660721 ตอบปัญหาพาทำจิตเป็นอุตุไม่เกี่ยวเกาะ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1Pa96-ZyNTpiSaN9401OHt8sbcBBH7j9N/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/102QSdfJUixhMN_R8jHrRsz_xkXUIcZ_M/view?usp=sharing
และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660721-e278lek
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/FjhAzdNotUg
และ https://www.facebook.com/100078722032092/videos/303317952113586/
สมณะฟ้าไท… วันนี้วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ภัยพิบัติธรรมชาติทุกวันนี้มีเกิดขึ้นมากมายทั่วโลก เนื่องจากสิ่งแวดล้อมโลกเปลี่ยนแปลง ช่วงเข้าพรรษาพระพุทธเจ้าให้ภิกษุอยู่จำพรรษาตลอด 3 เดือน ไม่ให้ภิกษุไปเหยียบกล้าข้าวของชาวบ้าน แต่สมัยนี้ การเดินทางไม่เหมือนสมัยก่อน สมณะชาวอโศกก็ประจำอยู่ที่พุทธสถานประจำอยู่แล้วไม่ได้ไปไหน ญาติธรรมก็มาอยู่เข้าพรรษากัน พ่อครูก็อยากให้มีสมาชิกที่ราชธานีอโศกสัก 777 คน แต่ก็ควรเป็นคนที่แข็งแรงด้วยนะ ไม่ใช่คนติดเตียงคนพิการ มาแล้วคนจะมาเสียสละทำงานได้ร่วมกับหมู่กลุ่มได้ อยู่กับหมู่กลุ่มจะทำให้สุขภาพร่างกายดี ออกกำลังกายร่วมกัน สุขภาพจิตก็จะดีปฏิบัติธรรมร่วมกัน
พ่อครูว่า…
SMS วันที่ 17-20 ก.ค. 2566
สังคมประเทศไทยนี้เศรษฐกิจดีมาตลอด
_ผู้ก่อ ความสงบ · ตอนนี้เศรษฐกิจดีไหมครับ
พ่อครูว่า… คำว่าเศรษฐกิจดีหรือเศรษฐกิจไม่ดีนี้ลึกซึ้งนะ ชาวบ้านราชเราเศรษฐกิจดี แต่พวกเราเป็นคนจนนะ ตอบกันอย่างไม่มีสงสัยเลยมีคำตอบเดียว ไม่มีให้เลือกเลย เศรษฐกิจดีแต่เราเป็นคนจน แล้วคนจนทำไมมีเศรษฐกิจดี …ไม่มีหนี้
เงื่อนไขว่าเศรษฐกิจดีคือ
-
ไม่มีหนี้
-
มีสมรรถภาพขยันหมั่นเพียรทำงาน เลี้ยงตัวเองตลอด งานที่สุจริตงานที่ดีมีประโยชน์คุณค่าแล้วเลี้ยงตัวเองรอด
-
นอกจากเลี้ยงตัวเองรอดแล้วยังมีส่วนเหลือส่วนเกิน จากที่ตัวเองใช้อยู่ใช้กิน ใช้อย่างสบายแล้ว ยังมีเหลือส่วนเหลือส่วนเกิน เพราะฉะนั้นส่วนเหลือส่วนเกิน
-
สะพัดแจกจ่ายเจือจาน ขายก็ขายราคาต่ำกว่าทุนหรือแจกได้เลย
นี่คือเครื่องวัดเศรษฐกิจดี ถ้าจะพูดถึงเรื่องชัดเจนแล้ว แต่ทุกวันนี้นี่นักเศรษฐศาสตร์เขาเรียนทฤษฎีของเทวนิยม เขาไม่เข้าถึงเนื้อแก่นสาระของคำว่า ความเป็นอยู่ดีของมนุษยชาติของคน คืออะไร
เขาไปสำคัญที่ความรวย ไปสำคัญที่วัตถุทรัพย์ แล้วเขาก็ว่าเขาฉลาด วัตถุทรัพย์นั้นสะพัด มีวัตถุทรัพย์โดยเฉพาะเดี๋ยวนี้เป็นตั๋วแลกเงิน เรียกกันว่า แบงค์โน๊ต แล้วก็สะพัดหมุนเวียน คือมันห่างออกไปจากแก่น มันขยับเคลื่อนจากตัวแท้เนื้อแท้ ออกไปไกลเลย
สุดท้ายเขาก็ไปบอกว่าเศรษฐกิจดี ใช้ GDP เป็นเครื่องวัด ไปโน่นเลย
GDP ก็คือ Ghost Disease Product ไปโน่นเลย มันต่างกันคนละโลกเลย
ทางโลกเขายึด GDP Gross Domestic Product อาตมาก็อธิบายรายละเอียด เขาก็ว่าไป เขาแปลหรือให้ความหมายของมันอย่างเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ เขามี Concept อย่างนั้น เขาก็เลยแปลไปเป็น Concept ของตัวเอง มันก็ได้ความหมายแบบเขา เพราะฉะนั้นจะถือว่าดีหรือไม่ดีก็อยู่ที่ Concept อยู่ที่ความเข้าใจองค์รวมของแต่ละคน
อาตมาตอบสำหรับคุณผู้ก่อความสงบนี้ ก็คงจะถามหมายถึงสังคมประเทศไทย เศรษฐกิจของสังคมประเทศไทย ดีไหม
