660830 เป๊งพรึ่บ ถนนปันสุข ปลุกจิตโพธิสัตว์ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1RPO0-Fskv4urefpgtI-3ea3qWUF4G0uy/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1GdzfH4PWltScmD7HL_C15Sstsoz_mIOo/view?usp=sharing
และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660830-108-1-e28n6fb
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/A6bPAm_OuIQ
และ https://www.facebook.com/100078722032092/videos/1783881702047012/
สมณะเดินดิน… วันนี้วันพุธที่ 30 สิงหาคม 2566 ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้มีเหตุขัดข้องเรื่องเทคนิคเสียง ต้องขออภัยผู้ชมด้วย วันที่ 9 กันยายน 2566 จะมีการจัดมินิคอนเสิร์ต เพื่อประชาสัมพันธ์งาน คอนเสิร์ต 90 ปี บูชาครูรัก รักพงษ์ จะจัดมินิคอนเสิร์ตที่สันติอโศก เป็นความตั้งใจที่จะผลักดันเพลงของพ่อครูให้ร่วมสมัยกับสังคมยุคนี้
Timeline ของชาวอโศกก็จะมีงานต่อเนื่องไป วันที่ 13 ตุลาคม ก็เข้าเทศกาลกินเจ ชาวบ้านราชเตรียมตัวฟิตซ้อมร่างกายให้แข็งแรง ปลายเดือนจะมีวันออกพรรษา 30 ตุลาคม
ต้นเดือนพฤศจิกายนเข้าสู่งานมหาปวารณา ปลายเดือนธันวาคมเข้าสู่งานเพื่อฟ้าดิน อยู่บ้านราชฯก็มีกุศลให้พวกเราทำอย่างสมบูรณ์เลย ข่าวล่าสุดทางอำเภอมีโครงการจะทำถนนไปบ้านคำกลางมาจัดให้เป็นถนนปันสุข เป็นถนนตัวอย่างของอำเภอ พร้อมเมื่อไรทางนายกเทศมนตรีก็จะประสานกับเราอีกทีหนึ่ง เป็นกิจกรรมที่มีส่วนร่วมกับทางราชการ เป็นข่าวดีๆที่จะเกิดขึ้นกับหมู่บ้านของเรา
เป็นความเมตตาของพ่อครู ที่จะมาเทศน์จากเดิม 2 วันต่อสัปดาห์ ทาง FC บอกว่าห่างมากไป เลยต่อรองให้เป็น 3 วันต่อสัปดาห์แต่ให้วันละชั่วโมงครึ่ง แต่เบรคพ่อครูจะอยู่หรือเปล่าก็คอยดูกัน
การฝืนขันธ์อยู่ต่อไปของพ่อครูเพื่ออะไร
พ่อครูว่า… ไปได้ก็ไป ไปไม่ได้ก็จอดไม่มีปัญหาอะไร อาตมาก็เคยพูดเปรยๆไปบ่อยๆหลายทีแล้วว่า อาตมาตอนนี้มันฝืนขันธ์จริงๆ
-
กินอาหารก็ไม่ได้อยากกินเลย ไม่มีความอยาก ไม่อยากจริงๆ มันหายไปเลยความอยาก กินอาหารก็กิน เพราะว่ามันจะต้องเอาอาหารมาใส่ร่างกายเท่านั้น ให้เรื่องอร่อยไม่ต้องไปพูดหรอก มันหายไปนานแล้ว เดี๋ยวนี้มันเกินกว่าที่จะไม่อร่อยเท่านั้น มันกลายเป็นโอ้โห มันเห็นทุกข์ในการที่จะต้องกิน แล้วก็ทุกข์ในเวลากิน
มันเป็นสัจจะ เห็นทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไปอย่างแท้จริง นั่นก็เรื่องที่จะต้องเติมน้ำมัน เติมอาหาร เติมธาตุให้มัน
-
อายุขัยของอาตมามันหมด แล้วก็พยายามจะลากอายุขัยไป เจตนาก็เพื่อ 1.ทำงาน 2.เพื่อพิสูจน์สัจธรรมของพระพุทธเจ้าว่ามันจะลากไปได้ หยั่งดูว่ามันเป็นประโยชน์อยู่ไหม ลากไปถ้ามันติดเตียงหายใจพะงาบๆไม่มีประโยชน์อะไรได้หรือเป็นภาระคนอื่น มันไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่อยู่แล้ว นี่อยู่ไปก็พอทำได้ กำลังวังชาก็ไม่ใช่ว่าจนกระทั่งมันลำบากลำบนเกินไป อาตมานี่เทศน์นี่น่ะ มันมี อภิปโมทยังจิตตัง กว่าการกินเยอะ ให้มาเทศน์ เออ มันมี Appreciate กว่า ยังชื่นใจ พอใจ ยินดีกว่า กว่าจะให้กิน
แต่ก็อาตมาก็พูดตลอดเวลาว่าอายุขัยของอาตมามันประมาณ 72 ปี นี่ก็ต่ออายุขัยมาเกินไปได้ถึงขั้นหลายนักษัตร 1 นักษัตรมี 12 ปี 72 + 12 ปีเป็น 84 ปี และก็เกิน 84 มาแล้วจนถึง 90 ถ้าไปอีก 1 นักษัตรก็เป็น 96 ปี
กว่าจะถึง 96 ก็รู้สึกว่าลากขันธ์จริงๆเลย จะถึงหรือไม่ถึงก็ยังไม่รู้เลย ตั้งใจว่าจะอยู่ให้ถึง100 ตั้งใจอยู่ให้ถึง 100 ก็เพื่อพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้านั่นแหละ ว่าธรรมะพระพุทธเจ้ามีอิทธิบาทที่จะสามารถที่จะอายุ เกินกว่า กัปป์ ได้
คำว่า กัปป์ มันคือรอบของแต่ละอย่าง แต่ละกำหนด ชั่วโมงหนึ่งก็รอบของ 60 นาที วันหนึ่งก็รอบของ 24 ชั่วโมงอะไรอย่างนี้ เป็น กัปป์ๆ 100 ปี แล้วแต่จะกำหนด
พุทธกัปป์ของพุทธศาสนาอย่างศาสนาของพระสมณโคดมมีพุทธกัปป์ของท่าน 5,000 ปี อย่างนี้เป็นต้น
ก็ต่ออายุขัย อายุกัปป์กันไปก็เป็นการพิสูจน์สัจธรรม เกิดมาเป็นคนแล้วเราบริหารจิตแล้วจิตนี่แหละสามารถจะทำให้เป็นเช่นนั้นเช่นนี้ จนกระทั่งถึงขั้น อมตบุคคล คือ พระอรหันต์ที่วิมุติแล้ว ก็สามารถที่จะกำหนดการเกิดการตายได้
กำหนดการเกิดการตาย นี่ก็..ที่ยังไม่เก่งจริงๆก็คือ เป็นพระอรหันต์ที่ยังไม่เก่ง ก็กำหนดว่าเราตาย กายแตกตาย หลังตายเราไม่เกิดอีก เราแยกธาตุของเราเป็นดินน้ำไฟลมไปได้ หรือจะเกิดอีกตายแล้วยังไม่ ยังมีนิมิต ยังตั้งจิตต่อ ไม่สุญญตนิพพาน ตั้งจิตเกิดต่อไปได้อีก
แค่นี้แหละเถรวาทหรือว่าศาสนาพุทธในเมืองไทยจะเข้าใจว่าเป็นพระอรหันต์ตายแล้วต้องสูญ เท่านั้น ทุกรูป ไม่มีเกิดอีก นั่นก็คือเป็นพวกอุจเฉททิฏฐิ เป็นความเห็นอุจเฉททิฏฐิทำให้ศาสนาพุทธด้วนไป
ลองคิดดูถ้าผู้ใดจบอรหันต์ทุกองค์แล้วตายกายแตกต้อง 0 เท่านั้น ศาสนาพระพุทธเจ้าจะสั้นลงครึ่งหนึ่งเลย ไม่มีใครมาสืบทอดไม่มีใครต่อ เพราะว่าจบอรหันต์แล้วก็ตาย สูญ จบ พุทธกัปของศาสนาแต่ละองค์ แต่ละพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ ก็ ถูกตัดลงไปครึ่งหนึ่ง ครึ่งหนึ่ง หมดเลย อย่างนี้เป็นต้น
ที่จริงความคิดเช่นนี้จะว่าไปแล้วเป็นบาปมหันต์เลย ไปหั่นศาสนาพระพุทธเจ้าลงไป อย่าไปคิดเชียว อย่าไปคิดเช่นนั้น คนเข้าใจยังไม่ถูกต้อง ยังมิจฉาทิฏฐิซับซ้อน อาตมาก็นำมาขยายความมาเปิดเผยบอกว่าอย่าไปคิดผิด คิดผิดแล้วมันก็พาเสื่อม
ที่อาตมารู้ความจริงพวกนี้เพราะอาตมาเป็นโพธิสัตว์ เป็นผู้ที่ต่ออายุขัย เป็นผู้ที่รู้จักกันเกิดการตาย เป็นอมตะมาจนกระทั่งเข้าใจอมตะว่ามันเป็นเช่นนี้เอง จะเกิดก็ได้ จะตายก็ได้ และก็หมายถึงอะไรเกิด อะไรตาย เกิดอย่างไร ตายอย่างไร
พระอรหันต์ที่เก่งจริงๆถึงขนาดขั้น ตายอย่างกำหนดเลย จะตายวันนั้นวันนี้ บางองค์บอกเดินไปก้าวที่ 7 ตายตรงนั้น มีนะอย่างนี้เป็นต้น อย่างอาตมายังไม่สามารถจะกำหนดได้ถึงขนาดนั้นแน่นอน นี่เป็นเรื่องของจิต เป็นเรื่องของความสามารถ ความวิเศษของจิต
