660804 ปฏิบัติธรรมไม่เริ่มต้นที่ศีลก็เหมือนผีหัวขาด รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #34 ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1NWcBws9M0vjQdj4U1XeEGAx6t5RON_Q8/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1K4JcfTqNkuphFI9PEqFYK5JuYXPnvtvV/view?usp=sharing
และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660804-e27o34p
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/Nk1FSRF87d4
และ https://www.facebook.com/100078722032092/videos/303765025509593/
_สู่แดนธรรม… รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม วันนี้วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม 2566 แรม 3 ค่ำเดือน 8 คนที่ 2 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้อยู่ในช่วงเข้าพรรษา หมู่บ้านของเราควรมีพฤติกรรมรักษาพระพุทธศาสนา มีการประพฤติปฏิบัติมีวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัดแก่ตน แม้แต่ว่าเป็นชาวบ้านก็ไม่ได้ปล่อยตัวให้มัวเมาหลงเพลินกับกิเลส ถือว่าเป็นชาวบ้านที่รักษาพระพุทธศาสนาจริงๆ
อดีตผมเคยประทับใจที่พ่อท่านอธิบายเรื่องทาง 2 ทาง ในธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร เรื่องความมัวเมาในกาม พวกเราไม่ค่อยสงสัย แต่อีกเรื่องคือเรื่องอัตกิลมถะ ซึ่งท่านแปลว่า ประกอบความเหน็ดเหนื่อยให้แก่ตนเป็นความลำบาก เป็นการทรมานตน แต่สำนวนพ่อท่านที่แปลไว้ว่า แม้คุณจะบริสุทธิ์ไปจากกาม คุณก็ยังเหลืออัตตาเอาไว้ให้เป็นทุกข์ ไม่สิ้นอาสวะ เพราะเวลามีการกระทบเราก็อาจจะมีการถือดี ถือตัวว่าทำไมเราทำดีแล้วต้องมาว่าเรา
พอดีว่า ผมเองในพรรษานี้จะพยายามมีสติละพิธา คำว่าพิธา ในภาษาบาลี มีคำว่า วิธา บอกสภาวจิตว่าจองหอง มีมานะถือตัวตน ผมเองก็จะได้นำมาใส่ใจครับ
พ่อครูว่า… เรื่อง อัตตกิลมถานุโยค ก็ดี เรื่อง กามสุขัลลิกะ ก็ดี เราก็ค่อยๆอธิบายกันไป
เรามาเข้าสู่ sms
SMS วันที่ 31 ก.ค. – 2 ส.ค. 2566
_สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ลูกเคารพศรัทธาความเห็นของท่านสมณะเดินดินที่เมื่อมีเด็กน้อยมากล่าวคำว่าสลิ่มๆๆ ใส่นักบวช แทนที่จะตำหนิเด็กน้อย ท่านกลับเห็นว่าเรายังบกพร่อง ยังทำดีไม่มากพอที่จะให้เด็กน้อยเข้าใจ เรายังต้องพัฒนาให้มากยิ่งขึ้น กราบสาธุค่ะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า… คือมีเหตุการณ์พวกเรา สมณะนั่งในรถไฟฟ้าไป สวนกันกับเด็กเด็กเขาขี่จักรยานซ้อนกันมา 2 คน เขาจะไปได้รู้ได้รับจากคำบอกเล่าผู้ใหญ่ยังไงมาก็ไม่ทราบ เขาก็คงมีความรู้ว่าเราเป็นอย่างนั้น เขาก็เรียกพวกเราว่า สลิ่มๆ ยกมือ 3 นิ้ว สลิ่มๆใช่ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไรไปตามประสาเด็ก เขาก็สนุกกันไป เขาคิดว่ามันไม่จริงไม่จังอะไรหรอกก็เป็นเรื่องผิวเผินของเด็กๆ คงไม่ได้ลึกซึ้งอะไร
แต่ที่คุณสว่างแสงแสดงออกนี่ก็คือ ตรงที่พวกเรารับสัมผัสแล้วพวกเราก็ไม่ได้ติดใจอะไร ก็เอาที่เด็กเขาว่านั้นถือว่าเป็นกรรมที่ยังไม่ยอมรับ ยังไม่ยกย่อง ยังไม่ชมเชยอะไร กลายเป็นเชิงตำหนิ ก็เลยรับเป็นการปรับปรุงกันไป เราบกพร่อง เราก็พัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นก็เป็นประโยชน์ในเชิงคิด ไม่ได้เสียหายอะไร
_เมฆงาม โชควิบูลย์กิจ · กราบนมัสการพ่อครูสมณะสิกขมาตุทุกท่านพร้อมพี่น้องเพื่อนที่กำลังศึกษาอยู่ในขณะนี้เรียนรู้บทบาทหน้าที่การงาน อาชีพการงานหรือการศึกษาการเรียนรู้กับความหมายที่ถูกต้องได้ดีมากเลยค่ะ กราบขอบพระคุณท่านแสนดินดูแลพ่อครูเล่าเรื่องได้ดีมากเลยค่ะ ท่านดินไทเล่าประสบการณ์ดีมากค่ะ ฟังความคิดเห็นต่างกันอย่างไรเข้ามาแชร์เรื่องราวเข้าใจมากขึ้น ท่านติกขะเล่าประสบการณ์ของบ้านเมืองชัดเจนขึ้นว่ากระแสสังคมเสียดสีผิดศีลธรรม
พ่อครูว่า… รายงานผลมาก็ขอบคุณ
_กานต์รวี โตสัจจะวริศถิร · เคยไปที่ราชธานีอุบล พักที่บ้านสะใภ้ใหม่ รู้สึกมีความสุขมาก แต่นั้นมาก็ยังไม่ได้ไปอีกเลย สุขสงบเป็นระเบียบ ผักสดๆ อยากไปอีก แต่ยังไม่มีโอกาส ไปแต่ปฐมอโศก ดูพ่อท่านสดใสแข็งแรงอย่างกับไม่ป่วย พ่อท่านโพธิรักษ์หายไวๆ แข็งแรงสมบูรณ์นะคะ
พ่อครูว่า… ยินดีต้อนรับ มาเลยทีเดียว Welcome เมื่อไหร่ก็ได้ จะเหมาะไปที่ปฐมอโศกก็ได้ใกล้ดี แต่เอ๊ อาตมาก็ว่าอาตมาไม่ได้ป่วยอะไร อาตมาเป็นแต่เพียงมีบาดแผลที่หมอเขาผ่าตัดเจาะออกไป ก็เป็นแผลสดเท่านั้นเอง มันก็เจ็บๆ แต่ไม่ได้ป่วยอะไร
คนจิตอรหันต์แม้ถูกผ่าร่างกายจิตก็ไม่หวั่นไหว
