660206 วิญญาณฐิติ 7 วิโมกข์ 8 อนุปุพพวิหาร 9 สัตตาวาส 9 ตอนที่ 1 รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม ครั้งที่ 11 ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1LZ3N60KjEdfrYjJ3GQrzG3HvqiBzfbrHMmbTUwQr6S0/edit?usp=sharing ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1RHPpDjuzaSxeakycDL7uIpiD5bwGKRHV/view?usp=share_link ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/runcX3kn9Kk และ https://fb.watch/iwIE3q9Zta/ สมดุล 5 ประการที่ทำให้อายุยืนยาว พ่อครูว่า… วันนี้วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก มี 6 เข้ามาตั้ง 3 ตัว แรม 1 ค่ำเดือน 3 ปีเถาะ วันเวลาก็ผ่านไปแล้ว ที่นี้ก็มาพูดถึงเรื่องที่เราจะโอภาปราศรัยกันไป อาตมามีชีวิตยังไม่ตายพูดได้ อาศัยการพูด จากความจริงที่มีเท่าที่มี จากใจจริงออกมา หวังประโยชน์เพื่อประโยชน์ แก่หมู่คนหมู่มนุษย์ทั้งหลาย ทั้งนั้นไม่มีอื่นเลย และก็ไม่ได้พูดเพื่อที่จะหวังได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ แม้แต่ได้ความสุข แต่ความสุขอันสงบ ของอาตมามันมีในตัวมันเอง มันสงบ มันสบาย มันสงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนความเสียสละ ไปเรื่อยๆ ในชีวิต มีชีวิตของหลวงปู่เพิ่มพูนความเสียสละ อย่างไม่มีที่สิ้นสุดเป็นที่สุดของชีวิต ในชีวิตต้องพยายามที่จะทำ 1.ไม่มีตัวตน เข้าใจคำว่าไม่มีตัวตนคืออย่างไร แล้วทำให้ตัวเราเองนี้หมดความเป็นตัวตน ให้ได้จริงๆ ซึ่งทุกวันนี้ก็รู้ตัวแล้วว่าทำได้แล้วไม่มีตัวตนแล้วไม่มีอัตตา มีแต่อนัตตา มีแต่ความไม่ใช่ตัวตน ที่มีร่างมีกายพูดได้กินได้อยู่ได้อะไรได้นี่ก็ อยู่ไป ด้วยพยายามใช้สูตรที่ตัวเองจะรักษาชีวิตให้ยืนยาวไปได้เรื่อยๆ วันนี้ก็ได้สรุปขึ้นมาอีกนิดว่า ชีวิตคนนี่ ถ้ากิน ถ้านอน ขี้ ทำงาน ออกกำลังกาย 1. กิน กินได้ 2. นอน นอนได้ 3. ขี้ ขออภัยนะพูดภาษาไทยๆ ไม่ได้พูดภาษาบาลี ขี้หรืออุจจาระได้ 4. ทำงานได้ 5. ออกกำลังกายได้ กิน นอน ขี้ทำงาน ออกกำลังกายได้ คนผู้นั้นรักษาสมดุล 5 ประการนี้ได้อายุยืนแล ฟังทวนอีกเที่ยว ไปนอนกินขี้ไม่ดีหรอกมันแย่ กิน นอน ขี้ ทำงาน ออกกำลังกาย ผู้รักษาสมดุล 5 ประการนี้ได้ อายุยืนแล ที่ว่ากินนี้คนเรามันกินมากไปมันกินติดอร่อยไปกินติดหลงค่านิยมไปกินติดตะกละ อิ่มแล้วท้องอีกแล้วปากมันยังอยาก กิเลสยังอยากกินขึ้นไปอีก ท้องแตกตาย ดีไม่ดีเป็นภัยแก่ชีวิตร่างกาย โอ๊ พิสูจน์สังคม สาราณียธรรม 6 วรรณะ 9 ในยุคนี้ พูดไปพูดไปอาตมาเข้ามาที่เวที มองเข้าไปอีกที่มีกองพืชพันธุ์ธัญญาหารอยู่ข้างหน้าอาตมา เจ้าประคุณเอ๊ย มันก็อดที่จะนำมาพูดอีกไม่ได้ … ที่ตรงกลางเป็นกะหล่ำปลีหัวกลม มันหันหน้ามาให้อาตมาเห็นชัดเลย กองข้างหน้านี่กอเดียวนะนี่ ทั้งใบใหญ่ ทั้งใบดกกอเบ้อเริ่มเลย มันเป็นตาออนซอนอีหลี ภาษาอีสาน แล้วพวกเราก็อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร บอกว่าพวกเรานี้อาตมาพูดแล้วพวกเราเข้าใจ แล้วก็พยายามพากเพียรกันทำ ทำไปเลยทำให้ทั้งมีคุณภาพดีๆและปริมาณที่มาก มากจนกระทั่งไล่แจก ไล่แจกเลย ในประเทศก็ไล่แจกเลย แล้วก็พยายามที่จะให้คนในประเทศ โดยเฉพาะผู้บริหารประเทศต้องพยายามพัฒนาคนให้เป็นคนเจริญ ให้เป็นคนอาริยะ อย่าไปเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ ให้เป็นคนลดกิเลสเป็นคนเจริญ เป็นพระอาริยะ เป็นอรหันต์ให้ได้ ผู้บรรลุอรหันต์แล้วไม่ใช่จะเป็นคนไม่ทำงาน ไม่ใช่ พระอรหันต์นี่ยอดขยันและไม่สะสม วิริยารัมภะ อปจยะ ปาสาทิกะ ธูตะ สัลเลขะ เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) ทำลายกิเลสด้วยองค์ของศีลสูงขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่าธูตะหรือธุดงค์ องค์แห่งความมีศีลเจริญ ปาสาทิกะ มีอาการน่าเลื่อมใสทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ใครพบเห็นก็เลื่อมใส มีความขยันเสมอ สำนวนของท่านสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ ท่านประยุทธ์ประยุทธ์โตท่านแปลไว้ว่าระดมความเพียร ขยันอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นพระอรหันต์จะขยันอยู่เสมอแล้วไม่สะสม แล้วมีอาการที่น่าเลื่อมใส และกิเลสไม่ต้องทำแล้ว ธูตะก็จบแล้ว ขัดเกลาก็ไม่มีแล้วใจท่านพอ 0 ก็พอ แล้วก็เป็นผู้ที่มักน้อยไม่มีอะไรมากๆมีแต่แค่พออยู่พอกินได้ไป ไม่สะสมอะไรด้วย บำรุงง่ายแน่นอนท่านจบแล้ว เลี้ยงง่ายแน่นอน เป็นคนที่มีวรรณะ 9 อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆเลย เพราะฉะนั้นคนที่มีวรรณะ 9 ดังว่านี้แล้วสอนให้คนอื่นมีวรรณะ 9 ด้วย คนที่มีวรรณะ 9 จึงเป็นคนที่บรรลุธรรมสุดยอด แล้วมาอยู่รวมกัน เมื่อมาอยู่รวมกันก็เป็นสังคมสาราณียะ เป็นสังคมที่อยู่กันอย่างมี 6 องค์ สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม อยู่กันอย่างสาธารณโภคี ลาภที่ได้มาโดยธรรม ลาภธัมมิกา ลาภที่ได้มาโดยสุจริตโดยธรรมก็เอามารวมกับกองกลางไม่สะสมเป็นของตัวเอง เสียภาษี 100% อย่างที่เคยพูดเคยอธิบายแล้ว ทำงานฟรีแล้วอาศัยอยู่กับกองกลาง ไม่ว่าจะเป็นผลผลิตรายได้เป็นเงินเป็นทองเป็นธนบัตรที่เขาใช้กันได้มาก็ตาม ได้แล้วก็มารวมกับกองกลาง ตัวเองไม่ต้องสะสม ไม่ต้องกักเก็บให้กองกลางรักษาไว้ได้ก็เบิกเอามาทำงานใช้จ่ายก็เบิกมาใช้มาสอย เหลือก็คืน เอาไปไว้กองกลางไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยไม่ต้องลำบากรักษา กองกลางรักษา เขาจะใส่ธนาคารไว้ ใส่ตู้เซฟไว้ก็แล้วแต่ก็ว่าไป กองกลาง เขาก็มีเจ้าหน้าที่ที่จะดูแลรักษาจับจ่าย อย่างนี้เป็นต้น มีเจ้าหน้าที่ ผู้ใดที่เขาถนัดเหมาะสมก็เป็นเจ้าหน้าที่ทำงานกันไป อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นในสังคมพระพุทธเจ้าเมื่อไปถึงขั้นสาธารณโภคีที่พูดมานี้ ลาภที่ได้โดยธรรมก็เอามาไว้กองกลางใช้กินร่วมกันไม่ต้องสะสม คนชนิดอย่างนี้เสียภาษี 100% กินใช้กับกองกลาง สาราณียธรรม 6 ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา ศีลสามัญตา หมายความว่ามีศีลเสมอกัน คำว่าเสมอคือ เสมอสมานกัน เสมอสมานคืออย่างไร คือแต่ละคนมีศีลตั้งแต่ศีล 5 ศีล 5 หรือศีล 8 ศีล 10 เป็นต้น แล้วมี จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล คือมีศีลของพระพุทธเจ้าที่ท่านบัญญัติไว้แล้วเอาศีลเหล่านั้นมาปฏิบัติกันทุกคน ใครมีศีลน้อยก็สมานอย่างไม่ตีเสมอ สมานอย่างไม่ตีเสมอผู้ที่เป็นศีล 8 เคารพ คุรุกรณะ เคารพผู้ที่มีศีลสูงกว่า ก็อยู่กันอย่างเสมอสมาน อยู่กันอย่างปรองดองอยู่กัน อย่างสมานัตตตา อย่างนี้เป็นต้น สิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าสอนไว้ อาตมาก็เข้าใจสภาวะธรรมในคำสอนและบัญญัติของพระพุทธเจ้าที่เป็นภาษาบาลี เอามาขยายความแล้วก็ให้พวกเราปฏิบัติ พวกเราปฏิบัติได้เป็นสังคมชุมชนที่เป็นสาธารณะโภคี มีสาราณียธรรม 6 มาตั้ง 50 กว่าปีแล้ว คนในโลกแม้แต่ประเทศไทย แม้แต่ในชาวพุทธไทย ก็ยังเข้าใจไม่ได้ดี ต้องใช้คำว่า เข้าใจยังไม่ได้ดี เข้าใจได้บ้างบางคน แต่คนที่ไม่เข้าใจยังเห็นว่า ยังเป็นพวกนอกรีต โพธิรักษ์นี้พาออกนอกรีต มันต้องเป็นอย่างเถรสมาคม ต้องเป็นอย่างกระแสหลักกระแสใหญ่ของคณะใหญ่ ของประเทศไทย พุทธศาสนาคณะใหญ่ของประเทศไทย อาตมาว่าคณะใหญ่นั้น มันเสื่อม มันผิดไปจากธรรมะของพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะใช้คำว่า โลกุตระเป็นตัวยืนยัน โลกุตระคืออะไร ก็อธิบายยืนยันกับชาวอโศกว่าชาวอโศกมีโลกุตะระ แต่เถรสมาคมไม่มีโลกุตตรธรรมมีแต่หลงในลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เป็นทาสลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ยังไม่เป็นอิสระเสรีภาพ จาก ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แม้จะเป็นพุทธ ไม่เป็นพระเจ้า ไม่เป็นทาสพระเจ้าในความหมาย แต่ยังตกเป็นทาสที่เป็นโลกียะอยู่ พระเจ้าหรือศาสนาเทวนิยม ยังเป็นโลกียะ ศาสนาพระเจ้าหรือศาสนาเทวนิยมทั้งหลายแหล่ ยังอยู่ในกรอบของโลกียะ ยังไม่ออกมาเป็นโลกุตระเลย ยังไม่มีความรู้ของโลกุตรธรรม เพราะฉะนั้นจึงมาเป็นโลกุตระไม่ได้ จนกว่าจะได้มาศึกษา จนกว่าจะได้มาเห็นแล้วยินดี จะค่อยๆศึกษาปฏิบัติ ปฏิบัติไปปฏิบัติไปตามศีลและเกิดผลไปตามลำดับ เพิ่มคุณธรรม เพิ่มอปัณณกปฏิปทา 3 มีสัทธรรม 7 อะไรเป็นต้น ค่อยๆเจริญๆไปถึงจะพัฒนาขึ้นไปได้ เป็นศาสนาที่ไม่ใช่ศาสนาที่พิสูจน์ไม่ได้ ไม่ใช่ศาสนาจินตนาการ เช่นศาสนายูโทเปีย หรือ เป็นคำจินตนาการของ Thomas More แต่ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ยูโทเปีย เหนือกว่ายูโทเปีย ไปอ่านดีๆเถอะเหนือกว่ายูโทเปีย เพราะของยูโทเปียนั้นสามารถเป็นได้และสามารถเป็นไม่ได้ก็มี เพราะมันเป็นการสุดโต่งเกินไป ฟุ้งเกินไป เกินที่มนุษย์จะเป็นไป มนุษย์เป็นไปไม่ได้ในนั้นมันก็เลยใช้ไม่ได้ แต่ของพระพุทธเจ้านี้ มนุษย์เป็นไปได้และได้พิสูจน์กับมนุษย์ด้วย มีสูงขึ้นไป ตั้งแต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็มีสังคมสงฆ์ของพระพุทธเจ้า เพราะในยุคโน้นมีข้อจำกัดว่าเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นยุคทาส เป็นยุคที่คนไม่เข้าใจสิทธิมนุษยชนของตนเอง ยังไม่เข้าใจสิทธิของตัวเองเต็มที่ ที่มีสิทธิ์100% ยังไม่ได้ ก็ยังเป็นยุคทาส ยังเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์อยู่อย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นข้อจำกัดในยุคนั้น แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ในยุคโน้นแล้ว ท่านก็เอาคนมาเป็นคณะของท่าน คือเรียกว่าคณะสงฆ์ คณะสงฆ์จึงมีคุณธรรม วรรณะ 9 สาราณียธรรม 6 บริบูรณ์ แต่มีข้อจำกัดที่ว่าจะทำอะไรนอก ถ้าเป็นสงฆ์เรียกว่าเป็นพุทธเป็นภิกษุ แต่ภิกษุนี้จะไปทำอะไรอย่างฆราวาสไม่ได้ทุกอย่าง นี่เป็นข้อจำกัด 1. จะไปปลูกผักปลูกพืชเองกินเอง ไม่ได้ อย่าว่าแต่ปลูกเลย ไปเด็ดจากต้นจากอะไรต่ออะไรไม่ได้ ในพระธรรมวินัยห้ามไว้เลย ในศีลก็ห้ามไว้ พรากพืชไม่ได้จากต้น ภิกษุนี้ไม่ได้ ต้องให้พึ่งฆราวาสเขาให้เขาทำมาให้กิน ต้องเป็นปฏิคาหก ทายก ฆราวาสเป็นทายก ท่านเป็นปฏิคาหก เป็นผู้ที่รับจากฆราวาส จะได้อาศัยกันและกันระหว่างฆราวาสและภิกษุ ผู้บวชแล้วจึงเรียกผู้บวชว่า เป็นภิกษุหรือภิกขุ เป็นผู้ขอ แต่ไม่ได้ไปขอทานหรอก ทำคุณงามความดี ถือบาตรไป บาตร แปลว่าสิ่งที่ตกร่วงลงในบาตร ปาตะหรือบาตร ปาตะ เป็นกริยา จะมีอาหารก้อนข้าว บิณฑะปาตะ บิณฑะ แปลว่า ก้อนข้าว คือ อาหาร ท่านเรียกย่อเป็นก้อนข้าวจะเป็นกับเป็นแกงอะไรก็แล้วแต่หย่อนลงไปในบาตรเรียกว่า อาหารตกลงไปในบาตร ปาตะ แปลว่าตกร่วงลงไปในนั้นเอง โดยที่ท่านไม่ได้ขอจากฆราวาส เขาเห็นดีเห็นงามก็ใส่บาตรให้กิน จึงเรียกว่า ตักบาตร ให้เขาใส่บาตร แล้วเราไปตักเอามา ไม่ได้ไปขอ ตัก ถือบาตร บาตระ เป็นคำนาม คือ ภาชนะที่กลมๆใหญ่บ้างเล็กบ้าง ถือไปแล้วเขาก็ใส่ แล้วก็เอาแต่พอกิน เอามาอย่างนี้เป็นต้น อ้าวเดี๋ยวจะขยายความเกินไปก็เข้าสู่เนื้อหาซะบ้าง อโศกเป็นนานาสังวาส ประกาศหมู่ที่เป็นพุทธแท้ เนื้อหาที่อาตมาอยากจะพูดก่อนจะถึงวัน อัฏฐาริยสัจจายุ คือ จะถึงวันอายุของอาตมา 88 ปี 8 เดือน 8 วัน ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 พ.ศ.นี้แหละอีกไม่กี่วัน วันนี้วันที่ 6 แล้ว อีก 7 วันก็ถึงวันที่ 13 อาทิตย์หนึ่งพอดีเลย แต่งานมีวันที่ 11 12 13 จัดงาน 3 วัน งานฉลอง อัฏฐาริยสัจจายุ ซึ่งอาตมาไม่เที่ยงไม่แท้ไม่แน่ไม่นอนว่าจะไปที่สันติอโศกไปฉลอง แต่เสร็จแล้วหลายๆอย่างอาตมาเห็นว่า สรีระร่างกายด้วย ก็เลยจะถนอมร่างกายด้วยพวกเราเข้าใจก็เลยบอกไป อย่าให้อาตมาไปเลย อาตมาอยู่ที่ราชธานีนี้ มันสมบูรณ์ทั้งสิ่งแวดล้อม อากาศ ความเป็นอยู่ ความชินแล้ว ที่จะเป็น routine รูทีน เป็นกิจวัตรต่างๆนานามันลงตัวหมดแล้ว จะให้อาตมาต้องไปที่ไหนแล้วไปอะไรไหม ก็ไม่ใช่ที่ใหม่ทีเดียวหรอก แต่มันก็จะต้องไม่ใช่ที่เราจะทำเป็นกิจ แต่ที่นี่เป็นกิจวัตรทุกวันเป็นเดือนเป็นปีหลายปีแล้ว ก็อยู่ที่นี่ก็แล้วกัน ที่นี่พวกเราทุกคนชาวอโศกก็เข้าใจ ก็เลยยอมให้อาตมาฉลองอยู่ที่นี่แหละ ฉลองได้ เดี๋ยวนี้มันมีซูม มีถ่ายทอดโยงถึงกันทั่วทุกที่ ทุกแห่งเปิดซูมในวันเวลาเดียวกัน วันเวลาที่เรานัดหมายกันแล้วก็เอาเลย โยงใยถึงกัน จะต่อมาพูดถึงกันก็ได้อีกอะไรอีกทั้งนั้นเลย ทุกคนเข้าใจก็เลยอาตมาก็จะฉลองอยู่ที่นี่ ซึ่งเขาก็จัดอะไรต่ออะไรไว้อย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งสถานที่ ทั้งโปรแกรม ก็ดูอาตมาก็ยังไม่รู้ทีเดียวว่าทั้งสถานที่และโปรแกรมมีอะไรบ้าง จะพาเดิน อาตมาใช้คำว่าเดิน Adventure