660901 บทพิสูจน์สัจจะของโลกุตรธรรม ที่ครบครันทั้งรูปทั้งนาม พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1IPcTtPWRhrwpYl1QmB6zKwCaoDZsF314/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1FS3-daJ3YyoFvEkStuDIMYvypIsdv6IM/view?usp=sharing
และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660901-e28pvg9
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/XYrt-KATwD4
และ https://www.facebook.com/100078722032092/videos/288647967199746/
มีซับ
สมณะฟ้าไท… วันนี้วันศุกร์ที่ 1 กันยายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้บรรยากาศในเมืองไทยเราจะเห็นปรากฏการณ์คนชั่วกับคนดี คนชั่วจากไปคนก็สาปแช่ง คนดีจากไปมีคนร้องไห้ มีคนคิดถึงมีคนเชิดชูบูชา คนเคารพ เปรียบเทียบตอนนี้คุณทักษิณกับนายกลุงตู่ อีกคนหนึ่งก็ขออภัยโทษให้แก่ตัวเอง ได้รับการอภัยโทษให้เหลือติดคุกปีเดียว จาก 8 ปีเหลือปีเดียว ยังมีคดีอื่นอีกเยอะ
แต่ถ้าเราดูภาพของลุงตู่ พวกที่ทำงานด้วยจะบอกว่าเป็นหัวหน้า เป็นเจ้านายหรือเป็นผู้นำที่ดี ทำงานแล้วก็ให้เกียรติคนทำงานดูแลเอาใจใส่ดี ลุงเปลว สีเงิน บอกว่าเขาไม่รู้เลยว่าคนทำงานในทำเนียบมีตั้ง 600 คน ออกมาอำลาลุงตู่
ประชาชนก็ใจหายกัน ตอนลุงตู่อยู่ก็ปลอดภัยดีแต่ตอนนี้คนอื่นมาก็ไม่รู้ว่าจะปลอดภัยเหมือนเดิมไหม สมัยพระพุทธเจ้าก็มีพระเทวทัต คนเชื่อพระเทวทัตก็มี พระพุทธเจ้าก็ให้พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะตามคืนมา ขนาดมาบวชกับพระพุทธเจ้าทุกองค์ก็ยังไปกันเลย คนมันเก่งที่จะหลอกคนให้เชื่อได้ พวกเราศึกษากับพ่อครู ไม่รู้บางคนจะเห็นว่าคนอื่นเคร่งก็เลยตามไปไหม พระเทวทัตเคร่งเพราะอยากได้ลาภยศสรรเสริญ
SMS วันที่ 28-31 ส.ค. 2566
_อารี อภิรักษากร · ขอบคุณลุงตู่ทำเพื่อแผ่นดิน ทำเพื่อคนไทยทั้งประเทศ… สาธุ
พ่อครูว่า… นี่ก็แสดงความจริงใจออกมา คือมันจะปรากฏผลของความจริงตามความเป็นจริง แล้วคนไทยนี่ ส่วนใหญ่ทั้งหมด มีสัมมาทิฏฐิกัน และก็รู้จักความจริงเป็นความจริง ความไม่จริง ความปลอมแปลง ความเลอะเทอะอะไรต่างๆนาๆ โดยเฉพาะความเห็นแก่ตัว การเบ่งตัวตนเบ่งตัวเอง แล้วเขาก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าเขาเบ่งตัวเอง เบ่งยิ่งใหญ่ จิตเขาต่ำเขาผิด แต่เขาก็บอกว่าไม่ผิด แม้ผิดเขาก็บอกว่าไม่ผิด ผิดเขาก็บอกว่าไม่มีปัญหา ทุกคนก็ต้องยอมเขา เขาถึงจะผิดอย่างไร จะชั่วจะเลวต่ำขนาดไหน จะสามารถทำให้คนอื่นเห็นว่า เขาอยู่เหนือ เหนืออะไรทั้งหมดเลย ซึ่งมันเป็นการ ใช้สำนวนง่ายๆว่าเบ่งขี้แตกจริงๆเลย อาตมาก็ไม่รู้จะพูดภาษาอะไรแล้ว ก็สำเร็จผลด้วย แล้วเขาก็นึกว่าการเบ่งขี้แตกนี้ กูสุดยอดแล้ว ก็ว่าไป
_นุ่น ธรรมกุล : น้อมกราบพ่อครูด้วยความเคารพยิ่งค่ะ ฟังธรรมะพ่อครู เเล้วได้ความรู้มากๆ คอยเตือนคอยย้ำ ฟังเข้าใจง่าย เเต่ปฏิบัติลึกละเอียดยังได้ไม่หมดง่ายๆค่ะ เเต่หยาบๆพื้นๆได้บ้างเเล้ว ค่อยๆพัฒนาปฏิบัติไปเรื่อยๆค่ะ ฟังทางไกลจากอินเดียค่ะ
พ่อครูว่า… ดีมาก อนุโมทนาสาธุที่สามารถฟังธรรมและปฏิบัติธรรมได้มรรคผล ได้สิ่งที่เป็นจริง ตรวจดีๆ ตัวเองอย่าหลงผิดนึกว่าตัวเองได้แต่มันไม่ใช่ หรือมันไปได้ผิดๆหรือมันไม่ได้ถูก มันจะเสียหาย คนนี้อยู่อินเดีย
ปฏิบัติธรรมแบบมีวิญญาณฐิติจึงมีมรรคผล
_สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
ลูกเห็นภาพญาติธรรมชาวบ้านราช แจกผักที่ถนนปันสุขและเห็นชาวบ้านมารับแจกแล้ว ลูกรู้สึกประทับใจมากค่ะ พ่อครูสอนให้ลูกลดละกิเลสตนเอง และเสียสละช่วยเหลือผู้อื่นนึกถึงผู้อื่นเสมอๆ ลูกอยู่บ้านก็มีสวนกสิกรรมน้อยๆ ปลูกผักมะเขือกินเองและได้แจกเพื่อนบ้านทุกวันค่ะ ส่วนมากจะแจกเพื่อนบ้านมากกว่ากินเองค่ะ ลูกได้ฝึกเดินตามพ่อครู ผลที่ได้คือลูกคลายทุกข์ได้ หายจากโรคซึมเศร้า เมื่อได้ให้คนอื่นแล้วจิตใจเบาสบายค่ะ
ลูกขอถามในวิญญาณฐีติ 7 ข้อ 3 ความว่า กายอย่างเดียวกัน สัญญาต่างกัน ข้อที่ว่า กายอย่างเดียวกันเป็นอย่างไรคะ และสัญญาต่างกันเป็นอย่างไรคะ ลูกได้ฟังพ่อครูว่า เป็นแนวปฏิบัติของสำนักธรรมกาย ลูกก็ยังโง่ไม่เข้าใจค่ะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า… กายอย่างเดียวกันสัญญาต่างกัน คือคำว่ากายนี่ มันหมายถึงภาวะ 2 คำว่า “กาย” นี่คือสภาพ 2 มีสภาพภายนอกกับภายใน ไม่แยกกัน และแยกกันไม่ได้ด้วย ฟังดีๆนะกายนี่
สัมมาทิฏฐิคำว่า “กาย” ก็คือต้องเข้าใจว่ากาย มันคือสภาพ 2 คือภายนอกและภายในไม่แยกกัน เพราะฉะนั้น เมื่อปฏิบัติธรรมจะต้องมีกาย จะต้องมีกาย และก็จะต้องมีใจไปด้วยตลอดเวลา เรียกว่าปฏิบัติธรรมแบบวิญญาณฐิติ จึงจะเกิดมรรคเกิดผล จะรู้ความจริงตามความเป็นจริงได้สมบูรณ์แบบ
