคัญ เอาตัวไหนเป็นเหตุเอาตัวไหนเป็นผล มายานี่ก็สลับ 2 อย่าง แต่สิริมหามายานั้นแม่น เหตุก็คือเหตุ ผลก็คือผล
เพราะฉะนั้นเมื่อเอาภาวนาไปเป็นเหตุเสียแล้วทั้งๆที่มันเป็นผล มันก็เลยเป็นปากกรวยไปไกลลิบ ยิ่งมิจฉาทิฏฐิไปบานปลายไกลไปเลย เพราะฉะนั้นพวกที่นั่งหลับตาแล้วก็เข้าใจว่าภาวนานี้ นั่งหลับตาสะกดจิตเข้าไปเข้าไปให้จิตมันสงบและสงบอย่างที่ท่านเข้าใจ ในปัญญาข้อที่ 3 ความสงบมี 2 อย่าง ท่านเข้าใจความสงบอย่างนั้นซึ่งผิดว่า เป็นของพระพุทธเจ้า เป็นโลกุตระสงบแบบโลกุตตระซึ่งไม่ใช่ ที่จริงแล้วท่านได้สงบแบบโลกียะอย่างเดิมยิ่งๆขึ้นเท่านั้น ซึ่งท่านก็ชำนาญท่านก็ได้อย่างนั้น เสร็จแล้วก็จะไปจบอย่าง อาฬารดาบส อุทกดาบส ที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแล้วก็จะอุทานว่าฉิบหายแล้วหนอไม่รู้จะช่วยได้อย่างไร ที่อุทานว่าช่วยไม่ได้นั้นก็เพราะว่า โอกาสของ อาฬารดาบส อุทกดาบส จะไปจมดิ่งอยู่ในการสะกดจิตตัวเองแล้วก็กลายเป็นจิตสัมภเวสี ตายไปแล้วเป็นจิตไม่รู้จักใคร ไม่มีใครรู้เรื่องด้วยเลย จมอยู่ในภวังค์จิตของตัวเองแต่ผู้เดียว แล้วก็ติดยึดอยู่ จมอยู่อย่างนั้น จมไปแล้วไม่มีใครไม่มีอะไรมาผ้องพาน ไม่มีอะไรมาสะกิด ไม่มีอะไรมาชวนให้ตื่น
และคิดดูสิว่าจะฟื้นได้อย่างไร 1.ตัวเองเข้าใจว่านั่นแหละคือที่สุดจบ 2. ไม่มีอะไรมาสะกิดให้เขารู้ตัว จนกว่าฤทธิ์แรงของพลังที่ได้ฝึกสะกดมานั้น คลายตัว หมดฤทธิ์ เมื่อนั้นจึงจะรู้สึก แต่ อาฬารดาบส อุทกดาบส คือ ตัวอย่างของมนุษย์ในโลกที่เป็นตัวอย่างที่ผิดอย่างหนักที่สุด ในพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างในพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็จะมีคู่ ตัวอย่างแบบนี้ ของพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆก็จะมีชื่ออะไรก็แล้วแต่ อาฬารดาบส อุทกดาบส ก็จะเป็นอย่างนี้เหมือนกันหมด น่าสงสารที่สุด
เหมือนกับอาตมาสงสารท่านเพราะไปนั่งหลับตา สมาธิหลับตา อาตมาก็สุดสงสาร แหม เพราะฉะนั้นอาตมาถึงพยายามพูดถึง กระตุกแล้วก็ขยายความให้ตื่น ตื่นเสียที ตื่นเสียทีตื่นเสียที แดดออกแล้ว ฟ้าก็งามดุจเปลวทอง เพลงของสุรพล โทณะวณิก
มันไม่ตื่น แดดออกอย่างไรก็ไม่ตื่น เขาไปทำอะไรถึงไหนแล้วก็ไม่ตื่น มันก็ไม่รู้เรื่องอะไรกันพอดี
เพราะฉะนั้น เมื่อไปแปลหรือเข้าใจคำว่า ภาวนาผิดเพี้ยนไปเป็นเหตุแล้วก็ปฏิบัติแต่เหตุกันนี่ ก็ได้แต่ภาวนาแล้วไปได้มิจฉาผลดับดิ่งๆๆๆๆๆ คุณก็ได้แต่มีแต่จมกับจม ดำกับดำมืดเข้าไป ลงไปหาสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า หายไปเลย แม้แต่พระพุทธเจ้ายังตามช่วยไม่ได้คิดเอาแล้วกัน มันก็คือใช้ภาษาเรียกง่ายๆ สุดมหาซวย อย่างนี้ก็แล้วกัน
อาตมาพูดนี้รู้สึกเขาน่าสงสารจริงๆ เขาต้องการ เขาอุตสาหะวิริยะนะ กว่าเขาจะได้ขนาดนี้ก็ลงทุนลงแรงมากทั้งนานวันนานทีนานชาติ จะได้ไปได้มิจฉาทิฏฐิไปได้มิจฉาผล แล้วมันไม่สุดสงสารจะทำอย่างไร คนไม่ได้มุ่งหมายปฏิบัติต้องการนิพพาน ต้องการนิโรธหรือฝ่ายดีนี้ ไปบ้าๆบอๆทางโลก อย่างนั้นก็ไม่น่าสงสารหรอก มันโง่สุดโง่ แต่ไอ้นี่เขาก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดนั้น เขาก็ไม่ได้มานั่งทำลายอะไร แต่พวกทำลายนั้น จะว่าไม่สงสารก็ไม่มีความสงสาร เราว่ามันมากเกินไป อาตมาไม่มี หมดสงสารจะให้เพราะไปนับวัฏฏะที่จะหมุนวนของเขาไม่ได้เลย แต่อย่างนี้พอพูดกันรู้เรื่องมันรู้จักวงวนของวัฏสงสารว่า คุณจะพอตื่นขึ้นมาได้
ถ้าเข้าใจว่าการภาวนาคือ การทำให้มี ทำให้เกิด ทำให้เป็น ซึ่งจุดหมายของการเกิดการมี การเป็นนั้น มันเกิดอะไร มันมีอะไร มันเป็นอะไร อันนี้ต่างหากที่สำคัญ เกิดอะไร มีอะไรขึ้นมา เป็นอะไร