เข้าสู่ SMS จะเป็นไกด์ในการขยายธรรมะไปเรื่อยๆ ความเห็นของแต่ละคนที่ SMS มา
สวดสัพพีหลังใส่บาตรนี้เป็นเรื่องเนื้องอกของศาสนาพุทธ
_โยมที่สันติ …กราบนมัสการค่ะ เมื่อวาน ตอนทานข้าว หม่องแซ่บ คุยกับพี่ผู้หญิงคนหนึ่ง เค้าบอก พระที่นี่แปลก ตอนเราใส่บาตรแล้ว ก็รับบาตรเฉยๆ ไม่เห็นสวดสัพพีฯ ให้เลย…. อิ๊มเลยยิ้มเฉยๆ ขอเรียนถาม ถ้าได้เจออีก ควรตอบไงดีค่ะ เพื่อให้คนข้างนอกเข้าใจมากขึ้น
พ่อครูว่า… ก็ค่อยๆตอบ ในการตอบผิดแปลกไม่เหมือนเขานี่มันคงจะเข้าใจยาก และก็จะยึดถือกัน เดี๋ยวก็จะทะเลาะกัน เถียงกัน ก็ค่อยๆบอกเขาว่า จริงๆที่นี่ก็พยายามเรียนรู้ตามพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นประเพณีจารีตที่ว่า พระไปบิณฑบาตแล้ว เขาใส่บาตรแล้วต้องสวดสัพพีให้ มันไม่มีหรอก ในสมัยพระพุทธเจ้ามันไม่มี ในระบบจารีตประเพณีของศาสนาพุทธก็ไม่มี
แต่คนไทย ที่จริงที่อื่นเขาก็ไม่มี มีแต่ในเมืองไทยนี่แหละ การสวดสัพพีติโย นี่คล้ายๆกับการพูดปะเหลาะเอาใจเขา แล้วก็เรียกคำนี้ว่าเป็นการให้พร เอาของให้ไปทำทานแล้ว ก็ให้พรตอบว่ารวยๆนะอยู่เย็นเป็นสุขนะอะไรอย่างนี้ บางทีก็รู้ว่ามันไม่ใช่ ก็เลยไปหาคำพระพุทธเจ้า ก็เลยได้ประโยคแรก วรรคแรก
ยถา วริวหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขิปปะเมวะ สมิชฌะตุ สัพเพ ปูเรนติ สังกัปปา…
จนจบวรรคนี้ พอขึ้นสัพพีติโยมันไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าแล้วเป็นของแต่งขึ้นใหม่เอามาต่อท้าย เป็นการแต่งขึ้นมา เป็นคำแต่งต่อท้าย เป็นการพูดปะเหลาะเอาใจโยม ซึ่งทางเราเห็นว่ามันเป็นเรื่องน่าอาย
คนที่จะมาทำทาน เขามีจิตยินดีทำทาน นึกว่าต้องเลี้ยงหรือว่าพยายามให้อาหารแก่พระ เพราะว่าพระท่านไม่มีเงินมีทองซื้อไม่ได้ขายไม่ได้ จะต้องทำงานคือปฏิบัติธรรมแล้ว สอนธรรมะพระพุทธเจ้ามันคนละหน้าที่ โยมก็ต้องดูแลเลี้ยงพระไว้ ให้อาหารต่างๆนาๆแล้วพระก็สะสมไม่ได้
อาหารนี่ พระบิณฑบาตมาได้ฉันเสร็จแล้ว ต้องคว่ำบาตรล้างทิ้งสะสมเก็บไม่ได้นะ เก็บเป็นอาบัติ สะสมอาหารการกิน ข้าวสารอาหารแห้งนี่เป็นการนอกรีตหมดเลย ผิดพระธรรมวินัยพระพุทธเจ้าทั้งนั้น นี่คือความเสื่อมของศาสนาพุทธ
สรุปก็คือสวดสัพพีนี้เป็นเรื่องเนื้องอกของศาสนาพุทธ สรุปอย่างนั้น
ทำทานไม่ปรารถนาอะไรเลยนี่ถูกต้อง
_ติ๋ม ยินดี …ขอถามค่ะ ถ้าเราทำทาน 1 บาท แล้วเราปรารถนาขอให้ได้นิพพาน กับการทำทาน 1 บาทแล้วเราไม่ปรารถนาอะไรเลย อะไรคือความถูกต้องคะ คือเวลาเราทำกุศล ทำอะไรเนี่ย ขอให้นิพพานสักชาติหนึ่ง แล้วก็ไม่ปรารถนาอะไรเลย ทำแล้วก็ทิ้งไป แล้วอันไหนมันได้คะ
พ่อครูว่า…ไม่ปรารถนาอะไรเลยเป็นความถูกต้อง หากปรารถนานิพพาน เอาใหญ่เลยนะ เอาละจิตคุณมีเจตนาอยากจะได้นิพพานก็ดีแล้ว คุณต้องเข้าใจว่า ปฏิบัติเหตุอย่างไรถึงจะเป็นเหตุเป็นปัจจัยทำให้เกิดผล ทำให้เกิดผลที่จะไปสู่นิพพาน คุณต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องไปปรารถนา คุณทำเหตุให้เต็ม ผลเกิดเอง เรียนเหตุนั้นให้สำคัญ เรื่องผลจะเกิดตามเหตุที่มันเต็มถูกต้อง แล้วก็เต็มเหตุที่ถูกต้องเต็ม ผลก็ไม่ต้องพูดถึงมัน เกิดผลคือสิ่งที่ทำเหตุให้ถูกต้อง ไม่เต็มก็ไปเรื่อยๆเติมเหตุไปตามลำดับ
คุณทำทิ้งไปนั่นดีแล้ว ไม่ปรารถนานั่นดีแล้ว ทำให้ถูกเลย ทำให้ถูกต้อง ตามคำสอนพระพุทธเจ้า ทำให้ถูกต้อง ทำให้เต็มได้ก็ได้ผลโดยไม่ต้องห่วงอะไร
_อุ๋ม รอยใบไม้… เมื่อสัปดาห์ที่แล้วอุ๋มได้ฟังท่านด่วนดีเล่าเรื่องที่ได้ทำใจกับผัสสะค่ะ และรู้สึกชื่นชมว่าท่านทำใจปล่อยวางได้ดีมากค่ะ
เรื่องที่มีโยมถวายรถมอเตอร์ไซค์ใหม่เอี่ยมให้ท่านได้เอาไว้ใช้งาน แล้วมีคนยืมไปใช้ และเอารถไปให้คนอื่นโดยไม่ได้ขออนุญาตท่านด่วนดีเลยค่ะ พ่อครูคิดว่ากรณีนี้เป็นการถือวิสาสะ “ศีลด่างพร้อย”หรือเป็นการ “ผิดศีลข้อ2” คะ จะตัดสินจากการกระทำ หรือเจตนาคะ
ท่านด่วนดีทำใจได้แล้ว แต่ผู้ฟังยังทำใจไม่ได้ค่ะ ขอให้นำรถมาคืนท่านด้วยนะคะ
พ่อครูว่า…ถ้าทั้งเจตนาแล้วก็ทั้งทำตามเจตนาด้วยก็ผิดเต็มทั้งคู่เลย แต่นี่หวงแหนแทนท่านด่วนดี ขอร้องแทนเลย ใครเอาไปรู้นะท่านด่วนดีไม่ได้ถือสา แต่ยิ่งไม่ได้ถือสา ไม่ได้คิด มันยิ่งบาปสูง บาปราคาแพงด้วยนะ ก็ดู แต่ โอ้โห.. ใจถึงขนาดมาขโมยมอเตอร์ไซค์พระได้ด้วย
สรภัญญะคือออกเสียงไม่มีทำนอง และศีลนำไปสู่นิพพานอย่างไร
_ซึ้งซื่อ วิเชียร น้อมกราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรสุดเกล้าครับ
แม้แต่คำว่าสุดเศียรสุดเกล้า ทำไมจะยกให้พ่อท่านไม่ได้ อย่างคำยกย่องว่าพ่อท่านสองประโยคนี้ ผมก็ยกให้พ่อท่านได้ครับ เพราะว่าพ่อท่านได้กรุณาสอนให้ผมได้ปฏิบัติศีลได้อย่างเข้าใจถึงจิตโดยสีเลนะสุคะติงยันติ สีเลนะโภคะสัมปะทา สีเลนะนิพพุติงยันติ ตัสมาสีลังวิโสทะเย แค่นี้ก็เลิศยอดแล้วและยังทำให้เกิดใหม่ทางจิตวิญญาณ ทางโอปปาติกโยนิ ตัวอย่างแค่สองสิ่งนี้ก็สุดยอดแล้วสมควรยิ่งที่จะยกให้พ่อท่านเป็นได้แล้วครับ ขอน้อมกราบขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงยิ่งครับ
พ่อครูว่า…หากอ่านด้วยเสียงอันยาวใส่ทำนองด้วยเป็นอาบัตินะ คำว่าสรภัญญะ เขาไปตีความว่าใส่ทำนองได้นิดหน่อย ก็พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเราไม่ได้อนุญาตทั้งการลากเสียงอันยาวและการใส่ทำนอง นั่นคือวินัยข้อที่ 20 ข้อ 21 บอกว่าเราอนุญาตให้ สรภัญญะ คือ สรคือ สระ ส่วน ภัญญะคือคำกล่าว ตามเสียงพยัญชนะ
พยัญชนะเสียงสั้น รัสสรระ เช่น อะ อิ อุ ส่วนโอ เสียงยาว ฑีฆะสระ ส่งตามเสียงสั้นยาว รัสสะ และฑีฆะ และตรงตามคำกล่าว คำกล่าวอย่างไร นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต ก็ตรงตามคำอย่างนั้น แล้วท่านให้ไม่ต้องไปดัดจริตใส่เสียงอย่างนั้นอย่างนี้ให้มันเหมือนบาลี ไม่ ให้ใส่เสียงตามชาติไหนก็ตามเสียงพื้นของชาตินั้นออกไป อย่างชาติไทยออกเสียงภาษาอังกฤษว่า where are you going ชาติลาวกับไทยก็ออกเสียงต่างกัน what is your name ก็ใส่เสียงตามพื้นถิ่น