เช่น วิญญาณฐิติ 7 ก็จะรู้ความจริงของทุกอย่าง ตั้งแต่วิญญาณฐิติ 1 อะไรต่างๆความเห็นต่างกันเราก็รู้ตามเขาว่ามันต่างกัน
อันที่ 2 สมมุติไปว่าเป็นปฐมฌานคือความไม่มีนิวรณ์ 5 เรียกว่ามันเป็นกายต่างกันแต่สัญญาอย่างเดียวกัน คือการกำหนดหมายสัญญา กำหนดหมายว่า จะไม่มีนิวรณ์ 5 เขาก็ทำได้อย่างเดียวกัน
แต่มิจฉาทิฏฐิเขาก็ได้ เขาได้นะเขาได้ปฐมฌาน ไม่มีนิวรณ์ 5 เขาทำให้ไม่มี แต่ไม่มีนิวรณ์ 5 ประเภทสะกดไว้ข่มไว้เฉยๆ เพราะฉะนั้นกายภายนอกเขาได้แต่ภายในหลับตาสะกดจิตไว้ ภายใน เหมือนดูเหมือนได้ แต่มันไม่จริงมันหลอก เพราะมันเป็น อสัญญีสัตว์
จริงๆมันเป็นแค่ อสัญญีสัตว์ หรืออย่างเก่งก็เป็น เนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะฉะนั้นฌาน 1 2 3 4 เขาผิดหมดยิ่งไปเป็นอรูปฌาน ผิดหมด ทั้งอรูปฌาน แถม อสัญญีสัตว์ อีกตัวหนึ่งเลยกลายเป็น 9 นี่พวกหลับตาปฏิบัติจะได้ความเป็นสัตว์ทั้งหมดทั้ง 9 เลย อย่างนี้เป็นต้น
เดี๋ยวค่อยอธิบายกันละเอียดๆอีกทีหนึ่ง
_ยายเพ็ญ · เมื่อมาเจอพ่อท่านและได้มาศึกษาธรรมะกับพ่อท่าน แล้วก็เริ่มมีสติรู้จักทุกข์และพยายามออกจากทุกข์ จนได้พาตัวเองมาอยู่กับหมู่กลุ่มได้ปีกว่าๆ แล้วเจ้าค่ะ แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในหมู่กลุ่มแล้ว ก็มาเจอความทุกข์อีกระดับหนึ่ง ก็เกือบไปไม่รอดเหมือนกันเจ้าค่ะ แต่ก็พยายามมีสติระลึกอยู่เสมอว่า เรามาช่วยงานพ่อท่าน อย่างอื่นเป็นเรื่องธรรมดาของคน คนก็เป็นอย่างนี้ไม่มีแปลก ก็มีโลภ มีโกรธ มีหลงอยู่เป็นธรรมดา แต่ดิฉันได้ตั้งตบะก่อนเข้ามาว่า จะไม่เรื่องมากในการกิน และจะไม่คิดร้ายทำร้ายใครด้วยคำพูดและการกระทำเจ้าค่ะ สุดท้ายดิฉันจึงอยู่รอดปลอดภัย ก่อนเข้ามาอยู่กับหมู่กลุ่มได้ฟังธรรมจากพ่อท่านยี่สิบกว่าปีเจ้าค่ะ🙏🙏🙏
พ่อครูว่า… ดี ได้ผลเป็นไปตามลำดับ
_จรรยา ประเสริฐ · ดิฉันเคยอ่านเกี่ยวกับเรื่องพระพุทธเจ้า มีพระพุทธเจ้าชื่อพระรามสัมมาสัมพุทธเจ้าค่ะ สื่อถึงอจิณไตย ว่าพ่อคือพระพุทธเจ้า องค์ต่อไปจากอาริยเมตไตร และต่อไป พระพุทธเจ้าชื่อพระราม ดิฉันเขียนตามที่ดิฉันบอกตัวเองค่ะ กราบสาธุค่ะ
พ่อครูว่า… ก็เอาไว้ที่คุณก็แล้วกัน คิดว่าเป็นอย่างนั้นก็เป็นอย่างนั้นไปก่อนก็แล้วกัน อาตมาก็ไม่พูดอะไรมากกว่านี้
ที่ไปที่มาของการเรียกว่าชาวอโศก
_ช่อทิพ หนูทอง · เรียนถามพ่อครูว่า ทำไมใช้คำว่า ชาวอโศก มีที่มาที่ไปอย่างไรคะ?
ธรรมะที่พ่อครูจะปลูกฝังให้ลูกๆ ต่อจากสาราณียธรรม และสาธารณโภคี คืออะไรคะ?
พ่อครูว่า… เคยอธิบายเคยบอกเหตุที่มาของคำว่าอโศกแล้ว ว่าเราตั้งชื่อว่าชาวอโศกนั้นเพราะว่า อาตมาบวชที่วัดอโศการาม อโศการามก็คืออารามที่ชื่อว่าอโศก อโศการาม วัดนี้ชื่อว่าอโศก
เสร็จแล้วอาตมาเริ่มแรกไปแสดงธรรมก็ไปใช้ลานอโศก ลานอโศกนี้อยู่วัดมหาธาตุ หน้าธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ ไม่ใช่ธรรมศาสตร์รังสิต วัดมหาธาตุใช้ลานอโศก
ทีนี้พวกเราก็มาคิดว่ามันมีอโศกนี่ก็ดีเหมือนกันนะ มันยังมีความคิดออกหนังสือ ก็เห็นว่าเอาคำว่าอโศกนี่แหละมาใช้ เป็นชื่อหนังสือและพวกเราช่วยกันเขียน ตอนแรกอาตมาให้ทุกคนกำลังเคร่งจัด หรือเรียกว่ากำลังหลงเลอะจัดก็ได้ ทุกคนใช้นามปากกาว่าอโศก กลายเป็นอโศก มีหนังสืออโศกยังมีออกมา
อาตมาทำอยู่เล่มนี้ เป็นนิตยสาร ตอนแรกก็เป็นรายเดือนหรือรายปักษ์ 2 อาทิตย์เล่ม อาตมาทำแทบจะเรียกได้ว่า One Man Show Production เลย แทบจะทั้งนั้นเลย เขียนหัวเรื่อง ออกแบบ จัดแบบ รูปแบบ เขียนเรื่องนำ รูปร่างภาพอะไร เรียกว่าแทบทั้งเล่ม เพราะอาตมาเรียนศิลปะมาก็ทำได้ทั้งนั้น ฟอนต์ต่างๆก็ออกเองแทบจะเรียกว่าคนเดียวเหมาทั้งเล่ม ทำอยู่ได้ 3 เล่มหมดแรง ไปไม่รอด
คำว่าอโศกก็เลยฝังในเลือด ก็เลยมาเรียกพวกเราว่าเป็นชาวอโศกก็ติดกันมาอย่างนั้น นี่ก็เล่าประวัติที่ไปที่มา
จะถึงสาธารณโภคีต้องเรียนรู้ให้ถึง จิต เจตสิก รูป นิพพาน
สาราณียธรรม 6 มันมีสาธารณโภคีอยู่ในข้อที่ 4 ในสาราณียธรรม 6 ใครจำได้ทั้ง 6 ข้อบ้างยกมือ..ได้ไม่มากเท่าไหร่ ไม่น่าจะจำไม่ได้ มันง่ายจะตาย 3 ข้อแรกคือ เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม มโนกรรม..ตีกินไปแล้ว 3 ข้อ ข้อ 4 คือลาภที่ได้โดยธรรม แล้วเอามารวมกันกินกันใช้เป็นสาธารณโภคี นี่แหละก็คือข้อสาธารณโภคี ค่อยๆขยายความว่าคืออะไร
แล้วข้อ 5 ข้อ 6 ก็คือปฏิบัติธรรม ต่างก็มาปฏิบัติธรรมมีศีลสามัญญตา มีทิฏฐิสามัญญตา ต่างคนต่างมีศีล ต่างคนต่างมีทิฏฐิอย่างไร ก็ต่างคนต่างปฏิบัติของตนของตน สมานกันอยู่เรียกว่า ทิฏฐิสามัญญาตาหรือศีลสามัญญาตา
