660217 อาหาราธิปไตย สร้างอายะ 3 ด้วยอาหาราวุธ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1OEX_81ov_DN_yqwwUrbEmm2sOQOQMyt3Fw_oqSEBufw/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1QJOuJwsTNjoBS55WPOTNc6z6u4eLiwRu/view?usp=share_link ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/s1V3nlvRsxg และ https://fb.watch/iLdxeHGRK-/ สมณะฟ้าไท… วันนี้วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 12 ค่ำเดือน 3 ปีขาล ช่วงนี้พ่อครูแสดงธรรมเกี่ยวกับประชาธิปไตยในไทย ที่มีแห่งเดียวในโลก เราจะเห็นว่าการอภิปรายไม่ไว้และวางใจนายกที่ไม่ลงมติ ติดตามว่านายกโต้ตอบอย่างไรบ้าง จะเห็นได้ว่านายกแสดงความซื่อสัตย์ของตัวเองชี้แจงผลงานอย่างเต็มที่ ไม่เคยเห็นนายกของไทยท่านใด กล้าออกมา ชี้แจงอย่างนี้ อบรมสั่งสอนหมดแม้แต่นักข่าวหรือพวกสส. ท่านก็กล้าที่จะบอก พ่อครูว่า… โพธิสัตว์ มีความแกล้วกล้าประจำตนมีความอาจหาญแกล้วกล้าประจำตน เป็นธรรมดา สมณะฟ้าไท… แต่ก่อนนายกส่วนใหญ่จะกลัวพวกที่ อภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่นายกคนนี้อธิบายชัดเจนจนประชาชนประทับใจ ยกตัวอย่าง รัฐบาลนี้ไม่มีการมีโครงการทุจริตขายบ้านแถวสัญชาติเป็นต้น บ่งบอกให้เห็นว่าคนที่มีคุณธรรมคนที่ซื่อสัตย์สุจริตแล้วจะไม่กลัวสิ่งใด ที่เป็นอธรรม กล้าพูดกล้าบอกกล้าวิจารณ์ เหมือนภันเตสิริเทศน์ บอกว่าแต่ก่อนพ่อครูไปแสดงธรรมที่บ้านของท่าน ยังคิดว่า ท่านเทศน์อย่างนี้จะเทศน์ได้ยาวนานเกิน 5 วันไหมนี่ ช่วงนี้พ่อครูจะเน้นย้ำเรื่องประชาธิปไตยและเรื่องสร้างอาหาร เป็นความจริงที่จะเห็นว่าพระครูเน้นอย่างอาจหาญแกล้วกล้า คนที่ไม่มีคุณธรรมถึงก็ไม่กล้าแสดงอย่างนี้ พ่อครูว่า… เจริญธรรมทุกคน โอภาสปราศรัยกับ SMS ก่อนแต่ละวันแต่ละวันมีแฟนานุแฟน SMS วันที่ 15-16 ก.พ. 2566 ประชาธิปไตยที่ถูกต้องดีงามเป็นสัมมาทิฏฐิต้องมีอายะ 3 _สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ลูกได้ไปร่วมงานอัฏฐาริยสจจายุมา 5 วัน ฝากแม่ที่แก่ชรามากให้พี่ๆดูแล ส่วนลูกชาย ลูกสาว สามีได้โทรมาถามกิจกรรมของลูกทุกวัน ที่บ้านราชลูกพบว่า แต่ละคนที่บ้านราชมีความเสียสละอย่างชัดเจน เพียงได้เห็นการกระทำนี้ก็ยิ่งเป็นการยืนยันว่า คำสอนของพ่อครูนี้เป็นจริง ที่สอนให้ลูกๆขัดเกลาตนเสียสละโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆกลับคืนมา ครั้นกลับมาบ้านเสลภูมิพบว่า แม่ยังแข็งแรงไม่ป่วย แม่อนุโมทนาที่ลูกมาบ้านราช แต่พบว่า แปลงผักที่ปลูกไว้กินเองและแจกเพื่อนบ้านไม่ได้รดน้ำ ตายไปจำนวนมาก ลูกบอกตัวเองว่า เราทำงานใหญ่ เราอย่าทุกข์ใจกับปัญหาเล็กๆ ผักตาย ลูกจะปลูกใหม่ทดแทน กราบแทบเท้าพ่อครูที่สร้างหมู่กลุ่มให้ลูกปีนป่าย พ่อครูคะ ผู้ได้อธิปไตย3 นี้ หมายถึงทั้งฆราวาสและนักบวชเมื่อมาปฏิบัติธรรมแล้วย่อมเกิดผลต่อสังคมต่อการเมือง 3 ประการใช่ไหมคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ พ่อครูว่า ..ใช่โดยเฉพาะจะมีความรู้ เรื่องพลังอำนาจของประชาธิปไตย พลังหรืออำนาจของโลก พลังหรืออำนาจของคนแต่ละคนส่วนตัวส่วนตน กับพลังและอำนาจที่เป็นธรรม อธิปไตย 3 โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย และ ธรรมาธิปไตย โลกาธิปไตยคืออำนาจที่เป็นของโลก อัตตาธิปไตยคืออำนาจของแต่ละคนที่เป็นอัตตา และก็ธรรมะคืออำนาจหรือพลัง ที่เป็นธรรมะ มันก็ยิ่งใหญ่ ธรรมะเป็นโลกียธรรมก็ได้หรือเป็นโลกุตตรธรรมก็ได้อีก สูงขึ้นไปอย่างนั้น แต่คนเขาไม่ได้อธิบายกันหรอกเรื่องธรรมะที่เป็นโลกุตระ โดยเฉพาะในตะวันตก อเมริกาหรืออื่นๆที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ จะไม่อธิบายเรื่องคุณธรรมแบบโลกุตระ เป็นคุณธรรมที่สวนกระแสของโลกียะ มันเข้าใจโลกเพื่อโลก โลกานุกัมปายะ แต่ไม่เพื่อตน ไม่เพื่ออัตตาแต่เพื่อโลก เพราะฉะนั้นจึงเป็นคนที่มีอายะ 3 มีประโยชน์หรือมีกำไรหรือมีคุณค่า มีรายได้ สิ่งที่มันเกิดเจริญขึ้น อายะ มันเกิดขึ้น 3 อย่างคือ 1 เป็น หิตะ ประโยชน์แก่ประชาชน แก่มวลประชาชน พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) เป็นไปเพื่ออนุเคราะห์โลกเลย และเกิดประโยชน์สุขที่จะเกื้อกูลโลกทั้งโลกเลย อาตมาว่าถ้าเข้าใจความหมายพวกนี้ ภาษาในสมัยพระพุทธเจ้าก็พูดไปแล้วมันไม่มีคำว่าประชาธิปไตย แต่มันมีอธิปไตย แล้วก็มีประโยชน์คุณค่าที่ควรจะได้ต่อมวลมนุษยชาติ หรือคนในโลก 3 ประการที่เป็นอายะ 3 มารวมกันนี่แหละ คือความหมายของความเป็นประชาธิปไตยที่สัมมาทิฏฐิที่ดีงาม เงินรั่วไหลในทางไม่ควรในชาวอโศกมีไหม _ช่อทิพ หนูทอง · การปราบการคอรัปชั่น ควรเริ่มต้นจาก บวรต่างๆ ก่อน บวรบางแห่ง..เงินรั่วไหล..ในทางที่ไม่ควร ค่ะ พ่อครูว่า… มันก็ต้องมีเป็นธรรมดาธรรมชาติแม้แต่ในชาวอโศก เงินไม่ค่อยมียังรั่วไหลเลย ชาวอโศกที่ว่ารั่วไหลนี่คือ มันไม่ค่อยมีแต่มันรั่วไหลก็คือ ความหมายที่หมายน่าจะเป็นว่ามันไม่ค่อยสุจริต คำว่ารั่วไหล มันน่าจะเป็นว่าไม่สุจริต ที่จริงมันมีน้อยอยู่แล้ว มันไม่รั่วไหลอะไรมากในชาวอโศก แล้วความหมายคำว่ารั่วไหลคือมันซึมออก มันไปไม่ถูกร่องถูกรอย มันไม่ออกมาทางตรงๆชัดๆ มันไปซึมมันไปหลบ มันไปเลี่ยงหรือว่ามันไม่ตรงทีเดียว ความหมายมันเป็นอย่างนั้น เป็นอยู่รอบก็ระมัดระวังกัน เป็นได้เหมือนกัน ก็พยายาม คนเรานี่มันมีความสะอาดบริสุทธิ์อย่างจริงจังเลยนี่ ที่ไหนๆๆเมื่อมีคนจำนวนมากขึ้น คนเป็นร้อยคนเป็นต้น จะสะอาดบริสุทธิ์บริบูรณ์ก็ต้องเป็นคนที่เป็นอรหันต์ทั้ง 100 ถ้าไม่ใช่อรหันต์ทั้ง 100 ไม่ใช่อรหันต์ก็มีไม่ทุจริตทีเดียวแต่ก็รั่วซึม ประเภทที่ไม่ใช่เจตนาทุจริตก็ได้ ยิ่งมีคนที่ยังไม่ใช่อาริยะอยู่ด้วยก็แน่นอนเป็นได้ การปราบคอรัปชั่น คำว่าคอรัปชั่นคือความหมายที่หยาบแล้ว มันตั้งใจโกงกัน มันไม่ถึงคอรัปชั่นหรอก แต่มันก็ยังไม่สะอาดบริสุทธิ์มั่นคงเต็มที่ มันก็มีอะไรเล็กๆน้อยๆรั่วซึมอย่างที่ว่ามาก็เป็นไป คนเราถ้าตั้งใจปฏิบัติศึกษาฝึกฝนตนให้มันดีขึ้น ได้ตั้งใจกันจริงๆ ธรรมดาคนโลกชาวโลกสามัญปุถุชน เขาไม่ได้เจตนาตั้งใจเป็นกิจจะลักษณะทีเดียว ปล่อยชีวิตไปตามอารมณ์กิเลส กิเลสมันก็พาไป มันก็เลยมีแต่ตกต่ำ ผู้ตั้งใจที่จะฝึกฝนตนเอง ตั้งใจมีสติรู้ว่านี่ไม่ค่อยดีแล้วก็ปรับ มีสัญชาตญาณบ้างที่ว่ามีสำนึกดี รู้สึกว่ามันไม่ค่อยดีนะ ที่มันหยาบๆก็พอรู้ได้ แต่มันไม่อยาก กิเลสมันมาแรงหน่อย อยากมันก็เอา เพราะมันเป็นธาตุกิเลส ไม่ได้ฝึกไม่ได้เรียน ไม่ได้เรียนอย่างจริงจัง มันจะไปสู้กิเลสได้อย่างไร มันไม่รู้ตัวหรอก สติคือ การรู้ตัว มันไม่ค่อยมี มีก็ไม่เต็มๆเหมือนสติโลกโลก เป็นสติที่ไปตามกิเลสมันก็เป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นพวกเรานี่ได้มาฝึกฝนเรียนรู้ โดยเฉพาะเรียนรู้ไม่ใช่แต่บัญญัติพยัญชนะ เรียนรู้แล้วมาฝึกจริงๆ มี อปัณณกปฏิปทา 3 นี่แหละตัวสำคัญ มีหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติมีศีล ตั้งแต่ศีลเป็นไปเพื่อจะต้องเวลาอยู่กับสัตว์อยู่กับสิ่งที่มีจิตวิญญาณ โดยเฉพาะมนุษย์ อยู่กันสัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันมันจะเกิดกิเลส ครบ 3 ราคะ โทสะโมหะ ต้องวางต้องฝึกตน ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านี้สมบูรณ์แบบ อปัณณกปฏิปทา 3 ถ้ามีในตัวผู้นั้นหวังเจริญและถึงอรหันต์ได้ ถ้าไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 ไปหลับตาปฏิบัติอย่างนี้เป็นต้น อย่าหวังเลย อย่าหวังว่าจะได้บรรลุสิ้นอาสวะไม่มีทาง