660224 ชาวอโศก ทำแล้ว ทำอยู่ และกำลังทำโลกุตระต่อไป พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1JdKu8WKjFwlZAso09NqbLRFyaC0BZ7y_ujVd5yNrFW4/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1CzL_RPeiz2zq3u2Oql6KqSXLc6S2VOaJ/view?usp=share_link
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/bgoPGIn9PQc
และ https://fb.watch/iUshhoZ31G/
สมณะฟ้าไท… วันนี้วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 5 ค่ำเดือน 4 ปีขาล เรื่องเวลาตอนนี้ก็แล้วแต่พ่อครู จะทุ่มครึ่งก็ได้หรือจะถึง 20:00 น ก็ได้ เกิน 20:00 น ก็คงไม่ดี ต่อสุขภาพ แล้วแต่แรงพ่อครูจะเกินก็ได้
สมัยก่อนนี้ อาตมาไปฟังเทศน์พ่อครูที่สันติอ พ่อครูจะเทศ 9:00 น ถึง 11:00 น วันอาทิตย์ เราก็ตั้งนาฬิกาใจไว้ ถึง 11 โมงพ่อครูก็ไม่มีทีท่าจะหยุด พ่อครูเทศน์ไม่ต่ำกว่า 11 โมงบางทีก็ 11:15 น บางทีก็ 11:30 น ตอนหลังเราก็ทำใจในใจว่าพ่อครูเทศน์ให้ถึงเที่ยงไปเลยจบ ถ้าเราไปกำหนดตัวท่านก็ตายเลยเป็นสิทธิของท่านที่จะโปรดเราด้วยความเมตตากรุณาต่อมวลมนุษยชาติ
ตอนนี้การเมืองไทยที่ฮอตก็คือนายกตู่ บอกว่าจะไปที่โคราชวันพรุ่งนี้ เขาเตรียมเก้าอี้ไว้กี่ตัวรู้ไหม 30,000 ตัว เต็มหน้าย่าโม 30,000 ตัวนี้ถ้าเต็มก็คงเพิ่มเก้าอี้ เขาบอกว่าคนคงมามากกว่าที่จัดไว้ เป็นไปได้เพราะตอนไปใต้ก็คนเพียบ เป็นนายกที่เหมือนดาราฮอลลีวูดเลย เห็นคนกรี๊ดกร๊าด
ไปที่จันทบุรีท่านก็บอกว่า สิ่งที่ทำแล้วมีอะไรบ้าง สิ่งที่กำลังอยู่มีอะไรและกำลังทำต่อมีอะไรอีก 3 อย่างคือ ทำแล้ว ทำอยู่ และทำต่อไป คือบอกสิ่งที่ตัวเองจะทำไม่ว่าความหวังความฝันไว้ แต่บอกความจริงของตัวเองที่ทำอะไรไปบ้างให้แก่ประชาชน ช่วยเหลือประชาชนอะไรอย่างไร ไปที่ไหนก็ได้รับแต่ความรัก
ส่วนการเมืองที่พ่อครูนำเสนอเป็นการเมืองโลกุตระ เป็นคนพัฒนาเป็นคนมีวรรณะ 9 พึ่งพาตัวเองได้และทำประโยชน์แก่ผู้อื่น 3อย่างคือ พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ นี่คือระบบประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้า ที่พ่อครูพานำมาอธิบายให้คนสมัยนี้เข้าใจ ศาสนาพุทธเป็นประชาธิปไตยที่ดีที่สุด เพราะพาเป็นคนอิสรเสรีภาพ ไม่บังคับใคร ให้อิสระแก่คนทุกคนที่มาศึกษา คนมาศึกษากับชาวโศก พ่อครูว่าจะไปศึกษากับสำนักอื่นได้ก็ไม่ได้ห้าม สำนักไหนจะมาที่นี่ก็ได้มาแสดงธรรมที่นี่ไม่มีปัญหา เชิญ อยากได้ผู้คนไปก็มาแสดงเอาสิ ขนาดจตุพรมาก็บอกว่ามาอยู่เลย ให้ป่วนได้เลย พวกเราจึงรู้สึกมีอิสระเสรีในตัวเอง จะอยู่จะไปอย่างไรก็แล้วแต่
เชื่อมั่นว่าถ้าเรามีโลกุตระที่แท้จริงก็ไม่ไปไหนจะอยู่ที่นี่เพราะความจริงอยู่ที่นี่อยู่กับหมู่ชนนี้ ทำแบบนี้ ในระบบสาราณียธรรม 6 ที่พ่อครูพาพวกเราทำ
ความเจริญสูงส่งไม่ใช่ใช้ตัวเงินเป็นเครื่องชี้วัด เพราะทุกประเทศมีหนี้
พ่อครูว่า… อาตมาก็พูดธรรมะ แล้วก็เอาเรื่องคำว่าการเมือง หรือพฤติกรรมของคนที่ประพฤติอยู่ในสังคม ตั้งแต่ผู้บริหารลงมา ผู้บริหารประพฤติอย่างไรมันก็คือการเมือง สมัครตัวหรือว่าทำเข้าไปแสดงตัวต่อสังคมต่อประชาชนมากๆเขาก็เป็นนักการเมือง โดยเฉพาะไม่ได้พูดถึงเรื่องของ อะไรตัวเอง งานของตัวเองไม่พูด
ที่นี้คนมาพูดงานของตัวเองอย่างพวกเรา เราพูดถึงงานของตัวเองงานของพวกชาวอโศกเราทำอะไร เราเห็นว่าอะไรควรทำก็พูดไป หาว่าอย่างนี้เป็นเรื่องอวดตัวอวดตน แต่เรื่องที่พูดไปว่าเขาจะได้เป็นผู้บริหาร เป็นผู้ได้อำนาจ ที่ประชาชนยกย่องให้ แล้วเขาก็ได้เป็นผู้บริหารเป็นผู้มีตำแหน่งหน้าที่ อะไรต่างๆ ถือว่าอย่างนั้นเป็นเรื่องเจริญเป็นเรื่องสูงส่ง ลองตั้งใจคิดดีๆสิว่า ความเจริญของคนหรือความสูงส่งขึ้น เจริญขึ้นของคนนี้ แล้วก็ทำให้ความเจริญของสังคมจริงๆ อะไรจริงๆเป็นเครื่องชี้วัด
เอาเงินเป็นเครื่องชี้วัดหรือ ถ้าเอาเงินเป็นเครื่องชี้วัด ถ้าคุณมีวิสัยทัศน์แบบนั้นมี Concept แบบนั้น มี Vision แบบนั้น มี Concept แบบนั้น เขาก็จะพยายามสะสมเงินด้วยวิธีอะไรก็ได้ ขี้โกงก็ได้อย่างทักษิณ แล้วเขาก็หลงอย่างนั้นแล้วเขาก็แสดงอำนาจบาตรใหญ่ แสดงความกร่างของตัวเองที่มีเงินมาก
หรือแม้แต่แจ็คหม่า มีวิธีการหมุนอะไรต่ออะไรแล้วก็ได้เงินเข้ามาให้แก่ตัวเอง หรือวิธีชัดๆก็คือวิธีค้าขาย ค้าขายด้วยการบวกเอาเกินควรจะเป็น ควรจะเป็นก็คือราคาประมาณนี้ตลาดเฉลี่ยแล้ว แต่เขาพยายามจะให้มันสูงกว่าราคาตลาดเขาขายกัน แล้วหลงกันว่าผู้ที่ขายได้ราคามาก คือคนเก่ง คนสามารถ เป็นคนทำเอาเงินเอาตัวเลขมาเป็นเครื่องวัด
คนที่ไปหลงธนบัตร ไปหลงตัวเลขมาเป็นเครื่องวัดชีวิตมันตื้นเขินมากเลย อาตมาให้เขาพิมพ์หลักฐาน ในประเทศ 200 กว่าประเทศ มีรายได้ต่อหัว หรือมีเปอร์เซ็นต์ของ GDP อะไรเท่าไหร่เท่าไหร่ เขาคิดกันมาโอ้โห 200 กว่าประเทศ จดทำสถิติมาหมดเลย
External debt หนี้ต่างประเทศ
มีหนี้กันหมดทุกประเทศ อาตมาสอนพวกเราแนะนำพวกเรา ชีวิตที่เจริญคือ
1.ไม่มีหนี้
-
ทำมาหากินเลี้ยงตัวเองให้รอด
-
ทำให้เหลือ ทำสิ่งที่จำเป็นสิ่งที่ควรสร้างควรทำนี่แหละ โดยเฉพาะพวกเรานี้เน้นพืชพันธุ์ธัญญาหาร ทำให้มาก กินอยู่ในนั้นเสร็จ อาศัยกินอยู่โดยไม่ตาย ชีวิตนี้รอดไปได้ตลอดรอดฝั่ง จนตายแหละ จะว่าไม่ตายก็ไม่ได้ก็ต้องได้ แต่ก็มีกินอยู่จนตาย ไม่อดไม่อยาก
เพราะคนอื่นต้องกินต้องใช้พืชพันธุ์ธัญญาหารทั่วโลก ไปให้ขั้วโลกเหนือที่กินผักกินพืชไม่ค่อยเป็นก็ยังกินได้เลยเลี้ยงชีวิตได้ด้วย มันไม่มีกินเท่านั้นเอง
ผู้ที่เห็นคุณค่าอันสำคัญของชีวิตจริงๆอย่างนี้เรียกว่าปัจจัย พระพุทธเจ้ายกเป็นหนึ่งในโลก อาหารเป็นหนึ่งในโลก โดยเฉพาะ กวฬิงการาหาร นอกจาก กวฬิงการาหารแล้วก็สิ่งที่ต้องอาศัย สัมผัสแล้วเกิดเวทนา เกิดความรู้สึก
เมื่อเกิดความรู้สึกแล้วผู้ที่ไม่เรียนรู้เรื่องจิต เจตสิก รูป นิพพานก็จะเป็นตัณหา
ตัณหาที่ไม่เรียนตั้งแต่กามตัณหา ตัณหาคือความอยากใคร่เอามาให้แก่ตัวเอง มันก็จะมีตัวตัณหานี่แหละเป็นตัวบงการชีวิตเลย ชีวิตคนที่ไม่ศึกษาก็จะเป็นอย่างนั้น มีกามตัณหา แล้วก็ลดได้มันจึงจะไปลดขั้นที่ละเอียดขึ้นเรียกว่า รูป รูปตัณหา เป็นภวตัณหา เป็นตัณหาที่อยู่ในภพในภวังค์ต่อไป