_นาง จับใจ ธนะโภค · กราบนมัสการพ่อครูฯ ขอน้อมกราบเรียนถาม ค่ะ
-
วันที่ 31กค.66 ดิฉันดูคลิปที่นพ.มนต์ชัย และพญ.กานดา ท่านกล่าวโดยสรุปย่อๆ ถึงการผ่าตัดและอาการบาดแผล(ผิวหนังพ่อครูฯ) ท่านพูดว่าช่วงผ่าตัดฯ บางอย่างยังอธิบายไม่ได้ แต่สัมผัสได้ฯ (ชีพจรของพ่อครูฯ)
ดิฉันกล่าวย้อนเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว พ่อทางสายเลือดของดิฉัน ที่มีความโดดเด่น เช่น
– เคยเป็นนักเลง – เคยเป็นทหารเกณฑ์เสนารักษ์(ทหารหมอ) – เรียนจบนักธรรมโท
– บ่อยครั้งพ่อจะใช้ให้ดิฉันไปตามพระโพธิรักษ์มา”เหาะ”ให้พ่อดูหน่อย ถ้าพระโพธิรักษ์เป็นอรหันต์จริงต้องเหาะได้ ดิฉันเถียงพ่อว่า จิตวิญญานของพระโพธิรักษ์ต่างหากที่เหาะได้ แต่พ่อก็ยังยืนยันตัวของพระโพธิรักษ์ต้องเหาะได้
ถึงวันนี้ดิฉันเสียดายที่พ่อไม่อยู่(ตาย) มิฉะนั้น คงจะได้มารับฟังคำยืนยันจากนพ. และพญ. และการอธิบายของพ่อครูฯ ถึงระบบการทำงานของจิตช่วงผ่าตัด
-
ขอถามค่ะ ดิฉันเข้าใจถูกต้องถึงการอธิบายของหมอ พ่อครูฯ ว่า”จิตอรหันต์” เป็นดังที่พ่อครูฯ อธิบายในคลิป ใช่ไหมคะ
-
บั้นปลายชีวิตของพ่อดิฉัน ด้วยบุญ-บารมี ทำให้พ่อได้มีโอกาสมาศึกษาปฎิบัติธรรมกับหมู่กลุ่มชาวอโศก โดยเริ่มต้นอยู่ที่สันติอโศก แล้วส่งต่อมาอยู่ที่ชุมชนราชธานีอโศก อาดินดอนเป็นผู้รับช่วง หลังจากนั้นพ่อเริ่มเข้มแข็ง(จิตวิญญาน) และได้ชื่อใหม่ ว่า “เจริญบุญ” จากพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ไม่นานพ่อดิฉันก็ขอไปอยู่ที่ “เฮือนสุดชีวิต”(ฌาปณกิจ) ปี2551 ค่ะ ที่รายงานมาให้ทราบเพราะดิฉันภูมิใจกับหมู่กลุ่มชาวอโศกค่ะ
พ่อครูว่า… ก็ทวนไปดูว่าคำอธิบายที่พูดกันกับหมออธิบาย ตอนที่ทำการผ่าตัดอาตมา เขาฉีดยาชา แต่ก็เห็นทุกอย่างทำอะไร เขาก็ผ่าอยู่ เขาก็มีเครื่องวัดชีพจร เขาก็สงสัยกันว่า อาตมาทำไมเครื่องมันไม่ได้บอกเคลื่อนที่อะไรเลย ชีพจรจะอยู่ที่ 50-60 ครั้งต่อนาที คืออาการคนที่มีตื่นเต้นตกใจกลัว ชีพจรก็จะเปลี่ยน ของอาตมาก็ไม่มีเปลี่ยน เขาก็เลยรู้สึกว่าเข้าใจ สิ่งที่จิตวิญญาณที่ได้ฝึกดีแล้ว เพราะเขาทำผ่าตัดมาเยอะ เขาเป็นหมอผ่าตัด คนผ่าตัดทุกคนก็จะกลัวและกลัวมากเลย บางทีต้องวางยาสลบ ฉีดยาชาไม่พอ
อันนี้ประสบการณ์ของเขา คืออาตมารู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญของอาตมา แต่เขาจะรู้สึกเป็นเรื่องแปลกพิสดารก็แล้วแต่
ขออธิบายขยายความเรื่องนี้ว่า จิตที่ได้ฝึกดีแล้ว โดยเฉพาะอาตมาก็บอกความจริงว่าอาตมาเป็นอรหันต์ เป็นโพธิสัตว์ถึงระดับ 7 อย่างนี้ จิตก็เป็นจริง ไม่มีผลัก มีดูด
จิตมันไม่ได้หวั่นกลัว ไม่ได้วูบวาบมีผลักมีดูดอะไร มันก็ปกติ เขาจะผ่าตัดก็ผ่าตัด เจ็บอาตมาก็เจ็บ อาตมายังมีเวทนารู้สึกรับความรู้สึกได้เหมือนกับสามัญมนุษย์ มันกระแทกถูกก็ต้องเจ็บต้องปวดอะไรเป็นธรรมดา เขาฉีดยาชาแล้วอาตมาก็ไม่เจ็บก็เฉย แต่คนธรรมดา เขาจะไม่นิ่ง เพราะมันกลัว
ปัจฉาแสนดินว่า …คนทั่วไปอะดรีนาลีนจะหลั่งทำให้หัวใจเต้นเร็วครับ
พ่อครูว่า …ใช่
_จรรยา ประเสริฐ · ตบะดิฉันเข้าพรรษานี้ เอาตัวสักกายะใหญ่ของดิฉันเลยค่ะ เรื่องการวางใจกับเรื่องการเมือง ไม่โกรธ เกลียด เคียดแค้น พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย การกระทำของด้อมส้ม จะทำตรงนี้ให้ได้ เป็นเวลา 10 วันก่อน แล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ๆ อีก เพราะอยู่ระหว่างดูใจตัวเอง ว่า เป็นอย่างไร เมื่อรับรู้ข่าว 2 พรรคนี้ เพื่อเป็นกุศลให้กับตัวเอง กราบสาธุค่ะ
พ่อครูว่า… ดีมาก ก็เอาผัสสะต่างๆแล้วก็ดูว่าอาการจิตของเราเป็นอย่างไร เรารับรู้สิ่งนั้นสิ่งนี้โดยเฉพาะเจาะจงไปที่การเมือง ก็มีความรู้สึก เจอพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกลจิต เรามีความไม่ชอบ มีการเกลียดเคียดแค้นอะไรบ้าง ไปยึด ไปติด ไปปรุง ไปแต่ง ไปจริงไปจังกับเขาขนาดนั้นเนาะ
แสดงว่าแหม..รับผิดชอบเรื่องบ้านเรื่องเมือง เรื่องการเมืองเอาจริงเอาจังก็ดีแล้วที่ปล่อยวางได้นี่คือผลของการปฏิบัติธรรมะ ก็รับรู้ความจริงตามความเป็นจริงไป เราเองถ้าเราไปเป็นนักการเมืองเป็นตัวบทบาทเป็นตัวทำงาน
อย่างพิธาอยู่กับพรรคก้าวไกลหรือไปอยู่กับพรรคเพื่อไทย ที่เขาดำเนินอะไรต่ออะไรกระทบกระเทือนเกี่ยวพัน เป็นผลต่อสังคมไทย คุณก็ค่อยรับผิดชอบ แต่นี้คุณก็รับรู้ความจริงแล้ว คุณก็ถือโอกาสที่เราจะสนับสนุนออกเสียงต้องไปทำอะไรตามหน้าที่ พลเมืองดี ก็ทำไปเรื่องการเมืองก็ดีแล้ว จิตใจคุณปรับได้รู้ความจริง
การได้เป็นกษัตริย์นั้นมีความลึกซึ้งของกรรมวิบาก
