660821 ฌานเป็นพลังงานปัญญาล้านองศาเผากิเลส รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #37 ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1owBQWvFsZdbuI8wGAgLQu168DzWu5mN-/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่
และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660821-e28bfn9
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/gQmmnaK1lG8
และ https://fb.watch/mz0iERYYZ7/
พ่อครูว่า… วันนี้ วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม 2566 ขึ้น 5 ค่ำเดือน 9 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
อาตมาก็ 90 มา 2 เดือนแล้ว อาตมาเกิดเดือน 7 เดือนนี้เดือน 9 มาเริ่มต้นกันที่ Sms ไปเลย
SMS วันที่ 18-20 ส.ค. 2566
ปัญญามีฤทธิ์ฆ่ากิเลสอย่างไร
_กราบนมัสการ พ่อท่านที่เคารพ ศรัทธายิ่งค่ะ และสมณและสิกขมาตุ ที่เคารพศรัทธาค่ะ และญาติธรรมบ้านราชทุกๆคน ดิฉัน เข่ง ใจแก้ว จากบ้านราชมาบ้านปาดังเบซาร์ เดือนกว่าแล้วค่ะ ดิฉันกลับมาอยู่เรียนรู้ เก็บรายละเอียดทางสภาวะจิตได้หายสงสัย ที่พ่อครูพูดว่า พี่น้องทางธรรมยิ่งกว่าพี่น้องทางสายเลือดค่ะ คร้ังนี้มา ดิฉันชัดเจนค่ะ
เพราะได้สัมผัสด้วยจิตวิญญาณ การปฏิบัติธรรมต้องมีผัสสะแล้วจะรู้อาการของจิตได้อย่างชัดเจนที่สุด ไม่ใช่อยู่ที่ตําราเพียงอย่างเดียว ต้องอ่านอาการจิตของเรา ชอบหรือไม่ชอบ หรือไม่สุข ไม่ทุกข์ ถ้าดิฉันไม่มาปฏิบัติธรรมกับอโศกที่ พ่อท่านสอนให้เกิดปัญญา อ่านจิตอ่านกิเลสเป็น แล้วลดกิเลสได้จริงๆ ดิฉันคงอ่านจิตไม่เป็นแน่ ทางบ้านปาดังพี่น้องต้ังฉายาใหม่ให้เป็นเจ้าแม่กวนอิม
พ่อครูว่า… เป้าประเด็นของศาสนาพุทธอยู่ที่ความสุขความทุกข์ ให้เข้าถึงว่าความสุขความทุกข์เป็นอนัตตา คนทุกวันนี้ติดความสุขเป็นสุขนิยมเป็นโลกีย์ไม่มีทางบรรลุ ไม่มีทางนิพพาน
ให้รู้จักหน้ากิเลส ปัญญาหรือธาตุรู้ของเราจะรู้ทุกผัสสะปัจจุบัน มันยิ่งซ้ำหน้ายิ่งรู้ชัด ยิ่งสัมผัสยิ่งรู้ชัดรู้ชัด มันยิ่งซ้ำหน้า ยิ่งสัมผัส ยิ่งรู้ชัดรู้ชัด ไม่ใช่หนีต้องเห็นจริง ชัดจนกระทั่งปัญญามันก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพ มีธรรมฤทธิ์สูงขึ้น ทำให้กิเลสถอยๆๆ กิเลสไม่รอหน้า กิเลสบอกว่า เฮ้ย! ปัญญามันไม่รอหน้าเราแล้ว กิเลสมันจะวิ่งหนีหูตูบเลย นี่พูดเป็นรูปธรรมให้ชัดเจนเลยนะ มันเป็นอย่างนั้น มันไม่ได้ไปฆ่าไปแกง ไปทำร้ายอย่างโหดร้ายอะไรหรอก แต่มันเป็นธรรมฤทธิ์เป็นเรื่องของนามธรรม เป็นเรื่องปรมัตถ์ที่ยิ่งใหญ่
อ่านแล้วเห็นเลยว่า เข่งเขาบรรลุธรรม พวกเรานี่บรรลุธรรมกันไปตามลำดับ โสดา สกิทา อนาคา อรหันต์
จิตเป็นกลางอย่างลืมตาหมดอันตาสองฝั่งกามและอัตตา
_กิ่งกาญจน์ ไชยภักดี · น้อมกราบนมัสการท่าน อ.1ที่เคารพและศรัทธาค่ะ…วาไรตี้บุญนิยม บวรลานนาอโศก ตอน… เตรียมใจก่อนตายอย่างไรดี? เป็นหัวข้อที่ทำให้มีมรณานุสติอยู่ตลอดเวลาจริงๆค่ะ เพราะพรุ่งนี้จะตายแล้ว…ดิฉันก็จะขอทำวันนี้ให้ดีที่สุุดค่ะพยายามฝึกฝนปล่อยวางทุกอย่างให้ได้มากที่สุด เมื่อถึงเวลาตายสิ่งที่ต้องทำคือทำใจให้เป็นกลางคืออุเบกขา..ค่ะเพราะเมื่อถึงเวลานั้นจริงก็ไม่รู้ว่าสังขารร่างกายจะเป็นเช่นไร..จะทำอะไรได้บ้างคงต้องทำที่ใจของเราค่ะ กราบนมัสการค่ะ
พ่อครูว่า… พวกนั่งหลับตาก็ทำใจในใจไม่ถูกทาง เรียกว่าทำไม่เป็น ทำไม่ถูก ทำเป็นแต่มันไม่ถูก แต่ทำถูกทางต้องเป็นอย่างนี้คือทำให้เป็นกลาง รู้อย่างตื่นๆอยู่ ฌาน ไม่ได้หลับตาเลย หลับตาไม่ใช่ฌานของพุทธ ของพุทธนี้ลืมตารู้ครบรู้แจ้งรู้ถ้วนเลย
กว่าจะทำใจให้เป็นอุเบกขาไม่ใช่ธรรมดา มันจะต้องลดกิเลส 2 ข้างไปเรื่อยๆ กามอัตตา ๆๆ จนหมดกาม หมดอัตตา ถึงจะเป็นอุเบกขา บริสุทธิ์สะอาดจากทั้งกามทั้งอัตตา 2 ข้าง
พยัญชนะมีทั้ง กามทั้งอัตตา มี 2 ข้างสภาวะมันก็มีจริง สภาวะที่มันไม่มี กามไม่มีอัตตาๆๆ ลดน้อยลงจนกระทั่งมันหมดเป็น 0 เลยไม่มีทั้ง กามและอัตตา นี่แหละคือกลาง กลางคือ 0 ไม่มีทั้ง 2 ข้าง ไม่มี อันตา ไม่มีปลายทั้ง 2 ข้างเลย เป็นอุเบกขา อุเบกขาไม่ใช่อยู่เฉยๆเด๋อๆแต่รู้ครบถ้วน รู้เร็วแล้วมันไม่มีกิเลส 2 ข้าง ไม่มีกาม ไม่มีอัตตา นี่คือความเป็นกลางอย่างอุเบกขา
และความเป็นฌาน ฌาน นั่นแหละคือตัวปัญญา ฌานอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น ปัญญาคือฌาน ฌานคือปัญญา จะรู้เร็ว รู้กามรู้อัตตาๆ ธรรมฤทธิ์ของปัญญาสูงขึ้น กามก็ลดลง อัตตาก็ลดลง จนกระทั่งเหลือคู่สุดท้าย คู่ที่เล็กละเอียดที่สุด หมด ไม่เหลือกาม ไม่เหลืออัตตา
เป็นกลางคือบริสุทธิ์อุเบกขา ไม่มีทั้งตัวกาม ไม่มีทั้งตัวอัตตา 0 ไม่มี 2 นี่คือความเป็นกลาง
