660201 ตอบปัญหาคนตาบอดชวนคนตาบอดไปดูท้องฟ้าสวย พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/15IjZiSBNdhtb0c5rkqnXBGk3WqWZLxPt3NPWLCljwGk/edit?usp=sharing
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1bbuYMM86OtHSYsT-KFnqsK5yP9O84awX/view?usp=share_link
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/A2YuCTbX5PY
และ https://fb.watch/iq6ghEb5KV/
สมณะเดินดิน… วันนี้วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 ที่บวรราชธานีอโศก เดือนนี้เป็นเดือนสำคัญของชาวอโศกที่แต่ละชุมชนแต่ละบวรก็ เริ่มที่จะเข้าสู่วันแห่งความรักของรัก รักพงษ์ ก็ดูแต่ละที่จะมีความหลากหลาย เพราะปีนี้เรากำหนดจัดแบบวาไรตี้ แล้วแต่ความเหมาะสมของแต่ละที่ที่จะทำกัน ลานนาอโศกจัดสูงสุดถึง 8 วัน ส่วนใหญ่ค่าเฉลี่ยจัดอยู่ที่ 3 วัน
ที่บ้านราช ตกลงกันว่าวันที่ 13 ซึ่งเป็นวัน อัฏฐาริยสัจจายุ กำหนดให้วันที่ 13 ซึ่งเป็นวันครบ 88 ปี 8 เดือน 8 วัน พวกเราก็จะพากันตั้งสัจจาธิษฐาน ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงพ่อครูก็จะขึ้นไปอยู่ที่ ภูเฮา พวกเราจะอยู่ข้างล่าง ดูแล้วว่าฤกษ์เช้าจะดีที่สุด ถ้าใช้ฤกษ์เย็น จะต้องติดตั้งแสงอะไรลำบาก ถึงใช้เวลา 8:00 น แต่ก็มีคนต่อรองเวลาอยู่ แต่ประมาณนี้ เวลาสำคัญอยู่ที่ 8 นาฬิกา ขึ้นหรือลงก็ประมาณนี้
ส่วนวันที่ 11-12 ที่บ้านราช พ่อครูคิดว่าจะพาเดิน Adventure เดินไกลเดินให้ถึงสุดที่ สุดที่ของแต่ละคน พ่อครูทุกวันนี้เดินแต่ละวันได้ถึงหมื่นก้าวเลย ใครจะเดินวันนั้นก็ลองซ้อมก่อนจะถึงวันจริง แต่ไม่มีปัญหาหรอก เดินไปจะมีรถไฟฟ้ารออยู่ข้างหลัง ใครไม่ไหวก็ขึ้นรถไฟฟ้าเอา
มีพวกเราไปดูข้อมูลบอกว่า หมอสันต์มีข้อมูลจากหมู่บ้านหรรษา ผู้ชายที่อายุเป็น 100 ปีขึ้นไป เขาเดินวันหนึ่งประมาณ 17,000 ก้าว แต่ผู้หญิงจะเดินเฉลี่ยวันละ 15,000 ก้าว พวกอายุ 100 ปี ดังนั้นพวกเราก็ฝึกไว้หน่อย
ในพระไตรปิฎกมีระบุถึงอานิสงส์ของการเดินจงกรมว่า
ข้อ 1 จะมีความอดทนต่อการเดินทางไกล ในสมัยพุทธกาลไม่มีรถยี่ห้ออื่นนอกจากรถยี่ห้อ ก้าวก้าว ใช้ความแข็งแรงของขาเป็นพาหนะพาไปได้ไกล
ข้อที่ 2 อดทนต่อการปรารภความเพียร เมื่อร่างกายแข็งแรงก็จะสามารถทำความเพียรได้ดี
ข้อที่ 3 เป็นคนที่มีอาพาธน้อย โรคภัยไข้เจ็บมีน้อย อาตมากับท่านจันทร์อยู่ตระกูลเดียวกันคือ Sitting is Killing นั่งนานเท่าไหร่ก็ทำให้ตายได้มากเท่านั้น
ข้อที่ 4 สมาธิจิตตั้งมั่น คือมันจะไม่ฟุ้งซ่าน ความสงบมีมากกว่าในอิริยาบถอื่น
นี่ก็เป็นอานิสงส์ ในวันนั้น ใครจะลองดูหรือใครจะลองก่อน พ่อครูก็เดินอยู่ทุกวันอยู่แล้ว หมอวีระพงศ์เสนอว่า น่าจะมีคนเดินตามพ่อครูมากมาย น่าจะเดินกันเป็น 100 คนเลย เหมือนกับคานธีที่พาเดินกอบกู้อินเดียเลย หมอเห็นความสำคัญของการกอบกู้สุขภาพ
ดังนั้น วัน 88 ปี 8 เดือน 8 วันเป็นวันเริ่มต้นที่เราจะตั้งใจทำสุขภาพกายใจของเราให้แข็งแรง ให้อยู่กันจนได้ฉลองพ่อครูอายุ 100 ปี เป็นสัจจาธิษฐานที่พวกเราจะร่วมใจกันในวัน วันนี้พ่อครูยังมีโอกาสให้พวกเราได้ฟังสัจจะให้ถึงพร้อมของความแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ ขออาราธนาพ่อครูครับ
พ่อครูผู้มากอบกู้ศาสนาพุทธในยุคกึ่งพุทธกาล
พ่อครูว่า… อาตมาอายุ 100 ปีถึงอายุครบ 100 ปีเต็มนี่นะ วันครบ 100 ปี นี่ก็วันที่ 4 มิถุนายนเป็นวันสุดท้าย วันที่ 5 มิถุนายนก็เป็นวันขึ้น 101 ปี เพราะเกิดวันที่ 5 มิถุนายนตอนเช้าตกฟากตอนเช้า 8:00 น
เพราะฉะนั้นถ้าอายุ 100 ปีนี่แหมคงจะสนุก คงจะได้ฉลองกัน มันก็ดูตื่นเต้นพอได้นะ เพราะตอนนี้อาตมาก็อายุ 88 – 89 แล้ว นี่ก็ 88 ปีนับไปจะถึง 89 เมื่อถึง 89 ก็นับ 89 ไปเรื่อยๆจนกว่าจะครบ 90 ปี กว่าจะ 100 ปีก็อีก 11 ปีกว่าๆ กว่าจะถึงอายุ 100 …10 ปีไม่น้อยนะสำหรับคนอายุยาว แต่เด็กๆมันไม่มีปัญหาอะไร 10 ปีแป๊บเดียว แต่ไอ้เรานี้เสื่อม เสื่อมลงมากๆอายุยาวแล้วความเสื่อมมันก็เป็นปฏิภาคทวี
เราก็พยายามโด๊ป พยายามที่จะเพิ่มส่วนที่มันควรจะเสริมเติมได้ก็ว่ากันไป
ก็มันเป็นประโยชน์ อาตมาก็เห็นว่ามันเป็นประโยชน์ ที่ดูก็ยังมีอะไรที่ละเอียดลึกซึ้ง ที่จะต้องสาธยายได้ วนกลับมาสู่เก่า ที่เคยพูดแล้ว หยาบๆ แล้วก็อธิบายละเอียดในหยาบ มันซับซ้อนตีลังกากลับ
ความโง่มันโง่ซ้ำโง่ซ้อน ซับซ้อนแล้วโง่ลงไปอีก แต่นึกว่าตัวฉลาดนะ แต่โง่ลงไปอีก คือมันโง่ซับซ้อน ก็โง่ดักดานลงไปเรื่อยๆ ส่วนพวกฉลาดก็ฉลาดขึ้นไปเรื่อยๆ ซ้อนขึ้นไปเรื่อยๆ หมุนรอบเชิงซ้อนขึ้นไปเรื่อยๆ ไอ้โง่ก็โง่ เหมือนก้นหอย วนขึ้นสูง หากว่ากลับก้นหอยลงมามันก็วนลงต่ำ เหมือนวนกว้างขึ้นๆ บานไม่มีที่จบ โง่ไม่มีที่จบ มันจะบานขึ้นไปเรื่อยๆเป็นก้นหอย ความสูงนี้มันจะค่อยๆเล็กลงเล็กลง สุดท้ายมันจะถึงจุดปลายยอดสุดมันก็จบ 1 หรือ 0 จบได้ เป็นลักษณะที่อธิบายเป็นรูปธรรมได้ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันก็เลยยิ่งห่างกันมาก