_ตุ๊ก อัศวิน · พระมหากษัตริย์ในพระราชวงศ์จักรี..ท่านล้วนแต่มาเป็นกษัตริย์ ด้วยพระบารมีที่แต่ละองค์ท่านได้สั่งสมมา!! ร.9 ท่านคือ พลังแผ่นดิน ผู้โอบอุ้มนำมาซึ่งความผาสุขของทวยราษฎร์ ด้วยพระวิริยะบารมีโดยแท้เทียว ร.10 ท่านคือ วัชระเกล้าเจ้าอยู่หัว ‘วัชระ’ ดุจสายฟ้า.ดุจเพชรอันแข็ง_แกร่ง_กล้า..ยิ่งกว่านั้น ‘วัชระ’ เป็นอาวุธประจำกายของพระอินทร์ ผู้เป็นเทพแห่งสายฟ้า ดังนี้…แล..เจ้าค่ะ ขอทุกพระองค์_ทรงพระเจริญ..เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… คุณตุ๊กอัศวินบอกว่าผู้ที่มาเป็นกษัตริย์ไม่เฉพาะราชวงศ์จักรี จะเป็นราชวงศ์ไหนก็แล้วแต่ อยู่ดีๆเกิดมาเป็นคนแล้วจะไปเป็นกษัตริย์ได้ง่ายๆเหมือนกับสมัครไปเป็นประธานาธิบดี เอาใครก็ได้ แบกถุงเงินมา หรือไปสร้างอำนาจมาก่อน แล้วก็ให้เขาเลือกไปเป็นประธานาธิบดี มันไม่ใช่
กษัตริย์มีการสืบสันตติวงศ์ ซึ่งผู้ที่จะไปเกิดเป็นพระราชวงศ์ จะต้องมีบารมี เป็นเรื่องของกรรมวิบาก อยู่ดีๆอยากจะไปเกิดเป็นลูกกษัตริย์ จะเป็นได้ยังไง จะเป็นเรื่องเล่นๆไม่ใช่เรื่องขายหม้อข้าวหม้อแกงเล่นนะ นี่เป็นเรื่องกรรมวิบาก
_สู่แดนธรรม… แม้แต่บางพระองค์ได้เกิดเป็นลูกของกษัตริย์แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะได้เป็นกษัตริย์ทุกองค์ไปนะครับ ต้องมีเฉพาะองค์ที่มีบารมีเท่านั้น
พ่อครูว่า… เรื่องจริงที่ว่าเป็นเรื่องของกรรมวิบาก เรื่องของฐานานุฐานะต่างๆของมนุษยชาติ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นคน เกิดเป็นคน เกิดเป็นคนมิลักขะ เกิดเป็นคนเถื่อนๆประเภท บ้าๆบอๆ เป็นคนที่รุนแรง ไม่เข้าใจสัจธรรม ซึ่งคนเขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคน ทำให้ตัวเองเป็นคน มิลักขะ เป็นคนโหดร้ายรุนแรง เป็นคนโลภจัด หรือว่าโกรธจัด แค้นจัด ทั้งโลภโกรธหลง มันจัดจ้าน เขาไม่รู้
เพราะฉะนั้น คนที่มีโลภโกรธหลงจัดจ้านคือคนเถื่อน แต่โลกไม่รู้ไปยกย่องว่าเป็นคนเจริญ เป็นคนดุร้าย เป็นคนใช้อำนาจบาดใหญ่ สร้างอาวุธยุทธภัณฑ์ฆ่าคนได้เก่ง ฝึกฝนวิธีการฆ่าคนได้ ข่ม มนุษย์ชาวโลกชาวคณะสังคมอื่นเขาได้ แล้วคนไม่รู้ก็ต่างยอมต่างยกย่อง ตั้งติดต่อสัมพันธ์อะไรพวกนี้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นรายละเอียดของความเป็นมนุษยชาติที่ลึกซึ้งซับซ้อน ศึกษากันดีๆแล้วจะได้เข้าใจ
อย่างคนไทย อย่างพระเจ้าอยู่หัวหรือว่าอย่างประชากรก็ตามประชาชนก็ตามของไทย เป็นคนที่มีศาสนาพุทธเป็นพื้น คนไทยเป็นคนที่นับถือศาสนาพุทธ 95% รู้จักกรรม รู้จักวิบาก
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ ศาสนาทางตะวันตก ทางศาสนาพระเจ้า เขาไม่รู้เรื่องกรรมวิบาก ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มากเลย เขาไม่รู้กรรมที่ทำลงไปแล้วมันเป็นวิบากที่ทำให้เขาเกิด หมุนเวียน เกิดแล้วเกิดอีก ตกต่ำขึ้นสูง ฉลาดขี้โกงซับซ้อน เขาไม่รู้จัก เขาไม่ได้เรียน เพราะศาสดาทางเทวนิยมไม่รู้จักการเวียนตายเวียนเกิดที่เป็นกรรมวิบากที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสแล้ว ว่ากรรมวิบากเป็นอจินไตย เป็นเรื่องที่รู้ไม่ได้ง่ายๆ เดาไม่ได้ คิดเองไม่ได้ ต้องมีแนวทางที่เป็นโลกุตระจึงจะรู้เรื่องนี้อย่างดี อย่างสัมมาทิฏฐิ
เพราะฉะนั้นการที่จะเกิดเป็นคนเจริญ เป็นคนสูง ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน แม้ว่าพระเจ้าแผ่นดินแต่ละองค์ บางองค์ จะเป็นคนโหดร้ายเป็นคนรุนแรง หรือเป็นคนจริยวัตรไม่ค่อยเหมาะสมอะไรก็ตาม ก็เป็นได้ เป็นธรรมดาจากกรรมวิบาก ซึ่งซับซ้อนมาก สามารถขึ้นไปเกิดไปเป็นราชวงศ์โดยเป็นพระเจ้าแผ่นดิน แต่เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่จริยวัตรไม่ดี ประพฤติไม่ดี ทำอะไรต่ออะไรไม่ดี ซึ่งเป็นค่านิยมของสากลทั่วไปเขารู้ได้ ก็เป็นได้
แต่ส่วนมากจะดี ที่มีส่วนไม่ดี มันเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดาของกรรมวิบาก เป็นอยู่ ซับซ้อนอยู่ แต่ส่วนมากจะมีบารมีถึงได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน จะดี ถ้าไม่ดีก็อยู่ได้ไม่นานหรอก เดี๋ยวก็เสื่อมสูญ มีอันจะเป็นไป เป็นธรรมดา
_Wannapha Geraedts วรรณภา เจอหราด · ไม่มีที่ไหนจะอธิบายให้ชัดเจนมีแต่ที่สันติอโศก มีที่เดียวประเทศไทย อยากให้พ่อครูอธิบายให้ฟังเรื่องทุกข์กับสุข สาธุค่ะ
_ช่อทิพ หนูทอง · สตรีที่ไปบวชที่อื่นมาแต่งกายแบบสิกขมาตุชอบลงเนื้อหาธรรมะในข่าวบวรอโศก พ่อครูห้ามเธอเข้าบ้านราชแล้ว เรียนถามพ่อครูว่า คำสอนที่เขาเอามาลงนั้น…เชื่อถือได้ไหมคะ?….