เป็นอรหันต์ตายแล้วก็จบด้วยนิพพาน 3 สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน สลายเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย เจตสิกของเราไม่เกาะตัวอีกเลย นี่คือตายอย่างสูญสลายอัตตา หรือสูญสลายจิตนิยาม
ชาวพุทธที่ปฏิบัติธรรมถูกต้องจะลดความกลัวตายจนไม่กลัวตาย
_จรรยา ประเสริฐ · ดิฉันเห็นตัวอย่างการตายของท่านสิกขมาตุทองพรายแล้ว ติดตราตรึงใจ ท่านขอทำใจให้อยู่คนเดียว กำหนดจิตท่านไปเอง หลังจากฟังพ่อท่านเทศน์นำทาง ให้วางอย่างไร กราบสาธุค่ะ
พ่อครูว่า… ดีไม่ดีจะบอกว่าไปแล้วนะ จะไม่กลัวความตาย จะไม่กลัวความเป็น แม้เราเองจะยังไม่บรรลุอรหันต์จะค่อยๆรู้ความจริง จะลดความกลัวตาย กลัวเป็น จะเป็นความพ้นทุกข์พ้นสุขเป็นอรหันต์แล้ว แต่ถ้าไม่เป็นอรหันต์ รู้แล้วก็รู้ว่ามันเป็นก็มี ไม่ตายแล้วก็อยู่ที่เราว่าเราจะทำจิตของเราสลายให้เป็น 0 ไปหรือจะยังเกิดอยู่ เกิดมาก็ไม่กลัวแล้ว มีชีวิตอยู่ก็ไม่กลัวทุกข์กลัวสุข เพราะเราไม่ได้ติดทุกข์ติดสุขเรารู้อยู่แล้ว เราก็อาศัยสิ่งเหล่านี้อยู่ อาศัยเหตุปัจจัยที่มันปรุงแต่งเรียกว่าสังขารทั้งหลาย ทำงานไป
อย่างอาตมาทำงานไป อยู่อาศัยสังขารไป ทุกวันนี้ก็ลากสังขารเต็มทีแล้ว
ผิดศีลข้อ 3 จะได้เป็นโสดาบันไหม
_ช่อทิพ หนูทอง · ถ้าถือศีล 5 ไม่บริสุทธิ์เช่น ผิดศีลข้อ 3 เรียนถามพ่อครูว่า จะได้เป็นโสดาปัตติผลหรือไม่คะ?
พ่อครูว่า… ไม่ได้เป็นนะ ระวัง ไม่ได้เป็นแม้แต่โสดาบัน เพราะมันเป็นตัวยืนยันว่าตัวเองนี้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) แค่นี้ก็ไม่ได้
โสดาบันไม่ใช่ไม่มี รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) สัมผัส ไม่ใช่ไม่มี คู่เมถุนเราก็มีอยู่แล้ว แล้วยังไปละเมิดผิดอีก อย่างนี้ใช้ไม่ได้
ผู้บรรลุธรรมแล้ว แยกรูปแยกนาม กันอย่างไร
_สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ท่านสมณะเดินดิน ท่านสมณะบินบน ท่านจันทร์ ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ลูกได้ฟังท่านสมณะบินบน ท่านวิเคราะห์ว่า สมาชิกพรรคสีส้มเมื่อทำความผิดแล้ว ก็จะตัดสินความผิดด้วยตนเอง หากศาลตัดสินไม่ตรงกับของตน ก็ตำหนิศาลว่าศาลผิด ท่านว่าทำอย่างนี้ไม่เคารพองค์กรศาล ที่คนทั้งประเทศยอมรับ ลูกเห็นชัดว่า บรรยากาศการวิเคราะห์ของท่านดูอบอุ่น เป็นแบบผู้ใหญ่ตักเตือนเด็กด้วยความปรารถนาดี ลูกเชื่อว่าคำแนะนำตักเตือนอย่างนี้ จะเปลี่ยนแปลงสังคมได้เพราะยึดหลักในความถูกต้อง และความปรารถนาดี
…ลูกได้ดูตัวอย่างการชุมนุมประท้วงของพันธมิตรและกปปส.ที่มีพ่อครูนำคณะชาวอโศกปักหลักร่วมด้วยตั้งแต่พ.ศ.2549-2557 ลูกขอถามว่าหากให้การชุมนุมเป็น กาย แล้วให้พันธมิตรหรือกปปส.เป็น รูป ให้พ่อครูและชาวอโศกเป็น นาม จะได้ไหมคะ ขอพ่อครูแนะนำสั่งสอนลูกด้วยค่ะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า… เข้าใจถูกแล้ว การเข้าใจที่แยกรูปแยกนามได้มันเป็นความสุดยอด ในอาหาร 4 พระพุทธเจ้าก็ตรัสอาหารข้อสุดท้ายเรื่องวิญญาณ ผู้ที่สามารถเข้าใจรูปนาม แล้วก็สามารถที่จะแยกรูปแยกนาม และทำ ทำสำเร็จคือไม่สับสนปนเป ไม่วุ่นวาย ไม่ยุ่ง เรื่องของรูปก็คือรูป เรื่องของนามก็คือนาม และโดยเฉพาะจัดการเรื่องของนาม และมีอิทธิพลเหนือรูป นามของเราก็เป็นประธาน นามของเราก็เป็น วสวัตตีโก เป็นผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ ก็สูงสุด
เพราะฉะนั้นยังจิตให้เป็นไปในอำนาจจนกระทั่ง 0 ถึงขั้นไม่สุขไม่ทุกข์ถึงขั้นเก่งสุดก็จบ นี่คือเป็นความจริง ผู้ปฏิบัติได้อย่างที่อาตมาอธิบาย เอาสภาวะของตัวเองเป็นสภาวะ วสวัตตีโก อาตมามีอำนาจเหนือจิตอย่างนั้น เอามาอธิบายขยายด้วยภาษาไทยให้ฟังด้วยสำนวนของอาตมาเองอ่านจากอาการจริงของอาตมาเอง นี่เป็นสิ่งที่จริง ผู้ที่ปฏิบัติธรรมเรียนรู้ดีๆจะเข้าใจได้ว่า คนที่บรรลุธรรมกับคนที่ไม่บรรลุธรรมพูดนี้ มันรู้ได้เลย มันไม่ยากหรอก คนไม่รู้จะพูดสับสนวนไปวนมา คนที่บรรลุธรรมแล้วจะจี้ลงไปที่สภาพรูปนามให้เสร็จ
เพราะฉะนั้นอาหารข้อที่ 4 เกี่ยวกับเรื่องของจิตวิญญาณกับรูปนามนี้ พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบเหมือนกับโจรร้ายที่ทำลายศาสนา ที่ฆ่าด้วยหอกร้อยเล่มตอนเช้ามันไม่ตาย ฆ่าตอนกลางวันอีก 100 เล่มมันก็ไม่ตาย ตอนเย็นอีก 100 เล่มมันก็ไม่ตาย นี่คือพวกที่อวิชชา ไม่รู้รูปนามนี่แหละ ไม่รู้วิญญาณจริงนี่แหละ อวิชชาไม่รู้การปรุงแต่งของวิญญาณที่เป็นสภาพ 2 รูปนาม แล้วมันก็ไปรวมตัวเป็นอายตนะ จะรู้จริงต้องมีสัมผัสเป็นผัสสะจริง มีเวทนาจริงแล้วก็แยกแยกรูปแยกนามแยกเป็นสภาวะ 2 ได้จริง แล้วจัดการตัวจริงกับตัวเก๊ จัดการตัวเก๊ให้มันออกไปให้เหลือแต่ตัวจริงอาศัยแล้วเราจะรู้ว่า จิตวิญญาณนั้นคือธาตุที่มาอาศัยอยู่ในชีวิตเราเท่านั้น ถ้าเรารู้จบแล้วว่ามันไม่ใช่อะไร มันเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนอะไร รู้หน้ามันแล้วก็อยู่กับมันไปอนัตตา แล้วเราก็ตาย ตายก็ทำนิพพานแยกธาตุเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย
ฟังดีๆที่อาตมาพูดคนมีปัญญาฟังดีๆจะเข้าใจว่าอาตมาพูดถึงสภาวะอย่างไรแค่ไหน จะเป็นผู้บรรลุธรรมหรือไม่บรรลุธรรมผู้ที่มีปฏิภาณปัญญาฟังจะเข้าใจ สังเกตได้จะอ่านออกว่าคนไม่บรรลุธรรมพูดอย่างนี้ไม่ได้ ต้องคนบรรลุธรรมมีสภาวะจริงๆพูดอย่างนี้คนไม่บรรลุธรรมพูดไม่ได้จะสับสนวุ่นวายมันจะเห็นขัดแย้งกันในตัว
17 ปีผ่านไปหรือคนไทยยังก้าวข้ามทักษิณไม่ได้
_ออน ทับทิมทอง · คดีจะหนักหรือไม่หนักก็อยู่ที่กกต.ว่าจะทำเรื่องให้หนักหรือเบา ตัวเองไม่จัดการ แต่ส่งศาล ถ้าเกิดส่งสำนวนเอกสารอ่อน ศาลก็ตัดสินยกฟ้อง คนผิดกลายเป็นไม่ผิดได้ เหมือนพวก 3 นิ้วที่ขัดขวางรถขบวนองค์พระราชินีกับพระองค์ที ทนายพวกมันทำคดีบิดเบือนทุกคำ ศาลก็ยกฟ้องเพราะทำสำนวนตอแหล
พ่อครูว่า… เรื่องจริงนะเรื่องพวกนี้อยู่ในวงการ เขาจะเข้าใจเลยวิธีการทำยังไงให้ผิดหรือให้ไม่ผิด อะไรต่ออะไรจริงๆเลย แล้วคนทั่วไปไม่ได้รู้วิชาการพวกนี้ไม่ได้เข้าใจ เขาก็อธิบายได้เพราะทำสำนวนอ่อนไป ทำสำนวนให้อ่อนหรือไม่เต็มที่ คนทั่วไปไม่ได้รู้รายละเอียดอย่างชัดเจน แล้วก็เป็นอยู่เป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้น อาตมาถึงบอกว่าวิธีการพวกนี้ ทักษิณก็คงกลับมาวันที่ 22 พรุ่งนี้ เพราะว่าถ้ายึดรัฐบาลได้ ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่ว่านี้พอเข้าไปก็ไปเป็นนายกไปคุมรัฐมนตรี แม้ที่สุดคุมรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมอะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้นอิทธิพลของสิ่งที่คนเรายังไม่หมดกิเลส ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มันไม่สะอาด ไม่ตรงทีเดียว มันจะกลัวเสีย ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขของตนเอง นี่อาตมาก็พูดตรงๆอย่างนี้เพราะฉะนั้นก็พยายามเถอะ ตัวคนใดๆที่ฟังอาตมาพูดแล้วสามารถที่จะรู้จักกิเลสเราแล้วไม่ลำเอียงจริงๆประเสริฐ คนนั้นแหละเป็นคนที่ปฏิบัติธรรมที่มีมรรคมีผล
_สู่แดนธรรม… ในมือผมมีปัญหาต่อเนื่องครับ
_ลูกเป็นแฟนด้อมของพระสยามเทวาธิราช มั่นใจว่าประเทศชาติของเราจะไม่ถูกนักการเมืองมาทำให้ป่นปี้ไปได้ แต่ข่าวทักษิณจะกลับเมืองไทยพรุ่งนี้ ทำให้ลูกหวั่นไหวค่ะ ขอกราบนมัสการให้พ่อท่านให้สัมมาทิฐิแก่ลูกด้วยค่ะ
พ่อครูว่า… พรุ่งนี้ว่าอาตมาว่าพยากรณ์ไปทีเดียวคงไม่ดี แต่เขาพูดว่าตามความเห็นของอาตมา อาตมาเชื่อว่าทักษิณนี่เขาได้ทดสอบตัวเองมาแล้ว 17 ปี ทุกวันนี้ไม่มีใครข้ามพ้นเขา ในประเทศไทย 17 ปีเขาทดสอบแล้ว ไม่มีใครข้ามพ้นทักษิณ ยังติดในอำนาจในอิทธิพลเขาอยู่ เพราะฉะนั้นเขาก็เชื่อมั่นว่าเขากลับมาแม้เขาจะเข้าคุก เขาก็มีอิทธิพลพอ แล้วก็มีเหตุปัจจัยพอ 1.แก่แล้ว 2. มีโรคอะไรก็แล้วแต่อ้างอิงต่างๆนาๆ เป็นแต่เพียงว่าอาตมาจะรอดูว่าจริงๆแล้วสุดท้าย ทักษิณกลับมาว่าจะติดคุก แต่แกก็จะเดินลอยตัวอยู่ในประเทศไทยสบายๆหรือไม่ อาตมาก็จะดูว่าประเทศไทยจะถึงขนาดนั้นไหม
อาตมาเชื่อว่าทักษิณเขามั่นใจว่า 17 ปีคนข้ามไม่พ้นเขาแสดงว่าเขามีอิทธิพล เพราะฉะนั้นเขาเข้ามานี่ เขาก็ต้องมีอิทธิพล อย่างน้อยฟังดู พร้อมแล้วพวกแดงจะไปรับที่สนามบินเต็มพรึบเลย แล้วดูซินี่ทักษิณมา แดงจะพรึบไปรับมากกว่าไปประท้วงให้แก่พิธา คอยดูเถอะ หรือไม่ คณะที่แดงจะไปร่วมต้อนรับทักษิณจำนวนมากกว่าไปร่วมชุมนุมประท้วงติดตามพิธาหรือไม่ ก็ได้ 100-200 คน แต่ทักษิณอาตมาว่าจะมากกว่า 200 คนแน่ แล้วพวกคุณไม่ไป พวกเราพวกดูไปไม่ใช่พวกดูไบ
_บุญญากร พัฒนสัตถาพร · ผู้ที่เฉโกมากจะเข้าใจธรรมะโลกุตระยากครับ กราบนมัสการท่านพ่อครูโพธิรักษ์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งครับ🙏🙏🙏
พ่อครูว่า… จริงๆไม่ใช่เข้าใจยาก แต่จะเข้าใจไม่ได้เลยด้วย
พระมียศมีนิตยภัตเป็นความเสื่อมเป็นโลกีย์
_ดนุธรรม วิรุฬห์ศิริกุล · มหาเถรสมาคม..ทำได้แต่”ยศถาบรรดาศักดิ์” แบบเพ้อเจ้อ.. พระบางรูปพอได้ยศได้ตำแหน่งก็หลงแบบ”ฆราวาส” แบบโลกโลก.. ลืมคำสั่งสอนของ”พระผู้มีพระภาคเจ้า” จนหมดสิ้น” ทั้งที่พระองค์เป็นถึง” พระมหากษัตริย์” แต่ท่านทิ้งหมด เพราะมันเป็นกิเลส ตัณหา และความทุกข์..