เพราะฉะนั้นจึงต้องมาทำความสำคัญของทิฏฐิ มาทำความสำคัญของความเห็นความเข้าใจให้เป็นสัมมาทิฏฐิเป็นตัวแรก ถ้าเริ่มต้นด้วยมิจฉาทิฏฐิ จุดแรกกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด เป็นปากกรวยไปเลย หมดหวังเลย เพราะฉะนั้นคำว่าสัมมาทิฏฐิใน สักกายทิฏฐิ จึงเป็นตัวแรกที่สุดที่คุณต้องทำความเข้าใจตัวนี้ให้เป็นสัมมา ถ้าผิดตัวนี้แล้ว ช่วยกันไม่ได้เลย เหมือนอย่างที่ว่าพระพุทธเจ้ายังช่วย อาฬารดาบส อุทกดาบส ไม่ได้ (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
_สู่แดนธรรม… สมัยหนึ่งผมเคยฟังท่านสมณะหรือพ่อท่านพูดให้ฟังว่า ความสำคัญของวันมาฆบูชา คนรุ่นใหม่ก็ไม่ค่อยเชื่อว่าจะเป็นไปได้อย่างไรในความมหัศจรรย์ของภิกษุที่ไม่ได้นัดหมายกันเลยเขาก็มาประชุมกันได้โดยไม่ได้นัดหมายได้อย่างไร ก็มีท่านสมณะรูปหนึ่ง อธิบายให้ฟังว่า ทุกอย่างมาแต่เหตุ แม้แต่พวกเราก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าเราก็เคยมีการกำหนดสัญญาว่า ถ้าวันสำคัญอย่างนี้ เราจะมาฟังพ่อท่านเทศน์ เช่น วันมาฆบูชา วันปลุกเสก วันพุทธาภิเษกบ้าง เราใส่ความสำคัญลงไปในสัญญาขันธ์ของเรา มันก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยที่ติดตามเราไปทุกภพชาติ เพราะฉะนั้นในอนาคตพระพุทธเจ้าและพวกเราก็ต้องติดตามไปฟังธรรมะวันมาฆบูชาเป็นธรรมดากับพ่อท่าน
พ่อครูว่า… ถูก ผู้ที่เห็นความสำคัญในความสำคัญ ย่อมทำตามความสำคัญที่ตัวเองเห็นตัวเองเข้าใจนั้น ผู้เห็นความสำคัญในความสำคัญ ผู้นั้นจะทำตามความสำคัญที่ตัวเองเชื่อมั่นว่าสำคัญนั้น
เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ที่เข้าใจคำว่าภาวนาผิดแล้ว ไปเข้าใจ แทนจากผลมาเป็นเหตุเท่านี้ก็กลัดกระดุมเม็ดแรกผิดแล้ว ก็หมดหวัง เพราะฉะนั้นถ้าไม่มาฟังอาตมา เพราะอาตมาบอกชี้แล้วนะว่าจุดแรกสักกายะทิฏฐิของคุณผิด แล้วอาตมาก็ร่วมลงไปแล้วคำว่า สัก คำว่า กายะ สักกายะ
สักกะ คือ ตัวเรา คืออัตตา
กายะ คือ ความรู้ ความรู้ใน 2 สภาพ ภายนอกภายใน กายะมี 2 เสมอ ส่วน อัตตานั้นเป็น 1 และ 1 ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ God ปรมัตตา หรือปรมาตมัน บรมตัวตน คือ ตัวตนที่ยิ่งใหญ่ ประ กับ อัตตา อาตมัน ตัวตนที่ยิ่งใหญ่ของเทวนิยม เป็นปรมาตมัน มันจะไม่ยอมเห็นแก่ 2 ของใครมาแย้งไม่ได้ แย้งอย่างไร ฉันก็เชื่อของฉันหนึ่งเดียวของฉันนี่แหละไม่เปลี่ยนแปลง หัวไอ้เรืองเดียวๆ
ถ้าคุณถูก คุณก็เป็นศาสดา แล้วก็เป็นศาสดาหัวไอ้เรือง แต่ถ้าคุณผิดแล้วคุณมาแก้ปั๊บคุณก็จะได้เป็นศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสูงกว่า อย่างน้อยก็ได้เป็นอย่างโพธิรักษ์ อย่างสำคัญที่สุดก็ได้เป็นพระพุทธเจ้าเลย
เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจว่าภาวนาคือตัวเกิดผล คุณก็ต้องพยายามจะ อนุโยค หรืออนุโยคะ แปลว่า พากเพียรปฏิบัติให้เกิดภาวนา ภาวนานุโยค อนุโยคะกับภาวนา แล้วก็จนกระทั่งถึงเป็น ภาวนามัย
ภาวนานุโยคะ เป็นเหตุ ภาวนามัยเป็นผล เป็นความสำเร็จ ภาวนานุโยค เป็นความเพียรในการปฏิบัติ ภาวนามัยเป็นผลสำเร็จ
ภาวนานุโยค ภาษานักวิชาการเขาแปลว่า การตามประกอบภาวนา คนฟัง ชาวบ้านฟังแล้ว การตามประกอบภาวนา ก็เอาหัวไปตีดิน มึนแล้วมึนอีก มันอะไร ตามประกอบภาวนา อาตมาก็เห็นใจที่เขาพยายามแปลไว้ มันไม่ผิดภาษา แต่คนไม่รู้ภาษา มันไม่ผิดคุณแปลไม่ผิด แต่คุณแปลไม่ออก คุณแปลวนอยู่ในความหมายของมันแคบไม่กว้างพอให้คนต่างๆ คนทั่วไปเข้าใจที่เป็นภาษาทั่วไปที่คนอื่นเข้าใจง่ายๆได้