พ่อครูว่า… ก็ใช้วิจารณญาณของตนเองดู มันไม่เสียหลายหรอกการที่เราจะได้รับฟังธรรมที่ผิดบ้าง ธรรมะที่ถูกบ้าง แต่เขาก็เป็นคนที่ศึกษาอยู่พอสมควรนะ เพราะฉะนั้นก็ดู รับทราบดู อ่านดู อาตมาไม่บังอาจที่จะไปตัดสินหรือระบุบังคับให้ตาม เชื่อตาม ให้คุณใช้วิจารณญาณของตัวเอง ไตร่ตรองตัดสินวินิจฉัยเอาดีๆ
ก็มีส่วนดี ส่วนถูก ส่วนผิด ไปในตัวอยู่ ไม่ใช่ว่าจะบ้าๆบอๆไปทีเดียวไม่ใช่ มีส่วนดีส่วนถูกอยู่
_ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรสุดเกล้าครับ ในเวลาเช้าตี 5 ของทุกวัน พวกลูกๆ ชาวอโศกกลุ่มหนึ่ง ได้เข้าค่ายอุโบสถศีล On-line ทาง zoom โดยความ Benevolence ของท่านแสนดินได้จัดทำขึ้นได้สอนธรรมะที่นำมาจากพ่อท่าน ได้สอนไว้และตอบปัญหาหลากหลายแก่ลูกๆ เป็นที่รื่นเริงในธรรมพร้อมทั้งท่านดินไทที่มีความเมตตากรุณาทั้งสองท่าน บางครั้งแม้ป่วยก็ยังอุตสาหะมาเข้า zoom และทำให้ลูกๆได้ลดกิเลสตัวขี้เกียจตื่นเช้าได้ดีครับ และทำให้ถือศีล 8 กันอย่างจริงจังจริงใจ ทั้งหมดนี้เป็น Benevolence ของพ่อท่านจริงๆ
กราบนมัสการขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงยิ่งครับ
พ่อครูอธิบายสัมมาทิฏฐิ 10 ได้จึงคือสยังอภิญญา
_มุก • แสดงว่า สัมมาทิฏฐิ 10 ข้อที่ 10 น่าจะสำคัญที่สุด เพราะเป็นเครื่องรับรองประทับตรายางดีเอ็นเอแห่งพุทธโดยแท้จริง พระพุทธเจ้ากันเหนียวไว้ที่ระดับสยังอภิญญาขึ้นไป ดังนั้นด่านสำคัญที่เป็นข้อตัดสินว่า คนที่จะเป็นพุทธบริษัทได้แท้จริงสมบูรณ์ จึงต้องถูกสะแต๊มป์ หรือ รู้จักบุคคลในข้อ 10 นี้
พ่อครูว่า… ก็จริงนะที่เข้าใจที่พระพุทธเจ้าระบุไว้ว่าหมายถึงอะไรชัดเจนคมชัดดี ขอขยายความอีกนิดนึงก็แล้วกันว่า
ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ใช้ภาษาว่า สยังอภิญญา เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็หมายถึงว่า บอกระดับ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ตั้งแต่โสดาบันแล้วก็ถือว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว ถ้าพากเพียรดีๆก็เป็นสกิทาคามี อนาคามี อรหันต์
แม้อรหันต์แล้วเป็นโพธิสัตว์ ก็เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เพิ่มไป กว่าจะได้ฉายาว่า ผู้นี้อยู่ในฐานะ สยังอภิญญา มันไม่ใช่ธรรมดา ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ มันไม่ใช่ขั้นสามัญธรรมดาของอาริยบุคคล อย่างน้อยๆก็ไล่ขึ้นไปตั้งแต่ โพธิสัตว์ 9 ระดับ 1.โสดาบันโพธิสัตว์ 2.สกิทาคามีโพธิสัตว์ 3.อนาคามีโพธิสัตว์ 4.อรหันต์โพธิสัตว์ 5.อนุโพธิสัตว์ 6.อนิยตโพธิสัตว์ 7.นิยตโพธิสัตว์( สยังอภิญญา ) 8.มหาโพธิสัตว์ 9.พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เรื่องเหล่านี้ผู้รู้อย่างอาตมาก็อธิบายได้ พูดไม่รู้อธิบายไม่ได้หรืออาจจะอ่านพยัญชนะที่ท่านบอกไว้เหมือนนกแก้วนกขุนทองได้ แต่อาตมาไม่ได้รู้แค่นกแก้วนกขุนทองธรรมดาหรือเหนือกว่านกแก้วนกขุนทองธรรมดาที่รู้ความหมาย แต่อาตมาเป็นเองด้วย เป็น สยังอภิญญาเองด้วย จึงได้พูด สังเกตเอาเถอะ หยั่งถึงความจริงให้ได้เถอะที่อาตมายืนยันว่าตัวเองเป็น สยังอภิญญา คุณจะมีปฏิภาณปัญญารู้แค่ไหนว่ามันจริง มีอะไรหลายๆอย่างบอกมีอะไรที่ยืนยันลักษณะที่มีความจริงได้ชัด ยิ่งเป็นสัจจะที่เป็นโลกุตรธรรมมันมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้เราสามารถที่จะหยั่งรู้ เข้าไปได้ถึงความเป็นจริงที่ลึกซึ้ง ศึกษาดีๆ
แล้วคุณก็ยืนยันว่าพระพุทธเจ้ากันเหนียวไว้จริงๆ พระกัสสปะก็เก็บมายืนยัน ที่จริงไม่เก็บไม่ได้หรอกเพราะมันสำคัญในทิฏฐิ10
ผู้ที่จะอธิบายทิฏฐิ 10 ได้อย่างเที่ยงแท้ ถูกต้อง ไม่ผิดเพี้ยน ก็จะต้องแสตมป์ไว้ว่าเป็นขั้น สยังอภิญญา ไม่เช่นนั้นมันยังไม่สมบูรณ์แบบหรอก
ในยุคนี้อาตมาก็บอกแล้วและก็เป็นความจริง ถ้าคนได้ปฏิบัติมีปัญญาดีๆ ว่าโลกุตรธรรมมันจะเสื่อมแล้วอาตมาก็อุบัติขึ้นในยุคที่มันเสื่อมนี้แล้ว ก็นำเอาโลกุตรธรรมมาเองด้วยตัวเองที่เป็น สยังอภิญญา
ความหมายของ สยังอภิญญา คือไม่ได้รับการถ่ายทอดธรรมะมาจากใคร ถ้ายังมีพระพุทธเจ้าก็ได้รับถ่ายทอดจากพระพุทธเจ้า ถ้าในยุคที่ไม่มีพระพุทธเจ้าแต่มีผู้รู้ที่เป็นสัตบุรุษอยู่ก่อนแล้ว แต่อาตมาอุบัติขึ้นมาก็ได้รับจากผู้ที่เป็นสัตบุรุษ
แต่อาตมาเกิดมาในยุคที่ผู้ที่เป็นสัตบุรุษที่จะมีความรู้โลกุตรธรรมก็ไม่มี นอกจากไม่มีแล้ว โลกุตรธรรมได้เสื่อมไปจากศาสนาพุทธแล้ว
อาตมาก็เอามากล่าวเอามายืนยัน นำคุณสมบัติหรือคุณธรรมหรือคุณวิเศษ ของความเป็นโลกุตรธรรม เอาขึ้นมาสถาปนาลงไปเอามาอธิบาย เอามายืนยัน เอามาพาปฏิบัติ จนกระทั่งบรรลุมรรคผลเป็นอาริยบุคคลได้จริง
เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความเป็นจริง จนเกิดชาวพุทธที่เป็นสังคมพุทธกลุ่มที่มี สาราณียธรรม 6 มีหลักธรรม พุทธพจน์ 7 วรรณะ 9 มีศีลสมาธิปัญญามีจรณะ 15 วิชชา 8
สิ่งเหล่านี้ยืนยันได้ว่ามีมรรคมีผลแท้จริง ไม่ใช่เรื่องเปล่าดาย มันเสื่อมไปมาก เป็นศาสนาพุทธที่มีแต่ชื่อมานานก่อนอาตมาจะมาเกิด มันเสื่อม มันเละ จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังเละอยู่ ขออภัยเถอะอาตมาพูดความจริง ซึ่งไม่ได้ไปดูถูกดูแคลนกัน ไม่ได้ไปข่มไปแบ่งกัน แต่สงสาร แต่มันเป็นวิสัยที่สุดวิสัยแล้ว ทางด้านโน้นท่านยึดติดเต็มที่แล้ว ท่านลดตัวลดตนไม่ได้ ท่านรับอาตมาไม่ได้ ท่านก็ต้องอยู่อย่างนั้น
ทั้งๆที่ขณะนี้ 50 กว่าปี อาตมาทำงานมา เป็นกลุ่มเล็กนิดเดียวอาตมาไม่ได้มีอิทธิพลอะไรเลยในสังคม เกิดมา รูปไม่หล่อ พ่อไม่รวย ไม่มีศักดิ์ศรีอะไรเลย ความรู้วิชาการก็ไม่ได้มีอะไรรับรองเป็นสถานะที่เป็นที่ยอมรับนับถือในสังคมอะไรเลย ไปอยู่ในโลกมายาด้วยซ้ำ โลกมายาก็ไม่ได้เก่ง ไม่ได้ใหญ่ ไม่ได้เด่น ไม่ได้ดัง ไม่ได้มีอิทธิพลอะไร ก็อยู่อย่างนั้นเหยาะๆแหยะๆ พอมีคนรู้จักบ้างนิดๆหน่อยๆเท่านั้นที่จริงมันก็คนละเรื่องกับธรรมะ
แล้วมาเผยแพร่มาเป็นผู้นำธรรมะขั้นโลกุตรธรรมของศาสนาพุทธแก่นแท้ โอ้โห..เจ้าประคุณ มันจึงเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก เอาละผ่าน
สันติอโศกไม่ได้ทำนิกาย คนที่ว่าอโศกเป็นนิกายคือคนทำสงฆ์แตกแยก
_เล็ก วันนะ · การที่สันติอโศกเมื่อเกิดขึ้นทีหลัง แบบนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งนิกายหรือไม่ การที่ไปร่วมประชุมกับกปปส. ข้อปฏิบัติถือว่าอยู่ในกายช่วยเนื่องด้วยตามอารมณ์หรือไม่
พ่อครูว่า… คำว่า นิกาย อาตมาพูดหลายทีแล้วว่า สันติอโศกเกิดขึ้นทีหลัง โดยเฉพาะอาตมาเป็นผู้นำชาวอโศก ถ้าใครเอาคำว่านิกายมาเรียกพวกเรา ก็เท่ากับคุณเองคุณเข้าใจว่า การแยกด้วยชนิดที่ถูกต้องตามธรรมก็ดี การแยกที่ไม่ถูกต้องตามธรรมก็ดี คุณเข้าใจยังไม่ได้
สำหรับอาตมานั้น อาตมาขอยืนยันว่า อาตมาแยกจากสงฆ์หมู่ใหญ่อย่างถูกต้องด้วยดี ไม่ได้แยกอย่างผิด เป็นบาป เป็นอนันตริย กรรม ผู้ที่แยกหมู่สงฆ์ให้เป็น 2 ฝ่าย ที่ผิดตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า เป็นผู้ที่ทำอนันตริยกรรม บาปหนักบาปหนา อาตมาเข้าใจเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง เข้าใจอย่างจริงจัง เพราะฉะนั้นโดยที่อาตมาไม่ได้มีความรู้โดยบัญญัติภาษาเลย ในตอนที่อาตมาแยกออกมา
อาตมาก็ทำการแยกเป็นนานาสังวาส ถูกต้องตามธรรมของพระพุทธเจ้าจริงเลย โดยตอนนั้นอาตมายังไม่ประสีประสาในคำว่านานาสังวาสด้วย โดยเฉพาะนิกายอาตมาพอรู้เหมือนกับคุณรู้ ว่าแยกกลุ่มหมู่ และอาตมาก็ทำอย่างที่อาตมาคิดว่า อาตมาไม่ได้ทำอย่างที่คุณเข้าใจหรือว่าใครส่วนใหญ่เขาเข้าใจว่า แยกนิกายคือแยกสงฆ์เป็น 2 ฝ่าย อาตมาไม่ได้ทำอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นอาตมาทำอย่างถูกต้องตามธรรมวินัย แม้แต่สงฆ์ หมู่ใหญ่ก็เข้าใจอาตมาไม่ได้ ขอยืนยัน วันสองวันนี้เราก็ยังพูดถึงท่านประยุทธ์ ปยุตโต ท่านก็เข้าใจเราไม่ได้ว่าเราทำนานาสังวาส เราไม่ได้ทำนิกาย ท่านจึงมาเล่นงานกับเราอย่างหนัก ซึ่งก็น่าเห็นใจท่าน เหมือนกัน เพราะท่านไม่เข้าใจท่านนึกว่าอาตมานี้ทำลักษณะแยกหมู่สงฆ์ออกเป็น 2 ฝ่าย เป็นนิกาย แน่นอนท่านก็ไม่อยากให้ทำมันเป็นบาปแล้วศาสนาก็เสียหาย.. ท่านกระทำถูก
อาตมาไม่ได้ลบหลู่ท่าน แต่อาตมาพูดความจริงว่าท่านยังไม่มีความรู้พอ ท่านถึงได้ทำอย่างนั้น เพราะอาตมาทำถูกต้องตามนานาสังวาสจริงๆ อาตมาประกาศกับหมู่สงฆ์เป็นทางการต่อหมู่สงฆ์ว่าขอแยกนะ ต่างคนต่างเข้าใจตามที่พระพุทธเจ้าท่านมีธรรมวินัยเอาไว้
ว่าหมู่น้อยขอประกาศแยกกับหมู่ใหญ่เป็นทางการเป็นกิจจลักษณะ ได้ หมู่ใหญ่เป็นความเห็นที่ 1. ถือศีลไม่ตรงกัน 2. มีความประพฤติที่ไม่เหมือนกันแล้ว มีอะไรหลายๆอย่างให้แยกเป็นนานาสังวาสได้ แล้วค่อยต่างคนต่างปฏิบัติตามธรรมวาทีของตน
อันนี้เป็นสุดยอดแห่งสัจธรรมพระพุทธเจ้า เรื่องนานาสังวาส เป็นการให้เกิดความสงบโดยแยกฝ่าย แต่ถือว่าเป็นพวกเดียวกันเป็นสังวาสเดียวกันคือความเป็นพุทธเหมือนกัน แต่มันสุดวิสัยแล้วที่จะมาร่วมสังฆกรรมกันได้ ก็ให้ต่างคนต่างทำสังฆกรรมของแต่ละคน ศึกษากันไป ไม่ต้องทะเลาะวิวาทกัน ท่านห้ามไม่ให้ทำอธิกรณ์กันเลย แต่ทางสงฆ์หมู่ใหญ่มาทำอธิกรณ์อาตมา