ยุคนี้เป็นยุคเสื่อมของศาสนาพุทธในยุคกึ่งพุทธกาล เสื่อมหนักๆ อาตมาก็บอกตัวเองว่าอาตมาเป็นผู้มากอบกู้ ซึ่งมันหมดไปแล้วมันหายไปเลยโลกุตรธรรม มันเป็นโลกุตรธรรม อาตมาเอามาประกาศ
อาตมาถ้าไม่มีธรรมะที่แท้เป็นธัมโม หเว รักขติ ธัมมะจาริง ถ้าไม่มีธรรมรักษาผู้ประพฤติธรรม อาตมาตายไปแล้ว ตอนนั้นจะถูกยิงบนกลางเวทีที่ผ่านเหตุการณ์มาก็ได้ หรือตายไม่เวทีหรอก แต่ที่อื่น มันก็ตายอย่างไรก็ได้
หรือไม่ตายอย่างนั้นก็มาทำงานศาสนานี้ไม่ได้ จะเอาพระไตรปิฎกคำสอนพระพุทธเจ้าซึ่งโชคดีที่เมืองไทยยังยึดถือฉบับพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ ที่พระมหากัสสปะทำมานี่แหละ ดีที่ยังยอมรับพระไตรปิฎกเล่มเดียวกัน มหายานมีพระไตรปิฎกหลายเล่มมากมายเลย ไม่ใช่แค่ 45 เล่ม มากกว่านั้นอีก มหายานบานปลาย เลอะ ดีไม่ดีก็ไปรับคำสอนจากอรรถกถาจารย์ที่เป็นอาจาริยาวาท บานปลายกันไปใหญ่ แม้แต่ในพุทธของไทยเข้าไปรับอาจาริยวาท ไปรับอรรถกถาจารย์
ซึ่งอรรถกถาจารย์ก็มีส่วนถูกบ้างแต่มันมีส่วนผิด มันก็ผิดไปเรื่อยๆเป็นอาจาริยวาท ซึ่งเถรวาทคือคำสอนที่เป็นวาทะของเถระ เป็นวาทะของพระเถระหมายถึง พระผู้ที่เกิดในระดับเป็นพระเถระในยุคพระพุทธเจ้า ได้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ร่วมกันกับพระพุทธเจ้ามาเป็นพระเถระ ในยุคของพระพุทธเจ้า แล้วมาเกิดในยุคนี้
ไม่เกิดในยุคนี้ ก็เป็นผู้ที่เกิดในยุคพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์ ได้ร่วมประชุมอยู่กับพระพุทธเจ้าโดยตรงเลยนั่นแหละ คือพระเถระแท้
เพราะฉะนั้นผู้ที่อยู่ในยุคพระพุทธเจ้า ตายออกมาแล้ว มาเกิดชาติใหม่แล้ว ไม่มีพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นต้น พระเถระนั้นก็เป็นสัตตบุรุษเอง พระพุทธเจ้าไม่อุบัติแล้ว ไม่มีพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นไปพบสัตตบุรุษที่เป็นพระเถระ ที่เป็นผู้รับถ่ายทอดคำสอนตรงมาจากพระพุทธเจ้าเลย แล้วเป็นสัตตบุรุษด้วย เป็นผู้ที่บรรลุระดับ 7 สัตตะนี่ ระดับ 7 ขึ้นไป
ถือว่าระดับ 7 ขึ้นไปเป็นที่รับรองแล้วว่า เป็นที่ผู้ที่อยู่ในรอบ 7 8 9 สามเส้าสุดท้าย อยู่ใน cyclic order ที่จะสำเร็จเสร็จสรรพแล้วก็เป็นผู้ที่สอบได้ ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าได้ ถ้าไม่ถึงขั้นนี้ ระดับ 6 ลงมาก็ยัง ระดับ 5 ระดับ 4 ก็ยังไม่ได้เข้ารอบนั้น
ระดับ 4 เป็นพระอรหันต์ ระดับ 5 เป็นอนุโพธิสัตว์ ระดับ 6 เป็นอนิยตโพธิสัตว์ ยังบำเพ็ญต่อไป ระดับ 7 เป็นนิยตโพธิสัตว์ ซึ่งอนิยตโพธิสัตว์ต้องใช้พลังงานพิเศษที่จะออกจากนอกโลก หลุดออกจากวงวนเก่าไปสู่วงวนใหม่ ที่่เจริญกว่า ซึ่งไม่ใช่แค่ปากพูดจะต้องมีสภาวะธรรม มีคุณธรรมเป็นที่ รองรับอย่างสมบูรณ์แบบ นี่ก็ขยายความความเป็นโพธิสัตว์หรือความเป็นผู้บำเพ็ญ
เพราะฉะนั้นพวกที่บำเพ็ญเป็นอุจเฉทิฏฐิ เถรวาท เขาถือว่าพระกัสสปะเป็นสายเถรวาท ใช่พระกัสสปะเองเป็นเถระในยุคพระพุทธเจ้าจริง แต่เป็นเถระในแบบศรัทธาจริต เป็นศรัทธาจริตปลายแถวเลยนะ ศรัทธาจริตจัดด้วยนะ จนพระพุทธเจ้าต้องช้อนเอาไว้
มีคนเห็นว่าออกนอกรีตไปไกล เป็นพระป่ามีธุดงควัตร 13 ข้อ ซึ่งเป็นเรื่องของเดียรถีย์ทั้งนั้นเลย จนกระทั่งพระพุทธเจ้าท่านต้องยอมรับว่า กัสสปะนี้เทียบได้ มีส่วนที่เทียบเท่าได้กับเรา พระพุทธเจ้าตรัสภาษานี้ช้อนพระกัสสปะไว้ให้ เพราะอยู่ในขอบเขตที่หลุดออกจากศาสนาพุทธได้เป็น เดียรถีย์ เลยนะ พระพุทธเจ้าต้องช้อนเอาไว้ซึ่งเป็นความซับซ้อนหลายชั้นที่อาตมาเห็นว่า มันก็ต้องเป็นจริง มันเป็นสัจจะอย่างนั้น ก็ต้องค่อยๆอธิบายกันไป ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจกันได้ง่ายๆ มัน คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
อาตมาเอง อาตมาเป็นสายพุทธิจริต สายปัญญา (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะเดินดิน… ความไม่รู้ลึกซึ้งที่เป็นอรรถกถาจารย์ อาตมาแต่ก่อนมาบวชนี้ด้วยความศรัทธาพระกัสสปะเป็นไอดอลเลยนะ ยังเรียนพ่อครูว่าผมจะเอาพระกัสสปะเป็นแบบอย่างเพื่อฝึกฝน เราอ่านพระไตรปิฎกแล้วเข้าใจไปอีกอย่าง คิดว่าอย่างนี้สุดยอดมากในมนุษย์ ถ้าไม่เจอพ่อท่านคงอยู่ในป่าช้า ทรมานตัวเอง ไม่ได้มาลืมตามองเห็นโลก เข้าใจโลกได้อย่างที่ควรจะเป็น คิดว่าทั้งโลกก็คงเข้าใจอย่างนี้ ว่าพระกัสสปะนี้เป็นสุดยอด บำเพ็ญตบะ ไม่เห็นแก่ลาภแก่ยศ ซึ่งเป็นการเข้าใจชั้นเดียว แต่ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นเป็น คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา ก็ไม่มีใครเอามาอธิบายให้เห็นได้ลึกซึ้งขนาดนี้ได้