อาตมาก็ขอตอบว่า สังคมประเทศไทยนี้เศรษฐกิจดีมาตลอด ไม่เคยเดือดร้อนเหมือนประเทศอื่นๆ ที่เดือดร้อนไม่มีจะอยู่จะกินถึงขั้นปล้นกัน จลาจลไม่เคยมี เมืองไทยไม่เคยมี มีแต่ทำทานกันได้เผื่อแผ่กันได้ ยิ่งอยู่ย่านนี้แล้ว แถวๆกระท่อมปันสุข พอได้เวลาก็มา เขารู้เวลาก็รับแจกไป หน่อไม้ ผักปลัง นานๆจะมีทุเรียนไปแจก จริงนะทำไปเล่นไป เราไม่เคยแจกถึงคนละลูก เราแจกคนละพู แต่แจกถึง 800 กิโลกรัมก็เคยมี
เพราะฉะนั้น GDP ก็แล้วแต่ว่าคนจะมี Concept อย่างไร ประเมินไปโดยรวม อาตมาก็ว่าเมืองไทยไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเศรษฐกิจเท่าไหร่ จะบอกว่าข้าวยากหมากแพง มันก็ไม่มีปัญหานะ
ข้าวยากหมากแพงเป็นสำนวนตื้นๆของคนที่ไม่เข้าใจแนวลึก อะไรมันจะแพง แต่ก่อนนี้ตอนอาตมาเป็นเด็กก๋วยเตี๋ยวชามละสลึง เดี๋ยวนี้ชามละ 50 บาท แล้วมันอยู่ได้อย่างไร แล้วจริงๆก๋วยเตี๋ยวสมัยที่อาตมากินกับก๋วยเตี๋ยวเดี๋ยวนี้ก็ชามเท่ากัน ตัวเลขมันขึ้นไปเฉยๆ เราเองก็มีรายได้ประมาณในยุคเดียวกันนี้ ที่มันจะก็พอไปได้กับสังคม รายได้เราไปได้กับสังคม มันก็ไม่เดือดร้อนอะไรหรอก แต่ตัวเลขมันเปลี่ยนเท่านั้นเอง
แล้วทีนี้มันมีความโง่อวิชชาของคน มันมีความโง่ตรงไหน ตรงที่ว่ามันอยากจะได้ธนบัตรหรือว่าตัวเลขของเงินนี่แหละ มาไว้ที่ตัวเองมากๆ เท่านั้นเอง แล้วก็จะได้จ่ายมากๆคล่องๆ
บางคนขี้เหนียวนะ มีเงินมากๆก็จ่ายเท่าเดิม กินอยู่เท่าเดิม แต่เงินที่มีมากก็เก็บไว้ชื่นใจ สุดท้ายตายจากไป โอ้โห เหลืออยู่กองเบ้อเร่อเลย กองอยู่เยอะเลยนะ ตัวเองก็ไม่ได้ใช้หรอก ตัวเองก็กินอยู่เหมือนเดิม นอกจากพวกที่ว่ามีมาก ก็กินอยู่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยตามแฟชั่น กิเลสเพิ่มซ้อนอีกก็เรื่องของเขา
เพราะฉะนั้นถ้าศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าดีๆแล้วเข้าใจ มีปัญญาปฏิภาณลึกซึ้ง มันไม่เดือดร้อนอะไรหรอกชีวิต
คนๆหนึ่งทำงานอาศัยการงานไม่ว่าจะเป็นการงานที่เป็นการลงมือทำเลย เป็นการงานกรรมกรเลยหรือการงานนักบริการ ใช้แรงงานอื่น กรรมกรทำของตัวเอง ใช้ของตัวเอง กินของตัวเอง หรือไปรับใช้คนอื่นกรรมกร หรือเป็นกรรมการเป็นนักบริหารอย่างนี้เป็นต้น
แม้แต่ที่สุดมาเป็นนักบวช มันอยู่ได้ นักบวชที่เคร่งๆที่อยู่ด้วยธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าอย่างพวกเรา ไม่ได้มีการสะสมเงินทองทรัพย์สินอะไรเลย อาศัยความดีอาศัยการอยู่ในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า เป็นคนเจริญในธรรมจริงๆเลย พอเลี้ยงตัวเองรอด
สมณะฟ้าไท… เหลือด้วยครับ
พ่อครูว่า… จริงๆองค์รวมของประเทศไทยสบาย อย่างพวกเราพิสูจน์ได้เลย อย่าว่าแต่เรานักบวชชายเลย นักบวชหญิงสิกขมาตุเราก็อยู่สบาย เรื่องเงินเรื่องทองไม่ต้องพูดถึงเลยเมื่อมาบวช ก็สบายอยู่สบาย สึกมีน้อย อาตมาจะบอกว่าตายเยอะกว่าสึก มันไม่น่าจะใช่นะ สิกขมาตุเสียชีวิตไปมีจำนวนมากกว่าที่สึกไป สึกไปมีน้อย บวชแล้วก็มีชีวิตไปจนกระทั่งเป็นโรคตายบ้าง แก่ตายบ้าง
นี่เป็นเรื่องพิสูจน์ยืนยันเลยว่าเศรษฐกิจคืออะไร ศึกษาดีๆ
มีคนแซมมาว่า ต้องทำให้จนจริงๆ แต่ไม่จนใจในสมรรถภาพ เป็นการยืนยันได้ว่าชีวิตมนุษยชาติ มันไม่ยากอะไร รู้จักวิธีเป็นอยู่ แล้วก็มันจะมีหมู่ มีกลุ่มด้วย เหมือนอย่างพวกเรา เป็นศาสนาพระพุทธเจ้าที่เป็นเรื่องจริงและพิสูจน์ มันจะเป็นอย่างที่มันเป็น
_อนันต์ ศิรินุพงศ์ · สส.มีหน้าที่ออกกม. แต่การ เป็นรมต. ควรเป็นเพื่อช่วยเหลือคน