พ่อครูว่า… เป็นความจริง อาตมาพูดแล้วว่าพระพุทธเจ้าท่านก็เต็มไปด้วยลาภยศสรรเสริญแต่ท่านก็เดินออกมาเลย ไม่ได้ใยดีเลย พูดซ้ำซากแต่เขาไม่เข้าใจได้
ทุกวันนี้ เป็นพระมียศ ตั้งแต่พระครูจนสมเด็จ แบกยศตำแหน่งอยู่นั่นแหละออกได้ที่ไหน เดี๋ยวนี้มีนิตยภัตด้วย มีเงินเดือนประจำตำแหน่งด้วย เรื่องเหลวใหลเรื่องเลอะเทอะของศาสนาพุทธ ไม่รู้จะพูดอย่างไรมันก็ไปเรื่อยๆตามความเป็นจริง พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ในอนาคตโลกุตรธรรมจะเสื่อม ที่อยู่ทุกวันนี้ปัจจุบันนี้ไม่ใช่พุทธ มันเป็นโลกียธรรมของทั่วโลก ไม่ใช่โลกุตรธรรม โลกียธรรมเอาแต่ชั่วแต่ดีไม่ได้รู้สึกรู้ทุกข์มันต่างกันตรงนี้ประเด็นหลัก ศาสนาโลกุตระของพระพุทธเจ้าให้มาเรียนรู้สุขทุกข์และดีชั่วก็เรียนด้วย ไม่ใช่ไม่เรียน แล้วเรียนถึงขนาดว่าเป็นความดีรับรองว่าไม่ตกต่ำ ไม่ทำชั่วเลย สัพพปาปัสสะ อกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กรรมที่ทำอยู่ก็มีแต่กุศล กุสลัสสูปสัมปทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) สจิตตปริโยทปนัง(ชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้วจากกิเลส)
_น้อมอภัย เพ็ญประเสริฐสิทธิ · น้อมกราบคารวะหลวงปู่ด้วยความเคารพยิ่งค่ะ ดิฉัน น้อมอภัย ค่ะ ยังคงต้องพบแพทย์ ฝังเข็ม ทานยาจีนค่ะ เนื่องจาก อุบัติเหตุ ลื่นล้ม ตกบันได 10 ขั้น เมื่อต้นปี65 แค่ใต้เข่าแตกยาว 8เซ็นเย็บแผล นอกใน ชั้นละ 8 เข็ม และ เส้นที่คอ ร้าวขึ้นศีรษะ แรกๆ หันตัวทั้งตัว ขณะนี้ ดีขึ้นแล้ว ด้วยการรักษาของแพทย์จีน 5-6เดือนค่ะ สแกนกระดูก ไม่ร้าว สมองก็ไม่มีเลือดคั่ง ขอขอบคุณ น้องดาวชิดเดือนที่แนะนำยา ให้ทาน แต่อวัยวะภายใน ได้รับผลกระทบ อย่างแรง หลังจากนั้น ปลายปี65 เจออุบัติเหตุ อีกครั้งค่ะ ข้าวสุกใหม่ๆ หม้อข้าวหล่นใส่ พองมือ พองแข้ง รักษา ไปอีก 4 เดือนค่ะ และ มีอุบัติเหตุ เล็กๆน้อยๆ ตามมาเป็นระยะๆค่ะ จนเบื่อหน่ายตนเองมาก สมองก็ไม่ดีค่ะ ขี้ลืมหนักมาก ขนาด ทำเงินที่บ้าน หาย พันบาท ทบทวนอย่างไร ก็นึกไม่ออก ว่า หายตอนไหน วางไว้ ที่ไหน ก็มา พิจารณาว่า ก็คงไม่ต่างกับ อุบัติเหตุ ที่เราโดน ตลอด สองปีนี้ ค่ะ พอเริ่มอาการดีขึ้น จะมาบ้านราชที ต้องรอดู ความพร้อมของร่างกาย และ สมองที่ลืมง่าย น้องๆ ก็ไม่อยากให้เดินทางไกลค่ะ สมัยก่อน อายุ 30 กว่า ช่วยงานวัดได้ เดินทางง่าย ไกลก็จะไป ไม่รู้สึกว่าไกลค่ะ ทุกวันนี้ อายุย่าง 65 แล้ว รู้สึกว่า เมื่อร่างกายเราไม่แข็งแรง บ้านราชรู้สึกไกลมาก ค่ะ และ ได้ข่าวว่า เส้นทางรถไฟบางช่วงสูงถึง 50เมตร จึงรู้สึกหดหู่ในการเดินทางมากค่ะ เขียนมายาวแล้ว กราบเรียนมาเพื่อชี้แจง เหตุใด จึงยังไม่ได้มาบ้านราชสักที เท่านี้ ค่ะ กราบขอบพระคุณหลวงปู่ ที่ให้…อย่าเพิ่งตาย รอดู ความเจริญงอกงามของชาวอโศกก่อน
ศีลเป็นต้นธาตุต้นธรรมของนิพพาน
_น้อมกราบด้วยความเคารพยิ่งค่ะ น้อมอภัย เพ็ญประเสริฐสิทธิ์ ยังอยู่กับศีล ยังมั่นคงกับศีล ไม่ได้ไปกินเนื้อสัตว์ ขาดจากวิญญาณ นานแล้วค่ะ น้อมกราบคารวะอีกครั้งค่ะ
พ่อครูว่า… ดีมาก อาตมาก็พยายามเอาคำว่าศีลมาอธิบายให้เห็นความสำคัญของศีล มันเป็นต้นธาตุต้นธรรมของการปฏิบัติธรรมศาสนาพุทธ ทุกวันนี้เขาไม่เข้าใจเรื่องศีล ไม่เข้าใจสภาวธรรมที่ต้องเริ่มต้นด้วยศีลนี่มันสำคัญอย่างไร แล้วมันจะนำพาไปสู่นิพพาน ถ้าไม่มีศีลจะไม่มีนิพพาน ไม่มีเลยศีลข้อ 1 2 3 4 5 โดยเฉพาะ 3 ข้อแรก ถ้าไม่เข้าใจจริงๆแล้วว่ามีความสำคัญอย่างนี้ แล้วเราได้ลดกิเลสจากศีลข้อ 1 อย่างนี้
ตั้งแต่ศีลข้อ 1 เลยเกี่ยวกับสัตว์ ไว้ค่อยอธิบายไปเรื่อยๆ ถึงขั้นคนที่มีปฏิภาณปัญญาชัดเจนว่าเนื้อสัตว์ไม่ใช่ของที่ควรกิน ไม่ใช่ของที่ควรเอาไปถวายพระภิกษุ ไม่ใช่ของที่ควรเอาไปถวายพระตถาคต มันเป็น อกัปปิยะ เป็นของไม่ควรอย่างยิ่ง
อย่าง ชีวกสูตรอธิบายแล้ว มันบาปตั้งแต่มี สัญจิจจะ มีอุทิศะ มีจิตมุ่งหมายเป็นอาการจิตที่เป็น โวโรเปตุง เป็นจิตที่มุ่งไปในทางไม่ดี เป็นเรื่องละเอียดอ่อนนะ จิตที่มุ่งจะฆ่าสัตว์ อาจจะไม่ถึงฆ่าสัตว์ พระพุทธเจ้าท่านสอนแค่ ปาณาติปาตา ถ้าจิตวิญญาณขั้น ปาณะ แค่ทำให้ตกร่วง ปาตะ ไม่ใช่ไปฆ่านะแต่ทำให้มันตกร่วงตกต่ำ จาก ปาตะ ลงมา แค่นั้นก็บาป มันมากแล้วไม่ใช่บุญเลย