พ่อครูว่า… เดี๋ยวจะได้ขยายสายพุทธิจริตที่มันเลยเถิดพุทธิจริตกลายเป็นพญาครุฑ ไปเป็นพวกเวหาหาวที่หลงเพ้อ เขาเรียก อะไร 10 ข้อพระสูตร วิปัสสนูปกิเลส 10 หลงอะไรก็ละเอียดวิเศษไปหมดเลย ซึ่งมันเกินมันสุดโต่งไปไกล ไม่อยู่ในกรอบที่ถูกต้องของพระพุทธเจ้าด้วยซ้ำไป มันก็เลยเลอะเทอะไปใหญ่ ปรุงแต่งกันเสียจนเกินเลย เลยเถิด เช่น สมีธัมมชโย ขออภัยที่อาตมาจะต้องเรียกให้ชัดๆว่าเป็นสมี เพราะว่าปาราชิกถึง 2 ตัว ธัมมชโยหรือพระไชยบูลย์ หัวหน้าใหญ่ของธรรมกาย เดี๋ยวอาตมาจะได้กล่าวถึง วันนี้เตรียมอันนี้มาเพื่อจะพูดประกอบ ให้เห็นถึงความละเอียดละออ ลึกซึ้งตามที่ยกอ้างคำพูดของเขาเลย ตามหนังสือที่อาตมาได้รับ ก็มีผู้ที่ใจดี เขาติดต่อกับทางธรรมกายอยู่ คือ ดอกเตอร์จำลอง ทิ้งสุข ก็ขอบคุณเป็นอย่างมากเลยที่ส่งหนังสือของธรรมกายเขามาให้อาตมาเสมอๆ นี่เขาก็เอาออกมาพิมพ์อีก
วิสาขบูชาตั้งแต่ 2555 อะไรอย่างนี้ แล้วเขาก็รวบรวมคำสอนของธัมมชโยมาพิมพ์เพื่อประกาศคำสอนของอาจารย์เขา ก็คือธัมมชโยนั่นแหละ เดี๋ยวอาตมาจะได้เอามาประกอบคำสอนไม่ใช่เพื่อต้องการข่ม แต่ต้องการยืนยันว่ามันมีของจริง ไม่ใช่ว่าอาตมาพูดลอยลม มันเป็นทั้งภาษา ทั้งตัวบุคคล ทั้งพฤติกรรม ที่จะต้อง อธิบายรายละเอียดต่างๆ มันมีคนจริง มันมีพฤติกรรมจริง มันมีคำสอนจริง มันมีคำพูดคำอธิบายจริง มากกว่านั้นที่มันมีจริงๆ มีรายละเอียดอีก ก็เอามายืนยันกัน เอามาบอกกันให้รู้แล้วผู้ที่มีปฏิภาณปัญญารับรู้ก็จะได้เห็นว่า อ๋อ.. คนที่รู้ในมุมนั้นมิตินี้นัยละเอียดอย่างนั้นอย่างนี้ เหมือนคนดูช้าง จะรู้ทั่วตัว ไม่ใช่เหมือนคนตาบอดคลำช้าง จะรู้ว่าช้างทั่วตัวเลยเป็นอย่างไร ครบ ก็เป็นคนตาดีตาใสตาเปิดธรรมดาไม่ใช่ว่าเอาคนตาบอดมาคลำ คนไหนคลำได้กี่ด้านกี่ช้างก็จะรู้ว่าช้างเป็นแบบนั้น อย่างไรก็ไม่ประกอบเป็นตัวช้างสมบูรณ์รูปช้างสมบูรณ์หรอก เพราะเขาคลำไปทีละส่วน คนตาบอดจะไม่เห็นตรงไหน เสร็จแล้วเอามาปะติดปะต่อตรงไหน โค้งตรงไหนบ้าง ใหญ่ตรงนั้น ตรงไหนหนา ตรงนี้สูง ในรายละเอียดของตัวช้าง เขาก็คลำได้แค่ภายนอกของตัวช้างนั่นแหละ เขาก็คลำได้เฉพาะภายนอกที่เขาจะสัมผัสได้ เขาไม่รู้ติดต่อกันเป็นรูปเป็นร่างเหมือนคนตาดีที่เห็นช้างทั้งหมดหรอก นี่คือเฉพาะรูปนะ ไม่ต้องไปพูดถึงเสียงถึงกลิ่นถึงรส รายละเอียดของสัจธรรมอีกหลายทวาร
เพราะฉะนั้นพวกที่ปิดตาหลับตา อย่างสายธรรมกายก็หลับตา หลับตาเป็นหลักเลย พวกหลับตาเป็นหลักนี้ปิดทิ้งทวาร 5 ไปได้ทวารเดียว อยู่ในภพสัมภเวสี เป็นภพนึกคิด ก็ปั้นเป็นนิรมาณกายไป แตกต่างกัน กายต่างกันสัญญาต่างกัน มันนับไม่ถ้วน แม้แต่พวกเดียวกันเอง
สายหลับตาทางอาจารย์มั่นก็ตาม สายมหาบัวก็ตาม สายมหาบัวนั้นสายมืดสายธรรมกายนั้นอาภัสรา อีกสายหนึ่งเป็น กิณหา อาตมาทั้งเขียนและอธิบายไว้
หนังสือเล่มใหม่ตอนนี้ออกมาหนังสือปัญญา 8 พึ่งวางตลาดขาย 0 บาทไม่เอาสตางค์ หนังสือหนา 494 หน้าเกือบ 500 หน้า พิมพ์มา 5,800 เล่ม
อาตมาก็อ่านทวนอยู่ตอนนี้ได้ไม่กี่หน้าหรอก ได้ไปสัก 20 กว่าหน้า ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกว่าละเอียดลออพอได้อยู่นะ ก็รู้สึกว่าเข้าท่า ก็ชื่นชมในตัวเองที่อุตส่าห์เอามาสาธยายได้ ก็ยิ่งชื่นชมในธรรมะพระพุทธเจ้าว่า คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34) จริงๆ
หน้าปกหนังสือเล่มนี้ก็เป็นลูกของคุณแสงศิลป์เป็นคนวาด ซึ่งแสงศิลป์เองก็วาดภาพปกเราคิดอะไรมาเป็นร้อยๆเล่มแล้ว จะให้คนเอาบทกวี ไปประกอบ ตอนแรกอาตมาบรรยายเป็นภาษาร้อยแก้วประกอบ ตอนหลังท่านเดินดินก็มารับช่วงเป็นผู้เขียนบรรยายประกอบ นัยปกของเราคิดอะไร ก็ให้พิมพ์มาช่วยหน่อย ใครรวบรวมได้ก็พิมพ์มาแปะข้างภาพวาดๆ คนจะได้อ่านรายละเอียดเป็นภาษากวี ถ้ามีทั้งสองอย่างทั้งร้อยแก้วร้อยกรองด้วยก็ยิ่งดี เห็นภาพบางทีเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง ถ้ามีคำชี้แจงเป็นภาษาประกอบมันก็จะเข้าใจได้ ช่วยให้เข้าใจได้เพิ่มขึ้น แต่ภาพมันก็ให้ความรู้ความหมาย เขาบอกว่าภาพ 1 ภาพ บอกนัยยะละเอียดเป็นพันๆมุมเลยนะ ยิ่งกว่าเราบรรยายอีก แต่บางทีเราบอกเป็นภาษาไม่ได้ แต่เรารู้ความหมายมุมเหลี่ยมละเอียดลึกซึ้ง เพราะว่าปฏิภาณปัญญาของคนมันละเอียดมากกว่าบัญญัติ ภาษา สมมติภาษา
ขอ โอภาปราศรัยกับ SMS ก่อน
SMS วันที่ 27 – 29 ม.ค. 2566
ที่มาของชื่อ มงคล รักพงษ์
_Took Aswin ตุ๊ก อัศวิน · กราบขอบพระคุณ.. .ท่าน คณะปัจฉา ที่เอาภาระ ดูแล สุขภาพของพ่อครูอย่างเข้มข้น เต็มร้อย..อีกทั้ง update สถานการณ์ต่างๆ เล่าสู่ฟัง..เจ้าค่ะ
รายการ ‘ย่อยธรรมะ ค่ายอุโบสถศีล online’ ทุกเช้า..ได้นำ ‘มงคล ๓๘’ มาปรารภ ในทุกเช้าก่อนเข้ารายการสนทนาธรรม !!