อธิกรณ์ แปลว่า การฟ้องร้อง สงฆ์หมู่ใหญ่เป็นคนฟ้องร้องอาตมานะ อาตมาไม่ได้เป็นคนฟ้องสงฆ์หมู่ใหญ่เลย แต่ทางโน้นท่านฟ้องร้อง สั่งส่งหมู่ใหญ่เอาไปฟ้องแม้กระทั่งฆราวาสให้มาเอาเรื่องอีก ท่านทำการละเมิดอาบัติของท่านไปเอง คณะสงฆ์หมู่ใหญ่
ขออภัยอาตมาอธิบายสัจธรรม ไม่ได้ไปลงโทษ ไม่ไปดูถูกดูแคลนคณะสงฆ์หมู่ใหญ่ แต่เป็นจริงอย่างนั้น อาตมาก็พูดความจริงที่เลี่ยงไม่ได้เท่านั้น อธิบายความจริงที่เลี่ยงไม่ได้เท่านั้น
สรุปอาตมาไม่ได้ทำนิกาย อาตมารู้ดีว่าทำนิกายนั้นเป็นอนันตริยกรรม อาตมาจึงทำตามที่อาตมาประพฤติไป โดยการทำอย่างถูกต้อง ขอแยกนะ ต่างคนต่างแยกปฏิบัติ
อาตมายังจำได้เลยว่าอาตมาใช้การเปรียบเทียบ อาตมาเห็นว่าหมู่ใหญ่ท่านปฏิบัติธรรมผิดธรรมวินัย อาตมาปฏิบัติร่วมด้วยไม่ได้และอาตมาเป็นพระผู้น้อย ต้องอยู่ใต้อาณัติ อาตมาทำปฏิบัติไม่ไหวก็ขอแยกการปฏิบัติก็แล้วกัน
เหมือนมาตั้งร้านขายปาท่องโก๋ร้านเล็กๆข้างทาง ท่านเป็นบริษัทใหญ่ แต่ท่านใช้สูตร อาตมาบอกว่าเป็นสูตรของพระพุทธเจ้าผิด อาตมาทำด้วยไม่ไหวก็ขอมาแยกตั้งร้านปาท่องโก๋เล็กๆ เป็นการขอแยกด้วยดี ไม่ได้หมายความว่าเราต้องไปฟ้องร้องกันอีก มันเป็นคนละทิฏฐิ คนละเข้าใจ ศีลคนละแบบ อะไรอย่างนี้เป็นต้น ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในนานาสังวาส อาตมาทำถูกต้องทุกอย่าง
เรื่องของนิกายนั้น ผู้ที่ทำ ขออภัยต้องพูดความจริง ทางสงฆ์เถรสมาคมเป็นคนทำในลักษณะที่เป็นนิกายกับอาตมา ท่านก็รับกรรมวิบากของท่านไป อาตมาไม่ได้ทำ ทุกอย่างมันเกิดอยู่ที่กรรมวิบากที่จริง ไม่ได้มีใครพิพากษา อาตมาพูดนี้ไม่ใช่เรื่องเป็นผู้พิพากษา ถ้าผิดอาตมาก็ยิ่งผิดซ้อน ผิดซ้ำนั้นแปลว่าทางโน้นผิดแต่อาตมาว่าอาตมาไม่ได้แยกนิกายแต่อาตมาทำนานาสังวาส อย่างนี้เป็นต้น นี่คือเรื่องของ นิกาย
สันติอโศกเกิดมาทีหลังจริงแต่ไม่ได้ทำนิกาย
ข้อที่ 2 นี้ ไปช่วยเนื่องด้วยอารมณ์หรือไม่ อาตมาก็อ่านแล้วอ่านอีกก็จะตีความยังไม่ค่อยได้ (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
อัตตกิลมถานุโยคคือลำบากแล้วยิ่งเพิ่มอัตตา
พ่อครูว่า… ขออธิบายเรื่อง อัตตกิลมถานุโยค มันเป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนที่ลึกซึ้ง อัตตะแปลว่าตัวเอง กิลมถะ แปลว่าทำความลำบากให้แก่ตัวเอง แล้วก็ยิ่งทำก็ยิ่งเกิดอัตตา มันมีความซับซ้อนฟังให้ดีนะ
สมณะดินไท… ข้างนอกแปล อัตตกิลมถานุโยค หมายความว่าบำเพ็ญทุกรกิริยา
พ่อครูว่า… ก็ได้ เป็นความหมายอันตื้นอันง่ายที่สุดแล้ว เป็นการทรมานร่างกาย ทำให้เกิดความเจ็บปวดต้องอดทนแบบทุกข์ทรมานเดือดร้อน เข้าใจกันอย่างนั้นเยอะ
จริงๆมันลึกซึ้งในคำว่า อัตตา มันมี โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา
อัตตา นี่มันลึกซึ้งถึง 3 ชั้น
กิลมถะ หมายความว่า มันเป็นการทรมานตนเอง ถ้าจะพูดกันอีกนัยยะหนึ่ง คนที่ไปหลงทางภายนอก ไม่ใช่เข้าไปภายใน หลงเข้าไปยึดติดในเรื่องภายนอก และปฏิบัติเอาเป็นเอาตาย จริงๆจังๆอยู่กับภายนอก ภายนอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วก็เรื่อง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข
โลกียสุข ที่ไปหลงความรู้ นี่ล่ะเป็น อัตตา ชนิดที่หยาบใหญ่มาก แต่ลึกมาก
หยาบใหญ่มากที่น่าจะรู้ แต่มันลึกมาก มันลึกก็เลยรู้ยาก หยั่งไม่ถึงความลึก ขนาดมันหยาบใหญ่ แต่อยู่ลึกถึงจับได้ยาก
หลงไปใหญ่เลย อาตมาเห็นทุกวันนี้ หลงความรู้ ความรู้ของพระพุทธเจ้านี้จะมี เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย เป็นปริเฉทๆๆ ศีล สมาธิ ปัญญา
โสดาบันก็มีศีล สมาธิ ปัญญา ระดับหนึ่ง เช่น อาตมาบอกว่าถือศีล 5 นี่แหละปฏิบัติให้บรรลุธรรมถือศีล 5 คุณจะเป็นโสดาบัน
คุณปฏิบัติศีล 8 ถือศีล 8 ให้บรรลุธรรม คุณจะเป็นสกิทาฯ
ถือศีล 10 คุณปฏิบัติเถอะศีล 10 ดีๆคุณจะได้เป็นอนาคามี
สูงกว่าศีล 10 ขึ้นไปก็รวมเลย จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ก็แล้วแต่ ก็เป็นอรหันต์
นี่โดยบัญญัติภาษาง่ายๆ แล้วก็ทำให้ได้
แต่ผู้ที่สอน ผู้ที่รู้ ผู้ที่ปฏิบัติกัน ทุกวันนี้ศาสนาพุทธ ไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลย แล้วไม่เอาจริงเอาจังด้วย เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธถึงสูญ เลย ไม่มีศีล ศีลไม่เป็นมรรคเป็นผล
แม้แต่ไปบวชแล้ว มันชัดเจน ยืนยันไปเลยว่า ทุกวันนี้พระมีศีลไหม ก็ไม่รู้ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 พอรู้เป็นจารีตประเพณี
ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ที่เป็นเรื่องปรมัตถ์ เป็นเรื่องจริงเลย ไม่รู้ปฏิบัติไม่ถูก จารีตประเพณีถือกันมายังไงก็ถือตามจารีตประเพณี เป็นประเพณีเฉยๆ