ซึ้งซื่อ วิเชียร เขาก็บอกว่า สอนเรื่องศีลไปจนถึงนิพพานได้ ประโยคที่พูดเมื่อกี้ ศีล ทำให้สู่สุคติ ไม่ใช่แปลว่าสู่ความสุข สุคติงยันติ คือ ศีลพาไปสู่ทางเจริญ ทางดี สีเลนโภสัมปทา ศีลเป็นเครื่องอาศัยเพื่อให้เกิดความเจริญ โภคะ สีเลน นิพพุติงยันตะ ศีลนำไปสู่นิพพาน
เดี๋ยวนี้ก็ไปนั่งหลับตาทำสมาธิบอกว่าเอาแต่ศีลจะไปสู่นิพพานอย่างไร มันก็ค้านแย่งจากคำสอนพระพุทธเจ้า พวกเพี้ยนแล้วก็มาว่าคนที่ทำถูก ศีลนี่แหละจะพาไปสู่นิพพาน ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาสมาธิ นอกรีต นั่งหลับตาให้ตาบอดไปเลยก็ไม่มีทางบรรลุนิพพาน ก็ไปนั่งกัน
ก็ขอย้ำเรื่องนั่งหลับตานี้เลิกได้เลย มันปิดประตูทุกอย่างเลย มันไม่มีกาย มันไม่ถูกต้อง มันเป็นเรื่องลัทธินอกรีตจริงๆเลยเรื่องหลับตา แล้วเขาเชื่อกันจริงๆว่านี่เป็นสัจจะ เป็นนิพพาน อรหันต์นี่พวกนั่งหลับตาทั้งนั้น มันเสื่อมหนักจริงๆศาสนาพระพุทธเจ้า ไม่รู้จะพูดยังไง พูดไปจนกระทั่งหมด แล้วก็พูดทวนพูดย้ำอยู่นี่น่ารำคาญด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องพูด เพราะว่าเป็นสัจจะ ต้องเตือนกันบอกกัน
การเกิดใหม่ทางจิตวิญญาณเป็น โอปปาติกโยนิ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) 2 เหตุปัจจัยนี้ก็เป็นสุดยอดแห่งสิ่งประเสริฐ คนเข้าใจอย่างคุณซึ้งซื่อ วิเชียร เข้าใจก็เข้าใจ คนที่ยังไม่เข้าใจก็ค่อยๆศึกษากันไปก็จะค่อยๆเข้าใจกันไป มันก็บังคับความเข้าใจกันไม่ได้ คนไม่เข้าใจบังคับกันยังไงก็ไม่ได้ ดีไม่ดีจะเข้าใจผิดด้วย พยายามให้เข้าใจถูกกันก็ไม่ใช่ง่ายๆอยู่แล้ว
_เรื่องรางวัล Moral Award
ในระยะหลายเดือนผ่านมานี้ มีชาวอโศกหลายท่าน ได้รับการติดต่อให้รับรางวัล Moral award ซึ่งมีภาพถ่ายในการรับรางวัลในโลกออนไลน์กัน จึงเกิดข้อสงสัยว่า องค์กรที่ให้รางวัลมีที่มาที่ไปเช่นไร
ทีมงานบุญนิยมทีวี ได้ตรวจสอบพบว่า Moral Award อันนี้เป็นรางวัลจากมหาวิทยาลัย“INTERNATIONAL UNIVERSITY OF MORALITY” หรือ “IUM” ซึ่งเคยมีข่าวใน นสพ.ผู้จัดการออนไลน์เมื่อ 16 ส.ค. 2560 ว่า …..สุดคุ้ม!!จ่ายแค่ 17,500 บาท ได้ “ปริญญาโท-เอก” พร้อมลายเซ็นต์ “2 เจ้าคุณธงชัย” มาประดับฝาบ้านโปรโมชั่นพิเศษ IUM มหา’ลัยห้องแถว สำหรับผู้เรียนหลักสูตรภาษาไทย พบโยง“นพดล ก้อนคำ” แห่ง ม.สันติภาพโลก
รางวัล Moral Award นี้ แม้ชาวอโศกที่ได้ไปรับรางวัล จะไม่ได้เสียค่ารางวัลเหมือนการรับปริญญา แต่หากไปรับรางวัลก็จะเป็นการส่งเสริม หรือเอาชื่อของชาวอโศกที่ได้ทำความดีเพื่อสังคม ไปเป็นเครดิตแก่มหาวิทยาลัยเพื่อล่อให้ประชาชนที่อยากได้ปริญญาโดยไม่ต้องเรียนมหาวิทยาลัยไปเสียเงินให้แก่องค์กรนี้
ความไม่ชอบมาพากลของ “INTERNATIONAL UNIVERSITY OF MORALITY” หรือ “IUM” ที่ระบุพิกัดอยู่ในมลรัฐฟลอริด้า สหรัฐอเมริกา เปิดทำการสอนแบบออนไลน์ ในหลักสูตร “พุทธพาณิชย์” ทั้ง “บริหารธุรกิจและสาธารณะคุณธรรม – การบริหารการศึกษาคุณธรรม” เรื่อยไปถึงหลักสูตร “การบริหารวัดและศาสนสถานคุณธรรม” .. ตรวจสอบเบื้องต้น IUM ที่ว่า มีการจดทะเบียนทำ “ธุรกิจสถาบันการศึกษา” อย่างถูกต้อง โดยคณะกรรมการอุดมศึกษาแห่งมลรัฐฟลอริด้า แม้จะมีสำนักงานเป็น “ห้องเเบ่งเช่า” ในตึกสำนักงานให้เช่าเล็กๆ ก็ตาม .. แต่ที่แน่นอนก็คือ ไม่มีหลักฐานว่าได้รับการรับรองคุณวุฒิจากหน่วยงานรับรองมาตรฐานการศึกษา ซึ่งของประเทศไทย ก็เป็น สำนักงานคณะกรรมการ การอุดมศึกษา (สกอ.) .. เมื่อหลักสูตรไม่ผ่านการรับรองคุณวุฒิ ปริญญาจะเอก จะโท จะตรี ก็เอาไปยืนยันใช้สมัครงานไม่ได้ เอาไว้โชว์แบบโก้ๆ เท่านั้น จนถูกมองว่าเป็น “ปริญญาเถื่อน”
และยังพบชื่อ ดร.นพดล ก้อนคำ เป็นตัวเเทน IUM เเห่งประเทศไทย .. นพดล ก้อนคำ แห่งมหาวิทยาลัยสันติภาพโลก ที่เคยตกเป็นข่าวว่าถูก กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) บุกทลายพิธีมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ของ ม.สันติภาพโลก ที่โรงแรมดังย่านนนทบุรี เมื่อไม่กี่ปีก่อน ..
มีการระบุไว้ในเวบไซต์ สำหรับราคา “ปริญญาบัตรกิติมศักดิ์” .. ปริญญาโท หรือปริญญาเอก เรียนเพียง 10 วิชาๆ ละ 100 ดอลล่าร์ยูเอส หรือ 35,000 บาทเท่านั้น ทราบว่ามีญาติธรรมชาวอโศกไปรับปริญญามาแล้วแม้จะต้องเสียเงินก็ตาม และญาติธรรมยังได้ไปเป็นทีมงานของมหาวิทยาลัยนี้เพื่อทำการเฟ้นหาชาวอโศกที่มีชื่อเสียงมารับรางวัล Moral Award นี้ จึงเป็นเหตุที่มาของในช่วงนี้มีชาวอโศกไปรับรางวัลนี้กันหลายคนด้วยกัน
พ่อครูว่า…อาตมาอาย ปัดโธ่เอ๋ย! นี่แหละความอยากได้อยากมีอยากเป็นอยากได้สักอยากได้ยศอย่างนี้ ก็เป็นเหยื่อของคนขี้หลอกแล้วก็หลอกไป คนที่ยังไม่ทันเขา ถูกเขาหลอกไม่ทันเขาก็เสียท่า
กราบนิมนต์พ่อครูให้ปัญญาแก่ลูกๆชาวอโศกในเรื่องควรหรือไม่ที่จะไปรับรางวัลจากมหาวิทยาลัยนี้
พ่อครูว่า…ใครว่าควรไหม? ทุกคนเห็นว่าไม่ควร เป็นเรื่องของหมู่ชาวอโศก ความเห็นของหมู่ ไม่ใช่ความเห็นของอาตมาไปตัดสินเท่านั้น อาตมาก็เห็นด้วยกับหมู่เหมือนกันว่ามันไม่ควร พวกเราจะให้ความรู้อย่างไรก็พูดไปแล้วบอกไปแล้ว พูดไปจนถึงประโยคสุดท้ายนี้แล้วใครจะเข้าใจอย่างไร เข้าใจว่าควรหรือไม่ควร รับไปแล้วทำไปแล้ว มันก็ขายขี้หน้าไปแล้ว ก็ทำไปแล้ว ก็เอายางลบๆซะ ไม่ใช่ Liquid ก็ได้ ลบไป
………………………………………………………………
และอีกเรื่องที่จะรบกวนพ่อครูช่วยประกาศเตือนลูกๆชาวอโศกคือ เมื่อไม่กี่วันผ่านมา เพจกองทัพธรรม FP ของชาวอโศกได้ถูกแฮกไปแล้ว แฮกเกอร์ได้เอาไปลงคลิปและภาพอนาจาร โดยที่ Admin ของเพจไม่สามารถเข้าไปจัดการได้ และมิจฉาชีพอาจเอาข้อมูลของชาวอโศกไปหลอกชาวอโศกให้เสียเงินให้เขาได้ จึงต้องระมัดระวังการใช้สื่อโซเชียลให้มากขึ้นด้วย
พ่อครูว่า…พวกที่นักใช้สื่อฟังไว้
_ช่วงนี้มีการชื่นชมลุงตู่กันมากขึ้น ขอยกตัวอย่างเช่น
(ไม่ได้ระบุชื่อ)กล่าวว่า “..เป็นนายกรัฐมนตรี คนสุดท้ายในรัชกาลที่ 9
และเป็นนายกรัฐมนตรี คนแรกในรัชกาลที่ 10..”