นับเป็น..มงคลยิ่ง.ที่ได้สดับ ‘สวนานุตตริยะ’ ตะเช้า..ก่อน อรุณรุ่ง..เจ้าค่ะ
สดับ ‘มงคล ๓๘ ‘ ครบแล้ว..ประจักษ์แจ้งแก่ใจว่า..มงคล ๓๘ เหล่านั้นหลอมรวมอยู่ ที่ พ่อครู..นี่เอง..เจ้าค่ะ เป็นอจินไตยจริงหนอแล..!! Amazing!!! ธรรมะจัดสรร!! ด้วยนามเดิมของ พ่อครู คือ ‘มงคล’ ชิมิเจ้าค่ะ น้อมกราบ..ด้วยความเคารพยิ่ง..เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… อจินไตย ไม่ใช่เรื่องคิดคาดคะเนเอาตามภาษาบัญญัติ ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นผู้ที่มีสภาวะในตัวแล้วอย่างคุณตุ๊กอัศวิน มันก็จะพอรับทราบได้ว่า เรามีสภาวะบ้างแล้วตรงกับบัญญัติเหล่านี้ มันก็จะเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆในรอบที่ 1 รอบที่ 2 รอบที่ 3 มันจะมีรายละเอียดสูงขึ้นไปเป็นโครงสร้างที่ให้เรารู้เป็นเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย
Amazing คือเปิดหูเปิดตาแปลกประหลาด มันเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่มันน่าชมอย่างยิ่ง ใช่ ซึ่งนามเดิมของอาตมาคือมงคล เป็นชื่อที่จดลงไปในทะเบียน ชื่อมงคลนี้สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดบรมนิวาส ซึ่งเป็นยุคที่จอมพลสฤษดิ์มีกฎหมายแล้วก็ตั้งคณะสงฆ์ เหมือนกับคณะรัฐบาล มีนายกสงฆ์ มีรัฐมนตรีสงฆ์ นี่ ท่านติสโส อ้วน ชื่อท่านคืออ้วน ฉายาท่านคือติสโส อยู่ที่อุบลราชธานีนี่แหละ เป็นอาจารย์ของลุงหมอ เป็นเจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส พออาตมาเกิดลุงก็เอาไปขอชื่อ ท่านก็เป็นคนตั้งชื่อให้ว่ามงคล
ที่จริงชื่อในใบเกิดคือชื่อ สไมย์ จำปาแพง ส่วนรักพงษ์คือนามสกุลพ่อ ส่วนในทะเบียนใบเกิดชื่อ สไมย์ จำปาแพง นามสกุลปู่ พ่อของแม่ คือจำปาแพง คือท้าวพรหมสุรินทร์ จำปาแพง
ก็ถูกต้องอาตมาชื่อมงคลมาเก่า แล้วก็มาเปลี่ยนเป็นรัก ในพ.ศ. 2500 แต่ใช้นามปากกาว่า รัก พงษ์มงคล เอา มงคล รักพงษ์ มาเป็น รัก พงษ์มงคล
แต่งเพลงตอนแรกอาตมาก็ใช้นามปากกา อาตมาแต่งเพลงตอนแรกที่สุด เริ่มต้นแต่ง ถ้าแต่งเพลงกับคนอื่น เช่นว่า แต่งเนื้อร้องให้แก่ทำนองของเขา ใส่ทำนองนักแต่งคนอื่น หรือแต่งทำนองแล้วก็ให้คนอื่นใส่เนื้อร้อง มันไม่ใช่ของเราคนเดียว อาตมาจะใช้นามปากกาว่า ยุบลรัตน์ (ยุบล แปลว่าเรื่องราว รัตนะคือแก้ว) อย่างเช่น ก่อนสิ้นแสงตะวันจะจากลับไป อาตมาก็ใช้นามปากกา ยุบลรัตน์ ทำนองของพี่ตุ๋ย สง่า ทองธัชอาตมาก็แต่งเนื้อร้องตั้งแต่อายุ 15 ถึง 16 แต่งเพลงนี้ อาตมายังเรียนอยู่ชั้นเตรียม ไม่ใช่เพาะช่างด้วยซ้ำ ยังไม่ได้เข้าเพาะช่างหรอก เพาะช่างอายุเกิน 16 แล้ว
เพาะช่าง อาตมาเข้าพ.ศ 2496 ซึ่งอายุ 19 แล้ว เพลงก่อนสิ้นแสงตะวันแต่งก่อนเข้าโรงเรียนเพาะช่าง อยู่โรงเรียนเตรียมวิทยาศาสตร์ แล้วก็ไม่จบชั้นเตรียม พูดจบวันนี้ก็แล้วกัน ก็เลยมาเรียนเพาะช่าง เอาใบสุทธิ ม.7 มาสมัครเข้าเรียนเพาะช่าง
_จนแท้ บุญคุ้มมาจน · กราบคารวะพ่อครู.ตกเย็นมาทีไรต้องรอฟังธรรมจากพ่อครูและสมณะทุกวันเลยครับ.กำลังพากเพียรปฏิบัติตามหมู่กลุ่มอยู่ครับ.
พ่อครูว่า… เรียกว่าซาบซึ้ง เป็นธรรมรส เรียกว่าติดรสธรรมะ มันดีกว่าอะไรนะติดรสธรรมะ โดยเฉพาะติดรสธรรมะที่เป็นโลกุตตระด้วย เอาเลย ติดก่อนไม่เป็นไรหรอก แล้วก็ค่อยมาวางทีหลัง ก็ตั้งใจ ให้กำลังใจ ช่วยเหลืออยู่
_ช่อทิพ หนูทอง · ช่วงตรุษจีน หยุดงานฉลองกัน 90%อ้างว่า..มีเชื้อจีน แต่พอเทศกาลกินเจ มีคนกิน 30%.อ้างว่า..เป็นธรรมเนียมชาวจีน ฉันเป็นคนไทยจ้ะ
…ฟังแล้วสลดใจ….