คนมีศีล 5 คนมีศีล 8 คนมีศีล 10 คนมีศีล 43 ก็อยู่กันอย่างเสมอสมานกัน รู้กัน เคารพกัน สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อยู่ด้วยกันช่วยเหลือกัน รักกัน เคารพกัน รู้กัน ว่าคนสูงคนนั้นต่ำก็คารวะกันไป เกื้อกูลกันไป สังคหะไม่วิวาทกัน สามัคคียะ เอกีภาวะ อยู่กันอย่างเป็นปึกแผ่น มันมีคุณสมบัติทั้ง 6 อย่างนี้ครบ
เฉพาะข้อที่ 4 อย่างที่คุณถามมา สาราณียธรรม 6 สาราณียะ แปลว่า สัมพันธ์กัน ระลึกถึงกัน ทั้งนอกทั้งใน แล้วก็ สัมพันธ์กันภายนอก ระลึกถึงก็ไม่ใช่ระลึกถึงเฉยๆ ระลึกแล้วปฏิบัติประพฤติด้วย มาพบกัน ช่วยเหลือกัน อยู่ด้วยกันด้วย ไม่ใช่แค่ระลึกเท่านั้น อย่างพวกเราอยู่ด้วยกันเป็นหมู่กลุ่ม สาราณียธรรม 6 เป็นสังคมสาราณียธรรม 6 อยู่กันด้วย สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกาอยู่ด้วยกันอย่างสาธารณโภคี ศีลข้อปฏิบัติไป ศีลสามัญตา เหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้างก็อยู่ร่วมกันไป ทิฏฐิสามัญตา
สำคัญอยู่ที่สาธารณโภคี ในคำที่ท่านว่ามาเป็นบาลีคือ ลาภธัมมิกา ลาภที่ได้โดยธรรม อยู่ต่างคนต่างก็ปฏิบัติตน มีพฤติกรรม กาย วาจา ใจ ทำการทำงาน ก็ได้ลาภมาโดยธรรม ไม่ไปได้ลาภ อย่างทุจริต อย่างไม่เข้าท่า ลาภได้มาอย่างสุจริตโดยธรรม ก็เอามารวมเป็นกองกลาง ใช้กินร่วมกัน ไม่ยึดว่าเป็นของตัวของตน
ซึ่งมันเป็นพฤติกรรมมนุษย์ เป็นพฤติกรรมสังคมที่ยิ่งใหญ่ เท่ากับคนอยู่ในหมู่กลุ่มนี้ สังคมนี้หรือถ้าว่าจริงๆแล้วประเทศนี้เลย หมู่กลุ่มอยู่กันเป็นกลุ่มชุมชนหมู่ ถ้าเต็มประเทศเลยก็เป็นประเทศ สาธารณโภคี ซึ่งเป็นไปไม่ได้หรือเป็นไปได้ยากมาก ยากจนอาตมามองเห็นว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก ระดับประเทศ
ก็ได้สังคมอย่างที่เราเป็นกันนี้ สังคมชาวอโศก ชุมชนหมู่กลุ่มอยู่กันอย่างเป็นสังคมเป็นหมู่บ้าน เป็นสังคมเรา ไม่ได้ไปขอตั้งเป็นทางการทั้งหมด เราตั้งอยู่ได้ 2 ชุมชนเท่านั้นคือ ชุมชนราชธานีอโศกกับชุมชนศีรษะอโศก ไปขอตั้งเป็นหมู่บ้านทางการก็เลยได้เป็นหมู่บ้านขึ้นตามมหาดไทย กระทรวงมหาดไทยเป็นหมู่บ้านทาง ราชการ ต้องมีผู้ใหญ่บ้าน ต้องมีเจ้าหน้าที่ ต้องมีอะไรต่ออะไรตามระบบของมหาดไทยเขา เป็นอยู่ในสายราชการโดยตรง
เราก็อยู่กันอย่างนี้ของเราเป็นสาธารณโภคี กลุ่มอื่นที่ไม่ได้ไปขอก็มีอยู่ 20-30 ชุมชน เล็กๆน้อยๆไปชุมชนที่มีมากหน่อยมีหลายร้อยหรือน้อยกว่าร้อยคนเล็กๆน้อยๆก็เป็นชุมชนเล็กๆน้อยๆ บางชุมชนมี 5 คน 10 คน 20 คนอะไรอย่างนี้ ก็มีอยู่หลาย 10 ชุมชน
ทุกชุมชนเป็นสาธารณโภคีของชาวอโศกทั้งหมด มีรายละเอียดลงไปที่สาธารณโภคี สาธารณโภคีนี้เป็นเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ยิ่งกว่ายูโทเปีย เป็นส่วนกลาง ทุกคนเสมอสมานกัน ทุกคนอยู่ด้วยกันอย่าง มันเหมือนกับถอดแบบของจีนที่เขาเรียกว่ากงสี เป็นพี่เป็นน้องกันหมดเลยทรัพย์ศฤงคาร ทรัพย์เอาเข้ากลุ่มเอาเข้าส่วนกลาง
ของกงสีของสังคมอย่างของจีน เขาเรียกว่ากงสีนี้ พอจะแยกไป เขายังแบ่งทรัพย์ศฤงคารไปนะ ของเขานี่จะแบ่งให้กัน ใครแยกออกจากกงสีไปก็แบ่งไป ให้พอสมควร เป็นกงสีของเขาอย่างนั้น
แต่ของเราสาธารณโภคีนี้ไม่มีแยก ไม่มีใครแบ่งไปได้ ทุกคนเข้ามาอยู่ในชุมชนอยู่ในสังคมนี้ได้เลย ถ้าคุณมีพื้นฐาน ไม่มีอบายมุข ไม่กินเนื้อสัตว์ ถือศีล 5 มีคุณธรรมแค่นี้ เป็นเงื่อนไขว่ามาอยู่ในหมู่นี้ได้ คุณมีคุณธรรมก็อยู่ได้ไปจนตาย อยู่ได้จนตาย อยู่ร่วมกันได้
แต่มาอยู่ในนี้แล้วสาธารณโภคีหมายความว่า ก็ทำงานร่วมกัน เสร็จแล้วรายได้ สิ่งที่เป็นผลผลิต เป็นเงินเป็นทอง เป็นอะไร ก็มากินใช้ร่วมกันหมด มันมีมากจนกระทั่งพวกเรา มีอยู่มีกิน พออยู่พอกิน มีความเข้าใจว่าชีวิตที่มีปัจจัยแห่งชีวิต เรียกว่า ปัจจัย 4 ข้าว ผ้า ยาบ้าน พอกินพอใช้อุดมสมบูรณ์ เหลือแจกด้วย แจกเลยอย่าว่าแต่ขาย ขายก็ขายถูกๆ จนแจกได้ก็แจกกันอยู่จริงๆ เป็นการพิสูจน์ความจริง พิสูจน์ผลสำเร็จได้จริงๆเลย
แล้ว พวกเรามาปฏิบัติธรรมก็ได้ธรรมะ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ได้ ลดตัวตน ลดกิเลสได้ นี่เป็นสัจจะความจริง ถ้าใครที่มาอยู่ในนี้อยู่ไม่ได้ก็แสดงว่าจิตมันยังมีกิเลสมากเกิน เกินกว่า ทั้งๆที่อยู่นี่แสนจะสบายแล้ว คุณอยู่อย่างนี้ก็มันจะมีน้อย มันจะมีวรรณะ 9 อยู่กันอย่างง่ายๆเลี้ยงง่าย กินง่าย อยู่ง่าย ไปง่าย มาง่าย ถ้าใครไปยาก มายาก กินยาก อยู่ยาก นั่งยาก นอนยากอะไรอยู่ คุณก็อยู่ไม่ได้ เพราะคุณเป็นคนเรื่องมาก ติดมาก ยึดมาก คุณก็อยู่ไม่ได้