ช่วงผลัดแผ่นดิน เปลี่ยนรัชสมัยเป็นช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุด
โชคดีของแผ่นดินที่ ณ.ขณะนั้นพล.อ ประยุทธ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทหารเอกองค์ราชา ทหารเสือราชินี ผู้มีความจงรักภักดีต่อสถาบันสูงสุด เป็นผู้นำที่พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดที่จะนำพาประเทศชาติและประชาชนผ่านวิกฤติ ให้อยู่รอดและปลอดภัย ภายใต้เงื่อนไขและข้อจำกัดหลายอย่าง ต้องแก้ปัญหา และเผชิญความกดดันจากวิกฤติต่างๆ มากมาย
ขณะเดียวกันก็ไม่ละเลยการพัฒนาในทุกด้าน เพื่อเตรียมพร้อมไว้ในอนาคต
ไม่มีใครสมบูรณ์แบบทุกด้าน ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์พร้อมไปทุกอย่าง
ตลอดระยะเวลา 9 ปีในการทำหน้าที่ผู้นำประเทศไทย “นายกลุงตู่”ทุ่มเทมุ่งมั่นตั้งใจโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทำให้ประเทศด้วยความจริงใจอย่างดีที่สุดแล้ว
พ่อครูว่า… เอาคำว่าลุงไปเรียกนายกนี่น่าจะเป็นคนแรกนะ คนแรกและคนเดียว เรียกแบบเป็นญาติ เป็นมิตร เป็นเพื่อนกันเลย ซึ่งมันเป็นความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมากเลยเป็นเรื่องความจริง เดี๋ยวจะได้ขยายความจริง
_โชคดีของแผ่นดินไทยที่”คนดี”ได้ปกครองบ้านเมือง
ผ่านมาถึงวันนี้..ถึงวาระต้องเปลี่ยนผ่านผู้บริหารประเทศตามระบอบการเมือง
ลองคิดย้อนไป..ก็คิดไม่ออกว่า ถ้าไม่ใช่ “นายกลุงตู่” ประเทศเราจะเป็นอย่างไร จะผ่านมาได้อย่างทุกวันนี้หรือไม่
คงไม่มีคำพูดใดที่จะแทนความรู้สึกในใจได้ทั้งหมด
“..ขอบพระคุณนายกลุงตู่จากใจจริง และจะระลึกถึงคุณความดีที่ลุงตู่ทุ่มเทเพื่อชาติ สถาบันและพวกเราคนไทยทุกคนค่ะ..”🙏
นายกที่ดีที่สุดและสง่างามที่สุด
สมเกียรติยศและศักดิ์ศรีชายชาติทหาร_นายกสองแผ่นดิน🇹🇭
เรียนรู้ลักษณะโพธิสัตว์จากนายกฯลุงตู่
พ่อครูว่า… นายกลุงตู่นี้เป็นโพธิสัตว์ ไม่ใช่อาตมาพูดพล่อยหรือพูดเล่นๆ พูดเพ้อเจ้อไป เล่นๆ..ไม่ใช่ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ มีความรู้ทางด้านโลกุตรธรรม เป็นอาริยธรรมที่สูง ที่ลึกซึ้ง มันไม่มีคำอธิบายง่ายๆหรอกในเรื่องของโลกุตระ เพราะในโลกนี้มีศาสนาอยู่หลายศาสนา มีศาสนาเดียวคือศาสนาพุทธเท่านั้นที่มีโลกุตรธรรม
โลกุตรธรรมมีความหมายที่สำคัญก็คือ เป็นความหมายที่อาตมาได้อธิบายบอกไว้หลายทีแล้ว
โลกุตรธรรมคือ ธรรมะที่สามารถรู้เรื่องจิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นธรรมะที่รู้จิตชัด รู้กิเลส รู้จักความเป็นจริงแห่งความเป็นจริง ของการเกิดมาเป็นจิตนิยาม แล้วก็ทำให้จิตนิยามดีที่สุด เจริญที่สุด ถ้าจะยังอยู่ คุณก็เป็นคนที่ดีที่จะพัฒนาช่วยโลก อุ้มชูโลก โลกานุกัมปายะ
ถ้าไม่อยู่ก็สามารถเลิกจิตนิยามตัวเอง แยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย เป็นศาสนาที่ถึงความสมบูรณ์แบบในการที่จะรู้จักจิตนิยาม หรือจิตเจตสิกรูปนิพพาน ซึ่งเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ทางจิตที่เทวนิยมจะจบ Post Doctor 100 ใบ ก็ไม่มีทางรู้เรื่องนี้ ทางตะวันตก ทางศาสนาพระเจ้า ศาสนาทางเทวนิยม ไม่มีทางที่จะเกิดความรู้ที่จะข้ามเขต นอกจากจะมาตั้งใจศึกษาแล้วก็จะต้องยินดี จุดแรกต้องมีฉันทะ ยินดีในศาสนาพุทธจริงๆ ไม่ใช่มาหวังว่าจะมาล้วงความลับแต่แท้จริงยินดีในศาสนาเทวนิยม จะเห็นเลยว่าอันนี้เป็นความพิเศษกว่าจิตจะเกิด อัญญธาตุ เป็นธาตุตัวจิตใหม่ เป็นความรู้เรื่องธรรมะของพุทธหรือโลกุตรธรรมนี้
โลกียะ เทวนิยม ศาสนาพระเจ้า เขาจะเป็นยอดศาสดาขนาดไหนก็ตาม ถ้าเขามีความเข้าใจว่าอันนี้พิเศษกว่าเทวนิยมทั้งหลายศาสนากี่ศาสนาเขาเรียนรู้หมด จนเขาเชื่อมั่นว่าศาสนาที่เป็นเทวนิยมของเขาสูงกว่าศาสนาใดๆแล้ว แล้วเขาก็จะมีปฏิภาณรู้ว่าอันนี้มันเหนือชั้นกว่าเทวนิยมทุกเทวนิยมเลย คนที่เกิดจิตจริงอย่างนี้แหละ จึงจะเกิดภาวะคำว่า มี ฉันทะเป็นมูลกา มีจิตยินดี เป็นรากแรกเลย รากเหง้าแรก แล้วจะมาศึกษา จึงจะ ปฏิบัติทำใจในใจ มนสิการแล้วก็จะเรียนรู้ไปตามลำดับ โดยการมีผัสสะเป็นเหตุเกิด เป็นสมุทัย แล้วจะเกิดเวทนา แล้วก็จัดการเรียนรู้ทำให้เวทนานี้เป็นที่ประชุมลง จะจบด้วยการรู้ทุกข์รู้สุข แล้วดับทุกข์ดับสุข แล้วก็ถึงนิพพาน ก็จบทุกอย่าง
ผู้ที่จบอรหันต์จะอยู่ต่อบำเพ็ญเป็นโพธิสัตว์ ก็คือเป็น Post Doctor ยิ่งขึ้นยิ่งขึ้น เที่ยง ที่จริงยิ่งกว่าดอกเตอร์ เพิ่มขึ้นไปอีกเป็นโพธิสัตว์อีกหลายระดับคือเป็นอรหันต์ชั้น 2 ชั้น 3 ชั้น 4 ชั้น 5 ชั้น 6 ซึ่งอาตมาก็แยกให้ฟังแล้วว่าอรหันต์มีกี่ชั้นกี่ขั้น อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งสุดยอด ศาสนาพุทธโลกุตรธรรมนี้สุดยอด รู้แจ้งรู้ครบรู้สมบูรณ์แบบจริงๆ
มีศาสนาเดียวในโลก เกิดมาก็มีศาสนาพุทธจะไม่มีคู่แข่ง จะไม่มีคู่แย่งศาสนาพุทธ เพราะฉะนั้นจะมีศาสดาองค์เดียวของศาสนาพุทธ ไม่ว่ายุคไหนๆ ของพุทธศาสนาก็มีพระพุทธเจ้าองค์เดียว หมดพุทธกัปป์ของท่านก็เป็นองค์ใหม่ แล้วเหมือนกันไม่มีอื่นเป็นหนึ่งเดียวกันเป็นโลกุตระที่รู้จบสุด สัจจจะมีหนึ่งเดียวสัจจะมันไม่มี 2 เป็น 1 เท่านั้น แต่โลกียะหรือเทวนิยม ศาสดาเทวนิยม มันมีได้หลากหลายต่างกันเยอะ มันยังไม่สรุปลงเป็นที่สุดแห่งที่สุด
ที่สุดแห่งที่สุดก็มีหนึ่งเดียว จริงที่สุด ถูกที่สุด สูงที่สุด สุดๆๆๆ มีหนึ่งเดียว สุดๆๆ ไม่มี 2 หรอก
เพราะฉะนั้นเรื่องโพธิสัตว์นี้จึงเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งสุดยอด ไม่ใช่พูดเล่น อาตมาถ้าไม่ใช่เป็นโพธิสัตว์จริง อาตมาจะไม่สามารถที่จะประคองการอธิบายธรรมะ แยกแยะธรรมะ แล้วก็สาธยายธรรมะให้พวกเราฟังจนเข้าใจเอามาปฏิบัติตามได้ มีผลจนกระทั่งถึงขั้นเกิดชุมชนสาราณียธรรม 6 อย่างที่พวกเราเป็น
ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ในยุคพระพุทธเจ้ายังทำ สาราณียธรรม 6 ให้เกิดถึงขั้นมีสาธารณโภคีในฆราวาสไม่ได้ ก็พูดกันไปหลายทีแล้วเพราะเป็นยุคที่มันมีข้อจำกัด เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นยุคทาส เป็นยุคที่คนยังไม่เข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชน ก็เป็นไปไม่ได้ เป็นได้แต่ในวงสงฆ์ ซึ่งเป็นสุดยอดแห่งธรรมะ
พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็เอาคนมาเป็นสมาชิก ไปที่ไหนๆพระเจ้าแผ่นดินในยุคนั้น ทวีปอินเดียสมัยนั้น มีแคว้นใหญ่เป็นแคว้นโกศล แคว้นมคธ ยอมให้พระพุทธเจ้าหมด ไปเลย คนที่ของท่านของแคว้นโกศล ของแคว้นมคธ จะมาเข้ารีตพระพุทธเจ้า ยกให้เลยเพราะว่าเป็นคนเจริญต้องส่งเสริม เพราะเขาไม่ได้ตกต่ำ ไปแล้วเป็นคนเจริญ
ซึ่งไม่ใช่เอาคนเป็นพรรคพวกเท่านั้น แต่จะเกื้อกูลต่อแคว้นในแคว้นโกศล คนในแคว้นมคธด้วย เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เป็นประโยชน์เพื่อตน หมดตัวตนแล้ว สุดท้ายอรหันต์ขึ้นไป ไม่ได้ทำประโยชน์เพื่อตนแล้วหมดจบกิจเพื่อประโยชน์ตนมีแต่ประโยชน์เพื่อผู้อื่นถ่ายเดียว
เพราะฉะนั้นยิ่งเป็นโพธิสัตว์สูงกว่าอรหันต์ระดับที่ 1 เป็นอนุโพธิสัตว์ เป็นอนิยตโพธิสัตว์สูงกว่านั้นอีกเป็นอรหันต์ระดับ 1 2 3 4 5 6 ก็เป็นพระพุทธเจ้า อรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า อาตมาอธิบายเป็นโพธิสัตว์จึงอธิบายอรหันต์หลายลำดับอย่างนี้ได้ ไม่ได้โมเมนะ ไม่ได้เพ้อเจ้อ ไม่ได้พูดให้ไม่เข้าใจไม่รู้เรื่อง เราจะชัดเจน
เพราะฉะนั้นอาตมาเป็นโพธิสัตว์เกิดมาในยุคนี้ มาอธิบายธรรมะพวกนี้ อาตมาจึงรู้ และก็ได้พูดไปบอกไป ยืนยันไปว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็ดี ยืนยันพลเอกประยุทธ์ก็ดี อย่างนี้เป็นต้นว่าเป็นโพธิสัตว์ อาตมาไม่ได้พูดพล่อย ไม่ได้พูดหลอกลวง ไม่ได้พูดไปอย่างไม่มีสัจธรรม ซึ่งมันเสียหายนะเป็นการอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน อาบัติถึงขั้นปาราชิกเลยนะ มันเป็นโลกุตรธรรมนะ มันเป็นอุตริมนุสธรรม มันพูดเล่นๆได้ที่ไหน ถ้าไม่เป็นความจริงไม่มั่นใจพูดไม่ได้ พูดแล้วจะเอายางลบลบ เอาลิควิดลบมันไม่ได้ มันไม่ใช่เรื่องเล่นมันเป็นของจริง
กรรมเป็นอันทำ ทำแล้วจะบอกว่าทำเล่นเอายางลบลบได้ ผิดแล้วก็ไม่เป็นไร เอายางลบลบได้ ยางลบเราคุณภาพดีลบได้ ไม่ใช่หรอก กรรมเป็นอันทำ และกรรมมีทุกระดับ
_สู่แดนธรรม… พ่อท่านจะกำลังอธิบายนายกที่ คำเรียกว่า ลุงด้วย
พ่อครูว่า… อย่าว่าแต่ เรียกคำว่า “ลุง” พฤติกรรมของพลเอกประยุทธ์เห็นไหม เป็นนายกที่ไปไหนก็มีคนห้อมล้อมเหมือนลูกเหมือนหลาน เหมือนพี่ เหมือนน้องไปอย่างไม่ได้ถือเนื้อถือตัวเลย เป็นจิตใจดีมีสัมพันธ์ มีมนุษยสัมพันธ์แสดงออก เป็นเรื่องจริงใจใช่ไหม ไม่ใช่ว่าเสแสร้งทำ ทำเอาคะแนนอะไร..มันไม่ใช่ เราดูออก สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล มันพอเข้าใจกันได้
เพราะฉะนั้นเขาจึงเป็นลุงของคนในประเทศ
_สู่แดนธรรม… ฟังจากธนาธรที่บอกว่าอย่าให้เรียกพ่อแม่พี่ป้าน้าอาหรือลุงให้เรียกว่า คุณ เสมอกัน
พ่อครูว่า… มันก็เป็นความจริงที่ความรู้สึกของเขาพวกนี้ ยังยากยังเห็นแก่ตัว ยังมีตัวมีตน ยังมีศักดินา ยังมีอะไรต่ออะไรสารพัด อันนี้นี่ไม่มีแล้วศักดินาตัวตนอะไรต่ออะไร
ดูภาพพวกนี้ยิ่งกว่าดารา ใช่ไหม เทียบกับนายกฯ แต่เหนือชั้นกว่าทางโลก ไม่ใช่แค่เรื่องดารา สุดยอดเลย
ความเป็นญาติธรรมในหมู่บ้านสาราณียธรรมที่สุดยอด
เพราะฉะนั้นสิ่งนี้เป็นสิ่งจริงที่อาตมาพูดแล้วก็ขยายความอธิบายไปบ้างแล้ว มันเป็นเรื่องของญาติธรรม ซึ่งญาติธรรมนี้ลึกซึ้งมาก มันเป็นพี่เป็นน้องกันทางธรรม มันไม่ได้เอาสายเลือดเท่านั้นมาแบ่งชั้นมาแบ่งขีด มันพึ่งพาอาศัยกันได้ มันยิ่งกว่าสายเลือด สายเลือดบางทียังพึ่งพาอาศัยกันไม่ได้เท่าเลย เป็นญาติธรรมเป็นญาติกันจริงๆพึ่งเกิด พึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตายกันได้จริงๆเลย อย่างพวกเราเป็นกันนี่
พวกเรานั่งอยู่นี่ ใครมีชีวิตโดดเดี่ยวบ้าง ญาติโกโญติกาของตัวเองไม่มีแล้ว มาอยู่กันเป็นญาติชาวอโศกใครบ้าง..ยกมือซิ ที่อยู่สองสามคน คือฝากชีวิต ฝากเจ็บ ฝากป่วย ฝากผี ฝากไข้ ฝากตายได้เลย ขอให้คุณมีคุณธรรมเพียงพอที่จะเป็นชาวอโศก แต่ถ้าคุณไม่ค่อยจะเป็นชาวอโศกที่ดีนักก็แน่นอน คุณก็ได้รับอีกแบบหนึ่ง ดีไม่ดีก็อยู่ด้วยไม่ได้ ต้องกระเด็นออกไปอยู่ที่อื่น แต่ถ้าเผื่อว่าอยู่ได้ ที่นี่ก็ไม่ทิ้งขว้างกันหรอก จะเกิดจะเจ็บ จะป่วย จะตาย สุดท้ายไม่มีใครเลยไม่มีญาติโกโญติกา เป็นกำพลอย กำพร้าก็ขนาดหนึ่ง แต่นี่กำพลอยเลย ไม่มีเลยพ่อแม่พี่น้อง..หมด ไม่ใช่กำพร้าเท่านั้นก็ไม่มีปัญหาอะไร ขอให้มีคุณธรรมพอจะอยู่ด้วยกันได้ ไม่ใช่เป็นหมาหัวเน่า
_สู่แดนธรรม… มีความเป็นภราดรภาพยิ่งกว่าฝรั่งเศส
พ่อครูว่า… ใช่ เป็นพี่เป็นน้องกันอย่างแท้จริง มันเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ เป็นเรื่องของปัญญา เป็นเรื่องของความฉลาดรู้ว่า อย่างที่จะมาแยกกันนั้น สู้สามัคคียะ สู้ความเป็นเอกภาพเป็นเอกีภาวะกันไม่ได้หรอก สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ ในพุทธพจน์ 7 นี้
มันเป็นเรื่องแต่แค่ทางจิต ระลึกถึงกัน รักกัน และมีความรู้ในเรื่องความรักด้วย คนเป็นโสดาบันก็ว่ากันไป สูงขึ้นเป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามีก็รักสูงขึ้นในความรัก 10 มิติไปตามลำดับ ยิ่งในระดับที่เกินระดับ 7 ระดับ 8 ไปเป็นความรักอย่างพุทธ อย่างโลกุตระที่เป็นความรักกันเป็นญาติธรรมที่ลึกซึ้ง อยู่กันอย่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน จริงๆเลย จนอาตมาสรุปคำได้ว่า อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนความเสียสละ
อาตมาว่าครบบริบูรณ์แล้วในความเป็นคุณธรรมหรือฐานที่อาศัยที่สูงสุดแล้วใน 8 คำ มันอิสระ มันสบาย สบายหรือสัปปายะของภาษาบาลี ครบสัปปายะ เป็นความสัปปายะ เป็นความเจริญพร้อม เจริญที่ว่านี้ เขาเข้าใจไม่ได้ง่ายๆว่าเป็นความเข้าใจโลกุตระ เจริญอย่างไรเป็นคนจนได้สนิทเลย คนทางโลกๆทั้งโลกพูดกันเขาจะเข้าใจไหม โอ้โห นี่เจริญอย่างไรทางเศรษฐกิจ คือจนได้สนิทเลย ไม่ต้องมีเงิน ไม่ต้องสะสมเงิน มีเงินกองกลาง ใช้กองกลาง เขาให้ใช้เท่าไหร่ก็ใช้เท่านั้น เราก็ใช้อยู่อาศัยไปด้วย เราก็ไม่ได้เดือดร้อนใจเลย ใจปกติสามัญ
ซึ่งมันสุดยอดเลย สบาย สงบ สงบนี่ลึกซึ้ง สันติของพระพุทธเจ้าสงบลึกซึ้ง สันตา ปณีตา เป็นความสงบแบบโลกุตระคือจิตมันอุเบกขา แล้วมันบริสุทธิ์จากกิเลส มันสงบ ไม่ดิ้นไม่รน ไม่มีกาม ไม่มีอัตตา เป็นอรหันต์ มันสงบจริงๆก็คืออรหันต์ สบาย สงบ
อบอุ่น เราก็อยู่กันแต่ละผู้แต่ละคนก็มารวมกัน สรุปเป็น เอกีภาวะ ตัวท้าย มันอบอุ่น อิ่มเอม สบาย อิ่มอย่างไร นี่ดูสิฟักลูกใหญ่ ลูกหนึ่งจะถึง 10 กิโลกรัมไหม เกิน 10 กิโลกรัม สงสารเถาฟักมัน แล้วมันไม่ใช่ลูกเดียวนะเถาหนึ่ง แล้วมันห้อยโตงเตงๆ ต้องทำชิงช้ารองรับเอาไว้ แต่ไม่ชิงช้ามันก็อยู่ได้ มันก็ห้อย มันอุดมสมบูรณ์จริงๆ