เพราะฉะนั้นผู้ที่ปฏิบัติไปเรียนเปรียญ 9 ไปเรียนดอกเตอร์ จึงมองว่าเป็นชั้นพื้นฐาน ไม่เอามาปฏิบัติเลย ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 เขาก็เลยไม่มีศีลเลย เสร็จแล้วมันก็จะเสียพระไม่มีศีลได้ยังไง ก็ไปยึดเอาวินัย 227 เป็นศีล โดยภาษาวินัยกับศีลมันคนละอย่างกันเลย ก็ไม่รู้
จนกระทั่งมันชัดเจนเลยว่าตกลงพระภิกษุมีศีลเท่าไหร่ 227 พูดกันหน้าตาเฉยเลย ภิกษุมีศีล 227 พูดกันหน้าตาเฉยเลย เห็นไหมว่าไม่มีศีล ไม่ได้ขึ้นต้นด้วยไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ใช่เลย วินัย
วินัย 227 มันไม่ใช่ศีล มันเป็นข้อปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าตั้งขึ้นมาทีหลัง จากการที่มีพฤติกรรมจริงของคน กรณีที่เกิดขึ้นต่างๆก็ค่อยๆตั้งพระวินัยขึ้นมา มีคนเป็นต้นเหตุแล้วถึงไปตั้งวินัย อย่างนี้เขาก็ไม่เข้าใจกัน ก็เลยสลับสับสน ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว ไม่เกิดมรรคผลไปตามลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ ของศาสนาพุทธ
เพราะฉะนั้นจรณะ 15 วิชชา 8 อันเป็นพุทธคุณแท้ๆของศาสนาพุทธ จึงเสื่อมไป ศีล อปัณณกปฏิปทา 3 ไม่มี เพราะฉะนั้น สัทธรรม 7 ไม่มี ฌานไม่มี วิชชา 8 ไม่มี ก็เท่ากับศาสนาพุทธไม่มี วิชชาจรณะสมบัติไม่มีแล้วในศาสนาพุทธ
วิชาจรณะสมบัติที่แม้แต่ในยุคพระพุทธเจ้า อัมพัฏฐมานพก็เลยยังยึดมั่นถือมั่นว่าฉันเป็นพราหมณ์เป็นผู้ที่เป็นเจ้าของวิชชาจรณะสมบัตินะ ยื้อแย่งกันอยู่กับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเคยบอกว่าพวกคุณจะรู้จัก วิชชาจรณะได้อย่างไร เอาละไม่ท้าวความต่อ
พ่อครูว่า… ชนิดหนึ่งที่ไปหลงความรู้เป็นอัตตาของตนแล้วไม่รู้จักอัตตา ก็ลดอัตตมไม่ได้ ไม่รู้จักอัตตาแล้วจะไปลดอัตตาได้อย่างไร
ทั้งๆที่ โอฬาริกอัตตา แปลว่าอัตตาใหญ่ออกมาข้างนอก ไปยึดเอารูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส แม้แต่ที่สุดยศศักดิ์ ความรู้อะไรต่างๆนานา มาเหมาอยู่ที่ตัวเองโดยไม่รู้ตัว ก็เป็นการ กิลมถะ เป็นความลำบากของชีวิต หอบไว้เยอะ หอบไว้แล้วไม่ได้อะไรเลย ไม่ได้พาปฏิบัติจนบรรลุธรรมอะไรเลย ได้แต่รู้ความหมายของบัญญัติ ของภาษา จนกลายเป็น ปทปรมบุคคล เป็นผู้ที่ เป็นบัวใต้ตม ไม่ได้บรรลุ ไม่ได้โผล่ขึ้นมาเลย แล้วท่านก็ขยายความ บัวใต้ตม ว่าเป็นผู้ที่รู้พุทธพจน์ก็มาก ท่องไว้ก็มาก ทรงจำไว้ได้ก็มาก สอนผู้อื่นอยู่ก็มาก แต่ไม่มีการบรรลุมรรคผลใดเลย นี่คือ ปทปรมบุคคล ไม่บรรลุใดๆเลยในชาตินั้น รู้มาก แต่ไม่ได้บรรลุธรรม
โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ก็ไม่ได้เข้าถึง ไม่ได้เข้าไปสัมผัส จิต เจตสิก รูป นิพพาน ของความเป็นโลกุตรธรรมหรืออาริยธรรมเลย แต่หลงว่าตัวเองเป็นผู้รู้ เป็นผู้ได้ เป็นผู้มี เป็นผู้สอน สาธยาย ได้รับการกราบคารวะสรรเสริญเยินยอ อันนี้แหละเป็นภัยร้ายมากเลย สรรเสริญ ลาภ สรรเสริญ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ถึงขั้น เป็นอันตรายอันแสบเผ็ดแม้แต่พระอรหันต์
แม้ท่านเป็นอรหันต์ ถ้ายังหลงในเรื่องของโอฬาริกอัตตา ของความรู้ ถ้าด้านที่เป็นอัตตาตัวตน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้างนอก แต่ไปเกี่ยวข้องข้างในมันก็จะกลายเป็นพวกฤาษี พวกเชนไปเลย
ทีนี้มาเรื่องข้างนอก 1.ระมัดระวังเรื่องลาภ 2.ระมัดระวังเรื่องยศ 3.ระมัดระวังเรื่องสรรเสริญ การระมัดระวังด้วยสัมมาทิฏฐิ ด้วยการสำรวมระวังไม่ติดไม่ยึด ไม่จมกับสิ่งเหล่านั้นก็ดี แต่ก็ดีไป ระมัดระวังเพื่อกลัวจะเสีย ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข นี่สิ มันเป็น อัตตกิลมถานุโยค ระมัดระวังว่าอย่าเสื่อม อย่าน้อยลงนะ ต้องมากขึ้นนะ.. รู้ตัวหรือเปล่า
เพราะฉะนั้นทางเถรสมาคมทั้งหมดเลย เป็นศาสนาที่เต็มไปด้วย โลกียะ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ทั้งนั้น ไม่ได้ออกมาเลย อาตมาก็พูดไม่รู้กี่ทีแล้วว่าพระพุทธเจ้านี่เป็นถึงพระพุทธเจ้า ท่านเป็นใหญ่หมดเลย ถ้าจะเป็นใหญ่ทั้งด้าน ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ขนาดไหน ท่านก็เป็นได้ ท่านทิ้ง ถอยหลังออกมาสู่ความไม่เก็บไว้เลย
ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ก็ไม่เก็บไว้สักนิด ยศ ก็ไม่เก็บไว้สักนิด สรรเสริญเยินยอยกย่องอะไร ไม่เอาไว้สักนิด สุขก็ไม่เอาไว้ อันนี้ลึกซึ้ง