พ่อครูว่า… จริง สส. เป็นตัวแทนประชาชนมีหน้าที่ออกกฎหมายออกกฎระเบียบของประเทศอาศัยไป ส่วนรัฐมนตรีควรเป็นอีกหน้าที่หนึ่ง เลือกขึ้นไปบริหาร ช่วยกันบริหารประเทศ เป็นคณะรัฐบาล ส.ส.ไม่ใช่คณะรัฐบาล ดีไม่ดีเป็นฝ่ายค้านด้วย
ก็เป็นเรื่องของระบบบริหารประเทศว่ากันไป
_องอาจ วิจิตรานนท์ · กราบนมัสการขอรับพระคุณเจ้าที่เคารพยิ่ง กระผมเคยได้ยินหลายคนพูดว่าภิกษุไม่ควรจะมายุ่งกับการเมือง ผมเองรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง ในสมัยพุทธกาลหากพระพุทธเจ้า ท่านไม่ตัดสินใจ ออกมาสอนกษัตริย์ทั้งหลายตลอดจนประชาชนคนอินเดียในขณะนั้น ป่านนี้ก็คงไม่มีศาสนาให้เราได้รับรู้ การที่พระองค์ทรงออกมาสั่งสอนนี่ก็เท่ากับพระองค์ออกมายุ่งกับการเมือง เพราะฉะนั้นพระองค์คือนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ของโลก นี่คือทัศนะคติที่ผมคิดเอาเอง หากผิดพลาดพลั้งประการใดขออภัยไว้นะที่นี้ด้วยนะขอรับ
…พระคุณเจ้าขอรับ ความคิดของกระผมว่า หัวหน้าพรรคส้มเน่านั้นคือกองทัพหน้าของคนหนีคุกในข้อนี้ท่านจะสังเกตได้ว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่ส่งคนของพรรคลงมาแข่งขันในการเลือกนายก คนหนีคุกนั่นแหละตัวเอ้ที่คิดจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ตัวอย่างเช่นให้พระมหากษัตริย์มากระซิบข้างหู ตีตนเสมอท่าน อีกอย่างคือทำพิธีบวงสรวงในวัดพระแก้ว เป็นต้น
พ่อครูว่า… ตอนเป็นพระเจ้าแผ่นดินท่านก็ทำงานเพื่อแคว้นของท่านประชาชนของท่าน แต่ตอนออกบวชแล้วก็ทำงานเพื่อประชาชนทุกคน เพื่อมวลมนุษยชาติ
คุณคนนี้ชัดเจน แต่คนเขาฟังไม่ค่อยเป็น อาตมาพูดไว้เป็นประเด็นที่หลายมุมหลายแง่แล้ว คุณคนนี้ฉลาดเข้าใจ
ทุกอย่างก็ดูที่สังคม ดูที่มนุษยชาติ
_เวียงทอง นุ่นภักดี · น้อมกราบนมัสการพ่อครูที่เคารพอย่างสูงยิ่งเจ้าค่ะ ตัวลูกเห็นการเมืองปัจจุบันมีการแสดงเหมือนละครไม่เห็นความจริงใจของนักการเมืองที่แบ่งขั้วกันชัดเจน อีกฝ่ายสีหมองๆ อีกฝ่ายสีเหลืองที่รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ถ้าแต่ก่อนลูกคงจะทุกข์เพราะจิตลูกคงเกลียดชังเขา แต่พอมาพบธรรมะแท้จากพ่อครู ท่านสมณะ สิกขมาตุ อาจารย์หมอเขียว พี่น้องจิตอาสา ทำให้ลูกวางใจได้ว่าทุก อย่างที่เกิดขึ้นมันดีที่สุดแล้ว มันเป็นไปตามธรรมเจ้าค่ะ กราบสาธุเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… ดี นี่แหละฟังเสียงธรรมะ เรียนรู้ธรรมะ ปฏิบัติธรรมะแล้วมีความเข้าใจเกิดปัญญาทำให้ตัวเองสบายขึ้นและปรับตัวอยู่กับสังคม มันจะเป็นไปอย่างไรก็ได้ในสังคมอวิชชา เขาไม่ได้มีปัญญาเข้าใจ ไม่ได้อยู่เหนือความเปลี่ยนแปลงของสังคมที่ไม่เที่ยง
_บวรวงศ์ เกตุพงษ์ · กองทัพธรรมออกไปให้กำลังใจวุฒิสภาเป็นความประเสริฐ ใช้ความสงบสยบความรุนแรงและความก้าวร้าวหยาบคาย
_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ · ลุงตู่ไปแล้ว พ่อครูจะตรอมใจใหมครับ
พ่อครูว่า… ไม่ตอบดีกว่า อาตมาเลิกแล้ว ไม่มีแล้วเรื่อตรอมใจ
แล้วยิ่งประเทศไทยเราไม่มีอะไรเดือดร้อนหนักหนาสาหัสถึงขั้นต้องตรอมใจ ไม่มี เพราะฉะนั้นก็ยิ่งไม่เกิดอาการตรอมใจ ลุงตู่จะไปจะมาก็เป็นกาลเวลา ที่จริงลุงตู่ทำงานเป็นนายกมาเกิน 8 ปีนะ เดี๋ยวนี้ก็ยังรักษาการนายกอยู่