เพราะฉะนั้นศีลข้อปาณาติปาตาไม่ใช่ฆ่า ปาตะ ไม่ถึงฆ่านะแต่ตกร่วงลงมาตกจากฐานที่ควรจะเป็นลงมา ปาตะ แปลว่าร่วง เช่น ข้าวใส่บาตร บิณฑปาตะ บิณฑปาตัง ก็คือเอาข้าวหย่อนลงไปให้ร่วงลงไปในบาตร อย่างนี้เป็นต้น นี่คือสภาวะธรรมที่ละเอียดละออ คนเข้าใจยังไม่ได้ก็เลยไม่รู้
เพราะฉะนั้นคนที่เข้าใจศีลและเข้าใจสภาวะที่ละเอียดละออจะชัดเจนทุกอย่างเลยว่า บาปตั้งแต่บอกชื่อสัตว์แล้ว มีจิตไม่ดี โวโรเปตะ โวโรเปตุง ยิ่งให้ไปจับมันมาผูกมันมาก็ยิ่งบาปไปอีก แล้วก็สั่งฆ่าอีกแล้วจะไม่บาปได้ยังไง ลงมือฆ่าอีกก็แน่นอน ยังไม่พอยังมีน้ำหน้าจะเอาเนื้อสัตว์นี้ไปถวายภิกษุ ถวายพระตถาคต เวรจริงๆ เวรโกๆ ไม่ใช่เวลคัม โอ้โห! แย่จริงๆเลย นี่คือสัจธรรม ฟังดีๆ ฟังธรรมะแล้วจะรู้ว่าสภาวธรรมนี่มันสุดยอด
สภาวะดุสิตอย่างเป็นรูปธรรม
_ซึ้งซื่อ วิเชียร : ขอกราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรสุดเกล้าครับ พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้โลกุตรธรรม(worldly)แล้ว พ่อท่านได้นำมาหยั่งลงในประเทศไทยที่ชาวอโศก โดยเทศน์สอนให้รู้จักกิเลสและลดละได้ตามลำดับ จนกิเลสเหลือน้อยคือแม้แต่เหลือแค่เนวสัญญานาสัญญาก็ไม่ให้เหลือ และให้ยึดดีละชั่วซึ่งเป็นสมมุติแต่ให้รู้จักสุข-ทุกข์ และแม้แต่สุข-ทุกข์ก็ไม่ให้มี จึงจบกิจและบรรลุเป็นพระอรหันต์โดยไม่มีทั้งกิเลสนอกกิเลสในตน และที่พ่อพูดว่า ไม่มีกิจอะไรทำต่อ พ่อท่านจะไปอยู่ชั้นดุสิต ขอให้พ่อท่านอธิบายว่าชั้นดุสิตเป็นรูปธรรมด้วยครับ ขอกราบนมัสการขอบพระคุณพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งครับ
พ่อครูว่า… อาตมาก็สบายใจ สอนไปแล้วพวกเรารับรายละเอียดแยกแยะโลกียะ โลกุตระได้
สิตะ แปลว่าเย็น ว่าที่สงบเย็นสบาย ผู้ที่สงบเย็นสบายแล้วไม่ร้อน คำว่าไม่ร้อนเป็นอาการทางธรรม คือร้อนรน ร้อนเร่า ร้อนอะไรก็แล้วแต่ อาการทางธรรมที่ไปในทางกุศลหรือทางสมบูรณ์แบบ จะเป็นทางเย็น ดุสิตะ
อาตมา เข้าใจพยัญชนะบาลีตามประสาอาตมา คำว่า ตุ เป็นภาษาไทยก็คือ ดุ ดุสิตนี่
ตุ คำนี้คือ อะ อิ อุ 3 เส้าที่เป็น รัสสระ สระสั้น เสียงสั้น อะ อิ อุ ก็เป็น ตะ ตา ติ ตี ตุ ตู เป็น อะ อิ อุ สั้น เป็น Cyclic order ของพลังงานที่สั้นเล็กที่สุด อาศัยเป็น Dynamic สิตะ เป็น Static แล้วก็เป็นสงบ
การสงบของพระพุทธเจ้านั้นเป็นการสงบที่เย็นใจ ใจเย็น ใจไม่มีพลังร้อนเลย แต่พฤติกรรมของสภาวธรรมนั้นแคล่วคล่องเป็น ปาคุญญตา ทั้ง กายปาคุญญตา และ จิตปาคุญญตา เป็นองค์รวมทั้งกายและจิตที่แคล่วคล่องว่องไว เป็นผู้ที่เย็นสงบ ตุสิตา สงบ
แต่พลังงานเย็น แต่การเคลื่อนไหว กลับ แคล่วคล่องว่องไว ปราดเปรียว มีพลังงาน สร้างสรรค์เยอะ นี่คือสภาพรูปธรรมของคนเช่น โพธิรักษ์ อย่างนี้เป็นต้น นี่เห็นไหมรูปธรรม เย็น
อาตมาใจเย็น รื่นเริง ร่าเริง เบิกบาน มี อภิปโมทยังจิตตัง ประจำ
อภิปโมทยังจิตตัง คือ จิตที่ร่าเริงเบิกบานตลอด ไม่มีเลย โสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาสะ ไม่มี ตั้งแต่มัน เศร้า โสกะ แล้วมีพิรี้พิไร ไม่มี โทมนัส อุปายาสะ เศษๆเหลือๆ ไม่มี เย็นใจ เป็นอภิปโมทยังจิตตัง
เป็น ปัสสัมภยังจิตตัง จิตที่สงบแต่สงบแล้วมันเป็น อภิปโมทยังจิตตัง เบิกบานร่าเริงสบายไม่มีโศก จะมีพลังงาน ตัวใหญ่ตัวเยอะทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ไม่มีร้อนเลย ฟังเป็นรูปธรรมชัดไหม ซึ้งซื่อ วิเชียร
_สู่แดนธรรม… เหมือนรถโฟล์คไหมครับเครื่องยิ่งวิ่งเร็วยิ่งเย็น
พ่อครูว่า… คงพอแล้วนะ
จักขุกรณียะหรือญาณกรณียะคืออย่างไรมีของเก่ามาได้ไหม
_เพื่อ(รักใจ)… กราบเรียนพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ ลูกฟังธรรมที่พ่อเทศน์เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2515 เรื่องปรับจิตเข้าสู่นิพพาน มีคำว่า “จักขุกรณียะ” ตาเห็นสภาพอย่างแท้จริง ทำให้เกิด “ญานกรณียะ” การเกิดปัญญาญานอย่างชัดเมื่อได้สัมผัส (ผัสสะ) กับสภาพนั้นอย่างแท้จริง ไม่ใช่แต่เพราะเพียง ได้ยินได้ฟังมา