แต่คนที่หลงผิดไปนั่งหลับตา มันมีแต่รูปในภพ เป็นนามธรรม เป็นภวตัณหา รูปตัณหา อรูปตัณหา รูปราคะหรืออรูปราคะ ซึ่งอันนั้นมันจะมาล้างกามตัณหา มันล้างไม่ได้ กามตัณหาต้องล้างมันก่อน มันเป็นของหยาบของแข็งของเหนียว ของขั้นต้น
เพราะฉะนั้นคนที่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติธรรมจึงโมฆะหมด ล้างกิเลสไม่ได้หรอกแต่ไปหลง อสัญญีสัตว์ ไปหลงนั่งสะกดจิต ทำให้จิตมันดับไม่รับไม่รู้อะไร แล้วไม่เคลื่อนไหว ไม่คิดไม่นึก ไปหลงอย่างนั้น เป็นการบรรลุธรรม ซึ่งมันไม่ได้เรียนรู้กิเลส
กิเลสจะเกิดได้และเป็นกิเลสจริงๆ ไม่ใช่กิเลสอยู่ในความคิด อยู่ในสัญญานึกเอาจากอดีตหรือคิดฟุ้งไปในอนาคต ไม่มีการสัมผัสตาหูจมูกลิ้นกาย กิเลสที่มีในอดีตแล้วก็นึกออกมา คุณเคยมีก็นึกได้หรือคุณฟุ้งไปในอนาคตอยู่ในภพ จะว่าเป็นกิเลส มันก็เป็นเฉพาะคุณ มันไม่ยึดก็ได้ง่าย แต่กิเลสที่มันมาติดทางตาหูจมูกลิ้นกายแล้วนี่สิ มันเป็นตัวจริงๆเลยเป็นของจริง
ถ้าไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายมีผัสสะข้างนอก มันไม่เป็นความจริง ท่านเรียกว่า ต้อง มีทิฏฐธรรมหรือทิฏฐะกาละ ต้องมีปัจจุบันชาติ ปัจจุบันที่เกิดขณะนี้เรียกว่าปัจจุบันชาติ ชาติคือการเกิด มีปัจจุบัน มีแสงสว่าง มีตาหูจมูกลิ้นกาย และก็มีแสงสว่างมีการตื่นรับรู้ต่อผัสสะทั้งหลาย นี่เป็นความครบของความจริง
ศาสนาเทวนิยมไม่มีความจริงตั้งแต่พระเจ้า พระเจ้าสัมผัสด้วยตาหูจมูกลิ้นกายไม่ได้ ตลอดตั้งแต่มีแต่ไหนแต่ไหนจนถึงทุกวันนี้ ไม่มีใครสัมผัสได้ แม้แต่พระศาสดาหรือพระบุตรยกให้พระเจ้าเป็นพระบิดาเป็นพ่อ แล้วตัวเองเป็นคนเข้าใจผิดว่าตัวเองเป็นลูกพระเจ้า ส่วนคนนี้ไม่ใช่ลูกพระเจ้า มีพระบุตรเท่านั้นเป็นลูกพระเจ้า
เพราะฉะนั้นคนจะไปเป็นลูกพระเจ้าหรือไปเป็นพระเจ้าไม่ได้ ตัดขาดกันเลย นี่เป็นเรื่องไม่ใช่เรื่องของคนเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ เป็นเรื่องขบคิดตัดตัวเองออกขาดจากประชาชนแล้วมาสอนประชาชน โดยอธิบายกลบเกลื่อนไปว่า คำสอนของพระเจ้านี่คือคำสอนที่จะทำให้คนดี ก็พระเจ้าไม่ใช่คน จะดีไม่ดีจะรู้เรื่องได้อย่างไรเพราะเป็นสิ่งลึกลับ ก็มีคนนั่นแหละมาสอนแต่บอกว่าตัวเองไม่ใช่คน ตัวเองเป็นลูกพระเจ้า แล้วคนนี้เป็นไม่ได้ คนเป็นศาสดาไม่ได้ คนไหนก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาเป็นศาสดา ต้องพระเจ้าเท่านั้นบัญชาให้มาเป็น
นี่เป็นคำอธิบาย เป็นการให้นิยามความรู้ มันก็ประหลาดดีนะ แล้วคนก็เชื่อเยอะเพราะคนในโลกไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องละเอียดลึกซึ้งพวกนี้ได้ จะเรียกว่าคนโง่ก็นั่นแหละคือไม่รู้ได้ก็ยังโง่อยู่ มันมีเยอะกว่าคนฉลาด
พุทธมีความฉลาดที่ถึงนิพพานคือหมดอุปาทาน 4
ความรู้ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้วมาสอนเป็นความรู้ระดับ เป็นความรู้ระดับคนฉลาด ฉลาดที่เป็นคนฉลาดจริงๆ ฉลาดที่จะต้องมีความครบในความฉลาด ความฉลาดครบคืออะไร ความฉลาดครบคือ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส โผฏฐัพพะกายสัมผัสกระทบภายนอก มโนกับธัมมายตนะภายใน มีใจรับรู้เป็นคู่สุดท้าย เป็นประธานอยู่ในจิต ครบอย่างนั้นจึงจะเรียกว่าความจริง นอกนั้นมันไม่ใช่ความจริง ไม่มีสัมผัสไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วก็มีใจร่วมด้วย สัมผัสกันจริงเกิดอาการ เกิดเป็นสังขาร เกิดเป็นเวทนาก็แล้วแต่
สังขารก็คือการปรุงแต่งขั้นต้น เวทนาคือการปรุงแต่งอยู่ในจิต สังขารก็มีตั้งแต่สังขารกายสังขารภายนอก ส่วนเวทนาก็เป็นภายใน
ความละเอียดละออของภายนอกกับภายในที่เรียกด้วยศัพท์ว่ากาย กาย กายะ กาโย คำนี้ต้องมีทั้งภายนอก มีทั้งภายในคู่กัน แยกกันไม่ได้เหมือนกระดาษ 1 แผ่น จะฉีกไม่ให้มันเหลือ ฉีกออกจากกันหรือแยกให้มันเป็น 2 แผ่น มันบางจนฉีกไม่ได้แล้ว แยกกันไม่ได้ กายเป็นอย่างนั้น
เหมือนถ้าเข้าใจว่า กายนี้มีแต่ข้างนอกอย่างเดียว หรือยิ่งไปเข้าใจว่ากายคือข้างใน มันก็ยิ่งแย่ใหญ่เลย คนไทยชาวพุทธก็ไม่ค่อยหลงผิดกันว่ากายคือข้างในหรอก ข้างในก็เรียกว่าจิต ข้างนอกเรียกว่ากาย แล้วก็มิจฉาทิฏฐิหลงผิดไปจนกระทั่งว่า กายนี้คือข้างนอกที่ไม่เกี่ยวกับจิตเลย ตัดขาดไปเลย นี่แหละคือมิจฉาทิฏฐิที่เป็นความเสื่อมเด็ดขาด
ถ้าใครเข้าใจผิดตรงนี้เรียกว่า ไม่พ้นสักกายทิฏฐิ สังโยชน์ข้อที่ 1 เบื้องต้นเลย กระดุมเม็ดแรก ที่คุณจะใส่เสื้อแล้วต้องกลัดกระดุมเม็ดแรก เม็ดแรกของคุณกล้ดผิดปั๊บก็ไปเลย จะผิดไปหมด แล้วกลัดผิดไปมันไม่กลัดผิดเรื่องเดียวนะ มันเหมือนปากกรวย พอกลัดผิดตรงนี้แล้วมันเหมือนมี 2 อัน แล้วมันก็เดินทางผิด ไม่ค่อยตรง มันไม่เป็นหนึ่ง มันกลายเป็น 2 มันก็ไปเลย เป็นปากกรวยไปใหญ่เลยไป โอ้โห หาที่สุดมิได้เลย คนโง่จึงโง่หาที่สุดไม่ได้ น่ากลัวจริงๆ โง่ไม่เสร็จ ก็โง่นานโง่ติดต่อ โง่ยาวไปถึงนิรันดร โอ้โห.. น่ากลัวจริงๆ
คนที่หมดโง่ในความหมายที่กำลังพูดนี้ในเรื่องของปรมัตถ์ เรื่องของจิตเจตสิกรูปนิพพาน คนหายโง่ หมดโง่แล้ว จึงจะพบนิพพาน
นิพพานคืออะไร
_สู่แดนธรรม… คือสิ่งที่ไม่เกิดแล้วครับ
พ่อครูว่า… พระอรหันต์มีนิพพานหรือยัง
_สู่แดนธรรม… มีครับ
พ่อครูว่า… อ้าวพระอรหันต์ก็ยังเกิดได้ ความจริงเป็นสัจจะ คุณพูดอย่างไร
_นักรบธรรม… หมดตัวหมดคนเลยครับ
พ่อครูว่า… คุณมีตัวตนอยู่ไหมล่ะ
_โยมว่า…0
พ่อครูว่า… คุณก็ยังมีตัวอยู่ไง
_สม.กล้าข้ามฝันว่า… หมดกิเลสในอุปทานขันธ์ 5
พ่อครูว่า… คุณไปยึดขันธ์ 5 ว่าเป็นเรา รูปเวทนาสัญญาสังขาร แล้วคุณก็หมดอุปทาน คำว่าอุปทานนี้ในปฏิจจสมุปบาท สุด ผู้ที่รู้จักอุปาทาน ล้างอุปทานได้หมด อุปาทานมี 4 อย่างคือ
๑. กามุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในกามภพ บำเรอรูปรสฯ) .
๒. ทิฏฐุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในทิฏฐิ เช่น เห็นว่าผีมีตัวตน)
๓. สีลัพพตุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในศีลและวัตรปฏิบัติธรรม)
๔. อัตตวาทุปาทาน (ถือมั่นเข้าใจในอัตตาหรืออาตมันได้แค่ วาทะ แต่ไม่เคยรู้เห็นอัตตาตัวปรมาตมันจริงๆนั้นเลย) . . .