อาตมาก็ต้องมาให้ความหมายกันใหม่ มาขยายความกันอีกว่า คือ ทำเหตุนั้นให้เกิดผล ภาวนานุโยคะ เพียรทำเหตุนั้น ให้มันเกิดผล จนเกิด จนมี จนเป็นผลสำเร็จ จนเกิดผล เป็น ภาวนามยะ ให้ได้
ต้องพยายามจับสภาวะ ของคุณกำลังทำเหตุ ไม่ใช่ผลนะ ให้แม่นๆ ถ้าคุณจับสลับกันกลายเป็นนักเล่นกล กลายเป็นมายาของตัวเองไปเลยแล้วไปหลอกคนอื่นต่อ ต้องจับให้ได้เลยเป็นสิริมหามายาว่า แท้ๆจริงๆ ตัวไหนคือเหตุ ตัวไหนคือผลแท้ให้จริงจึงจะไม่ใช่มายา แต่เป็นสิ่งที่ยากจะรู้ มายา คือ สิ่งที่ยากจะรู้ มันหลอกตัวเองแล้วก็หลอกคนอื่นต่อ เป็นนักมายากล แล้วก็ภาคภูมิใจในความสามารถความรู้ของตัวเองเรื่องมายา ที่จริงเป็นภาษาคำที่เจ็บแสบที่สุด ถ้าใครยังตกอยู่เป็นนักมายาก็คือตัวยังเป็นผี ยังเป็นมาร ยังเป็นมายา ยังไม่ได้ไปเป็นเทวดา ยังไม่ได้ไปเป็นผู้รู้ผู้บรรลุ ก็ขยายความให้ฟังมันก็เป็นอย่างนั้น ไม่ได้ไปลงโทษเขาหรอก แต่ว่ามันเป็นความจริงอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นที่พูดไปเมื่อกี้นี้ว่าต้องพากเพียรให้สัมมาทิฏฐิในเหตุ ให้เกิดผล ให้มีผล ให้เกิดสำเร็จขึ้นให้ได้ ทีนี้ อะไรจะเกิด อะไรจะมี อะไรจะเป็นผลขึ้นมา สำเร็จขึ้นมา มันคืออะไร ฟังความ ง่าย ไม่ยากหรอก
ก็เกิดการกำจัดกิเลสสำเร็จ มันชัดๆง่ายๆเกิดการกำจัดกิเลสสำเร็จหรือว่ามีจิตสะอาดบริสุทธิ์ผ่องใสเลย เกิดกำรกำจัดกิเลสนั่นแหละสำเร็จผล มีจิตสะอาดบริสุทธิ์ผ่องใส เป็นอรหันต์ นี่แหละชื่อว่าเป็นผู้มีภาวนามัย
เป็นผู้สำเร็จผลคือสำเร็จด้วยภาวนาสำเร็จแล้ว ด้วยผลที่เกิด ภาวนาคือเกิดผลสำเร็จจบอยู่ในตัว เพราะว่า ภาวนามยะ มยะ แปลว่า สำเร็จหรือเป็นผลขึ้นมาแล้ว
ทีนี้ ภาวนา ที่เป็นการสำเร็จผล อะไรล่ะสำเร็จ ก็คือทำทานให้สำเร็จ ปฏิบัติศีลหรือทำศีลนี้ให้สำเร็จ ฟังดีๆนะ ทาน ศีล ภาวนา
ภาวนาเป็นผลของทาน ภาวนาเป็นผลของศีล ทีนี้ผู้ที่เข้าใจผิดมิจฉาทิฏฐิไปหลับตา สะกดจิตเข้าไป หลับตาหลับตา ศีลก็ไม่ได้ปฏิบัติ ทานก็ไม่ได้ปฏิบัติ แล้วมันจะมีวันเกิดผลไหม?.. หมด.. หมดสิทธิ์เลย เพราะไปนั่งหลับตานี้ ทานก็ไม่ได้ไปปฏิบัติจริง ศีลก็ไม่ได้มาปฏิบัติจริง เพราะฉะนั้นคือปิดประตูเลย
มันก็ไม่ได้ทำเหตุเลย ปฏิบัติศีลก็ไม่ได้ปฏิบัติ เขานั่งหลับตาสะกดจิต เพราะฉะนั้นฟังดีๆเถิดท่านทั้งหลายที่นั่งหลับตาปฏิบัตินั่นแหละ หยุดได้เลย มันผิด ต้องมาศึกษาจรณะ 15 วิชชา 8 ให้ดีๆ หรืออย่างน้อยก็มาฟังโพธิรักษ์อธิบายเถอะ ไม่เช่นนั้นแล้วคุณก็ไปจบที่ อาฬารดาบส อุทกดาบส แน่นอน คุณก็ไม่ได้เป็นลูกพระพุทธเจ้า แต่เป็นลูกอาฬารดาบส เป็นลูก อุทกดาบส
เพราะฉะนั้นจะต้องมาเรียนทาน เรียนศีลให้สัมมาทิฏฐิ มาทำความเข้าใจทานกับศีลให้สัมมาทิฏฐิ ที่บอกว่าอาตมาพูดว่า ทำทานกัน ยังไม่สัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติศีลก็ยังไม่สัมมาทิฏฐิในชาวพุทธทั้งหลาย เพราะฉะนั้นจึงไม่บรรลุธรรม เพราะในคำสอนพระพุทธเจ้าก็มี ทาน ศีล ภาวนา หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี่มันผิดไปทั้งทาน ทั้งศีลแล้วคุณจะเอาผลที่ไหนมา มันผิดตั้งแต่กลัดกระดุมเม็ดแรกอย่างที่พูดแล้ว
มาไขความกันว่า ทานอย่างไร สัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่ว่าอาตมาไม่ได้อธิบายแต่อธิบายมาจนกระทั่ง ถ้าคอมันจะแตกมันก็แตกไปได้ร้อยคอพันคอไปแล้ว ถ้าปากฉีกก็คงฉีกไปจนสุดท้ายทอยแล้ว รอบคอหัวขาดแล้ว อธิบายมาจน
เอาง่ายๆ คุณไปหลับตาสะกดจิต พาไปหลับตาสะกดจิตกัน คุณไม่ได้ทำทานไม่ได้ปฏิบัติศีล มันก็ผิดแล้วนี่ ผิดชัดๆ ผิดแหงๆ แหงๆนี่ภาษาจีนหรือเปล่าหรือภาษาไทย ผิดแหงๆ ผิดชัดๆ ไม่มีทางถูกเลย มันคนละทางหันหลังชนกัน 2 ข้างแล้วเดินกันไปคนละทิศเลย ไปทานไม่มี ศีลไม่มี แล้วมันจะเกิดผลอย่างไรเพราะไม่ได้ทำเหตุใด
