660818 ตอบปัญหาผ่าอวิชชาหลับตาโง่ๆ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1gF-6L6e2GXe2–5BpwWLStcT_9XlVPEm/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1AKT-XaeOjf8tNzLBXBwQqwxNUi-GglYj/view?usp=sharing
และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660818-e288g91
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/qM422O85DPI
และ https://fb.watch/mv9ZgPm2sr/
สมณะฟ้าไท… วันนี้วันศุกร์ที่ 18 สิงหาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้จะให้ดูคลิปนำเรื่องก่อน เกี่ยวกับวัยรุ่นที่สนใจธรรมะ
พ่อครูว่า… ดี ก็น่าดีใจมีเด็กๆใครที่สนใจศึกษาธรรมะก็ค่อยๆศึกษาตามกันมา ขอเริ่มต้นที่ SMS
ลำดับการพ้นมิจฉาอาชีวะ 5
SMS วันที่ 14-17 ส.ค. 2566
_กิ่งธรรม… น้อมกราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพและศรัทธายิ่งค่ะ…วันก่อนฟังธรรมว่า ชาวบ้านราชไม่ค่อยถามปัญหา วันนี้จึงมีปัญหาอยากเรียนถามพ่อท่านบ้างค่ะ…..ดูเหมือนจะเป็นปัญหาแบบโลกๆที่โยงเข้ามาหาธรรมได้อยู่นะคะ…ลูกสงสัยว่าเรื่องการได้เงินมาแบบไหนที่ชอบธรรมกว่ากันค่ะ
1.เงินที่ได้จากการทำประกันชีวิตของคนในครอบครัว เช่นพ่อแม่สามี หรือลูก ที่เรารู้ว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ไม่นานด้วยโรคร้าย เราก็ไปทำประกันไว้แบบสูงๆแล้วเราก็ได้เงินนั้นมาจำนวนมาก…
2.เงินที่ได้จากบำนาญที่เราอุตส่าห์ทำงานรับราชการด้วยเงินเดือนน้อยๆเมื่อเทียบกับเอกชนเพื่อหวังบำนาญตอนเกษียณอายุ คือสมัยก่อนเพื่อนๆไปทำงานเอกชน ได้เงินเดือนสูงกว่าลูกมากแต่ลูกคิดว่าทำของรัฐนี่แหละดี เพราะแก่แล้วก็มีบำนาญแม้งานจะหนักมากก็สู้ทำมาจนได้บำนาญ
3.เงินที่ได้จากการเล่นหุ้น
4.เงินรางวัลจากการซื้อสลากออมสินของรัฐบาล
5.เงินจากกองมรดกของบิดามารดา เงินแบบไหนที่ได้มาโดยชอบธรรมกว่ากันคะ.กราบขออภัยนะคะที่ถามเรื่องอสรพิษ(เงิน)เพราะยังไงๆ ลูกก็ยังจำเป็นต้องใช้เงินอยู่บ้าง นิดๆหน่อยๆ ไม่ค่อยมากหรอกค่ะ และลูกก็คิดว่าส่วนใหญ่พวกเราก็ยังต้องใช้เงินกันอยู่หลีกเลี่ยงไม่ได้ค่ะเพราะฐานยังไม่ถึง..ค่ะ กราบขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า…ฐานไม่ถึงก็ยังดี ก็ยังดีที่มีคนเข้าใจว่า เป็นคนนี่ไม่ใช้เงินไม่ได้ แม้แต่เขาบวชเป็นพระกันแล้ว เขาบอกบวชเป็นพระทุกวันนี้ไม่ใช้เงินไม่ได้ อยู่ไม่ได้ ใครที่ไหนอยู่ได้ แต่ว่าความจริงแล้วพระที่ไม่ใช่เงินอย่างพวกเรา สมณะชาวอโศกอยู่ได้ แม้แต่ สิกขมาตุ อยู่ได้หรือแม้แต่ฆราวาสของพวกเรา
คำว่าใช้เงินก็มีความหมายของมันหลายระดับ ใช้เงินตามสมควร ที่เราออกไปข้างนอก เราก็จะต้องใช้ค่าส่วนที่มันจำเป็นที่เราต้องใช้ จริงๆเราก็จำเป็น
แต่ผู้ที่ออกไปข้างนอกไม่ได้ใช้เงิน ไปข้างนอกก็ไปทำงานก็ทำแต่ไม่ได้ใช้เงินก็ได้ อย่างนั้นอย่างนี้ก็ทำเอาเองที่เราทำได้ไม่ต้องใช้เงินเลยก็ได้
เพราะฉะนั้นมันเป็นเรื่องละเอียด เป็นเรื่องที่..อยู่ที่คน ที่บุคคล ผิดที่เราจะต้องใช้เงินแล้ว เราก็ไม่พยายามที่ทำกิจที่จะต้องใช้เงิน มันสำเร็จนะ กิจที่จะต้องใช้เงิน เราไม่ต้องเกี่ยวข้อง เราทำแต่กิจที่ไม่ใช้เงินเยอะไป เราอยู่ในสังคม โดยเฉพาะสังคมอโศกเรานี่ คนที่ไม่ต้องใช้เงินเลย คิดที่จะต้องใช้เงิน เราไม่ทำ เราก็ทำกิจที่อยู่กับหมู่ แม้แต่กิจที่ทำข้างนอกทำกับสังคมข้างนอก เราก็ไม่ต้องใช้เงิน งานที่เราทำ เราก็ทำได้อย่างนี้เป็นต้น
มันเป็นเรื่องละเอียดไปศึกษาดีๆจะเห็นได้ว่า อย่างชาวอโศกเรานี่เห็นได้ว่า ไม่ต้องใช้เงินอยู่ในนี้ ถ้าใช้เงินก็ให้คนอื่นที่เขาใช้อยู่ เขาถนัดใช้ เราไม่ถนัดใช้ เรื่องที่ใช้เงินให้คนอื่นเขาแทน ทำได้
เพราะฉะนั้นพวกภิกษุ หรือสมณะชาวอโศกหรือ สิกขมาตุ ก็ไม่ต้องใช้ จะซื้อ จะขาย จะโน่นจะนี่ก็บอกฆราวาสที่เขามีหน้าที่ให้ไปทำ ไม่ต้องใช้ ตัวเองไม่ต้องไปซื้อไปขายไปทำอะไรเองเลยในเรื่องจะต้องพกเงินแล้วก็จ่ายเงินไม่ต้องเลย แม้แต่ฆราวาสหลายคนพวกเราก็จะรู้ได้ว่า ที่มันจำเป็นจริงๆมีน้อยมาก อยู่ในสังคมพวกเรานี้ยิ่งอุดมสมบูรณ์ ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน
แต่อันนี้เขาก็เห็นว่ามันจำเป็นกิเลสมันมาก ไม่เหมือนสมัยพระพุทธเจ้า เพราะเครื่องล่อมันก็มาก เอ้า..ก็ผ่านไป พิสูจน์เรื่องที่ไม่ใช้เงินได้เป็นเรื่องของการจบกิจ เรื่องเศรษฐกิจที่ดี
กิเลสมันกลัวปัญญาอย่างไร
_หลิน หลิน….กราบเรียนถามพ่อครูว่า กิเลสกลัวปัญญา แล้วทำอย่างไร ถึงจะมีปัญญา เช่น เรื่องอาหาร ชอบกินของหวาน เป็นต้นค่ะ
พ่อครูว่า… คำนี้จำไว้ยืนยันเลยว่าปัญญามันทำให้เข้าใจ กิเลสมันก็ไม่มีบทบาทเลย ไม่มีภาษาจะบอก จะพูดมากกว่านี้ แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสอย่างที่เคยอธิบายไป ว่า มารหรือกิเลส มันดูหน้าเราแล้ว ตถาคตรู้จักหน้าเราแล้ว มันหายไปเลย พระพุทธเจ้าก็ตรัสอย่างนั้น เพราะมันเป็นนามธรรมที่มันไม่ได้ไป ฤทธิ์แรงของปัญญามันแรงจนกระทั่งไอ้กิเลสนี่รอหน้า อาตมาเคยพูดมาแล้วว่ามันรอหน้าไม่ติดเลยกับคนที่มีปัญญา
เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ กิเลสจะไม่กล้าเข้าใกล้ แต่ไม่ได้หมายความว่า คำว่ากิเลส หมายความว่าคนที่มีนะ พระอรหันต์ท่านไม่มีแล้ว กิเลส เพราะฉะนั้นก็เหมือนกับโลกนี้มันไม่มีกิเลส แต่กิเลสมันก็แสดงตนอยู่กับคนที่เขามีกิเลสที่ไม่มีปัญญา ไม่มีปัญญาก็สู้กิเลสนั้นไม่ได้ พระอรหันต์ท่านมีปัญญาสมบูรณ์แบบแล้ว กิเลสมันไม่กล้ารอหน้า แต่ไม่ใช่ว่าโลกนี้มันไม่มีกิเลส มันก็มีอยู่กับทุกสิ่งทุกอย่าง มันก็เป็นกิเลสสำหรับคนที่เขามี คนมีกิเลส มันก็มีก็ต้องสู้ด้วยปัญญา เพราะฉะนั้นพลังปัญญาจึงเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง แล้วก็ต้องรู้ว่ากิเลสมันคืออาการอย่างไร
อาการของปัญญาเป็นอย่างไร มันเป็นนามธรรมมากที่ยากที่จะรู้ แล้วทำอย่างไรจะมีปัญญา เช่น เรื่องอาหารนั่นแหละตัวดีเลยพระพุทธเจ้าถึงให้ทำเรื่องอาหาร โภชเนมัตตัญญุตา เราสามารถเรียนรู้กิเลสและมีพลังปัญญาจากการกินอาหารนี่แหละได้
จนพลังปัญญามันสูงกิเลสไม่มีเลย เป็นอรหันต์ได้ด้วย โภชเนมัตตัญญุตา คือเรื่องอาหารอย่างเดียวเป็นพระอรหันต์ได้เลยขอยืนยัน
กินของหวาน พิจารณากินไปมากๆ มันเป็นเบาหวานนะหรือเป็นโรคอื่นๆอีก โรคอ้วน … ทดลองพิจารณาให้เห็นว่ามันเป็นเรื่องโง่ของเราเองที่ไปติดอย่างโน้นอย่างนี้
บอกว่าตัวเองบรรลุอรหันต์ มันไม่ใช่เรื่องน่าอาย ถ้าเป็นจริง
_แดง สารคาม · ดิฉันเข้าใจว่าพ่อครูคนเดียวเท่านั้นเป็นพระอรหันต์ค่ะ มีลูกของลุงคนหนึ่งเขาศรัทธาหลวงตามหาบัวมาก เขาเข้าใจว่าหลวงตาบรรลุอรหันต์แล้วค่ะ