จากสภาวะดังกล่าว ลูกอยากทราบว่า สภาวะที่ได้ในขณะปัจจุบัน (ชีวิตปัจจุบัน)กับ ชีวิตในอดีต (บางคนเรียกว่า “ของเก่า”) เหมือนกัน หรือต่างกันอย่างไรคะ ตัวอย่าง: คนไม่อยากมีลูก ให้เหตุผลว่า มีแล้วลำบาก (หลายคนอาจว่า เป็น”ของเก่า” หรือ บารมีเก่า”) คนนี้เรียกได้ว่ามี “จักขุกรณียะ หรือ ญานกรณียะ” ได้หรือไม่คะ กราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า… คำว่า จักขุ เป็นรูปธรรม จักขุแปลว่า ตา กรณียะ แปลว่า การกระทำ มีบทบาท มีลีลา มีพฤติ มีการกระทำขึ้นมา เรียกว่า กรณียะ
จักขุกรณียะ คือมีตากระทบรูป แล้วมีเรื่องราวเป็นกิจไปเลย เรียกว่าเป็น กรณียะไป
ส่วนญาณ ความรู้ เป็นความรู้ในระดับวิชชา ในระดับของโลกุตระ ไม่ใช่ความรู้แบบโลกียะเท่านั้น เพราะฉะนั้น คนที่มีตากระทบรูปแล้วก็เกิดการงานจากตากระทบรูปนั้น การงานที่ทำถ้าไม่มีความรู้ทางโลกุตระ เขาก็ทำการงานไปในทางโลกียะเท่านั้น
มันต่างกันยังไงโลกียะกับโลกุตระ ต่างกันก็คือ ถ้าเป็นโลกียะนั้น มันไม่สามารถรู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพาน มันไม่สามารถจะแยกแยะเจตสิกต่างๆของอาการจิต แยกไม่เป็น แยกไม่ชัด แยกไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถแยกกิเลสออกจากจิตได้ เมื่อไม่สามารถแยกกิเลสออกจากจิตได้ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ของเขาไม่มีผล
ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ของเขาไปฝึกสะกดจิตให้จิตนิ่ง แทนที่จะค่อยๆมีการวิจัยวิจารมีสติเต็ม สติเต็ม อาตมาก็อธิบายไม่รู้กี่ทีว่ามันต้องเต็มตื่นไปทั้งกายกรรมมีสติเต็ม วจีกรรมมีสติเต็ม มโนกรรมมีสติเต็ม แล้วไปสะกดจิตให้มันมีสติอยู่แค่ในภวังค์ แล้วมันจะไปคล่องแคล่ว มันจะไปรู้รอบ รู้เร็ว รู้ไว รู้ทั่ว รู้พร้อมได้อย่างไร สติแปลว่าความรู้ตัวทั่วพร้อม มันก็ได้แต่วงวนอยู่ในจิตเท่านั้น
แล้วเชื่องช้า สะกดลงไปจะให้หยุด จะให้เป็น อสัญญีสัตว์ ทิศทางแนวโน้มทิฏฐิผิดไปทางโน้นด้วย เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธมันผิดทางไปอย่างนี้จึงน่าสงสาร อาตมาไม่รู้จะทำยังไง
_สู่แดนธรรม… แล้วคนเขาก็เห็นว่าพฤติการที่เซื่องๆนี้สงบดีมันน่าเลื่อมใสดี
พ่อครูว่า… ก็จริงอยู่เหมือนกัน มันไม่ปราดเปรียว อาตมาดูแล้วแต่ก่อนอาตมาช้า ไม่พาเร็ว ช้าสงบดี โอ้ คนขึ้นเลย นับถือสงบว่างาม ดี พอมาเร็วอย่างทุกวันนี้เขาบอกว่าไม่ใช่นะ อย่างนี้ไม่ใช่แล้ว อาตมาก็เข้าใจทำมาทุกอย่างทุกอัน สอนมาบรรยายมาตลอด คนรู้ทันรู้ได้ก็มาได้ คนไม่รู้ทันก็ทิ้งไปเยอะ หลุดไป ไม่ใช่แล้วอย่างนี้ตามที่เขากำหนดไว้ กรอบ ความเข้าใจของเขาเป็นอย่างนี้ พอมันเลยกว่ากรอบความเข้าใจของเขา มันเลยกรอบความเข้าใจไปแล้วเขาก็ตีทิ้งเลย เขาก็บอกว่าไม่ใช่ โพธิรักษ์เดี๋ยวนี้เพี้ยนไปแล้ว เขาก็ว่าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร
สรุปแล้ว จักขุกรณียะหรือญาณกรณียะ มันมีความแตกต่างกัน ประเด็นที่เขาถามมาคือ หลายคนบอกว่ามีของเก่าหรือบารมีเก่า ทุกคนมันมีบารมีเก่ามาทั้งนั้น มากหรือน้อยตามจริง ของใครก็ของใคร มันมีของจริงของแต่ละคน ยิ่งมาปฏิบัติธรรมเข้ามาถึงขั้นโลกุตระ มีของเก่ามาแน่นอน เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวหรอกแบบโลกียะที่เขาเรียนรู้กัน ว่าพวกเราจะด้อยหรือพวกเราจะไม่มี มันมีมาทั้งนั้น มันผ่านคนเราจะต้องผ่านความไม่รู้หรือผ่านความโง่มาก่อนหรือผ่านความผิดมาก่อน แล้วถึงจะมาถูก ถึงจะมาฉลาด ถึงจะมาถึงขั้นมีปัญญาที่แท้ มันเป็นธรรมชาติแบบนั้น
จักขุกรณียะหรือญาณกรณียะ ถามว่าคนนี้มีมาเก่าได้หรือไม่ ก็มีได้มาทั้งรูปทั้งนาม
ทำใจอย่างไรเมื่อเพื่อนไม่คืนเงิน 12 ล้านแก่เรา
_อี๊ด… ขอส่งคำถามพ่อครูค่ะ ขอวิธีคิดและทำใจดิฉันให้เงินเพื่อนยืม12ล้าน ด้วยเคารพว่าเป็นอาจารย์แต่ไม่ได้คืนกลับมาทำใจยังไม่ค่อยจะได้บ้างครั้งลึกๆก็นึกเสียดายเพราะเราเก็บเพื่อจะใช้ตอนสูงวัย
กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงขอหนทางให้เกิดปัญญาคะจะรอฟังในวันจันทรฺ์นี้ที่พ่อครูโปรดสัตว์
กราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า… ไม่น้อยนะ เงิน 12 ล้าน ไม่ใช่น้อย ตั้งโหลนึงแน่ะ จะทำใจยังไง อาตมาก็ว่ามันก็ ถ้าคุณคิดว่าเป็นการฝึกตัวเองจริงๆเลยว่า 12 ล้านคุณหมดไป เพื่อนเอาไปหรือผู้ที่ถือว่าเป็นอาจารย์ แล้วคุณก็เหลือน้อยไม่มี 12 ล้าน เหลือไม่ถึงล้านหรือ 1 ล้านก็ตาม แล้วคุณว่าคุณอยู่รอดไหมล่ะ ไปรอดไหม ไปไหวไหม ทดสอบใจตัวเองดูว่าเอาเถอะ เสี่ยงทายกันไปจะได้คืนหรือไม่ได้คืนก็ช่างมันเถอะ คุณจะไหวไหม
ถ้าคุณกล้าทำแล้วคุณก็ลองดู คุณก็สบายใจ ถ้าคุณลองดูเห็นว่าทำไป ไหนๆก็คิดว่าตายจากมันไป 12 ล้าน คุณจะไม่ตายจากมันหรือยังไง หรือตายแล้วจะเอาไปด้วย หรือยังไง ใช่ไหม มันก็อย่างนี้แหละ
พระพุทธเจ้าท่านมีทรัพย์สฤงคาร ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินท่านทิ้งออกมามากกว่า 12 ล้านนะ ท่านไม่เห็นเดือดร้อนอะไรเลย คุณก็เป็นลูกพระพุทธเจ้าไม่ใช่เหรอ ปัดโธ่! จะไปอะไรกันนักกันหนา ก็เสี่ยงทายไป คืนก็คืน ไม่ได้คืนก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องทุกข์
อาจจะทำได้ตามควร เช่นว่า ถึงวาระเวลาทวงได้บ้างโดยไม่น่าเกลียด อย่าไปทวงอย่างน่าเกลียด ทวงอย่างไม่น่าเกลียดก็ทวงบ้างเขาคืนก็คืน ได้บ้าง ไม่ได้บ้างก็ไม่เป็นไร บอกแล้วไหนๆคุณจะต้องตายจากมันไปแน่ๆ คุณจะมีมากกว่า 12 ล้าน คุณก็ต้องตายจากมันไป
อาตมาว่าสิ่งเหล่านี้ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มันก็อนัตตา มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา อาศัยมีมันก็สะดวก ที่จริงการมีเงินทำให้คนมักง่าย การมีเงินทำให้คนมีกิเลสมาก
การมีเงินทำให้คนสร้างอำนาจบาตรใหญ่ ทำอะไรก็แล้วแต่ที่ยิ่งบำเรอกิเลสเยอะ
คนที่มีเงินมาก ขี้เหนียว ไม่ค่อยกิน ไม่ค่อยใช้ นี่ก็กิเลสเหมือนกัน กิเลสขี้เหนียวไง สะสมกอดมันเอาไว้อย่างนั้น แล้วคุณจะไม่ตายจากมันหรือยังไง มันเป็นกิเลสทั้งขึ้นทั้งล่องเลยนะ
เพราะฉะนั้นพวกเรามาปฏิบัติธรรมไม่ต้องไปมีเงิน 12 ล้านหรอกเหลือแต่หัวล้าน แล้วก็อยู่กันในสังคมนี้แล้วมีสาธารณโภคี
พูดถึงทีไรแล้ว สาธารณโภคีนี้ สุดยอดจริงๆเลย สบายๆ
อาตมาเองยังนึกเลยว่า เศรษฐศาสตร์บทนี้ เศรษฐศาสตร์สาธารณโภคีของพระพุทธเจ้า มันเป็นสุดยอดแห่งยอดจริงๆเลยนะ โลกปัจจุบันนี้ยังทำได้ สมัยพระพุทธเจ้าทำได้แต่ในวงของสงฆ์ วงของภิกษุ เพราะเป็นยุคที่มีข้อจำกัด อย่างที่เคยอธิบายไปแล้ว ข้อจำกัดว่ามันเป็นสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สมัยทาส สมัยที่คนยังไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน เพราะฉะนั้นก็เลยทำอย่างทุกวันนี้ไม่ได้ ทุกวันนี้ไม่มีสมบูรณาญาสิทธิราชย์แล้ว ไม่ใช่มีนายทาสลูกทาสแล้ว สิทธิมนุษยชนก็เต็มรอบ สมบูรณ์แบบ
เพราะฉะนั้นก็ทำได้ทั้งฆราวาส มีคนพูดกระแนะกระแหนอาตมาว่าแหม เก่งกว่าพระพุทธเจ้า ทำไมพระพุทธเจ้าทำได้แต่ในวงสงฆ์ ตัวเองมาทำในฆราวาสยิ่งใหญ่เชียวนะ มันก็เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยที่มันไม่เที่ยง องค์ประกอบเหตุปัจจัยตาม กาละ เทศะ ฐานะ คนละเวลา กาละกัน ก็ต้องเป็นไปได้ แล้วมันก็เป็นไปได้จริงๆ อาตมาโกหกที่ไหน หลอกลวงที่ไหน มันเป็นเรื่องจริง
สาธารณโภคีแล้วคนที่มาหลุดพ้นจากกิเลส คุณก็อยู่อย่าง อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนความเสียสละ เป็นตัวจบของชีวิต คุณยังไม่ตาย คุณยังมีชีวิตอยู่ คุณก็เพิ่มพูนความเสียสละได้แม้จะอายุมากแล้ว แม้จะสังขารร่างกายไม่ไหวแล้ว จิตที่มันเสียสละ มันจะเกิด ยิ่งคุณมีกำลังวังชาดีมีความแข็งแรงปราดเปรียว สร้างสรรค์เสียสละๆ
โลกที่เต็มไปด้วยคนสร้างสรรค์เสียสละ โดยไม่คิดจะได้อะไรตอบแทนกลับคืนมาเลย เป็นโลกที่จบ จบทั้งทางเศรษฐศาสตร์ จบทั้งทางรัฐศาสตร์ จบทั้งทางสังคมศาสตร์