เพราะเริ่มต้นตั้งแต่กิเลสกามซึ่งจะต้องอาศัยตาหูจมูกลิ้นกายใจจากทวาร 5 ภายนอกไม่มี เพราะฉะนั้นจุดเริ่มต้นกระดุมเม็ดแรกไม่มีให้กลัดเริ่มต้นก่อน ไปกลัดกระดุมเม็ดไหนก็ไม่รู้ มันต้อง 1 2 3 4 5 ไม่ได้เริ่มต้นเลยกระดุมเม็ดที่ 1 ไปจับกระดุมเม็ดไหนไม่รู้เริ่มต้น มันไม่มีลำดับอันน่าอัศจรรย์ มันก็เลยไม่มีความสำเร็จเสื่อมไปหมด เพราะฉะนั้นนั่งหลับตาปฏิบัติ อาตมาก็พูดย้ำซ้ำซาก ก็ต้องพูดเพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ยังมีอยู่ยังยึดถือ ยังหลงใหลกันอยู่ในมวลที่เป็นพุทธศาสนิกชนด้วยกัน อาตมาก็ต้องเออเฟื้อเกื้อกูลช่วยเหลือ ติง ติง แล้วติงอีก พูดซ้ำแล้วซ้ำอีกเพราะเขายังไม่กระเตื้อง ฟังหูทวนลมบ้าง ไม่ค่อยได้ยินบ้าง ก็ต้องให้ได้ยิน ได้ยินแล้วยังเอาหูทวนลมก็ต้องฟังให้หูแตก หูไม่แตกก็จะต้องรู้สึกสำนึกเข้าใจ มันก็จะเกิดประโยชน์ได้ อาตมาทนที่จะพูดซ้ำซากไม่มีปัญหา _สาน สีสกุล · ร้านดินอุ้มดาว ที่ปฐมอโศก เป็นของวัดหรือเปล่า ทำไมขายของราคาแพงจัง พ่อครูว่า… อ้าว ปฐมอโศกฟัง มีคนเขาติ เขาเห็นว่าร้านดินอุ้มดาวที่ปฐมอโศกเป็นของวัดหรือเปล่า ทำไมขายของราคาแพง เป็นของวัดต้องขายของราคาถูกหน่อยนะ เขาติงมา ก็ดูว่ามันถูกลงได้หรือมันไม่แพงหรอก แต่คนเขาขี้เหนียวเขาเห็นว่าราคาอย่างนี้ก็ยังแพงก็เป็นไปได้ บางคนขี้เหนียวเห็นว่าของนี้ไม่น่าราคาอย่างนี้ก็ได้ ก็ดูที่มันสมควรไม่สมควรอย่างไร คนติงมาก็ต้องตรวจสอบ _ไอ้หนุ่ม รถไถ · ขอน้อมกราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งครับผมขออาราธนา ให้พ่อท่านอายุถึง151ปีอย่างที่พ่อตั้งไว้ครับสาธุครับ พ่อครูว่า… โอ้ สาธุด้วย ถ้า if i were ถ้าอาตมาเป็นไปได้อย่างที่ว่า 151 ปี โอ้โห.. รับรองคนยอมรับอาตมาหมดเมื่อนั้น เนาะ เอาน่า ..ไม่ได้ 151 150 ก็เอา 150 ไม่ได้ 149 ก็ 149 ไม่ได้ 148 ก็เอา 148 ไม่ได้ ลดลงมาอีกเท่าไหร่ก็เท่านั้นแหละไม่เอาไม่ได้อย่างไร มันเป็นไปตามความจริง คนมีการตั้งเจตนาได้ จะเป็นไปได้หรือไม่ได้ก็พากเพียรเอา เราไม่ได้เจตนาหรือไม่ได้ตั้งจิตไปเพื่อจะทำชั่ว ไม่ได้ตั้งจิตไปเพื่อจะทำสิ่งไร้ค่าไร้ประโยชน์ อาตมาว่าเป็นประโยชน์คุณค่านะ เพราะฉะนั้นอาตมาเจตนาอย่างนี้ ตั้งจิตที่จะมีอายุยืนยาว จะว่าขี้โลภก็ไม่มีปัญหาเพราะตั้งจิตอยากจะทำสิ่งที่ดีเสียสละสร้างสรรค์ _CBim CBim (ซีบีไอเอ็ม ซีบีไอเอ็ม) · เทพเทือก โกงสถานีตำรวจพันๆ แห่ง กลับกิน อยู่ สบาย ๆ ทำไมถึงจองล้างจองผลาญตระกูลชินวัตรกันจังครับ พ่อครูว่า… คนนี้คงเข้าใจว่า ตระกูลชินวัตรไม่โกงกินอะไรเลย คุณตื่นๆเร็วๆหยิกตัวเอง คุณเห็นอย่างไร เขาตัดสินกันแล้วไม่ใช่เหรอเรื่องสถานีโรงพัก ตัดสินแล้วว่า เทพเทือกไม่ได้มีความผิด ไม่ได้โกงกินอะไร คุณนี่นอกจากไม่ฟังข่าวสาร ไม่ฟังเหตุการณ์บ้านเมืองแล้ว นอกจากตาบอดคงหูหนวกจมูกไม่ได้กินลิ้นก็คงไม่ได้รับรสอีกต่างหาก ขออภัยอาตมาพูดสัจจะความจริง ทำไมคุณงมงายไปหลงทางด้านตระกูลชินวัตร เอาละ สุเทพ อาจจะมีความบกพร่องผิดพลาด แต่อาตมาว่าน้อยกว่าทักษิณชินวัตรกันเป็นร้อยต่อ พันต่อนะ ทำไม คุณ… อาตมาก็พอ จะบอกว่าโง่เง่าก็มากไป ที่จริงไม่มากหรอก ไม่เป็นลีลาการด่ากันว่าของอาตมานะ _อุบล คนโก้ · งานวันแห่งความรักครบรอบ 88-8-8 หลวงปู่ที่สันติมีชีวิตชีวามากๆ เลยค่ะ รักลูกชายมากเลยส่งมาเรียนทื่สันติเจ้าค่ะ จบม.6 บอกจะเรียนต่อที่วัดอีก แม่ดีใจจนน้ำตาไหลเจ้าค่ะ ดีใจที่ลูกจะได้ช่วยงานสื่อที่วัด แม่ก็เหมือนได้เกาะลูกเข้าวัดเจ้าค่ะ พ่อครูว่า… ดีมาก คนที่มีเจตนารมณ์อย่างนี้ เราก็ชื่นใจ เราก็อบอุ่น เป็นคนที่มีเจตนารมณ์ มีความรู้สึก มีความเข้าใจว่า เออ ตัวเองมาสนใจความรู้ความเห็นของคณะนี้ ลูกเต้าเหล่าหลานของตนก็มาเห็นด้วย มันก็น่ายินดีนะ _ภิญญา สว่างแสง · กราบนมัสการค่ะ ดิฉันประทับใจญาติธรรมผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่บ้านราช เคยเห็นท่านตักส้วมอย่างเต็มใจ ไม่แสดงอาการรังเกียจเลย ประทับใจมาก ยังจำภาพที่ท่านตักส้วมได้เลยค่ะ พ่อครูว่า… อ้าวดี คนทำงานที่น่ารังเกียจ เราเห็นเขาเต็มใจทำ ไม่ใช่เรื่องสามัญทีเดียว คนทั่วไปยังรู้สึกรังเกียจอุจจาระ ที่มันเป็นของตนออกจากตนอยู่นี่แหละ เสร็จแล้วมันก็รังเกียจมันเกินจนกระทั่งไม่ทำความสะอาด ใครเห็นเข้าก็รู้สึกสะดุดใจก็จริงมันเป็นธรรมดาธรรมชาติง่ายๆ _ซึ้งซื่อ วิเชียร . กราบนมัสการ พ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้าครับ พ่อท่านเห็นว่า ประชาธิปไตยแบบโลกุตตระของไทยที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ต่อไปจะอยู่ถาวรหรือไม่และพี่น้องปวงชนชาวไทยและชาวโลกจะได้รับอานิสงค์อย่างไรเพราะว่าโลกมันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่เที่ยง เพราะจิตใจของผู้คนในโลกมันเสื่อมต่ำลงทุกวัน และชาวอโศกจะช่วยพวกเขาได้หรือไม่อย่างไร กราบขอโอกาสพ่อท่านให้สัมมาทิฏฐิด้วยครับ กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพนับถืออย่างสูงยิ่งครับ ป พ่อครูว่า… เดี๋ยวฟังต่อไปจะได้สาธยายเรื่องประชาธิปไตยที่ได้สาธยายมาแล้วยังค้างอยู่ ยังไม่จบที่ร่างๆไว้แล้วก็อธิบายเสริมไปอีกไม่ใช่น้อย จะต่อเลย ที่อาตมาได้อธิบายมาเรื่อยๆว่าเมืองไทยนี่แหละ ยืนยันว่ามีประชาธิปไตยที่เป็นแบบ โดยมี Concept ของพระพุทธเจ้า มีวิสัยทัศน์แบบของพระพุทธเจ้า มีวิสัยทัศน์นี่ที่จริงเขาไม่ได้เรียกว่า Concept หรอก เขาเรียก Vision เขาไม่เรียก Concept วิสัยทัศน์ของคนที่มีความรู้แบบโลกียะหรือแบบเทวนิยมอย่างปุถุชนหรือคนชาวโลก แม้แต่ชาวทางตะวันตกทางอเมริกาหรือทางเทวนิยมที่ไม่ใช่โลกุตตระเขามีมาแล้ว วิสัยทัศน์ของคนที่เชื่อว่า การเพิ่มตัวเลขของเงินได้คือความเจริญ มันเป็นความประหลาดไหมหรือเป็นเรื่องสามัญ วิสัยทัศน์ของคนทั่วไป ถ้าได้เพิ่มตัวเลขของเงินได้ ถือว่าเป็นความเจริญ เป็นการพัฒนาหรือความพัฒนาก้าวหน้าของสังคมประเทศ เป็นความประหลาดไหม ..ไม่.. เป็นสามัญ เป็นแนวคิดของทุนนิยม หรือโลกียะแน่แท้ ธรรมด๊า ธรรมดา อาตมาเคยเรียนหนังสือสมัยเด็ก ธรรมดาอ่านว่าธรรมดา ใครเคยบ้าง มันเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องสามัญ มันตรงกันข้ามกันกับวิสัยทัศน์ของโลกุตระ หรือวิสัยทัศน์แบบบุญนิยม แบบโลกุตระ มันตรงกันข้ามคนละทิศเลย หันหลังออกจากกันแล้วเดินกันไปคนละก้าว ห่างกันไปเรื่อยๆ เพราะว่าโลกียะกับโลกุตระมันหันหลังชนกันแล้วเดินตรงไป มันจะเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเมืองไทยนี่มีโลกุตระ แม้ทุกวันนี้มันจะเสื่อมไปเยอะแล้ว แต่เชื้อมันก็ยังมีหลงเหลือ เหลือหลงอยู่ ยังมี ก็ขอบอกอีกอันหนึ่ง อย่าหมั่นไส้ ยิ่งอาตมาเกิดมาในยุคนี้ด้วย เอาโลกุตระมาสถาปนาลงไปอย่างเจตนา ทำมาแล้ว 50 กว่าปีแล้ว ก็จะต้องลงไปไม่มากก็น้อย จะน้อยก็ช่าง ทำ อาตมาไม่มีทางเลือก ก็ได้ ทีนี้วิสัยทัศน์ของคนที่เชื่อกันว่าเพิ่มพฤติกรรม เมื่อกี้นี้วิสัยทัศน์ของคนที่เชื่อว่าเพิ่มตัวเลขของเงินได้ แต่วิสัยทัศน์อีกชนิดหนึ่ง หรือวิชั่นอีกชนิดหนึ่งคือของคนที่เชื่อว่าการเพิ่มพฤติกรรมหรือเพิ่มการลงมือทำงานจริงๆ อันนั้นเอาตัวเลขเป็นเครื่องวัด ตัวเลขของเงินได้ แต่อีกอันหนึ่งไม่กังวลเรื่องเงินได้หรือไม่ได้ อย่างชาวอโศกเราไม่กังวลเรื่องเงินได้ เป็นต้น พวกเราจะฟังแล้วเข้าใจ เราไม่ได้เอาตัวนั้นมาเป็นกังวล ได้หรือไม่ได้เรื่องเงินเรื่องทอง แต่เอาพฤติกรรมหรือการลงมือทำงานจริงๆของคนที่สร้างสรรค์ จนเกิดผลผลิตได้ขึ้นมา ไอ้นั่นมันได้ ไม่มีอาการลงมือทำงานจริงๆเลยแล้วก็เพิ่มผลผลิตขึ้นมาให้ได้จริงๆเลย