ส่วนพิธาก็บอกว่าผมเป็นนายกแล้ว คนนี้ไม่อยู่กับร่องกับรอย กำหนดอย่างนี้ก็ไม่เข้าเป้า มีความอยากเป็นชัดเจน ต้องการที่จะได้จะเป็นจะมี มันชัดเจนเป็นกิเลส แล้วแสดงออกว่าต้องทำหน้าที่นะ เขากล้าทำได้อย่างไร แต่เมืองไทยก็ดีนะ ไม่เอาเรื่องกันเท่าไหร่ถ้าเอาเรื่องก็เข้าคุกแล้วพิธา เอากฎหมายมาจับจริงๆหลายประเด็นเลยนะ ส่วนคนไทยก็ดีนะ มันจะบ้าก็ไปให้มันบ้าไป เขาไม่รู้ตัวจริงๆ เห็นไหมกิเลสของคน ให้มันทำอะไรเลยเถิดสุดโต่ง น่าเกลียดเขาก็ไม่รู้ว่าน่าเกลียด ก็ดูกันไป คนไหนเป็นไปอย่างไร ทุกอย่างก็แสดงความจริงออกมา สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุลในมนุษย์
อโศกยึดมั่นถือมั่นแล้วไม่ยึดมั่นถือมั่นไปตามลำดับ
_เล็ก วันนะ · อัตวินิบาต ของอโศกคือยึดมั่นถือมั่นในฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
พ่อครูว่า… คุณพูดถูกต้อง แต่ไม่ใช่อัตวินิบาต แต่เป็นความหลุดพ้นลอยตัวของชาวอโศก อยู่เหนือแล้วหลุดพ้นแล้ว เพราะฉะนั้นยึดมั่นถือมั่นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกต้อง เพราะรู้ว่าอะไรถูกต้องก็ต้องยึดฝ่ายนั้น อะไรไม่ถูกต้องไม่ต้องไปยึดสิ ต้องเลิก ถ้าเราไปยึดฝ่ายไม่ถูกต้องฝ่ายไม่ดี เราก็ต้องเลิกมายึดฝ่ายดี
แต่คำว่ายึดมั่นถือมั่นนี้ ผู้ที่ยังไม่เข้าใจก็ยังต้องยึดมั่นถือมั่นก่อน ยึดมั่นถือมั่นดีให้ได้แล้วอย่าให้ความไม่ดีนี้ยังอยู่ พอได้แล้วก็ค่อยๆ ละหน่ายจางคลายจากกิเลส ไม่ต้องไปยึดมั่นถือมั่นจนที่สุดไม่ต้องไปยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา
คุณเอาไปฟังซ้อนฟังซ้ำถ้าอัดไว้ ทำความเข้าใจดีๆ
สายอรหันต์เก๊คือสายหลับตามหาบัว ไม่เข้าใจปฏิจจสมุปบาท
_รชต หอมนาน · ผมนับถือหลวงตามหาบัวคับ ที่ท่านว่าหลวงตามหาบัวไม่ใช่พระอรหันต์ผมก็ไม่รู้ แต่กูไม่นับถือมึง ไอ้เป**
พ่อครูว่า… ก็เป็นธรรมดา 2 คนยลตามช่องคนหนึ่งมองเห็นโคลนตม อีกคนตาแหลมคมมองเห็นดาวอยู่พราวพราย
มันก็น่าเห็นใจ อาตมาสงสารสังคมพุทธศาสนาทุกวันนี้ มันเสื่อมหนักเลย คนส่วนใหญ่ไปหลงผิดเคารพสิ่งที่มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาปฏิบัติผล ไปหลงอรหันต์เก๊ไปหลงคนที่ดำเนินผิด อย่าว่าแต่พระหลับตาปฏิบัติเหมือนสายมหาบัวเลย แม้แต่เถรสมาคม ก็ไปยึดถือออกนอกรีตนอกทาง ศีลสมาธิปัญญาไม่ได้อยู่ในนั้นแล้ว ไปเข้าใจเพียงวิชาการอะไรภายนอก แล้วก็ไปประพฤติปฏิบัติสร้างก่ออะไรกันเพื่อที่จะได้ ตำแหน่งยศศักดิ์หรือว่าสร้างให้ฐานะของวัดของตัวเอง สถานที่ของตัวเองมีคนมายอมรับนับถือ มีแขกเหรื่อมากๆอะไรพวกนี้ ดูแล้วก็น่าสงสารศาสนาพุทธ
ยุคพระพุทธเจ้าคนเข้าใจอยู่คนที่มาบวชในพุทธศาสนาคือคนมาละหน่ายจางคลายจากกิเลส ในยุคนี้ในชาวอโศก ชาวอโศกอาตมาก็ทำกลับ นำของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติจนสำเร็จมรรคผล แล้วก็มีสิ่งที่เกิดเป็นปรากฏการณ์จริง เป็นพฤติกรรมจริงเกิดขึ้นในสังคม มีพฤติกรรมทางมีศีล มีพฤติกรรมทางมีสมาธิ ซึ่งเป็นสมาธิแบบพระพุทธเจ้าเป็นสัมมาสมาธิเป็น สมาหิโต ไม่ใช่เจโตสมาธิแบบที่เขาหลับหูหลับตาปฏิบัติแบบมิจฉาทิฏฐิ ไม่ใช่ คนละเรื่อง
เป็นปัญญา แต่ของเขาไม่เป็นปัญญาไม่เข้าหลักเกณฑ์ปัญญาของพระพุทธเจ้า เป็นแค่เฉโก เป็นแค่ความรู้โลกียะ ที่แม้ว่าจะพอรู้สึกเข้าใจเรื่องสุขเรื่องทุกข์บ้าง เข้าใจอยู่บ้าง แต่ก็ยังเป็นอวิชชาไม่เข้าใจอย่างสมบูรณ์เป็นอวิชชา 8 ทุกข์ สมุทัย นิโรธมรรค อวิชชา 4 ข้อก็ไม่รู้แล้ว สิ่งที่เป็นส่วนอดีตก็ไปยึดมั่นถือมั่น สิ่งที่เป็นอนาคตส่วนที่เป็นอนาคตก็ไปยึดมั่นถือมั่น แล้วแต่บุคคล ใครจะไปยึดอดีตมาก ใครจะไปยึดอนาคตมาก ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคตก็ไปยึด บางคนก็เอาหมดเลยทั้งอดีตอนาคต