เพราะฉะนั้นถ้าคุณเองเป็นคนไม่เรื่องมาก กินง่าย อยู่ง่าย ไปง่าย มาง่าย ยังชีพไปได้ง่ายก็เรียกว่า สุภระ เป็นการพิสูจน์ยืนยันว่าชาวอโศกมาอยู่ที่นี่เป็นคนเลี้ยงง่ายทั้งนั้น เขาอยู่ได้ของเขาเอง ไม่ต้องไปเลี้ยงอะไรมาก ก็อยู่เลี้ยงกันนี่แหละ กินอยู่ร่วมกันเลี้ยงดูกันไป
เลี้ยงง่าย พัฒนาให้เจริญ สุโปสะ หมายความว่า เจริญ บำรุงง่าย พัฒนาให้เจริญ มันเจริญได้ยากมากเลยสำหรับคนที่จะเจริญโลกุตรธรรม ใช่ไหม วัดวาต่างๆเขาทำได้ไหม…ไม่ได้ พัฒนาให้เจริญโลกุตรธรรมได้ไหม….? ไม่ได้ ไม่มีวัดไหนหรือไม่มีสังคมพุทธกลุ่มไหน สำนักนั้นสำนักนี้ อาจารย์ที่ได้รับนับถือพาบรรลุโลกุตรธรรมได้หรอก โดยอาจารย์นั้น อาตมาว่าไม่มี
เพราะว่าโลกุตรธรรมไม่ได้หมายความว่าธรรมะที่พูดเล่นๆเข้าใจเล่นๆ มันไม่ใช่ มันต้องครบจิต เจตสิก รูป นิพพาน มันต้องหยั่งเข้าถึงกายในกาย จิตในจิต เพราะฉะนั้นถ้ามีกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ทรงไว้ซึ่งธรรม มันจะมีสภาพ 2 ภายนอกภายในซึ่งก็คือ กาย
เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่ากายคำเดียวนี้เข้าใจไม่ได้ ก็คือไม่พ้นสังโยชน์ข้อที่ 1 เช่นไปเข้าใจว่า กายคือภายนอกอย่างเดียว เป็นรูปธรรม วัตถุไม่มีจิตวิญญาณ ไม่มีเจตสิกเข้าไปร่วมเลย คนนี้มิจฉาทิฏฐิตลอดกาล ปฏิบัติธรรมให้ตายยังไงก็ไม่มีทางบรรลุโลกุตรธรรม ไม่มีนิพพานเด็ดขาด ไม่รู้กาย
ต้องให้หลุดพ้นทางกายภายนอก หลุดพ้นชนิดที่อยู่เหนือมัน ไม่ใช่หลุดพ้นแบบต้องหนี ไม่สัมผัส ไม่แตะต้อง ไม่เกี่ยว ไม่ข้อง ไม่ใช่ แต่เกี่ยวข้องไม่ข้องติด เกี่ยวอยู่ สัมพันธ์อยู่ทำงานร่วมกันอยู่อย่างสนิทเนียนด้วย แต่ไม่มีกิเลสเกิด เป็นอรหัตตผลหรือเป็นอรหันต์ คนจะร้ายก็ร้ายของเขา คนจะไม่ไหวก็เป็นความแย่ของเขา ของเราก็สงสาร แต่รู้เขารู้เราอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเป็นคุณธรรมที่สุดพิเศษ
สาธารณโภคี มันถึงขั้นตัวตนทำงานแล้วไม่ยึดเป็นของตน เอาเข้ากองกลางหมด เท่ากับเสียภาษี 100% ซึ่งความคิดอย่าง Thomas More ที่เขาร่างเรื่องยูโทเปียของเขาเอาไว้นั้น ยังไม่ได้ถึงเท่าพระพุทธเจ้า ยังไม่ได้ถึงเท่า และเป็นไปไม่ได้ด้วย เพราะเขาไม่มีวิธีการ ไม่มีความรู้ถึงขั้นจิตเจตสิกรูปนิพพาน ไม่สามารถที่จะเข้าใจจิต แล้วก็แยกเป็นเจตสิก แล้วก็จัดการกับเจตสิก ตัวสำคัญที่สุดก็คือ เวทนา เวทนาเจตสิก
เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจเวทนาเจตสิกแล้ว ก็จัดการเรียนรู้เวทนาเจตสิก จนครบ 108 ผู้ที่เรียนเวทนา 108 ครบ รู้ตั้งแต่เวทนา 2 ตั้งแต่ความเป็นธาตุ ถือว่าเกี่ยวเนื่องกับกาย กับตัวเข้าไปในจิตเอง เรียกว่า กายิกเวทนาและเจตสิกเวทนา คือเวทนา 2
เวทนา 3 คือสุขทุกข์ แล้วไม่สุขไม่ทุกข์ก็คือ 3 สุขเวทนาทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา
เวทนา 5 เป็นภายนอก สุข-ทุกข์ เป็นภายใน โสมนัส-โทมนัส ก็เป็น 4 แล้ว สุขินทรีย์-ทุกขินทรีย์ โทมนัส โสมนัส อุเบกขินทรีย์
สุขินทรีย์ ทุกขินทรีย์ ข้องกับภายนอกนะ ส่วนได้ภายนอกแล้วก็เหลือภายในจิตก็จัดการ ยังเหลือโสมนัส โทมนัส ก็ลดลงไปจนไม่มีโสมนัส โทมนัส จิตก็บริสุทธิ์แล้วก็ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์เพราะไม่ใช่ไปนั่งกดข่มจิต ไปนั่งหลับตากดข่มจิต มันก็ไม่สุขไม่ทุกข์เขาทำได้ เป็นปฐมฌาน จิตไม่มีนิวรณ์แต่มันเป็น อสัญญี หรืออย่างเก่งก็แค่ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ถ้าไม่เก่งกลายเป็น อากิญจัญญายตนะ
อากิญจัญญายตนะ แบบไหนก็นึกว่ามันไม่มีแล้ว พวกมิจฉาทิฏฐิอย่าง อาฬารดาบส ได้แค่ อากิญจัญญายตนะ อุทกดาบส ได้ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ซึ่งยังมิจฉาทิฏฐิอยู่
ก็จริงๆแล้ว อุทกดาบส ได้ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็หมายความว่า เขาไม่สนิทใจเท่า อาฬารดาบส
อาฬารดาบส รู้สึกว่าไม่มีนิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่มี แต่แท้จริงมันไม่ใช่ มันยังมีจิตอยู่ แต่คุณไปกดข่มมันจนกระทั่งมันไม่รู้สึกดิ้น แล้วคุณก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่จิต มันต้องให้มันทำงาน จิตต้องให้มันรับรู้แล้วคุณไปกดมันไว้จนกระทั่งกดมันได้สนิท จนคุณมีภูมิรู้แค่กดสนิท มันแว๊บไปนิดหน่อยคุณก็ไม่รู้สึก แต่ อุทกดาบส มีความรู้สึกได้ว่ามันยังมีนะ แว๊บ เอ๊ มีหรือมันไม่มีนะ ธาตุรู้ที่ไปดับมันไว้ เขาก็เลย เนวสัญญานาสัญญายตนะ มันใช่หรือไม่ใช่ว่าได้แค่นั้นพยัญชนะก็ได้แค่นั้น เนวสัญญานาสัญญายตนะ
แล้วฐานที่ปฏิบัติของคน เดียรถีย์ ฤาษีดาบส ทั้งหลายด้วยวิธีนั่งหลับตาสะกดจิตก็ได้แค่นี้สูงสุด