เดินวิบาก ต้องมีการพากเพียรสู่ที่ลำบากบ้าง ก็ไม่ลำบากอะไรมากหรอก เขาก็ไปดูที่แล้วให้เดินประมาณ 3 กิโลเมตร มีที่ของเราเข้าไปในป่า ที่ของเรามีทั้งที่เป็นป่าอยู่ มีถนนอะไรพอเดินได้ในบ้านราชเรา ก็ไม่ได้ไปเดินที่ของใครหรอก เขาก็วางแผนกัน อาตมาก็ไม่ได้ไปซักซ้อมกับเขาเลย ให้เขาซักซ้อมกันแล้วถึงวันนั้นอาตมาก็ไปเดินไม่มีปัญหาอะไร ก็เป็นไปตามพวกเราที่คิดว่า อะไรดีอะไรมันควร มันจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม จะเป็นประโยชน์ต่อตน จะเป็นประโยชน์ต่อทุกๆคนเท่าที่จะเป็นไปได้เราก็ทำ คือ คนที่มันมีความไม่เห็นแก่ตัวแล้ว หมดตัวตน ไม่มีตัวตน เรียกว่า อนัตตา ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีตัวตนแล้ว เป็นคนพึ่งตนได้ เป็นคน อัตตาหิ อัตโน นาโถ คนไม่มีตัวตนนี่แหละเป็นคนพึ่งตนเองได้แล้วไม่ต้องไปพึ่งใคร อัตตาหิ อัตโน นาโถโกหินาโถ ปโรสิยา นอกจากตนแล้วจะไปพึ่งใครได้ นี่ของพระพุทธเจ้า โกหินาโถปโรสิยา ตนเป็นที่พึ่งของตน นอกจากตนแล้วอย่าไปหวังพึ่งใคร พึ่งตนให้ได้ เพราะฉะนั้น ในระบบวิธีของพระพุทธเจ้าแม้มาเป็นภิกษุแล้วพึ่งตนได้เพราะเป็นคนดี มีอาการที่น่าเลื่อมใส ฆราวาสพุทธศาสนิกชนเขาเลี้ยงไว้ โดยเราไม่ต้องไปทำงาน อาชีพที่จะต้องปลูกผัก ปลูกพืชอย่างที่กล่าวผ่านมาแล้ว เราทำความดีนั้นหนึ่ง ทรงความดีไว้ แล้วก็บอกสอนอธิบายคนอื่นให้เข้าใจ ให้เขาปฏิบัติตาม เจริญมาเป็นอาริยะ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ขึ้นให้ได้เรื่อยๆ ส่วนใครจะบำเพ็ญอรหันต์เกินเป็นโพธิสัตว์ วันนี้จะยังไม่พูดเรื่องโพธิสัตว์ อรหันต์ สูงกว่าอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ระดับ 5 6 7 8 จะยังไม่พูด เพราะฉะนั้น ผู้ที่ปฏิบัติตามธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นการพิสูจน์คน ความเป็นคนกับความเป็นสังคม ที่เจริญสูงสุดแล้ว เจริญสูงสุดอย่างไร เจริญสูงสุดคือ พระพุทธเจ้านี่ใช้ชีวิตของพระองค์ เกิดตาย ตายเกิด เกิดตาย ตายเกิด เกิดตายตายเกิด เกิดตายตายเกิด จนรู้ว่าจิตวิญญาณมนุษย์นี้มันมีการ rebirth มันมีการตายเกิดเกิดตายตายเกิด จนกระทั่งรู้ว่าแล้วจะให้ตายไม่เกิดได้ไหม พระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ ได้ ตาย กายสเภทา ปรัมมรณา สุญญตา ตายเป็นครั้งสุดท้ายสูญสลายเลย สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน ไม่ต้องมีอีกต่อเลยโดยตายอย่างสูญแล้วไม่ต้องตั้งนิมิต ไม่มีนิมิต ไม่มีการตั้งจิตอะไรเพิ่มอีกเลย สูญ ปล่อยตัวให้หมดตัวตน สลายจิตนิยามก็แยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย หมดธาตุรู้ของความเป็นตัวตนอย่างสนิทหมดเลยไม่เหลือความเป็นชีวะ แม้แต่เป็นพืชก็ไม่ใช่ เป็นดินน้ำไฟลมไปเลย นี่คือความตรัสรู้หรือความค้นพบที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบความรู้นี้ และความจริงอันนี้ ปฏิบัติได้พิสูจน์ได้ตั้งแต่ 2,500 กว่าปีมา พิสูจน์ได้ และทีนี้มันมาเสื่อมในเมืองไทยมันเสื่อมผ่านมา 2,500 กว่าปี มันเสื่อมตามที่พระพุทธเจ้ามีคำพยากรณ์เอาไว้ใน อาณิสูตร ว่าศาสนาพุทธจะเสื่อม โลกุตระจะเสื่อม คนที่มาพูดโลกุตระในยุคที่มันเสื่อมเขาจะไม่ฟัง เหมือนอย่างอาตมามาเกิดในยุค 2,500 มันเสื่อม เพราะฉะนั้นเขาจะไม่ฟัง ศาสนาพุทธที่เขาถือว่าเขาเป็นเจ้าศาสนาพุทธเลย อย่างเถรสมาคมเป็นต้น เขาก็จะพูดเลยว่าเขาเป็นเจ้าศาสนาพุทธ อาตมาก็ไม่แย่งหรอก ให้เขาทำไปเถอะ อาตมาไม่ไปแย่ง อาตมาจะทำสัจธรรม แต่โดยสมมุติให้เขาเป็นเจ้าศาสนาพุทธกับชาวโลก ให้เถรสมาคมนี้นำพาบริหารศาสนาพุทธไป เป็นคณะใหญ่เลย ส่วนอาตมานี้ขอแยกมาเป็นคณะเล็ก นานาสังวาสประกาศออกมาตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม ก็เป็นอิสระตั้งแต่ 7 สิงหาคม 2518 เป็นนานาสังวาสมา แล้วก็นำพามาเรื่อยๆ นี่คือดำเนินตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น อาตมาไม่ได้ออกนอกธรรมวินัย เป็นนานาสังวาสก็เป็นของพระพุทธเจ้า แต่ว่าเถรสมาคมไม่เข้าใจ อาตมาประกาศนานาสังวาสตั้งแต่วันที่ 6 สิงหาคม 2518 ตอนแรกประกาศแล้วเสร็จ อาตมาก็ดำเนินของอาตมาไป วันร้ายคืนร้ายพวกเขาคิดยังไงก็ไม่รู้ จะมาดึงอาตมากลับเข้าไปในเถรสมาคมอีก เขาจะต้องครอบครองจะต้องบริหารอาตมา อาตมาบอกว่าเขาแยกแล้วต่างคนต่างอยู่ นานาสังวาสคือต่างคนต่างอยู่ แต่ก็เป็นพุทธร่วมกันเรียกว่าสังวาสเดียวกัน แต่แตกต่างกัน ศีลแตกต่างกัน การประพฤติปฏิบัติแตกต่างกัน การที่จะรู้จักธรรมรสต่างๆนานา คนละเรื่องกัน อันนี้เป็นโลกุตระ อันโน้นเป็นโลกียะ หรือเขาจะแย่งคำว่าโลกุตระก็ไม่เป็นไรภาษาของเขา แล้วเอาคำว่าโลกียะมาให้อาตมา เอาคำว่าโลกุตระ ไปก็ไม่ว่าแย่งพยัญชนะไป เพราะอาตมารู้ว่าสภาวะเป็นอย่างไร สภาวะของโลกุตระเป็นอย่างไร เป็นวิมุติรส เป็นธรรมรสอย่างอาริยธรรมคืออย่างไร โสดาบันคืออย่างไร สกิทาคืออย่างไร อนาคาคืออย่างไร อรหันต์คืออย่างไรโพธิสัตว์คืออะไร อาตมาระดับ 7 ไต่ไปสู่ระดับ 8 เป็นอย่างไร อาตมามีจริงรู้จริง ก็พูดความจริงทุกอันไม่ได้โอ้อวดอะไร พูดความจริงให้ฟังทั้งนั้น แต่คนไม่เข้าใจอาตมาไม่มี สาเฐยจิต อะไร เขาหยั่งรู้ใจอาตมาไม่ได้ อาตมาไม่มีกิเลสอยากโอ้อวด มีแต่พูดความจริงตามความเป็นจริง เอาความจริงมาพูดให้คนอื่นเข้าใจ ให้คนอื่นเข้าใจได้ก็มาปฏิบัติตามสำเร็จผลตามกันมาอย่างที่มันเป็นหลักฐานยืนยัน เป็นชาวอโศก ก็มีมวลเท่าไหร่ซึ่งไม่มีใครเช็คสถิติว่า ชาวอโศกจริงๆมีเท่าไหร่ สักวันหนึ่งก็คงจะมีคนที่เขาจะตรวจสถิติพวกนี้บ้าง ก็แล้วแต่ อาตมาก็ไม่ไปกังวล ไม่ไปเสียเวลากับสิ่งเหล่านั้น มีหน้าที่ที่จะทำงานพวกนี้ ก็มีเวลาอยู่แล้ว แค่นี้ก็ทำได้วันๆ อาตมาอายุปูนนี้ก็ทำได้ประมาณนี้ ก็นอนมากอยู่ แต่ละวันแต่ละวันก็นอนมาก แม้แต่เวลากินก็พยายามกินให้มันได้ปริมาณที่พอควร กินยาก เพราะมันไม่ได้กินอย่างคนที่มีกิเลส ไม่ได้กินอย่างคนที่มีความเอร็ดอร่อย กินก็กินคืออาหารก็พยายามทำ ก็บอกให้เขาทำมาดีๆให้มายั่วให้อาตมาอร่อยหน่อยนะ จะได้กินได้ง่ายๆจะได้กินได้คล่องๆจะได้กินได้มากๆได้เต็มที่ แต่ถ้ามันไม่มากพอ มันก็ไม่พอที่จะสังเคราะห์ร่างกาย ให้มันสมดุล ให้มันอยู่ได้ถ้วน มันก็จะเหี่ยวลง ซีดลง ไร้เรี่ยวแรง เนื้อหนังมันก็จะลดลง ไม่แข็งแรงพอ สรุปง่ายๆ อาตมาก็ยังอยากให้แข็งแรงเพิ่มเติมอยู่ เพื่อจะอยู่ พวกเราก็เรียกร้องให้อาตมาอยู่ อาตมาก็เห็นว่า อาตมาอยู่แล้วไม่เป็นโทษเป็นภัยกับใคร นอกจากคนที่มองผิดมองว่า อาตมาเป็นโทษเป็นภัย อาตมาขอยืนยันว่า อาตมาไม่มีโทษไม่มีภัย มีแต่คุณค่าประโยชน์อย่างเดียว นี่ก็พูดความจริงอีก ไม่ได้โอ้อวดไม่ได้หลงตัวหลงตนอะไร ผู้บรรลุอรหันต์คือผู้ที่มีประชาธิปไตย 100% เพราะฉะนั้นในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ จนกระทั่งมาเป็น อยากจะพูดตรงนี้วันนี้ จนกระทั่งมาเป็นศาสนาหนึ่งในโลก ศาสนาในโลกของพระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้นี้ที่อาตมาอยากจะนำมาพูดก็มี วิญญาณฐิติ 7 วิโมกข์ 8 อนุปุพวิหาร 9 สัตตาวาส 9 7 8 9 9 จะได้นำมาขยายความ เคยพูดเกริ่นมาหลายทีแล้ว ก็ว่าจะใช้การอธิบายตอนนี้ไปเรื่อยๆ ส่วนวันที่ 11-12-13 นั้น อาตมาเตรียม ประชาธิปไตยแบบไทย โดยเฉพาะ เรื่องประชาธิปไตยแบบไทย อยากจะใช้คำว่า หนึ่งเดียวด้วยซ้ำไป แต่ไม่อยากพูดเท่าไหร่ ประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะ ไม่ใช้คำว่าหนึ่งเดียวในโลกเพราะมันไม่ดีรู้สึกว่าจะเป็นอัตตาใหญ่เกินไป เอาแค่แบบไทยโดยเฉพาะนี่ก็ดีแล้ว ซึ่งมันก็ไม่เหมือนใคร ไม่เหมือนประชาธิปไตย โดยเฉพาะประชาธิปไตยของชาวเทวนิยม ประชาธิปไตยตะวันตก ประชาธิปไตยอเมริกา ไม่เหมือน แม้แต่ประชาธิปไตยอังกฤษ เพราะอังกฤษก็เป็นชาวเทวนิยม จะมีคนที่เป็นพุทธบ้างก็ไม่มีน้ำหนักอะไรเลย เป็นชาวศาสนาพระเจ้า อังกฤษก็ตาม ซึ่งเขาเป็นต้นแบบของประชาธิปไตย ของพระพุทธเจ้านั้นเป็นประชาธิปไตยมา จะว่าไปแล้วน่าจะก่อนประเทศอังกฤษด้วยซ้ำเพราะ 2,500 กว่าปีพระพุทธเจ้ามี เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยของพุทธก็แล้วกัน ประชาธิปไตยแบบพระพุทธเจ้าไม่เหมือนใคร เป็นยังไง อย่างไทยเป็นอยู่ ทุกวันนี้ไทยเป็นประชาธิปไตยแบบพุทธ ประชาธิปไตยแบบเฉพาะของไทยไม่เหมือนใครในโลก กำลังเจริญๆ ขึ้นอยู่ พูดอย่างนี้ขอพูดอย่างนี้ ประชาธิปไตยไทย ในไทยอโศก ประชาธิปไตยของชาวอโศกที่เป็นคนไทยจริงๆ ไม่หนีไปไหน และจะสถาปนาประชาธิปไตยไทยอยู่ในนี้แหละ ส่วนประชาธิปไตยในคณะบริหารประเทศ หรือในนักรัฐศาสตร์ไทย เขาก็เข้าใจความเป็นประชาธิปไตยตามความรู้ของเขา นักรัฐศาสตร์หรือนักบริหารที่เขาเป็นนักการเมืองอยู่เดี๋ยวนี้ เขาก็นำพาประชาธิปไตยตาม Concept ของแต่ละคนแต่ละคน มันยังไม่ใช่เป็นโลกุตระเหมือนอย่างชาวอโศก เพราะพลเมืองของชาวอโศก ประชากรของชาวอโศกนั้นมีภูมิของโลกุตระแท้ๆ มากที่สุด มีผู้ที่มีเต็ม 100% เช่น อาตมา เป็นต้น 100% ถือว่า ผู้บรรลุอรหันต์คือผู้ที่มีประชาธิปไตย 100% ก็ได้ เพราะเป็นอรหันต์แล้ว จะมีคุณสมบัติที่อาตมาเคยพูดไปแล้วใช้บัญญัติภาษาว่าไทยๆ ผู้เป็นอรหันต์แล้ว อรหันต์ คือ 1.อิสระ 2. สบาย 3. สงบ 4. อบอุ่น 5. อิ่มเอม 6. เกษมใส 7. ใจเกื้อกูล 8. เพิ่มพูนความเสียสละ นี่คือคุณธรรมคุณวิเศษเลยที่ผู้ที่เป็นอรหันต์ขึ้นไปสมบูรณ์แบบและมีแต่จะเจริญยิ่งขึ้นยิ่งขึ้นไม่มีที่สิ้นสุด เป็นการเจริญไม่มีที่สิ้นสุดเลยในความเจริญของกุศล ไม่สันโดษในกุศล แม้แต่บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้าเองท่านยังตรัสไว้ว่าท่านไม่สันโดษในกุศล หมายความว่าไม่พอ กุศลนี้ไม่มีวันพอ เพิ่มไปได้เรื่อยๆ ไม่ทำแล้วความไม่ใช่กุศล อกุศลไม่ทำ อกรณะ หรือเป็นบาปไม่ทำ สัพพปาปสอกรณัง (ไม่ทำบาปทั้งปวง) เพราะฉะนั้นกรรมที่พระอรหันต์ทำขึ้นไปจึงมีแต่กรรมดี กรรมชั่วไม่ทำเด็ดขาด ไม่ทำแล้ว ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เที่ยงแท้ อวินิปาตธรรม นิยตะ มีแต่จะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ สัมโพธิปรายนะ เรื่อยไปเลย สูงขึ้นอย่างไม่มีที่สุดที่สิ้น จะเกิดมาอีก สมมุติว่าพระพุทธเจ้ายังไม่ปรินิพพานเป็นปริยสารก็จะสูงในการเป็นคนขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ท่านสูงจนไม่มีใครไล่ทันแล้ว ในประดาคนนี้ไม่มีใครจะสูงเท่าพระพุทธเจ้า ที่เป็นคนเป็นมนุษย์นะ ที่จะมีความเจริญสูงสุดยิ่งยอดยิ่งใหญ่ที่สุด ที่ท่านเคยตรัสด้วย ผู้ที่จะใกล้พระพุทธองค์จะใกล้ตถาคต ก็ตามไม่ทัน ไม่มีใครใกล้ ในช่วงที่แค่จะใกล้ ผู้ที่เป็นโพธิสัตว์ที่ตามมาอยู่นี้ ยังห่างๆๆ โพธิสัตว์จะใหญ่แค่ไหนก็ไม่มีสิทธิ์ไล่ทันพระพุทธเจ้า นี่เป็นสัจจะที่เข้าใจก็ไม่ง่ายนักเนาะ คือเป็นคนที่นำหน้าเจริญนำหน้าแล้วไม่มีที่สิ้นสุดเลย ชั่วไม่ทำมีแต่ดี ไม่ต้องไปพูดถึงสุขทุกข์ สุขทุกข์นั้นหมดตั้งแต่เป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์นี้หมดสุขหมดทุกข์ นอกนั้นยังมีความเป็นอยู่หรือมีชีวิตก็มีแต่ดีเป็นสมมุติสัจจะไปเรื่อยๆ ปรมัตถสัจจะสุดยอดคือสิ้นทุกข์สิ้นสุขแล้วสมบูรณ์แบบ อย่างถาวรยัง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) อย่างนี้เป็นต้น ที่อาตมาเคยพูดซ้ำซากเอาบาลีมายืนยัน คำตรัสของพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้แล้ว อาตมาก็พิสูจน์ตามพระพุทธเจ้า อาตมาก็มีสิ่งเหล่านี้แล้วจึงพูดได้อย่างแรงแข็งขันมั่นคงไม่เหลาะแหละ ไม่หลุกหลิกเลยเต็มเหนี่ยวเต็มคำเต็มความเต็มที่เต็มใจ เพราะฉะนั้น สัจจะที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้และเอามาสอนคนให้รู้ตาม และมีผู้ปฏิบัติตามได้ มรรคผลได้ จึงเป็นสิ่งที่สุดยอดของความเป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ศาสนาพุทธที่มีธรรมะที่เป็นพุทธธรรมจึงเป็นธรรมะที่สุดยอด ในมวลมนุษยชาติแล้วไม่ว่าในยุคใดๆไหนๆ ถ้ายังมีศาสนาพุทธอยู่ ยอด จนกว่าศาสนาพุทธเอง คนเสื่อมจากศาสนาพุทธ ชาวพุทธเองเสื่อมไปจากศาสนาพุทธเองกลายเป็นศาสนาแก้ ศาสนาแปลง ศาสนาที่ไปเป็นแบบเทวนิยม ไปเป็นศาสนาที่เป็นเทวนิยม เป็นศาสนาที่เป็นไสยศาสตร์ เป็นศาสนาที่ไม่มีนิพพานแล้ว คือมีแต่เดรัจฉานวิชา เดรัจฉานวิชา ไม่ใช่แปลว่า วิชาของสัตว์ แต่แปลว่า เป็นวิชาที่ขวางทางนิพพาน เดรัจฉาน แปลว่าขวาง เป็นวิชาที่มันขวางทางนิพพาน มันต้านทางนิพพาน มันไม่ไปกับทางนิพพาน มันออกนอกทางนิพพานไปเลย จึงเรียกว่า เป็นวิชาที่พาออกนอกทาง นอกขอบเขตบุญ นอกขอบเขตพุทธ พุทธที่แท้ๆ มันนอกไปเรื่อยๆ จนไกล สุดท้ายมันตรงกันข้ามเลย ศาสนาพุทธนี้ เอาไปเอามา สุดท้ายมาเป็นปฏิปักษ์ต่อพุทธเอง