พ่อครูว่า… แล้วคนจะเชื่อด้วย คนจะเชื่อว่ามหาบัวแม้จะสิ้นชีวิตไปแล้วก็เถอะ เขาก็เคยอาจจะพบ อาจจะเคยเป็นลูกศิษย์ลูกหามหาบัวด้วย แล้วเขาก็ได้พบได้สัมผัส ได้เห็นได้รู้ว่ามีอีกคนคือโพธิรักษ์ รู้ 2 คน รู้ทั้งมหาบัวและโพธิรักษ์
มหาบัวก็พูดว่าตัวเองเป็นอรหันต์ แต่ไม่กล้าพูด เป็นตรงๆแข็งๆแรงๆชัดๆอย่างไม่มี มังกุ อย่าง มหาบัว เหมือนอย่างโพธิรักษ์หลอกว่าตัวเองเป็นอรหันต์ มหาบัวก็ไม่กล้าพูดอย่างนั้น มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆเพราะมันไม่ใช่ มันไม่ใช่อรหันต์ มันไม่กล้าหรอก ก็พูดเป็นนัยๆให้คนอื่นเขาเข้าใจว่าเกิดเป็นชาติสุดท้าย ใช้สำนวนนี้เป็นสำคัญไม่เกิดอีกแล้ว ชาตินี้ไม่เกิดอีกแล้ว แล้วก็อธิบายพลความแวดล้อมต่างๆสารพัดเพื่อให้คนเข้าใจว่า เป็นคนหมดสิ้นกิเลสอะไรอย่างนี้ ซึ่งจะไม่กล้าที่จะบอก
จริงๆแล้วมันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผู้ที่เป็นจริง พูดความจริงมันไม่ใช่เรื่องยาก มันไม่ใช่เรื่องน่าอายด้วย ที่จะบอกว่าตัวเองบรรลุอรหันต์ มันไม่ใช่เรื่องน่าอาย และก็ไม่ใช่เรื่องอยากอวด อรหันต์ไม่มีทั้งเรื่องน่าอายและไม่มีทั้งจิตอยากอวด อรหันต์จริง เพราะฉะนั้นก็พูดเป็นปกติสามัญ แล้วก็รู้ความควรหรือความไม่ควรทั้งนั้น
อย่างอาตมานี้ไม่ได้พูดง่ายๆ พูดมาหลายทีแล้ว อาตมาพูดว่าตัวเองเป็นโพธิสัตว์ก่อน แต่โพธิสัตว์นี่แหละสำคัญ และก็ไม่ได้บอกว่าโพธิสัตว์ระดับ 1 ระดับ 2 ระดับ 3 ไม่ใช่ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 โพธิสัตว์ระดับ 4 เป็นอรหันต์ โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์ 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อาตมานิยตโพธิสัตว์ โพธิสัตว์ระดับ 7
ส่วนอรหันต์จริงๆนั้นมี 6 ขั้น 1 อรหันต์โพธิสัตว์ 2.อนุโพธิสัตว์ 3.อนิยตโพธิสัตว์ 4.นิยตโพธิสัตว์ 5.มหาโพธิสัตว์ 6.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ความเป็นอรหันต์ที่พูดกันไม่ใช่ขั้นเดียว แต่เขาไม่พูดกันหรอก แล้วอาตมาก็มีภูมิธรรมจริงๆ ไม่ใช่เอาความเพ้อเจ้อมาพูด เอาความเพ้อเจ้อมาพูดไม่ได้หรอกเรื่องพวกนี้ มันเป็นเรื่องสัจจะ แล้วอาตมาก็ไม่ได้ไปหลงใหล เพราะเป็นอรหันต์แล้วไม่ไปหลงผิด อรหันต์รู้จักโพธิสัตว์ระดับ 4 ระดับ 5 ระดับ 6 ระดับ 7 มันไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อ ไม่ใช่เรื่องผิดพลาด ไม่ใช่เรื่องเดาสุ่ม มันเป็นเรื่องบอกความจริง จึงไล่ระดับได้มันเป็นสัจจะ จึงเอามาพูดสู่ฟังทั้งนั้น
แล้วอาตมาก็ยืนยันไม่ได้เกลียดชังมหาบัว สงสาร โดยเฉพาะสงสารคนที่ไปหลงมหาบัวผิด ไปหลงผิดว่าเป็นอรหันต์ เป็นอาริยะ ซึ่งมันไม่ใช่ ยังหยาบ แค่เสพติดหมากพลูเป็นเรื่องหยาบต้นๆเลยเป็นสิ่งเสพติดของพื้นๆชาวบ้าน มนุษย์ง่ายๆ สิ่งเสพติดสามัญ ติดหมากพลู บุหรี่ สิ่งเสพติดอะไรต่ออะไรนี่ หยาบกว่า อาหารการกิน
คุณติดน้ำหวาน คุณติดของหวาน มันยังลึกซึ้งกว่าไปติดหมากพลู ติดสิ่งเสพติด ติดยาเสพติด มันต่ำมันหยาบ แค่นี้ยังไม่มีปัญญารู้เลยจะเป็นอรหันต์อรแหนอะไร มหาบัว
ขออภัยอาตมาพูดเหมือนดูถูก เหมือนเหยียบย่ำ แต่อาตมาก็ต้องข่มความผิด ความเข้าใจผิด ความไม่ถูกต้อง ยกสิ่งที่ถูกต้อง มันเป็นธรรมดาธรรมชาติของสัจธรรม พูดสัจธรรม มันต้องเป็นเช่นนั้น
เพราะฉะนั้นก็ต้องฟังดีๆ แต่ยุคนี้เป็นยุคที่อาตมานำเอาโลกุตรธรรมหรือธรรมะที่สัมมาทิฏฐิ ธรรมะที่ถูกต้องเข้ามาสถาปนาลงไป เพราะศาสนามันเสื่อมตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้แล้วว่ามันจะเสื่อม ชื่อว่าพุทธนั่นแหละมันจะเสื่อม ศาสนาพุทธนั้นเป็นโลกุตระเป็นเนื้อแท้ โลกียะมันก็เป็นศาสนาเทวนิยมทั้งหลายแหล่ ใครๆเขาก็สอนโลกียะ คือการละชั่ว ประพฤติดี ใครๆก็สอน
แม้จะมีลึกซึ้งอยู่บ้างว่าให้ละ ลาภยศสรรเสริญบ้าง เขาก็ไม่ได้เข้าถึงจิตวิญญาณ จิต เจตสิก รูป นิพพานที่จะละลดสิ่งที่มันไม่จริงเขากดข่ม พวกเชน กดข่ม จนกระทั่งเหมือนไม่มีอะไรเลย มักน้อยสันโดษจริงๆเป็นต้น ซึ่งมันไม่เป็นจิตที่สมบูรณ์แบบ
อย่างพวกเชนตายแล้วเวียนวนมาเกิดอีกนะ แล้วเวียนวนมาเสพ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อีก หรือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) เขาก็ติดเพราะมันไม่ได้รู้จักจิตเจตสิก ไม่ได้รู้จักอย่างเวทนา 108 แล้วก็เห็นชัดเจนใน มโนปวิจาร 18
ของอย่างโลกีย์เขาเป็นเคหะสิตะ 18 แล้วก็รู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจมันไปหลงสุขหลงทุกข์ จนกระทั่งหมดสุขหมดทุกข์แบบโลกุตระเนกขัมมสิตะ อีก 18 แล้วก็ทำจนละเอียดจนครบ ทั้งแน่ใจว่า อดีตเป็นฐานเต็ม 36 ปัจจุบันมาทุกตัว มีพลัง กิเลสทำอะไรไม่ได้
เพราะฉะนั้นจนแน่ใจว่าอนาคตอีก 36 และ 36 นี่ก็คือ มโนปวิจาร 18 มี 2 อันก็เป็น 36 ทั้ง เคหสิตะ ทั้ง เนกขัมสิตะ ก็เป็น 36
รู้ดีในเรื่องของพฤติกรรมมโนปวิจาร วิจาระ คือพฤติกรรมของมโนแบบโลกียะกับโลกุตระ อาการของมันรู้ดีหมด มันเกิดอาการทางจิตแบบไหนแบบไหน จนกระทั่งผ่านเราไปแล้วเป็นอดีต ปัจจุบันนี้ มันมาก็รู้มันหมดทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มโนปวิจาร 18
แล้วมันเป็นโลกียะก็รู้มันได้ ทำให้มันเป็นโลกุตระได้ อย่างชัดเจนหมดทุกอย่างเลย อาตมาว่าอาตมาอธิบายรายละเอียดของธรรมะมันละเอียดจนกระทั่งเป็นภาษาง่ายๆนะ แม้จะมีภาษาวิชาการภาษาบาลีประกอบ อาตมาก็ขยายความเป็นภาษาไทยให้ละเอียดลงไป ไม่ได้พูดบาลีโก้ๆ แต่พูดบาลีเพื่อยืนยันอ้างอิงเท่านั้นเอง
ค่อยๆเรียนไปนะอาตมาก็ต้องพูดความจริง ว่าสายนั่งหลับตา มันผิดหมดมันไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 ขนาดมีอปัณณกปฏิปทา 3 ผู้ปฏิบัติจริงจะรู้เลยว่าไม่ใช่ละกิเลสได้ง่ายๆและไปนั่งหลับตาอย่างนั้น ไม่รู้กี่ชาติแล้วไปหลงแบบ อาฬารดาบส อุทกดาบส เสียเวลา อาตมาก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ผ่านไปก็แล้วกัน มันน่าสงสาร เสีย เวล่ำเวลา
_สวน กระจอกจัง · ครอบครัวผมปฏิบัติธรรม แบบชาว อโศก แล้วทำให้ สมาชิกในครอบครัวปลอด อบายมุข เกือบ100%เลยครับ ผมมาถูกทางแล้วครับ
พ่อครูว่า… ดี รู้ตัวชัดเจน
น้ำตกให้เที่ยวฟรีทำได้ที่บ้านราช