ถ้าดับ ดับ กระทั่งมันเป็น อสัญญีสัตว์ ก็คล้ายกันกับ อากิญจัญญายตนะ
อากิญจัญญายตนะ คือนิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่มี แต่ถ้าเป็นวิญญาณฐีติก็จบที่ อากิญจัญญายตนะ ไม่มีนิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่มีคือไม่มีกิเลส หยาบ กลาง ละเอียด หมด ผงธุลีละอองอะไรก็ไม่เหลือเศษ อรูป อะไรก็ไม่มีแล้ว
เพราะฉะนั้นวิญญาณฐิติก็เปิดตา เปิดเห็นสว่าง ตามธรรมดา หลับตาคุณก็ไม่มีอะไรมีแต่มืด ถ้าหลับตายังมีแสงอยู่นั้น มันก็เป็นอุปาทาน
พระอรหันต์ขึ้นไป โดยเฉพาะพระอรหันต์ที่สัมมาทิฏฐิจริงๆหลับตาก็มีแต่มืด ผนังตาหลับลงไป บางทีแสงมันเยอะก็สะท้อนเข้าไปภายในได้บ้าง แต่ถ้าไม่มีเลยหลับตาในที่มืด มันก็มืดธรรมดา ถ้าเห็นแว้บๆวับๆคืออุปาทาน จะเป็นแสงสีขาว สีเหลือง สีแดง สีม่วงสีน้ำเงินอะไรก็ตาม ยังเหลืออุปาทาน คนที่หลับตาแล้วยังไม่สัมมาทิฏฐิสูงสุดมันเป็นอุปาทานแล้วมันก็เป็นสัญญาจำได้ มันก็มีแว้บๆ มีแสงสีอะไรนิดๆ แต่หลับตาแล้วก็มืด อย่างนี้ เป็นต้น
เพราะฉะนั้นลักษณะของสัจจะความจริงของธรรมะทั้งหลาย อาตมาเกิดมาในปางนี้ชาตินี้ มาขยายควมต่างๆ จนกระทั่งอาตมานึกว่า เราขยายไปทำไมมันยังไม่หมดสักที มันยิ่งเหลือละเอียดลึกซึ้งเข้าไปต่างๆนานา จึงเห็นว่ามันเป็น อจินไตย จริงๆมันเป็นเรื่องไม่ใช่จะขบคิดได้
เพราะฉะนั้นคนที่ไม่เข้าใจอาตมา อาตมาก็ได้แต่สงสาร เห็นใจเขา เห็นว่ายุคนี้เป็นยุคเสื่อมจริงๆ เราเอาความจริงของพระพุทธเจ้ามาประกาศ เอามาแสดง
_สู่แดนธรรม… คำถามของคุณช่อทิพย์ หนูทองที่ถาม ธรรมะที่เป็น สาราณียธรรม 6 กับ สาธารณโภคี พ่อท่านจะเอาอะไรสอนอีก ผมก็เลยคิดว่าทำให้บูรณาการต่อไปอีกสูงสุดต่อไปอีก
พ่อครูว่า… เอาละเอียด ที่อธิบายละเอียดนี้ให้มันมาหยาบให้คุณเห็น จับละเอียดพยายามพูด ให้หยาบ ให้คุณเห็นให้คุณเข้าใจเรียกว่า หงายของคว่ำให้หงาย จุดไฟในที่มืด ทำความละเอียดมาให้เป็นความหยาบ ทำความลึกมาให้เป็นความตื้น ให้พวกคุณเข้าใจ นี่คือสิ่งที่อาตมาจะทำต่อไป
_สู่แดนธรรม… ในธรรมะ 2 ประการนี้ มันเป็นประโยชน์ต่อสังคม ผมก็เลยเห็นว่าพ่อท่านให้แค่เศรษฐศาสตร์ยังไม่พอ ยังจะต้องให้เกี่ยวกับประชาธิปไตยอีก
พ่อครูว่า… สรุปไปแล้วว่าธรรมะพุทธเจ้าครบทั้งเศรษฐศาสตร์สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ เป็นแต่เพียงว่าไม่ไปรวบเอาวิศวกรรมศาสตร์อะไรศาสตร์ๆอะไรมาเท่านั้นเอง มันก็รวมไว้หมดแล้ว
_นางจับใจ ธนะโภค : กราบนมัสการพ่อครูฯ ขอน้อมกราบรายงานและเรียนถาม ดังนี้ค่ะ
-
ฟังธรรมครั้งที่แล้วดิฉันได้ปัญญาเพิ่ม และลองนำมาฝึกปฎิบัติ เน้นสติไวต่อผัสสะ บางครั้งก็จัดการกิเลสโทสะได้ทัน บางครั้งก็ไม่ทัน(โผล่มานิดๆ) ค่ะ
พ่อครูว่า… นี่ที่พวกเรารายงานมาก็ทำให้อาตมาภูมิใจว่าสามารถทำให้พวกเราทำใจในใจได้มรรคได้ผลไปตามลำดับ อย่างที่อธิบายพูดมาสื่อมา อาตมาก็รู้แล้วว่าตรงหรือไม่ตรง
-
ดิฉันจะออกกำลังกายช่วงเช้าๆ บริเวณตรงหน้าบ้าน ใครผ่านไป-มา ดิฉันก็จะยกมือไหว้ทักทาย โจทย์(ลูก) ถามดิฉันว่าแม่รู้จักเขาเหรอถึงไปยกมือไหว้เขา ช่วงที่โจทย์(ลูก) ถาม ทำให้ดิฉันได้ทบทวน และเข้าใจเป้าหมายในการปฏิบัติของตัวดิฉันเอง จึงไม่อธิบายให้โจทย์(ลูก)เข้าใจ การปฎิบัติของดิฉันสุดโต่งหรือไม่คะ
พ่อครูว่า… ดีมาก ไม่สุดโต่งหรอก แต่ขี้เกียจอธิบายให้ลูกฟัง ก็คิดว่าอธิบายก็คงไม่เข้าใจ ยังไม่อยากอธิบายก็ว่าไป ดี นี่แหละดีแล้ว ทำให้เห็นว่าได้ผลกันจริงๆ ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรมะ นี่แหละเกิดอาริยธรรมที่แท้
ปล.*** ดิฉันเป็นคนดื้อ-รั้น ดื้อด้าน มันทำลายชีวิตดิฉันไปมาก แต่ก็จะไม่ย่อท้อ ขอให้พ่อครูฯ แนะนำสั่งสอนตักเตือนค่ะ น้อมกราบขอบพระคุณพ่อครูฯ มาด้วยความเคารพอย่างสูง
พ่อครูว่า… อาตมาก็ยังทำงานได้อยู่ก็ตามไปก็แล้วกัน ติดตามไป เดี๋ยวนี้สื่อสารมันดี อยู่ที่ไหนก็เชื่อมต่อกันได้ แม้แต่เทศน์ขณะนี้ก็เปิดดูได้เลย
ขัดเกลาใจตนอย่างไรให้เกิดปัญญาอันยิ่ง
_ภิญญา สว่างแสง · ประทับใจ แก้ความโกรธ ด้วยการฝึกขัดใจตัวเอง
พ่อครูว่า… ประทับใจตัวเองนี่คือปิติ มันโกรธก็ขัดใจจนมันไม่โกรธ มันโลภก็ขัดใจมันอย่าไปโลภ อะไรอย่างนี้ ก็ทำได้ก็ดี ก็ใช้ปัญญา ถ้าขัดเฉยๆไปสะกดไว้ กดไว้ มันไม่หมด ต้องทำปัญญาให้แจ้ง ศัพท์คำว่า ทำปัญญาให้แจ้ง นี้ยิ่งใหญ่ ให้รู้ตามความเป็นจริง รู้อะไรรู้ว่าโกรธ ก็ไปโกรธมันทำไมอาการโกรธ มันดีนักหรืออย่างน้อยอย่างมากก็แล้วแต่ ไปกดข่มทันทีมาก็ได้จะได้สมถะ แต่เอาอย่างวิปัสสนาสิ วิจัยวิจารว่า เออ เราจะไปให้อารมณ์อย่างที่มันโกรธเกิดอารมณ์อย่างนั้นขึ้นมา อารมณ์นั้นใครทำ อาการโกรธ อารมณ์โกรธอาการโกรธใครทำ … กูเอง