ทีนี้ไอ้ที่ว่า ทานผิด มันเป็นอย่างไร ทำทานคือการให้ เอาตั้งแต่หยาบก่อน ให้อะไร ในศีล ที่นี้มันสัมพันธ์กันนะระหว่างทานและศีล
ศีลข้อแรกให้อภัย ศีลข้อแรกให้เมตตา เมตตาแก่สัตว์โลก ไม่ว่าใครจะผิด ใครจะมาทำร้ายเรา ใครจะมาเป็นศัตรู ได้ปฏิบัติกับเรามาแล้วกี่ชาติต่อกี่ชาติ เขาทำร้ายเรา ก็ให้อภัย ให้เมตตา เอาเถอะ เขาทำเพราะเขาไม่รู้ เขาทำเพราะเขายังไม่เข้าใจ มันก็หมดแล้วต้องสงสารเขา เมตตา เห็นสงสารนั่นเอง เมตตา ก็ อืม มันน่าช่วยเหลือเมตตาก็คือน่าช่วยเหลือให้เขาได้เข้าใจได้
เพราะฉะนั้นจะต้องมาทำทานนี้ ทำอย่างไร ถึงจะทำถูกต้อง พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ใน พระไตรปิฎก ล.23 ข.49 ทานสูตร ทานที่จะเป็นผล ทานที่จะเป็นผลเป็นอานิสงส์มีผลแท้มันจะต้องทำจิตเป็น
ถ้าทำทานแล้วทำจิตไม่เป็นไม่ตรง ไม่ตรงกับความเป็นจริงของการทำทาน ทานแปลว่าให้คนให้ของ ซึ่งจะชัดกว่าอภัยทาน อภัยเป็นนามธรรมให้เงินทอง ให้ทรัพย์ศฤงคาร ให้แผ่นดิน ให้ประเทศเลยยกประเทศให้เลย เสร็จแล้วคุณก็ให้อย่างบริสุทธิ์ใจ ทำใจในใจ เป็นคำนามก็คือมนสิการ เป็นคำกิริยาก็คือ มนสิกโรติ
ใจของเรา เราทำใจของเรา ให้ตรงกับการให้ข้างนอก วัตถุคุณมี คุณเป็นเจ้าของมีสิทธิเป็นเจ้าของแท้ เช่น คุณมีเจ้าของนี้ ข้างหน้าอาตมามีองุ่นมาจากสวน องุ่นดำกับองุ่นเขียวสวยน่าหยิบใส่ปากเคี้ยว (จากเนินพอกิน)
องุ่นนี้เอาให้คุณไปแล้วคุณก็ตัดจิตเลย ให้แล้วก็คือไม่มีเราไม่มีเขา ไม่มีบุญไม่มีคุณอะไร ไม่ตั้งภพตั้งชาติในจิตเลย ไม่มีความหวังว่าเราจะได้สิ่งตอบแทน นี่คือความหมายที่ชัดพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าไม่มี สาเปกโข ไม่มีเลยต้องทำจิตให้เป็นเช่นนี้ ให้แล้วตัดจิตเลย สุดจบ เหมือนเราไม่ได้ทำอะไร ให้แล้วเหมือนเราไม่ได้จำอะไร ไม่ต้องไปจำว่าเราได้ให้คนนี้นะ ให้ไปร้อยนึง แม้แต่พันนึง ให้ได้หมื่นให้ได้แสนให้ได้ล้าน เขาเป็นลูกหนี้เรานะ เราเป็นเจ้าหนี้เขานะเราได้ให้เขาไว้ ให้มากขนาดไหนก็แล้วแต่จนกระทั่งให้ประเทศไปทั้งประเทศเลยอย่างที่พูดไปแล้วเมื่อกี้นี้ ตัดเลย ไม่ต้องไปจำ ไม่ต้องไปมีความยึดมั่น
คุณจะจำได้แต่คุณไม่ยึดว่าเป็นเรา เป็นของเรา ซึ่งเป็นศัพท์ที่สูงสุด คุณจะจำก็ได้แต่ไม่ได้ยึดว่าเป็นเรา เป็นของเราตัดขาดจากความเป็นเราเป็นของเราหมดเลย นี่คืออานิสงส์สูงสุด
อานิสงส์รองลงมาคุณทำไม่สูงสุดอย่างนี้แต่คุณทำได้ถึงขั้น ปฏิพัทจิตโต ยังมีการผูกพันในการให้นั้นยังเป็นเราเป็นของเราอยู่บ้าง ยังมีการผูกพันว่าฉันได้ให้นะฉันเป็นเจ้าของ เป็นเจ้าของนี้ไปถึงขั้น สันนิธิเปกโข อันนี้เอาใส่คลังไว้เลยมาเป็นของเรานะ ไอ้ที่ให้นี้ เป็นตัวยึดติดว่าเราได้ให้คุณ ใส่คลังความจำไว้เลย
ส่วนอันที่ 4 ปริภุญชิตสามีติ อันนี้ผูกพันแล้วก็เชื่อเลยว่านี่เป็นของฉัน จะได้เป็นผลในชาติหน้า จะได้เป็น ไปนู่นเลย เป็นภพเป็นชาติเป็นตัวกูของกู เต็มรูปเลย
การทานหรือการให้ 4 ประการนี้ ไม่มีอานิสงส์ มีมีอานิสงส์แต่มันไม่มากตามลำดับ ถ้ามีอานิสงส์มากก็คือทานอย่างไม่มี สาเปกโขเลย นั่นคืออานิสงส์สูงสุด ทาน อย่างไม่มีตัวตน ทาน อย่างหมดตัวหมดตน นี่คือ สุดยอดของการให้ทาน
นี่อาตมาเปิดตำราพระพุทธเจ้าจากพระไตรปิฎกมาขยายความเลยนะ ที่จริงอาตมาเตรียมอธิบายแต่ว่าไม่ได้เตรียมหลักฐานพระไตรปิฎกอ้างอิงอันนี้มา จะถือว่าเป็นข้อบกพร่องก็ได้ ไม่มีตัวนั้นมายืนยัน คนเขาจะเชื่อน้อย แต่คุณไปเปิดทวนได้ว่า อาตมาไม่ได้อ้างผิด