_สว่างแสง ขวัญดาว · กราบนมัสการพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ สมณะเดินดิน สมณะดินไท สมณะแสนดิน พ่อครูคะลูกได้ฟังท่านแสนดินว่าบ้านราชใช้ไฟฟ้า เพื่อสูบน้ำแล้วเปิดน้ำตกให้คนทั่วไปมาเที่ยวฟรี ลูกว่าบ้านราชคงต้องจ่ายค่าไฟฟ้าต่อวันด้วยเงินจำนวนมาก ลูกมีข้อสงสัยว่าในทางเศรษฐศาสตร์คนเห็นผักงามแล้ว มาซื้อปุ๋ยอย่างนี้ลูกสามารถคิดได้ แต่จ่ายค่าไฟฟ้าด้วยเงินจำนวนมากเพื่อผลิตน้ำตกให้คนมาอาบน้ำ ลูกขอกราบเรียนถามพ่อครูว่า บ้านราชได้อะไรคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า… ก็ได้คนมาอาบน้ำ มันอธิบายยากอธิบายละเอียดยังไง มันเป็นเรื่องของเหตุปัจจัยหลายอย่าง 1. ทำธรรมชาติ 2. เพื่อแสดงให้คนเห็นว่าธรรมชาติสำคัญ 3. เมื่อได้มาแล้วหรือเมื่อทำขึ้นมีสิ่งนี้ เราก็ได้ประโยชน์จากสิ่งนี้ในตัว มีน้ำตกนี่ บรรยากาศของพวกที่เราอยู่มันจะไม่เหมือนป่าทึบที่มีน้ำตก แล้วก็เย็นยะเยือก แต่มันจะเย็น แต่ไม่ถึงยะเยือก จะเย็น อย่างโปร่ง เย็นอย่างได้สัดส่วน มีไอน้ำ น้ำตกเคลื่อนลมพัดนะ มันไปกระทบทำให้เกิดลมเคลื่อนอะไรพวกนี้ต่างๆนานา โดยเฉพาะด้านจิตวิญญาณ
คุณพูดถูกว่าเราทำฟรี เราให้คนมาสัมผัส ไม่กี่วันก็มีเด็กมาหลายทัวร์ มีเด็กมัธยมมาเป็น 100 ชั้นประถมก็มี คือให้มันเรียบร้อยดี เขาจะได้รับประโยชน์ ที่ในจังหวัดอุบลราชธานีมันก็ไม่มีที่จะเป็นอย่างนี้ ไอ้ที่เขาทำแบบค้าขาย เขาก็ทำไปสิ นั่นแหละอีกอันหนึ่งก็บอกว่าที่อื่นเขาทำแล้วเขาทำหาเงิน ต้องเสียเงินไปเล่น แต่ของเราไม่ได้เสียเงินเสียทองอะไรเลย นี่ก็ไม่ใช่อวดอ้างนะ แค่ให้เห็นว่าพวกเราเกื้อกูลกันได้ มนุษยชาติน่ะ
สมณะฟ้าไท… ตอนเดือนเมษายน ผมถามว่าทำไมเขาอุ้มลูก 2 เดือนมาด้วย เขาบอกว่าที่บ้านอยู่ไม่ได้ มันร้อนไปหมด เขาบอกว่าอยู่กันไม่ได้เลย มาที่นี่ตั้งแต่เช้าเลย
พ่อครูว่า… นั่นแหละมันเป็นที่พักผ่อน มันเป็นสถานที่ที่ แดนเพลินเชิญพัก Pleasant Land please rest
เรื่องนี้เป็นเรื่องจิตวิญญาณเกื้อกูล อันเป็นอัชฌาสัยของโพธิสัตว์ จบด้วยอันนี้ก็แล้วกัน
_Aeamaua Lee เอื้อมเอื้อ ลี · ชื่นชมท่านแสนดินนะคะ น้อมนมัสการทุกท่าน รายการดีๆเช่นนี้มีที่ช่องนี้ช่องเดียว
พ่อครูว่า… แน่นอนขอยืนยัน
_Songyut Akkakoson ทรงยุทธ อัคคโกศล · กราบนมัสการท่านสมณะและท่านสิขมาตุ พอจะอนุมานได้ไหมครับว่า ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมสายอโศก ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่เคยมีกิเลสโทสะแรง (สายโทสะ) เพราะเท่าที่ผมได้มีโอกาสคบคุ้นสหายดีมิตรดีและดูใจตนเองก็พบว่า ตนเองก็เป็นสายโทสะ ส่วนเพื่อนทางโลกคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่สายโทสะมักจะไปสนใจธรรมะสายหลับตากันครับ
พ่อครูว่า… อาตมาว่ามันไม่ใช่เครื่องชี้บ่งนะ มาสายเรานี่ จะเป็นสายโทสะ ไปนั่งหลับตาเป็นสายปัญญา อาตมาว่ามันกลับกัน สายเราเป็นสายปัญญา สายไปนั่งหลับตาเป็นสายโทสะ ก็ขนาดมหาบัวยังเขวี้ยงถาดใส่พระเลย เขาว่าอรหันต์ สายโน้นเป็นโทสะแรง ถ้ารู้ตัวไม่ทำหรอก มันขายขี้หน้า แต่ไม่รู้ตัวหรอกที่ทำนั้น กิเลสมันเป็นงานเอา
สมณะฟ้าไท… แล้วแถมมีหลักฐานถ่ายไว้ ตายแล้วก็ยังมาเปิดเผยได้อีก
พ่อครูว่า… เอา เป็นเรื่องจริงก็เป็นธรรมดา มันไม่ใช่เครื่องชี้บ่งอาตมาก็บอกว่าสายอโศกนี่แหละเป็นสายปัญญา ไม่ใช่สายโทสะ แต่โทสะน่าจะไปทางมหาบัวมากกว่า มันก็เป็นเรื่องของส่วนตัวของแต่ละคน
สภาวะมีแต่ในพุทธที่เป็นโลกุตระเท่านั้น เทวนิยมไม่รู้สภาวะจิต
_Aik Lim สายพิน กทม. · กราบนมัสการและกราบขอบพระคุณท่านสมณะเจ้าค่ะ โยมได้ฟังความหมายของคำว่าสภาวะ(คือ อารมณ์อาการต่างไปของจิตใจ)ดังนั้น สภาวะจึงคือเวทนา ใช่ไหมเจ้าคะ หรือสภาวะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเวทนาเจ้าคะ
น้อมกราบนมัสการและกราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… คำว่าสภาวะแปลว่าสิ่งที่ปรากฏขึ้น เพราะฉะนั้นเมื่อมันปรากฏทางนามธรรม โดยเฉพาะจิตเจตสิกของเรา เราอ่านอาการของจิตเจตสิกได้ อาการของจิตเจตสิกก็เป็นสภาวธรรม ที่เราสัมผัสได้
รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) ก็เป็นสภาวะ ดิน น้ำ ไฟ ลม ก็เป็นสภาวะ เป็นสิ่งปรากฏที่เราสัมผัสได้
พระเจ้าไม่ใช่สภาวธรรม เพราะพระเจ้าไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้ใครสัมผัสได้เลย เป็นสิ่งลึกลับ เพราะฉะนั้นธรรมะของเทวนิยมไม่มีสภาวธรรม มีแต่ความคิด เป็นห้วงความคิดจินตนาการ ไม่มีสภาวธรรมที่สัมผัสได้ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย
เพราะฉะนั้นสภาวะที่ปรากฏ แม้จะเป็นนามธรรมอยู่ในแต่ละบุคคล คนนั้นต้องมี จิตเจตสิก
คนที่ตายไปแล้วตัวเขาเอง มีสภาวะธรรมของคนอื่นที่ยังไม่ตายรู้ว่าอันนี้เป็นซากศพซากตาย ตัวเองหมดสภาวะ หมดการทรงไว้ซึ่งธรรม หมดการรู้ คนที่ตาย แต่เป็นสภาวะให้คนอื่นถูกรู้ เป็นตัวที่ถูกรู้เป็นรูปเป็นศพ
เพราะฉะนั้นสภาวธรรมจึงประกอบไปด้วย 2 อย่าง พูดกันกับใครต่อใครก็แล้วแต่ คนที่พูดกันรู้เรื่องว่ามีสภาวะธรรม ก็ต้องมีสภาวะ 2 คือสิ่งที่ถูกรู้กับผู้รู้
ถ้าสิ่งที่ถูกรู้ แม้จะเป็นนามธรรมที่แต่ละคนพูดกันสองคน ก็พยายามตามรู้กันไป อย่างประมาณเท่านั้นเอง ส่วนเรารู้ของเรา เราก็มีการกำหนดรู้ สิ่งที่เป็นสภาวะที่เรากำหนดขึ้นในจิต มันอยู่ในห้วงจิตของเรา มีจริงหรือไม่จริง ได้
อย่างพระเจ้านี่ มีจริงหรือไม่มีจริงก็ได้ แต่ส่วนมากของเทวนิยมนั้นเขาไม่มีจริงหรอกพระเจ้า พระเจ้าของเขาจริงๆนั่นคือความรู้ของศาสดา ศาสดาของศาสนาไหน เขาก็คือพระเจ้านั่นแหละ แต่เขาไม่รู้จักจิตเจตสิก เขาไม่รู้จักสภาวธรรม ศาสดาสายพระเจ้า ศาสนาเทวนิยม ทุกองค์เขาไม่รู้จักสภาวธรรม จิตเจตสิกรูปต่างๆ นิพพานนั้นยิ่งไม่ต้องพูดเลย เขาไม่รู้จัก
เพราะฉะนั้นเขาจึงมีแต่ความรู้หนึ่งเดียว ครึ่งเดียว ความรู้มันไม่เต็มความรู้ มันไม่มีรูปกับนาม มันไม่มีกายกับจิต พระเจ้าไม่มีกาย แม้แต่รูปนั้นไม่ต้องพูดเลย รูปของพระเจ้าที่จะถูกรู้นั้นไม่มี ไม่ต้องพูดเลย เป็นรูปที่จะต้องสัมผัสด้วยตา แม้แต่สัมผัสด้วยตาแล้วก็เป็นนามธรรม
กายก็คือนามธรรม ที่ประกอบไปด้วยรูปข้างนอกที่เราสัมผัสด้วย กายคือนาม แต่ทุกวันนี้ศาสนาพุทธเข้าใจกายเป็นรูปธรรมอย่างเดียว (ต้องอย่างเดียวด้วยนะ ไม่มีนามร่วม) เข้าใจผิด กายเป็นรูปธรรมอย่างเดียว ผิดโมฆะเลย นี่คือมิจฉาทิฏฐิข้อแรกของ สักกายทิฏฐิ ต้องทำความเข้าใจในเรื่องของ กาย ให้ได้ ให้ถูก
เมื่อเข้าใจคำว่ากายให้ได้แล้วต้องรู้จัก สักกายะของตนด้วย จึงจะเป็นผู้สัมมาทิฏฐิในเรื่องของ สักกายะ นี่ก็ยากแล้ว เดี๋ยวนี้เสื่อมกันไม่ค่อยเข้าใจแล้ว ทำไม่เป็น จึงหาพระอรหันต์ไม่ได้
เพราะฉะนั้นพวกเรานี้อาตมานำโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างสัมมาทิฏฐิมา ประกาศจึงเกิดอารยะบุคคลจึงเกิด โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ในชาวอโศก