(พตปฎ. เล่ม ๑๑ ข้อ ๒๖๒)
พ่อครูว่า… กามุปาทาน กามคือภพข้างนอก กามาวจร กามภพ การเดินทางไปอยู่ของชีวิต โดยเฉพาะคน ไม่ต้องไปพูดถึงสัตว์หรือ อเวไนยสัตว์ มันก็เรียนรู้ไม่ได้แล้ว ต้องสัตว์ที่เรียนรู้ได้คือคนนี่แหละ คนในฐานะที่ต้องมาเรียนรู้ธรรมะโลกุตระ จะเรียนรู้ กาม หรือเรียนรู้กาย
-
กามคุณ 5 เกิดจากทางตาหูจมูกลิ้นกาย 5 นี่เป็นพื้นฐานเลยเบื้องต้น
-
ทิฏฐุปาทาน ทิฏฐะ ความเห็นความเข้าใจความรู้ เพราะฉะนั้น ทิฏฐะ หรือทิฏฐิ ความเห็นความรู้จึงเป็นตัวที่เริ่มต้นเหมือนกัน เริ่มต้นทางนาม กามคือ ร่วมกับรูปทางตาหูจมูกลิ้นกาย ทิฏฐุ หรือทิฏฐิ หรือทิฏฐะ คือความเห็นความเข้าใจ จิตที่เป็นนาม ไปร่วมกัน สัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ร่วมกันขึ้นมา จึงจะเกิด กาย เกิดเป็นสภาพ 2 กาย
แล้วอวิชชา ก็มีกายที่ไม่รู้ ที่อวิชชาก็จะเกิดกาม เพราะฉะนั้นเบื้องต้นที่สุดก็จะต้องเรียนรู้ตรงนี้เหมือนคุณจะกินทุเรียน คุณก็ต้องแกะเปลือกมันก่อน ต้องหาอะไรมาเฉาะเปลือกออกให้หมดก่อน คุณถึงได้กินทุเรียน หรือ บางอย่างหลายอันจะต้องเฉาะออกเป็น 3 ชั้น เอาเปลือกแล้วก็เอาเนื้อออกถึงจะได้กินเม็ดในแก่นมัน อย่างนี้เป็นต้น
ถ้าคุณไม่เฉาะเปลือกออกอะไรต่ออะไรออก ไม่ผ่านไปถึงข้างใน เอาออกหรือคุณต้องกินเข้าไปก่อนหรือทำลายก่อน ทำลายอันนี้แล้วก็จะได้เนื้อใน ด้านในสุด มันถึงจะเป็นลำดับ
อย่างสายนั่งหลับตา หมด มันไม่มีเบื้องต้น เพราะฉะนั้นเบื้องในที่จะไปเจอไปถูกต้อง ไปมีของจริง..ยกเลิกเลย เพราะในกาม ในกามาวจร ในพื้นภพ คนมีตาหูจมูกลิ้นกาย ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าจะต้องมีภายนอกเป็นพื้นฐานเลย ตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วล้างกิเลส ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่ออกให้หมด อุปาทาน ข้อที่ 3 คือ
-
สีลัพพตุปาทาน เป็นอุปาทานยึดถือข้อปฏิบัติศีลพรต เพราะฉะนั้นคนที่ไปเข้าใจทิฏฐิผิด เข้าใจกามผิด เข้าใจกายผิด ศีลพรตที่ปฏิบัติก็จะผิดด้วย เพราะกำหนดผิดเลย กำหนดวิธีปฏิบัติอย่างไปนั่งหลับตาปฏิบัติ เป็นวิธีปฏิบัตินั่งหลับตาสะกดจิตข้างใน เข้าไปข้างในเลย ไม่เรียนรู้ข้างนอกก่อน อย่างสายหลับตาทั้งหลายแหล่ ไม่รู้เรื่อง กาม อย่างมหาบัว ไม่รู้เรื่องกาม ติดกาม ติด รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) อย่างติดหมากพลู แล้วก็ไม่รู้ว่าการเสพติดอย่างนี้เป็นการยึดติดจริงๆ ซึ่งเป็นเปลือกนอก
อาตมาเชื่อว่า มหาบัวนี่รู้นะ แต่มันติดจนกระทั่งต้องกลบเกลื่อน แล้วหลอกคนว่า ตัวเองไม่ใช่หรอก นี่เรื่องของธาตุขันธ์ กินไปก็เพราะธาตุขันธ์เท่านั้น ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าคนที่รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองพูดนี้ผิด หลอกคนอื่น คนๆนี้จะทำชั่วใดๆได้หมด ไม่มีละเว้น คนที่โกหกเขาทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองโกหก น่ากลัว
ที่อาตมาพูดนี้เป็นตัวอย่างของบุคคลที่เป็นจริง ยกขึ้นมาพูดไม่ใช่ลอยลม และก็ไม่ได้ไปข่ม แต่สงสารมหาบัว สงสารที่หลงผิด ถ้าหลงผิดจริง มหาบัวนี้จะอยู่ในภพชาติ หมุนเวียนตกอยู่ในภพชาตินานมาก เพราะตายไปจะไปยึดติดว่าตัวเองจะไม่เกิดอีกแล้ว เหมือน อาฬารดาบส อุทกดาบส พระพุทธเจ้าก็อุทานว่าฉิบหายแล้วหนอ เพราะฉะนั้นมหาบัวนี้ก็คือคนที่พระพุทธเจ้าต้องอุทานว่าฉิบหายแล้วหนอ ไม่มีใครจะช่วยได้แม้แต่พระพุทธเจ้า คิดดูสิมันจะเป็นอย่างไร แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้ คิดดูแล้วจะเป็นยังไง อย่างมหาบัวหรือสายนั่งหลับตา
แล้วก็ไปหลงติดยึดเลยว่านี่แหละคือภพที่ 7 ภพที่ 8 อรูปฌาน ที่ 7 ที่ 8 เหมือน อาฬารดาบส อุทกดาบส นี่แหละ ยึดตรงนี้ ที่ว่า ไม่เกิดอีกแล้วอย่างมหาบัวบอกว่าไม่เกิดอีกแล้ว แล้วก็ไปได้แค่นี้ เพราะเกิดจากการนั่งหลับตา ไม่มีทางอื่นที่จะได้ ล้างกิเลสไม่ได้ ก็ล้างกิเลสตาหูจมูกลิ้นกายอย่างหยาบๆยังไม่ได้
โดยไปแสดงตนว่า ตนเองพ้นกามคือ ไม่มีคู่ ไม่มีเมถุน ไม่มีคู่ผัวคู่เมีย ไม่ได้ไปแต่งงาน นั่นแหละคือไม่ได้เสพกามเพราะไม่ได้ไปแต่งงาน ไม่ได้ร่วมเพศ ผู้หญิงผู้ชายที่เป็นตัวตนแท้ๆถือว่าอันนั้น
อาตมาขอใช้คำนี้ว่าหลอก หลอกตัวเองว่าพ้นกิเลส แล้วก็ไปอธิบายไม่ได้ในภพชาติ ในภวังค์ ในภายใน อธิบายไม่ได้ มีแต่ใช้คำว่า กิเลสกิเลส สู้มัน สู้มัน นั่งหลับตาสู้มัน นั่งภาวนา ๆๆ สู้มัน มโนปวิจาร 18 อธิบายไม่ได้ ยิ่ง เวทนา 108 ไม่ต้องพูดเลย ทั้งๆที่เรียนมาเป็นเปรียญ อธิบายไม่ได้ อธิบายอย่างอาตมาอธิบายไม่ได้ ซึ่งก็ไม่ได้อธิบายง่ายๆ แม้ผู้เรียนรู้มาพอรู้ความอย่างมหาบัว
ที่อาตมาต้องหยิบยกมาพูด มาอธิบาย มาเป็นตัวอย่างก็เพราะว่า มันเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ ไม่ได้เกลียดชัง พูดอีก สงสารมหาบัว แล้วคนที่ไปหลงติดยึดแบบมหาบัวก็น่าสงสารเหมือนกันทุกคน บวชอยู่นี่เป็นลูกศิษย์ลูกหาทุกวันนี้มีเยอะจริงๆ แล้วเขาไม่ฟังนะที่อาตมาพูด เขาปิด เขาว่าพวกนี้นอกรีต นอกศาสนาพระพุทธเจ้า ต้องมหาบัวคือพระบุตร แล้วก็เดียรถีย์นั่นแหละคือพระเจ้าของเขา เดียรถีย์หมายถึงคนนอกพุทธ คนที่ไม่ใช่พุทธที่สัมมาทิฏฐิจริงๆ คือเดียรถีย์
ทุกวันนี้ศาสนาพุทธมันเสื่อมมากจริงๆ พุทธนั้นคือโลกุตรธรรมไม่ใช่โลกียธรรมเหมือนศาสดาเทวนิยมทั้งหลาย พระพุทธเจ้าตรัสรู้ อาตมาก็เคยย้ำว่ามีองค์เดียวในแต่ละยุค ยุคกาลนี้พระพุทธเจ้าตรัสไว้เลยว่าไม่มียุคกาลไหนที่พระพุทธเจ้าจะเกิดมาเป็นศาสดาซ้อนกัน 2 องค์ แม้แต่ในระยะเวลาอันใกล้เคียง อย่างเช่น ศาสนาพุทธเป็นกลียุค หมดกลียุคไป จนกว่าจะมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติอีก นานมาก
พระพุทธเจ้าไม่เกิด ให้แต่โพธิสัตว์มาเกิด ก็นานแล้ว กว่าจะหมดกลียุค พระโพธิสัตว์จะเกิดมาต่อจากพระพุทธเจ้าที่ท่านไม่เกิดแล้ว เพราะคนในขนาดท่านนี้ ถ้าเกิดมาสอนไม่ได้ จะรับได้เฉพาะให้ พระโพธิสัตว์มาสอน ที่จริงพระพุทธเจ้าก็สอนได้แต่ท่านพอแล้ว ท่านก็เป็นพระโพธิสัตว์มาก่อนเหมือนกับพระโพธิสัตว์
เพราะฉะนั้นเมื่อมาถึงสุดท้ายแล้วพระพุทธเจ้า จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วเป็นชาติสุดท้ายของท่าน ท่านก็สอนแค่อรหันต์ ไม่ต่อพุทธภูมิ ให้พระโพธิสัตว์มาสอนพุทธภูมิและต่อพุทธภูมิกัน ตั้งแต่มหาโพธิสัตว์จะต้องมาเกิดมาต่อภพภูมิ อย่างนิยตะโพธิสัตว์อย่างอาตมาก็ต้องมาเกิดมาตอบภพภูมิสืบทอดต่อไป
เพราะฉะนั้นผู้ที่บรรลุนิยตโพธิสัตว์แล้ว ตอนนี้พัฒนาภูมิไปได้เอง นี้คือไม่ต้องพึ่งพระพุทธเจ้าแล้ว พัฒนาธรรมะไปสู่มหาโพธิสัตว์ พึ่งผู้พี่และผู้พี่ก็ไปเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ พอปัจเจกสัมมาสัมพุทธะแล้ว ผู้ที่ไม่เวียนมาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ไม่มาประกาศตน ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปเอง นั่นก็คือผู้ที่สูงสุดในโพธิสัตว์ ที่เหนือกว่านั้นถือว่าพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าคือไม่ใช่ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะมาประกาศตนเองกับมนุษย์ ว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้า แล้วท่านก็ประกาศศาสนา ส่วนปัจเจกสัมมาสัมพุทธะที่ตรัสรู้มีสัมมาสัมโพธิญาณ เหมือนกันกับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แต่ท่านไม่ประกาศท่านก็ปรินิพพานของท่านไป ก็ไม่มีใครรู้ว่าพระโพธิสัตว์องค์นี้คือพระพุทธเจ้า แต่ท่านมีสัมมาสัมโพธิญาณเท่ากันกับพระพุทธเจ้า งงไหม ละเอียดดีไหม ไม่สับสนนะ
ผู้จะแยกอย่างนี้ได้ก็คือต้องมีความรู้ในความจริงอันนี้ อาตมารู้ในความจริงอันนี้ เพราะอาตมาในฐานที่อาตมารู้แล้ว แต่อาตมาไม่ได้สับสน อาตมายังไม่ได้เป็นนะ แต่อาตมารู้แล้วมีตำราแล้วมีทางเดินแล้ว แต่อาตมายังเดินไม่ถึง อาตมาไม่ได้สับสนไม่ได้หลงตัวเองนะ
อาตมาเคยบอกว่าอาตมาเกิดมาในชาตินี้ไม่มีครูบาอาจารย์ อาตมามีความรู้ของตัวเอง คนไม่รู้ ภูมิไม่รู้ ปัญญาไม่ถึง ก็บอกว่ามันอวดดี อวดตัวเองเป็นผู้รู้ รู้เอง บอกว่าชาตินี้ไม่มีครูบาอาจารย์ รู้เอง มันก็เป็นพระพุทธเจ้าสิ อาตมาไม่เคยไปหลงผิดว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้าสักครั้งเลย
คนไม่รู้ที่มาบอกว่าอาตมาพูดหมายอันนั้น อาตมาไม่ได้หมาย อาตมาก็คือพระโพธิสัตว์ ก็บอกตัวเองว่าระดับ 7 จะมีภูมิไปถึงระดับ 8 ซึ่งพวกคุณก็พอเข้าใจระดับ 8 ต่อไป ซึ่งอาตมาจะเป็นระดับ 8 จริงขึ้นไปแล้วแค่ไหนอย่างไร อาตมาไม่ต้องไปอวดพวกคุณก็ได้ ถ้าหากอาตมามีภูมินั้นจริงมันก็เป็นจริง แล้วอาตมาก็ไม่จำเป็นต้องไปอวดศักดาตัวเอง อวดแค่นี้ ที่ อาตมาบอกว่าอาตมาไม่ได้อวดอาตมาบอกความจริง นี่ก็เป็นภาษาซ้อน มันอวดความจริง โม้อยู่ว่าตัวเองเป็นนั่นเป็นนี่เป็นชั้นสูง สูงอย่างนั้นสูงอย่างนี้ ก็มาฟังอาตมาพูดสิว่าอาตมาพูดความสูงหรือเปล่า พวกคุณนี่ อ้าว เดี๋ยว อ่าน SMS
SMS วันที่ 22-23 ก.พ. 2566
_1945 : ชอบเครื่องแบบชาวอโศก ผ้กผลไม้ที่อโศกน่ากินทุกอย่าง เพราะเป็นของไร้พิษมีคุณภาพ
พ่อครูว่า… นี่เราก็โชว์แล้วโชว์อีก จะว่าอวดก็อวดเพราะน่าอวด อวดทุกวัน มีของดีอวด ใครไม่มีดีอวดสู้เราไม่ได้ สู้เราไม่ได้ในข้อนี้ ก็คงจะไม่มีใครสู้เราได้ในข้อนี้ ในหลวงท่านก็เคยตรัสไว้ อันนี้ก็จริง
_สุรัตนา น้อยศรี · พ่อครูต้องมีอายุยาวกว่าร้อยปีนะคะ
พ่อครูว่า… I hope So
_เมฆงาม โชควิบูลย์กิจ · กราบนมัสการท่านฟ้าไทและสิกขามาตุกล้าข้ามฝัน สอนใจเรื่องทุกข์การกินอาหารที่เป็นอกุศลธรรมทั้งหลาย ให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดเจนที่สุดแล้วคะ
พ่อครูว่า… เอาไปปฏิบัติให้มันได้ผลกัน
_จรรยา ประเสริฐ · เมื่อก่อนไม่เชื่อค่ะ เรื่องลุงไม้ร่ม เดี๋ยวนี้ฟังธรรมพ่อไปบ่อย ๆ เข้าใจ และมองอย่างเข้าใจว่า ลุงมาเป็นคู่บารมีพ่อ สร้างธรรมชาติด้วยมือ เข้าใจที่พ่อเทศน์ค่ะ
พ่อครูว่า… ไม่ขยายความต่อ เดี๋ยวไม่ร่มเขาจะหลงระเริง เขาก็ทำหน้าที่ไป
คนมีภูมิปัญญาจึงมองเห็นสิ่งวิเศษที่พ่อครูทำ
_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า… คนเขายกยอยกย่องอาตมาไม่ได้มีความอยากได้ อันนี้ถ้าใครเห็นว่า อาตมานี้พยายามแสดงออก เป็นการประเล้าประโลม พูดคำหวานให้คนมาหลงยกยอยกย่องหรือว่าอาตมาพูดไม่แคร์ อาตมานี่ไม่แคร์ใครจะยกย่องใครจะนับถือ หรือว่าต้องระวัง กลัวคนจะไม่เคารพ กลัวคนจะไม่นับถือ กลัวคนจะต้องมา..