พ่อครูว่า… อ้าวไม่เป็นไร เขายังไม่เต็มที่ ยังไม่เต็มใจ เขากินเจได้ 9 วันก็ดีแล้ว
_แดง สารคาม · ชีวิตต่อแต่นี้ไปยังไม่รู้ว่าดิฉันจะได้ไปอยู่บ้านราชหรือเปล่าค่ะ ดิฉันมาอยู่บ้านดูแลแม่ที่เดินไม่ได้ค่ะ ดิฉันขอหนังสือปัญญาแปดเล่มสองด้วยค่ะ ที่อยู่คือ ดวงพร พิลาชัย 102 หมู่ 7 ต.โคกก่อ อ.เมือง จ.มหาสารคาม 44000 โทร.065-8986915 ทรูค่ะ (ทีมงานจัดส่งให้แล้วครับ)
การกินมังสวิรัติอย่างสัมมาทิฏฐิ เป็นการฝึกวิชชาจรณะของพุทธ
_Petcharat Rank เพชรรัตน์ แรงค์ · กราบนมัสการพ่อท่านค่ะ.. ลูกกราบขอบพระคุณพ่อฯที่อดทนสอน.. ลูกได้รับประโยชน์มากประมาณค่าไม่ได้.. ธรรมะที่พ่อฯสอนลึกซึ้งยิ่งใหญ่ถึงความบริสุทธิ์ได้จริง จากการชำระกิเลสและเจริญได้เป็นลำดับน่าอัศจรรย์จริงๆค่ะ.. ในเรื่องของการงานที่ไม่แลกลาภก็ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น.. ทำงานก็ทำเพื่อประโยชน์.. มากน้อยก็ทำเต็มที่ตามฐานะ.. ถึงความจนแต่ไม่เคยอดค่ะ.. กราบนมัสการด้วยปฏิบัติบูชาค่ะ
พ่อครูว่า… อาตมาสอนธรรมะอาตมารื่นเริงในธรรม อาตมาสนุกนะอาตมาไม่ได้อดทนอะไร แต่สรีระ มันต้องฝืน ตรงนี้มันมีสภาวะ 2 ย้อนแย้งอยู่ในตัว สรีระคือรูปธรรม ส่วนจิตวิญญาณคือนามธรรม นามธรรมมันลื่นไหล มันไม่ติดขัด มันไม่ทุกข์ร้อน มันเบิกบานร่าเริงด้วยซ้ำไป แต่ว่ารูปธรรมมันหนืดๆอยู่ เอาแค่นี้ก็แล้วกัน อธิบายไป แปลว่าคุณมีสภาวะรับรองธรรมะอาตมา ฉลาดบริสุทธิ์มาได้เป็นลำดับ
จะมีคนที่ปฏิบัติธรรมและเกิดปฏิภาณปัญญา ชาญฉลาดแบบนี้ แบบคุณเพชรรัตน์ จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ
ในเรื่องของการงานที่ไม่เอาลาภแลกลาภคือทำงานฟรี ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น เห็นประเด็นมันไหม ก็จริงทุกอย่างในมุมเหลี่ยมของมัน มันไม่ต้องไปต่อรองราคา ทำให้เขาเลย แล้วก็เป็นประโยชน์กับเขา มันจะเข้าใจรายละเอียดของมัน นัยยะมุมเหลี่ยมที่ละเอียดขึ้น
มาพิสูจน์เถอะในหมู่นี้ คุณไปพิสูจน์คนเดียวก็คงยากหน่อย มาพิสูจน์ในหมู่นี้เถอะแล้วหมู่นี้จะพาคุณให้เจริญซับซ้อนลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ไม่เคยอดอยาก มันอุดมสมบูรณ์ ดูของข้างหน้านี้ อุตสาห์ขนมาโชว์ เอากล้องจับกะหล่ำปลีข้างหน้าเวทีนี่หน่อย กะหล่ำปลีไม่กี่หัวนะเนี่ย ยาวเป็นวา 2 วา เรียงกันให้ดูนี้อยู่ข้างหน้าอาตมา ทั้งหมด 5 หัวเท่านั้นกองอยู่เกือบ 2 วา กะหล่ำปลีตัดออกมา ของยายหยุย(ป้าสีนวล)
นี่แหละพวกเรามือทองจริงๆในการปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร ทุกวันนี้ไม่ว่าเจ้าไหนโชว์กันได้ มีของสวนเพื่อฟ้าดินประกอบ รวมกันแล้วมาจาก 2 สวนรวมกัน มีแถมผีเสื้อเกาะที่ปลายกะหล่ำ ตกแต่ง เอาผีเสื้อปลอมมาเกาะที่กะหล่ำปลีจริง นี่ก็เป็นเรื่องตกแต่งประดับประดา เขาก็ถือว่าเป็นศิลปะ Decorate ก็ว่ากันไป
ชื่นชมพืชพันธุ์ธัญญาหารจะเป็นประโยชน์ช่วยโลกไปทั้งโลก ในประเทศที่อดอยากอาหารมีอยู่เยอะในประเทศต่างๆในโลกที่ยังขาดแคลนอาหารการกิน ไม่ต้องไปพูดถึงขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้ที่เขาจะต้องกินแต่สัตว์ ซึ่งมันเป็นวิบากซับซ้อน แล้วมันก็ไม่ใช่อาหารคน
สัตว์มันก็กินเท่าที่มันใช้ได้ ทางขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้เขากินเนื้อสัตว์เป็นหลัก ผักพืชเขาไม่ค่อยมีให้กินเลย เพราะฉะนั้นคนพวกนี้อายุเฉลี่ยแล้ว 20 กว่าปี สูงสุด 40 ปี สถิติของอายุพวกขั้วโลกเหนือขั้วโลกใต้ 40 ปีตาย ค่าเฉลี่ย 20 ปีตาย คิดดูสิพวกเรา แต่ละคนพากเพียรไปเถอะ 120 นี้ มีผู้ที่ยืนยันด้วย ว่า ค่าเฉลี่ย 120 ของคุณเป็นค่าเฉลี่ยอายุของคนในยุคนี้
แต่คนในยุคนี้ไปถูกหลอกให้กินยาพิษ ให้ไปกินอาหารเสีย มันก็เลยลดทอนตัดทอนให้ชีวิตสั้นลง แทนที่จะ 120 ก็ไม่ถึง 100 ด้วย เพราะฉะนั้นพวกเราจะปรับใหม่ทำให้ถูกต้องตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า ไม่กินเนื้อสัตว์เท่านี้แหละจะอายุยืน ในนัยยะของทางวิบากมันก็ช่วยให้อายุยืนแล้ว ทางด้านสสาร ทางด้านรูปธรรม มันก็ช่วยเหมือนกัน มันสอดคล้อง ถูกต้องทั้ง 2 ด้านเลย
เรื่องนี้ก็จะพิสูจน์กันต่อไป เมืองไทยยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ อาตมานำเรื่องของมังสวิรัติมาปักหลักลงไป ซึ่งการกินเจเขาก็มีอยู่เก่า แต่เขาว่ามังสวิรัติเป็นภาษาบาลีมังสวิรัตินั้นเขาไม่ค่อยพูดเท่าไหร่ อาตมาเป็นคนหยิบคำนี้มา ภาษาบาลีแปลชัดเจนมังสวิรัติ แปลว่า ไม่มีเนื้อสัตว์ วิรัติ แปลว่า งดเว้น ไม่มีเนื้อสัตว์ เขาก็มีภาษาแล้วอาตมาก็เอามาใช้เป็นภาษาบาลีนี่แหละ แล้วก็รณรงค์เป็นบุญญาวุธ หมายเลข 1 เอาอันนี้นำหน้าเลย ซึ่งทั้งยาก ทั้งลำบากคนก็ไม่เข้าใจต่างๆนานาหาว่า เป็นพระเทวทัตไม่กินเนื้อสัตว์