ขออภัยที่ต้องพูดความจริงว่า ในเถรสมาคมหรือในชาวที่นั่งหลับตาไม่มีหรอก อรหันต์ มีแต่หลงผิดมีแต่อรหันต์เก๊ ขออภัยที่พูดความจริงก็ต้องขออภัยทุกที เกรงใจจริงๆนะ แต่มันจำเป็นมันจะต้องพูด มันต้องบอกความจริงกัน เกรงใจจริงๆ อาตมาไม่อยากพูดเหมือนลบหลู่เขา เหมือนไปข่มเบ่ง แต่มันเลี่ยงไม่ได้ ความจริงมันเป็นจริงอย่างนั้น อาตมาก็ไม่รู้จะทำยังไง อาตมาพูดไปพวกคุณก็คงเห็นใจ จะพูดอย่างนี้ต้องขออภัยทุกทีเกรงใจ มันเป็นเรื่องจริงไม่รู้จะทำยังไง มันเลี่ยงไม่ออก
_ตาเชียร ค้าบ · พ่อครูผ่านมาทุกอย่างทั้งร้ายๆและดีจนเป็นผู้นำของชาวอโศกในขณะนี้ครับ
_1945 : เป็นกำลังใจให้ทีมงานเผยแผ่ศาสนาและสาธารณะโภคีของหลวงพ่อตลอดไปสาธุชอบฟังธรรมแนวใหม่ของหลวงพ่อ คือสอนแรงๆ ให้กิเลสหลุดออกเข้าใจง่ายทุกชนช้ันสาธุ ชอบฟังเพลงดีๆ เอ็มวีสวยๆ ของช่องบุญนิยมฯ
พ่อครูว่า… ผู้ทำ MV ก็ได้กำลังใจหน่อย มีผู้นิยมชื่นชม
_@saowaneeburarak9038 เสาวนีย์ บุรารักษ์ : กราบนมัสการ พ่อครูค่ะ ทำงานไปฟังไป แม้แค่ตอบคำถามจากทางบ้าน ยังฟังแล้วเหมือนได้อาหารทางจิต 😊🙏🏼
บุคคล 4 แบบไหนที่มีมากในยุคนี้
_แก้วตะวัน พวงบุบผา · ประเทศไทยเป็นชมพูทวีปมีพุทธแท้มีโลกุตระธรรม พ่อครูนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาสอนจนได้กลุ่มคนที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบคือชาวอโศก แต่พระในเถรสมาคมกลับนำหลักปฏิบัติของฤาษีมาสอนชาวพุทธให้นั่งหลับตาสะกดจิต ทำให้ย้อนไปสมัยพุทธกาลที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ท่ามกลางฤๅษี เดียรถีย์ ที่มีแนวปฏิบัติตรงกันข้าม พอมาถึงสมัยนี้พ่อครูรับธรรมะจากพระพุทธเจ้ามาสอน ก็เหมือนอยู่ท่ามกลางฤๅษี เดียรถีย์เช่นเดียวกัน พ่อครูเลยโดนถล่มมาตลอด แต่พ่อครูเป็นพระโพธิสัตว์ก็ยืนหยัดมาจนถึงปัจจุบันได้อย่างดีค่ะ
พ่อครูว่า… ใช่คุณเข้าใจถูก แต่ผู้ที่เข้าใจไม่ได้น่ะน่าสงสารเพราะเขาไม่มีบารมีพอ นี่พูดง่ายๆชัดๆ เขาก็ได้ยินเขาก็สนใจธรรมะเขาก็อยากได้ แต่เขาไม่มีบารมีพอ ภูมิของเขาเป็น เนยยบุคคล เป็นคนที่พากเพียรอยู่ และเป็นพวกปทปรมบุคคล อีกเยอะ รายบุคคล 4 มี เนยยบุคคล อยู่บ้างพอมารับฟัง
แต่พวกเราเป็นพวกที่เป็นเนยยะดีแล้ว แล้วก็มันไม่ถึงกับมี อุคติตัญญูมีบ้าง ต้องอธิบายบ้างพอสมควรก็ยังยากเลย ก็เป็นเนยยะดีๆหน่อยมีมาก เป็นผู้ที่พากเพียรสะสม
อย่างสมัยพระพุทธเจ้านี้ อุคติตัญญู วิปัญจิตัญญู มีเยอะ อย่างเช่นพระพาหิยทารุจริยะได้รับฟังเทศนา 4 ประโยคก็บรรลุธรรมเลย
พระยสะ ก็ถือว่าเป็นอุคติตัญญู ฟังธรรมะ 2 กัณฑ์ก็บรรลุอรหันต์ นอกนั้นก็มีเยอะแยะเป็น วิปัญจิตัญญู เป็นอรหันต์เลย สมัยนี้เราก็สอนแทบตายมันก็ไม่เหมือนกัน
อธิบายธรรมะพระพุทธเจ้าไปก็จะเห็นเข้าใจ ยิ่งพวกเราเป็นนักปฏิบัติธรรมมีสภาวะในตัว มันชัดเจนแล้วก็พอรู้ได้ว่า ของเรานี้มันเป็น เนยยะ เนยเน่าๆหรือเนยสดๆบ้าง ก็ยังพอรู้ตัวเอง
อนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ของชาวอโศก
_วาส ทองจันทร์ · สายพระป่าส่วนมากจะมีความเชื่อในเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ จึงยืดมั่นถือมั่นฝังแน่นจนยากที่จะแก้ไขครับ
พ่อครูว่า… อันนี้ก็จริง เพราะว่าทางสายหลับตาจะสัมมาทิฏฐิไม่ได้ง่ายๆ มันจะไปหลงอิทธิฤทธิ์ อิทธิเดชต่างๆนานา เป็นเรื่อง magical เป็นเรื่องลึกลับ เป็นเรื่องทิพย์ เป็นเรื่องแปลกๆประหลาด ต่างๆนานา อย่างหมอปลา ทำมาหากินรุ่งเรืองน่าสงสาร ไม่ค่อยเข้าใจ
เพราะฉะนั้นเรื่องอิทธิฤทธิ์ เรื่องอาเทสนาปาฏิหาริย์ อิทธิปาฏิหาริย์ พระพุทธเจ้าท่านบอกท่าน อึดอัด(อัฏฏิยามิ) ระอา(หรายามิ) เกลียดชัง(ชิคุจฉามิ) มันเป็นเรื่องน่าเบื่อ น่าเกลียด น่าชัง น่าระอา น่าเหน็ดเหนื่อย ท่านไม่เอา ท่านให้มาสนใจเรื่องคำสอนเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ คำสอนพระพุทธเจ้า
เช่น สอนว่าอย่าฆ่าสัตว์ แล้วพวกเราก็ชัดเจนสนใจอย่างนี้มากกว่าจะไปสนใจฤทธิ์เดชเหาะได้ เหาะเหินเดินน้ำดำดิน สู้มาสนใจเรื่องไม่ฆ่าสัตว์ อย่างนี้สิ
นี่คนนี้เป็นคนที่จะชัดเจนในศาสนาพระพุทธเจ้า แล้วก็มาปฏิบัติตาม ไม่ไปสนใจหรอกอย่างที่ หยั่งรู้ใจคนเหาะเหิน เดินน้ำ ดำดินอะไรอย่างนั้น แต่มาสนใจอย่างนี้นี่คือพุธแท้ อนุสาสนีแปลว่าคำสอนพระพุทธเจ้า
ที่ปาฏิหาริย์ อาเทศนาปาฏิหาริย์เรื่องลึกลับ ที่ทางสายหลับตาเขาสนใจก็เพราะเขามิจฉาทิฏฐิ เขาจึงไปสนใจสิ่งเหล่านั้น
เพราะฉะนั้นผู้ที่สัมมาทิฏฐิแล้วไม่สนใจเรื่องเหล่านั้น จะเห็นว่าเป็นเรื่องรู้ยาก เป็นเรื่องหลอกกัน ถึงจะมีจริงก็ไม่เห็นว่าจะจริงอะไร อย่างได้ประโยชน์อะไรกันจริงๆ ดีไม่ดีก็ถูกหลอก เสียเงินเสียทองเสียอะไรต่ออะไรไปเยอะแยะด้วย
เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่แค่นี้ แค่สนใจในอนุสาสนีคำสอนพระพุทธเจ้าแล้วเอาไปปฏิบัติตาม กับไปสนใจอิทธิปาฏิหาริย์อาเทศนาปาฏิหาริย์ แค่นี้มันชี้บ่งได้แล้วว่าใครนี่มีเชื้อของพระพุทธเจ้า มีเชื้อของศาสนาพุทธแท้ กับยังมิจฉาทิฏฐิอยู่
แม้แต่สวรรค์ซึ่งเป็นเรื่องของจินตนาการ สวรรค์ก็ดี สวรรค์ 6 ชั้นเป็นต้น ผู้ที่รู้สัมมาทิฏฐิแล้ว มันไม่มีหรอก มันมีอยู่ที่ อวิชชาของคนแต่ละคนนั่นมี
คนที่มีอวิชชาจะมีสวรรค์ มีนรก คนที่หมดอวิชชาแล้วสวรรค์นรกไม่มี
พระอรหันต์ เป็นต้น สอนละเอียด
อย่างอาตมาเป็นโพธิสัตว์อรหันต์ขั้น 4 แล้ว (อรหันต์มี 6 ขั้นนะ ) อาตมาเป็นอรหันต์ขั้น 4 แล้วอาตมารู้ดีเรื่องสวรรค์ อาตมาไม่มี อรหันต์ขั้นที่ 1 ก็หมดแล้วสวรรค์ นรก คนที่ยังมีอยู่ก็ยังไม่เป็นอรหันต์แน่นอนก็ยังเหลือเชื้อ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ก็ยังเหลือเชื้อ ยิ่งไม่เป็นโสดาบันแล้วแน่นอนต้องมีสวรรค์ลงนรก มีจริงๆ
เพราะฉะนั้นคำว่ามีและไม่มี สองคำนี้มันเป็นสัจจะที่ยิ่งใหญ่ ฟังชัดเจนไหม คำว่ามีกับไม่มี สองคำนี้ยิ่งใหญ่
เพราะฉะนั้นคนที่ไม่มีสวรรค์ ไม่มีนรกแล้วคืออรหันต์ขึ้นไป โสดาบัน มีสวรรค์นรกพอสมควร สกิทาคามี อนาคามี สวรรคโลกก็ลดลงไป อรหันต์ ก็หมดนรกสวรรค์
สวรรค์และนรกเป็นของเก๊ทั้งนั้น ฟังให้ดี
สวรรค์คืออะไร เช่น เมื่อกี้เขาบอกว่ายังชอบขนมหวานอยู่เป็นสวรรค์
อาตมากินอาหารไม่อร่อย หายไปจนกระทั่งเอาคืนมาไม่ได้เลยก็มันไม่มีรอร่อย มันไม่มีจริงๆรสอร่อย เอาคืนมาไม่ได้เลย
_สู่แดนธรรม… มีแต่รสธรรมดา
พ่อครูว่า… มีแต่รสธรรมดาตามความเป็นจริงของมัน ประสาทลิ้นของเราไม่ได้บกพร่อง ไม่มีรสอย่างนี้ไอ้นี่รสอย่างนี้มันก็รู้รสรสจริงตามที่มันมี แต่อร่อยมันไม่มี