อาตมาว่าอาตมาไม่มีสิ่งเหล่านี้ อาตมามั่นใจว่าในความจริงที่จะอาศัยภาษาอาศัยกิริยาทางกาย ทางวาจาออกไป ภาษาก็ดี กิริยาวาจาแสดงออกก็ดี มันเป็นเครื่องส่อ มันเป็นเครื่องบอกความจริง ผู้มีดวงตาจะมองทะลุ ผู้มีปัญญาจะมองทะลุ อย่างนี้ท่านไม่แคร์ ไม่แคร์กิริยากายวาจาที่แสดงออกว่าคนจะลบหลู่ ส่วนคนที่แคร์นั้นคือคนที่กลัวเสียมาด กลัวคนจะถือว่าผิด กลัวคนจะถือว่าไม่สุภาพไม่เรียบร้อย อาตมาว่ามีสิ่งที่ดีคือความจริงนี้อยู่ในกิริยา อยู่ในภาษา อยู่ในจิตวิญญาณ ความจริงที่อาตมามี ซึ่งเป็นสิ่งวิเศษ
เพราะฉะนั้นคนที่มีดวงตา มีปัญญา จะรู้ว่านี่คือความจริง มองผ่านกิริยากายมองผ่านกิริยาวาจาทะลุเข้ามาได้ นั่นคือผู้ที่ได้รับคัดเลือก มาแสดงออก มาอยู่อย่างนี้เลยอย่างพวกคุณ หรือผู้ที่ยังไม่มาก็อยู่ล้อมนี่ มีทั่วในประเทศไทย แม้ไม่มาแสดงตัวเป็นชาวอโศก แต่ก็เปิดจิต เข้าใจ ก็มีอีกไม่น้อย ไม่มีใครไปสำรวจ ไม่มีใครไปทำสถิติเอาเท่านั้น นับวันจะมีมากยิ่งขึ้นเพราะว่าความจริงคือความจริง
คนที่แสวงหา คนที่พยายาม จะรู้จักความจริงโดยเฉพาะความจริงของพระพุทธเจ้า ความจริงของสัจธรรมที่เป็นโลกุตระ เมื่อเกิดปฏิภาณปัญญา เขาจะรู้ว่าจริง เพราะฉะนั้นอาตมานี่ก็อยู่กับความจริง ผู้คนที่จะมาเห็นดีเห็นค่าของอาตมา เห็นค่าของธรรมะ ไม่ใช่ค่าคือตัวรูปร่างตัวตน อาตมาก็ไม่ได้หล่อจนเกิน หรือไม่ได้มีรูปร่างหน้าตากิริยาท่าทางอะไรชวนให้มาน่าสนใจเท่าไรหรอก แต่ธรรมะ อาตมาแสดงธรรมะนี่แหละ เขาจะสนใจธรรมะ แล้วคนที่มีดวงตาอันนั้นก็จะได้ เขาจะคัดเลือกได้เลย
_สว่างแสง(ต่อ) ณ.วันนี้ลูกเห็นว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าที่พ่อครูนำมาสอนนี้ สามารถนำมาแก้ ปัญหาตั้งแต่ระดับครอบครัวถึงสังคมได้อย่างเด็ดขาด ไฉนทางฝ่ายเถรสมาคมจึงไม่ออกมาสนับสนุน ทำไมจึงไม่เห็นแก่พระพุทธศาสนา ประชาชน ประเทศชาติ
น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า… อาตมาก็มั่นใจว่าอาตมาสอนตั้งแต่ครอบครัวจนถึงสังคมประเทศชาติ ถึงขั้นโลกเลยจะว่าไปแล้ว เพราะว่ามันเป็นของพระพุทธเจ้า
เถรสมาคมไม่ออกมาสนับสนุน พูดตรงนี้ยื่นดาบมาให้อาตมา อาตมาก็จะขอดาบหรือหอก ขอแทงด้วยหอกต่อไปนี้
เถรสมาคม ไฉนหรือทำไม ฝ่ายเถรสมาคมจึงไม่ออกมาสนับสนุน แล้วคุณสว่างแสงก็พูดต่อว่า ทำไมจึงไม่เห็นแก่พระศาสนา อาตมาบังคับเถรสมาคมไม่ได้ ก็ท่านไม่เห็นของท่านเอง ใช่ไหม อาตมาจะไปบังคับให้ท่านเห็นได้อย่างไร ไอ้ที่ไม่เห็นคือมันบอดหรือมันสว่าง …บอด ก็ท่านบอดอยู่ เถรสมาคม ท่านกำลังบอดอยู่ นี่อาตมากำลังแสดงภาษาวิชาการความรู้ศาสตร์โดยเฉพาะศาสนาพุทธนะ ไม่ได้ไปด่าไปว่าอะไรหรอก สิ่งที่มันจะต้องข่ม พูดออกมามันก็ต้องข่ม สิ่งที่มันยกพูดออกมาควรยกมันก็เป็นการยก มันเป็นธรรมชาติของมัน
เพราะฉะนั้นเถรสมาคมไม่ออกมาสนับสนุน อย่าว่าแต่ออกสนับสนุนเลย เขาจะเอาอาตมาตาย พูดไปหลายทีหลายครั้ง ย้ำซ้ำซากไม่รู้กี่ที ไม่ใช่สนับสนุน เขาจะเอาตาย แต่เขาเอาอาตมาตายไม่ได้ อาตมาก็พึ่งพาอาศัยคำสอนของพระพุทธเจ้า ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม (พ่อครูไอตัดออกด้วย นาทีที่ 55.26)
สมณะฟ้าไท… เค้าถามว่าพ่อครูเอาอะไรมาแสดง เอาความจริงมาแสดง ไม่มีตัวหลอก ใครอยากได้ก็เอาไปปฏิบัติต่อเหมือนพวกเรา แล้วแต่มาบวชแล้วพ่อครูจะบอกว่ามาตายนะ มาตายจริงๆให้หมดเนื้อหมดตัวไปเลย
พ่อครูว่า… กิเลสตาย กิเลสตายระดับหนึ่งก็เป็นพระโสดาบัน กิเลสตายเพิ่มขึ้นเป็นขั้นที่ 2 เป็นพระสกิทาคา กิเลสตายระดับ 3 เป็นพระอนาคามี กิเลสตายระดับ 4 ก็เป็นพระอรหันต์
อันนี้เรื่องจริงพิสูจน์ได้ แม้ทุกวันนี้อาตมาก็ยืนยันว่าพวกเรามีอาริยบุคคล 4 มี โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์
เถรสมาคมเขาไม่เชื่อหรอก ประชาชนที่ไปนับถือเถรสมาคม มีความรู้แบบเถรสมาคม เขาก็ไม่เข้าใจ เขาก็ไม่เชื่อเหมือนเถรสมาคม มีคนดวงตาดีคือพวกคุณ เข้าใจแล้วพากเพียรมาปฏิบัติ คนที่ได้จริงๆแล้ว บรรลุธรรมจริงๆแล้ว อย่างน้อยโสดาบันเข้ามา ไม่บรรลุธรรมจริงๆไม่เข้ามาหรอก อย่างเก๊ที่สุดก็รู้ว่าควรเข้ามาแต่มันเข้ามาไม่ได้ เขาก็ไม่เข้ามา จรไปจรมา สัมพันธ์อย่างสนิทใจ เชื่อถือเคารพนับถือจริงๆแต่ว่าเขาเข้ามาไม่ได้ อันนี้เป็นวิบากของคน มันก็เป็นธรรมชาติธรรมดาจริงๆ
คนที่เข้ามาได้ก็เข้ามาให้มาก จะมีอะไรติดยึดข้างนอกอยู่ ก็ไปน้อยลง ๆน้อยลงไป จนปลดวางได้ปลงได้ก็เข้ามาอยู่ได้ เข้ามาอยู่รวม เข้ามา
เข้ามาอยู่รวมอยู่ในนี้ได้ มันแสดงออกถึง 1. ไม่อนาคามีก็อรหันต์ นี่เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้านะ มันซ้อน อยู่ในความเป็นจริงว่า อนาคามีขั้นไหน อรหันต์ขั้นไหน หรือ โสดาบันขั้นไหน สกิทาคามีขั้นไหน อาตมากำลังอธิบายอย่างพิสดาร อย่างละเอียด
เช่น โสดาบันในยุคพระพุทธเจ้านั้นสูงกว่าโสดาบันพวกคุณ เข้าใจไหม พระพุทธเจ้าบอกว่าคนนี้เป็นพระโสดาบัน ประเดี๋ยวเดียวก็เป็นพระอรหันต์ไม่นานหรอก แต่โสดาบันพวกคุณนี่หลายคนชาตินี้ก็คงจะไม่ได้เป็นพระอรหันต์ อาจจะเป็นโสดาบัน สัตตขัตตุปรมโสดา เกิดอีก 7 ชาติก็จะได้เป็น หรือเป็นสกิทาฯ เป็นโสดาฯในระดับสกิทาฯ ก็เป็นโสดาฯ ที่อยู่ในโกลังโกละ อาจจะ 6 ชาติไม่ใช่ 7, 6 ชาติที่จะบรรลุ อาจจะ 5 ชาติ 4 ชาติ 3 ชาติ อาจจะ 2 ชาติ
ถ้า 1 ชาติท่านเรียกว่า เอกพีชี เกิดมา 1 ชาติ เอกพีชี แตกต่างจากสกทาคามีอย่างไร
สกิทาคามีท่านก็แปลว่า ผู้จะเกิดอีกหนเดียวก็บรรลุอรหันต์ เอกพีชี ก็คือผู้ที่เกิดหนเดียวบรรลุอรหันต์เหมือนกันเป็นโสดาฯเอกพีชี นี่แหละเข้าใจยาก
หมายความว่าเป็นผู้ที่เพียร
เป็นผู้ที่สามารถพาสชั้น ลัด ตัดชาติ แทนที่จะเป็น โกลังโกละ 6 ชาติ 5 ชาติ 4 ชาติ 3 ชาติ 2ชาติที่จะบรรลุแต่ท่านพาสชั้น พรึ่บ เอกพีชี ชาติเดียวบรรลุอรหันต์เลยเป็นสมรรถภาพของพระโสดาบัน ผู้เอกพีชี ผู้น้ัน บรรลุได้ อย่างนี้เป็นต้น
ส่วนสกิทาคามีต้องเกิดจริงๆไม่ใช่บรรลุในชาตินั้น สกิทาคามีต้องไปเป็นตามลำดับ ต่างกันตรงนี้