กลายเป็นผู้ทำลายศาสนาพุทธเอง จึงเป็นอนันตริยกรรม คนพวกนี้เป็นอนันตริยกรรม เป็นโจรปล้นศาสนาที่ฆ่าไม่ตาย อาตมาอธิบายมาแล้ว แม้แต่โจรที่ปล้นศาสนาที่ฆ่าไม่ตาย พระพุทธเจ้าท่านสมมุติว่า เหมือนพระราชาที่ครองบ้านเมืองแล้วมีโจรมาปล้น ปล้นบ้านปล้นเมืองหรือทำร้ายทำลายเมือง พระราชาก็ให้เอาโจรไปฆ่า ด้วยหอก 100 เล่มเช้าก็ไม่ตาย ถามเจ้าพนักงานว่าเป็นยังไงโจร ก็บอกว่ายังไม่ตายพระเจ้าข้า ก็บอกว่าให้เอาไปฆ่าอีกด้วยหอก 100 เล่มตอนกลางวัน เจ้าพนักงานก็เอาไปแทงด้วยหอก100 เล่มตอนกลางวันอีกก็ไม่ตาย กลับมาเย็นพระราชาพบเจ้าหน้าที่ ก็ตรัสถามอีก เจ้าหน้าที่ก็ทูลพระราชา บอกว่ามันยังไม่ตายพระเจ้าข้า หอก 100 เล่มตอนเย็นก็ไม่ตาย แล้วพระพุทธเจ้าก็ปลายทางเปิดเอาไว้ไม่อธิบายต่อ มาถึงในยุคนี้แบบนี้เลย พวกที่เป็นโจรทำลายศาสนา อาตมาฆ่าด้วยปากหอก หอกอาตมา 100 เล่มตอนเช้าตอนกลางวันตอนเย็น หมดหอกไปไม่รู้กี่ร้อยแล้ว ไม่รู้กี่พันแล้ว กี่หมื่นแล้ว หอกอาตมาหักหมด อาตมาก็เลยกลายเป็นคนหอกหัก โพธิรักษ์หอกหัก สมน้ำหน้าไปฆ่าโจรหนังเหนียว นี่เป็นอุทาหรณ์ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้สอน ลึกซึ้งมาก อาตมาก็จึงไม่หวังจากโจรทั้งหลาย ผู้ใดสมัครใจเป็นโจรก็ต้องเป็นโจรอยู่ ผู้ใดสนใจว่าจะออกจากความเป็นโจรก็เชิญมาฟัง อาตมาสอนคนให้พ้นจากความเป็นโจร โดยเฉพาะโจรปล้นมนุษยชาติ ปล้นชาติ ปล้นศาสนา และยังมีปล้นพระมหากษัตริย์ด้วย ทุกวันนี้ในเมืองไทยมีเห็นไหม มันเลวถึงอย่างนั้นน่ะคนน่ะ เพราะฉะนั้นอาตมาก็จึงมีใจจริง ตั้งใจจริงพยายามที่จะอธิบาย พยายามที่จะยกตัวอย่างนำพาให้ออกจากความเป็นโจร ออกจากความเป็นคนเลวร้าย ทุกวันนี้จอมโจรบัณฑิตมันเยอะมาก คำศัพท์จอมโจรบัณฑิตนี้หมายความว่าเป็นจอมโจรนะ แต่หลอกคนว่าเป็นบัณฑิต แต่ก่อนนี้เราพูดถึงจอมโจรบัณฑิตมาก เพลงจอมโจรบัณฑิต อาตมาเขียนไว้ถึง 10 หมายเลข ก็ไม่ได้ทวนผ่านไป วิญญาณฐิติ 7 วิโมกข์ 8 อนุปุพพวิหาร 9 สัตตาวาส 9 ตอนที่ 1 เพราะฉะนั้น ธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ เข้าสู่เรื่องว่าจะพูด วิญญาณฐิติ 7 วิโมกข์ 8 สัตตาวาส 9 อนุปุพพวิหาร 9 เข้าสู่ตัวแรกวิญญาณฐิติ 7 ในวิญญาณฐิติ 7 มีคำอยู่ 2 คำคือคำว่ากายกับคำว่าสัญญา 2 คำนี้แหละเป็นหลัก เพราะฉะนั้นผู้ที่จะมีสัมมาทิฏฐิในความเป็นกาย สัมมาทิฏฐิในความเป็นสัญญา ไม่วิปลาส ไม่สัญญาวิปลาส ไม่มีทิฏฐิวิปลาส ไม่มีจิตวิปลาส เป็นผู้ที่เที่ยงตรงถูกต้องหมด ผู้นั้นก็จะเป็นคนที่ไม่วิปลาส 4 คือจะไม่วิปลาสว่าเห็นความไม่เที่ยงเป็นความเที่ยง จะไม่วิปลาสว่าเห็นความเป็นทุกข์ว่าเป็นสุข จะไม่วิปลาสว่าสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตน จะไม่วิปลาสว่าสิ่งนี้ไม่น่าได้ไม่น่ามีเลย แต่ไปเห็นว่าน่าได้น่ามีน่าเป็น นี่คือวิปลาสอีก 4 เพราะฉะนั้นผู้ที่สมบูรณ์ด้วยสัมมาทิฏฐิเข้าใจกายสัมมาทิฏฐิ กายสัมมาทิฏฐิข้อแรกคือ พ้น สักกายทิฏฐิ เป็นสังโยชน์ข้อที่ 1 สังโยชน์ แปลว่า เครื่องผูก มันผูกสัตว์โลกเอาไว้ ผูกคนนี่แหละ ผูกตรงไหนผูกทางจิตวิญญาณ เกี่ยวเกาะอยู่กับโลกีย์ หลุดพ้นโลกียธรรมไปไม่ได้ นี่แหละคือเกี่ยวเกาะอยู่กับโลกียธรรม เกี่ยวเกาะอยู่กับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข โลกียสุขยังแยกไปอีกว่า ติดในรูป รส กิน เสียง สัมผัสอยู่ในกามคุณ 5 และอัตตา คือติดในกามและติดในอัตตา ก็เป็น 2 คำใหญ่ๆ พระอรหันต์ก็หลุดพ้นทั้งกาม หลุดพ้นทั้งอัตตา อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นผู้จะพ้นกาม พ้นอัตตาได้ ต้องรู้กาย กายมีภายนอกที่เข้าใจกันดี แต่เดี๋ยวนี้เพี้ยนเป็นภายนอกไปหมดแล้ว แต่กายไม่ได้หมายถึงแต่เพียงภายนอกอย่างเดียว กาย ต้องมีภายในด้วย ขาดกันไม่ได้ คำว่ากายต้องเป็น 2 ต้องมีทั้งภายนอกและต้องมีทั้งภายใน นี่ก็ยากมหาศาลเลย เพราะฉะนั้นผู้ที่จะพ้นความเป็นกายอย่างสัมมาทิฏฐิ จะรู้จักความเป็นกายอย่างสัมมาทิฏฐิ อย่างไม่มิจฉาทิฏฐิอยู่ ยาก ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิกันซะ เดี๋ยวนี้ก็ยังยากที่จะเป็นสัมมาทิฏฐิ ขออภัยอาตมาขอพาดพิงไปถึงความจริง อย่างสายนั่งหลับตา อาจารย์มั่น มหาบัวและคณะนั่งหลับตาปฏิบัติ พวกนี้ไม่รู้จัก กาย มิจฉาทิฏฐิในความเป็นกายอย่างเด็ดขาดแน่นอน เพราะไม่ลืมตาไม่มีภายนอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็มันชัด ส่วนอีกสายหนึ่งลืมตาเป็นสายมหาประยุทธ์หรือสายสมเด็จพุทธโฆษาจารย์หรือสายเถรสมาคม อาตมาก็ไม่แน่ใจว่ามหาประยุทธ์หรือท่านพุทธโฆษาจารย์ ท่านจะพ้นคำว่า สักกายทิฏฐิ หรือยัง ท่านจะเข้าใจคำว่า กายนี้ บริบูรณ์หรือยังสัมมาทิฏฐิเต็มที่หรือยัง อาตมาว่าท่านคงจะยังไม่พ้นวิจิกิจฉา ท่านน่าจะพอเข้าใจบ้าง เพราะฉะนั้นสังโยชน์ 3 ท่านพ้นหรือยัง นี่อาตมาพูดอย่างจริงใจไม่ได้ไปข่มท่านหรอก ขออภัยท่านบวชก่อนอาตมา 3 ปี ขออนุญาตบาตรคำเด้อ ภาษาอีสาน ก็ต้องขออภัยท่านจริงๆ เพราะต้องการพูดถึงวิชาการ พูดถึงความรู้ที่เป็นสัจธรรม โดยที่มีผู้ที่เป็นตัวอย่าง ขอใช้อ้างอิงเป็นตัวอย่าง ท่านอาจจะพ้นแล้วอาตมาไม่รู้ ที่อาตมาว่า ท่านจะรู้หรือไม่รู้ อาตมาเองวิจิกิจฉาก็ได้ คือยังสงสัยอยู่ ว่าท่านจะพ้นหรือเปล่า เพราะอาตมาไม่รู้จริงๆท่านไม่เคยพูด ท่านไม่เคยสาธยายพวกนี้ อาตมาไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยินอย่างที่ท่านสาธยายอย่างสมบูรณ์ อาตมาอ่านหนังสือพุทธธรรมเหมือนกันนะซึ่งเป็น Masterpiece ของท่าน ก็ไม่เห็นท่านขยายรายละเอียดอย่างที่อาตมาพ้นวิจิกิจฉาได้ อาตมาก็ยังสงสัยว่า ท่านพ้น สักกายทิฏฐิหรือยัง เพราะคำว่า กาย คำเดียวนี้มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ คำว่า กาย คำว่าบุญนี้ชัดท่านยังไม่พ้นคำว่า บุญ เพราะท่านยังไปแปล อปุญญะว่าบาป ซึ่งอภิสังขาร 3 คือ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร มันเป็นคุณธรรมของพระอรหันต์แล้ว มันไม่เวียนกลับไปสู่บาปอีกแล้ว แต่ท่านไปอธิบาย อปุญญาภิสังขารว่าเป็นบาป มีหลักฐานอยู่ในพจนานุกรมประมวลศัพท์ของท่านมันผิด ซึ่งแสดงว่าภูมิธรรมของท่านยังไม่พ้นบุญพ้นบาป ยังมิจฉาทิฏฐิเรื่องของบุญแน่นอน ท่านยังเข้าใจบุญนี้เป็นแค่กุศลอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจ ซึ่งมันไม่ใช่ เพราะว่าบุญนี้มันพิเศษเลยมันเป็น One Way Traffic มันเป็นนิวเคลียร์ฟิชชั่น โดยส่วนเดียว เอกังสะ ไปทางเดียวไม่มีโค้ง ไม่มีงอ ไม่มีกลับ ไม่มีวนเลย บุญนี้ทำจบก็สูญหายไปเลย ไม่มารอรับเอาผลของตัวเองด้วย ไม่มีอะไรสะสม นี่ก็ไม่ได้เข้าใจกันได้ง่ายๆ เป็น อจินไตย ไม่ได้เข้าใจง่ายๆ ต้องมาปฏิบัติเอง เช่น เราละโลกอบายมุข มันเป็นโลกที่ต่ำหยาบ ซึ่งท่านสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ ท่านประยุทธ์ ท่านพ้นมาแล้วอบายมุข ท่านตรวจสอบตัวเองได้เลยว่า ท่านไม่ไปเกี่ยวข้องอีกแล้ว อสังสัคคะ ไม่ไปเกี่ยวไปข้อง ไม่ไปเป็นสวรรค์ สัคคะคือสวรรค์ ท่านไม่ไปมีสวรรค์นรกกับอบายมุขทั้งหลายเยอะแยะ อยู่แล้ว อาตมาก็เห็นๆอยู่ว่าท่านมีคุณธรรมอันนี้ ผู้ที่ไม่เกี่ยวกับอบายมุข โดยพ้น วิจิกิจฉา มีหลักเกณฑ์ปฏิบัติโดยเฉพาะศีลพรต พ้น สีลัพพตปรามาส แต่ท่านประยุทธ์นั้นยังไม่พ้น สีลัพพตปรามาส แน่นอนที่สุดอยู่แล้ว แต่วิจิกิจฉาอาตมาก็ไม่ทราบว่าท่านจะพ้นวิจิกิจฉาในสักกายะหรือเปล่า จริงๆ อาตมายังวิจิกิจฉาอยู่ ท่านน่าจะเป็นผู้ตอบอาตมาได้ท่านจะเป็นผู้อธิบายให้อาตมาได้รู้ว่าท่านพ้นหรือยัง แต่ท่านก็ยังไม่เห็นท่านอธิบาย โดยเฉพาะเจาะจงว่า นี่แหละโพธิรักษ์ฟัง ฟังพี่จะพูดเพราะว่าท่านเป็นภันเต ท่านบวชก่อนแม้ว่าท่านจะอายุน้อยกว่า ฟังพี่พูดนะโพธิรักษ์ ท่านพูดมาเลยอธิบายมาให้อาตมาโดยเฉพาะ อาตมาก็จะได้ขอบคุณจริงๆ จะได้รู้ความจริงว่าท่านเอง ท่าน อาสโภ กล้าหาญ แกล้วกล้าอาจหาญว่า ท่านกล้าพูดความจริงกับอาตมาอย่างเต็มปากได้ หรือ จะ debate กัน มาดีเบต เหมือนกับในสมัยพระพุทธเจ้าก็เรียกว่า ไปปักกิ่งหว้าไว้เลย มาโต้วาทะกันมาดีเบตกัน ใครจะชัดเจนกว่ากัน ให้กองเชียร์ฟังแล้วตัดสิน พูดไปแล้วเหมือนเป็นคนท้าทายท้าชกท้าตีท้าต่อยกันขออภัย เอาเข้าเนื้อดีกว่า วิญญาณฐิติยังไม่ไปไหนเลย กายก็อย่างหนึ่ง สัญญาก็อีกคำ 2 คำนี้ในวิญญาณฐีติ 7 หรือในสัตตาวาส 9 มี 2 คำนี้เป็นตัวหลัก ถ้าสัมมาทิฏฐิในคำว่ากาย สัมมาทิฏฐิในคำว่าสัญญาก็จะมาเป็นวิญญาณฐิติ ถ้ายังมิจฉาทิฏฐิอยู่ในคำว่ากาย มิจฉาทิฏฐิอยู่ในคำว่าสัญญาก็จะไปเป็นสัตว์ไม่พ้นความเป็นสัตว์ สัตว์นี่ก็คือมนุษย์นี่แหละที่ยังเป็นผู้ที่ยังไม่ได้นิพพาน ที่ใช้ศัพท์คำว่าเดรัจฉาน คือความรู้ยังขวางทางนิพพาน ตัวเองนี้มีความรู้ไม่พอเป็นมิจฉาทิฏฐิ ถ้าพ้นมิจฉาทิฏฐิแล้วก็จะเจริญขึ้นตามลำดับ วิญญาณฐิติข้อที่ 1 กายต่างกันสัญญาต่างกัน ต่างคนต่าง ต่างกันไปหมดแหละ เอามาพูดไม่ได้เลย มันต่างคนต่างต่างกันไป พูดกายก็ต่างกันสัญญาก็ต่างกันไปหมด พูดกันแล้วไม่รู้เรื่องเพราะต่างคนต่างยึดต่าง คนต่างเข้าใจ ต่างคนต่างถือ มันก็เลยไม่รู้เรื่องกันได้ อันนี้ยกไว้เลยเป็นสัตว์ที่อยู่ในโลกเท่านั้นเองดีไม่ดีก็กัดกันฆ่ากัน ในโลกสังคมประเทศ เขาฆ่าแกงกันกัดกันจะยิ่งใหญ่จะแย่งชิง ไม่มีความเมตตา ไม่มีความอยู่ร่วมกันอย่างสบายอบอุ่น สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใสไม่มี ยืนยันด้วยว่าสังคมมนุษย์ของเขา ชุมชนของเขาไม่เป็นอย่างที่เราเป็นอย่างชาวอโศกเราเป็น ไม่เป็น ไม่อิสระ ไม่สบาย ไม่สงบ ไม่อบอุ่น ไม่อิ่มเอม ไม่เกษมใส ไม่มีใจเกื้อกูล ไม่เพิ่มพูนการเสียสละ มีแต่การที่จะเอาชนะ มีแต่การที่จะเอาได้มาให้แก่ตัวตน แม้ที่สุดแย่งชิงสมบัติวัตถุ แสวงอำนาจ ไม่จบ คนพวกนี้นี่ยังก่อเวรภัย ยังมีวิบากกันอยู่ตลอดกาลนาน ขอผ่าน วิญญาณฐิติ 7 ไปสู่วิโมกข์ 8 มันจะพาดพิงมาถึงวิญญาณฐิติ 7 วิโมกข์ 8 วิโมกข์แปลว่าหลุดพ้น ผู้จะหลุดพ้นวิโมกข์คือหลุดพ้น ผู้ที่จะหลุดพ้นได้ จะต้องสัมผัส จะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย นี่เป็นสำนวนพยัญชนะที่ท่านเรียบเรียงเอาไว้ คือจะต้องสัมผัสวิโมกข์ วิโมกข์มีอะไรบ้าง.. มีรูป มีนาม มีภายนอกภายใน แล้ว ความเป็นสัมมาทิฏฐิกับมิจฉาทิฏฐิ วิโมกข์ข้อ 1 ต้องรู้จักรูปและต้องมีรูปที่จะปฏิบัติโดยการสัมผัสเห็น พยัญชนะบาลีมีแค่ รูปีรูปานิปัสสติ มีรูปและคุณต้องเป็นผู้ที่สามารถเห็นรูปได้ คนตาบอด รู้รูปไม่ได้ ไม่เห็นรูปได้เพราะตาบอด ได้แต่สัมผัสไม่เต็ม ถึงจะศึกษาอย่างไรก็ไม่เต็ม บรรลุอรหันต์สิ้นอาสวะหมดเลยไม่ได้ ผู้ที่จะสิ้นอาสวะหมด ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ถ้าไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายสิ้นอาสวะไม่ได้ เพราะฉะนั้นพวกไปนั่งหลับตาไม่มีกายภายนอก โมฆะ จากการสิ้นอาสวะสุดท้าย โมฆะเลย เพราะฉะนั้นจะต้องเป็นสัตตาวาส 9 อยู่อย่างนั้นแหละ ความเป็นฌานของ สัตตาวาส 9 ความเป็นฌานของมิจฉาทิฏฐิ ความเป็นฌานของเดียรถีย์ เขาก็นั่งหลับตาไม่มีกายทั้งนั้น หรือ ไม่นั่งหลับตาลืมตาก็ตามอยู่ในภพอยู่ในภวังค์ คิด เช่น สายท่านพุทธทาส ว่าง นิ่ง เฉยหรืออย่างหลวงอัตถ์ ว่าง นิ่ง เฉย ก็ยึดสมมุติที่เป็นภพเป็นชาติของความว่าง เป็นลัทธิ ยึด ได้ความว่าง ความว่างอันนี้เป็นนิรมานกาย ความว่างอันนี้เป็นภพเป็นชาติที่สมมุติเอาไว้ในห้วงความคิดเท่านั้น แต่ความจริงเขายังไม่ได้พ้นความเป็นกาย เขายังติดอยู่ในความเป็นกาย ติดในรูปรสกลิ่นเสียง เป็นต้น เอาละ อาจจะลาภยศหยาบๆไม่ติดแล้ว แต่ลาภยศที่มันละเอียดขึ้นไปอีก อย่างท่านมหาประยุทธ์เป็นต้น ยศก็ยังมี ยังอยู่ในยศนั่นแหละ แม้แต่ท่านพุทธทาสท่านก็มียศที่สูงกว่าท่านมหาประยุทธ์เพราะท่านไม่เกี่ยว ท่านเป็นขั้นธรรม ขอให้ท่านเป็นพระธรรมโกศาจารย์ แต่ท่านไม่เคยรับไม่เคยยึดถือว่าท่านอยู่ในตำแหน่งนี้ แต่ท่านมหาประยุทธ์ท่านยังอยู่ในตำแหน่งอยู่ จะบอกว่าไม่รับแต่ก็ยังอยู่ อาตมาก็ยังบอกแล้ววิจิกิจฉาอยู่เหมือนกันว่าท่านหลุดพ้นหรือไม่หลุดพ้น แล้วท่านทำไมไม่ออกมา พระพุทธเจ้าท่านมีลาภยศสรรเสริญ มีสุข มีทุกอย่าง ท่านหลุดออกมาหมดเลย ท่านเด็ดขาดหมดเลยทั้งรูปทั้งนาม พระพุทธเจ้านี่เห็นไหม อย่างอาตมาก็หลุดออกมาทั้งรูปทั้งนาม ไม่ได้ยึดอะไรอยู่อย่างที่ทางเถรสมาคมหรือทางภิกษุเถรสมาคมเขายังยึดถือเขามีกัน ยังมีอย่างโน้นอย่างนี้กัน ยังเป็นพิธีการยังเป็นลาภเป็นยศ แม้แต่นิตยภัตก็ราคาไม่ใช่ถูกๆนะ นิตยภัตก็มีตั้งแต่พระครูไปจนกระทั่งถึงขั้นสังฆราช ซึ่งก็เป็นความจริงที่อาตมาพูดนี้เถียงอาตมาไม่ได้หรอกเพราะมันเรื่องจริง มีหลักฐานยืนยันอยู่เลย พูดได้เต็มปากเต็มคำ ขออภัยนะที่อาตมาต้องพูดความจริงนี้เพื่อความรู้ เพื่อวิชาการ ที่จะต้องชัดเจน เอาขยายความจากวิโมกข์ จากวิญญาณฐิติมาหาวิโมกข์ 8 แล้ว คือจะต้องมีรูปข้างนอกแล้วต้องมีนามธรรมข้างในหรือรูปนามที่ครบเป็นภาวะ 2 ถือว่าต้องสัมผัสวิโมกข์ จะมีวิโมกข์ได้ต้องมีทั้งภายนอกภายในต้องมีกาย ถ้าหลับตาไม่มีกาย เป็นต้น โมฆะ ยืนยันอยู่ในวิโมกข์ ข้อที่ 2 วิโมกข์ข้อที่ 2 คือ อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทา รูปานิ ปัสสติ อาตมาจำได้เพราะอาตมามีสภาวะ ต่อไปอาจจะเลือนได้แต่ตอนนี้ยังจำได้อยู่บาลีมีแค่นี้ในข้อที่ 2 เอโก เอกะ หมายถึงผู้หนึ่งผู้ใดที่มีทั้งภายนอกภายใน พหิทาคือภายนอก อัชฌัตตังภายใน กายต้องมีทั้งภายนอกภายใน ถ้ามีแต่ภายในอย่างเดียวไม่มีภายนอกก็ไม่ได้ ต้องมีพหิทาภายนอกด้วย สัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายอยู่จึงเรียกว่าสัมผัสวิโมกข์ด้วยกาย ตาหูจมูกลิ้นกาย ทวารทั้ง 5 กาม 5 สัมผัสอยู่หลุดพ้นได้ ติดยึดอยู่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) เป็นต้น หรือ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข คุณหลุดพ้นหรือยัง วิโมกข์คือหลุดพ้น ถ้าคุณไม่หลุดพ้น คุณก็รู้ตัวเองว่ายังอยากได้อยากมีอยากเป็น ยังสุขยังทุกข์อยู่กับมัน ยังเอร็ดอร่อยอยู่กับมัน ยังต้องลำบากลำบนทุกข์ร้อนอยู่กับสุขกับมัน อย่างนี้เป็นต้น คุณก็ต้องอ่านอาการของจิต อาการ ลิงค นิมิต อ่านอาการของรูปนามขันธ์ 5 ของคุณ แล้วมันจะไกลมันจะลึกไปถึงรูปนามขันธ์ 5 แล้วลึกไปถึงขั้นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งยังไม่ขออธิบายวันนี้ ผ่านไปก่อน มันจะละเอียดเกิน แล้วมันจะไม่เข้าเป้าที่จะอธิบายอีก 4 อันสำหรับวันนี้ ส่วน 3 วันของงาน อัฏฐาริยสัจจายุ อาตมาเตรียมประชาธิปไตยแบบไทยโดยเฉพาะไว้แล้ว จากวันนี้ไปจนกระทั่งถึงวันงาน เหลืออีก 6 วัน ก็ขอสาธยายเรื่องตรงนี้ ค่อยๆอธิบายเพิ่มเติมไปเรื่อยๆ ขยับขึ้นไปสู่ อนุปุพพวิหาร 9 มี ฌาน 4 อรูปฌาน 4 สัญญาเวทยิตนิโรธ อีกหนึ่งอันเป็นอันที่ 9 เพราะฉะนั้นในความรู้ทั้งมรรคและผล อนุปุพวิหาร 9 คือรวมทั้งมรรคและผลของคนทุกคนที่ต้องรู้ ต่างกันกับวิญญาณฐิติ 7 ตรงที่วิญญาณฐิตี 7 นั้น ไม่มี เนวสัญญานาสัญญายตนะ และไม่มี อสัญญีสัตว์ วิญญาณฐิติ 7 บรรลุที่ สัญญาเวทยิตนิโรธ ยกไว้ในฐานที่เข้าใจ ผู้ที่บรรลุวิญญาณฐิติ 7 จบที่ อากิญจัญญายตนะ แม้แต่ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็ไม่ต้อง ไม่มีความสงสัยคลางแคลง ใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่มี ชัดเจนสัมมาทิฏฐิว่า จบกิเลสหมดเกลี้ยงตรวจด้วยอรูปฌาน 3 อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ จบหมดสามเส้านี้เลย ไม่มีธุลีละอองของความไม่รู้ รู้ครบ จบหมดในนี้เลยในวิญญาณฐิตี 7 จึงเป็นตัวตัดสินที่ครบที่ชัด ที่แม่น ที่ลึก ที่ตรง สมบูรณ์แบบที่สุด ส่วน อนุปุพวิหาร 9 นั้น ก็ไล่เรียงไป บุคคลที่ยังไม่มีสัมมาทิฏฐิครบสมบูรณ์แบบอย่างวิญญาณฐีติ 7 ก็จะมีแม้ เนวสัญญานาสัญญายตนะ คือจะบอกว่า จะว่าใช่หรือไม่ใช่ หนออันนี้ มี ซึ่งน้อยคนนัก น้อยคนนัก ที่จะเป็นวิญญาณฐิติ 7 โดยที่ไม่ต้องมี เนวสัญญานาสัญญายตนะ ส่วน อสัญญีสัตว์ นั้นง่าย ไปนั่งหลับตาไม่มีสัญญากำหนดรู้เลย ไม่ลืมตาออกมาเลยง่าย แต่ เนวสัญญานาสัญญายตนะ มันเป็นอรูปที่ยากกว่า เพราะฉะนั้นจึงมีคนน้อยที่จะคมแม่นชัดรัดเร็ว ตรง เป็นสายปัญญาหรือพุทธิจริต อย่างพระสมณโคดมตรัสรู้เร็ว หรือ ขออภัย อาตมาก็สายพุทธิจริตเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นพระพุทธเจ้าก็ช้าติดขัดบ้าง เพราะฉะนั้น อนุปุพวิหาร หมายความว่า ตามลำดับ มันจะมีตามลำดับของศาสนาที่ปฏิบัติมา ไม่มี อสัญญีสัตว์ แต่มี เนวสัญญานาสัญญายตนะ และมี สัญญาเวทยิตนิโรธ สัญญาเวทยิตนิโรธ กับ อสัญญีสัตว์ มิจฉาทิฏฐิหลับตา มีอสัญญีสัตว์ แล้วไปเข้าใจว่า สัญญาเวทยิตนิโรธ คือ ดับเวทนา ดับสัญญา ใช่ เขาดับด้วยการสะกดจิต ดับ มันไม่ใช่ดับเหตุแห่งกิเลส หมดแล้วจิตก็บริสุทธิ์บริบูรณ์เป็นอุเบกขา 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา มันไม่ใช่.. มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะฉะนั้น สัญญาเวทยิตนิโรธ ถ้าเป็นมิจฉาทิฐิแล้ว ก็ไปเป็น อสัญญีสัตว์ จึงไปเป็นสัตตาวาส 9 อนุปุพวิหาร 9 สัตตาวาส 9 สัตตาวาส 9 มี อสัญญีสัตว์ มี เนวสัญญานาสัญญายตนะ แต่ไม่มี สัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะไปเข้าใจ สัญญาเวทยิตนิโรธ ผิดเป็น อสัญญี เพราะฉะนั้นสัตตาวาส 9 ตั้งแต่ฌานที่ 1 ,2 ,3 ,4 จึงเป็นมิจฉาฌาน แล้วไปจบที่ อสัญญีสัตว์ ส่วนอากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ ของ สัตตาวาส 9 เนวสัญญานาสัญญายตนะ จึงเป็นเรื่องของนิรมานกาย เป็นเรื่องของกาย เพ้อพกสร้างเองไปเลยของแต่ละคนแต่ละคน ไม่มีใครรู้ของใคร เป็น อทิสมานกาย คือไม่รู้เห็นของกัน แต่ไปมีอุปาทานหมู่ เป็นสัมโภคกายว่าเป็นอย่างนี้นะอย่างนี้นะ อาตมายกตัวอย่างเหมือนคนตาบอด ชวนคนตาบอดไปดูท้องฟ้า แล้วบอกว่าท้องฟ้าสวย ตาบอดด้วยกันมาแต่กำเนิด ไม่มีใครเคยเห็นท้องฟ้าเลยทั้งหมดตาบอด สวยไหม ตาบอดพูดรับคำ สำนองกัน รับคำกันว่า ใช่ๆ ตาบอดสอดตาเห็น มันไม่เห็นฟ้า ฟ้าสวยขี้หมาอะไร คนตาบอด แต่ตาบอดบอกว่าฟ้าสวยจังเลย ตาบอดคนนี้ก็เห็นบอกว่าใช่ นี่และเรียกว่า สัมโภคกาย พวกตาบอดสอดตาเห็น เขาไม่มี เขาอทิสมานกาย อทิสะ คือ ไม่เห็น ไม่มีใครตาบอดเห็นท้องฟ้าหรอก ไม่เห็นฟ้าหรอก แต่มัน ดันบอกว่า มันเห็นกัน มันก็สร้างภพสร้างชาติว่าเห็นมันสวยอย่างนั้นนี้ก็ว่าไป มันก็อาจจะลึกซึ้งหน่อยนะ เข้าใจไหมเด็กๆ ค่อยๆอธิบายไป นิรมาณกาย สัมโภคกาย อทิสมานกาย เป็นกาย ในห้วงนึกของตัวเอง สร้างตัวตนรูปแบบภาพวิมานของตัวเองไว้เองหมด ในภพของตนเอง ซึ่งมันคิดได้ใช่ไหมมนุษย์มนา มันสร้างภพชาติ สร้างวิมานอะไรของตัวเอง ฝันเพ้ออะไรได้หมด นั่นแหละมันเป็นความเพ้อพกไป นี่คือสภาพ เพราะฉะนั้นสัตตาวาส 9 จบที่ อสัญญีสัตว์ สัตว์ตัวที่ 5 สะกดจิตตัวเอง ไม่มีสัญญาแล้ว จากอากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ ไปถึง เนวสัญญานาสัญญายตนะ นั้น ไม่เป็นของจริงเลย ต่างคนต่าง นิรมาณกายหมดเลย ต่างคนต่างเก๊ เอาเก๊มาคุยกัน เอาเก๊มาพูดกันแล้วรับรองกัน เหมือนคนตาบอดชวนคนตาบอดไปดูท้องฟ้าสวย