เพราะฉะนั้นผลสำเร็จที่ว่า มยะหรือมยัง อันเป็นผลสำเร็จภาวนามัยคือเป็นผลสำเร็จจากภาวนานุโยคะมาเป็นภาวนมยะ มันจึงเป็น ไม่เป็นผลสำเร็จ
เพราะฉะนั้นคุณทำทานอันตั้งแต่ต้นไม่สำเร็จแล้ว เพราะคุณไปนั่งหลับตาสะกดจิต อยู่ในภพชาติและสร้างภพสร้างชาติขึ้นมา ภพชาติที่คุณสร้างขึ้นมานั้น คุณหลับตาทำเจโตสมาธิ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน พรหมชาลสูตร คุณจะมีผลได้อดีต 18 ได้อนาคต 44 คุณไม่มีปัจจุบันที่ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส โผฏฐัพพะกระทบภายนอก ที่รู้ภายนอก 2 สภาพนี้ คุณมีแต่การคิดแล้วก็อยู่กับความจำที่จำได้ แล้วก็ปรุงแต่งความจำ จะฟุ้งซ่านมากไปกว่านั้นก็ตาม พระพุทธเจ้าสรุปแล้วว่าได้แค่ ถือขันธ์ อดีต 18 หรือฟุ้งซ่านไปได้อีก 44 ลักษณะ เท่านั้น ไม่มีผลสำเร็จเด็ดขาด นั่งหลับตาปิดประตู คุณอยู่ในอดีตหรืออนาคตเพราะความจริงนั้นคือปัจจุบัน ที่เรียกด้วยภาษาวิชาการว่า ทิฏฐธรรม เรียกว่า ปัจจุบันชาติ ทิฏฐธรรรม
เพราะฉะนั้นผู้จะบรรลุนิพพานต้องสัมมาทิฏฐิในปัจจุบันชาติ คุณปฏิบัติธรรมไม่มีเหตุปัจจุบัน ไม่มีฐานที่ตั้ง จิตไม่ได้อยู่ที่ตากระทบรูปแล้วเปิดอยู่ทั้งภายนอกภายในเป็นกาย ครบ หูไม่ได้ยินเสียง จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่ได้รส กายไม่ได้สัมผัส อยู่ในภพชาติภวังค์ของตนเอง ปิดประตูนิพพาน
ฟังไว้ท่านผู้ไปหลับตาทั้งหลายมีเยอะเหลือเกิน ลูกศิษย์อาตมามีประมาณนี้ แต่ลูกศิษย์ของทางหลับตาปฏิบัตินั้นในประเทศไทยขณะนี้ มีมากกว่านี้ 10 เท่า 100 เท่า แหม อาตมาถึงอยากได้ 10 เท่า 100 เท่ามาที่นี่บ้างสักเท่า 2 เท่า มาเติมเท่าของอาตมา 1 เท่าให้มีสัก 2 เท่า 3 เท่า 4 เท่าขึ้นมาบ้าง ในชาตินี้ก่อนตาย ไม่เอามาก เอาจากคนไทยที่หลับตานี่แหละ
สมมุติว่ามีอยู่ 100 หน่วยถ้าได้มาสักแค่ 30 หน่วย 50 หน่วย อาตมาตายตาหลับเลย วันนี้นะทำงานมา 53 ปี ยังได้ไม่เท่าไหร่เลย จากหลับตามานี่ ยังดึงมาได้แค่สู่แดนธรรม นอกนั้นก็คงยัง ใครหลับตาแล้วมาก่อนบ้าง…ยกมือ
_สู่แดนธรรม… แรงจูงใจในการไปนั่งหลับตานั้นมันมีเหตุปัจจัย คือเขาเข้าใจว่าแบบให้บรรลุแบบอโศกเขาจะได้อะไร ทุกวันนี้พ่อท่านพยายามยืนยันผลสำเร็จของการภาวนาแบบพุทธอยู่ ตรงนี้ผมคิดว่าถ้าผลสำเร็จของการภาวนาแบบที่พ่อท่านสอนมันมีมากขึ้นผมว่าเดี๋ยวเขาก็หลั่งไหลมาครับ
พ่อครูว่า… อันนั้นก็พูดกำปั้นทุบดินถูก แต่นี่ก็ได้เพียง 100 200 300
_สู่แดนธรรม… อย่างผมมีเหตุจูงใจให้ไปบวชทางโน้นเพราะไม่ได้ศรัทธาในนิพพาน คือ ผม อยากได้ความสามารถในการระลึกชาติ
พ่อครูว่า… อาตมาเริ่มที่จะ จุดแรกที่อาตมาจะมาทำงานศาสนาตั้งแต่เป็นฆราวาส อาตมาจุดประกายตรงที่ระลึกชาติเหมือนกัน อาตมาไปเห็นไปเล่นอยู่กับพวกหมอ เคยเล่าไว้แล้วพวกสำนักค้นคว้าทางจิตเขาก็สะกดจิตกัน สะกดจิตนายโคลแมน มีพวกหมอจรูญ หมอวิเชียรพวกนี้หมอประพันธ์ อยู่ในสมาคมค้นคว้าทางจิตซึ่งที่พูดไปนี้ ตายไปหมดแล้ว หมอทั้งหลายนี่ อาตมาก็ไปดูเขาค้นคว้าทำอะไรก็ไปเห็นที่เขาสะกดจิตนายโคแมน แล้วให้ระลึกชาติย้อนไป ตั้งแต่เขาจำความระลึกชาติสะกดจิตแล้วให้ย้อนระลึกของตนเองไป ระลึกไปตั้งแต่อายุของเขาประมาณ 30 กว่าย้อนไปจนกระทั่งถึงอายุ 10 กว่า จนกระทั่งถึง 5 ขวบ เสียงพูดก็ยังอ้อแอ้เป็นเด็กๆเลยนะ จนกระทั่งไปถึงจุดที่บอกว่าข้ามชาติไปสิก่อนจะมาเกิดชาตินี้ นายโคลแมนระลึกไม่ได้ อาตมาก็ว่าเอ๊ มันระลึกข้ามชาติได้ด้วยหรือ นี่แหละเป็นการจุดประกายให้อาตมาสนใจก็ มาติดตามทางนี้ก็ไปเล่นไสยศาสตร์อยู่ 8 ปีนึกว่าจะพาให้ระลึกชาติได้ แต่ไม่ ยิ่งบ้า ยิ่งฟุ้งซ่าน สร้างอะไรเป็นภพชาตินึกว่าจริงทั้งนั้น ชาติโน้นชาตินี้เป็นนู่นเป็นนี่เหมือนกับมหาบัวเหมือนกับอาจารย์มั่นระลึกชาติอะไรต่ออะไรได้สารพัด เละไปหมดเลย ยืนยันไม่ได้ไม่มีประวัติศาสตร์ อาจจะมีบ้างพาดพิงประวัติศาสตร์แต่มันปลอม มันไม่จริงไปกันใหญ่เลย