จนกระทั่งได้อาศัยใช้สอยกินอยู่กัน จริงจังแน่แท้เลยนี่ อย่างนี้ต่างหากที่คือความเจริญของสังคมมนุษย์ อย่างนี้ต่างหากคือความเจริญของสังคมมนุษย์กันจริงกว่า นี่แหละคือวิสัยทัศน์ของอาตมาก็ตาม Concept ของอาตมาก็ตาม Vision ก็ตาม Concept ก็ตาม Concept คือความเห็นมวลรวมของแต่ละคน เราก็เห็นว่าอย่างนี้จริงกว่า เพราะฉะนั้นการวัด GDP Gross Domestic Product ไปวัด GDP กันที่จำนวนตัวเลขของรายได้ นั่นคือวิสัยทัศน์ชนิดหนึ่ง มันมีภาวะซับซ้อนอยู่ในตัวเลขนั้น คือ การขายอย่างเสียสละ หรือขายอย่างเอาเปรียบ ถ้าขายอย่างเอาเปรียบนี่ เอาเปรียบด้วยดีไม่ดีก็โก่งราคาด้วย ดีไม่มีแถมโกงด้วย แทนที่จะขายราคาตลาดหรือขายต่ำกว่าราคาตลาด แต่ขายโก่งกว่าราคาควรจะเป็น ดีไม่ดีโกงเข้าไปหาเรื่องหลอกอย่างนั้นอย่างนี้ ด้วยความโลภ มันก็จะขายได้ ได้ตัวเลขมา เอามาคุยโม้ว่า GDP เจริญก้าวหน้า เพราะมีตัวเลขของเงินได้ ได้มากเท่าไหร่ก็เอามาโชว์ ๆๆ นั่นก็เป็นการโชว์ชนิดหนึ่ง มีไหม มี แล้วทำกันอยู่ แต่ถ้าอาการวัด GDP คำว่า GDP เหมือนกัน แต่วัด GDP กันที่จำนวนผลผลิตและจำนวนของแรงงานความสามารถที่ลงมือทำและก็สร้างขึ้นมามีผลจริง แล้วก็ขายอีก ขายอย่างเสียสละหรือว่าแจกฟรีด้วย เป็นการสะพัดของนั่นเองเป็นเศรษฐกิจหรือเศรษฐศาสตร์สะพัดของ เสียสละหรือแจก เงินหรือจำนวนของตัวเลขมันก็มีน้อย มันก็ได้เอามาโชว์มาแสดงไม่เหมือนกันใช่ไหม มันก็จะได้น้อยๆ แตกต่างกันไปคนละทิศคนละทางแน่ๆเลย แบบทุนนิยมก็จะมีตัวเลขของเงินมาโชว์ว่าได้มาก ว่าเป็นความเจริญของเศรษฐกิจทุนนิยม ฟังดีๆสับสนไหม ไม่สับสนนะ นั่นน่ะทุนนิยมเขาจะอย่างนั้น แต่บุญนิยมนั้น ไม่มีตัวเลขของเงินมาโชว์ว่าได้มาก กับจะโชว์หรือการแสดงการได้ให้หรือการได้ออกไป เอาออกไปยิ่งไปเสียสละออกไปยิ่งๆ โชว์อันนี้โชว์อย่างนี้ต่างหากว่า เป็นความเจริญพัฒนาของเศรษฐกิจบุญนิยม โชว์กันคนละอย่าง แสดงออกคนละอย่างเพื่อที่จะได้อวดอ้างโชว์ แต่มันมีนัยยะสำคัญซ้อนอยู่คนละแบบกันอยู่ นี่เรียกว่าโชว์ GDP แนวคิด เราจะเอาตัวเลขของเงินทองหรือจะเอาจำนวนผลผลิตแรงงานความสามารถที่เราลงมือทำลงมือสร้างอย่างมีผลผลิตจริง มาเป็นเครื่องวัด มาเป็นเครื่องชี้บ่งกัน ว่าความเจริญพัฒนานั่นน่ะ เอาอย่างไหนกันแน่ ยิ่งได้เอามาให้ตนหรือได้เสียสละออกไปให้ผู้อื่นกันแน่ เป็นการตัดสินความจริงว่าอย่างไรคือความเจริญของคน การพัฒนาสังคม เห็นไหม นี่ก็ศึกษาดีๆ ความจริงที่อาตมาพูดนี้เป็นความจริงของพฤติกรรมของความเข้าใจของความคิด ความเชื่อถือของแต่ละคน โลกียะนั้นก็จะมีวิสัยทัศน์หรือว่ามีความประสงค์ต้องการ Vision นำไป หรือว่าความประสงค์ความต้องการเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้แน่ๆ แตกต่างกันกับโลกุตระ โลกุตระจะมีวิสัยทัศน์หรือมีความประสงค์ความต้องการไปทางที่จะล้างละล้างความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ ก็เป็นคนละแนวคิด คนละแนวทางคนละความสำเร็จ เสร็จแล้วปฏิบัติกันไปทำจริงๆประสบผลสำเร็จ ความสำเร็จก็คนละอย่าง ชัดเจนนะ ดังนั้นไม่ว่าจะเรียกพฤติกรรมหรือพฤติภาพ นั้นๆน่ะ พฤติกรรมก็คือการกระทำ พฤติภาพก็คือผลมันออกมา จะออกว่าเป็นเศรษฐกิจ หรือจะเรียกพฤติภาพว่าเป็นการเมืองหรือรัฐศาสตร์ก็ได้ จะเรียกว่าเป็นการกระทำต่อสังคม จะเป็นการเมืองหรือเศรษฐกิจก็เป็นการกระทำต่อสังคมคนละนัยยะสำคัญ คนทั่วไปส่วนมากในโลกก็มีจิตที่เป็นปุถุชน นี่ไม่ได้ไปขี้ตู่ ไม่ได้ไปว่ากล่าวหาเรื่องแต่เป็นจริงใช่ไหม คนส่วนมากทั่วไปสามัญแท้ๆในโลกเขามีจิตเป็นปุถุชน เจ้ามีความรู้และความฉลาดอยู่แต่ในกรอบของโลกียะ ปุชนนี้มีความรู้ความฉลาดอยู่ในกรอบของโลกียะ ยังอยู่ในกรอบของทุนนิยม โลกียะนี้คือชาวทุนนิยมแท้ๆมันยังไม่มี อัญญธาตุ ที่อาตมาได้เอามาอธิบายมาแล้วขยายความมามากมาย มันมีความจริงไหม พวกเราได้เรียนรู้และจะรู้ว่า อัญญธาตุ คือธาตุอะไรคือธาตุของจิตวิญญาณ อัญญธาตุ ที่เป็นธาตุรู้ชนิดใหม่ เป็นธาตุรู้ชนิดอื่น ที่แตกต่างทวนกระแสหรือว่ากลับขั้วกลับข้างกันตรงกันข้ามกันเลยทีเดียวกับของโลกียะของปุถุชนคนละเรื่อง เมื่อความเห็นความเข้าใจความเชื่อมั่น อัญญธาตุ คือทำให้เกิดความเห็นความเข้าใจความเชื่อมั่นเปลี่ยนทิศทางไปเป็นอื่นไปจากเดิมๆ เดิมเป็นปุถุชนเดิมเป็นโลกียะ คิดแต่แบบทุนนิยม ที่นี้มีตัวธาตุรู้ที่มาเข้าใจแบบนี้และเห็นดีเห็นงามแบบนี้ มันก็เปลี่ยนทิศเปลี่ยนทางไป จะว่าแปลกว่าใหม่ จริงๆมันไม่หรอก ทิศทางมันต่างไปเป็นแบบทวนกระแส จากขี้โลภกลับไม่ขี้โลภ มันไม่ใหม่หรอกในมวลมนุษยชาติ ไม่ขี้โลภก็รู้ทั้งนั้นคืออะไร ขี้โลภก็รู้ทั้งนั้น มันเคยผ่านเคยพบมาเคยรู้มาเคยเกิดกับตนเองด้วยซ้ำ ทุกๆคนแหละ แต่จิตมันเห็นดีเห็นงามเห็นชอบไปคนละทิศในแต่ละ กาละ เทศะ ฐานะ เท่านั้น คนจะมีฐานะแตกต่างกันไป เลื่อนฐานะขึ้นหรือต่ำลง ก็เกิดจาก กาละ เทศะ ฐานะ ฐานะของคนที่ตั้งอยู่ในกาละนี้ มันหลงยึดอย่างนี้หรือมันเปลี่ยนไปได้ ถ้ามันยึดอย่างนี้ อยู่อย่างเก่าอย่างเดิม มันก็ไม่มีใหม่ ไม่มีอื่น มันก็วนอยู่ในรสนิยมเดิมคือโลกียะ เก่าๆเดิมๆ แต่ถ้าแม้นว่ามันมีความต่างจากเดิม คือเปลี่ยนเพศ เพศ ก็คือความแตกต่างกัน เปลี่ยนความมีรสนิยมไปจากเดิม คือโลกุตระที่เป็นโลกใหม่ ที่มีปัญญา มาเข้าใจได้ คือมีความรู้ความฉลาดที่เข้าใจทิศทางที่จะเลิก จะละความเป็นตัวตน และก็รู้ว่า การไม่ออกจากตัวตนหรือแถมจะยิ่งเพิ่มพอกความเป็นตัวตนด้วยการเพิ่มความโง่ ความหลงใหลอยู่กับความเป็นตัวตน เสพองค์ประกอบที่ให้เพิ่มตัวตนให้ใหญ่ให้แน่นหนักเข้าไปให้ยิ่งขึ้นด้วยอวิชชา ไม่รู้จริงๆว่า มันก็จะยิ่งมีตัวตน ก็ยิ่งใหญ่ มีตัวตนเป็นที่ยิ่งที่ใหญ่ที่มากที่แน่นที่หนาที่หนักยิ่งๆขึ้น หาที่สุดมิได้เลย ถ้าไม่เกิดความรู้ความฉลาดหรือการเมืองหรือความเป็นไปของสังคม การเมืองคือความเป็นไปของสังคม ไม่รู้ การเมืองหรือความเป็นไปของสังคมมันบอกเรา คนที่มีปฏิภาณปัญญาฉลาดจะรู้ว่าโลกนี้ ความเป็นไปของสังคมหรือว่าการเมืองของสังคม มันเห็นแก่ ในจำนวนคนในสังคมมันเห็นแก่ตัวยิ่งขึ้น หรือมันเห็นแก่ตัวลดลง เราจะมองคนในหมู่กลุ่มแคบ ตั้งแต่ในครอบครัวของเรา มวลมิตรสหายสังคมของเรากว้างขึ้น จนกระทั่งมองกว้างเข้ามาถึงคนในสังคม ประเทศ มันมองได้มันมองออก ถ้ามีปฏิภาณปัญญา มีความสะดุด มีสำนึก มีความนึกคิด ในเรื่องเหล่านี้อย่างนี้ อย่างมามองคนกลุ่มหนึ่งชาวอโศกมีพฤติกรรม มีการแสดงออกจนกระทั่งสามารถรู้ถึงจิตใจ การแสดงออกทางกายวาจานี้สามารถพอจะรู้จริงๆถึงจิตใจ ยิ่งอยู่ร่วมกันนานๆสัมผัสการเป็นอยู่กันนานๆ มันยิ่งจะรู้ว่า อ๋อ คนผู้นี้มีจิตใจ จนกระทั่งมาเป็นกายกรรม วจีกรรม มันไม่เหมือนกันกับสามัญคนส่วนใหญ่ทั่วไปที่เป็นปุถุชนเขาเป็น เพราะฉะนั้นความเป็นไปของพฤติกรรมของคน แล้วก็เป็นมวลสังคมกลุ่มหนึ่งกว้างขึ้นกว้างขึ้น แล้วก็เห็นสิ่งเหล่านี้แหละ ปฏิบัติประพฤติลงไปในสังคมในหมู่กลุ่ม ในมนุษยชาติ จนในประเทศ มันก็เกิดจากคนเป็นสังคมเป็นชาติประเทศ เพราะฉะนั้นประเทศไทยก็มีคน ประเทศไหนก็มีคน เป็นตัวแสดงพฤติภาพนี้ จากพฤติกรรมของมนุษย์ของมวลมนุษย์แต่ละประเทศแต่ละที่ มาเทียบกัน เอามาเปรียบกัน ก็เอาพฤติกรรมของมนุษยชาติที่ประพฤติอยู่ในเมืองของตน เรียกว่าการเมือง เอามาเปรียบ เอามาเทียบกันแล้วก็เป็นอยู่ ทั้งการกระทำที่มันซ้อนลึก คนกลุ่มนี้ไม่ตะกละตะกลาม ไม่ขี้โลภ ไม่ขี้แย่งชิง ไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่น พึ่งตนเอง สร้างสรรค์ให้แก่ตนเอง จิตใจมีปฏิภาณปัญญารู้ว่าอะไรคือสาระ อะไรคือสิ่งไร้สาระหรือเป็นสิ่งประโลมโลกเท่านั้น การสร้างอาวุธมาฆ่าคนเป็นความไร้สาระมาก การสร้างความมอมเมา การสร้างเครื่องประเทืองทำให้เมาในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เมาในจิตใจ ประสาทดีๆ เกิดกินธาตุอะไรเข้าไป มันเกิดมึนเมาและสติก็ไม่ดี จะเรียกว่ายาบ้า ยาเมา มันก็เห็นกันอยู่ มันก็รู้ๆกันอยู่ คนที่ไม่ได้วิปลาส ไม่ได้มีจิตใจเสื่อมต่ำอะไร ก็ไม่ไปเกี่ยวข้อง คนที่วิปลาสหรือจิตใจไม่สูง มันก็เป็นจริง เข้าไปเกี่ยวไปจนกระทั่งเห็นๆอยู่ในสังคมมันมีทั้งนั้น ยิ่งรู้ว่าเราจะทำให้จิตใจของเราเจริญอย่างไร ศาสนา พระศาสดาแต่ละศาสดา ของศาสนาแต่ละศาสนา ศึกษาเรื่องอย่างนี้ทั้งนั้น อย่างไรเรียกว่าดี ศาสนาพระพุทธเจ้าก็ศึกษา และเอามาสอนมาบอกว่าอย่างนี้ดี นอกจากดีแล้วพระพุทธเจ้าท่านรู้เป็นโลกุตระ เป็นอัญญะอัญญา เป็นเรื่องแตกต่างที่คนส่วนใหญ่ศาสดาทั้งหลายไม่ได้มี คือโลกุตตรธรรม อันมาจาก อัญญธาตุ อันนี้เป็นเรื่องที่พิเศษที่สุด และเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุด เพราะความรู้ที่เป็นโลกุตตรธรรม มันสามารถรู้ประธานของความเป็นมนุษย์ ประธานของความเป็นสังคม ประธานของความเป็นประเทศ ประธานของความเป็นพฤติกรรมของมนุษย์ของสังคมของมวลประเทศ ของมวลชาติประเทศ หรือของมวลมนุษย์โลก สรุปเป็นประธานสิ่งทั้งปวง จิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ใหญ่ที่สุดในความเป็นมนุษย์นั้น เทวนิยมเขาสมมุติว่าอยู่ที่พระเจ้า ยู้ฮู พระเจ้าอยู่ที่ไหน พระเจ้า ยู้ฮู พระเจ้า ไม่มีใครเคยพบ เจ้าทุยอยู่ไหน ได้ยินเสียงใครเคยกู่ๆ เรียกหาเจ้าอยู่ๆ หนใด รีบมา พระเจ้าคือเจ้าทุยหรือเปล่า ที่คนเรียกหาอยู่ ทำไมไม่มาสักที ? เพราะฉะนั้นเป็นความเพ้อฝันหรือเปล่า ความจริงไม่ใช่ พระเจ้าก็คือความรู้ความฉลาดที่สุดของพระศาสดาเอง แต่ละพระองค์ แต่ศาสดาเทวนิยมแต่ละพระองค์นั้น ไม่รู้จักความจริงที่พระองค์มีความรู้ความฉลาด ศาสดาทุกพระองค์มีความรู้ความฉลาด และความรู้ความฉลาดที่มีในตนเองนั้น ก็คือของตนเองที่ได้สั่งสมมาตามกรรมวิบาก มันจึงได้ จึงเป็น จึงมี มีความรู้ความฉลาดสูง มากพอจนเอามาพูดกับมนุษยชาติ มนุษยชาติเข้าใจ เห็นดี ศรัทธา มานับถือจนได้เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่ง แบบของแต่ละศาสดา พระพุทธเจ้าก็เช่นกัน แต่พระพุทธเจ้านั้นนอกจากจะมีความรู้อย่างศาสดาทั้งหลายรู้ พระพุทธเจ้าก็มีหมด ความรู้ที่เรียกว่าดีชั่ว ที่พระศาสดาของเทวนิยมมีแต่ละพระองค์ พระพุทธเจ้ามีรู้อย่างนั้นรู้หมดเข้าใจทั้งนั้น รู้จนกระทั่งรู้ว่ามีจิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวง จะเอาให้ดีที่สุดตามแต่ศาสดาแต่ละพระองค์ รู้ของตนเองแต่ละพระองค์ แล้วก็เอามาตรัส เอามาสอนเป็นความรู้ของศาสดาเอามาพูดเอามาสอนให้แก่คน จะเรียกว่าเป็นความตรัสรู้ของศาสดาเทวนิยมแต่ละองค์ก็ได้ ถ้าไม่ติดในพยัญชนะว่าความตรัสรู้เราใช้กับพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้นนะ อย่าไปขี้หวงขี้แหนขนาดนั้น จะบอกว่าพระศาสดาแต่ละพระองค์เทวนิยมก็ตรัสรู้ของท่านก็ได้ แต่ของพระพุทธเจ้านั้นรู้อย่างนั้น ท่านถือว่าเป็นความเจริญและเจริญสูงสุด มีที่ค้างอยู่ จบสูงสุดแล้วก็คือเจริญสูงสุด เป็นความรู้สูงสุดนิรันดร สูงสุดแล้วก็อยู่กับพระเจ้า สูงสุดแล้วก็อยู่กับพระศาสดา พระศาสดาตายแล้วมีความสูงสุดแล้ว ก็ไปอยู่กับพระเจ้า แล้วยังไงต่อ ไม่มีตำราของเทวนิยม มีเท่านี้ก็ปิดตำรา เปิดอีกก็มีจบเท่านี้ ไม่มีต่อ แต่ของพระพุทธเจ้ามีต่อ อย่างของศาสดาเทวนิยมมีหมด ตำราทุกเล่มแบบนี้ มาจบอยู่ที่อยู่กับพระเจ้านิรันดร และแดนพระเจ้าคืออะไร คือแดนสุข แดนของพระเจ้าคือแดนสุข แต่ไม่รู้เรื่องทุกข์หรอก แต่รู้ว่าไม่เอาทุกข์ แต่ไม่ได้ศึกษาทุกข์และไม่รู้เหตุแห่งทุกข์ แล้วจะเลิกทุกข์ได้อย่างไร ศาสดาเทวนิยมทุกองค์ของเทวนิยมไม่มีใครศึกษา ไม่มีใครค้นพบและไม่มีใครมีหลักการหลักวิชา ปฏิบัติจนรู้ทุกข์รู้เหตุแห่งทุกข์แล้วดับทุกข์ ดับเหตุแห่งทุกข์ เหตุเป็นอิทัปปัจจยตาเท่าไหร่ ตั้งแต่มันโง่อวิชชาแล้วมันปรุงแต่งมาเป็นชีวิตสังขารมีวิญญาณเป็นเจ้าเรือน แล้วก็แยกวิญญาณได้เป็นรูปนาม แล้วมันก็ไปสัมผัสสัมพันธ์กันเป็นอายตนะ โดยมีผัสสะและให้การเกิดสัมผัสสัมพันธ์เป็นอายตนะนั้นๆเกิดความรู้สึกเป็นเวทนา แล้วมันก็หลงสุขเวทนาทุกขเวทนา อยู่ตรงนี้ โดยมีเหตุที่เรียกว่า ตัณหาและอุปาทาน เทวนิยมไม่มีความรู้ในอิทัปปัจจยะตาหรือเหตุนี้เพราะเหตุนี้จึงมีตัวนี้ เพราะเหตุนี้จึงมีตัวนี้ เพราะเหตุนี้จึงมีผลนี้ ศาสดาเทวนิยมไม่มีความรู้ของจิตวิญญาณที่แยกเป็นปฏิจจสมุปบาท จนกระทั่งเกิดภพ เกิดชาติเวียนวนแล้ววนเล่า แต่ไม่รู้ตนเอง เพราะไปอยู่ที่ศาสดาพระเจ้า จบตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว ไม่รู้ว่าจะเกิดอีกหรือไม่เกิดอีก ต้องเกิดอีกทั้งนั้น แต่ศาสดาเทวนิยม ไม่รู้การเวียนตายเวียนเกิด ไม่รู้กรรมวิบาก ไม่รู้เหตุปัจจัยที่อยู่ในกรรมในวิบากว่า คุณหมุนเวียนอยู่อย่างนี้ในโลกไม่รู้จักจบนิรันดร มันไม่ได้ค้างอยู่ที่พระเจ้าและก็เป็นสุขอยู่ที่พระเจ้า ไม่มี เดี๋ยวคุณเกิดตรงนั้นแล้ว ที่จริงส่วนมากแล้วเป็นปุถุชน หลงสุขไปทำเหตุแห่งทุกข์ไว้มาก หลงสุขจึงทำเหตุแห่งทุกข์มาบำเรออัตตาตัวเอง ใช่ไหม คุณก็ไปเสพสุขเพราะคุณหลงการเสพสุข คุณจึงไปหาเหตุแล้วก็ไปเบียดเบียนโลก เบียดเบียนตั้งแต่ เอาตั้งแต่มนุษย์ ที่ไปกระทบสัมผัสเกี่ยวข้อง แล้วโง่ไปแย่งสมบัติ วัตถุ โง่ไปแย่งแม้แต่แย่งแผ่นดิน โง่ไปแย่งอำนาจบาทใหญ่ โง่ แย่งทั้งนั้นจะได้เป็นผู้ที่มีมากมีอำนาจ ทุกอย่างเป็นของข้าหมด ข้าจะเอามาเมื่อไหร่ก็ได้ง่ายๆ มันหลงถึงขนาดนั้นขี้โลภ ไม่มีที่สิ้นที่สุด พระพุทธเจ้ามารู้ว่า โอ้ มันไม่จบมันไม่มีที่สิ้นสุด หยุดอยากได้เถอะตั้งแต่ของที่มันต้องลำบากหนักหนาต่างๆ หยุดเถอะความไร้สาระหยุดมาก่อน เพราะฉะนั้นความฉลาดที่รู้จักละเลิกจากสิ่งที่สังขารปรุงแต่งเป็นสังขารโลก ลดลงมาลดลงมา จนกระทั่งพระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า ปัดโธ่เอ๋ย จริงๆแล้วเราไปเที่ยวนึกว่า มันเป็น มันมี ที่จริงแล้วมันเกิดจากสิ่ง 2 สิ่งปรุงแต่งกันขึ้น คือจิตวิญญาณกับอีกสิ่งหนึ่ง แล้วก็รู้ว่าไอ้นี่แหละเป็นตัวตน เป็นเทวดา เป็นเจ้าแห่งความสุข เป็นเจ้าแห่งอำนาจ เป็นเจ้าแห่งสมบัติ เป็นเจ้าแห่งสัมผัส เป็นเจ้าแห่งเวทนา สุขทุกข์ มาจบที่สุขและทุกข์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้สุขทุกข์ แล้วก็รู้ว่าสุขทุกข์คือความลวงคือ มายาใหญ่ โธ่เอ๋ย ๆๆ หลอกมานานหนอ พระพุทธเจ้าก็บอกว่า เจ้ากิเลสเรารู้หัวใจเธอแล้ว หักขั้วหัวใจเธอออกได้หมดแล้ว อย่ามาทำเป็นหลอกให้ฉันเกิดมาเป็นชีวิตที่โง่ๆอย่างนี้เลย ก็เลยรู้จักวิธีการ ดับ หยุดความโง่ หยุดที่จะวนเวียนเกิดมามีชีวิตแสวงสุข เพราะสุขเป็นมายา ทุกข์เป็นมายา พอรู้จบในทุกข์สุขเป็นมายา ดับสุขดับทุกข์ได้ทุกอย่างดับหมดเลย จิตวิญญาณสลายเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย นี่คือความตรัสรู้ เป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ใดรู้เหตุ ดับเหตุได้ ก็เหลือจิตวิญญาณสะอาด และเป็นจิตวิญญาณที่สะอาดประเภทที่ กิเลสในโลกรู้ทันหมด มันมีอยู่ในโลกที่เกิดจากสัมผัสกันตั้งแต่ 2 ชิ้น 2 อย่างไปตามจิตวิญญาณโง่กับทุกสิ่ง บางคนชอบกินขี้ ว่าเป็นความสุข พูดให้มันถึงๆน่ะ บางคนชอบกินเศษขยะ เป็นสุขว่าเป็นสุข นอกนั้นก็ชอบ มันจะไม่น่าเกลียดเท่าที่พูดมาตอนต้นเท่าไหร่ก็ตาม มันก็คือสิ่งที่ไปสัมพันธ์กัน เกิดมาเป็นสภาพอย่างนั้น