ไม่อยู่ในปัจจุบัน นี่คือวิชาที่แท้จริงเพราะอดีตก็ดี อนาคตก็ดีไม่ใช่ความเป็นจริง อดีตผ่านมาแล้วอนาคตก็มาไม่ถึง พูดไปไม่รู้เท่าไหร่แล้ว ต้องเข้าใจใน กาละทิฏฐธรรม ปัจจุบันชาติเป็นความจริง
เพราะฉะนั้นแม้แต่แค่นี้แหละเข้าใจไม่ได้ว่าคุณจะไปปฏิบัติกับความจริงหรือคุณจะไปปฏิบัติกับสิ่งที่มันไม่จริง อยู่กับอดีตมันก็มีแต่สัญญา อนาคตก็มีแต่สัญญา กำหนดหมายอะไรไปล่วงหน้า มันไม่ได้เป็นปัญญา มันไม่ได้เป็นของจริงอะไรเลย มันไม่ได้ประโยชน์ มันเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ในทิฏฐิ 62 พรหมชาลสูตร พระไตรปิฎกเล่ม 9 พระสูตรแรก มิจฉาทิฏฐิจมอยู่ตรงนั้นเยอะเลย
เพราะฉะนั้นจึงไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท 11 12 อวิชชาสนิท สังขารก็ไม่รู้เรื่อง วิญญาณก็ไม่รู้เรื่อง เรื่องวิญญาณก็คิดเป็นสัมภเวสีไปไม่อยู่ในปัจจุบัน ต้องเป็นวิญญาณฐิติอยู่ในปัจจุบันขณะนี้จึงจะใช่ของจริง แต่นี่ไม่เลย ดีไม่ดีกำหนดวิญญาณก็ไปกับหมอปลา วิญญาณผีเข้าผีออกอะไรกันซึ่งเป็นอุปาทาน ก็ต้องปล่อยไปมันเป็นอุปาทานของเขา อย่าไปจำ อย่าไปยึด อย่าไปถือตามที่เขาทำตามกันมา คุณไปจำมาตั้งแต่กี่ชาติแล้วว่าผีเป็นอย่างนั้น
ผีมันคือกิเลสอยู่ในตัวคุณอย่างน้อยที่สุดบอกว่าผีเข้าคือความโง่ของคุณ ผีกิเลสมาเข้าคุณ นอกจากกิเลสนั่นแหละเป็นผีของคุณแล้วคุณก็รู้จักกิเลสและคุณก็เริ่มลดมาเป็นศีลสมาธิปัญญา
อันนี้กิเลสเกี่ยวกับสัตว์ เกี่ยวกับคน อันนี้กิเลสเกี่ยวกับข้าวของเกี่ยวกับพืช อันนี้กิเลสเกี่ยวกับกามคุณ 5 รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) นี่แหละผี รู้จักผีให้ได้ อย่าไปงมงายกับผีอย่างนั้นก็เรียกอย่างติดปากว่าผีหลอกผีหลอก เอาผีจริงๆสิ เอาผีออกจากตัวให้ได้สิ
คนไม่เข้าใจไปศรัทธาอรหันต์เก๊ไปศรัทธามิจฉาทิฏฐิอรหันต์สายหลับตามหาบัวเป็นต้น ก็ได้แต่สงสารอย่างเดียว ฟังอาตมาบ้างเปิดจิตอย่าไปงมงายจนเกินกาล ไม่งั้นก็ได้แต่จมกับจอม คุณเอ๋ย คุณ รชต หอมนาน อาตมาว่าจะเหม็นนานนะ ขออภัยไปแปลงชื่อคุณ
การไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเป็นกิจของสงฆ์อย่างยิ่ง
_นราพรรณ เกียงหนุน · หนูมีข้อสงสัยค่ะ เนื่องจากหนูไม่มีความรู้เรื่องธรรมขนาดนั้น อยากทราบว่าเรื่องการเมืองตรงนี้เป็นกิจของสงฆ์ด้วยหรอคะ แล้วหนูได้รับคำตอบมาว่าพระพุทธเจ้าก็เล่นการเมืองแต่เท่าที่หนูทราบมาท่านก็ไม่ได้อยากเข้าการเมืองและได้ทำแค่เป็นที่ปรึกษา(ถ้าหนูเข้าใจผิดช่วยบอกสิ่งที่ถูกด้วยนะคะ) แต่อันนี้เหมือนเป็นการตัดสินเลยหนะค่ะ ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายคิดเป็นเรื่องผิด ทั้งที่เราก็ยังไม่เห็นผลลัพธ์ ยังไม่ได้เริ่มเลย หนูแค่สงสัยไม่ได้มีเจตนาจะมาสร้างความวุ่นวายนะคะ พอดีได้ฟังจากที่แม่เปิดอยู่ตลอด มันขัดแย้งกับสิ่งที่หนูคิดหนูจึงอยากทราบเหตุผลค่ะ
พ่อครูว่า… ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หากว่าคนของพระเจ้าแผ่นดินที่ครองแคว้นใหญ่ อย่างพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าอชาตศัตรู มาเข้ามาบวชกับพระพุทธเจ้า ท่านก็ยังสนับสนุนเลย พระพุทธเจ้าสุดยอดท่านมีบารมีสูง แต่อาตมาก็ไม่ได้ไปแย่งคนนะพวกคุณมาเองทั้งนั้นเลย อาตมาก็ไม่ได้ไปแย่ง ไม่ได้ไปโฆษณาหว่านล้อมอะไรต่ออะไร ไม่หาเสียง ไม่หาสมาชิกแต่พวกคุณเป็นสมาชิกด้วยอิสระเสรีภาพเอง เป็นภูมิปัญญาปฏิภาณของพวกคุณรู้ว่าอย่างนี้ใช่ อย่างนี้ต้องเอาคุณก็มากันเอง เป็นความเฉลียวฉลาดของพวกคุณเอง