อาตมาก็ว่ามันจะมีทางไหน มีทางเดียวพุทธศาสตร์แน่ๆ ใช่ไหม อาตมามีของเดิมอยู่แล้วด้วย ไสยศาสตร์ 8 ปีไม่พาให้บรรลุได้ อาตมาก็เลยพอแล้วไม่เอาก็หันมาศึกษาทางพุทธศาสตร์ ท่านก็สอนยังไง ท่านก็สอนให้ละให้เลิก ศีล สมาธิ ปัญญา อาตมามีภูมิเก่าอยู่แล้วก็เริ่มต้นปฏิบัติเองเพราะไม่มีอาจารย์ ไม่มีใครสัมมาทิฏฐิที่จะพานำอาตมาไปได้
ขออภัย อาตมาพูดความจริง ชาตินี้น่าสงสาร อาตมาจะพูดความจริงก็ต้องขออภัย อาตมาก็มาปฏิบัติเองจนกระทั่งอาตมาเคยกล่าวไว้แล้วว่าอาตมาชาตินี้มาบรรลุธรรมไม่ได้มีครูบาอาจารย์เลย พูดอย่างโอหัง อย่างอวดดิบอวดดี แต่มันก็จริงที่สุดอาตมาไม่มีครูบาอาจารย์แล้วปฏิบัติเองจนกระทั่งบรรลุ บรรลุแล้วก็นำสิ่งบรรลุนั้นมาเผยแพร่มาประกาศ ค้านแย้งกับของเขาอยู่ ก็ได้หมู่น้อยมา ซึ่งอาตมาบอกว่าอาตมาพอใจแล้วที่มีผลสำเร็จ สำเร็จจนถึงขั้นมีมนุษย์ มีพวกคุณปฏิบัติได้จริง มาเป็นคนจนจริงมาเป็นสาธารณโภคีจริง มาเป็นผู้มีวรรณะ 9 มาเป็นสังคมสาราณียธรรม 6 อยู่ด้วยกัน สมบูรณ์แบบ อาตมาว่ายืนยันตำราเล่มเดียวกันพระไตรปิฎกเล่มเดียวกันถูกต้องหมดแล้ว
อาตมาว่าใครล่ะในขณะนี้ที่ทำได้ในพุทธในประเทศไทยนี่แหละ ถือว่าเป็นจุดใหญ่ที่เป็นศาสนาพุทธที่แท้จริง ใครล่ะ มีไหมเอามายืนยัน ขออภัยนะที่พูดนี้เหมือนลงน้ำหนักท้าทาย เอหิปัสสิโก พูดเบาๆก็ได้ ..ใครล่ะ เชื้อเชิญมาให้ดูนี่ก็ได้ แล้วเอาไปเทียบของท่านสิ พูดให้นิ่มๆขึ้นเชิญมาดูได้ ก็เปรียบเทียบกันสิว่า อันไหนมันถูก อันไหนมันครบครัน ตามคำเชิญพระพุทธเจ้ายืนยันอยู่นี่ แล้วอาตมายังอุ่นใจอยู่มากที่มีพระไตรปิฎก แม้จะเป็นพระไตรปิฎกฉบับของมหากัสสปะก็แค่นข้นแน่นถูกหมดดีอยู่ทีเดียว ไม่ใช่ต้องไปฉีกทิ้ง 60% เหมือนอย่างท่านพุทธทาสไปดูถูกพระไตรปิฎก ไม่ใช่ ยังใช้ปฏิบัติได้
อาตมาว่ามันจะผิดในพระไตรปิฎกผิดตรงที่ผู้แปล ท่านแปลคำของสมัยนี้มาประกอบนิดหน่อยเท่านั้นเอง ผิดนิดหน่อยไม่มีผิดมากหรอก แต่ท่านพุทธทาสท่านขออภัยอีก ท่านมีภูมิรู้ไม่พอแล้วจะไปฉีกพระไตรปิฎกออกตั้ง 60% ดีนะท่านยังเหลือไว้ตั้ง 40% เจ้าประคุณ อาตมาว่าใจท่านน่าจะมากกว่านั้นว่าฉีกซัก 70-80 ก็ได้ ถูกแค่ 40 หรือ 20 อาจจะเป็นแค่นั้นก็ได้
_สู่แดนธรรม… ตอนนี้เหลือ 8 นาที
พ่อครูว่า… เหลืออีกตั้ง 38 นาที
_สู่แดนธรรม… ผมกำลังจะนิมนต์พ่อท่านขยายความศีลสมาธิปัญญาสัมพันธ์กับทานศีลภาวนาครับ
พ่อครูว่า… คือทานนี่ ถ้าเผื่อว่าทานมันไม่เป็นผลตรงที่อธิบายว่าไม่เป็นภาวนามัย ไม่สำเร็จผลอย่างสัมมาทิฏฐิ คุณไม่ให้สละออก ล้างกิเลสล้างจิตออก สำเร็จผลเป็นภาวนา ศีลของคุณก็เหมือนกัน วิธีของโลกมันมีวิธี 2 วิธีเท่านั้นคือ 1. ทาน 2. ศีล
เพราะฉะนั้น ทานกับศีลจึงไม่ใช่อันเดียวกัน ทานกับศีลสัมพันธ์กันตรงที่ ศีล พระพุทธเจ้าท่านตั้งหลักให้ปฏิบัติว่า คุณจะละออก สละออกได้ คือ ทาน คุณเริ่มต้นจากศีลข้อที่ 1
ศีลข้อที่ 1 เป็นเรื่องของเกี่ยวกับสัตว์ ตั้งแต่สัตว์เดรัจฉาน คุณเกี่ยวพันกับสัตว์ เอาสัตว์มาใช้ เอาสัตว์มาเลี้ยง เอาสัตว์มาใช้งาน เอาสัตว์มากินเนื้อมันฆ่ากินกัน คุณทาน ฟังให้ดีนะศีลสัมพันธ์ไปถึงทานแล้วนะ คุณเลิกได้ไหม ปลดปล่อย สัตว์ ออกจากชีวิตและวิบากของคุณเลย ถ้าคุณทำได้ คุณสำเร็จศีล สำเร็จอะไร สำเร็จคือคุณได้สละคุณได้ให้
คุณติดอาหารเนื้อสัตว์ คุณก็ต้องกินเนื้อสัตว์แล้ว เมื่อไหร่มันจะจบวิบากล่ะ ยิ่งคุณไปเอามันมาตั้งแต่เอามันมาฆ่า ฆ่าเล่นยังได้เลย เหมือนคนยังฆ่าแกงกันอยู่นี่ การฆ่าสัตว์ก็มีวิบากเท่านั้นแล้ว แล้วยิ่งฆ่าคนที่เป็นคน แล้วคนที่เขาฆ่ากันนั้นเขาอวิชชาอยู่ มันจะไม่จองเวรหรือ คนจะไม่จองเวรหรือ แล้วจองเวรวิจิตรพิสดารมากกว่าสัตว์อีก ใช่ไหม
เพราะฉะนั้น หยุดการฆ่า ศีลข้อที่ 1 หยุดเลย อาตมาขอสรุปว่าท่านตรัสไว้ชัดเลยว่า หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ คำสุดท้ายของศีลข้อที่ 1 มีความเอ็นดู มีความปรานีช่วยเหลือเกื้อกูลกันจนถึงขั้น หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวง สำหรับสัตว์ทั้งหลายแหล่หรือคนเหมือนกัน
คนยิ่งดีใหญ่ ทำกับคนนี่แหละศีลข้อที่ 1 อภัย หรือเมตตากัน แม้เขาทำชั่วแม้เขาทำร้ายเรา เลิก แล้วมันจะมีบารมี คนเหล่านั้นจะ คนที่ปองร้ายเราจะเข้ามาทำร้ายเราตามบารมีจะห่างหรือจะไม่ติดเข้ามา ทำไม่ได้ อันนี้เป็นอจินไตย เรายิ่งมีบารมีสูงคนที่เขาโกรธเราแค้นเรา เขาก็ยิ่งจะไกล ยิ่งหมดสิทธิ์ที่จะมาทำร้ายอะไรเราได้
ยกตัวอย่างง่ายๆ อาตมาว่ามหาบัว แล้วมหาบัวจะมาทำร้ายอาตมาได้ไหม .. ตายแล้ว จะมาทำร้ายอย่างไร เพราะฉะนั้นอาตมาจึงยังไม่ไปว่ามหาประยุทธ์มากเท่ามหาบัว เพราะมหาประยุทธ์ยังมีบริวาร ยังมีผู้ถือหาง ยังมีพรรคพวก มหาประยุทธ์ไม่มาทำเองหรอกเดี๋ยวพรรคพวกจะมาเอาอาตมาตาย จริงๆก็ไม่น่าตายแบบนี้เปล่าๆ อาตมาก็พอมีปฏิภาณอยู่ ก็ไม่ลงหนัก
แต่ อย่างสมีธัมมชโย อาตมาไม่กลัวเพราะพวกนี้เข้าหาอาตมาไม่ติด ก็ตัวเองจะปรากฏตัวยังยากเลยแล้วมันจะทำมาทำอะไรได้ ขออภัยที่พูดโอหังหน่อย
เพราะฉะนั้น ทาน ที่มีผล เป็นภาวนามัย ก็คือ ล้างกิเลสออกได้ ตัวร่วมมันอยู่ตรงนี้ ปฏิบัติศีลจะเป็นภาวนามัย จะเป็นผลสำเร็จจริงก็ตรงล้างกิเลสออกได้เหมือนกัน นี่คือตัวร่วม
ทานก็ดี ปฏิบัติการให้สิ่งที่เป็นวัตถุจนถึงขั้นอภัยทาน ถึงขั้นให้ไม่ถือโกรธหมดแล้ว ยกให้ จะมีผิดดในภายในใดก็อโหสิกรรม และศีลท่านค่อยปฏิบัติศีลข้อ 1 2 3 ปฏิบัติจะเกิดผลภาวนามัยก็คือล้างกิเลสที่เป็นตัวร่วม
เพราะฉะนั้นปฏิบัติศีลตามลำดับ ปฏิบัติทานนั้นเป็นผลของศีลด้วย ศีลจะมีผลเป็นทานคือการให้ออกไปหมด ความยึดถือเป็นตัวเป็นตนออกไป ศีลก็ปฏิบัติที่มีหลักมีรูปร่างมีตัวตนมีวัตถุแท่งก้อน
ในจุลศีล ตั้งแต่ข้อ 1 ถึงข้อ 26 คุณปฏิบัติไปตามหลักต่างๆไม่ถึงข้อ 26 หรอก คุณจะบรรลุธรรมก่อน ปฏิบัติให้สัมมาทิฏฐิเถอะ คุณจะรู้ได้ว่าเป็นไปเพื่อความละความยึดเป็นเราเป็นของเรา ปฏิบัติเพื่อการได้ให้ ศีลนี่แหละคือการปฏิบัติเพื่อเอาออกไป ก็จะจบเป็นภาวนามัยจบเป็นผล เป็นเช่นนี้เอง
ก็มาเข้าสู่ย้ำตะปูกัน ไปหลับตาปฏิบัตินั้นมันผิดแล้วจะไปหลงภาวนามัยเป็นตัวเหตุอีก ก็ไปปฏิบัติไปภาวนา ภาวนานั้นคือการเกิดผล มันคือตัวสำเร็จ นี่มันละเอียดซ้อนในภาษาอยู่ตรงนี้ แค่สรุปลงที่คำ 2 คำนี้คุณเข้าใจ เหตุเป็นผล ผลเป็นเหตุ นี่คือคำสิริมหามายา ถ้าคุณเข้าใจผิดก็เป็นมายาหลอกตัวเอง ก็จบเห่เท่านั้นแต่เข้าใจเหตุเป็นผลเข้าใจผลเป็นเหตุเป็นมายาสลับอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าเป็นสิริมหามายา คุณก็เข้าใจถูก อ๋อเหตุก็คือเหตุ ผลก็คือผลก็ถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏฐิตรงนี้
เพราะฉะนั้นคำสอนของพระพุทธเจ้าหันเข้ามาปฏิบัติให้ถูกเถิด คำสอนของพระพุทธเจ้าคือวิชชาจะระณะสัมปันโน และก็ปฏิบัติให้บรรลุด้วยวิชชาและจรณะ
วิชชามี 8 จรณะมี 15