เรียกว่าย่อลงไปที่สัมผัส 5 รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) แล้วก็ยังไปปรุงแต่งกันอยู่ในจิตอีก เป็นอันที่ 6 ที่ไม่มีประมาณ ของแต่ละคน บ้าไปได้อย่างนับไม่ถ้วน ของใครของมันบ้าปรุงแต่งอยู่ 2 อัน ถ้าได้อย่างนี้เป็นอย่างนี้ๆ ถ้ามีอย่างนี้เป็นอย่างนี้ มันเป็นลมๆแล้งๆเป็นเรื่องที่เพ้อเจ้อ เป็นเรื่องที่บอกว่า น่าได้น่ามีน่าเป็น มันเห็นเป็น สุภะ ทั้งๆที่มัน อสุภะ เป็นสิ่งที่ไม่น่าหลงว่ามีเลย ถ้าผู้ใดเห็นว่ามันไม่มี สุภะ มีแต่อสุภะ น่าเกลียดน่าชัง สรุปลงตรงที่ศัพท์ง่ายๆบอกว่า ทุกอย่างมีแต่ขี้ มีแต่อุจจาระ ทุกอย่าง excrement ภาษาง่ายๆเขาเรียกว่า shit ขี้ ทุกอย่างมันลงท้าย มันจะเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นผู้ใดที่มีภูมิปัญญาเห็นว่า ทุกอย่างมันไร้สาระ มันไม่มีอะไร ปรุงแต่งไปลงท้ายมันก็จะมีแต่ของเน่า กลายเป็นขยะเน่า กลายเป็นสิ่งที่เหม็น กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า ขี้เหม็น มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันไม่ได้เป็น สุภะ ไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าได้ น่ามี น่าเป็นอะไร แต่มันก็พยายามปรุงแต่งให้มันสด ให้มันหนัก ให้มันใส ให้มันดูน่าชมไป แต่ลงท้ายมันจะเป็นอย่างนั้น ลงท้ายมันจะเป็นอย่างนั้นทั้งนั้น เอาอะไรไปหมักดู มันจะเป็นอย่างนั้น แม้แต่ธาตุที่เป็นโลหะ ธาตุที่เป็นอิฐเป็นหินอะไรก็ตาม บดลงไปให้แหลกแล้วเอาไปเจือกับธาตุอื่นๆเข้าไปหมักเข้า มันก็จะกลายเป็นของเน่า ของเหม็น ถ้าเกาะตัวกันเข้าก็เป็นก้อนขี้ทั้งนั้น นี่พูดให้ละเอียดๆ หรือพูดให้แหลกให้ฟังเลย เพราะฉะนั้นเมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความรู้ทางออก ทางออกมันจำนนว่า มันได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว และทางเทวนิยมเขาก็จำนนว่า ดีที่สุดคือสุข ดีที่สุดคือทั้งรู้และฉลาด ให้เป็นพระบุตร เป็นลูกพระเจ้า เพราะลูกพระเจ้านี้คือมนุษย์ พระบุตรคือมนุษย์เกิดมาเป็นคน แต่พระเจ้าหรือพระบุตรก็ยังฉลาดน้อย ไม่รู้ว่าคนนั่นแหละคือคน คนไม่ใช่สิ่งประหลาด แต่พระบุตรถือว่าตัวเองเป็นผู้ประหลาด เป็นลูกพระเจ้าไม่ใช่คนนะ เพราะฉะนั้นพระศาสดาที่เรียกว่าพระบุตร แต่ละองค์ ศาสนิกของเขาไม่ได้นับว่าเขาเป็นคนนะ นับว่าเป็นลูกพระเจ้าเป็นพระบุตร คนไม่มีสิทธิ์เป็นพระบุตร คนแต่ละคนไม่มีสิทธิ์เป็นพระบุตร พระบุตรเป็นลูกพระเจ้า จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนเป็นอย่างพระบุตรไม่ได้ เพราะพระบุตรไม่ใช่คน ดี รู้ ประเสริฐ แต่คนไม่มีสิทธิ์เป็นน่ะ นี่แหละคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ว่ามันไม่ใช่ คนเป็นได้ในสิ่งที่ดีที่สุด สิ่งที่ดีที่สุดที่คนเป็นไปไม่ได้แล้วจะให้อะไรมาเป็น ให้พระเจ้ามาเป็น แล้วไหนล่ะพระเจ้าแสดงตัวหน่อยสิ เขาก็อ้างว่าพระบุตรนี่แหละไงคือลูกพระเจ้าแสดงตัว แล้วแสดงตัวว่าเป็นลูกพระเจ้าแล้วบอกว่าคนเป็นอย่างพระบุตรไม่ได้แล้วมาแสดงทำไม แสดงแล้วก็บอกว่าเป็นอย่างพระบุตรไม่ได้ มีไหมศาสดาที่สอนให้คนเป็นอย่างพระบุตรได้ มีไหม… มี ศาสนาพุทธไง สอนให้คนมาเป็นอย่างพระบุตรได้ พระบุตรเป็นลูกพระเจ้าหรือเป็น DNA ของพระเจ้ามาเกิดได้เลยของพระพุทธเจ้าได้หมดถึงDNAเป็นพระเจ้า _สู่แดนธรรม… จริงๆแล้วผู้แปลพระไตรปิฎกเรียกพระพุทธเจ้าว่าพระผู้มีพระภาค นั่นคือพระผู้เป็นพระเจ้าครับ แปลมาจากคำว่าภควัน ก็คือพระเจ้าโดยตรง พระพุทธเจ้านี้คนแปลจะยกย่องว่าเป็นพระเจ้าเลย พระผู้มีพระภาคคือส่วนหนึ่งของพระเจ้า พ่อครูว่า… ส่วนหนึ่งของพระเจ้าก็คือเทวนิยมอีกนั่นแหละ ก็เอาเถอะจะเข้าใจอย่างไร มันก็เป็นความเข้าใจของคนแต่ละคนที่จะสามารถเข้าใจได้ สรุปแล้วมันเป็นโลกียะกับโลกุตระ เพราะฉะนั้นคนที่สามารถเข้าใจโลกุตระได้ เข้าใจความเป็นโลกุตระกันจริงๆได้ ก็มาศึกษาและก็มาทำให้เกิดให้เป็น โลกุตระจิต จิตใจนี่แหละจะเป็นตัวยืนยัน เป็นตัวแสดงออก เป็นพฤติกรรม เป็นสิ่งที่เกิดที่เป็นที่จริงทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมออกมา อย่างจริงใจ อย่างจริงๆจังๆไม่เสแสร้ง ไม่ได้อยากอวดอยากโอ่ อย่างอาตมานี้ แสดงออกอยู่ตลอดทุกวัน ตั้งแต่มารู้ว่าตัวเองว่าบรรลุธรรมแล้วต้องมาแสดง ตัวเองเป็นผู้บรรลุธรรมแล้ว เป็นผู้จะต้องมาแสดงออกจะต้องมาพูดมาพาทำจะต้องออกมาสอน ก็มาทำ ตั้งแต่วันที่เข้าใจตนเองและก็มาทำงานตั้ง 50 ปียังไม่ตายนี่ เป็นการยืนยันความจริงว่า อาตมามีสิ่งที่รู้จริงเห็นจริง ของตนเองแล้วก็เอามาทำอันนี้ ยืนยันจนกระทั่งมีผู้รู้ผู้ฟัง แล้วก็ปฏิบัติตามจนกระทั่งได้มรรคได้ผล ได้มรรคได้ผลแล้วก็รู้สึกว่า อย่างนี้มันดีนะๆๆ จนกระทั่ง นี่ ไหลมารวมกัน น้ำ น้ำไหลไปหาน้ำ น้ำมันไหลไปหาน้ำมัน อย่างพวกเราเป็นน้ำมันก็ไหลมารวมกันกับน้ำมัน พวกน้ำก็เยอะแยะไหลมาหาน้ำมันไม่ได้ พวกน้ำมันอย่างชนิดพวกเราเป็นน้ำมันแบบไหน ยิ่งกว่าอ๊อกเทน พระพุทธเจ้าอธิบายความจริงหรือความดีสุดยอด เป็นความดีเป็นความจริงขั้นสุดยอด ผู้ที่มีสิ่งสุดยอดเรียกว่าคนมีปัญญา คำว่าปัญญาอาตมาก็พยายามอธิบาย เป็นความรู้ความฉลาดแบบโลกุตตระ ปัญญามันไม่ใช่ความรู้ความฉลาดที่เป็นโลกียะเท่านั้น จึงเสียหายหมดเลยแต่ก็พยายามพูด มันแก้ไม่กลับแล้วล่ะ กู้ไม่ขึ้น เขาเอาปัญญาไปใช้เสียเละเทะในโลก มันกู้ไม่ขึ้น แต่คนที่ฟังแล้วจะเข้าใจความหมาย เข้าใจสิ่งที่เป็นสาระแท้ว่า จริงๆ ความฉลาดแบบปัญญามันไม่ใช่อย่างที่เขาเข้าใจกันหรอกนะ มันเป็นอย่างที่อาตมาพูด อาตมาอธิบายของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้นเมื่อรู้จักปัญญา เมื่อมีปัญญา ปัญญารู้โลกุตระ เพราะฉะนั้นก็จะใช้ปัญญาหรือใช้ความรู้ที่เป็นโลกุตระนี่แหละ ที่มันเป็นคุณค่าวิเศษ มันเห็นว่า เป็นความรู้ที่สุดยอดแล้ว เพราะฉะนั้นมันจะฉลาดพอ ฉลาดพอในสิ่งที่ควรเลิกควรละ ควรเป็นควรมีมาตามลำดับ โสดาบันก็จะรู้ว่าควรเลิกควรละ ไม่ต้องไปติดไปยึด ไม่ต้องไปติดสุขไม่ต้องไปติดทุกข์กับมัน จะต้องมีมันจะต้องสัมผัสเกี่ยวข้อง อย่างสมัยก่อนนี้อาตมาตั้งแต่เด็ก โอ้โห.. ทำงานส่งหนังสือพิมพ์ รับมา ส่งหนังสือพิมพ์เสร็จก็แวะกินข้าวที่ราชวัตร มีร้านข้าวต้มกุ๊ยอยู่ที่ราชวัตร อาตมาก็แวะเข้า ไม่ต้องไปสั่งอะไร พอเขาเห็นหน้าอาตมาปั๊บ เขาก็เอาแกงมะระสด ใส่เครื่องในไก่ แกงจืดน้ำใส มะระกับเครื่องในไก่แล้วก็ข้าวมา แล้วก็น้ำปลาพริกมะนาวมา อาตมาก็กินอย่างนั้นทุกวัน จนไม่ต้องสั่ง เดินเข้ามาร้านปั๊บ เห็นหน้ากัน เขาก็ทำมาเลย อาตมาก็กินแต่อยู่อย่างนี้แหละ แล้ววันนี้ก็พอดีมีมะระมาโชว์ อาตมาก็เลยเอามาหยิบพูดถึงความเป็นมีอาชีพชีวิต ยังชีพยังชีวิตมาง่ายๆ อาตมาก็ในความมีชีวิต ต้องต่อสู้กับชีวิตไป หาสตางค์เรียนหนังสือเอง ที่จริงอาตมาไม่เคยน้อยใจไม่เคยรู้สึกต่ำต้อยเลยนะ ที่ทำงานอย่างนั้นน่ะ และเราก็ทำงานและก็เลี้ยงชีวิตตน เรียนหนังสือหนังหาไป จนกระทั่งพอได้ทำงานอื่น นอกจากจะถีบรถส่งหนังสือพิมพ์ เอาหนังสือพวกนี้ไปวางขายได้เปอร์เซ็นต์ได้อะไรด้วย พอได้เงินได้ทองเลี้ยงตัวเองเรียนหนังสือมา จนกระทั่งได้มาออกโทรทัศน์ มีลำไพ่จากรายได้จากโทรทัศน์บ้าง จนกระทั่งได้สอนหนังสือ ตั้งแต่เป็นนักเรียนอยู่ก็ไปสอนหนังสือ ได้สอนหนังสือได้ลำไพ่ได้เงินทองพอเลี้ยงชีพก็เลยค่อยๆเบาทางด้านทำงานขี่จักรยานส่งหนังสือพิมพ์ไป ได้ทำโน่นทำนี่อะไรไปเองอีก แต่งเพลงอะไรไปมีรายได้ จากการเขียนหนังสือหนังหาอะไรไป มันก็เลี้ยงตนมารอด ไม่ได้ไปทำชั่วอะไร ไม่ได้ไปมอมเมาคนด้วย ไม่ได้ไปพามอมเมา ขอทิ้งไว้ในเรื่องความมอมเมา อย่างนั้นอย่างนี้ ก็ไม่มี จนกระทั่งเรียนหนังสือมา จบมาทำงาน ทำงานไม่ได้เคยวิ่งเต้นหางานทำ เข้าโทรทัศน์ เข้ายากนะไม่ได้เข้าง่าย เข้าไปเป็นพนักงาน ไปเป็นคนจัดรายการได้มีรายการของตัวเองมันไม่ง่าย โทรทัศน์แต่ก่อนมันมีแค่ 2 ช่อง อาตมาเข้าไปทำงานนั้น มีช่องที่ 2 หรือยังไม่รู้ ดูเหมือนจะยัง เพราะอาตมาไปเข้าตั้งแต่พ.