ดี คุณถามมาก็ดีแล้ว อาตมาก็บอกให้นิดหน่อยก็แล้วกันว่า ที่หนูตัดสิน สิ่งที่อีกฝ่ายคิดเป็นสิ่งผิด ทั้งที่ยังไม่เห็นผลลัพธ์ ก็ลองติดตามดู ฝ่ายทางด้านที่หนูเคยได้ยินได้ฟังมาเยอะแยะก็คงจะรู้บ้างแล้วล่ะ โดยเฉพาะประเด็นที่บอกว่า เป็นกิจของสงฆ์ด้วยหรือ ในเรื่องของการเมือง ก็ขอยืนยันว่าเป็นกิจของสงฆ์อย่างสำคัญ
แต่ อาตมาก็อธิบายนัยละเอียดหลายทีแล้วว่า สงฆ์ยุคนี้ พระพุทธศาสนานี้ ภิกษุเสื่อมไปจนกระทั่งไม่รู้เท่าทันนักการเมือง เขาก็เลยไม่ให้ไปยุ่งกับการเมืองดีแล้ว ไม่อย่างนั้นกลายเป็นลูกน้องนักการเมืองไปหมด ไปเป็นบริวารนักการเมืองหมด เขาซื้อไปเป็นหัวคะแนนอยู่ในประเทศไทยหมด
เพราะฉะนั้นทางด้านเถรสมาคมก็เลยมีกฎของเถรสมาคมว่าอย่าให้ภิกษุไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ถูกต้อง
แต่ของอโศกนั้นเข้าใจเรื่องการเมือง เข้าใจในเรื่องพฤติกรรมสังคม และมีโลกุตรธรรมอยู่เหนือพวกนี้ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีกฎหลักอะไรที่ต้องไปห้ามให้ยุ่งกับการเมือง
จริงๆแล้วควรสอดส่องการเมือง เมื่อใดควรจะต้องลงมือไปช่วยตาม กาละ เทศะ ฐานะ ที่ควรให้ช่วย อย่างที่เราทำมาหลายทีแล้ว
ปัญญาทำให้กิเลสวิ่งหูตูบ
_ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการ พ่อท่านด้วยสุดเศียรสุดเกล้าครับ ที่พ่อท่านได้กรุณาปลุกลูก ๆ ออกไปปฏิบัติหน้าที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพื่อ Rally ในระบอบประชาธิปไตยไทย
โดยให้ลูกๆไปรวมหมู่มิตรดี ผมก็ได้ไปมาแล้วในวันที่ 18 ก.ค 66 ก็ได้อ่านเวทนาในจิตรู้สึกไม่มี สุข ทุกข์ เลย ครับ ถ้าต้องไปอีก ขอเพียงพ่อท่านกรุณาประกาศอีก
ผมจะขอไปกับหมู่มิตรดีครับ กราบนมัสการขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงยิ่งครับ
พ่อครูว่า… ดี อ่านเวทนาความสุขความทุกข์ แล้วอ่านเหตุแห่งความสุขความทุกข์นั้นได้ออก เหตุมันคือตัวปลอมทั้งนั้น มันเป็นเหตุมันเป็นทุกข์ แต่มันมาหลอกเป็นสุข คุณจะเกิดปฏิภาณปัญญาในการผัสสะจนกระทั่งปัญญาของคุณมีธรรมฤทธิ์ พอเจอหน้ากิเลส กิเลสมันก็รู้ว่าปัญญามันรู้หน้าเราแล้วอย่างที่เคยอธิบาย กิเลสมันจะรีบวิ่งหนีเลย ปัญญารู้หน้าเราแล้ว เจ้าของปัญญา ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า กิเลสมันเห็นหน้าตถาคต ตถาคตเห็นเราแล้วมันก็รีบวิ่งหนีหูตูบเลย นี่อธิบายเป็นรูปธรรมให้ฟังชัดๆเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วนามธรรมมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆด้วย
ก็ช่วยกันดูแลเอาใจใส่บ้านเมืองประเทศชาติสังคมที่เราร่วมอยู่ด้วย ถ้าสังคมมันเสื่อมเสีย มันทรุด มันไม่ดีไม่งาม เราก็ร่วมอยู่ในสังคมด้วย มันก็ต้องดูแลช่วยกัน ไม่ดูดายดีแล้ว ดูดีกัน
_นาง จับใจ ธนะโภค วันพุธที่ 19 ก.ค. 66 พุทธศาสนาตามภูมิ ภาคทบทวนจากท่านปัจฉาฯ · วันนี้ฟังธรรมได้อรรถรส – ได้ฟังคำสอน เรื่องประโยชน์จากคำตำหนิ – ได้ฟังเรื่องการเมือง – ได้ฟังชาดก
พ่อครูว่า… มีรายงานมาได้ประโยชน์ก็ขอบคุณ
วิบากไอของพ่อครูใครเป็นคนทำ
_กราบนมัสการ พ่อท่าน ที่เคารพ ศรัทธายิ่งค่ะ
เข่ง ใจแก้ว เดินทางจากบ้านราช วันที่ 6 เดินทางต่อ บ้านปาดังเบซาร์ค่ะ
เข่งฟังธรรม วันจันทร์ที่ผ่านมา ปรับทุกข์ ปลุกธรรม ฟังไปฯ พ่อท่านก็ไอแล้วไออีก
พ่อครูว่า… เมื่อกี้ ก่อนเข้ารายการก็ร้องเพลงเล่น กูล่ะเว้ยเฮ้ยกูเป็นคนไอ รู้บ้างไหมไอเป็นคนทำ !