จรณะคือการประพฤติปฏิบัติ 15 ข้อ วิชชาคือปัญญาที่เกิด 8 ข้อ ไม่ใช่ให้บรรลุด้วยหลับตาสะกดจิตเลย เพราะหลับตาสะกดจิต จรณะ 15 ไม่มีเลย แล้ววิชชาเป็นผลของการเกิดจากการปฏิบัติ มันจะเกิดได้อย่างไร นอกจากวิชชาเดา เป็นปัญญาฟุ้งซ่านเป็นปัญญาผิดๆ เป็นปัญญาออกนอกความเป็นจริง
เพราะฉะนั้นทานก็ไม่สัมมาทิฏฐิ ศีลก็ไม่สัมมาทิฏฐิ ภาวนามัยก็ไม่มีผลสำเร็จเลย ไม่มีการได้เด็ดขาด เพราะปฏิบัติโดยมิจฉาทิฏฐิ คุณมนสิการ ใจของคุณ มิจฉาทิฐิเขาก็ทำใจในใจนะ นั่งสะกดจิตหลับตาสะกดจิต เขาก็ทำใจในใจนะ แต่ทำใจในใจแบบมิจฉา มิจฉาทิฏฐิมันก็เกิดมิจฉาผล เพราะฉะนั้นต้องมาทำใจในใจอย่างสัมมาทิฏฐิ อย่าไปงมงายอยู่กับการหลับตาปฏิบัติเลยเจ้าประคุณเอ๋ยเลิกกันเสียทีเถิด มันมืดมันบอดกัน มันจะมืดจะบอดจะ กิณหา เป็นสุภกิณหา หลงว่ามืดบอด มืดดำเป็นตัวสุภะเป็นตัวน่าได้น่ามีน่าเป็น ทำอย่างไรจะเปลี่ยนแปลงตัวนี้จากความเชื่อความเห็นความเข้าใจได้เสียทีหนอ
มาอธิบายลงละเอียดที่ จรณะ 15 เป็นตัวเหตุตัวภาคปฏิบัติและจะเกิดฌาน เกิดจิต ผลทางจิต ผลบรรลุทางจิตหรือสมาธิ สมาธิของพระพุทธเจ้าคือ สมาหิโตหรือสมาหิตะ แม้แต่ในยุคพระพุทธเจ้าท่านก็มาแยกเรียก สมาธิ มาเป็น สมาหิโต พยัญชนะตัวนี้
ซึ่งคำว่า สมาหิโต แปลเป็นไทยว่าจิตตั้งมั่นเหมือนกันกับสมาธิของทางมิจฉาทิฏฐิเขาเรียก เจโตสมาธิของเขาก็มิจฉาทิฏฐิก็เป็นจิตตั้งมั่นเหมือนกัน แต่จิตตั้งมั่นจากเหตุต่างกัน
สมาธินั่งหลับตาสะกดจิตแน่นอนมันก็ต้องได้ผลอย่างที่เขาเป็นกันอย่าง อาฬารดาบส อุทกดาบส แต่ของพระพุทธเจ้านั้นลืมตาปฏิบัติ จนจิตเป็นฌาน ก็เป็นฌานลืมตา
คำว่า ฌาน คำนี้แหละ เป็น อจินไตย ฌานวิสัยเป็น อจินไตย เป็นสิ่งที่นึกคิดเอาไม่ได้ ตักกะเอาไม่ได้เลย ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิในการปฏิบัติจะปฏิบัติศีลอย่างไร จะปฏิบัติทานอย่างไร จึงจะเกิดผลเป็น ฌาน สัมมาทิฏฐิเป็น ฌานวิสัยของพระพุทธเจ้า
เพราะการเรียนรู้ฌานนั่นคือต้องนั่งหลับตาต้องเข้าฌานออกฌาน คุณจะเข้าๆออกๆเข้าๆอยู่นั่นแหละ เข้าฌานออกฌาน อย่างเก่งก็ได้ ชานหมาก เหมือนกันกับมหาบัว
แต่ ฌาน ของพระพุทธเจ้านั้น มันเป็นอจินไตย เป็นสิ่งที่คิดเอาไม่ได้ เดาเอาไม่ได้ เป็นฌาน ที่จะเกิดจาก
-
ศีล 2. อปัณณกปฏิปทา 3. สัทธรรม 7 จะเกิดอย่างนี้
อาตมาก็ขอยกคำว่า ศีล ไว้ว่า ศีลข้อ 1 ก็ตาม ข้อ 2 ก็ตาม ข้อ 3 ก็ตามหรือจุลศีลก็ตาม หรือแม้แต่ มัชฌิมศีล เป็นศีลที่สูงขึ้นมาขยายละเอียดลงไปก็ใช่เป็นการปฏิบัติจริง ส่วน ศีลมหาศีล เป็นศีลองค์รวมของศาสนา ไม่ใช่ศีลที่ปฏิบัติเฉพาะตนเหมือนจุลศีล มหาศีล
มหาศีลนี้เป็นเรื่องของเดรัจฉานวิชาเป็นส่วนใหญ่ เป็นวิชชา ที่มันขวางทางนิพพาน ทุกวันนี้ในวงการศาสนาพุทธเต็มไปหมดเลยในมหาศีล เพราะเขาไม่เรียนกันแล้ว แล้วเขาก็ทำกันเป็นจารีตประเพณี ผิดมหาศีลเกือบไปทั้งหมดแล้ว
อาตมาไม่อยากเอามาขยายความ เพราะขยายความแล้วเหมือนกับตั้งทัพรบกับมหาเถระสมาคมเหมือนอย่างกับ ยูเครนกับรัสเซียเลย มันจะอย่างงั้นเลยจริงๆต้องห้ำหั่นกันจริงๆ ก็ต้อง อนุโลมเอาไว้ว่ายังเอาไว้ก่อนอันนี้ พูดจุลศีลยังไม่ต้องถึงมัชฌิมศีล มหาศีลเอาไว้ก่อน
ศีลข้อ 1 2 3 ขยายไปทะลุในได้
แม้แต่ศีลข้อ 1 คุณไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 ผิดแล้ว อปัณณกะ แปลว่าไม่ใช่พุทธ ผิดพุทธ ปฏิปทาแปลว่าข้อปฏิบัติ เพราะฉะนั้น 3 ข้อนี้ ปฏิปทา 3 ข้อ ถ้าไม่มีในการปฏิบัติธรรม ผิดเลย ตัดสินได้เลยทันที ผิด ไม่ใช่พุทธ ไม่มีทางเกิดสัทธรรม 7 ไม่เกิดฌาน ไม่เกิดวิชชา 8 ไม่มีเกิด
ตัดสินกันได้ที่ อปัณณกปฏิปทา 3
ที่นี้ลงลึกในปฏิปทา 3 ไม่ยากเลย เข้าใจเป็นพื้นฐานง่ายๆและปฏิบัติตามพื้นฐานก็ได้
-
สำรวมอินทรีย์ 2.โภชเนมัตตัญญุตา 3.ชาคริยานุโยคะ