ศ.ที่ช่อง 5 ช่อง 7 ของทหารเขา …เกิดกันหรือยัง.. อาตมาเข้าทำงานที่โทรทัศน์ทำตั้งแต่ยังเรียนหนังสืออยู่ตั้งแต่พ.ศ 2498 เปิดโทรทัศน์ช่อง 4 เดือนมิถุนายน สถานีโทรทัศน์ ของประเทศไทยแห่งแรกคือช่อง 4 เกิด อาตมาสมัครก็ได้ไปทำงานโทรทัศน์ หาลำไพ่ตั้งแต่ปลายปี 98 แล้วก็ทำมีลำไพ่มาเรื่อยๆ จนกระทั่งผู้ใหญ่ในนั้นคือ คุณจำนงค์ รังสิกุล หัวหน้าฝ่ายจัดรายการ ก็ยอมรับในความรู้ในฝีมือในความสามารถที่จะทำงานโทรทัศน์จัดรายการได้ จึงอยู่ฝ่ายจัดรายการได้ แล้วอาตมาก็จะไปจัดรายการทำงานทางโทรทัศน์หาลำไพ่มาจนกระทั่งเรียนจบแล้ว ตอนสมัครก็ไปบอกคุณจำนงค์ว่า จบแล้วจบเพาะช่าง เขาก็บอกว่าทำงานที่นี่ไหมล่ะจะทำงานก็เขียนใบสมัครเท่านั้นเอง เขียนใบสมัครเข้าไปทำงานเลย เพราะทำงานอยู่แล้วรายการก็มีอยู่แล้วก็ทำต่อไปเลย ก็เป็นพนักงานบริษัทไทยโทรทัศน์ โดยไม่ได้เข้ายากเข้าเย็นอะไร แต่คนอื่นเขาเข้ายากเย็นมากเพราะมีโทรทัศน์ช่องแรกของประเทศไทยอยู่ช่องเดียว เท่ห์โก้ ยิ่งได้ออกรายการจัดรายการโผล่หน้ามาแสดงตัว เขาเรียกกันดารงดารา อะไรก็แล้วแต่ มันก็โอ้โห..เท่ห์เสียไม่มี แต่อาตมานี่ทำงานโทรทัศน์ทำสารพัด ทำงานรายการที่คนเขาไม่ค่อยทำ รายได้ค่ารายการถูกมาก อาตมาค่าตัว 80 พวกคนที่ทำรายการค่าตัวของเขาร้อย 120 ค่าตัวของดารา 150 ของอาตมา 80 แต่ของอาตมา คุณทำ 80 เราทำ 2 รายการก็ได้ 160 วะ อ้าวจริง เพราะอาตมาทำรายการเยอะและอาตมาไม่เคยด้อยกว่าดาราเด่นๆ ดาราเด่นๆไม่ได้เท่าอาตมาหรอก ไม่ได้เท่าจริงๆ ดาราดังๆรุ่นเดียวกัน อาตมาขี่รถติดแอร์คันแรกของประเทศไทย ก่อนใครหมดเลยก่อนเพื่อน ก่อนดาราไหนหมดเลย (มีภาพ insert คันนี้เป็นชบาบานเรียกว่าเสือทะยานชน มันชนแหลกหน้าบู้หน้าบี้ ไม่เคยซ่อม ไม่ซ่อม ตั้งตัวเท่มีหมวกโคบานใส่เปิดประทุน ) เราก็เท่ไปอีกแบบ มีรถฟอร์ดคันที่ดีมอนสเตทเลยเรียกว่า Ford corsair ใหม่รุ่นใหม่ เป็นรถรุ่นนำหน้ากระบวนการแล้วก็ติดแอร์ แอร์มันไม่ได้ติดมาในตัวของรถนะ เป็นแอร์ต่างหาก เราก็ใส่ติดแอร์ มันยังไม่ Complete ไดนาโมของรถมันก็ชาร์จไม่พอ รอบไม่ถึงอะไรต่างๆนานา แต่ก็ติดแอร์ เป็นรถติดอยู่กลางถนน รอบมันไม่พอ เครื่องก็ดับตายเข็นกันอยู่กลางถนนบ่อย โอ้โห..โก้มากใหม่มาก คนอื่นเขาไม่ได้ติดแอร์ เราติดแอร์แล้วก็เพิ่งมาใหม่ๆ แต่ต้องเข็นกลางตลาดกลางถนน อันนี้เรื่องจริงนะอาตมาไม่ได้พูดเล่น อาตมานี่อายุยัง 20 กว่า 30 ตอนนั้นยัง 30 หรือยังไม่รู้ขี่รถคอแซร์ติดแอร์คันแรก ของประเทศไทย ของบริษัทแองโกลไทย ซึ่งคนอื่นยังไม่มีจริงๆเป็นครั้งแรก แต่ไม่มีใครทำสถิติไว้ อาจจะมีคนทำสถิติแต่ไม่เปิดเผยออกมา ถ้าเปิดเผยออกมา อาตมานี่แหละ เพราะอยู่ในประเทศไทยเราก็รู้บริษัทรถยนต์มีอย่างโน้นอย่าง ไอ้นี่มันรถ Ford corsair บริษัท แองโกลไทย.. ก็อย่างนี้แหละ ดูๆแล้วมันก็รู้สึกว่า มันนำหน้าอยู่เหมือนกันนะ นำหน้าโลก แต่เรื่องประหลาด มันจะวัดสูงก็ไม่สูง แต่ว่าต่ำก็ไม่ต่ำมันยังไงไม่รู้ อาตมานี้เป็นคนมีสูงมีต่ำอยู่ในตัว มันเป็นคน สองในหนึ่ง หนึ่งในสอง ซึ่งคำว่า 2 ใน 1 1 ใน 2 นี้เป็นสุดยอดความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าแล้ว 2 คือ รูปนาม ปรุงแต่งกันขึ้น ถ้ารู้ก็เรียกว่า อายตนะ ถ้าไม่รู้ก็เรียกว่า สังขารมันปรุงแต่งกันเป็นสังขาร คนไม่รู้ก็อวิชชา พอมีวิชชาก็รู้ว่าสังขารนี้มันก็คือธาตุรู้ตัวสำคัญเป็นประธาน มันปรุงแต่งกับเหตุปัจจัยดินน้ำไฟลมสังขารร่างกายก็มีวิญญาณเป็นเจ้าของ วิญญาณเป็นธาตุ 2 ธาตุรูปนามปรุงแต่งกันขึ้นเรียกว่าอายตนะ อ้อ อายตนะนี้ก็แยกไปเป็นมันต้องมีผัสสะ ถ้าไม่มีผัสสะไม่เกิดอายตนะ รูปไม่มีนามไม่มีรู้ นามไม่มีรูปสัมผัสกัน ก็ไม่มีรู้ รู้อยู่ในตัวเองอยู่ในภพภูมิที่ไม่มีใครรู้เรื่องด้วย ถ้ามีผัสสะก็รู้เรื่องด้วยรู้จักสิ่งที่สัมผัสเกี่ยวข้อง เกี่ยวข้องกับคนอื่นที่มีสัมผัสเหมือนกันกับเรา เช่นไอ้นี้มะระนะ ภาษาไทยเรียกว่ามะระ ภาษาอะไรอื่นอัตโนมัติไม่รู้ ภาษาเจ๊กเขาเรียกอะไร ภาษาจีนเขาเรียกอะไร ภาษาอังกฤษเขาเรียกอะไรไม่รู้ รู้แต่ภาษาไทย มีประโยชน์มีโทษอะไรก็ว่ากันไป ก็ขยายความออกไป จนกระทั่งชอบหรือชัง สุขหรือทุกข์เป็นเวทนา เพราะฉะนั้นความเป็นเวทนานี้จึงเป็นแกนหลัก เป็นกรรมฐาน เรียนรู้กรรมฐาน กรรมฐานที่จะต้องเรียนก็คือ เวทนาในเวทนา แยกเป็น 108 แยกเป็นมโนปวิจาร 18 แล้วก็ทำให้ มโนปวิจาร เป็นความฉลาดปัญญา รู้จักเหตุปัจจัยที่มันเป็นกิเลสปรุงแต่งแล้วเอามันออกเอามันออกจนหมดได้ จนสะอาดสะอ้านเลย มโนปวิจาร ทำได้ทุกเหตุปัจจัยที่เป็นความจริงเมื่อกระทบสัมผัส เป็นปัจจุบันชาติ กิเลสเกิดตัวจริง ถ้ามีตากระทบรูป ก็เป็นของจริงเป็นความจริง ถ้าไปนั่งหลับตาไม่มีความจริง มีแต่อดีตกับอนาคตไม่มีปัจจุบัน ปัจจุบันเท่านั้นเป็นความจริง เพราะฉะนั้นเมื่อเราจะดับกิเลสก็ต้องดับกิเลสที่มันเกิดสัมผัสแล้วมันเกิดกิเลสจริงๆ ไปหลับตาแล้วมันเป็นแต่อดีตกับอนาคต แล้วก็นึกว่าเป็นกิเลส มันมีแต่ความจำ มันไม่มีความจริง มีแต่ความจำในอดีต เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่พฤติกรรมที่เรียกว่าวิจาระของมโน ที่เป็นปัจจุบันเป็นความจริง มันไม่มีพฤติกรรมของอาการของกิเลสจริง มันต้องมีผัสสะ มันต้องมีปัจจุบันชาติ จึงจะเกิดพฤติกรรมของจิต ของวิจาระ เกิดจริงๆแล้วก็จับตัวจริงนี้มาเรียนรู้แยกวิเคราะห์ ธัมมวิจัย เห็นตัวกิเลสได้ มีความรู้เจโตปริญาณ 16 ว่าอย่างนี้เรียกว่าราคะ อย่างนี้เรียกว่าเรียกว่า โมหะ ทำยังไงมันจะลดราคะ ลดโทสะ ลดโมหะเรียกว่า วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ ทำยังไง อ๊อ ทำอย่างนี้ทำอย่างนี้ทางนี้ลดลงได้อย่างนี้ ตระกูลศรัทธาก็เป็น สังขิตฺตํจิตตํ ลดลงไปได้ แต่ก็ยังตีไม่แตก แข็งเป็นก้อนยังทื่ออยู่ พอฝ่ายสายฟุ้งซ่าน สายปัญญาก็เป็น วิกขิตฺตํจิตตํ ของใครของมันก็ทำให้มันเจริญให้ได้ให้เรียนรู้กิเลสตามตระกูลของตนเอง ศรัทธาก็ตามปัญญาก็ตามพระพุทธเจ้าก็ชัดเจนว่าคนมี 2 ตระกูล อย่างนี้ ก็เรียนรู้ของตนของตน เมื่อทำให้มันเจริญได้ก็เป็น มหัคตะ ทำให้เจริญยังไม่ได้ก็เป็น อมหัคตะ ทำให้รู้จักกิเลส ตีแตกกิเลสตัดกิเลสให้ได้ฟุ้งซ่านก็ดับกิเลสอย่างฟุ้งซ่าน อย่างพวก ถีนมิทธะพวกเกาะแน่น กิเลสก็รู้ได้ยากตามประสาของ ถีนมิทธะ หรือ สังขิตฺตํจิตตํ ถ้าสามารถลดกิเลสไปตามลำดับ รู้กิเลสด้วยปัญญาอันยิ่ง ปัญญาเป็นธาตุรู้ที่ยิ่งใหญ่มีพลังมีฤทธิ์ ในตนเองเรียกว่ามโนมยิทธิ มโน คือจิตนี่แหละ บวก อิทธิ มโน แล้วก็มยัง ตนเอง มโนมยิทธิ มีฤทธิ์ มีเดชในปัญญาหรือญาณเป็นวิปัสสนาญาณ เป็นอย่างที่รู้ที่เห็นของจริงต้องสัมผัสมี วิปัสสนา รู้ความจริงของความเป็นจริงแยกกิเลสออกได้ แล้วก็เกิดปัญญาจริงเรียกว่าญาณ ญาณ เกิด จริงนี่แหละมันมีฤทธิ์มีเดชทำให้กิเลสกลัว กิเลสนี่กลัวพลังงานเรียกว่าปัญญาหรือญาณ กิเลสนี่มันกลัว พระพุทธเจ้าถึงชี้หน้ากิเลสและกิเลสมันก็หายไป พระพุทธเจ้าเป็นคนที่มีวิชชาหรืออย่างยิ่งใหญ่ที่สุด กิเลสมันไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะฉะนั้น คนที่มีปัญญามากๆก็จึงมีอำนาจเพิ่มขึ้นมีอิทธิวิธญาณ จาก มโนมยิทธิ ก็เป็น อิทธิวิธญาณ หรือหลากหลายวิธี แต่ว่าหลากหลายวาไรตี้ ไดเวอร์ซิตี้ มันหลากหลายเยอะขึ้นเรียกว่า อิทธิวิธญาณ ญาณที่มีมโนมยิทธิมากขึ้นจนละเอียดไปเป็นโสตทิพย์ นี่อธิบายวิปัสสนาญาณ 8 เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนเป็นโสตทิพย์ คือรู้ได้ละเอียดได้ไกล รู้ได้ยากแต่รู้ได้ มีญาณที่จะรู้ได้ละเอียดได้มาก รู้ได้ลึก รู้ได้ไกล รู้ได้กว้าง ในสิ่งที่มันรู้ยากก็รู้ได้ง่ายขึ้นด้วยความเป็นโสตทิพย์ ทิพย์ มันคือ มันเจริญ มันรู้ได้มากรู้ได้ละเอียด เจริญอะไร ก็เจริญโดยสูตรของเจโตปริยญาณ 16 คือ 1. สราคจิต (จิตมีราคะ) 2. วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ) 3. สโทสจิต (จิตมีโทสะ) 4. วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ) 5. สโมหจิต (จิตมีโมหะ) 6. วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ) 7. สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) . 