ซึ่งพระเทวทัตก็ไม่ฉันเนื้อสัตว์ แล้วจะมาออกพระธรรมวินัย ให้พระพุทธเจ้าออกพระวินัยให้ภิกษุทุกรูป ต้องละเว้นเนื้อสัตว์ทั้งหมด พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ไม่เอา เพราะว่า คนในยุคนั้น ภิกษุในยุคนั้น เขาก็ไม่ฉันเนื้อสัตว์เป็นส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดแล้ว มีบ้างเท่านั้นเองที่ยังบกพร่องอยู่ ยังฉันเนื้อสัตว์บกพร่องอยู่บ้าง พระพุทธเจ้าก็บอกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องไปออกกฎระเบียบ ต้องมีช่องให้พวกนี้บ้าง หมู่ใหญ่เขาก็ไม่ฉันเนื้อสัตว์อยู่แล้ว หมู่เล็กนิดๆหน่อยๆก็ต้องให้เขาบ้าง อันนี้เป็นความอนุโลมปฏิโลมของพระพุทธเจ้า ที่สูงสุด
เพราะในยุคนั้น เป็นยุคเริ่มต้นจากศาสนาพุทธ และศาสนาพุทธก็คือ พราหมณ์
ศาสนาพราหมณ์กับศาสนาพุทธเป็นอันเดียวกัน จรณะ 15 วิชชา 8 เหมือนกัน อย่างที่มีประวัติใน อัมพัฏฐสูตร พราหมณ์ก็นับถือพระเวท ก็มีจรณะ 15 วิชชา 8 เหมือนกัน (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะเดินดิน… เห็นความไม่เที่ยงทุกอย่าง ศาสนาพราหมณ์ก็มาเป็นศาสนาพุทธ เมื่อศาสนาพุทธเสื่อมก็กลายเป็นศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพราหมณ์ต่อไปก็จะเละเทะ พระพุทธเจ้าก็มาตรัสรู้ใหม่แล้วก็มาเป็นพุทธใหม่ ซึ่งเห็นถึงความไม่เที่ยงของสรรพสิ่งที่หมุนเวียนเปลี่ยนไป แต่ก่อนเขาเรียกพราหมณ์มหาศาล ในยุคนี้ก็เรียกว่าพระมหาศาล พระรวย
พ่อครูว่า… ในยุคนี้ก็เป็นพระมหาศาล คือเรียกภิกษุว่าเป็นพระของไทยก็เลยเรียกว่าพระมหาศาลคือพระที่ร่ำรวยด้วยลาภและสรรเสริญอย่างที่เป็น สมัยโน้นที่มันเสื่อมคือพราหมณ์เสื่อมกลายเป็นผู้ที่เป็นพราหมณ์มหาศาล ร่ำรวยมหาศาลด้วยลาภยศสรรเสริญ พระเจ้าแผ่นดินชุบเลี้ยง ยกยอปอปั้นกัน อย่างที่เป็น
ถ้าจะว่าไปแล้วก็ ดูๆ เหมือนอย่างเถรสมาคมทุกวันนี้ที่เสื่อม อัมพัฏฐมานพ เป็นลูกศิษย์ของพราหมณ์โปกขรสาติ เป็นลูกศิษย์ของพราหมณ์ผู้ใหญ่ที่ได้รับการนับถือในยุคนั้น อัมพัฏฐมานพ นี่เป็นนักบวช เป็นพราหมณ์หนุ่มที่ได้รับความยอมรับจากอาจารย์ว่าเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในเรื่องจรณะ 15 ใน วิชชาจรณะสัมปันโน แต่เข้าใจผิดว่าเป็นพราหมณ์แล้ว
เมื่อพบกับพระพุทธเจ้า เมื่อมาเจอกัน อัมพัฏฐมานพ ถือว่าตัวเองเป็นนักบวชแล้วก็ถือตัวว่า พระพุทธเจ้าเป็นฆราวาส เป็นคฤหัสถ์ ถือว่าออกมาจากกษัตริย์ออกมาจากวังเลย อัมพัฏฐะก็ถือว่าต้องไหว้เขา เพราะเขาเป็นนักบวช คนอื่นต้องไหว้เขา พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ไม่ไหว้เพราะเธอไม่มีจรณะ 15 วิชชา8 เขาก็บอกว่า เขามี เขาว่าไปเป็นพยัญชนะ ก็วิเคราะห์วิจัยกัน เดี๋ยวเอาพระไตรปิฎกมาอ่านขยายความให้ฟังเลย สนุก ขบเหลี่ยมกัน จนกลับกันว่า จรณะ 15 ต้องมีในภิกษุสิ อยู่ในฆราวาสจะมีได้อย่างไร มันก็ไม่ผิด แต่ตอนนี้มันเสื่อมอยู่ในภิกษุมันไม่มี แต่ไปมีอยู่ในฆราวาสพระพุทธเจ้าท่านมีจรณะ 15 วิชชา 8 อย่างแท้จริง ก็อธิบายกันซับซ้อน โอ้โห! ฝากไว้ก่อนโอฬาร พูดแล้วมันเขี้ยว น่าอธิบาย
เริ่มปฏิบัติธรรมต้องเอาศีลเป็นหลัก จึงปรับใจได้
_สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
ลูกอยากบอกพ่อครูว่า เดิมทีลูกเป็นคนบาป จิตใจเหมือนถูกไฟนรกเผา สาหัสมาก ครั้นปี ๖๓ ลูกมาปฏิบัติธรรมตามพ่อครู ฟังธรรมะไม่รู้เรื่องเลย ครั้นลูกเอาธรรมะที่พ่อครูสอน เพียงแค่เอามาท่องจำ ความทุกข์ก็ลดลงมากกว่าการฟังเพลง ครั้นต่อมาได้เข้าใจธรรมะก็ยิ่งคลายทุกข์ ยิ่งปฏิบัติลดอบายมุขได้ ก็ยิ่งพ้นทุกข์มาตามลำดับ ลูกส่งคำถามมาถึงพ่อครู ใจหนึ่งก็อยากรู้คำตอบ อยากเผื่อแผ่ให้คนอื่นได้รู้ด้วย อีกใจหนึ่งก็รู้สึกละอาย ที่ตัวเองเป็นคนบาป แต่แสดงตนเป็นคนรู้มาก ลูกจะปรับใจอย่างไรคะ พ่อครูโปรดว่ากล่าวตักเตือนด้วยค่ะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า…ผู้ที่มาฟังอาตมาตอนแรกนั้นฟังไม่รู้เรื่องเป็นธรรมดา หูหักก่อนทั้งนั้น แต่อย่าเพิ่งหนี สุสูสัง ลภเต ปัญญัง พยายามตั้งใจฟังศึกษาไปตามลำดับ จับความให้ได้ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย เป็นอย่างไร
คนที่มีบารมีมาก่อนจะเข้าใจได้ไว แต่คนที่มีบารมีไม่มากนักหรือไม่มีบารมีก็จะเข้าใจได้ยาก แต่อย่าเพิ่งท้อถอย พากเพียรไป ฟังแล้วฟังอีก อานิสงส์ในการฟังธรรมจะมีจริงๆ ฟังแล้วก็ประพฤติ ฟังแล้วจับต้นกลางปลายให้ได้ ประพฤติมา แล้วคุณจะได้
อันนี้ซับซ้อนให้เรารู้จริงๆนำหน้าไปเยอะแล้ว แต่ยังปฏิบัติไม่ได้ก็รู้สึกละอายใจตัวเอง
จะปฏิบัติใจอย่างไร..ก็จับความจริงให้ได้ว่าเราปฏิบัติได้ เอาสภาวะที่ปฏิบัติได้ขนาดไหน เอาศีลนั่นน่ะ เป็นตัวหลัก ศีลข้อ 1 2 3 4 5 จนถึงจุลศีลประกอบไปเลย ส่วนมหาศีลเป็นเรื่องของภิกษุ ท่านจะจัดการ อย่างชาวอโศกนี้ มหาศีลไม่ได้บกพร่อง แต่เถรสมาคมนั้นเต็มไปหมด ละเมิดมหาศีล ไม่ได้มีศีลกันเลย แล้วไปยึดพระธรรมวินัย 227 เป็น จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล 43 ข้อ ไม่รู้เรื่องแล้วว่าศีลคืออะไร ไปยึดวินัย 227
ไปถามภิกษุสิว่าท่านมีศีลเท่าไหร่ ท่านก็ตอบว่า 227 นั่นหมายถึงวินัย แค่วินัยกับศีลก็เข้าใจกันไม่ได้แล้ว วินัยคือข้อบังคับ ศีลคือความอิสระ ใครพอใจปฏิบัติแล้วเอาเนื้อหามาปฏิบัติ ก็จะได้มรรคผลไปตาม ศีล