เป็นนัยยะสำคัญของธรรมะพระพุทธเจ้าที่อาตมาหยิบมาให้ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ พวกเราอยู่ในฐานที่ฟังแล้วเข้าใจ ฟังแล้วเอาไปปฏิบัติได้เป็นลำดับ
เพราะพวกเราเข้าใจ กาย โดยเฉพาะเข้าใจกายอย่างพ้น วิจิกิจฉา เป็นสังโยชน์ข้อที่ 2 แล้วก็พามาปฏิบัติศีลพรต บรรลุพ้นจาก สีลัพพตุปาทาน พวกเรา มาอยู่ในฐาน สีลัพตปรามาส
สีลพตุปาทาน คือยึดถือ ศีลพรต ข้อปฏิบัติ ตามจารีตประเพณี ตามที่เขายึดถือกัน ซึ่งมันผิดเพี้ยนแล้ว มันไม่พาบรรลุแล้ว แต่ก็ทำกัน วันนี้วันพระแล้วไปทำบุญกัน ไปทำทาน ไปบริจาค ไปรับใช้ขนทรายเข้าวัด อะไรต่ออะไรไป ก็ทำไปตามจารีต ดีไม่ดี เป็นไสยศาสตร์เป็นเดรัจฉานวิชาเละเทะไปหมด เป็นจารีตประเพณี เป็นข้อปฏิบัติที่เลอะเทอะบานปลายออกไป เยอะ ทุกวันนี้
ในยุคพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาเห็นศาสนาพุทธของท่าน ท่านบอกว่าตายๆๆ เอาวิธีการเละเทะขนาดนี้มาใส่ศาสนาพระพุทธเจ้าได้อย่างไร แล้วถือเป็นจารีตประเพณี อันดีงามว่าอย่างนั้น อันแสนทรามอันแสนไร้ค่าไร้สาระ มันทำลาย ศาสนาด้วย เพราะมันผิด มันไปเอาไสยศาสตร์เดรัจฉานวิชา เอาความเละเทะมา ปรุงแต่งเป็นอะไรต่ออะไร
ยกตัวอย่างอย่างเละๆเทะๆก็ ไม่ต้องพูดพวกคุณก็เห็นแล้ว มากมาย นับว่าเป็นพิธีการ เป็นจารีตประเพณี ซึ่งอาตมา หลายคำไม่กล้าพูด Understood ละไว้ในฐานที่เข้าใจ
คนจนโลกุตระ วรรณะ9 จึงทำให้เกิดสังคมสาราณียธรรม 6
เรา มีจารีตประเพณีน้อย ต่างกันกับจารีตประเพณีของสังคมพุทธ ต่างกันมาก ต่างกันจนกระทั่งเรามาอยู่ที่ไหน ชุมชนชาวอโศก คนข้างนอกเขาเข้ามาไม่ได้ เขาเองเขารู้สึก ว่ามันข้ามเขตอันหนึ่ง เขตโลกุตระ เพราะฉะนั้นคนเหล่านั้นไม่ได้ห้ามเขานะ อาตมาไม่ได้ห้ามเขานะ อยากให้เข้ามาด้วย อาตมาอยากให้เขามาฟังธรรมไหม(ถาม)..(พวกเราตอบ).. อยาก เขาไม่กล้ามาเข้ามา เขาก็ไม่รู้เรื่อง มันถิ่นนี้แดนนี้ มันมีจารีตประเพณีอย่างนี้มันใช่พุทธหรือเปล่า ทำไมมันแปลก
แต่คนที่พอมีปฏิภาณปัญญาก็จะบอกว่ามันไม่เลวนะ มันดีนะ อย่างชาวอโศกอยู่ที่ไหน คนมา คนที่กล้าเข้ามา มาทำงานด้วย จนกระทั่งมารับจ้าง อาตมาก็พยายามเปิดทางที่เพื่อจะให้คนเข้ามา อย่างราชธานี เดี๋ยวนี้งานน้อยลงแต่ก็ยังมีเยอะอยู่ ทำงานวันๆหนึ่งเฉลี่ยแล้ว เคยมีคนทำบัญชีการเงินเขาเคยคิด ว่ามันตกวันหนึ่งเดือนหนึ่งเท่าไหร่ ของราชธานีเอง ของสันติเอง ของที่ไหนๆ ชุมชน จะมีชุมชนที่คนข้างนอกเขามาทำงานด้วยไม่มากนัก คือถิ่นที่เขาไม่ได้สร้าง ไม่ได้ก่ออะไรมาก คนชาวอโศกเองทำงานเอง อาตมาก็ไม่รู้ว่าจะเป็นที่ไหนบ้าง
แต่อย่างปฐมอโศกมีน้อยลง แต่ก็ยังมีคนข้างนอกมาทำงานอยู่บ้าง มาเป็นกิจจะลักษณะ ไม่ได้จรเหมือนกับบางที่บางแห่งอยู่เป็นหลัก ทำเป็นหลักกันไปเลยประจำเดือนอย่างปฐมอโศกอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจึงมีความเที่ยงในเรื่องของรายรับรายจ่าย มีความเสถียรในเรื่องงานการที่มันเข้าที่เข้าทางแล้ว ก็เป็นชุมชนแรก ชุมชนที่ตั้งมั่นในด้านเศรษฐกิจ ก็เลี้ยงๆน้องๆ บ้านราชนี้ แต่ก่อนเขาส่งให้เดือนละล้าน ล้านกว่า เดี๋ยวนี้เขาไปซื้อที่เพิ่มก็เลยของด บ้านราช ก็เลยต้องพากเพียรเองช่วยตัวเองให้รอดนะ พี่ๆเขาไม่ได้อุ้มไว้อย่างนี้เป็นต้น ก็ว่ากันไป เราก็ทำไปเรื่อยๆได้
แล้วที่เราทำแล้วมันก็เป็นเช่นนี้ มันเป็นว่าพวกเราในลักษณะหรือในระบบ ของสาธารณโภคี พวกเราเลยกลายเป็นกลุ่มมนุษย์ที่ไม่มีหนี้ อาตมาให้เขาปริ้น ว่าประเทศไหนไม่มีหนี้บ้าง มีอยู่ 2 ประเทศที่ไม่มีหนี้ใน 209 ประเทศทั่วโลก
208 |
Liechtensteinไลเคนสไตน์ |
0.00 |
2001[195] |
0.00 |
0.00 |
209 |
Niue (New Zealand) นีอูเอ |
0.00 |
27 October 2016[196] |
0.00 |
0.00 |
อันนี้ก็ไม่ชัดเหมือนกัน เขาบอกว่ารายได้ต่อหัวเป็น 0 เขาไม่มีรายได้เป็นอยู่อย่างไร รายได้ต่อหัว คงจะไม่มีข้อมูล
หรือแม้แต่ประเทศบรูไน พลเมืองเขาไม่ถึงล้าน แต่รายได้จากน้ำมัน โอ้โห มหาศาลเลย ยังมีหนี้อยู่ตั้ง
186 |
Brunei |
340 million |
2017[174] |
27,200 |
2.80 |
ประเทศภูฏานมีหนี้น้อยกว่า
สรุปแล้วอาตมาอยากจะพูดตรงนี้ ไม่มีประเทศไหนในโลกไม่มีหนี้
หนี้คืออะไร คนที่กู้หนี้ได้มากๆเขาถือว่ามีเครดิตดี มันซ้อนลึกอยู่ตรงที่ว่า จะอธิบายไปถึงคำว่า คนจน คนไม่มีหนี้กับคนจน หรือคนมีหนี้กับคนจน
ชาวอโศกนี่เป็นคนจน เป็นคนจนที่ไม่มีหนี้ ส่วนนอกเขาข้างนอกเขานี่เป็นคนจนที่มีหนี้ และยังแยกได้ละเอียดอีกว่า คนจนที่ไม่มีหนี้ เพราะว่าเป็นคนจนที่เขาไม่มีใครให้กู้ ไม่มีเครดิตเลย ก็เลยต้องจน
กับ
คนที่จน เพราะเต็มใจจน ตั้งใจจน เข้าใจความจน แล้วทำความจนให้แก่ตนสำเร็จนั้น…ยิ่งใหญ่ที่สุด
เป็นคนจนที่อุดมสมบูรณ์ เป็นคนจนที่ อิสระ สบาย สงบ อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ
คนจนอะไรไปเพิ่มพูนการเสียสละ มันเป็นภาษานะแต่ลักษณะจริงมันมีไหม? …มี ใครเอ่ย? ชาวอโศก คนอะไรทำไมประหลาดนัก มันเป็นความประหลาดเป็นความลึกซึ้งไม่ใช่ลึกลับ เพราะว่าเอามาพิสูจน์ได้ เอามาปฏิบัติ เอามาประพฤติได้
จนกลายเป็นหมู่สังคมชุมชน เป็นบุคคลที่มีความเป็นอยู่ร่วมกัน มีจารีตประเพณีมีพฤติการณ์พฤติกรรม อยู่อย่าง สาราณียธรรม 6 นี่คือหลักฐานเอามาจากคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งสิ้นไม่ได้ออกนอกรีตนอกราว พิสูจน์โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าได้บรรลุจริง จึงเกิดชุมชนสาราณียธรรม 6 ได้
คืออยู่กันอย่างมี สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ร่วมกันสร้างสรรค์มีรายได้ร่วม ได้รายได้ได้ผลผลิตก็เอามารวมกันกินกันใช้ร่วมกันลาภธัมมิกา เรียกว่า สาธารณโภคี ในยุคพระพุทธเจ้าพิสูจน์ได้ในวงสงฆ์ ในยุคโน้น พระสงฆ์ไปทำกสิกรรมไม่ได้ก็เลยพิสูจน์ความสมบูรณ์แบบไม่ได้เพราะมีข้อจำกัดเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิ ยังเป็นยุคทาส เป็นยุคที่ยังไม่มีใครเข้าใจเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชน สิทธิมนุษยชนยังมีไม่ได้ มีแต่นายทาสลูกทาสอะไรอย่างนี้ มันเป็นข้อจำกัดที่ อาตมาก็พูดไปหมดแล้วเคยอธิบายไปแล้ว