8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด) 9. มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น) 10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น) 11. สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ เหนือความรู้ของสามัญ เป็นจิตที่เป็นโลกุตตระเป็นจิตที่เหนือกว่าโลกสามัญแล้วมันก็ดีขึ้น จะดีกว่านี้ยังมีอีก) 12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) 13. สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว) 14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์) 15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) 16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) . (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 135) อาตมาอธิบายอย่างเอาสภาวะมาอธิบาย ไม่ได้อธิบายอย่างตำราอย่างพยัญชนะที่เขาเรียนแต่มันก็ชี้สภาวะไม่ผิดหรอก ยืนยันว่าอาตมาก็อธิบายเป็นสภาวะที่ถูกต้อง ใครเคยฟังแล้วฟังเข้าใจก็จะเห็นว่าอธิบายอย่างเก่านั่น แต่มันอาจจะมีพยัญชนะต่างๆที่มันมีประกอบต่างกันไปบ้าง แต่ขยายความเป็นสภาวะแท้ ตรงหมด ผู้สามารถทำได้ถึงขั้นจิตหลุดพ้นจากกิเลสเป็นวิมุตแล้วก็ตกผลึกๆ มีจิตตั้งมั่นเรียกว่า สมาหิตะ คือ ความเป็นสมาธิของพระพุทธเจ้า ความตั้งมั่นของจิตพระพุทธเจ้า ซึ่งคำว่าสมาธินั่นแหละ เป็นคำเก่าแต่มันเพี้ยนไปเหมือนคำว่าปัญญาของพระพุทธเจ้า สมาหิตะ สมาธิของพระพุทธเจ้าก็เคยใช้แต่มันเพี้ยนไปท่านก็เลยตั้งใหม่ว่า สมาหิตะ เสร็จแล้วผู้ที่สามารถทำให้เป็นจิตตั้งมั่นเพราะจิตมันหลุดพ้นจากกิเลสตั้งมั่นได้อย่างถาวร นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เป็นตัวประธาน เป็นจิตสะอาดบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นตัวเจตสิกตัวสำคัญตัวสุดท้ายของฌาน 4 อุเบกขา ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา หรือขยายมากกว่านั้นก็ได้ ปริสุทเธ ปริโยทาเต มุทุภูเต กัมมนิเย ถีเต อเนญชัปปัตเต มีจิตตั้งมั่นจิตไม่หวั่นไหวก็ขยายได้ ผู้ที่ไม่ได้ติดยึดในพยัญชนะ จะบอกว่าพูดพยัญชนะไม่เหมือนอาจารย์เราก็ได้ จะต่างกันก็ได้ อาตมาขยายความได้พอรู้บาลีบ้าง พอรู้ความหมายของบาลี บ้างก็เอามาสื่อพยัญชนะเอามาสื่อ ใช้พยัญชนะสื่อสภาวะ ถ้าไม่มีพยัญชนะสื่อมันก็เลยไม่รู้จะรู้ร่วมกันได้อย่างไร มันต้องมี อธิวจนสัมผัสโส มันถึงจะรู้ร่วมกันได้ถ้ามีแต่ ปฏิฆสัมผัสโส สัมผัสของตัวเองมีอยู่ข้างใน รู้เองอยู่ข้างในคนเดียวไม่มีพยัญชนะออกมาสื่อ พูดกันไม่รู้เรื่องหรอก สื่อกันไม่ได้เลย รู้ของใครของมัน ต้องอาศัย เพราะฉะนั้น ปฏิฆสัมผัสโส ต้องอาศัย อธิวจนสัมผัสโสนำมาสื่อถึงผู้คนนั้นแล้วก็เรียนรู้จากพยัญชนะเป็นตัวสื่อไปหาสภาวะ แล้วก็แก้ไขสภาวธรรมจิตเจตสิกต่างๆ ผู้ที่สามารถมีจิตที่เป็นตัวตั้ง เป็นประธาน ทำจิตให้สะอาดได้จากกิเลส คนนั้นก็อยู่กับโลกอยู่กับมนุษย์อยู่กับสังคม มีพฤติกรรมทางกายวาจาทางใจ ไม่มีกิเลส ไม่มีตัวตนไม่มีความเห็นแก่ตัว รับใช้สังคมเป็นนักการเมืองก็ตาม เป็นนักเศรษฐกิจก็ตาม เป็นนักสังคมก็ตาม เป็นคนที่ไม่มีกิเลส ดีหมด ทำงานเศรษฐกิจก็ดี ทำงานการเมืองก็ดี ทำงานสังคมก็ดี รับใช้ประชาชนดี ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เรียนรู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน เรียนรู้อย่างนี้จริงๆ จะมีความรู้มากความรู้น้อยก็ตาม มีทฤษฎีของพระพุทธเจ้า แล้วศึกษา เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ที่มีความรู้แกนหลักพุทธศาสนา ยังเป็นมวลของคุณธรรม เป็นมวลของความรู้ เป็นมวลของศาสนา ตั้งแต่ตั้งประเทศมา คือพุทธศาสนา พระเจ้าแผ่นดินเป็นพุทธมามกะทุกพระองค์ เพราะฉะนั้นเมืองไทยจึงมีศาสนาอื่นๆเข้ามาตีไม่แตก ศาสนาอื่นพยายามเข้ามาแทรกแซงตั้งแต่สมัยพระนารายณ์มหาราช พยายามมาจนกระทั่งบัดนี้ก็ตีไม่แตก พุทธศาสนิกชนก็ตั้ง 90% ขึ้นไปอยู่ตลอด เพราะคนมาตั้งรกรากไม่ใช่จะเป็นศาสนาอื่นมา ปลูกฝังจนกระทั่งกลายเป็นคนไทย แต่ศาสนาอื่นก็ได้อยู่อย่างนั้นแหละ ขยายไม่ออกมากกว่านั้นหรอก เพราะว่ามวลพุทธศาสนิกชนมันก็มีอัตราการก้าวหน้าแบบพุทธ ศาสนาอื่น อาตมาไม่ต้องกล่าวนาม เขาก็พยายาม ขอเป็นรกรากเป็นคนไทยไปแล้วแต่ก็ขยายไม่ทัน อัตราการก้าวหน้ามวลของชาวพุทธมีก้าวหน้ากว่าเพราะมีมวลมากกว่า เพราะฉะนั้นศาสนาอื่นยังมียังไงก็ก้าวไม่ทันเพราะศาสนาพุทธไม่เสื่อม มันมีฤทธิ์ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) เพราะฉะนั้นการเมืองก็จึงเป็นการเมืองของพุทธ โลกุตตระจะเสื่อมลงก็ตาม ก็ยังมีเชื้อของโลกุตระ แล้วยิ่งในยุคนี้ มีพระเจ้าแผ่นดินที่เป็นโพธิสัตว์ รัชกาลที่ 9 เข้ามาสถาปนา แล้วอาตมาก็ร่วมมาด้วยสถาปนา ในหลวง ร. 9 ทรงงานทางรูปธรรม อาตมาก็ทำทางนามธรรม เกิดอยู่ในสังคม อาตมาพูดนี้พูดอย่างไม่ได้ละอาย ไม่ได้เกรงใจ ไม่ได้กลัวใครจะว่าผิด ขอยืนยันว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่จริง เกิดจริงเป็นจริง ก็ต้องมีอย่างนี้อยู่ในประเทศไทย เป็น Born To Be ไม่ได้พูดเล่น ต้องเกิดต้องเป็นอย่างนี้ มันจึงมีของจริงที่เป็นโลกุตระที่เกิดขึ้น คนก็ได้อานิสงส์ ได้รับความรู้อันนี้โดยปริยาย ตั้งใจเอาก็ยิ่งได้มาก ยังไม่ตั้งใจเอาก็ไม่เป็นไร มันก็จะต้องมีการออสโมซิสอยู่ในนี้ จนมีพฤติการณ์พฤติกรรมของการเป็นการเมือง เป็นเศรษฐกิจหรือเป็นเรื่องของสังคมก็ตาม เกิดจริงเป็นจริงอยู่ในมนุษยชาติคนไทยที่เรียกว่าแบบพุทธ แบบโลกุตระด้วย มันเสื่อมไป 2,500 กว่าปี พอยุค 2,500 กว่าปีมีในหลวงกับอาตมาเกิดมาก็สถาปนากันขึ้นใหม่ มีคนถามมาว่า จะเจริญขึ้นใหม่ จะเสื่อมไหม ไม่เสื่อมหรอก โลกุตรธรรมก็นับวันจะเจริญขึ้น ถ้าอาตมาคนเดียวก็อาจจะช้า แต่มีในหลวง ร. 9 อีกองค์หนึ่ง ที่ได้ทรงโลกุตตระ มันก็ไปกันได้ เพราะว่ามันอันเดียวกัน เช่น สอนให้คนมาจน การเมือง สอนเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจ ก็พยายามประพฤติการเมืองเศรษฐกิจให้พาคนไปรวย มันโอเวอร์ พาให้คนพออยู่พอกินก็ถูกต้อง ที่ในหลวงท่านตรัสว่าเอาพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่เศรษฐกิจเวอร์ๆ เพราะฉะนั้นผู้ที่จะเข้าใจลึกๆ เข้าใจลึกซึ้ง นักเศรษฐศาสตร์ยังเข้าใจไม่ได้ว่า จะทำให้คนรวย รวยทั้งประเทศ ขี้หมาแน่ะครับ มีที่ไหนจะทำให้คนรวยทั้งประเทศได้ โม้ทั้งนั้น อเมริกันมีคนจนไหม ประเทศไหนที่ว่าเจริญๆมีคนจนไหม มันไม่มีหรอกและคนจนจะมากกว่าคนรวย มีประเทศไหนคนรวยมากกว่าคนจนบอกมา ไม่มี บอกมาสิ พูดดังๆด้วยนะ ไม่กลัวมันผิดเพราะมันถูกใช่ไหม ทีนี้ถ้าเป็นนัยยะที่เป็นนัยยะทวนกระแส ให้มาเป็นคนจน เป็นนักการเมืองจนๆ เป็นนักเศรษฐศาสตร์จนๆ เป็นนักสังคมจนๆ แต่เข้าใจโลกเข้าใจอัตตาเข้าใจธรรมะ เข้าใจประโยชน์ที่เป็นไปเป็นประโยชน์แท้ เป็นประโยชน์ที่ได้ทำให้คนสุขสงบดีสบาย เข้าใจกว้างไปถึงขนาดโลกานุกัมปายะ เข้าใจจริงๆแล้วทำอย่างนั้นจริงๆให้มันเกิดประโยชน์ ทำให้เกิดอายะ 3 ให้เกิดเป็นอธิปไตยให้เกิดเป็นพลังเป็นอำนาจ อธิปไตยคือพลัง คืออำนาจ อำนาจให้เกิด หิตะ อำนาจให้เกิดความสุข อำนาจให้เกิดช่วยเหลือเกื้อกูลมวลมนุษย์โลก ขยายออกไปถึงขั้นนอกโลกถึงขั้นนอกประเทศก็ว่าไปไม่ใช่นอกโลก เดี๋ยวมันจะไปสตาร์วอร์ นอกประเทศไทยไปช่วยเขา เพราะฉะนั้นเมื่อเราเข้าใจสาระแก่นสาร รู้จักแก่นสารสาระ หรือเรียกว่า เครื่องอาศัย ที่เป็นเครื่องอาศัยของชีวิต ปัจจัย 4 ของความเป็นมนุษย์ สำคัญที่สุดยิ่งกว่าทรัพย์สินเงินทอง อาวุธ หรือเครื่องประเทือง เครื่องอาศัยกินใช้ปัจจัย 4 สำคัญยิ่งกว่า ศาสนาพุทธชัดเจนมาก เพราะฉะนั้นถ้าคนไทย เข้าใจว่า อ๋อ..