_ดิฉันมีความรู้สึกเห็นใจมากๆจริงๆ
พ่อครูว่า… มันเป็นวิบากของอาตมาจริงๆ แต่ว่าทรมานมาก มันก็ไม่อย่างนั้นแต่มันทรมานอย่าง ทรถ มันไม่ปกติ มันแหย่ให้เรา แต่อาการมันแรงแต่อาตมาไม่มีปัญหาในการติดยึด แต่มันเกิดสภาวะจริง มันไอมันจะต้องขับเสลดมันเหนียว ต้องไอแรง แล้วมันก็มีที่อาตมาเรียกมันว่าน้ำพิษ รสชาติมันไม่ได้เรื่องเลย มันเกิดขึ้นมาแล้วไอ้กระเปาะนี้ ปั่นทั้งเสลด ปั่นทั้งน้ำพิษออกมา มันก็เลยเป็นวิบากของอาตมาเป็นการทรมานชนิดหนึ่ง มันไม่รุนแรงหรอก แต่มันก็ไม่น่าจะมี เป็นของที่ไม่น่าได้น่าเป็นเลยไอแรงๆมันเมื่อย น้ำพิษมันก็บอกไม่ถูกเลย ใครก็ไม่อยากจะอมในปาก มันเป็นของแปลกที่ไม่มีตัวอย่าง อาตมาว่าอาจจะเป็นคนเดียวในโลกที่มีอันนี้ หมอเขาจนปัญญา ก็เป็นไป มันก็เป็นวิบากของอาตมาก็จำเป็น
_พ่อครูอายุก็จะ 90 แล้วนะ ให้พ่อท่านเทศน์ อาทิตย์ละ 1 วัน ก็พอแล้วน่ะ นอกจากนั้นก็ใช้รีรันที่พ่อท่านเทศน์ไว้ก็ดีนะ
พ่อท่านเทศน์ไป สุดท้ายพูดว่า อาตมาไม่ไหวแล้วควรจะปลงสังขารได้แล้วถึงเวลาจะตายได้แล้ว ดิฉันฟังแล้วมีอาการในจิตตุบๆเกิดขึ้น จะว่าอาการเศร้าก็ไม่ใช่ อาการสงสารก็ไม่ใช่ จับอาการของจิตคล้ายๆเห็นใจ เข้าใจพระโพธิสัตว์ มีความเมตตากรุณา ลูกๆ หาที่สุด มิได้ ใช่ใหมค่ะ พ่อท่านค่ะ
เข่งก็ขอมาบ้านปาดังเบซาร์ ก็ได้ปฏิบัติเหมือนกับที่อยู่บ้านราชค่ะ เป็นปกติ
เข่งขอกราบพ่อท่าน เคารพศรัทธายิ่งๆค่ะ
พ่อครูว่า… ดีเราใช้เหตุปัจจัยเหล่านี้เป็นเครื่องศึกษาปฏิบัติตามอ่านจิตอ่านใจแล้วก็พิจารณาออก จะว่าเป็นอาการเศร้าก็ไม่ใช่ ใช่ว่าสงสารก็ไม่ใช่ ใครๆเห็นใจเข้าใจพระโพธิสัตว์ มีความเมตตากรุณา ลูกๆ หาที่สุด มิได้ ใช่ใหมค่ะ ใช่แล้ว
ดี ก็เกิดปัญญาเกิดปฏิบัติธรรมเจริญในธรรมไปเรื่อยๆ อาตมาก็ยังภูมิใจที่เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาประกาศ เอาของพระพุทธเจ้ามาเผยแพร่สืบต่อไป ก็ยังมีคนที่ฟังธรรมโลกุตระธรรมรู้เรื่องเข้าใจเอาไปปฏิบัติได้ มีมรรค มีผล มีสมณะ 4 เหล่าเกิดขึ้นอย่างแท้จริง
อาตมาก็ยังภูมิใจว่าอาตมายังทำงานได้มรรคได้ผล เป็นสิ่งที่ยืนยันได้เป็นของจริง คนที่เขาไม่มีภูมิปัญญารู้ เขามองไม่ออกก็น่าสงสารไม่รู้จะทำไง จะไปบังคับความเชื่อ ความฉลาด บังคับให้คนอวิชชามามีวิชชามันทำไม่ได้ ก็ได้แต่สงสารกัน คนที่ได้ก็ได้ไป ผู้ที่สนใจใฝ่รู้แสวงหาไม่มีอคติก็จะได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เพราะทุกวันนี้แรงต่อต้านหรือแรงด่าเหลือน้อยลง แต่ก็ไม่น้อยหรอกในโซเชียลทุกวันนี้ มันมีเยอะและคนไม่รู้มันมาก จะไปเอานิยายกับโซเชียลเขา ที่ comment ออกมา เขาก็ comment มา วิจัยวิจารณ์ไปตามเขา เขาก็สนุกกันดีนะ อาตมาไม่ได้เคยมีกดๆกับเขาเลยตั้งแต่มีพวกนี้มา ก็ไม่รู้เขาเกิดรสชาติกันอย่างไร สนุกสนานอย่างไร อาตมาก็ไม่รู้เรื่อง อาตมาก็เห็นได้แต่เห็นอย่างนั้นก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร
วิบากกรรมของการพูดคำหยาบ