ต่างคนต่างเห็นด้วยว่าท้องฟ้าสวย ตาบอดสอดตาเห็นทั้งนั้น มันไม่เห็นกันเลย แต่มันก็พูดกันเป็นตุเป็นตะว่าเห็นๆๆ โอ้ย ดีจังเลยวันหลังพามาดูท้องฟ้าสวยอีกนะ ขี้หมาสิ มันตาบอดแล้ว มันสอดตาเห็นได้อย่างไร _สู่แดนธรรม… ช่วงนี้ผมขอแสดงความคิดเห็นสักเล็กน้อย นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ ในธรรมะที่พ่อท่านยกมามีเลข 9 ตรงกันคือสัตตาวาส 9 กับ อนุปุพวิหาร 9 คำมันตรงกันอยู่ แต่ทีนี้ ความที่มีสภาวะต่างกันมันก็ต่างกันโดยมีคำบอกกำกับไว้แล้วว่า อย่างหนึ่งนั้เป็นอาวาส อย่างที่ 2 เป็นวิหาร ถ้ายังเป็นสัตว์อยู่ยังมีสังโยชน์ยังมีการผูกเอาไว้ ยังไม่สามารถหลุดออกไปจากที่ปลูกที่อาศัยอันนี้เป็นอาวาส ส่วนวิหารนั้นเป็นผู้ที่สมาทาน (พ่อครูว่า… อาวาสกับอาศัยต่างกัน อาวาส เป็นที่อยู่ มีเจ้าเข้าเจ้าของ ส่วนอาศัยนั้นเป็นแต่เพียงว่าอาศัยอยู่ ) ตรงนี้แหละคือความต่างกันครับ พ่อครูว่า… อีกทีหนึ่งทีนี้ เข้าไปสู่อนุปุพวิหาร 9 กับสัตตาวาส 9 มีเลข 9 เหมือนกันแต่มันต่างกันโดยพยัญชนะ สัตตาวาส 9 มี อสัญญีสัตว์ เป็นสัตว์ตัวที่ 5 กับสุดท้ายมันมี เนวสัญญานาสัญญายตนะ หมายความว่าเขาจะจบอยู่ได้แค่นั้น เนวสัญญานาสัญญายตนะ หมายความว่ามีอายตนะ คือ มีสภาพ 2 ที่มันรวมมาเป็น 1 แล้ว เขาก็ตัดสินไม่ได้ว่า 2 รวมเป็น 1 นั้น มันใช่หรือเปล่า เนวสัญญานาสัญญา เขากำหนดรู้ลงไปอย่างชัดเจนแน่นอนจบได้จริงๆไม่ได้ เขายังมีลังเลยังมีสงสัย เขายังไม่พ้นวิจิกิจฉาสังโยชน์ เขายังไม่พ้นวิจิกิ ฉานุสัย ไม่พ้น คนพวกนี้ เขายังติดอยู่ตรงนี้ สัตตาวาสจึงมี เนวสัญญานาสัญญ ยตนะ เป็นตัวสุดท้าย เขาไม่ได้ สัญญาเวทยิตนิโรธไม่ได้ เพราะเขาเข้าใจผิดเป็น อสัญญีสัตว์ แล้ว สลับไปอีก เขาเข้าใจเอาความเป็นสัตว์ตัวที่ 5 มาเป็นสัตว์ตัวที่ 9 หรือ เป็น สัตว์ ตัวที่ 6 ที่ 7 ซึ่งผิดทั้งนั้น เป็นสัตว์ตัวที่ 6 ก็ดี ตัวที่ 7 ก็ดี ตัวที่ 8 ก็ดี แม้ที่สุดตัวที่ 9 นับ อสัญญีสัตว์ด้วย จบที่ เนวสัญญานาสัญญายตนะ เขาจบอยู่ที่ เนวสัญญานาสัญญายตนะ เท่านั้น เขามี สัญญาเวทยิตนิโรธไม่ได้เพราะเข้าใจผิดเป็น อสัญญีสัตว์ เพราะฉะนั้น ภูมิที่เขาได้ เขาได้แค่ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ซึ่งจริงๆ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็ดี วิญญานัญจายตนะ ก็ดี อากาสานัญจายตนะ ก็ดี อากิญจัญญายตนะ ก็ตาม ที่เขาบอกว่านิดหนึ่งน้อยหนึ่งของกิเลสไม่มีนั้น เขาไม่ใช่ เขาโมเมทั้งนั้น อากาศก็โมเม วิญญาณก็โมเม อากิญจัญ ก็โมเม แต่เขาจบที่ เนวสัญญานาสัญญายตนะ แต่เขาไม่รู้ตัว เช่นเดียวกับ อุทกดาบส เขานั่งหลับตาดับไป ไม่รู้ตัว เขาไม่มี แต่เป็นนึกว่าที่เขานั่งหลับตาหลับสนิทนั่นแหละคือนิโรธ เป็นอสัญญีสัตว์ อุทกดาบส นั่งหลับตาดับ สนิท สัญญา หมดฤทธิ์แรงของสัญญาดับเขาก็จะฟื้นขึ้นมา อุทกดาบส แม้จะมีแว็บฟื้นขึ้นมา เขาก็จะรีบดับของเขาได้ระงับความแว๊บของเขา ในที่เขานั่งหลับตาสะกดจิต เขาสะกดจิตเก่งแว็บดับ ต่างกับ อาฬารดาบส ที่เขาได้แค่ อนุปุพพวิหาร 7 อากิญจัญญายตนะ อาฬารดาบส นั้นดับ ตัวนี้ได้ สนิทเลยไม่แวบ แม้แวบก็ไม่รู้ อาฬารดาบส นี่แม้มันแวบก็ไม่มีธาตุสัญญา เข้าไป กำหนดรู้ตัวแวบนั้นได้ แต่ อุทกดาบส เก่งกว่า ไปรู้ตัวแวบได้ แต่ก็สะกดจิตให้ดับเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นฤทธิ์แรงที่สงบกดข่มของเขาได้เก่งเท่าใดๆ เขาก็จะไปอยู่ในภพนั้นได้นานเท่านั้นๆๆ เขาสะกดได้เก่งมากก็อยู่ได้นานมาก นานมาก เก่งมาก จนกระทั่งพระพุทธเจ้าท่าน พอบรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ที่จริงท่านระลึกของท่านได้ขึ้นมาท่านบรรลุมานานแล้วใต้ต้นโพธิ์ เสร็จแล้วท่านก็ระลึกถึง ท่านก็เป็นพระพุทธเจ้ามาแล้วนี่นะ จะต้องมาสอนคนแล้ว แล้วใครเหมาะจะสอน ก็ระลึกถึงนี่แหละ อาฬารดาบส อุทกดาบส ที่ท่านเคยไปพบตอนที่ท่านเข้าป่าตอนแรก ท่านก็นึกไปผิดไปเป็น ลิงลมอมข้าวพอง อยู่ในป่าหรือ เป็นวิบาก 6 ปีที่ท่านออกป่า เป็น ลิงลมอมข้าวพอง ที่ท่านจะต้องไปผ่านอันนั้น ท่านก็เคยพบ อาฬารดาบส อุทกดาบส ไปนั่งหลับตาแบบ 2 ท่านนี้ ซึ่งท่านก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ เดี๋ยวเดียวท่านก็ทำได้แล้วเหมือนอย่าง อาฬารดาบส อุทกดาบส จนกระทั่งบรรลุแล้ว ทั้งสองก็เลยบอกว่าชวนพระพุทธเจ้ามาสอนคนด้วยกันสิ พระพุทธเจ้าก็เลยบอกว่าอาจารย์อยู่ไปเถอะ ท่านจะโปรดอาจารย์ตอนนั้นก็ไม่ได้ เพราะท่านยังไม่ได้ระลึกของตนเองเลย ของตนเองยังไม่มากพอ ท่านก็ยังไม่คิดจะสอน ว่าจะคิดจะสอนตอนหลังก็เห็นว่าตายไปแล้ว อาฬารดาบส อุทกดาบส ตายไปก่อนแล้่ว ท่านจึงได้อุทานว่า ฉิบหายแล้วหนอไม่รู้จะช่วยกันอย่างไร เพราะอาฬารดาบส อุทกดาบส ก็ยังไม่กลับมาเกิดหรอก แต่พระพุทธเจ้าสมณะโคดมจะปรินิพพานเป็นปริโยสานไปก่อน มันก็จะไปสอนกันได้อย่างไร อีกคนมาเกิด อีกคนปรินิพพานเป็นปริโยสานมันไม่มีทางมาเจอกัน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่อาตมารู้ด้วยภูมิปัญญาที่ได้ผ่านสิ่งเหล่านี้มา รู้และเข้าใจการเกิดการตายอย่างที่แท้จริง จึงเอามาพูดอย่างสบายใจ เข้าใจ เอามาพูดให้ฟังทั้งนั้น เพราะฉะนั้นในความเป็น สัตตาวาส 9 จึงเป็นสัตว์อยู่ตลอด ซึ่งไม่พ้นความเป็นสัตว์ไปได้ เพราะฉะนั้นถ้าผู้ที่ยังปฏิบัติ อนุปุพพวิหาร 9 ก็จะเข้าใจเมื่อสัมมาทิฏฐิแล้วจึงไม่มี อสัญญีสัตว์ แต่จะผ่าน เนวสัญญานาสัญญายตนะ ในอนุปุพวิหาร 9 ตามลำดับ เพราะมันเป็นลำดับที่คนทั่วไปจะต้องเจอ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ภูมิธรรมสามัญทั่วไปปฏิบัติแล้วจะต้องเป็นอย่างนี้ ส่วนผู้ที่พิเศษแล้วไม่ต้องถึง เนวสัญญานาสัญญายตนะ ในวิญญาณฐิติ 7 อากิญจัญญายตนะ ตัวที่ 7 ก็จบแล้ว ไม่มี อสัญญีสัตว์ มี ฌาน 4 มี วิโมกข์ 8 _สู่แดนธรรม… สรุปจบ Categories: ธรรมะพ่อครู, ศาสนาBy Samanasandin6 กุมภาพันธ์ 2023Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:660203 ชนะมารอย่าง ไร้สารพิษ สุจริตแท้ ด้วยพาหุงฯ 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก NextNext post:660208 วิญญาณฐิติ 7 วิโมกข์ 8 อนุปุพพวิหาร 9 สัตตาวาส 9 ตอนที่ 2 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศกRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024