มันอิ่มเอม มันอุดมสมบูรณ์ แล้วเราก็เรียนรู้ธรรมะด้วยว่าชีวิตนี้ก็อยู่กับปัจจัย 4 ก็สมบูรณ์แบบแล้ว เป็นคนที่ปฏิบัติธรรมแล้ว จิตมันไม่ไปหลงจะต้องอะไรมากในเครื่องอาศัยปัจจัย 4 เท่านั้นก็สมบูรณ์แบบแล้ว จะมีบริขารอาศัยบ้างเล็กน้อย มีแว่นตา มีคอมพิวเตอร์ทำงาน มีปากกา มีกระบอกใส่น้ำเป็นบริขาร มันก็ไม่ใช่เรื่องไม่เข้าใจ ไม่ใช่เรื่องฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่ายอะไรเกินการ
เพราะฉะนั้นสังคมที่มันทำให้เกิดเศรษฐกิจหรือเศรษฐศาสตร์แบบชาวอโศกที่เราทำนี้ Doctor กี่ชั้น กี่ใบ เทวนิยมก็ไม่มีทางเข้าใจได้หรอกว่า คนเจริญจริงๆเป็นอย่างนี้ มันเจริญสุดสูงสุดแล้ว มันไม่มีที่สูงไปกว่านี้อีกแล้ว ไม่มีความสูงไปกว่านี้อีกแล้ว ขออภัยที่พูดเหมือนกับยกย่องหลงใหลตัวเองสูงส่งอะไร นี่ของพระพุทธเจ้านะไม่ใช่ของอาตมา สาราณียธรรม 6 เป็นของพระพุทธเจ้า สาธารณโภคี ก็เป็นของพระพุทธเจ้า
เป๊งพรึ่บ ถนนปันสุข ปลุกจิตโพธิสัตว์
แล้วผู้ที่มาอยู่ได้นอกจากมีพุทธพจน์ 7 มีใจจริงที่รักกัน เคารพกัน สังคหะ เกื้อกูลกัน อวิวาทะ ไม่ทะเลาะวิวาทกัน นี่เราอยู่กันมากี่ปีกี่ปีแล้ว ไม่มีคดีวุ่นวายทะเลาะ มีวุ่นวายกันเล็กๆน้อยๆ ใครที่เที่ยวไปทะเลาะกันแล้วมาเปิดเผยก็อายก็ไม่ค่อยแสดงออกกัน ข้าไม่ชอบใจข้าก็ชังเอ็งไม่พูดกับเอ็ง แล้วก็เป็นส่วนตัว มันก็น้อยไม่ได้แสดงออกอะไรมากมาย อวิวาทะ ไม่วิวาทกันอยู่กันอย่างสามัคคีพร้อมเพรียงกัน เป๊งพรึ่บ แต่ก่อนนี้เราใช้คำว่า “เป๊งพรึ่บ” เดี๋ยวนี้ไม่ได้ใช้ศัพท์นี้กันแล้ว
เป๊งพรึ่บ ขอลงแขกทำงาน สามัคคียะ พร้อมเพรียง เป็นปึกแผ่นเป็น เอกีภาวะ เป็นเอกภาพ อาตมาภูมิใจ สบายใจที่พวกเรามาปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าแล้ว บรรลุธรรม นี่แหละคือความบรรลุธรรม ชีวิตเป็นจริง กายกรรมก็เป็นอย่างนี้ พวกเราก็อยู่กันอาศัยดำเนินชีวิตไป กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมก็เป็นอย่างนี้ แล้วอยู่แล้วก็รู้สึกสบาย อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนความเสียสละ
ปลายเปิดด้วย ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนความเสียสละ มันหมดตัวหมดตน มันมีแต่ให้กับให้ เรามีศาลาปันสุข ด้วยใจจริงนะ แต่บางทีเราก็ไปสละ เช่น เราจะเอาฟักทั้งลูกใหญ่ๆไปวาง มันคงจะแย่งกันตีกันสักวัน ก็จะรีบหอบยกกลับบ้านลูกใหญ่ เราก็เลยเอาไปหั่นก็ยิ่งกระไรก็เลยไม่เอาฝักลูกใหญ่ไปให้ หรืออะไรอย่างอื่นก็เอาไป
อาตมายังรู้สึกว่าพวกเรายังน้อย เอาให้ดาวเพ็ญ เป็นเจ้ากรม หาของไปเข้าศาลาปันสุขแจก หาลูกมือซะ ใครจะเป็นลูกมือไปช่วยดาวเพ็ญบ้าง เรามีศาลาปันสุขเป็นกิจจะลักษณะ มันมีวัตถุดิบที่เราไปทำอะไรได้ นี่กินไม่หมดระวังจะเน่าเสียไปเปล่า เดี๋ยวมันก็มีออกมาใหม่อีก ขยายไปอีกได้ ทำให้ศาลาปันสุขของเรา เป็นเรื่อง เป็นฐาน เป็นหลัก เป็นฐาน เป็นกิจจะลักษณะดีๆเลย อย่าไปทำกระจอกๆอยู่เท่านั้น
_สู่แดนธรรม… ก่อนเข้ารายการท่านสมณะเดินดินก็พูดเรื่องนี้เหมือนกัน ว่าอยากจะให้พวกเราเห็นความสำคัญ
พ่อครูว่า… มีคนบอกว่าถ้าทำอย่างนี้แล้วมันทำให้คนชาวบ้าน ขี้เกียจ แล้วมันก็มาคอยหอบอันนี้ไปไม่ทำมาหากิน มันก็เป็นบ้าง แต่มันจะละอาย เหมือนกันกับแต่ก่อนการทำตลาดอาริยะ เขาบอกว่าทำให้เกิดคนขี้โลภขึ้น แต่ก่อนนี้ก็มีการเวียนมาซื้อ มีการเวียนเทียน แต่เดี๋ยวนี้มันก็ไม่แล้ว มันเกิดความละอาย เขาเสียสละแล้วเราเองมาแสดงออกทางขี้โลภเห็นแก่ได้ เขาก็อายได้ นี่เดี๋ยวเขาก็รู้ ตอนแรกๆก็อาจจะตะกละ อีกหน่อยก็จะรู้สึกซึ่งมันอาจจะไม่ง่ายนัก เขาจะตำหนิกันเองแล้วจะค่อยๆรู้เกิดสำนึก นี่คือกิจกรรม
ไม่ใช่เราทำโชว์ ทำอวดอ้าง ทำเท่ๆ..ไม่ใช่ มันเป็นเรื่องจริงเรามีวัตถุดิบ เรามีข้าวของจริง เรามีสิ่งที่เอาไปให้ได้โดยที่เราเองไม่เดือดร้อนแล้ว เราไม่ได้เดือดร้อน เรามีจริง จะให้เขามาตัดเก็บเอาไปเลยในนี้มันก็ไม่ได้ เขาก็ไม่กล้า เราก็ต้องเอาไปให้เป็นกิจลักษณะ แล้วก็ทำแจกกันอย่างใต้ร่มโพธิ์ เราก็แจกกันบ่อยๆ ทางโน้นเราก็แจกเป็นประจำไปใส่ที่ศาลา
เพราะฉะนั้นเราควรทำศาลาปันสุขนี้ให้ดีๆ แล้วก็หาเจ้ากรม หาพลเมืองเป็นสมาชิกเองนะ เป็นเจ้ากรมจัดการ
_สู่แดนธรรม… นิมนต์พ่อท่านจิบน้ำ
สมณะเดินดิน… ทุกวันนี้ศาลาปันสุขก็แทบเป็นตลาดเย็นของชาวบ้านแล้ว
พ่อครูว่า… เหมือนอินเดียสมัยโบราณ
สมณะเดินดิน… ส่วนทางอำเภอวาริน เขามองว่าอำเภอจะมีจุดขายยังไงที่เป็นที่เชิดหน้าชูตาของอำเภอเขา นายกเทศมนตรีเขาก็เลยเสนอว่า ในถนนบ้านคำกลาง พวกเราปลูกอะไรกันบ้างอยู่แล้ว เขาก็เลยให้เป็นโครงการร่วมมือกันระหว่างอำเภอกับตำบลบุ่งไหมมาช่วยกันปลูกต้นไม้ที่จะแจกชาวบ้าน ให้เหมือนกับเป็นถนนปันสุข เพื่อให้เป็นจุดเด่นของอำเภอวาริน จะขอความร่วมมือกับพวกเรา
พ่อครูว่า… เราก็ทำกันอยู่แล้วปลูกพริก มะเขือ ข่า ตะไคร้แล้วก็ปลูกไปเรื่อยๆ มันก็ล้นมืออยู่บ้าง ไม่ค่อยไปดูแล แต่มันก็เป็นไปตามประสาของต้นไม้ คนก็พอได้เก็บกินอยู่นะ
สมณะเดินดิน… ตอนนี้ไม่ค่อยกล้าเอาไปปลูกเพราะน้ำมันจะท่วม
พ่อครูว่า… อันนี้ก็เป็นเรื่องของเรา บารมีนะ ธรรมชาติมันทำลาย
สมณะเดินดิน… นายกบอกว่าไม่ต้องรอเลย
พ่อครูว่า… จะต้องไปรอมันทำไม มันหมดก็ปลูกขึ้นมาใหม่ ไม่ต้องไปกลัวหรอก เอาชนะธรรมชาติ มันจะเก่งขนาดไหน เราก็เอาชนะมันให้ได้ ให้มันเหลือกินเลย น้ำท่วมมาก็ปลูกใหม่ น้ำท่วมมาก็ปลูกมันใหม่ให้เอาชนะธรรมชาติ
_สู่แดนธรรม… เหมือนที่มีคนทำแพผัก
พ่อครูว่า… เราก็ทำเท่าที่เราสามารถทำได้ บ้านราชฯนี้ ที่จริงใครเขาไม่เอาแล้ว จนกระทั่งเรามากว้านซื้อจนกระทั่งกลายเป็นที่มีราคา จนกระทั่งเดี๋ยวนี้เราก็บูรณะขึ้นมาเป็นแดนอุดมสมบูรณ์ จนกระทั่งสามารถมีมากมีเหลือ เผื่อแผ่ แจกจ่าย มันเป็นการแสดงออกถึงความจริงใจ มันแสดงออกถึงสัจธรรม เป็นธรรมะสัจธรรมที่มันไม่ใช่เรื่องทำอวดอ้าง แต่มันเป็นความเป็นจริงที่มนุษย์ประพฤติปฏิบัติแล้วมันถึงจุดนี้ได้ จุดที่สามารถมีอะไรมาแจกจ่าย
เราไม่มีธนบัตรไปแจกจ่าย เราไม่มีทองคำไปแจกจ่าย อาตมาว่าพวกนี้สำคัญกว่าทองคำ มีค่ากว่าทองคำ ถ้าจะบอกว่าทองคำมันมีค่ากว่าพวกนี้เพราะว่าคุณมีทองคำ คุณก็เอามาซื้อพวกนี้กินได้ เราไม่เถียง แล้วทองคำของคุณจะงอกต่อไปไหม..ก็ไม่ แต่ไอ้นี่เรางอกทุกวัน ทองคำของคุณไม่นานก็หมด แต่ไอ้นี่เรางอกไปเรื่อยๆอุดมสมบูรณ์ขึ้นทุกวันๆๆ ทำให้สมบูรณ์ขึ้นกว่านี้ แล้วก็ไล่แจกกันยิ่งกว่านี้