อาการโลภ ใครทำ..กูเอง ถ้าไม่โลภไม่โกรธ ใครทำ ก็เราทำ ถ้าทำอย่างรู้อาการว่าอาการไม่โลภเป็นอย่างนี้ ไม่โกรธเป็นยังไง นี่คือตัววิปัสสนารู้จัก อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ก็คือคำอธิบายที่อาตมากำลังยกหัวข้อต่างๆมาขยายความ คืออุเทส
ก็อ่าน อาการ ลิงค นิมิต อาการข้างนอกหยาบๆทางกายกรรมวจีกรรมก็รู้ง่าย ทางใจก็ต้องเรียนรู้อาการ นิมิตก็คือกำหนดรู้ว่าอาการอย่างนี้ หมายรู้อาการอย่างนี้ นิมิตมีเครื่องหมายว่าอาการอย่างนี้ นิมิตมันเป็นสภาวะ static อาการมันเป็นสภาวะ dynamic
แล้วมันก็ขยายความแตกต่าง 1. มันโกรธ 2. อาการไม่โกรธ ใจของเราอาการมันจะเห็นความแตกต่างว่าการโกรธ มันเป็นอย่างนี้นี่เรียกว่าอาการโกรธ ตอนนี้ทำได้แล้วอาการในใจเรา มันไม่โกรธ เออ.. มันไม่โกรธลดลง ก็เห็นความแตกต่าง ลิงคะ ความแตกต่างของอาการจิต
นี่ ไปศึกษาอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาไม่มีเหตุจริงเป็นจริง ไปนั่งอยู่แต่ในอดีต 18 อยู่ในอนาคต 44 นั่งหลับตาขออภัยเถอะ ไม่รู้จะแทงด้วยหอก 100 เล่มเช้า แทงด้วยหอก 100 เล่มกลางวัน เย็นอีก 100 เล่ม ไม่รู้จะแทงพวกนั่งหลับตายังไง จะเข้าสักกะนิดหนึ่งไหม แทงหนังมันเหนียว ทำไมมันยึดมั่นถือมั่นกันจน หอก อาตมาก็หักไปไม่รู้เท่าไหร่ จะไม่หยุดแทง เราพม่าแทงกบ อ้อ.. ขออภัยแล้วไม่เอาแล้ว เลิกแทงกบ
_อ๋อย เอื้อมพร · จะนำเทคนิคการขัดใจตัวเองตามที่ท่านสิริฯกรุณาอธิบายให้ฟังค่ะ เผื่อว่าขึ้นเวทีครั้งต่อไปจะได้มีโอกาสชนะบ้างค่ะ
กรรมฐานของพุทธคือเวทนา 108 ที่เป็นทิฏฐธรรม
_ใจธรรม สิทธินาวิน · กราบนมัสการพ่อครู สมณะ สิกขมาตุ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ วันอังคารที่ 29 ส.ค. 66 ได้ฟังความละเอียดเรื่องความโกรธ มีประโยชน์มากค่ะ
พ่อครูว่า… นี่แหละการปฏิบัติธรรมเรียนธรรมะ เรียนอ่านจิตเจตสิกของเรา อ่านอาการ ไม่ใช่ไปนั่งสะกดจิตหลับตา แล้วไม่รู้เห็นไม่รู้เรื่องอะไร นั่งหลับตามันไม่มีความจริง มันไม่มี ทิฏฐธรรม มันไม่เป็นปัจจุบันชาติ
เพราะฉะนั้นไอ้กิเลสเกิด มันเป็นกิเลสเก๊ กิเลสสัญญา อยู่ในความนึกคิดขึ้นมา คิดขึ้นมาของเก่า หรือคิดใหม่ ที่เรียกว่าอดีตหรืออนาคต คิดเก่าหรือคิดใหม่ มันไม่มี ปัจจุบัน
คุณไปละกิเลส มันไม่มีให้ละ อดีตมันก็ไม่มีของจริง อนาคตมันก็ไม่มีของจริง แล้วคุณจะไปละของเก๊อยู่อย่างนั้นลมๆแล้งๆไปนั่งหลับตา พระพุทธเจ้าก็ตรัสสูตรแรกใน พรหมชาลสูตร มิจฉาทิฏฐิไปนั่งหลับตานี่แหละ แต่เขาอ่านพระไตรปิฎกไม่แตก มันก็จะมีแต่อดีต 18 อนาคต 44 มันไม่มี ทิฏฐธรรม ไม่มีทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ ทิฏฐิที่ไม่มีทิฏฐธรรม มันทำนิพพานไม่ได้ มันต้องมีทิฏฐธรรมจึงจะทำได้ตั้งแต่ กามแล้วก็ฌาน 1 2 3 4 เรียกว่าทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ 5 ประการในทิฏฐิ 62
ต้องมีทิฏฐธรรม คือมีเหตุปัจจัย มีสัมผัสเป็นปัจจัยเกิดจริง จึงจะเกิดขณะนี้ กิเลสมันก็เกิดคือกิเลสจริงๆ แต่ไปนั่งคิดนึกเอา ก็คือกิเลสที่นึกขึ้นมาเป็นของเก่ากับของสมมุติขึ้นมาใหม่ อนาคตอาจจะเป็นที่เคยคิดแล้ว แต่ก็ไปคิดฟุ้งอยู่ มันไม่เคยได้ ไม่เคยผ่านขันธ์ มันถึงเรียกว่าระลึกถึงขันธ์ แล้วก็ติดตามเรื่องราวในขันธ์ที่เราเคยระลึก เป็นอดีตก็ผ่านไปแล้ว ซึ่งก็ละเอียดลออ เรื่องทิฏฐิ 62 อาตมาก็ยังไม่บังอาจจะเอามาอธิบายได้ละเอียดลออเท่าไหร่ ก็เอาไว้ก่อน
_ละเอียดเรื่องความโกรธ มีประโยชน์มากค่ะ ต่อไปเวลาเจอโจทย์ก็มีอาวุธทางปัญญาจัดการได้เร็วขึ้น ถ้ายังไม่เจอโจทย์ ก็หัดขัดใจตัวเองฝึกเอาไว้ เวลาเจอโจทย์ ก็จะมีฝีมือในการจัดการค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า… เอา นี่ ได้ประโยชน์ได้มรรคได้ผลขึ้นมาจริงๆ เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าไปนั่งหลับตา มันไม่มีมรรคไม่มีผล อาตมาก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรที่จะ.. เขาไม่ฟังนะที่อาตมาพูด เขาตีทิ้งเลย เขาไม่ฟัง เขาไปฟังโวหารมหาบัว โวหารใครต่อใครหรือดีไม่ดีก็ทางเถรสมาคมก็พูดไป เป็นพยัญชนะเป็นโวหาร เป็นความรู้เหตุและผล เป็นตรรกะทั้งนั้น เข้าไปหาจิตที่จะศึกษาจิตในจิต เจตสิก เพราะฉะนั้นเขาจะไม่อธิบายเหมือนอาตมาอธิบายเวทนา 108 นี่คือกรรมฐานของศาสนา นี่แหละถ้าทำกรรมฐานของศาสนา 108 นี้ สามารถที่จะแยกธรรมะ 2 โดยเฉพาะเวทนา 2 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ ) ล.10 ข.60