แต่ยุคนี้ไม่มีแล้วทาส ไม่ใช่สมบูรณาญาสิทธิราชย์ด้วย ทุกคนรู้จักสิทธิมนุษยชนเต็มที่ อิสระบริบูรณ์ เพราะฉะนั้นจึงทำได้หมด ไม่ใช่อาตมาทำเก่งกว่าพระพุทธเจ้า ในยุคพระพุทธเจ้าทำไม่ได้ มันมีข้อจำกัดจริงๆ แต่ยุคนี้มันไม่ใช่แล้วมันทำได้ไม่ใช่เก่ง แต่มันทำได้เพราะมันหมดข้อจำกัด มันไม่มีข้อจำกัดอย่างยุคพระพุทธเจ้าแล้ว มันเป็นยุคอิสรเสรีภาพสมบูรณ์แบบ
เพราะฉะนั้น พวกเราจึงมาเป็นพวกที่มีอิสรเสรีภาพเต็มที่ แล้วก็เข้ามารวมกันเป็นภราดรภาพ เป็นพี่เป็นน้องกันจริงๆ เป็นพี่เป็นน้องเลยยิ่งกว่ากงสีของชาวจีน กงสีของชาวจีนเขายังมีการแบ่งทรัพย์ออกไปได้ แต่ของเราไม่มีใครแบ่งกองกลางออกไปเลยยิ่งกว่ากงสี แล้วก็ฝากผีฝากไข้ยิ่งกว่าญาติพี่น้องสายเลือด ฝากผีฝากไข้ได้ เจ็บป่วยก็ดูแลรักษากัน ตายก็ช่วยกันจัดการให้เรียบร้อยตามจารีตประเพณีที่ดี อะไรต่างๆพวกนี้
ซึ่งเป็นการพิสูจน์เรื่องมนุษย์และสังคมได้สมบูรณ์แบบจริงๆ สักวันหนึ่ง นักวิชาการทั้งหลายแหล่จะมาเห็น เสียดายแต่ชาวพุทธเถรสมาคมที่ยังตาบอดอยู่ อาตมาว่าคนต่างประเทศที่เขาพยายามแสวงหา เขาจะมาเห็นก่อนนะ จะมาเห็นก่อนชาวพุทธหรือว่าเห็นก่อนเถรสมาคม ว่าอย่างนี้ธรรมะพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ชาวอโศกนี้นำมาสถาปนาลงไปในสังคมยุคนี้ มีจริงเป็นจริง เป็นโลกุตรธรรม
สาราณียธรรม 6 นี่ เป็นโลกุตรธรรม ไม่ใช่เอาปากเปล่า เอาพยัญชนะมาอ้างเฉยๆ พวกเรามีพฤติกรรมจริง มีทั้งกายทั้งจิต ที่บรรลุมรรคผลของโลกุตรธรรมพระพุทธเจ้า มาเป็นจริง
คนมีภูมิธรรม มีภูมิปัญญาเข้าใจ มองออกเข้าใจได้ แม้แต่ในหมู่เถรสมาคมหรือประชาชนทั่วไปที่เขาเข้าใจได้ แต่เขายังมีภาระ ยังมีวิบากเข้ามาไม่ได้ก็เข้ามาสัมพันธ์บ้าง คอยตามศึกษาตามประพฤติปฏิบัติอยู่ แต่มันยากที่จะเข้าใจ มันมีจำนวนที่สัจจะจะคัดเลือกสัจจะ สัจจะจะคัดเลือกสัจจะ มันจึงได้มีจำนวนของสัจจะความจริงที่บอกว่ามันเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องที่ คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
ก็จะได้ว่าอย่างนี้เป็นความสงบโลกุตระ ส่วนความสงบโลกียะเขาก็หยาบๆไปไม่เข้าใจความจริง สงบอย่างที่ภาษาทางโลกเขาเรียกกันทั่วไปว่าสันติภาพ พวกเรามีภราดรภาพ พวกเรามีสันติภาพ อิสรเสรีภาพ พวกคุณนี่มาโดยไม่มีใครไปบังคับ ไม่มีใครไปล่อลวง ไม่มีใครไปหว่านล้อมมา คุณมากันเอง มากันอย่างมีปัญญารู้
แล้วก็มากันอย่างเป็นภราดรภาพ แล้วก็มาอยู่กันอย่างสันติภาพ จากนั้นก็สร้างสมรรถภาพ สร้างบูรณภาพกันไป ทุกคนก็มาเป็นคน สุโปสะ บำรุงง่ายพัฒนาง่ายเจริญไปเป็นคนขยัน เป็นคนมีวรรณะ 9 เป็นคนยอดขยัน เป็นคนไม่สะสม ไล่มาตั้งแต่ยอด วิริยารัมภะ อปจยะ ธูตะ สัลเลขะ สันตุฏฐิ อัปปิจฉะ น้อยก็พอ 0ก็พอ น้อยจนไปถึงหลัก0 น้อยที่สุดก็คือ 0 เป็นคนพอ ใจพอและมักน้อยสูงสุด เรียกว่าเป็นคนอัปปิจฉะ จึงเป็นคนที่มาพัฒนา อาตมาสอนทุกวันนี้เป็นหลักสูตรที่สูงมาก ที่สอนพวกเรา เป็นหลักสูตรโลกุตระ ผู้มาเรียนก็เรียนได้ ได้รู้จักและมีจริง พัฒนากันไปเรียกว่า สุโปสะ และก็อยู่กันอย่างง่ายมาก สุภระ เลี้ยงง่ายอยู่ง่ายอยู่กันง่ายไม่ยาก
สังคมต้องการคนชนิดอย่างนี้ มีวรรณะ 9 แล้วก็ได้เป็นสังคมสาราณียธรรม 6 นี่เป็นสุดยอดของพระพุทธเจ้าแล้วที่อาตมาหยิบมายืนยันความจริง ว่าธรรมะพระพุทธเจ้ายุคนี้ก็เอาของพระพุทธเจ้ามาเรียนรู้และปฏิบัติบรรลุได้แม้ยุคนี้
คนข้างนอกเขาไม่เข้าใจไม่มีภูมิพอ เขาไม่เชื่อ ก็บังคับกันไม่ได้ เขาไม่เชื่อ แต่พวกเราเป็นจริงไหม? เป็นจริง เป็นจริงนี่อย่างว่าหลงตัว โมเม หรือเปล่า …ไม่
ใครตัดสินหนอ ตัวเองตัดสิน พระพุทธเจ้าไม่อยู่ เขาไม่เชื่อหรอก ไม่ใช่พระพุทธเจ้ามาตัดสิน อาตมาตัดสินให้ว่าใช่ เขาก็ไม่เชื่ออาตมา เพราะอาตมาไม่ได้เป็นคนที่ทำตนให้น่าเชื่อ จริงๆ อาตมาไม่ได้ไปทำตนปะเหลาะให้คนเป็นคนที่น่าเชื่อ คนที่ไปทำตนให้เป็นคนปะเหลาะให้คนเขาเชื่อ นั่นคือพวก ดรามาติก เป็นพวกดัดจริต เป็นพวกทำเท่วางมาด อาตมาไม่มีมาดมีแต่ความบริสุทธิ์ใจ มีแต่ความจริงใจ มีสิ่งที่ มีแต่ความจริง เทกระบะออกมามีแต่ความจริง ๆ คนอะไร คนอย่างนี้ก็มีด้วย มีแต่ความจริง
ธรรมะพระพุทธเจ้าสรุปยอดมาที่ศีล สมาธิ ปัญญา
จะไปอยู่สันติอโศกได้ต้องทำอย่างไร
_จันทกานต์ เหล่าเจริญ · กราบนมัสการค่ะอยากถามว่า จะไปอยู่ที่สันติทำอย่างไรคะ
พ่อครูว่า… มาแต่ตัวกับหัวใจ มาเลย คุณพร้อมจะมาอยู่ไหม เขามีหลักเกณฑ์พื้นฐานง่ายๆเท่านั้นคือ 1.ไม่มีอบายมุขมา 2.ไม่กินเนื้อสัตว์ 3. ถือศีล 5 เป็นอย่างต่ำ นี่คือหลักเกณฑ์พื้นฐาน ของคนที่จะมาอยู่ในชุมชนชาวอโศก 3 หลักนี้คุณทำได้ไหม ทำได้คุณมาเลยมีแต่ตัวกับหัวใจมาได้ ได้เลย หรือคุณจะมีอะไรที่จะต้องอาศัย คุณจะพกพามา เป็นเครื่องอาศัยใช้สอยของคุณ คุณก็ของคุณ ไม่มีใครเขาไปไอ้นั่นคุณ ไม่ระแคะระคายคุณหรอกเป็นส่วนตัวของคุณ มาเลย ง่ายไม่ยากหรอกพวกเรา เอาใจจริงใจสู้ ถ้ามีใจจริงใจสู้แล้วก็มาได้
วางใจอย่างไรกับลูกที่ไม่ดูแลพ่อแม่ยามแก่เฒ่า
_จาก สินทวีสอร์ท …ดิฉันมีเพื่อนที่โหยหาความรักความเอื้ออาทรจากลูกไม่สร่างซา เรื่องมีว่า เพื่อนดิฉันอายุ 70 ปีอัพมีลูกสาว 2 คนซึ่งต่างคนต่างก็มีครอบครัวและแยกบ้านออกไปแล้วทั้งคู่ ทุกวันนี้เพื่อนอยู่บ้านคนเดียว เขาเป็นโรคร้าย หลังการให้คีโมและฉายแสงก็จะต้องไปพบหมอตามนัด
สิ่งที่เป็นตัวกวนเขาอยู่เป็นระยะๆก็คือ ความดันโลหิตสูง ทำให้เขาทรงตัวไม่ได้ จึงโทร.ให้ลูกมาอยู่เป็นเพื่อน รุ่งขึ้นความดันลดลงแต่ยังคงมึนศีรษะอยู่ ลูกก็รีบกลับบ้านเลย ทำให้เพื่อนรู้สึกเป็นทุกข์มาก ขอความกรุณาพ่อครูบอกวิธีการวางจิตวางใจให้กับเพื่อนของดิฉันด้วยคะ กราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า… ดีนะ มีปัญหาลำบากลำบนก็มาบอกให้อาตมาช่วยคลายทุกข์ รายการนี้รายการอะไร ปรับทุกข์ปลุกธรรม ไม่ใช่ เป็นพุทธศาสนาตามภูมิ ไม่เป็นไรก็คลายทุกข์ให้ ปรับทุกข์ก็คลายทุกข์ให้บ้าง