เรามาทำพืชพันธุ์ธัญญาหารที่เป็นอาหารเป็นเครื่องอาศัย มาทำเครื่องนุ่งห่ม แต่เครื่องนุ่งห่มทุกวันนี้ก็พอเพียงแล้วง่ายแล้ว อาหารนี่ต้องกินทุกวัน กินแล้วก็หมด กินแล้วก็กลายเป็นขี้ เป็นหนึ่งในโลกอาหาร กวฬิงการาหารนี่แหละ เพราะฉะนั้นจะเป็นเครื่องนุ่งห่ม จะเป็นที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค รองทั้งนั้น กวฬิงการาหาร อาหารกินคำข้าวเป็นหนึ่ง เรามาทำงานสร้างสิ่งเป็นหนึ่งในโลก ให้ได้มากๆให้ได้คุณภาพดีๆ เลี้ยงโลกทั้งโลก คุณอย่าไปสร้างอาวุธ อย่าไปสร้างสิ่งมอมเมา สิ่งประเทืองอะไรมาให้เสียเวลา เลย มาทำอันนี้เถอะ ไม่ต้องขาย ผลิตขึ้นมาแล้วไล่แจกไปทั่วโลกเลย จะอยู่รอดไหม คุณมีสิ่งนี้กินแล้วไม่มีตาย แจกเข้าไปเถอะ ไม่มีแลกเปลี่ยนเข้ามา คุณก็มีสิ่งกินแล้วนี่ ชีวิตคุณอยู่ได้แล้วนี่ ยารักษาโรคก็ใช้พืชพันธุ์ธัญญาหารนี่แหละเป็นยา แล้วก็ใช้พืชพันธุ์ธัญญาหารนี่แหละเป็นอาวุธ เรียกด้วยภาษาง่ายๆเท่ๆว่า อาหาราวุธ ไม่มีในคำพยัญชนะในบาลีหรอก โพธิรักษ์พูด อาหาราวุธ อาตมาก็เพิ่งนึกได้วันนี้เอง พวกคุณคงเพิ่งเคยได้ยินกันเดี๋ยวนี้วันนี้ อาหาราธิปไตย เพราะฉะนั้นชาวโลกุตตระ ชาวพุทธนี้ จึงรู้ สิ่งที่เราไปเสียเวลาสร้างอาวุธสร้างเครื่องมอมเมา สิ่งมอมเมาต่างๆเลิกมา สิ่งประเทืองต่างๆเลิกมา เข้ามาสร้างสาระ โดยเฉพาะเข้ามาสร้างอาหารกัน เพราะฉะนั้นถ้าเมืองไทย คนไทยเข้าใจอันนี้ มาเป็นนักกสิกรรม เป็นกสิกรแข็งขัน กระดูกสันหลังของชาติแน่นอน กระดูกสันหลังนี้เป็นโครงสร้างค้ำชีวิตไว้เลย ประเทศชาติไม่มีกระดูกสันหลังเสียแล้วแย่เลยนะ กลายเป็นปลิงเลย งูมันยังมีกระดูกเลย โอ้แย่เลย ปลิงมันคอยดูดคอยเกาะคนอื่นไปหมด ตายๆๆๆ แต่เรานี่กระดูกสันหลังค้ำจุนโลกเลย ค้ำจุนโลกเลย ไม่ใช่ค้ำจุนแต่ประเทศ ที่พูดนี้ดูมันเล็กๆดูมันง่ายๆดูเหมือนไม่มีอะไร แต่จริงนะ เพราะฉะนั้นอาตมาเคยพูดมาแล้วว่า ถ้าประเทศไทยนะ ให้ค่ากสิกร ให้เหรียญตรา ให้ตำแหน่งยศศักดิ์ แต่นั่นแหละมันจะหลงเหลิงกันอีก แต่ก็พยายามสอนกันสิว่าอย่าไปหลงเหลิง แม้เขาจะให้เกียรติให้ยศก็ตาม มันก็เป็นอะไรอันหนึ่งเท่านั้น ไม่ต้องไปหลงเหลิง แล้วทำให้ยิ่งๆ ให้มีปริมาณและมีคุณภาพที่เจริญยิ่งๆขึ้น อย่างที่อาตมาพูดไม่ไช่พูดเล่น ไล่แจกไปเลย แทนที่จะขายเอาราคาโก่งราคาแพง แจกพอมันเหลือ ถ้าไม่แจกมันก็จะเสีย เดี๋ยวนี้โลจิสติกส์ก็ดีมากแล้ว การขนส่งอะไรๆก็โอ้โห..สบายแล้วเดี๋ยวนี้ มีรถไฟหัวกระสุน หัวจรวด บรรทุกส่งทางเครื่องบิน ทางโดรนเลย ไม่เอาก็ไปโรยให้ ทิ้งมันอยู่นั่นแหละ ก็มันเหลือเฟือ จริงๆ คนต้องเอาเพราะไม่ใช่ของเสียเป็นของดี แล้วมันจะรู้กันไปทั่วโลกเลย พูดเหมือนเพ้อเจ้อนะ เพ้อพก แต่มันมีแนวทาง ไม่ใช่เพ้อพก ทำไปตามลำดับ _สู่แดนธรรม… มันมีความเป็นไปได้ครับ เพราะไม่มีประเทศไหนคิดอย่างนี้ พ่อครูว่า… เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าวผู้บริหารประเทศไทยถ้าเห็นความสำคัญในกสิกร เห็นความสำคัญของกสิกรรม พยายามพัฒนากสิกรรมของเรา ให้เจริญ ๆ เอาเถอะ สิ่งอื่นอาศัยในชีวิตบ้าง อุตสาหกรรมนั้นเราไม่เก่งอยู่แล้ว ก็ยอมรับสิ เราก็ไม่เก่งอันนี้ แต่เราเก่งอันนี้ เราก็ทำอันนี้ให้ยิ่งขึ้นเพราะมันเป็นของแท้อยู่ใน ภูมิประเทศของประเทศไทย เป็นโซนที่ดี ถ้าเผื่อว่าพื้นดินของประเทศไทยมีกสิกรรม และก็มีกสิกรที่รักกสิกรรม ปลูกสิ่งกินสิ่งใช้ แม้แต่ไม้ ต้นไม้ใหญ่ก็สร้างขึ้นให้เป็นของอาศัยส่งออกนอก ช่วยเหลือประเทศชาติอื่นๆที่เขามีน้อยมีด้อย เอาอันนี้เป็นตัวเด่น เอาอันนี้เป็นตัวหลัก อาตมาว่าประเทศไทยจะมีค่ามาก อย่าไปเห็นแก่ไอ้เรื่องเงินๆทองๆธนบัตรอะไรยิ่งใหญ่ เอาสาระสัจจะของสิ่งที่สร้างสิ่งที่เป็นผลผลิต สิ่งที่เป็นสาระแก่นสารของมนุษยชาติ เอาอันนี้สิ ถ้าผู้บริหารประเทศเข้าใจอันนี้แล้ว รู้จักเศรษฐกิจ นักการเมืองจะไปทำงานการเมือง ก็จะต้องรู้เรื่องเศรษฐกิจ แล้วก็จะต้องไปพัฒนาเศรษฐกิจ เศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ก็คือสิ่งที่กินที่ใช้ เมืองไทยไม่ใช่เมืองที่จะต้องไปเก่งทางอุตสาหกรรม เมืองไทยอยู่ในภูมิประเทศที่จะสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารได้ดี น้ำแข็ง หิมะอะไรที่จะทำให้พืชพันธุ์ธัญญาหารไม่ค่อยเจริญเท่าที่ควร ไม่มี อย่างเก่งก็แม่คะนิ้งเท่านั้นเอง หิมะไม่มี นานๆจะมีลูกเห็บ ใครเคยถูกลูกเห็บหล่นใส่หัวบ้าง คนไม่เคยก็คงไม่เคย มันมีฝนมีลูกเห็บ สนุกนะมันร่วงกราวเก็บกินกัน เหมือนน้ำแข็งสดๆมาจากท้องฟ้า น้ำแข็งสะอาด เพราะฉะนั้นเรารู้จักทั้งภูมิประเทศ รู้จักสิ่งที่เป็นอยู่ รู้จักพฤติกรรม สิ่งที่เป็นองค์ประกอบของทุกอย่างเลย ที่เรามีอยู่เราก็ทำอันนั้นให้มันเจริญ และมันเป็นสำคัญของชีวิตด้วยนะ มันสำคัญที่สุดแล้วอาหารคือคำข้าว ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว เพราะฉะนั้นเราพัฒนาอันนี้ ผู้บริหารทั้งหลายฟังดีๆเถอะ ส่งเสริมอันนี้เถอะเป็นเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะต้องมาเสียเวลา เสียทุนรอน เสียแรงงานความรู้ความสามารถไปกับมันแล้วเลือกใหม่ สู่แก่นสาร 3 คืออาหาร สร้างอาหารให้ยิ่งใหญ่ เฉพาะพืชพันธุ์ธัญญาหาร อาตมาไม่ได้เน้นประมง ไม่ได้เน้นปศุสัตว์ ก็เอาเถอะมันก็จะติ่งๆกันไปด้วย จะไปเอียงว่าไม่ช่วยทางประมงบ้าง ไม่ช่วยทางปศุสัตว์บ้างเขาก็เป็นอาหารนะ ก็ช่วยบ้าง แต่เอาอันนี้เป็นเอก ประมงหรือปศุสัตว์เป็นรอง เพราะมันเกี่ยวกับสัตว์และมันมีเรื่องลึกซึ้ง อจินไตย มันมีกรรมวิบาก ถ้าเราไม่ไปสร้างกรรมวิบากกับสัตว์อีกเราก็ทำแต่พืช ขนาดพืชนี้ยังพยายามว่ามันทำให้สัตว์ตายเหมือนกันบ้างล่ะว้า ก็มันทำได้ดีกว่านี้มันมีอีกไหมจะไปทำอะไร พูดถึงกระทั่งมันไม่มีอะไรจะดีกว่านี้อีกแล้ว มีหนังสือใหม่มาแจกด้วย อัฏฐาริยสัจจายุ พวกเราก็อย่างนี้เห็นว่าเป็นประโยชน์ ก็ได้สาระจากหนังสือ ที่เป็นโลกุตระอันนี้ หรือใครจะเห็นความสำคัญในหนังสือที่ไปสร้างโลกียะก็เป็นเรื่องของเขา สมณะฟ้าไท… สรุปจบ Categories: ธรรมะพ่อครู, ศาสนาBy Samanasandin17 กุมภาพันธ์ 2023Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:660215 ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ตอนที่ 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก NextNext post:660220 สัจจะยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติที่เรียกว่าการเมือง รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 12Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024