ทีนี้อาตมากินข้าวฉันอาหาร มันไม่อร่อย นั่น 1. และ 2. อายุไขมันไม่มีแล้ว มันต้องฝืนใส่อาหารเข้าไป ยิ่งกว่ามนุษย์พืชที่เขาต่อท่อเข้าไปให้ ขันธ์ก็อยู่
เพราะฉะนั้นเราก็ต้องกินอาหารเข้าไปให้มีปริมาณพอสมควรให้มันใช้ได้ อาตมายังขอบคุณสังขารขันธ์ของอาตมาว่า มันก็ดีนะ พยายามเอาธาตุอาหารเข้าไปขนาดนี้ มันก็ยังทำงาน สงสัยมันก็ยังใช้ได้ ไม่ต้องไปกินยาช่วยย่อย ไม่ต้องไปอะไรต่ออะไร ขอบคุณสังขารตัวเองอยู่เหมือนกัน อันนี้ก็เป็นบารมีของอาตมาเหมือนกันบ้าง อาตมามาปางนี้ชาตินี้อาตมาก็สังขารขันธ์ มันก็ต้องเก่งเหมือนกัน ขันธ์ 5 ของเราก็ต้องเก่งเหมือนกัน เพราะทั้งปรุงแต่งทำอะไรต่ออะไรก็ต้องได้สัดส่วนของมัน ดีมันไม่เป็น ย่อยยากท้องเสียอย่างโน้นอย่างนี้ไม่เป็น สบายสิ่งเหล่าอันนี้ศึกษาไปแล้วไม่ใช่เรื่องยากไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปค้นคว้าอะไร มันจะเข้าใจเหตุปัจจัยต่างๆ มันสังเคราะห์สังขารกันอยู่อย่างไรจะเข้าใจง่าย
_สู่แดนธรรม… พระอรหันต์ก็คือมนุษย์พืชที่มีคุณวิเศษ
พ่อครูว่า… ใช่ มนุษย์พืชที่มีคุณวิเศษ พยายามกินอาหารไป ที่เป็นเพราะอะไร ที่มันยากเพราะอายุขัยของอาตมาหมดแล้ว อาตมาต่ออายุขัยมาตั้ง 1 นักษัตรแล้ว เป็นนักษัตรที่ 2 พยายามฝืนขันธ์
เพราะฉะนั้นถึงได้ยาก มันจึงฝืนเพราะมันต้องพยายาม บอกว่าเฮ้ย!เอ็งทำไมไม่ตายสักที เลยอายุขัย 72 ปีไปเท่าไหร่ 18 ปีแล้ว
พูดอย่างนี้พวกเราจะพอเข้าใจ คนข้างนอกเขาจะฟังรู้เรื่องหรือเปล่าไม่รู้นะ แต่พวกเราฟังก็คงจะเข้าใจ
จะเห็นได้อย่างสามัญว่าจริงๆแล้ว มันยิ่งเห็นทุกข์เลยว่า ภาราหเว ปัญจขันธา มีแต่ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป ก็พยายามให้มันอยู่ได้ ใส่อาหารเข้าไปเพื่อให้ขันธ์มันทำงาน ทำการมีประโยชน์ พยายามให้เผื่อพอมีขันธ์ต่อไปใช้ทำงานให้ได้มากที่สุด ลากขันธ์นี้ไป
มันยังไม่ถึงกับทุเรศทุรังการ อยู่อย่างง๊อกๆแง๊กๆ มันก็ดู 90 ยังแจ๋ว ใช่ไหม มันก็น่าจะอยู่นะ มันก็ทำงานได้ ไม่ดูน่าทุเรศทุรังการ อย่างที่ว่า
สมณะฟ้าไท… พ่อครูอยู่ในห้องแอร์ ฉันอาหารแล้วไม่ท้องเฟ้อก็เก่งมากนะครับ ปกติคนจะเป็นอย่างนั้น
พ่อครูว่า… อันนี้ต้องขอบคุณบารมีของสังขารขันธ์ที่มันช่วยเราให้เป็นไปได้ ซึ่งธรรมดาคนที่มันไม่ดี พูดไปก็เหมือนกับชมตัวเอง มันได้ความพิเศษขึ้นมา มันเหนือสามัญ
_จับใจ ธนะโภค · กราบนมัสการพ่อครูฯ ขอน้อมกราบเรียนถาม ค่ะ
-
การปฎิบัติธรรมแบบหมู่กลุ่มชาวอโศก ที่มีท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุ และญาติธรรม ก็เป็นบรรยากาศที่อบอุ่น ค่ะ
-
และการปฎิบัติธรรมแบบหมู่กลุ่มชาวอโศก ที่มีพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ สมณะ สิกขมาตุ และญาติธรรม ก็จะเป็นบรรยากาศที่อบอุ่น “ยิ่งๆ ขึ้น” ค่ะ
-
จิตที่มีอาการ “ความอบอุ่น” กับหมู่กลุ่มฯ ถ้าตายและได้เกิดมาใหม่ จะเกิดเป็น “ตัวเล็น” มั๊ยคะ
พ่อครูว่า… คิดจะเอายังไง ติดใจความอบอุ่นตายแล้วก็จะเกาะความอบอุ่นไปอย่างนี้ไม่ไปเกิดสักทีหรือ จะเกาะอยู่ตรงนี้ ผ้าใคร คุณจับใจตายแล้วจะเกิดเป็นตัวเล็นเกาะอยู่ที่ผ้าใคร อยู่จีวรใคร คงไม่ถึงอย่างนั้นละมั้ง อบอุ่นก็ดีแล้ว ไม่ไปเป็นตัวอะไรไปก่อนหรอก
ธรรมะกับการเมืองเป็นเรื่องเดียวกันได้ถ้าไม่ไปปฏิบัตินั่งหลับตา
_สมประสงค์ ศุภะวิท • สาธุ เห็นด้วยที่พระมาแสดงความเห็นทางการเมือง. โดยมีหลักทางศีลธรรม ความจริงความถูกต้องดีงาม ครับ
พ่อครูว่า… หายากนะคนที่จะมาเห็นอย่างนี้ด้วย ขอขยายความหน่อย อันนี้อาตมาก็ยังคิดจะอธิบายความ ว่า พระมาแสดงความเห็นทางการเมือง อาตมาว่าคนไม่เข้าใจเรื่องมนุษยชาติกับสังคม ไม่เข้าใจว่าความเป็นมนุษย์กับความเป็นสังคม
ธรรมชาติธรรมดาของมนุษย์ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม มนุษย์ไม่ใช่สัตว์ป่าเพราะฉะนั้นพวกที่หลับตาออกป่าเป็นพวกที่วิปริต
ก็ตัวเองเป็นสัตว์สังคม พวกออกป่าเป็นพวกวิปริต เป็นส่วนน้อยมันวิปริตไปจากธรรมดาธรรมชาติไป ออกป่า ออกเขา ออกถ้ำ คน 7 พันล้าน ออกป่า ออกเขา ออกถ้ำ ก็อาจจะมีพวกหลงๆเลอะๆเยอะๆอาจจะเป็นล้าน แต่ใน 7 พันล้าน ศาสนาเทวนิยมเขายังไม่วิปริตออกป่าเลย แต่ศาสนาพุทธแท้ๆไปหลงเลอะเทอะได้ยังไง ไปหลงเป็นมนุษย์ป่ามนุษย์เถื่อน
เพราะฉะนั้นการออกป่าจึงเป็นความงมงาย ยิ่งเป็นนั่งสมาธิหน้าเหว ตกเหวตายไปเยอะบ้าๆบอๆ มันก็เป็นธรรมชาติของคนที่ พูดชัดๆก็คือพวกโง่ยังไม่ฉลาดก็เป็นไป
ก็ขอพูดอีกอย่างแรงๆเลิกนั่งเถอะอย่าโง่ต่อเลย นั่งหลับตาสมาธิ บอกไม่รู้กี่ทีแล้วว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ไม่ผิดนั้นคือมีสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 มีสติตื่นชาคริยานุโยคะ มาปฏิบัติมีตาหูจมูกลิ้นกายใจทุกเวลา เป็นต้นว่าคุณต้องกินข้าว คุณต้องมีโภชเนมัตตัญญุตาในการปฏิบัติธรรม เพราะมนุษย์ทุกคนต้องกินข้าว พระพุทธเจ้าท่านมาสรุปเอาตรงนี้ให้เรียนรู้ว่ากิเลส มันอยู่ตรงนี้แหละ กินข้าวนี่แหละ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) นี่แหละ พิจารณาตรงนี้แล้วจะรู้กิเลส นอกนั้นมันก็สัมผัสเหมือนกันแต่มันไม่เหมือนกินข้าวนี่หรอก แล้วมนุษย์ทุกคนต้องกินข้าว
พระพุทธเจ้าจึงมาสรุปลงตรงที่ โภชเนมัตตัญญุตา
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมถ้าไม่มีการสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ไม่มีการพิจารณากิเลสจาก โภชเนมัตตัญญุตา อย่าว่าแต่กินข้าวเลยแม้แต่กินเคี้ยวหมาก ก็คือสัมผัส รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) เต็มเลย ยิ่งสายมหาบัวไม่รู้เรื่องกินหมากกันเยอะแยะ สูบบุหรี่ปุ๋ยๆกันซึ่งไม่รู้กระทั่งสิ่งเสพติดหยาบๆอย่างนี้ก็ไม่รู้เรื่อง
พวกที่มีปฏิภาณว่าเฉลียวฉลาด ก็จะไปหลงมหาบัวว่าเป็นอรหันต์ไปยึดถือเป็นครูบาอาจารย์อยู่ อาตมาว่ามันยังไง ไปหลงอย่างนั้นว่าเป็นอรหันต์ได้ยังไงน่าสงสาร
คนเป็นสัตว์เมืองไม่ใช่สัตว์ป่า ไปแวะว่าคนหลงป่า เป็นธรรมดามนุษยชาติเป็นสัตว์เมืองไม่ใช่สัตว์ป่า สัตว์ป่านั้นเป็นพวกวิปริต เพราะฉะนั้นเป็นคนเมืองเป็นสัตว์เมืองก็ต้องรู้การเมือง
คุณไม่เกี่ยวไม่ได้หรอก ไม่เกี่ยว มันก็มาเกี่ยวกับคุณ เช่น คนมาบวช แล้วเป็นผู้ปฏิบัติธรรมเป็นภิกษุแล้ว คุณปฏิบัติไม่ดีเขาว่าคุณไหม เขาเห็นคุณไหม เขาก็ซัดคุณอยู่นั่นแหละ แต่เพียงเขาเกรงใจเขาก็ไม่ว่ามาก
มาบวชนี้ พวกได้อภิสิทธิ์ เขาถือว่านี่เกรงใจผ้าเหลืองนะเขาว่าอย่างนี้ เพราะฉะนั้นนี่คือธงชัยพระอรหันต์ จนกระทั่งกลายไปเป็นวิปริตไปนุ่งห่มเหลืองห่มสีแสดสีแจ๊ดๆ ที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าอันนี้ห้ามอยู่ในพระวินัยมีด้วยห้าม 7 สี ไม่ให้ไปนุ่งห่มแล้วทำเขาก็ทำกันเฉยๆแล้วเขาก็ประชดด้วย เขาก็คงได้ยินแต่จะประชดใส่สีนี้จะว่าทำไม ก็ประชด 7 สีที่พระพุทธเจ้าท่านห้าม