มันมีเวทนา 2 เวทนาเก๊กับเวทนาแท้ แล้วเราทำให้เวทนาเก๊หมดไปเหลือแต่เวทนาแท้ รู้ความจริงตามความเป็นจริง คุณก็บรรลุธรรม
อภิสิทธิ์ของคุณทักษิณยิ่งทำให้ตกนรกซับซ้อน
_Kanyaluck Bodhipreechakul กัญญาลักษณ์ โพธิปรีชากุล : กราบเรียนสอบถามค่ะว่า
ทำไมคุณรสนา ที่เคยชูนโยบายตอนหาเสียงฯ ให้เลือกคนดีมีศีล ถึงได้ให้ความเห็นฝักใฝ่อีกฝ่ายที่มีพฤติกรรมตรงกันข้ามกับคนดีมีศีลคะ🙏 หากเข้าใจผิดพลาดประการใด ได้โปรดชี้แนะด้วยค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ🙏
พ่อครูว่า… มันก็มีตามภูมิของรสนา เขาอาจจะไปถือภาษายุคนี้ที่เขาใช้ว่า ปรองดอง ก็เอา ประสาน เพื่อการปรองดอง ถือว่าเป็นการปรองดอง ติดคุก 8 ปีก็ลดเหลือปีหนึ่งก็แล้วกัน ปรองดอง ปรองดอง
พูดถึง 8 ปีแล้วเหลือ 1 ปีนี้ ตื้นๆง่ายๆเขาต้องดีใจนะทักษิณ ในความมีอภิสิทธิ์อิทธิพลของเขายิ่งใหญ่ อันนี้จริงๆแล้วเป็นกิเลสอนุสัยอาสวะที่หยาบต่ำ ที่โง่ดึกดำบรรพ์ เป็นอวิชชาหนักที่ทักษิณเขาได้ อันนี้แหละน่าสงสารที่สุด ที่เขายิ่งได้ แล้วได้ยิ่งได้สิ่งที่มันไม่ควรจะได้ ไม่ควรจะรับ แต่ถ้าอย่างนี้เขาว่า ไม่ถูกหรอกผมจะติดคุก 8 ปี ติดคุก 1 ปีนี่มันอภิสิทธิ์ยิ่งใหญ่มันไม่ไหว เขาจะคิดไม่ออกอันนี้ แล้วเขาจะไม่ทำเด็ดขาดเลย พนันกันไหม เอ๊..อาตมาผิดศีลไหมชวนมาเล่นการพนัน
_สู่แดนธรรม… นี่ถ้าอภัยโทษไปอาจจะติดมากกว่าอีกนะ ถ้าเขายอมติดคุก 8 ปีก็อภัยโทษได้ดีกว่านี้
พ่อครูว่า… นี่คือความเข้าใจผิด ยิ่งตัวเองได้กิเลสแล้วก็นึกว่าตัวเองได้ที่จริงเขาเสีย เขาเสียเขาไม่รู้ เขาได้เปรียบ เขาได้ทับทวีเลยได้เปรียบทับทวี ได้เปรียบอย่างอะไรต่ออะไรคือเขาได้ความผิด หรือได้บาปหรือได้นรก เขาก็ยิ่งทับนรกซับซ้อน เขานึกว่าเขาได้ เขานึกว่าเขาได้ มันเป็นภาวะหมุนรอบเชิงซ้อนที่เข้าใจยาก น่าสงสาร ก็ไม่รู้จะทำอะไรก็ช่วยไม่ได้ เขาไม่ศึกษาสัจธรรม เขาไปหลงโลกซะจนเลอะเทอะไปหมด
อาตมาก็พูดไปแล้วว่ารสนาก็อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องของการประนีประนอมปรองดองกันก็แล้วกัน ข้ามพ้นความขัดแย้งกันให้ได้อะไรก็ว่ากันไป
_ทรงยุทธ : กราบนมัสการครับ ในกรณีที่คนทางธรรมทำดี เราควรเอ่ยคำชื่นชมไหมครับ หรือว่าควรจะวางเฉย และในกรณีคนทางโลกเราควรชมไหมครับหรือว่าวางเฉย
พ่อครูว่า… คนทำดี ก็ควรชมพอสมควร อย่าไปชมกันมากมาย การที่ชมคนดีในกาละที่ควรชมก็คือสำทับ รับรอง เออ เขาทำดีในการละอันควรพูด ดีนะ ดีมาก อย่างอาตมาชม พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่ได้ชมมากชมมาย แต่เขาก็ว่า ก็มันไม่ค่อยมีคนให้ชมเท่าไหร่ อาตมาก็ชมอยู่ไม่กี่คน ชมในหลวง ร.9 ชมประยุทธ์อะไรอย่างนี้ เขาก็หาว่าไปชมมาก ก็ชมคนที่ควรชม ยกคนที่ควรยก ตำหนิ หรือข่มคนที่ควรข่มก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ เอาละ ก็พอเป็นไปตามภูมิตามปัญญาของคน
_ใบฟ้า ธัมทะมาลา · กราบเรียนเสนอความคิดเห็นการปรับเวลาเทศน์ของพ่อครู ให้เป็น 3 วันเหมือนเดิม เวลาเป็น 1 ชั่วโมง 30 นาที เหมาะสมในการดูแลสุขภาพพ่อครู ไม่ให้เกิดอาการไอ แต่หากพ่อครูไม่มีอาการไอ ก็ควรให้เป็นไปตามความประสงค์ และความเห็นควรของพ่อครู เพราะท่านมี โพธิสัตว์อัชฌาสัย กราบขอบพระคุณ คณะปัจฉาสมณะ เป็นอย่างสูง กราบนมัสการ ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ ใบฟ้า ธรรมะธารา นาวาบุญนิยม
พ่อครูว่า… ที่จริงเราก็ทำอย่างนั้นอยู่แล้วล่ะ ประมาณไว้ 1 ชั่วโมงครึ่ง มันเบรกไม่ดีก็ไถลๆไป ก็สูงสุดลิมิตสุดท้าย ก็ 2 ชั่วโมง เอาชั่วโมงหนึ่ง นี่เขาแนะมาเป็นชั่วโมงครึ่ง เราก็ทำๆอยู่ประมาณนั้น นอกจากว่ามันไม่ไหวจริงๆเอาชั่วโมงเดียวก็ว่าไป แต่มีน้อยจะเกิดอาการนั้น เอาล่ะดีก็ขอบคุณทุกคนที่แสดงความเห็นมา
_ตุ๊ก อัศวิน · พ่อครู ได้ปรารภธรรม ในรายการ ปรับทุกข์_ปลุกธรรม วันจันทร์ที่ 28/8/2566 ถึงเรื่อง ‘คำตำหนิ และ คำชม’ คำตำหนิ = การชี้ขุมทรัพย์ คำชม = การน้อมนำสู่ความเสื่อม ต่ำ การที่ ผู้ฟังธรรม ต่างได้สภาวะธรรม ในระดับต่างๆกัน อันเป็นไปตามภูมิธรรมแห่งตน ย่อมสำนึก สำเหนียกรู้ ในความเป็น ‘ปัจจัตตัง’ อันแจ้งแก่ใจตนเอง ก็ย่อมเปล่งวาจาว่า..สาาธุ สาาาธุ สาาาธุ ด้วยความเคารพสูงยิ่ง..เป็นต้น
ในห้องเรียน@เฮือน 0-0 แห่งนี้ เป็นดังดุจ ห้องเรียนร่วมกัน ของเหล่าสานุศิษย์ ที่มีตั้งแต่ ก่อนอนุบาล, อนุบาล, ประถมต้น, ประถมปลาย, มัธยมต้น, มัธยมปลาย, Freshy>>> Doctor
นั่นคือ มีทั้งบัว 4 เหล่า และ มีทั้งปลา 4 อย่าง ได้แก่ ปลาติมิ, ปลาติมิงคละ, ปลาติเมรปิงคละ, ปลามหาติมิงคละ นั่นแล