ไม่ใช่แจกเพราะอยากอวดอ้าง พูดแล้วก็พูดอีก แจกเพราะว่าอยากจะให้มีอยู่มีกินกัน เอาเถอะใครจะขี้เกียจ จนกระทั่งหลายผู้หลายคน คนชาวบ้าน เขาเข้ามาช่วย ช่วยเราดูแล ช่วยเราปลูกช่วยเราทำอะไรเพราะเขาก็ได้อาศัยกิน เขาไม่ได้เป็นตัวตั้งตัวตี แต่เขาเป็นตัวร่วม เขาก็ยังพอใจขึ้นมา มันก็ค่อยๆมีลักษณะพวกนี้
อีกหน่อยอยู่ไปก็จะรู้สึกว่าอันนี้เป็นของส่วนกลาง เป็นของ สาธารณโภคี แม้แต่คนข้างนอกก็บอกว่าถ้าว่างก็จะมาช่วย มันจะเกิดนะ ทำไปไม่น่าจะเกิน 500 ปี น่าจะเห็นผล จริง..ไม่ต้องหัวเราะเยาะหรอก อาตมาว่าไม่ต้องหัวเราะเยาะนะ มันเป็นจริง
หมู่บ้านสาราณียธรรมสูงส่งเป็นจริงกว่ายูโทเปีย
_ใบแพร… พ่อ เคยพูดหลายครั้งว่าปางนี้ของพ่อคือปางราม คำว่ารามนี้นึกถึงหนังอินเดียที่เกี่ยวกับพระเจ้า เวลาที่เขามีทุกข์เดือดร้อนจะเรียกร้อง รามๆๆ
มหาตมคานธีขณะที่ใกล้จะสิ้นลม ท่านก็เปล่งออกมาว่า “ราม” หรือการแสดงโขนพระราชทานเรื่องรามเกียรติ์ตอนพิเภกสวามิภักดิ์ พิเภกจะเรียกหาพระรามเพื่อจะมา ถวายความจงรักภักดีว่า “รามาวตาร”
ตามตำนานของรามเกียรติ์ พระรามคือพระนารายณ์อวตารลงมาปราบยุคหิน พระรามมีทหารเอกชื่อว่าหนุมานเป็นลิง หนุมานนี้จะมีลักษณะพิเศษแข็งแรงมีความสามารถมาก มีกายสีขาวมีขนเป็นเพชร หาวออกมาเป็นดาวเป็นเดือน มีอาวุธประจำกายคือตรี และมีความซื่อสัตย์จงรักภักดี
อยู่บ้านราชฯถ้าเดินไปทางโรงหล่อจะเห็นรูปปั้นหนุมานตัวใหญ่มาก มือขวาถือตรี มีด้ามเป็นเคียวเกี่ยวข้าว มือซ้ายกำรวงข้าว จินตนาการประมาณว่า หนุมานทำท่าเกี่ยวข้าว ในรามเกียรติ์ไม่มีตอนนี้นี่นา
กราบเรียนถาม ที่พ่อมีดำริให้ปั้นรูปหนุมานท่านี้ เพื่อจะสื่อเป็นธรรมาธิษฐานหรือบุคลาธิษฐานอย่างไรคะ
พ่อครูว่า… ที่จริงอาตมาไม่ได้ไปบอกแสงศิลป์ให้ปั้นรูปหล่อเป็นโลหะนะ ใหญ่เบ้อเร่อเท่อเป็นโลหะ ตัวหนึ่งหลายล้าน เป็นโลหะเป็นทองเหลือง ไม่ได้บอกแสงศิลป์ว่าให้มีการกำเคียวกับรวงข้าว ไม่ได้บอกเขาหรอก เป็นไอเดียเขาเอง
เขาเห็นว่าเราก็เน้นเรื่องอาหาร เขาก็ค่อยๆเข้าใจ แสงศิลป์เป็นผู้ปั้น ผู้คิด ผู้ทำเอง เขาก็เข้าใจและทำออกมามันก็เลยกลายเป็นหนุมานที่มือถือเคียวกับรวงข้าว อีกข้างหนึ่งถือตรีที่เป็นเครื่องหมายประจำตัวเขา
ที่นี้คำว่า ปางราม มันเป็นเรื่องของสัจจะที่เขาใช้ภาษาเรียกแทน เช่นเรียกพระเจ้า แล้วก็เข้าใจกันว่าพระรามนี่ก็คือพระเจ้า รูปหนึ่ง ในตรีมูรติ พระราม พระศิวะ พระพรหม 3 องค์ เป็นความหมายของคำว่า ตรีคือไตร คือ 3 พระจิตวิญญาณบริสุทธิ์ พระกรุณา เป็นพระผู้สร้าง พระผู้ทำลาย พระผู้เป็นกลาง มันมีสามเส้า
ถ้าเรียกโดยสัจจะแล้วเป็นธรรมาธิษฐาน พรหมก็คือธรรมาธิปไตย พระศิวะก็คือเป็นตัวอัตตา ตัวทำลาย ส่วนพระราม ก็เป็นพระผู้สร้างโลก
เพราะฉะนั้นในโลกนี้ก็มีผู้สร้าง ผู้ทำลาย มีบวกมีลบ แล้วก็มีตัวที่รู้เป็นธรรมะหรือเป็นพระพรหมหรือเป็นผู้เป็นกลางที่จัดสรรให้มันได้สัดส่วน ด้วยความไม่เที่ยง ไม่มีอะไรเที่ยงในมหาจักรวาล กาละ เทศะ ฐานะ อาตมาสรุปเอาไว้แค่สามคำ
ไม่เคยมีใครจะมาหยุดกาละได้ กาละก็จะเคลื่อนไปตลอดเวลาที่มีมหาจักรวาล มีโลกมีทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรนิ่ง ไม่มีอะไรอยู่กับที่ มันเคลื่อนทั้งนั้น แม้แต่ก้อนหินก้อนหนึ่ง มันก็เคลื่อน แม้แต่ในตัวมันเองมันก็เคลื่อน มันมีความเสื่อมไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นการเคลื่อน ไปกับโลกนี้มันก็เคลื่อนไปเรื่อยๆ แม้มันอยู่ตรงนี้มันก็เคลื่อนไปแล้วไปกับโลก โลกก็หมุนพาเคลื่อนไป มันเป็นความซับซ้อนอย่างไม่รู้กี่ชั้น เคลื่อนตลอด
แตกต่างไปตลอด เทศะ ทุกอย่างไม่มีอะไรเป็นหนึ่งเดียวอยู่กับที่ แตกต่างกันไปตลอด เคลื่อนไปเรื่อยๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นแม้แต่มีศักดิ์ฐานะ มีความรู้ มีตัวตน ฐานะ เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงเป็นคำสรุปของพระพุทธเจ้าว่า เสื่อมไปเป็นธรรมดา
คนพยายามที่จะทำให้มันเจริญหรือมันก็มีความเจริญในตัวของมัน ตามธรรมชาติ มันเจริญขึ้นก่อน เสร็จแล้วได้ที่มันก็เสื่อมต่อ เสื่อมจนกระทั่งมันหยุดไปเลย สูญหายไปเลย มันก็เปลี่ยนแปลง เกิดมาเป็นจิตนิยาม เป็นชีวะระดับจิตนิยามแล้ว ทีนี้ล่ะมันความทำความเสื่อมหรือว่าทำความแตกตัวอัตตาของตัวเองให้สลายเป็นดิน น้ำ ไฟ ลมไม่ได้ เพราะอวิชชา เพราะไม่มีความรู้
เพราะฉะนั้นจึงกลายเป็นสัตว์มนุษย์ เป็นแท่งแห่งอวิชชา เต็มโลกขึ้นมาเรื่อยๆ จึงเกิดความเดือดร้อน เพราะฉะนั้นโลกเมื่อมีมนุษย์มากขึ้นมากขึ้น มันจึงเข้าหากลียุค สุดท้ายฆ่ากันตายหมด
พูดถึงการฆ่ากัน อาตมานี่ก็แหมไม่รู้จะพูดอย่างไร พูดแล้วมันก็ยาก เพราะเขาจะฟังไม่รู้เรื่อง ประเทศใดสามารถทำให้เป็นประเทศที่เป็นกลาง ไม่ทำสงคราม ไม่ฆ่า ไม่ทำสงคราม ไม่ฆ่ากับคนประเทศใด แม้แต่ในประเทศตนก็เป็นคนมีศีล เป็นศีลถึงขั้นอย่าว่าแต่ไม่ฆ่าสัตว์เลย เอาล่ะบางทีจะจำเป็นฆ่าสัตว์บ้าง แต่จะไม่ฆ่าคน คนยังมีจิตฆ่าคนนั้นนั่นคือคนมิลักขะ คือ คนเถื่อน
ฉะนั้นเห็นคนที่ฆ่าคนตายไปไม่ว่าประเทศไหนชาติไหน ฆ่ากันทำสงคราม ฆ่ากันอยู่นี้ เป็นสังคมเถื่อนทั้งนั้น เป็นประเทศเถื่อน
ประเทศที่ไม่ทำสงครามนั้นไม่ไปฆ่ากัน แม้แต่ในประเทศตนเองเขาก็เป็นคนที่ไม่ฆ่ากัน จนเป็นวัฒนธรรม เป็นคุณธรรม ถึงขั้นว่าคน อย่างชาวอโศกนี่ มันไม่ฆ่ากันหรอก ตีกันก็หนักหนาสาหัสแล้ว ก็ไม่เห็นจะมีตีกัน 40-50 ปีมานี้มีทะเลาะกันชกกันบ้าง 40-50 ปีมานี้มีทะเลาะกันชกกันบ้าง ผู้หญิงตีกันบ้างก็มีน้อย เขาเรียกว่าเป็น Error เป็นเรื่องเศษ เป็นข้อปลีกย่อยของมัน มันมีบ้าง มันเหลือวิสัย มันเกินวิสัย
เพราะฉะนั้นโดยองค์รวมโดยค่าเฉลี่ยถือว่าเป็นแกนแท้แล้ว มันไม่มี อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ
และคุณธรรมอีกอย่างหนึ่งคือ คลาสสิก ขั้นชั้น วรรณะ 9 สุดยอดแห่งรัฐศาสตร์ สุดยอดแห่งเศรษฐศาสตร์ สุดยอดแห่งสังคมศาสตร์ ถ้ามีคุณธรรมอย่างคลาสสิก 9 ขั้นนี้
9 ขั้นนี้ เป็นคนที่แม้ว่าคุณจะเป็นคนขี้เกียจ คุณจะเป็นคนไม่ขยันเท่าไหร่ในข้อที่ 9 สุดยอดคือขยัน ปรารภความเพียร ยอดขยัน