อาตมาเคยอธิบายมาจนครบแล้วว่า คนเรานี่ จะพูดลงท้ายก็คือมันมีวิบาก วิบากของคนเป็นอจินไตยกรรมวิบาก
มีลูก แน่นอนลูกมันก็มีครอบครัว เขาก็ไปรับผิดชอบครอบครัวของเขา มันเป็นสัจธรรมแต่ไหนแต่ไรเลย พ่อแม่ ถ้ามีวิบากไม่ดี ลูกเต้าไม่เลี้ยง ปล่อยทิ้งขว้างเลยจริงๆ มันก็มีจริงๆ ทีนี้คุณก็ระลึกชาติไม่ได้ คุณก็ไม่รู้ว่าคุณทำกรรมทำวิบากอะไรมา อาตมาก็ต้องอธิบายความจริงอย่างนี้ให้ฟัง ก็ถือซะว่าเราเองเรามีกรรมวิบาก ถ้าคุณไม่แสดงออก คนเขาก็ไม่รู้ไม่เห็น คุณก็รับอยู่คนเดียว ก็รับไปเถอะ เพราะที่จบอาตมาก็ไม่รู้จะไปลงที่ไหน นอกจากจะไปเหมาให้แก่กรรมวิบาก โดยสัจจะไม่ว่า โดยเฉพาะชาวอโศกหรือชาวเอเชีย ลูกหลานต้องเลี้ยงพ่อแม่ปู่ย่าตายาย แต่ทางเทวนิยมนั้นเขาใจดำอำมหิต ไม่มีการเลี้ยงดูเชื้อสายญาติโกโยติกา
อย่าง American จารีตประเพณี ลูกอายุ 17 ออกไปเลี้ยงตัวเอง พ่อแม่ก็ว่าของตัวเองไป เสร็จแล้วก็เหลือ 2 ผู้เฒ่า มีเงินเหลือก็ไปเที่ยวไม่เกี่ยวกันเลยกับลูกจะเป็นจะตาย อย่างนั้นกันเลยวัฒนธรรมของเขา เพราะฉะนั้นพวกนี้มาเจอเมืองไทย เห็นลูกประคองทวด ประคองปู่ตายาย มันหนุงหนิงดูแลกัน เขาน้ำตาไหล เขาไม่เคยเห็นคนพวกนี้ จารีตประเพณีอย่างนี้เขาไม่เคยเห็น มันมามีทางเอเชีย เพราะทางเทวนิยมทางยุโรปทางอเมริกา มันเป็นเรื่องจิตใจดำ แม้แต่สายเลือด มันก็ไม่ดูแลกัน ตัวใครตัวมัน เห็นไหม
นี่คือรากฐานของจิตวิญญาณ ที่มีจิตวิญญาณมีความรู้ มีความเข้าใจถึงสัจธรรม
ถ้าเผื่อว่าตระกูลไม่เลี้ยงกันมันก็เป็นภาระแก่สังคม หนักเข้าก็เป็นภาระรัฐบาล วัฒนธรรมจารีตประเพณีแบบนั้นรัฐบาลหนัก แต่อย่างเอเชียอย่างพุทธ แบ่งเบากัน ครอบครัวก็ช่วยรัฐบาล รัฐบาลก็ช่วยครอบครัว มันจะเป็นการบริหารเป็นอยู่สังคมที่ดีกว่าลัทธิจารีตประเพณีวัฒนธรรมแบบตะวันตกแบบอเมริกา นี่ไม่ได้ยกตนข่มท่านนะ มันเป็นสัจจะอย่างนั้น
ที่ถามมาอาตมาก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ก็ต้องให้คุณปลงว่าเป็นวิบากของเรานะ
อาตมาว่าคุณก็ลองค่อยๆพูดจากับลูกหลาน ส่งข่าวส่งข่าวว่า แม่เป็นอย่างนี้นะ มาช่วยแม่หน่อยได้ไหม พูดได้เท่าไหร่ก็ อย่าไปสร้างความหวังเอาไว้ในใจ ว่าลูกจะมา เขามาก็พอดีใจเท่านั้น ตั้งความหวังไว้แค่นั้นก็น่าจะสบายใจ นอกนั้นแล้วอาตมาก็ต้องไปลงกับคำว่า กรรมวิบากของคุณ อาตมาไม่มีที่ลงจริงๆก็ต้องเหมาไปให้ตรงนี้
แล้วก็พยายามพิจารณาความจริงให้ได้ว่าคนเราเกิดแก่เจ็บตาย เพราะฉะนั้นก็อย่าไปให้มันมาก อย่าไปหลงตนว่าเราอยากอยู่ แต่เราเจ็บป่วยอย่างนั้นอย่างนี้ รับเอา ๆ ให้เห็นทุกข์ของการเกิดมามีชีวิต มันเป็นทุกข์อริยสัจจริงๆ มันเกิดมามันต้องมีทุกข์อย่างนี้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าถึงมาสอนเรื่องบอกว่า ให้เข้าใจความจริงว่าเกิดแก่เจ็บตาย ให้เกิดปัญญารู้จริงเป็นอรหันต์แล้ว มันไม่กลัวเกิดแก่เจ็บตาย เป็นอนาคามีมันก็ไม่กลัวเท่าไหร่แล้ว เพราะมันรู้ที่ไป มันมีสุทธาวาส ถ้าเป็นโสดาบัน สกิทาคามิก็จะมีบ้างแต่ลดลง ลดลงตามภูมิธรรม มันก็จะไม่กังวลห่วงตายห่วงเกิดอะไร แล้วมันจะเข้าใจความเกิดความตาย
ศาสนาเทวนิยมไม่รู้การเวียนตายเวียนเกิด ไม่เชื่อคำว่าวิบาก ไม่เชื่อ กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กัมมังสัตเตวิภัชติ กัมมุนาวัตตติโลโก ไม่เชื่อกรรมของตนแล้วตนเองต้องรับมรดกกรรมของตนเอง ไม่ใช่มาจากพ่อแม่ปู่ย่าตายาย คุณทำดีเป็นของคุณ คุณทำชั่วเป็นของคุณ ทายาท คุณรับกรรมวิบากดีชั่วของคุณ เอาไปแบ่งให้พ่อแม่ไม่ได้ เอาไปแบ่งให้ใครก็ไม่ได้ ไม่เอาก็ไม่ได้ แล้วก็กรรมวิบากของคุณนี่แหละพาคุณเกิดคุณเป็น กัมมโยนิ มันตกเป็นพันธุ์ เป็นตระกูล เป็น DNA ของคุณเลย กรรมพันธุ์
จริงๆกรรมพันธุ์ตัวนี้เป็นถึงขั้นนามธรรมนะ ไม่ใช่แค่วัตถุธรรม ตายแล้วมันก็จะไปเป็นเผ่าพันธุ์เป็นนามธรรมไปต่อ ไม่ใช่แค่ DNA ซึ่ง DNA คุณเปลี่ยนไปตาม กัมมโยนิ กัมมัสกะของคุณ ที่คุณจะทำใหม่เปลี่ยนใหม่เป็นโลกุตระของคุณจนมีทิศทางที่จะเลิกเกิด เลิกเป็นเลิกมี หรือแม้แต่จะยังเกิดยังเวียนตายเวียนเกิดอยู่ ก็ไม่มีปัญหา ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ รู้จักสุขรู้จักทุกอย่างดี รู้จักดีรู้จักชั่วที่เป็นสมมุติสัจจะ แล้วก็รู้สุขรู้ทุกข์ที่มันเป็นปรมัตถสัจจะ ที่จะอยู่กับมันอย่างสบาย
อย่างพวกเราเพราะเราเข้าใจสัจจะพวกนั้น อาตมาไม่ต้องไปลงรายละเอียด พวกคุณมีความรู้ไปตามภูมิของแต่ละคน จนถึงขั้นคุณมาอยู่อย่างนี้ มาเป็นคนที่มีวรรณะ 9 มาอยู่อย่าง สาราณียธรรม มาอยู่อย่างนี้
คนที่มาได้บรรลุแล้ว คนที่มาอยู่ในชุมชนชาวอโศกเป็นคนบรรลุธรรมทั้งนั้น ถ้าไม่มีภูมิธรรมอยู่ไม่ได้หรอก ไม่ได้บังคับคุณนะแต่คุณอยู่ไม่ได้เอง คุณติดโลกีย์อยู่ เพราะฉะนั้นคนไหนที่เห็นว่าดีแล้ว ก็พยายามมา มาแล้วอยู่ไม่ได้ก็ต้องไปเพราะคุณยังติดอยู่ แต่คนที่ไม่ติดแล้ว ทางโลกียะต้องออกไปเสพไปหาแสวงหาลาภยศสรรเสริญ หรือโลกียสุข ที่นี่ไม่มีให้เสพ คุณก็ต้องไปเสพข้างนอก คุณก็ต้องไปหาข้างนอก ไปแสวงหาไปเอา เพราะคุณเองยังติดมัน
แต่คนที่ไม่ติดแล้วมาอยู่ที่นี่แล้ว เมื่อมาอยู่ที่นี่แล้วคุณไม่มีจิตประหวัด ไม่มีจิตโหยหา ไม่คิดออกไปอยู่ทางโน้น คุณอยู่ในนี้ก็อยู่ไปเป็นวันๆ อยู่กันอย่างสบาย ร่มเย็น ใช่ไหม คุณก็อยู่อย่างสบาย อยู่อย่างสงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนเสียสละ อยู่กันอย่างนี้ ตายก็สบายใจ ไม่ต้องห่วงว่าไม่มีญาติ ญาติจะมาเราก็ไม่ได้ห่วง ญาติทางสายเลือดตอนมีชีวิต เขาก็ปล่อยให้อยู่ที่นี่ ตายแล้วค่อยมา ถึงญาติไม่มา เราก็จัดการศพให้เรียบร้อยไม่มีปัญหาอะไร พึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตาย กันได้จริงๆ ญาติทางสายเลือดจะมาหรือไม่มาก็ไม่มีปัญหา แล้วเราก็ไม่ได้รังเกียจรังงอน เราก็เต็มใจช่วยกันทำไป เมื่อถึงที่สุดก็ไปสู่สุดชีวิต เรือนสุดชีวิตเราก็สร้างไว้แล้ว ทำให้สบายทุกอย่าง
สมาธิขณะทำงานในชาวอโศกเป็นเช่นไร
_ขวัญใส…ดิฉันอยากถามว่าวิธีทำสมาธิขณะทำงานทำอย่างไร ?