จึงขอโอกาสนี้ น้อมกราบขอบพระคุณในเมตตาธรรมของพ่อครู..ที่ กรุณาด้วยความ เพียรอย่างยิ่งในการให้ สัมมาทิฎฐิ (อย่างทุ่มเท เป็นการฝืนสังขารขันธ์ ในวัยย่าง 90 ปี )
น้อมกราบด้วยความเคารพสุดเศียรเกล้า เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…ก็ดี
ธรรมาธิปไตยคือเครื่องทำลายการยึดถือวรรณะ
_สู่แดนธรรม… มีคำถามจากไลน์ ด้อมสลิ่ม ต้องเตรียมรองเท้าเพื่อจะได้ไปออกกำลังกายเพื่อชาติเร็วๆนี้แล้วใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า… ก็ไม่รู้ อาตมาก็ไม่ใช่อาจารย์ฟองสนาน ก็ทำนายไม่ได้ ทำนายไม่ออก ว่าจะต้องไปหรือไม่ไป ก็ไม่รู้ได้ ก็พูดถึงลักษณะพวกนี้นี่ ตามประสาอาตมา
ตามประสาอาตมาก็เห็นว่าเมืองไทยนี้ มีตัวอย่างคนที่แย่ที่สุด แย่ชนิดที่เลวซับซ้อน กับคนที่ดีซับซ้อน คนที่ดีมาก ดีซับซ้อน กับคนที่เลวซับซ้อน ก็เห็นกันอยู่ชัดๆเลย อาตมาชัดนะ แต่ก็เห็นใจในคนที่เข้าใจไม่ค่อยได้
เพราะว่าคนจะเข้าใจ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เป็นคนหมดในการที่จะติด ติด ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แล้วก็ตัดขาด ไม่ติดแล้ว ตัดขาดเลย เหมือนพระพุทธเจ้าท่านตัดขาด พอท่านเห็นว่าไม่เอาแล้ว เรื่อง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ท่านก็ตัดปึ๊บ แล้วก็ออกมาพระบาทเปล่า ใช้ผ้าบังสุกุล นุ่งห่ม ซึ่งท่านเป็นกษัตริย์นะ ท่านเคยใส่รองเท้าทอง ทุกอย่างที่ใช้ฉลององค์ มันมีแต่อย่างชั้นดีหมด ท่านตัดพรวดเลย ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ยศชั้นต่างๆ หมด ทิ้งหมด มาเป็นคนเสมอสมานกับคนชั้นธรรมดา ธรรมชาติ
ยิ่งอินเดียเขามีทั้งจัณฑาล มีทั้งสูทร มีทั้งแพศย์ มีทั้งกษัตริย์พราหมณ์อะไร ยศชั้นถือชั้นวรรณะกันหนัก ท่านมาทำลายชั้นวรรณะหมดเลย มาบวชอยู่ในศาสนาพระพุทธเจ้าถือธรรมวินัยนี้ เลิก ชั้นวรรณะ อินเดียเขาติดจัดจนกระทั่งสุดท้ายเขาเลิกไม่ได้ Dr. Embeggars พยายาม เพราะ Dr. Embeggars แกเป็นจัณฑาล เป็นคนร่างรัฐธรรมนูญของอินเดียฉบับเดียว แล้วเดี๋ยวนี้ก็ยังใช้ฉบับนี้มาตลอด นี่ เรียกว่า static ไม่เปลี่ยนแปลง อย่างสมบูรณ์
อาตมา ดู ตามภูมิของอาตมาเห็นโลกเขาทั้งโลก เอาคำว่าประชาธิปไตย มาพูด คำว่าอธิปไตย เป็นของประชาชน
ประชาแล้วก็อธิปไตยเรียกว่าประชาธิปไตย อธิปไตยคืออำนาจหรือกำลังหรือพลังงาน หรือเรียกว่าแรง เรียกว่าฤทธิ์ยังได้เลย เป็นพลังงานแท้ๆ
เพราะฉะนั้นพลังงานหรืออำนาจหรือฤทธิ์แรงหรือกำลังของมัน ซึ่งมันมี ท่านแยกเอาไว้เป็น 3 อธิปไตย 3 ได้แก่ โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย และ ธรรมาธิปไตย ในยุคของพระพุทธเจ้า ในสมัยพระพุทธเจ้ายังไม่มีภาษานี้ ประชาธิปไตย เพราะมันเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ยังไม่มีพยัญชนะ ยังไม่มีภาษา แต่พระพุทธเจ้าท่านทำของท่านแล้ว เป็นประชาธิปไตย ทุกคนเสมอสมานกันหมด เลิกแม้แต่วรรณะ ผู้ใดมาอยู่ในรีตของพระพุทธเจ้ามาได้หมด ไม่ว่าจะเป็นจัณฑาล หรือ ศูทร แพศย์ ไม่ได้ติดยึดเลยทำลายกำแพงของวรรณะได้หมด
แล้วก็เข้าใจความสัมพันธ์เรียกว่าโลก ความสัมพันธ์คือการเกี่ยวข้องกันอยู่กับ ภายนอกภายใน กับคนทั้งปวง กับพฤติกรรมทั้งปวง กับจิตวิญญาณทั้งปวง จะเข้ากันได้อย่างไร เสมอสมานกันได้อย่างไร มีอะไรเป็นเหตุ ก็มีตัวโง่เป็นเหตุ ตัวถือดี ถือตัว ถือโลก ถือชั้นวรรณะของโลก ลาภยศสรรเสริญ ทุกวันนี้ที่ไหนก็มีชั้นวรรณะคนรวยคนจนแบ่งชั้นวรรณะ ดีไม่ดีอย่างอเมริกานี้ถือผิวอีก ชั้นวรรณะคนรวยคนจนไม่ต้องพูดเลย อย่างอเมริกาเขาว่าเขาไม่ถือ เขาไม่มีความรู้จริงไม่รู้จริงในจิตเจตสิกว่าเขายึดถือไม่ยึดถือ เขาไม่รู้หรอกไม่รู้ตัว เขาก็ทำกันปนกันเละ
พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรื่องให้รู้ว่ามีการเกี่ยวข้อง มีพลังงานหรือว่ามีแรงมีฤทธิ์เกี่ยวข้องกัน เป็นแรงเป็นอำนาจกับสิ่งที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันภายนอก
อัตตาคือตัวเรา เรายึดถือตัว เรายึดเข้าไปในตัวเราหนักยิ่งๆๆๆขึ้นไปเลย มันก็ยิ่งลึกเข้าไปในตัวอัตตา ส่วนโลกกว้างออกไปจนกระทั่งกลายเป็นเฟ้อ เป็นเพ้อเจ้อ เป็นฟุ้งซ่าน แล้วก็นึกว่านั่นแหละได้มาก ฟุ้งซ่านเพ้อเจ้อได้มาก ไม่มีตัวไม่มีตน ไม่มีเรื่องจริงก็เละไปหมดเลย เป็นนิรมาณกาย เป็นสิ่งที่ไม่มีของจริง สร้างภพสร้างชาติขึ้นมาหลงกันไป
พระพุทธเจ้าให้ตัดสินเรื่องของประโยชน์ เรียกว่า อายะ
-
พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) 2. พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) 3. โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)