สุดยอดของสัจจะที่พระพุทธเจ้าท่านแสดงต่อโลก เข้าใจยาก ผู้ที่ไม่เข้าใจก็จมอยู่ ในเถรสมาคม เป็นพระที่พอเข้าใจได้ง่ายๆตื้นๆว่าอย่าไปหลง ลาภนะ หนีเข้าป่าก็เป็นพระมักน้อยสันโดษนะ ก็เหมือนกับศาสนาเชน หลายศาสนาก็รู้เรื่อง ลาภตื้นๆ เขาก็ทิ้งมาก็ดี พวกเขาไม่ติดยึดเรื่องนี้ ไม่เอาลาภ แต่มันซับซ้อน ไม่ได้ทิ้งจริง ซับซ้อน ก็ยังยึดว่าเป็นตัวกูของกู
อย่างอาตมายกตัวอย่างมหาบัว นี่เอา สถานะของนักบวช ไปทำเป็นว่าใหญ่ จะต้องเอามาช่วยประเทศชาติ แล้วก็บอกว่า มาๆ จะรวบรวมเอามาช่วยประเทศชาติ ก็คือเรี่ยไรจากชาวบ้านนี่แหละ เรี่ยไรในฐานะพระ แล้วอิงแอบประเทศชาติ อิงแอบสถาบัน มันก็ได้สิ เราก็นึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่ ได้มาก็เอามาเข้าคลัง แล้วก็เป็นเล็นเป็นหมัด ตายแล้วก็ยังมาเฝ้าอีกของตัวของตน โดยไม่รู้ตัวว่าทำอะไร ยึดติดอะไร มันไม่ใช่หน้าที่ของพระที่จะไปทำอย่างนั้น แล้วบอกว่ายิ่งใหญ่ทำให้ประเทศ ก็ไม่ใช่
ทีนี้ อัตตกิลมถานุโยค ในเรื่องที่ไปหลงความรู้ทางโลกเรื่องของ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข สรรเสริญมากมาย เชิดชูยกย่องบูชาเป็นยิ่งเป็นใหญ่ เป็นปราชญ์ เป็นผู้รู้ เป็นเอก เป็นหลักของศาสนาพุทธว่าไปโน่นเลยนะ ถึงขนาดนั้น เป็นหลักใหญ่ยิ่งของศาสนาพุทธเลยอะไรไปโน่น ซึ่งมันก็เลยยิ่งหลงเพลิดกันไปต่างๆนานา ไม่หันเข้ามาสู่สัจจะที่เป็นโลกุตระ เรียนรู้จิต เจตสิก รูป แล้วก็ทำนิพพานให้แก่ตนเองได้
ถ้าเผื่อว่าทำนิพพานให้แก่ตนได้ ไม่ว่าจะเข้าใจผิด เข้าใจถูกอย่างไรก็แล้วแต่ เช่น อาตมา เข้าใจนิพพานเป็นอย่างนี้ ใครก็ตามถ้าเข้าใจมีทิฏฐิเช่นเดียวกันกับอาตมา มาปฏิบัติ มันก็ต้องมาเป็นอย่างที่อาตมาเป็น ถ้านิพพาน อีกอันหนึ่งเอาง่ายๆ ต่างกันกับของอาตมา เขาเข้าใจนิพพานต่างกันกับของอาตมา แล้วเขาก็ไปปฏิบัติอย่างที่เขาเข้าใจ มันต่างกัน
เขาก็ต้องได้นิพพานแล้วเขายืนยันไหมว่าอันนั้นเป็นนิพพาน อธิบายได้ไหมว่านิพพานคืออย่างไร อธิบายมาเป็นภาษาไทย ภาษาคนภาษาง่ายๆ ให้คนอื่นเขาเข้าใจได้ไหมว่า หมายถึงจิต เจตสิก อย่างไรที่มันเป็นนิพพาน มันมีลักษณะอย่างไร อธิบายกันยังไงเด็กๆชาวบ้านสามัญถ้ามันมีสภาวะจริง มันก็พออธิบายพอรู้ได้
โดยเฉพาะอยู่ร่วมกัน นิพพานคือไม่มี โลภ โกรธ หลง ไม่ไปหลง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข พวกคุณอยู่ด้วยกันก็จะรู้เลยว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่มี นี่เป็นภาษาง่ายๆแต่ผู้ยังจมอยู่ใน ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มันไม่ได้ออกมา ไม่ได้หลุดพ้น ยังจมอยู่แท้ๆแล้วจะบอกว่าฉันเป็นผู้รู้ศาสนาพุทธ
อย่างพระพุทธเจ้าท่านออกมา ท่านเป็นผู้รู้จริง อาตมาก็อยู่ในโลกโน้น อาตมาก็ออกมา ก็ไม่ได้ไปเอา ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ทุกวันนี้ก็ไม่ได้มีลาภยศสรรเสริญ มีแต่ถูกด่า สำหรับผู้ที่เข้าใจจริงเท่านั้นไม่ด่า แต่ยกย่องบูชาเคารพ และบูชาเคารพอย่างยกย่องเหนือเกล้า เหนือเศียรอย่างที่เขาพูดมา เขาไม่ได้เสแสร้ง ก็เป็นสิ่งที่เป็นสัจธรรมที่เขามีความรู้ในจิตลึกๆเลยว่า สิ่งนี้ใช่ หายาก ยุคนี้ยิ่งหายาก เป็นสิ่งที่จะต้องบูชาเชิดชู มันเป็นเรื่องจริง เคารพอย่างแรงกล้า ศรัทธาอย่างแรงกล้า เชื่อถืออย่างแรงกล้า มันเป็นสัจจะของมัน
คำว่า แรงกล้า ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรื่องโลกุตรธรรม ไม่ใช่ว่ามันไม่มีสภาวะจริง ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าผู้ที่รู้จักและรู้ว่านี่เป็นสัจธรรมได้ฟังจากพระพุทธเจ้า ได้ฟังจากสัตบุรุษ ได้ฟังแล้วละอายที่ตัวเองเข้าใจผิดมา แล้วตัวเองก็เห็นว่าเป็นพหุสัจจะก็เคารพเลยศรัทธาเชื่อถือเลย อย่างแรงกล้า อย่างติพพังเลย อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเป็นลักษณะจริงของจิตมนุษย์ จิตจริงของมนุษย์
แต่ผู้ไม่มีนั้น ดีไม่ดีตรงกันข้ามกันอีก มันก็เป็นสัจจะ
เพราะฉะนั้น อัตตกิลมถะ ที่อาตมาอธิบาย โอฬาริกอัตตา แบบใหญ่ภายนอกที่นี่ก็เข้ามาภายในจิต
มโนมยอัตตา คืออันเป็นตัวเองแล้วก็ยึดเป็นอัตตาของตัวเอง
อธิบายการยึด การยึด พระพุทธเจ้าท่านแจกเป็น 4 อย่าง จริงๆ 4 อย่างนี้เป็นอัตตาหมด
-
กามุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในกามภพ บำเรอรูปรสฯ) .
-
ทิฏฐุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในทิฏฐิ เช่น เห็นว่าผีมีตัวตน)
-
สีลัพพตุปาทาน (ถือมั่นติดยึดในศีลและวัตรปฏิบัติธรรม)
-
อัตตวาทุปาทาน (ถือมั่นเข้าใจในอัตตาหรืออาตมันได้แค่ วาทะ แต่ไม่เคยรู้เห็นอัตตาตัวปรมาตมันจริงๆนั้นเลย) . . .