มีศีล อปัณณกปฏิปทา 3 มีสัทธรรม 7 เกิดฌาน เกิดปัญญา ภาษามันบอกสภาวธรรม ซึ่งมันไม่ง่ายธรรมะของพระพุทธเจ้า คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
มันเป็นจริงอย่างนั้น เอ้า
จะปรับใจอย่างไร..ก็คือต้องตรวจสอบตัวเอง ว่าตัวเองปฏิบัติจริงได้แค่ไหนเอาศีลเป็นหลักปฏิบัติ ศีลข้อ 1 ศีล ไม่ฆ่าสัตว์. ข้อ 2 คุณน่าจะได้แล้ว ศีลข้อที่ 1 คุณไม่ฆ่า แล้วมันมีใจที่ หยาบ กลาง ละเอียด มันมีอีก แต่ยังไม่อธิบายรายละเอียด
ศีลข้อที่ 2 ก็เหมือนกัน เอาศีล 3 ข้อก่อน ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทุจริต
ศีลข้อที่ 2 หมายถึง ข้าวของ วัตถุต่างๆ กับพืช คุณก็ต้องอาศัยวัตถุต่างๆกับพืชอยู่ แต่คุณไม่ทุจริต ไม่ลักขโมย ไม่ขี้โกงอยู่
ศีลข้อที่ 3 เกี่ยวกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส กามคุณ 5 คุณลดละได้หรือยัง
3 ข้อนี้เป็นพื้นฐานหลัก ข้อ 3 อาจจะยากกว่าข้อที่ 2 ซึ่งข้อที่ 2 ก็ยากกว่าข้อที่ 1 ข้อที่ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ มันง่ายจะตายไป คุณไม่ฆ่า คุณก็ซื้อกิน ใช่ไหม หรือให้คนอื่นเขาฆ่ามาให้คุณกิน จนกระทั่งอธิศีลสูงขึ้นไม่กินเนื้อสัตว์ คุณก็จะรู้ว่ามันไม่ง่าย
ไม่กินเนื้อสัตว์มันลึกซึ้ง อธิบายไปหมดแล้วจนกระทั่ง ชีวกสูตร 5 ข้อที่เป็นบาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย ก็ค่อยๆรู้ไปตามลำดับ
เอาเป็นว่าคุณสว่างแสงก็พยายาม อาตมาอธิบายแทรกไปให้ฟังบ้างแล้ว ให้ความรู้เท่าที่มีเวลา เท่าที่ควรจะให้
ความเป็นไปของพ่อครูกับพี่ๆน้องๆ
_จรรยา ประเสริฐ · ซึ้งคำนี้ค่ะท่านจันทร์ คู่ครอง และลูก คือหนี้เก่า แต่พี่น้องก็เป็นหนี้เก่าที่เราจะต้องชดใช้เหมือนกันค่ะ กราบสาธุค่ะ
พ่อครูว่า…เราเป็นคนที่เกิดมามีพี่น้อง ก็มีรายละเอียดซับซ้อน อย่างเช่นอาตมาในยุคนี้ไม่มีลูก ไม่มีคู่ครอง แต่มีพี่น้อง อาตมาเป็นพี่คนโตมีน้อง ก็ต้องเลี้ยงน้องเพราะว่าพ่อแม่ไปหมดแล้ว ก็เลี้ยงมาจนกระทั่งเรียบร้อย เห็นว่าควรจะออกมาได้แล้วก็เรียกประชุมน้องๆทั้งหลาย หลังจากตอนนั้นน้องๆทั้งหลายประชุมกัน ก็จะมีน้องชายคนหนึ่งส่งไปเรียนอเมริกา ซึ่งไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ สมัยก่อนเงินมันแพง ส่งไปเรียนอเมริกาเงินดอลลาร์มันก็แพง ก็มาประชุมกัน
ก็มีผู้ที่รับผิดชอบก็กิ่งรัก มา ส่วนน้องชายอาตมาคนโตก็ไปบวชแล้วก็หลงตัวเองว่าเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ในป่าคนเดียว อาตมาออกมา ทรัพย์สินก็ยกให้ทั้งหมดเลยจะออกมาบวช ส่งน้องชายคนที่ยังไม่จบ นายฟ้า นายต๋อน จะรับผิดชอบไหวไหม กิ่งรัก บัวบูชา อิ๋ว-นิตยา เป็นน้องของนายฟ้าอีกทีหนึ่ง ว่าจะส่งไหวไหม ก็บอกว่าได้ ทรัพย์สินอาตมาก็ยกให้หมด แล้วเขาก็มีรายได้พอเขาก็ช่วยกัน เขาก็บอกว่าได้
อาตมาก็เห็นว่า ตกลงเรียบร้อย อาตมาก็ออกมาบวช ก็ออกมาเลย ไม่อยู่แล้ว นี่ภาพนี้ คนที่ไปเป็นพระพุทธเจ้าองค์เดียวอยู่ในป่ากลางเมืองกาญจน์ ตอนนี้เสียไปแล้ว
ท่านก็ตั้งตัวเองเป็นพระพุทธเจ้า แล้วเขาก็จับขึ้นศาล เป็นทนายให้ตัวเองด้วย ผู้พิพากษาก็ซักไซ้ไล่เลียงบอกว่า ทำไมบอกว่าเป็นพระพุทธเจ้าแล้วใครตั้งให้ ท่านก็บอกว่า ก็ตั้งเองสิ ผู้พิพากษาก็บอกว่าไปตั้งเองได้อย่างไร เขาก็บอกว่า พระพุทธเจ้าองค์ไหน ท่านก็ตั้งตัวเองทั้งนั้นไม่มีใครมาตั้งให้ท่านทั้งนั้นแหละ ผู้พิพากษาก็จำนน
เพราะท่านไม่มีคณะ ท่านไม่ได้เป็นผีบุญ ท่านไม่ได้หว่านล้อมใคร ท่านก็เป็นพระพุทธเจ้าองค์เดียวโด่เด่ ฉันมังสวิรัติ ทำอะไรต่างๆทำงาน เก่งทางช่าง เป็นสารพัดช่าง ก็ช่วยคนไปหมด ท่อไอเสีย เครื่องกลเครื่องยนต์เสีย ท่านก็ซ่อมให้เขาทั้งเป็นพระนะ ซ่อมให้เขาหมด เขาก็เลยยอมรับถือ องค์เดียวอยู่นั่นแหละ
สุดท้ายขับมอเตอร์ไซค์ไปบิณฑบาต มอเตอร์ไซค์ก็ชนตายก็เลยเสียชีวิต
ในภาพนั้นก็มีอาตมา กิ่งรัก ส่วนแม่ก็โทรมมากแล้ว เป็นวัณโรคผอม เอาของเก่าๆมา ก็บอกว่าคนพูดของเก่านั่นมันแก่แล้ว ผ่าน
_จรรยา ประเสริฐ · ในหมู่บ้าน ติดประกาศว่า จะให้ไทยเจริญ เลือกพรรคเพื่อไทย ยกพรรค ทักษิณคนฉลาดต้องมา ไม่ต้องเป็นคนดีก็ได้ มีคนเขียนต่อท้ายว่า เลือกเพื่อไทย ฉิบหายแน่นอน เป็นเรื่อง ต่อสู้กันอย่างงูเห็นนมไก่ ไก่เห็นตีนงู อ่านป้ายต่อไป เลือกลุงป้อม ได้ความพริ้ว เลือกก้าวไกล ยิ่งมีตัวเงินตัวทอง ดูแล้ว เดี๋ยวก็คงมีคนมาเก็บป้าย
พ่อครูว่า…ก็ดีเหมือนกันนะให้คนเขาเก็บป้ายไป ผ่าน อย่างนี้มันเป็นสงครามสังคม มันก็สนุกอย่างนี้อย่างเมืองไทย มันก็รบกันอย่างนี้ไม่ต้องไปยิงกันปุ้งป้างฆ่าแกงกัน มันก็แค่รบกันด้วยปากหอก มุขสตี
ประจักษ์สิทธิ์คือบรรลุอย่างเห็นๆด้วยตาเปิด
_สม.เทียนคำเพชร · กราบนมัสการค่ะท่าน ดิฉันจะขอถามพ่อครูในคำศัพท์ที่ว่า “ประจักษ์สิทธิ์” ที่มีอยู่ในหนังสือปัญญา๘เล่ม๒ ว่า “ประจักษ์สิทธิ์” หมายถึงเป็นชาวพุทธต้องปฏิบัติตามจรณะ๑๕ วิชชา๘ จนสามารถอบรมตนเอง ให้ลดละกิเลสที่เกิดอยู่มีอยู่จริง ให้จางคลายและดับไปได้จริง เป็นลำดับๆไป ถ้าไม่ปฏิบัติตามจรณะ๑๕ วิชชา๘ (ปฏิบัติเป็นอย่างอื่นเช่นนั่งหลับตาฯลฯ) ก็หมดสิทธิ์รู้จักรู้แจ้งรู้จริง ก็หมดโอกาสหรือหมดสิทธิ์ที่จะ ประจักษ์สิทธิ์ ใช่ไหมคะ? กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่าสูงยิ่งค่ะ