พ่อครูว่า… คำว่าสมาธิ เป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องที่เถรสมาคมไม่เข้าใจ พูดอย่างนี้ จะทำไม อาตมาพูดไม่ผิดด้วย
สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นคือคำ สมาหิตะ สมาหิโต จิตสะอาดจากอาสวะกิเลส ฟังให้ดีนะ จิตที่สะอาดจากอาสวะกิเลสแล้ว ก็ตกผลึก ผนึกกันเข้า เป็นจิตรวมกันแล้วก็ อันนี้แหละคือ รวมเป็น อเนญชา มันอเนญชาๆๆ ไม่ใช่จิตสมาธิคือจิตไปกดข่มจิต ไปพยายามที่จะดับไม่คิด ไม่นึก ไม่ให้มันเคลื่อนไหว แล้วเข้าใจว่าจิตไม่เคลื่อนไหวคือสมาธิ ไม่ใช่เลย ไม่ใช่เลย นะ
สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นคุณจะต้องมีเจโตปริยญาณ16 รู้จัก ราคะ โทสะ โมหะ อาการของราคะคืออย่างไร โทสะคืออย่างไร โมหะคืออย่างไร แล้วคุณมาปฏิบัติตามจรณะ 15 วิชชา 8 ก็จะเกิดปัญญาหรือ ฌาน
ฌาน คือพลังงานคู่กับปัญญา พลังงานปัญญากับพลังงานฌานคู่กัน ช่วยกันเผา ใช้ภาษาว่าเผา ถ้าภาษาว่า ฆ่าเฉยๆ มันมีซาก แต่ถ้าเผา มันหมดไปทั้งซากเลย พลังงานอุณหธาตุ เผา เผาอะไร เผากิเลส ภาษาเหมือนกับมีเนื้อมีหนังแต่มันไม่มี แต่กิเลสนั่นแหละถูกเผา มีความจริงคือ เนื้อกิเลส วิมังสาของกิเลส เผามันไป หมดเลย หมดซากเลย
เพราะฉะนั้นจิตที่ถูกเผาโดย ฌาน จนเป็นบุญ เพชฌฆาตมือสุดท้าย หรือ พลังงานเผาอันสุดท้าย ถ้าถูกพลังงานระดับบุญอันสุดท้ายแล้ว สูญสนิทเลย ไม่มีเกิดอีกเลย อย่างนี้คือ ลักษณะนิพพาน
ไอ้ที่พูดนี้คือพยัญชนะ แต่สภาวะธรรมที่เป็นจริง คุณจะต้องรู้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ของจิต เจตสิก รูป แล้วถึงจะนิพพานได้
รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นาม หรือ ปัญญา ญาณ วิชชาของคุณ รู้สิ่งที่ถูกรู้นั้นตั้งแต่หยาบขั้นกามาวจร ฆ่าหมดแล้ว
ศาสนาพุทธนั้นมีฌาน มีสมาธิ ไม่ได้หนีไปจากตาหูจมูกลิ้นกายใจ หรือ โลก ดินน้ำไฟลม พฤติกรรมสังคมทุกอย่าง ไม่ได้หนี เห็นอยู่อย่างมีจักษุ มีหูได้ยินเสียง รู้ลืมตาตื่นๆ เป็น ชาคริ ชาคระ เป็นผู้ตื่นรู้อยู่หมดเลย
_สู่แดนธรรม… ผู้ที่ถามอาจจะอยากทราบวิธีการทำงานที่จิตมันตกผลึกเข้าสู่ภวังค์เหมือนที่เขานั่งสมาธิกัน เขาก็เลยคิดว่าแล้วพวกเราพาทำงาน จิตมันจะเข้าสู่ภวังค์ได้อย่างไร
พ่อครูว่า… ก็ได้ บอกนิดหนึ่ง อาตมาพยายามอธิบายอยู่ มันอาจจะยังไม่ถึงตัวประตูไขให้สู่แดนธรรมเข้าใจ
เพราะฉะนั้นเมื่อคุณเองลืมตาปฏิบัติ คุณก็จะเกิดปฏิภาณปัญญาเห็นว่า อ๋อ..อย่างนี้คือการขัดเกลากิเลส คุณรู้จักกิเลส แล้วกิเลสถูกขัดเกลาๆไป นี่แหละคือฌาน นี่แหละคือการปฏิบัติฌานในขณะลืมตา ตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า จนกระทั่งกิเลสลด หมดอาสวะ จึงจะตกผลึกเรียกว่า สมาหิตะหรือสมาหิโต หรือสมาธิของพระพุทธเจ้า
สมาธิเป็นคำกลางๆ ที่เรียกกันทั่วโลกหรือแม้แต่ชาวพุทธก็ตามเข้าใจว่าคือการสะกดจิต เข้าใจว่าเป็นจิตสมถะ ซึ่งไม่ใช่ จิตหมดกิเลสไม่ได้สมถะ ไม่ได้นั่ง อยู่ในริบๆหรี่ๆ อยู่ในภพแต่ลืมตาให้เห็นทุกอย่าง ใสสว่างเลยว่ากิเลสมันออก กิเลสมันหมดหมดเกลี้ยงกิเลสแล้วจิตประภัสสร อ๋อ.. นี่คือจิตประภัสสร ตกผลึกลงไปหรือจิต ปริสุทธาจิตสะอาดตกผลึกลงไป นี่คือ สมายี่ส์กุลทำงานอยู่ จิตสะอาด จิตเป็นสมาธิของพระพุทธเจ้า
ในขณะลืมตาในขณะปฏิบัติตามจรณะ 15 วิชชา 8 ของพระพุทธเจ้า นี่คือการปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ สมาธิขณะทำงาน ไม่ต้องไปทำความสงสัย ไม่ต้องคิดเลยว่ามันจะเป็นอย่างไร มาอยู่กับชาวอโศก แล้วอโศกพาคุณทำ ทำแล้วทำอยู่ แล้วกำลังทำต่อ
ทันสมัยใหม่เสมอ
_สู่แดนธรรม… ในขณะทำงานจิตไม่โกรธก็ถือว่าเป็นสมาธิใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… ใช่ถูกต้อง ในขณะทำงานคุณก็รู้กิเลสว่าอันนี้มันมีกามอยู่ ลด อันนี้มันคือการลด นี่แหละคือคุณปฏิบัติธรรมในคณะทำงาน คุณต้องอ่านอาการจิต ที่ขณะสัมผัสต่างๆอยู่เมื่อทำงานก็มีการกระทบสัมผัส คุณทำงานอยู่กับกระทะ คุณก็เคืองตะหลิว บ้า.. ไอ้ตะหลิวนี้มันทำไมถึงไม่เป็นไปดังใจข้าเลยวะ ทุบตะหลิวจนหักไม่รู้เรื่อง แต่คุณทำงานกับคน เออ คนก็จะเกี่ยวคุณได้หน่อย แต่ตะหลิวมันไม่เกี่ยวกับคุณได้หรอก คุณโง่ตายชัก หากคุณไปเกี่ยวกับพืช พืชมันก็ไม่รู้เรื่อง ศีลข้อที่ 2
ศีลข้อที่ 1 สัตว์ก็คือคนนี้แหละ ทำงานกับคน ระวังจะเกิดราคะ โทสะ โมหะเก่ง เรียนรู้แล้วก็ลดกิเลสซะ เมื่อคุณทำงานกับคนแล้วเกิดกิเลสจริง แล้วคุณก็ได้รู้ตัว แล้วคุณก็ทำให้มันลด คุณจะมีปฏิภาณปัญญา เกิดฌาน เกิดปัญญา
ฌาน กับปัญญา เป็นภาษาที่เป็นพลังงานทางจิต คุณจะรู้จักวิธีทำเอาอย่างนี้แล้วกิเลสคุณลดลงๆๆๆ เพราะคุณทำจิตให้มีพลังงานฌานทำจิตให้กิเลสลดได้จนตกผลึกเรียกว่าสมาหิตะ หรือสมาธิของพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นคำว่าสมาธิของพระพุทธเจ้าจึงไม่ใช่เข้าใจได้ง่ายๆ ชัดขึ้นไหม ๆ
เพราะฉะนั้นถาม อาตมาก็ตอบไปแล้ว ถ้าไม่รู้มาอยู่กับชาวอโศก ชาวอโศกพาคุณทำแล้วทำอยู่ พาคุณทำแล้วทำต่อ
_สู่แดนธรรม… แต่ว่าจะไม่พาทำแบบพระวัดป่าเขาทำ
พ่อครูว่า… ไม่ทำอย่างพระวัดป่าเขาทำแน่นอน ไอ้นั่นมันนอกรีต พูดอีก ย้ำ ทุบหัวตะปูไป หลับตาทำ ปฏิบัติธรรมแบบนั้นไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า มีแต่ลืมตาทำเท่านั้น เขาไม่เชื่ออาตมาง่ายๆหรอก เขาพูดอย่างนี้
เขาก็ต้องทำตาหลับด้วย ต้องหลับด้วยแล้วก็ลืมตาด้วย เขาว่าอย่างนั้น อาตมาขอยืนยันว่าไม่มีหลับตา หลับตาก็เข้าใจว่าหลับตา ปฏิบัติลืมตานี่แหละแล้วคุณจะทำอย่างลืมตาได้ หลับตาทำได้ง่ายตายชัก ไม่ต้องทำอะไรหลับตา เพราะฉะนั้นหลับตานี่แหละพระพุทธเจ้าจึงบอกว่าเป็นอุปการะเท่านั้น
อุปการะมีอะไรบ้าง อาตมาก็อธิบายไปหมดแล้ว
-
คุณหลับตาคุณก็พัก ถ้าจิตของคุณไม่หยุดมันก็ฟุ้ง ใช่ไหม คุณทำสงบไม่ได้หลับตามันก็ฟุ้งอยู่ในจิต คุณก็ต้องพยายามสงบ ลดความฟุ้งมา นอกจากมันฟุ้งไม่ฟุ้ง สายศรัทธา ยิ่งไปนั่งสมาธิมันก็ตก ถีนมิทธะ ดิ่ง ดับ ไม่รู้เรื่องไปดับสัญญา มันก็เลยยิ่งไม่รู้เรื่องใหญ่ มันเป็นคนไม่เป็นคน เป็นคนท่อนไม้ เป็นคนทำตัวเองให้เป็นดินหินไป มันก็ไม่ได้เรื่อง
มันต้องให้มีสำนึก มีสติสัมปชัญญะ แม้จะหลับคุณก็ต้องมีสติ 1 พักผ่อน
-
หลับตาไปแล้ว มันก็คิด จะทบทวนธรรมะคิดนึกอะไรมันก็ง่าย เพราะไม่มีอะไรกวนทางตาหูจมูกลิ้นกาย มันไม่มีอะไรกวน คุณก็อยู่คนเดียว คุณก็คิดง่าย มันเป็นอุปการะเห็นไหม
-
หรือรวมเลยเป็นเตวิชโช คือคุณมีธรรมะแล้วคุณใช้หลัก 3 คือ 1. ระลึกสิ่งที่ผ่านมาแล้ว บุพเพนิวาสานุสติญาณ แล้วก็ 2.ตรวจความเกิดความดับ ของจิตที่มันเคยเกิดสัมผัสข้างนอกแล้ว จิตที่มันเคยเกิดกิเลสอย่างไร มันดับหรือยัง ดับได้ นั่นคือรู้จัก จุติ อุบัติ รู้การเกิดการดับได้แล้ว อันสุดท้ายเป็น 3.อาสวักขยญาณ ดับกิเลสสิ้นแล้วก็ตรวจสอบ เตวิชโช จึงเป็นวิชาที่ตรวจสอบการปฏิบัติของตนเอง ได้แล้วหรือยังไม่ได้ ถ้าดับอาสวะสิ้นตรวจสอบแล้วคุณก็รู้สิ คุณรู้แล้วว่าดับอาสวะจริง คุณก็ไม่ต้องไปวนเวียนอีก ไม่ต้องไปซ้ำซากอะไรอีก มันจบมันรู้แล้วอะไรอย่างนี้เป็นต้น