เพราะฉะนั้นคนที่เป็นคนขี้เกียจที่สุด ก็ไม่ใช่ขี้เกียจจนน่าเกลียด ก็อยู่อย่างน้อยก็ช่วยนั่นช่วยนี่ เกื้อกูลกัน เลี้ยงกันได้ ดูแลกัน เลี้ยงง่าย แล้วก็อบรมสั่งสอนกันอยู่กับหมู่ไป ก็จะนำพาจูงดึงกันสูงขึ้น ความขี้เกียจก็ลดลง
หรือข้อ 8 อปจยะ ไม่สะสม คนที่ยังสะสมอยู่ อาตมาอธิบายธรรมะซ้อนธรรมะ เอายอดขยัน แล้วก็เอาไม่สะสมมาอธิบาย แล้วก็เลี้ยงง่ายบำรุงง่าย เพราะฉะนั้นสอนให้เป็นคนที่เคยสะสมก็มาเลิกความสะสม มีความขี้เกียจก็มาเลิกความขี้เกียจเถอะ..มา ก็เข้าใจสอนง่าย สุโปสะ พัฒนาให้เป็นคนสะสมก็เลิกสะสมค่อยๆเลิกสะสม
ขี้เกียจก็เลิกขี้เกียจ มาขยันขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นคนมีอาการที่น่าเลื่อมใส กายกรรมก็เจริญขึ้น วจีกรรมก็เจริญขึ้น มโนกรรมก็เจริญขึ้น กรรม 3 ก็พัฒนาขึ้น พัฒนาเป็น cyclic แต่ก่อนเคยขี้เกียจก็ไม่ขี้เกียจ แต่ก่อนไม่สุภาพก็มาสุภาพขึ้น
โดยมีหลักประพฤติ ธูตะหรือธุดงค์ โดยมีข้อปฏิบัติเป็นศีลก็ดีเป็นวินัยก็ดี เป็นข้อปฏิบัติที่ทำให้เจริญขึ้นเรื่อย ธูตะ แล้วก็ขัดเกลาตัวเอง สัลเลขะ โดยมีจิตรู้จักพอ สันตุฏฐิหรือสันโดษ คือใจพอ
ใจพอนี่สุดยอดเลย สูงสุดคือเรามี 0 บาท เรามี 0 บาทก็พอ สังคมใดมีคนที่มีความรู้สึกแล้วก็ประพฤติได้ถึง ไม่ใช่แค่รู้สึกและเข้าใจว่ามี 0 ก็พอ แล้วตัวเองก็ประพฤจริงเป็นจริงได้ มีสังคมใดทำได้เป็นจริงได้ไหม…ได้
ไม่กังวลเลยมีเงิน 0 บาท จะมีคนเอาเงินมาให้ มาใช้ก็มีบ้าง แล้วธรรมดาก็มี 0 ไป เดือนนี้ก็ไม่มีเงินผ่านมือสักบาท 2 เดือนก็ไม่ผ่านมือสักบาท ผ่านก็ผ่านตามเรื่องของการงานก็ผ่านแล้ว เราก็ไม่ได้มาเก็บสะสม ไม่ได้มายึดว่าเป็นเงินเรา ไม่เห็นความสำคัญ เห็นเงินเป็นกระดาษชำระ จริงเขาชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย เราก็เห็นเป็นกระดาษชำระหนี้ ไม่เห็นความสำคัญอะไร
ปัจจัย 4 เรามีพร้อมหรือแม้บริขารที่เรามีอาศัยใช้สอยพอเพียง เพราะฉะนั้นเรื่องของเงินไม่จำเป็น นอกจากจำเป็นก็เบิกกองกลางเอาใช้ พวกเราจึงสบายมาเบิกกองกลางแล้วพอได้ ก็ใช้ไป ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เราก็อยู่ได้เท่าที่มี ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น มันมีความใจพอ มันพอ มันน่าจะได้กว่านี้ มันไม่ได้ มันได้แค่นี้ก็พอ สันโดษจึงเป็นจุดสำคัญมากเลยในคนที่เป็นคนใจพอแล้ว
เขาไปแปลว่าพอเพียง พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ มันเป็นปลายเปิดอยู่ ให้ไปถามคุณธนินท์สิ ว่าคุณธนินท์มีเป็นแสนล้านแล้วพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ไหม เขาก็พึงพอใจสิ แล้วจะเอามาอธิบายแบบที่เรามี 0 แล้วก็พอใจได้อย่างไร มันจะอธิบาย มันเทียบกันเหมือนกันไหม มันคนละโลก มันฟ้ากับเหวเลย มันไม่เหมือนกันเลย ไอ้นั่นยังเต็มไปด้วยความหอบหวง ตะกละตะกลาม มีตัวมีตน แต่อันนี้มันไม่มีแล้ว
แล้วคนจะมามีคุณธรรมอย่างที่ว่านี้โดยเฉพาะวรรณะ 9 มันสุดคลาสสิคจริงๆเลย เป็นเดอะคลาสเสสที่ยิ่งใหญ่มากเลย เป็นขั้นชั้นที่ยิ่งใหญ่ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้สิ่งที่วิเศษพวกนี้ออกมา
อาตมาก็ภาคภูมิใจมากที่พวกเรามาปฏิบัติและมีคุณธรรมลักษณะเหล่านี้ได้และไม่ใช่ว่าปากเปล่า พูดก็โก้ๆเท่ๆ เหมือนของ Thomas More ที่เขียนเรื่องยูโทเปีย ไม่มีใครปฏิบัติตาม เอาไปทำได้เลย แต่ของพระพุทธเจ้าเราเอามาปฏิบัติ อาตมาว่ามันยิ่งกว่ายูโทเปีย เพราะมันมีชีวิตจริง ไม่ใช่ตำรา ไม่ใช่นิทาน ไม่ใช่เรื่องฝันเฟื่องไว้เฉยๆ แต่นี่มันเรื่องจริง มันจึงสุดยอดแห่ง อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนความเสียสละ
_ป๋องว่า..มีธตรสบัณฑิต เป็นผู้เฝ้ารองเท้าพระรามในพระไตรปิฎก ครับ
พ่อครูว่า… ความรู้ โลกจินตา ไม่มีที่จบ เราก็ต้องมาสรุปหาที่จบ อาตมาก็สงสารมาหาประยุทธ์หรือสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ ท่านศึกษาและยินดีในการศึกษา ท่านเก่งท่านศึกษาจริงๆ ชาตินี้ท่านเป็นนักปราชญ์ เป็นผู้รู้ยอดรู้ศึกษาจริงๆ แต่ท่านไม่มาเรียนรู้ตัวเองให้ได้ความจบ อันนี้อาตมาก็ไม่รู้จะพูดยังไง ก็พูดซะแม้ตัวเองใหญ่ แต่ก็สงสารท่าน พูดเหมือนโอ้โห ใหญ่เหมือนกันนะว่าสงสารท่าน ท่านควรจะสงสารอาตมา แต่อาตมาก็ไม่ต้องสงสารอาตมาหรอก อาตมาสบายแล้ว สงบ อบอุ่น อิ่มเอมแล้ว อาตมาไม่มีปัญหาทุกอย่าง
แต่ว่าจริงๆแล้วอาตมาก็ไม่ได้มีโรคในตัวเท่าไหร่ โรคตัวอาตมามันไม่มากแต่ท่านประยุทธ์ ท่านมีโรคหลายอย่าง ท่านไม่ค่อยแข็งแรงมาตั้งแต่ไหนแต่ไร อายุน้อยกว่าอาตมา 4-5 ปี ท่านก็ 85ปีแล้ว
อาตมาก็ได้แต่เห็นว่าแต่ละคน แม้แต่พูดถึงมหาบัว พูดถึงมหาประยุทธ์ พูดถึงท่านสมเด็จพุทธโฆษาจารย์นี่ก็เถอะ ก็พูดกันอย่างมีจิตญาติทางใจ คำว่าสงสารนี้ พูดแล้วมันก็เหมือนกับผู้ใหญ่พูดกับผู้ที่ด้อยกว่าอะไรพวกนี้ก็ขออภัย พูดสัจธรรมความจริง อาตมาเห็นอย่างนั้นจริงๆเป็นเรื่องจริง อาตมาก็เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง
เพราะท่านยังไม่กล้าที่จะพูดว่าตัวเองบรรลุอรหันต์เหมือนอย่างอาตมาหรอก อาตมาไม่ได้พูดอวดอุตริมนุษธรรมที่เป็นปาราชิก..ไม่ใช่ แต่มันเป็นเรื่องจริง แต่คนก็ยังไม่เชื่อง่ายมันยังไม่เข้าใจ อาตมานำสัจธรรมมา ไว้วันหลังจะได้นำเรื่องที่อาตมากำลังเขียนอยู่ตอนนี้ คือเรื่องเกิดมาชาตินี้ เข้ามาอ่านอธิบายกัน เกิดมาชาตินี้มันต้องจำนน จำใจ จำเป็น จำยอม จำต้อง ต้องทำอย่างที่ไม่ควรจะทำไม่น่าทำอะไรต่างๆ แต่ก็ต้องจำเป็น จำยอม จำต้องทำออกมา
_สู่แดนธรรม… เคยเป็นจำเลยด้วยครับ
พ่อครูว่า… อาตมาไม่ได้เป็นจำเลย
สมณะเดินดิน…ถ้าพ่อครูไม่ได้มาอธิบายเราก็คงไม่ได้เข้าใจว่าพลเอกประยุทธ์เป็นโพธิสัตว์นะครับ
พ่อครูว่า… 1. เสียสละ 2. ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์เป็นคุณค่าที่คนอื่นทำไม่ได้ง่ายๆ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เป็นต้น พลเอกประยุทธ์ เป็นต้น หรือโพธิรักษ์ เป็นต้น พูดถึงตัวเองแล้วเขาจะหาว่าหลงตัว
สมณะเดินดิน… พลเอกประยุทธ์เป็นนักทำงาน ไม่ใช่แค่นักคิดนักพูด งานแต่ละอย่างไม่ใช่ง่ายๆ บางคนคิดว่าทำไมไม่ปฏิรูปตำรวจ ทำไมไม่ปฏิรูปนักการเมือง เขาก็คิดอะไรได้เยอะแยะ แต่พ่อครู อยู่กับคนจึงเข้าใจเลยว่าแต่ละเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย
อีกประเด็นหนึ่งคือเป็นคนที่ขัดเกลา ไม่เอาใจใคร
จบ