พ่อครูว่า…ใช่ ประจักษ์แปลว่าเห็น มันไม่เห็น ก็หลับตาปฏิบัติมันจะไปเห็นอะไร เห็นนี่คือ ปัสสะ ส่วน สิทธิหรือสัทธะ แปลว่าความสำเร็จ
เห็นความสำเร็จด้วยตาเปิดๆ คือความหมายของประจักษ์สิทธิ์
อย่างพระพุทธเจ้าชื่อว่า สิทธัตถะ คือ สิทธะหรือสิทธิ กับอัตถะ คำว่า อัตถะคือเนื้อแท้ สิทธะหรือสิทธิคือสำเร็จ ผู้สำเร็จเนื้อแท้แล้ว
ประจักษ์สิทธิ์ คือ บรรลุอย่างเห็นๆเลย มีตากระทบรูป มีหูกระทบเสียง อย่างนี้เรียกว่าเห็นด้วย เห็นแสงสว่างด้วยจักขุเปิด เห็นด้วยหูได้ยินเสียง มันดังคนอื่นได้ยินด้วย ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาคนเดียว ไม่ได้มีเสียงมีกลิ่นมีรสของข้างนอกเลย อันนั้นมันเป็นเดียรถีย์ ไม่มีทางบรรลุ นี่ รายละเอียดพวกนี้มันจะต้องเข้าใจองค์ประกอบต่างๆ ถึงบอกว่ามัน คัมภีรา ละเอียดลึกซึ้ง ศึกษาดีๆ
_ซึ้งซื่อ · กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้าครับ
ผมเห็นว่า แพ้เกมชีวีสิ้นดีทุกอย่าง แต่ก็ภูมิใจไม่จางที่จิตของเรา มิเลวพ่ายตาม
พ่อท่านได้เป็น ผู้แพ้ มาตลอด แต่พ่อท่านได้เป็นผู้แพ้ แต่พ่อท่านก็ได้เอาชนะ กิเลส ทั้งปวงได้สุดยอดครับ และลูกๆก็ขอ เป็นผู้แพ้ในชะตาทราม แต่ก็จะเอาชนะกิเลสตามรอยพ่อท่านไป
เนื่องในวันอัฏฐาริยสัจจายุ ๘๘ ปี ๘ เดือน ๘ วัน ของพ่อท่าน ในวันแห่งความรักของ พ่อครูรัก รักพงษ์ ลูกขอปฏิบัติบูชาตามพ่อท่านโดยจะรักษาศีลและลดกิเลสให้ตลอด จนกว่าชีวิตจะหาไม่ด้วยศรัทธาอย่างสูงยิ่งด้วยดวงใจทรงความมั่นคงตลอดไปครับ กราบขอบพระคุณอย่างสูงยิ่งครับ
พ่อครูว่า…เอาเลย ที่พูดมาเป็นการอธิบายความจริง ที่ความรู้สึกของตนเอง ที่ได้รับสิ่งที่ตัวเองเกิดที่ตัวเองเป็น ก็พูดออกมาเป็นภาษา เอ้า ดี
SMS วันที่ 30 ม.ค. 2566
ปฏิบัติศีลต้องมีวิญญาณฐีติมิใช่อสัญญีสัตว์
_ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการ พ่อท่านด้วย สุดเศียรเกล้าครับ ในการปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติ ศีล เป็นหลักใช่ไหมครับ และต้องอ่าน กาย วาจา ใจ ไม่ให้ผิดศีล ส่วน
ศัพท์ภาษาบาลีถึงจะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่สภาวะต้องได้ ต้องอ่าน กิเลสในตัว
เองออกและต้องไม่หลงในภาษามากเกินไปใช่ไหมครับ ? กราบนมัสการขอบพระคุณพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งครับ
พ่อครูว่า… ใช่ๆๆ ศีลข้อที่ 1 2 3 จะไล่เป็นลำดับซ้อนๆกันไป อันนี้ได้มาก อันนี้ได้กลาง อันนี้ได้ปลาย อันนี้ได้เสริมกันไป อันนี้ได้หมดเลยต้นกลางปลาย พอเสริมศีลข้อต่อไปอีก จาก 3 ข้อเลยไปเป็นข้อ 6 7 8
ภาวะข้อ 4 กับข้อ 5 ข้อที่ 4 คือวาจา ข้อที่ 5 คือมโน มันออกก็คือรายละเอียดของจิตที่มันจะได้ตามข้อของศีลแต่ละข้อพาเป็น เมื่อคุณบรรลุแล้ว วาจามันก็จะดีตาม เพราะว่ากายกรรม วจีกรรม กายวิญญัติ วจีวิญญัติ เป็นการเคลื่อนไหวภายนอก ก็ปฏิบัติไปก็ต้องอ่านกิเลสตามลำดับนั่นแหละ
ใช่ มันอาจจะดูขาดวาจา กายกับใจ วาจา แต่ว่าใจมันไม่ขาดไปตลอดหรอก แต่กายกับใจ มันจะต้องคู่กันไปตลอด ใจลึกลงไปก็ใช้ตัวสัญญากำหนดรู้ กำหนดรู้ใจ กำหนด รู้กาย หรือแม้แต่กำหนดรู้วาจา สัญญาจึงเป็นตัวเก่งที่สุด เป็นตัวงานที่สำคัญมาก คือ ส กับ อัญญา อัญญาคือปัญญา คืออัญญะ ที่เป็นพหูพจน์
ส คือตัวแรกของ เศษวรรค ย ร ล ว ส ตัว ส.เป็นตัวที่ 5 กึ่งกลางของ 9 เอาความหมายของสภาวะ สะ มาประกอบใช้ให้รู้
เพราะฉะนั้น ในพยัญชนะก็ดี ในภาษาและในตัวสภาวะธรรม เป็นสภาวะต่างๆอันเกี่ยวเนื่องเกี่ยวข้องด้วยเนื้อหาของทั้งกายและใจ ก็ต้องศึกษา มันเป็นสภาวะเทวะคือสภาวะคู่ ต้องรู้คู่ไปเรื่อยๆ จบด้วยวิญญาณฐีติ 7 ก็ตรวจสอบด้วยกายกับสัญญา อาตมาจะไม่ลงลึกวิญญาณฐีติ 7 เป็นเครื่องตรวจสอบที่สมบูรณ์แบบ จบครบสัมมาทิฏฐิครบ 7 ข้อนี้แล้ว คุณก็พ้นความเป็นสัตว์ 9 ชนิด ซึ่งพระพุทธเจ้าสรุปไว้เป็นสัตว์ 9 ชนิด
คนทั้งหลายที่ปฏิบัติธรรมก็ไม่พ้นความเป็นสัตว์ 9 ชนิดนี้แหละ แล้วค่อยฟังไปเรื่อยๆรายละเอียด เพราะไปหลงใหลสัตตาวาส 9
ตัวที่ 5 คือ อสัญญีสัตว์ ไปดับสัญญาซะ หรือว่ามิจฉาทิฏฐิ แม้แต่ฌาน ก็เป็นแบบ เดียรถีย์ ฌาน 2 3 4 ก็เป็นแบบเดียรถีย์ กายก็ดี สัญญาก็ดี เขาก็ได้เป็นแบบ เดียรถีย์ เป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งนั้น
หลัง อสัญญีสัตว์ อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ. แม้ที่สุดจะแถมสัญญาเวทยิตนิโรธด้วย ซึ่งไม่มีในสัตตาวาส 9 มีใน อนุปุพพวิหาร 9 ใน สัตตาวาส 9 ไปจบที่ เนวสัญญานาสัญญายตนะ รูปฌาน 4 อรูปฌาน 4 และอสัญญีสัตว์ ก็เป็น 9
อาตมาจะค่อยเทียบให้ฟัง
-
วิญญาณฐีติ 7
-
วิโมกข์ 8
-
อนุปุพพวิหาร 9 กับสัตตาวาส 9 ซึ่งเข้าใจไม่ง่ายหรอกแต่สัมผัสด้วยกายนี้ไม่ใช่เล่นๆ ต้องการตอกเข็มอันแรก คือคำว่ากาย เป็นหลักเท่านั้นเอง