แล้วเขาก็ไปแปลเพี้ยนๆว่าท่านบอกว่ามันล้วนแต่นี่มันไม่ล้วนนะ เขาเล่นโวหาร มันไม่ได้เหลืองล้วน มันไม่ได้แดงล้วน มันสีแสด มันเป็นสีผสม ไม่ใช่สีเหลืองล้วนเขาก็เจือ สีเหลืองมันก็มีโทนต้องไม่รู้สีเหลืองเลย ไม่ใช่เหลืองแกมบอททินอย่างเดียว เหลือง Yellow oak หรือว่าเลม่อน Yellow อะไรต่างๆไม่รู้กี่เรื่อง ยิ่งสีแดงสีแสดยังมีอีกหลายเฉด เขาก็เล่นโวหารว่ามันไม่ใช่สีล้วน พระพุทธเจ้าสอนสีล้วนไม่ให้ใส่
สีครามล้วน สีเหลืองล้วน สีแดงล้วน ทำไมไม่บอกว่าสีไหนก็แล้วแต่ ถ้ามันล้วนแล้วก็ใช้ไม่ได้ สีไม่รวนนั้นใช้ได้ อะไรอย่างนี้ การเลี่ยงบาลีเรื่องภาษา
_สู่แดนธรรม… มีแฟนคลับขอให้พ่อท่านกลับสู่เรื่องการเมืองซะทีครับ
พ่อครูว่า… จริงๆแล้ว การเมืองในประเทศไทยขณะนี้ กำลังจะไข กำลังจะไขประตูเข้าไปสู่ความลงตัว อาตมายังรู้สึกว่ามันจะออกหวยอะไรหนอ อาตมาไม่มีปฏิญาณปัญญา ไม่มีอาเทสนาปาฏิหาริย์ที่จะไปอย่างรู้ไม่มีจริงๆ
แต่รู้สึกว่ามันดูประนีประนอมกัน อะลุ่มอล่วยกัน ตกลงมันก็ช่วยกัน เอาไปเอามา เพราะมันก็เป็นสมมุติสัจจะ คุณจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ สมมุติสัจจะ เช่นสมมุติว่าเป็นนายก แต่คำว่า นายกคือผู้บริหาร คุณจะขึ้นไปบริหารได้ทำ มีสมรรถนะมีความรู้ มีความสามารถที่จะบริหารทำงานได้
อย่างพลเอกประยุทธ์นี้เป็นนายกที่เป็นนายกทำงานบริหารได้คุณภาพมาก คนที่จะขึ้นมานี่ขออภัยเถอะอาตมาว่ามันไม่ใช่ไปดูถูกอะไรมาก ไม่มีใครจะขึ้นมาทำงานหน้าที่บริหารอย่างนายกได้เท่านายกประยุทธ์ ไม่ได้หรอกไม่ได้เท่า
แต่เอาล่ะ มันก็เป็นไป แล้วก็นายกประยุทธ์ก็อยู่ ถ้าจะแสดงตัวทำทีเป็น candidate อยู่ขณะนี้ก็ได้นะแต่ไม่ทำ ก็เลยไปให้พวกคุณ คุณว่ากันไปเถอะ คุณจะแย่งอะไรกัน ผมไม่เป็นอะไรหรอก แต่ถ้าประชาชนออกมาให้ผมเป็นอีก ผมก็ทำได้ นี่ตอบแทนเลยพลเอกประยุทธ์ ผมยังทำได้ ยังแข็งแรงมาก ยังปราดเปรียวดีอยู่ แต่ถ้าไม่ให้ทำผมก็ไม่มีปัญหาอะไร
ยิ่งแสดงถึงความมีคุณภาพของพลเอกประยุทธ์ (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไท… เมื่อวานนี้พลเอกประยุทธ์ไปที่กองทัพอากาศ มีการร้องเพลงให้กำลังใจ วันนี้ไปการบินไทยก็ทำให้การบินไทยได้กำไรสองพันล้าน เขาบอกว่าเป็นเพราะนายก นายกก็บอกว่าไม่ใช่เป็นเพราะทุกคนช่วยกันทำ ผู้บริหารทั้งหมดนั่นแหละและผู้ที่ร่วมกันทุกคนทำ
พ่อครูว่า… แต่ก่อนนี้การบินไทยฉิบหาย
สมณะฟ้าไท… เขาว่าได้รายได้เป็นหมื่นล้าน เขาฟื้นขึ้นมาได้ พวกการบินไทยก็ขอบคุณลุงตู่มากที่ไปช่วยแล้วเขาก็ดีใจที่มาเยี่ยม
_สู่แดนธรรม… วิสัยทัศน์ของคุณธนาธรเคยปรามาสบอกว่า ถ้าเป็นผม ผมจะอุ้มการบินไทยอุ้มทำไม แต่พลเอกประยุทธ์อุ้มมาแล้วได้ผลดี
พ่อครูว่า… มันเป็นของประเทศจะไปรังเกียจรังงอนยังงั้นได้ยังไง คุณจะไปล้มกิจการการบินไปเลยได้ยังไง มันล้มไม่ได้จะต้องบูรณะขึ้นมา ปฏิสังขรณ์ขึ้นมา แล้วถ้าทำได้สำเร็จ อาตมาว่าเป็นเรื่องฝีมือที่ไม่ใช่ธรรมดานะ พลเอกประยุทธ์กอบกู้คืนมาได้สำเร็จนี่
ที่จริงแล้วมันเป็นเหตุปัจจัยร่วมกัน มันไม่ได้หมายความว่ามันอยู่เดี่ยวๆ การบินไทยคือเดี่ยวๆไม่เกี่ยวกับใคร มันไม่ใช่ มันโยงใยกับอะไรอีกหลายอย่าง เพราะฉะนั้นเมื่อพลเอกประยุทธ์เขาทำอะไรต่ออะไรมา มันก็เชื่อมต่อกันมา แล้วก็มาทำให้กิจการการบินไทยนี้ ยกระดับขึ้น
แน่นอนตัวมันเองมันก็แย่ แต่มันรวมกันอะไรหลายๆอย่างก็แก้กันได้แล้วแก้กันสำเร็จ ถึงบอกว่าผลงานของพลเอกประยุทธ์เป็นสิ่งที่เป็นปาฏิหาริย์ไม่รู้กี่อย่าง ที่แก้ไขอะไรต่ออะไร ตรวจเรื่องเลวร้ายที่เสื่อมให้ฟื้นตัวขึ้นมา
ไม่ใช่ว่าพลเอกประยุทธ์ทำงาน แล้วก็คนอย่างพวกเราศรัทธากันอย่างงมงาย คนข้างนอกพวกนักตรวจสถิติความเจริญของประเทศนั้นประเทศนี้ งานนั้น งานนี้ กิจนั้น กิจนี้ มันสอดส่องดูแล้วมันก็บอกมา ใช่ไหม เขาก็สรุปผลมาตลอด ไม่ใช่สรุปผลธรรมดานะมันเป็นสรุปผลแบบไตรมาสเป็นครึ่งปี เป็นปี ทุกเวลาวาระเขาจับงาน ที่บอกว่าบิ๊กตู่โชว์ผลงานพลิกฟื้นการบินไทยกลับมากำไรกว่า 2 พันล้าน จากเป็นหนี้ตั้งไม่รู้เท่าไหร่แต่ละปี มากำไร 2,000 ล้าน
สมณะฟ้าไท… เขาบอกว่าเป็นหนี้ 3 แสนล้านแล้วมากำไร 2,000 ล้าน
_สู่แดนธรรม… ขนาดมีคนไปเล่นกับ AI ไปตั้งคำถามสมมุติว่าให้ AI ช่วยตอบว่า พลเอกประยุทธ์ทำผลงานเป็นยังไง AI ซึ่งไม่ใช่คนนะครับ เขาก็ยังเอาข้อมูลออกมาได้ถูกต้องเลย ตอบฉลาดด้วยครับ เอารายงานที่มีในโลกมาแชร์
พ่อครูว่า… AI มันก็เก็บมาจากข้อมูลเพราะเดี๋ยวนี้มันเก่งนะ เรื่องของเทคโนโลยีมันเก่ง มันเก็บมาตอบก็ถูกสิ
ก็เหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ คุณกดรหัสถูก มันก็มาหมด มันบันทึกไว้หมดแหละ
_สู่แดนธรรม… เขาถึงได้ไปย้อนถามพวกเด็ก 3 นิ้วว่าพวกคุณชื่นชอบ AI แต่ทำไมข้อมูล AI อย่างนี้คุณไม่ชอบ
พ่อครูว่า… มันอคติก็เป็นอย่างนั้นแหละจะไปพูดกันรู้เรื่องอย่างไร มีอคติเป็นต้นทางแล้วก็ยาก เข้าใจอะไรไม่ได้หรอก มันเป็นธรรมดาธรรมชาติคนที่อยู่ในสังคม คนไหนคนโง่ คนไหนคนฉลาดมันก็เป็นสัจจะที่เห็นกันอยู่เป็นธรรมดา
การเมืองไทยไปดี อาตมาไม่ได้พูดเล่นนะ ว่าการเมืองไทยนี้เป็นเป็นการเมืองไทยแบบโลกุตระเป็นการเมืองสายศาสนาพุทธ แล้วพุทธนี้เป็นโลกุตระ พุทธนี้ไม่ใช่เทวนิยม มันมีนัยยะลึกซึ้งที่เยอะแยะมากเลย มันเจริญทางจิตวิญญาณ
สรุปง่ายๆว่าจิตวิญญาณโลกุตระนั้นมีเมตตา กรุณา มุทิตาอุเบกขาจริง แต่ทางเทวนิยมนั้นไม่มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาจริง เพราะฉะนั้นสังคมที่รวมกันอยู่ มันไม่มีทางที่จะมาเป็น สาราณียธรรม 6 มันจะไม่เป็น มันเป็นไปไม่ได้เลย มันจะอยู่กันอย่าง สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม
โดยเฉพาะสาธารณโภคีไม่มีสิทธิ์เป็นไปได้เลย ในสังคมที่เป็นเทวนิยม มีได้ที่ในสังคมพุทธที่เป็นโลกุตระ แม้แต่ในที่อื่นๆ เถรสมาคมควรจะทำสาธารณโภคีได้แต่ทำไม่ได้ จิตวิญญาณไม่พอ จิตวิญญาณไม่ถึง การเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้มีความโลภโกรธหลงยังสูงอยู่ แต่พวกเรามาทำอย่างนี้ได้ มันสุดยอดเป็นอุตริมนุสธรรม เป็นสาธารณะโภคีได้
สาธารณโภคีเป็นงานอาชีพสูงสุด สัมมาอาชีพหรือมิจฉาชีพ 5 ผู้ที่ทำสาธารณโภคีได้ ไม่มีมิจฉาอาชีวะเลย นอกนั้นยังเป็นมิจฉาอาชีวะหมด
-
การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา) มีในงานการเมือง .
-
การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง .
-
การตลบตะแลง (เนมิตตกตา) ยังเสี่ยง-ยังไม่แน่แท้
-
การยอมมอบตนในทางผิด อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา)
-
การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา)
(พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 275 มหาจัตตารีสกสูตร)
พ่อครูว่า… ที่ถามมาเมื่อกี้ที่มีการถามว่าประกันอะไรต่างๆ อาตมาไม่ได้ลงรายละเอียด เขาก็ล่อหลอกกันทั้งนั้นแหละ
เนมิตกตา หมายความว่ามันมีความรู้ขึ้นมาบ้างว่าเราจะออกจากการโกงการล่อลวงแต่มันยังทำไม่ได้จึงเรียกว่าตลบตะแลง มันยังทำไม่ได้ มันไม่เก่งแต่มันตั้งใจแล้วตั้งตัวเองขึ้นมา จนกระทั่งมาถึงข้อที่ 4 ทำได้ ขั้น 4 ออกจากทุจริต จากความโกง ออกจากสิ่งที่เป็นความเสียหายมาได้ เป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์ เป็นผู้ทำอาชีพที่ไม่เป็นโทษ ไม่เป็นภัย อาชีพไม่มีทุจริต ไม่มีโกง ไม่มีเอาเปรียบ ดีไม่ดีเสียสละได้เสียสละด้วย
แต่ประเด็นที่สำคัญก็คือ มอบตนในทางผิด นิปเปสิกตา ก็คือไปเป็นลิ่วล้อของพวกที่ทุจริตอยู่ พวกโกงอยู่ ลปนาอยู่ พวกตลบตะแลงอยู่ ยังเป็นลิ่วล้อ ยังไม่ได้เป็นอิสระ
ทำไมตัวเองสะอาดแต่ยังไปเป็นลูกกะโล่ของพวกที่เขาเป็นนายทุนที่ยังไม่สะอาด
_สู่แดนธรรม… พายเรือให้โจรนั่ง
พ่อครูว่า… ไปพึ่งเขาทำไมไปทำอย่างนั้นทำไม ไม่ใช่หยิ่งผยองแต่ควรมีศักดิ์ศรี เราสะอาดแล้วจะไปรับใช้ผู้ที่ไม่สะอาด มันจะเป็นยังไง ข้อที่ 4 เป็นอาชีพที่ยังน่ารังเกียจ ตัวเองดีแล้วทำไมไม่มีศักดิ์ศรี ถึง 3 ข้อนั้นยังไม่สะอาดอยู่แล้ว แต่อาชีพข้อที่ 4 นี้ตัวเองบริสุทธิ์แล้ว อย่างพวกชาวอโศก ตัวเองก็ไม่ได้โกงทุจริตหลอกลวงหรือตลบตะแลงอะไร แต่ไปทำงานรับใช้พวกนายทุนอะไรต่ออะไร ทำไมไม่มารับใช้พวกเรา
_นักรบธรรมว่า.. เราทำไม่ได้เพราะไม่มีผู้นำครับ
พ่อครูว่า… ไม่ใช่ไม่มีผู้นำ อย่ามาโทษอาตมา
สมณะฟ้าไท… เข้ากับพระวินัยที่พระไปรับใช้ฆราวาสด้วยหรือไม่ครับ
พ่อครูว่า… ใช่ ภิกษุไปรับใช้ฆราวาสเยอะเลย ยิ่งข้อที่ 5 นี้ ไม่แลกลาภ มีแต่พวกชาวอโศกอย่างเดียวที่ทำงานอย่างพ้น ลาเภนลาภังนิชิคิงสนตา ทำงานอย่างไม่เอาลาภแลกลาภ ทำงานฟรี ทำงานเอาเข้ากองกลางสาธารณโภคี
แม้แต่ยุคนี้พวกเราพิสูจน์ได้ พ้น มิจฉาชีพ 5 อย่างนี้ได้ นี่สุดวิเศษแล้วชาวอโศก มีสัมมาอาชีพเจ้าเดียวในโลก พ้นมิจฉาชีพ 5 มีอยู่เจ้าเดียวในโลก ทำงานฟรี แล้วอยู่ได้ไหม …อยู่ได้ อยู่สบายดีด้วย
_สู่แดนธรรม… มีข้อมูลใหม่ครับ ที่บอกว่าได้เงินเข้า 2,000 ล้านนะ ไม่ใช่ ที่จริงมากกว่านั้น ได้เม็ดเงินเข้า 50,000 ล้านบาทข้อมูลจากไทยโพสต์เมื่อ 18 สิงหาคม
สมณะฟ้าไท… กำไร 2,000 ล้าน อันนั้นเป็นรายได้ที่เป็น 50,000 ล้าน
_สู่แดนธรรม… ตอนผมเข้าอโศกครั้งแรก ผมประทับใจญาติธรรมที่ลาออกจากเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน เขาบอกว่ามอบตัวในเส้นทางทุจริตแล้วเขาไม่ยินดี
พ่อครูว่า… เบญจวรรณ เขาบอกว่าทุกโต๊ะ มันกินอยู่ทุกโต๊ะในกรมที่ดิน เขาก็อยู่ไม่ได้ เขารังเกียจ เขาทำไม่ได้ มันเหมือนแกะดำอยู่ในแกะขาว เขาก็เลยต้องลาออกจากงาน เขาทำงานที่กรมที่ดิน
_กุศล วิชัยดิษฐ์ : อยากให้ทำคาราโอเกะเพลงแม่จ๋าด้วยค่ะ ชอบมากอยากร้องค่ะ
พ่อครูว่า… ก็ร้องสิ อุมาพรก็พาร้อง เราก็ทำ MV อยู่แล้ว คาราโอเกะ คุณก็ฟังร้องตามสิ ตัวหนังสือก็ขึ้นให้อยู่แล้วเหมือนคาราโอเกะอยู่แล้ว ก็ร้องไปกับตัวหนังสือซับไตเติ้ล คุณก็ทำห้องคาราโอเกะของคุณเองสิ
_สุทัศณีย์ วงษ์กิ่ง · กราบขอโอกาสคะ พ่อครูสอนให้หายจากกิเลสทีละอย่างที่เข้าใจ อันเป็นกิเลสควรละตามฐาน แต่อรหันต์ของสายที่ลูกเคยไปศึกษามา กระดูกเป็นแก้วใสๆๆๆๆๆๆแล้วไปรอแย่งเก็บมาบูชา แต่ลูกไม่เคยได้ไปแย่งกับเค้า
อรหันต์แบบฯที่พ่อครูสมณะโพธิรักษ์สอนมันเข้าใจขึ้นมา ชักลึกให้ตื้นขึ้น ได้ทีละเรื่อง ไม่มืดดำเหมือนสมัยที่ไปวัดพระอรหันต์กระดูกเป็นพระธาตุเป็นแก้ว ที่พ่อครูเคยอธิบายสาเหตุของการเกิดกระดูกใสเป็นแก้ว พอเข้าใจตัวลูกเองได้ว่า ตอนที่ไปวัดป่าต่างๆเค้าสอนก็ได้แต่ค้านแย้งในใจ(ต้องนั่งกดข่ม ฆ่ากิเลส ผูกมันไว้บ้าง เอาดาบฟันมันบ้าง ถ้าไปนั่งปากเหว ทำไม่ผ่านก็ให้ตกเหวตายเลยบ้างฯ)ไปไม่ถูกทางถูกสายมาค่ะ
พ่อครูว่า… ผู้ที่เข้าใจแล้วจะเห็นว่าเคยไปหลงผิดมา ผู้ที่เข้าใจแล้วจะละอายอย่างแรงกล้าเหมือนผู้ที่ได้สำนึก เช่นผู้หญิงที่เคยไปแต่งกายโป๊เปลือย พอมาได้สำนึกตัวเองจะเห็นว่าเราทำเข้าไปได้ยังไง พวกเราหลายคนไม่ถึงขนาดไปโป๊ไปเปลือย แต่ไปหลงตกแต่งไปหลงลาภยศ อย่างที่แสดง SMS มา แต่ก่อนเราไปหลงได้ยังไงอย่างนั้น มันก็จะละอาย
คนที่ยิ่งละอายแรงกล้าตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส คนนั้นยิ่งมีสำนึกสูงยิ่งจะระวางหรือทิ้งง่ายใช่ไหม ความละอายอย่างแรงกล้า
คนไหนไม่ละอายอยู่ แน่นอนเขาก็ไม่ทิ้งมาหรอก อย่างอาจารย์สุจินต์นี้ก็ยังทาปากเฉย 90 กว่าแล้ว เป็นธรรมดาธรรมชาติไม่ทิ้ง อาตมาว่ามันยากนะการทาปาก หรืออาจจะแต่งเก่งแล้ว ต้องทาปาก เขียนคิ้วอะไรต่ออะไร
ความลำเอียงคืออะไรมีไหมใครบ้างที่ลำเอียง
_Thanyaphat Darunphan ธัญพัฒน์ ดรุณพันธ์ · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่ง อยากทราบว่า ถ้ายังหลงเหลือความลำเอียงอยู่ เป็นพระอาริยะระดับใดคะ
พ่อครูว่า… มันลำเอียงอะไร ลำเอียงอย่างไหน ลำเอียงเรื่อง ลาภ ลำเอียงเรื่องยศ คำว่าลำเอียงมันลึกซึ้งนะ โดยเฉพาะคนที่ไม่ฉลาดพอแล้วลำเอียง ลำเอียงหลอกตัวเอง (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไท… เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เพราะการลำเอียงเข้าข้างตัวเองเป็นเรื่องที่เราจะทำได้ง่ายที่สุด ในคนเราส่วนใหญ่จะเข้าข้างตัวเองเป็นหลักแล้วหลงกิเลส
พ่อครูว่า… ลำเอียงทางนามธรรม ลำเอียงโดยที่ไม่เข้าใจ โอ้โห ลองยกตัวอย่างสักอัน ลำเอียงประเภทอย่างมหาบัว ขออภัยที่เป็นตัวอย่าง ขอบคุณมหาบัวที่มาเป็นตัวอย่างให้อาตมาเอามาทำประโยชน์ในการเป็นตัวอย่างหลายอย่าง
ลำเอียงเข้าข้างตัวเองว่าตัวเองยิ่งใหญ่ เพราะตัวเองได้เรี่ยไรหาเงินเข้าคงคลัง เอาทองคำเข้าคงคลังอย่างนี้เป็นต้น ลำเอียงเข้าข้างตัวเองว่าตัวเองยิ่งใหญ่ ตัวเองมีประสิทธิภาพมาก สามารถช่วยประเทศชาติได้ แล้วก็กรึ่มจนกระทั่งหลงใหลว่า เราทำอย่างนี้ได้คือบารมีของพระอรหันต์ บารมีที่จะส่งเสริมให้เป็นพระอรหันต์
ซึ่งที่จริงแล้วเป็นเรื่องน่าอาย ไปเรี่ยไรก็ไม่ใช่กิจสงฆ์ เอาประเทศไปเป็นเครื่องล่อเหมือนพิธาบอกว่าจะให้เงินเดือนเท่านั้นเท่านี้ล่อ ก็ตื้นๆธรรมดา บอกว่าจะเพื่อกู้ประเทศนะก็เหมือนกันอ้างอิงว่าจะเอามาทำประโยชน์ ให้ประโยชน์แก่ผู้อื่นได้ อย่างพิธานี่มันผิวเผินเกิน หลอกให้แก่ตัวบุคคลเลย เอาละคุณจะได้เงินรายได้เท่านั้นเท่านี้ หลายอย่างเขาก็พูดไป อันนั้นมันผิวเผินตื้นๆ
ก็เหมือนกันลำเอียงเข้าข้างตัวเองว่าตัวเองยิ่งใหญ่ ว่าตัวเองมีประสิทธิภาพทั้งๆที่ตัวเองอาศัยทั้งนั้น อาศัยประเทศชาติมาเป็นตัวประกัน อาศัยทางสถาบัน แล้วก็อาศัยคราบนักบวช แล้วก็ไปทำผิดไม่ใช่กิจสงฆ์ไปเรี่ยไรอีก ซึ่งไม่ใช่ฐานะที่ไม่ใช่เรื่องที่จะทำเลย ไม่รู้สักอย่าง ได้หลายอย่างที่ว่า