เพราะฉะนั้นสังคมเรามีสภาพพวกนี้ มีสภาวะจริงพวกนี้ พิสูจน์ได้เลย ยืนยันได้เลย เพราะฉะนั้นถ้าจิตของเราไม่ดีดดิ้นเอง จิตของเราอยู่ในฐานที่เป็นไปได้กับพวกเรากันแล้ว อยู่กันได้เท่านี้ มีเมตตากันเท่านี้ เมตตากายกรรม วจีกรรม มโนกรรมเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันอย่างนี้
สังคมที่อยู่กันอย่างมี สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภได้โดยธรรมก็เอาข้าวกองกลาง ลาภธัมมิกา ต่างคนก็ต่างปฏิบัติ ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา เพื่อให้จบกิจของแต่ละคนไปที่มีเหลือ คนจบกิจแล้วก็มีทิฏฐิสามัญตา ศีลสามัญตาสมบูรณ์แบบ ศีลของคุณก็สมบูรณ์แล้วสบายแล้ว เป็นปกติของชีวิต มีศีล ทิฏฐิของคุณก็เห็นแล้วว่ามี กตญาณ จบกิจที่คุณได้ทำไว้แล้วคุณก็สบาย ไม่สงสัย ไม่ได้ข้องใจ ไม่ได้ลำบากอยู่
คนที่สมบูรณ์มาร่วมกันอยู่อย่างสงบอบอุ่น มีวัฒนธรรม มีประพฤติกรรม พฤติ ทางกาย ทางวาจา ทางใจ อยู่ร่วมกันเป็นสังคมที่ พูดไปแล้วเขาจะหาว่าหลงตัวเอง มันเป็นสังคมที่มีวัฒนธรรม มีพฤติกรรมที่แสนวิเศษจริงๆ มันเป็นเรื่องเข้าใจยาก คนที่เขาไม่มีธาตุจิต ไม่มีจิตที่จะซับซาบรับรู้ธรรมรส วิมุติรส อย่างที่เราเป็นกัน เขาไม่มีความรู้นั้น พูดไปเขาก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้
_สู่แดนธรรม… คนที่เข้าใจได้ก็อยากจะทำให้ได้แต่ก็สุดความสามารถที่จะทำได้ครับ
สรุปให้คุณอี๊ดว่า 12 ล้าน ชาตินี้จะได้คืนหรือไม่ได้คืนก็ทำใจ แล้วก็อยู่กับหมู่กลุ่มที่มันก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว มีเงินหรือไม่มีเงินเราก็ไม่มีปัญหาอะไร สบายๆไป ชีวิตสบายๆไปเรื่อยๆ
เราคิดซะว่าชาติก่อนเราไปเป็นหนี้เขามา ชาตินี้เขามาเอาไปปลอบใจ ก็ได้
_ป๋องยากเข็ญ… เป็นอริยทรัพย์ข้อที่ 6 7 ได้ไหมครับ จาคะ ปัญญา
พ่อครูว่า… เป็นปัญญาที่จะบริจาคด้วยใจ ก็ไม่ได้บอกให้คุณปล่อยเลย ถึงโอกาสก็ทวงบ้าง ได้ก็เอา ไม่ได้ก็แล้วไปอะไรอย่างนี้คุณก็ไม่ได้เดือดร้อนดิ้นรนอะไรก็บอกแล้วว่า ก็มาอยู่กับพวกเราซะให้มันได้ ก็จะไม่มีปัญหาอะไร
หรือแม้ว่าเขาจะคืนมา คุณจะเอาไปทำอะไรต่อล่ะ มีโครงการอะไรใหญ่ๆ 12 ล้าน
_สู่แดนธรรม… เขาว่า จะเอาไว้ใช้ยามสูงอายุครับ
พ่อครูว่า… ก็อยู่ที่นี่ก็ไม่ต้องใช้อะไรมาก ก็อยู่ได้ ก็แนะนำแล้ว
เอาเถอะไม่เป็นไรก็แนะนำได้ประมาณนี้
ทำไมอโศกเลือกอาหารมังสวิรัติเป็นบุญญาวุธไม่เลือกอาหารเจ
_ช่อ… สงสัยมานานมากว่า ทำไมส่งเสริมอาหารมังสวิรัติเป็นบุญญาวุธ แต่ไม่ใช้คำว่า อาหารเจ เพราะคนไทยคุ้นกับคำว่า เจ มากกว่า ค่ะ
พ่อครูว่า… ฟังดีๆคำว่าเจ กับ คำว่า มังสวิรัติ ต่างกัน คำว่า เจ เป็นคำของพวกสายโลกียะเป็นสายศรัทธา ส่วนคำว่า มังสวิรัติ นั้นเป็นของสายโลกุตระเป็นสายปัญญา
ฉะนั้นคนมากินมังสวิรัติคือ ละเว้นเนื้อสัตว์ วิรัติ หมายความว่าเว้น เว้น ไม่กินเนื้อสัตว์
เจ ก็ไม่กินเนื้อสัตว์ เขาเคร่งกว่าด้วย แม้แต่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) กลิ่น เขาก็ว่าเคร่งกว่า มังสวิรัติด้วย ก็ดี แต่คุณเข้าใจเพียงพยัญชนะมันก็ไม่ได้เรื่อง แต่ถ้าคุณเข้าใจลดความติดยึดใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) ด้วยก็ดี ทำได้ก็ดี
อาตมาไม่ใช้คำว่าเจ เพราะว่า 1.อาตมาก็ว่าเจเป็นเพียงโลกียะ แค่ Static มันไม่กว้าง มันไม่ละเอียดพอแล้วมันก็ติดยึด เขาเคร่งไปในทางรูปธรรม
จาน ชามที่เคยใช้กับเนื้อสัตว์มา เขาไม่เอานะ ก็ต้องมาหาใหม่ล้างใหม่ จานชามจะต้องไม่เคยเปื้อนเนื้อสัตว์มา ไปนู่น คือไปทางรูปธรรม ไปทางด้านทรมานทรกรรมตัวเองเกินขอบเขตเกินไป เกินการไป
ส่วนมังสวิรัติของเรานั้นเอาชัดเจนที่จิตวิญญาณ มังสะ คือ เนื้อ ไม่ใช่สัตว์เป็น มิจฉาวณิชชา 5 1. ค้าขายสัตว์เป็น 2. ค้าขายเนื้อสัตว์แล้วเขาก็ไปเบี้ยวบาลีกัน
มิจฉาวณิชชา 5
-
การค้าขายอาวุธ (สัตถวณิชชา)
-
การค้าขายสัตว์มีชีวิต (สัตตวณิชชา)
-
การค้าขายเนื้อสัตว์ (มังสวณิชชา)
-
การค้าขายสิ่งมอมเมา (มัชชวณิชชา)
-
การค้าขายสิ่งที่เป็นพิษ (วีสวณิชชา)