เป็นตัวอย่างให้ผู้อื่นที่ไม่เข้าใจไปหลงผิด อาตมาก็เป็นภาระจะต้องมากอบกู้อธิบายความจริง ไม่ได้ชังมหาบัว จริงๆอาตมาว่าลึกๆมหาบัวก็หลงตน เข้าใจผิด แม้แต่ที่สุดที่บอกว่าตัวเองจะตายแล้วไม่เกิด อาตมาก็เชื่อว่า มหาบัวรู้อยู่พอสมควร แต่จะต้องบอกให้คนอื่นเชื่อว่าเป็นอย่างนี้ อาตมาไม่ได้บอกว่าหลอกนะ บอกให้คนอื่นเชื่อว่าตายแล้วไม่เกิดในชาตินี้ ไม่กล้าใช้คำว่าบรรลุอรหันต์แล้ว
จริงๆแล้วความจริงผู้เป็นอรหันต์แล้วตายแล้วจะเกิดอีกก็ได้ เป็นอรหันต์ตายแล้วไม่เกิดอีกก็ได้ แต่มหาบัวไม่มีปัญญารู้หรอกว่าอรหันต์จริงๆนั้นตายแล้วเป็นอมตะบุคคลผู้ผ่านวิมุติแล้วตามมูลสูตร 10 บรรลุวิมุติผ่านวิมุตมาก็เป็นอมตะ อมตะบุคคลคือตายก็ได้ เกิดก็ได้ เกิดมาต่อภพภูมิเป็นอรหันต์ อันที่ 1 ก็เป็นอรหันต์อันที่ 2 เป็นอนุโพธิสัตว์ จะต่ออีกก็เป็น อนิยตโพธิสัตว์ต่ออีก อาตมาหยิบมาให้ฟังหมดแล้ว แต่มหาบัวยังมิจฉาทิฏฐิอยู่ ไม่เข้าใจอะไรหรอก
ที่บอกว่าอรหันต์ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายจะเกิดก็ได้ไม่เกิดก็ได้เป็นผู้ที่ครบภาวะ 2 เป็นผู้ที่ครบสมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้นเขาเข้าใจไม่ถูก อย่างศาสนาพุทธเมืองไทยเป็นศาสนาพุทธที่มันเอียงโต่ง โต่งไปข้างหนึ่งเดียวไม่มี 2
เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่ากายก็ไปเข้าใจว่าเป็นแต่เรื่องรูปธรรมอย่างเดียวอย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นจึงมิจฉาทิฏฐิไปทั้งหมดเลยเพราะเข้าใจกายยังไม่สมบูรณ์แบบ ทั้งๆที่ในพจนานุกรมบาลีนั้น ก็ยังแปลว่าเป็นองค์ประชุม แปลว่ากอง แปลว่าฝูง แปลว่าหมู่ ในพจนานุกรมก็ยังบันทึกไว้ มันไม่ใช่ของเดียว มันเป็นองค์ประชุมกรอบ เป็นองค์ประกอบ องค์ประชุมเจตสิก 3 อย่างนี้เป็นต้น
กายต้องมีนอกมีในมี 2 อย่าง เข้าใจกายไม่สัมมาทิฏฐิไปไม่รอดแล้วก็เข้าใจกายไม่ได้กันแม้แต่สังโยชน์ข้อที่ 1 ก็ยังไม่พ้นมิจฉาทิฐิอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งอาตมาก็พูดความจริงนะ วิจัยและตำหนิสิ่งที่ผิด แล้วก็บอกความถูกต้องให้ฟัง
_@hangngore ผมฟังจากพระอาจารย์ท่านหนึ่ง(อยู่ที่ราชบุรี)ซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงตา ท่านบอกว่า สมัยที่ท่านโพธิรักษ์อยู่ที่วัดอโศการาม(ยังไม่ได้บวช) หลวงตาเป็นคนบอกเจ้าอาวาสวัดอโศการามขณะนั้น (ไม่รู้ว่าเป็นใคร) ท่านบอกว่า อย่าไปบวชให้มัน ไอ้นี่มันเพี้ยน. นี่พ่อครูว่า…เป็นที่มาทั้งหมดของการจองเวรจองแค้น ที่ท่านกำลังทำอยู่นี้ พระอาจารย์ท่านนั้น(ราชบุรี)บอกว่า จริงๆจะด่าหลวงตา ก็ไม่มีใครว่าอะไร แต่ควรด่าตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านจะได้อธิบายเรื่องต่างๆได้บ้าง ท่านละสังขารเมื่อปี 54 ก่อนหน้านั้นก็ไม่เห็นแสดงกิริยาอย่างนี้กับท่าน ด่าท่านตอนนี้ ท่านก็ไม่สามารถอธิบายอะไรได้แล้ว เป็นการด่าข้างเดียว ปกติตอนท่านยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็ถูกด่าอยู่แล้ว ท่านก็อธิบายแก้ไปบางเรื่อง บางเรื่องท่านก็ไม่ได้แก้อะไร เพราะท่านไม่ได้แค้นเคืองอะไร หลวงตาท่านบอกแต่ว่า เขามีปาก เขาก็ต้องพูด เรื่องของเขา เราไม่สนใจ.
พ่อครูว่า… จริงอาตมาก็ไม่ได้อยากจะพูดตอนเขาเป็นๆเพราะมันจะเถียงกัน อาตมาไม่อยากให้เกิดสงครามรบทางภาษา
บอกไปนะอาตมาไม่ได้เกรงกลัวลูกศิษย์ของมหาบัว แม้แต่ตอนมหาบัวเป็นๆลูกศิษย์ก็มีเยอะ ตายแล้วลูกศิษย์ก็ยังมีอยู่นั่นแหละ อาตมาไม่ได้กลัวลูกศิษย์ ไม่ได้กลัวมหาบัวว่าเป็นๆหรือตายแล้ว แต่เพราะว่าไม่อยากจะเกิดการถกเถียง เกิดการพูดกันเยอะ เพราะฉะนั้นตอนที่หมดแล้วนี่ มหาบัวตายแล้ว ก่อนมหาบัวตายอาตมาก็พูดแต่เกรงใจกว่านี้ เหมือนกับอาตมาขออภัย อาตมาเกรงใจมหาประยุทธ์ ถ้ามหาประยุทธ์ตายแล้วอาตมาจะพูดหนักกว่านี้ฉัน เดียวกัน เอาละจบ
แต่ว่ามหาประยุทธ์นี้ยังดี ยังทำการรวบรวมคัมภีร์ต่างๆ แต่มหาบัวไม่ได้รวบรวมคำภีร์อะไรเลยมีแต่ภาษาเละไป ไปตามประสาของมหาตัวเองแล้วคนก็เก็บภาษานั้นมาฟังกันเป็นภาษาในโลกของมหาบัว ก็เลยเป็นอีกลัทธิหนึ่ง ถ้าฟังธรรมของมหาบัวก็จะเข้าใจสรุปผลได้ตามที่มหาบัวพูดแล้วมันก็เป็นอีกลัทธิหนึ่ง ที่มีความหลากหลายอยู่ในทิฏฐิ 62 ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
_สู่แดนธรรม… ผมอ่านที่เขาถามมาผมตีความว่า นี่อาจเป็นที่มาทั้งหมดของการจองเวรจองแค้นที่ท่านทำอยู่นี้ เขามองว่าที่พ่อท่านวิจารณ์หลวงตามหาบัวเป็นการจองเวรจองแค้นอยู่ใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… ก็ตีความเอาตามอาการ ในกาลามสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ดูอาการอาตมาว่าเป็นการจองเวรจองแค้นแต่ที่จริงอาตมาพูดสัจธรรม ชี้ถูก ชี้ผิด ตำหนิผิดแล้วก็ยกสิ่งที่ถูก จะไปยกสิ่งที่ถูกก็ยกแต่พวกเราชาวอโศกก็ไม่ค่อยได้ยกมาก ก็เลยตำหนิเสียมากแล้วเรื่องที่ตำหนินี่แหละพระพุทธเจ้าก็สรรเสริญยกว่า ต้องตำหนิ เรื่องตำหนิ ยิ่งตำหนิ ยิ่งเป็นประโยชน์ สรรเสริญไม่มีค่าไม่มีคุณอะไรเลยเป็นเรื่องต่ำทรามด้วยคำสรรเสริญ
เพราะฉะนั้นเรื่องตำหนิเป็นเรื่องถูกต้อง เจริญดีได้ด้วยการตำหนิสิ่งที่ผิดกันให้แก้ไข อาตมาว่าอาตมาไม่ได้เป็นคนหยาบคายไม่ได้เป็นคนพูดสาดเสียเทเสีย อาตมาพูดอิงหลักอิงธรรมพูดสัจจะ อาจจะพูดแรงๆพูดดังเพราะอาตมาเป็นคนพูดดัง พูดแรง เป็นคนพูดเน้นมันก็เลยดูแข็งดูแรงโดยสัจจะ เพราะอาตมาจะไม่พูดเหยาะแหยะ คนพูดเหยาะแหยะมันชอบกล อาตมาไม่ค่อยถนัด ถนัดพูดเน้นๆชัดๆ
อุทิสมังสะกับปวัตตมังสะ เป็นเช่นไร
_สัญจิจจะ แปลว่าจิตมีความมุ่งหมาย มีปณิธานไปสู่อะไร
พ่อครูว่า… ไปสู่อะไรก็ได้ จิตคุณมุ่งหมายไปสู่อะไร
อุทิสะก็ดี สัญจิจจะก็ดี แปลว่า จิตมุ่งหมาย จิตเจาะจง จิตจงใจเจตนาไม่มีที่หมาย เจตนาไปที่ไปสู่ มีที่จะไปสู่ตรงนั้น
ยกตัวอย่างเช่น ชีวกสูตร 5 ข้อ มันละเอียดสุดยอดเลย
ชีวกสูตร 1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น) อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภนฺติ หรือ สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตุง (สญฺจิจฺจ ปาณํ ชีวิตา โวโรเปตา) จิตมุ่งหมายเจาะจง ท่านไปเบี้ยวบาลีว่าไปเจาะจงบุคคล บุคคลคือใครใน 5 ข้อก็คือภิกษุหรือพระตถาคต ข้อที่ 5 เพราะฉะนั้นในเรื่องทั้งเรื่องคือเรื่องของการฆ่าสัตว์ ข้อที่ 5 มันเลยการฆ่าสัตว์ไปแล้วในข้อที่ 4 สัตว์ตายแล้วเอามาทำอาหาร แล้วถวายภิกษุถวายตถาคตถวายพระพุทธเจ้า ซึ่งมันไม่ใช่การฆ่าสัตว์แล้วมันเลยการฆ่าสัตว์แล้ว มันเป็นข้อสุดท้ายที่บาปที่สุด บาปมากกว่าบาปข้อที่ 5
ไล่มาตั้งแต่ข้อที่ 1 ของชีวกสูตร
-
ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น) อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภนฺติ หรือ ในอง สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตุง (สญฺจิจฺจ ปาณํ ชีวิตา โวโรเปตา)
-
สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
-
สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อกปฺปิเยน อสฺสาเทติ อิมินา ปญฺจเมน ฐาเนน พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ)ชีวกสูตร ล.13 ข.60