_ด.ช.เจเจ . ผมเคยอ่านวิบากของการพูดผิดศีลข้อ 4 ทุกข้อก็พอจะเข้าใจได้บ้างครับ ยกเว้นวิบากของการพูดคำหยาบหรือผรุสวาจา ท่านบอกว่า ย่อมยังเสียงที่ไม่น่าพอใจ ให้เป็นไปแก่ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ หมายความว่ายังไงครับหลวงปู่
พ่อครูว่า… พูดคำหยาบก็แน่นอน มันไม่น่าพอใจ ผู้ที่มาเกิดเป็นมนุษย์ก็คือผู้ที่มีจิตสูง เมื่อได้รับฟังคำหยาบ มันก็ไม่น่าพอใจ มันก็เป็นธรรมดาหมายความว่าอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นคนที่พูดคำหยาบ อาตมาว่าอาตมาไม่เคยพูดคำหยาบ มีแต่พูดคำแรง และพูดคำที่ท้วงสิ่งผิด การพูดที่ท้วงสิ่งผิด แล้วมันมีจริง ความผิดนั้นมีจริง มีบุคคลจริง เกิดขึ้นจริง ยิ่งมีมากมันก็ยิ่งดูเหมือนว่าคนนี้ไปพูดแรง แล้วเขาแปลคำว่าแรงเป็นคำหยาบ ซึ่งไม่ใช่
คำหยาบคือคำที่ไม่น่าพูด เป็นคำไม่ใช่ของผู้ดี การตำหนิสิ่งผิดเป็นหน้าที่ของผู้ดี พระพุทธเจ้าเกิดมาเพื่อพูดสิ่งที่ตำหนิสิ่งผิดมาตลอด ท่านตรัสว่า การตำหนิแล้วการตำหนิอีกเป็นความเจริญ คำสรรเสริญนั้นเป็นคำต่ำทราม ไม่มีค่าอะไรพอจะให้ละหน่ายจางคลายจากกิเลส
ส่วนคำตำหนินั้นเป็นคุณค่าประโยชน์ตลอด พยายามเข้าใจธรรมะฟังธรรมะดีๆ
วัตถุประสงค์ที่ต้องเข้าใจคำว่า กาย
_พร… น้อมกราบนมัสการพ่อครู ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งค่ะ
ดิฉันได้ฟังพ่อครูบรรยายเกี่ยวกับเรื่อง อุตุ พีชะ ชีวะ ปกติดิฉันจะไม่ค่อยใส่ใจเท่าใดนัก ฟังพอผ่านๆหูไป เพราะรู้ดีว่าเป็นเรื่องละเอียด ลึ้กซึ้ง เกินภูมิปัญญาและฐานะของตน แต่เมื่อวันก่อน โน้น ดิฉันเกิดความสงสัยขึ้นมาและพ่อครูก็บอกว่า เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งในการศึกษา จึงไม่อยากปล่อยผ่าน ดิฉันคิดว่า การเรียนรู้ไว้ก่อนก็คงไม่ได้เสียหายอะไร คำถามอาจจะยาวไปสักหน่อย ทำให้พ่อครูต้องลำบากในการอ่าน ครั้นจะตัดออกบ้าง ก็จะไม่เกิดความสมบูรณ์ ชัดเจนในปัญหานั้นๆ จึงต้องกราบขออภัยพ่อครูเป็นอย่างยิ่งค่ะ เรื่องที่ดิฉันสงสัยคือ..
1 .การศึกษาเรียนรู้ในความเป็น “กาย” เพื่อจุดประสงค์อะไรบ้างคะ
พ่อครูว่า… การศึกษาเรื่องความเป็นกาย เข้าใจความเป็นกายให้ถูกต้องสัมมาทิฏฐิ เพื่อจุดประสงค์ให้ถูกต้องไง ถ้าความเข้าใจคำว่ากายไม่ถูกต้องในศาสนาพุทธ คำแรกนี้เลย ล้มเหลวทั้งกระบวน
กาย เป็นสัมมาทิฏฐิหรือเป็นมิจฉาทิฏฐิ ผู้ที่มีอวิชชามิจฉาทิฐิอยู่ยังเป็นอยู่ ภาษาคำว่า กายะ เป็นบาลีของพระพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธคนในศาสนาพุทธเสื่อมแม้แต่ในประเทศไทย (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไท… พ่อครู กำลังอธิบายที่พวกเราถามมา อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม
พ่อครูว่า… คำว่ากายนี้ เป็นคำที่ยิ่งใหญ่
-
สัมมาทิฏฐิในสังโยชน์ข้อที่ 1 เรียกว่าเครื่องเกาะเครื่องผูกเป็นกิเลสสำคัญข้อที่ 1 เลยที่จะต้องทำความเข้าใจให้ได้ว่า กาย สัมมาทิฏฐิแท้ๆคืออย่างไร
ถ้าคำว่า กาย ไม่สัมมาทิฏฐิตั้งแต่ข้อแรก เลิกเลย
2.คำว่ากายนี้มันเป็นคำที่จะต้องมีจิตร่วมอยู่ตลอดเวลา คำว่ากายเข้าใจว่าเป็นแต่เพียงวัตถุสรีระอย่างเดียว มิจฉาทิฏฐิหนักเลย มิจฉาทิฐิหนักก็คือเข้าใจคำว่ากายเป็นวัตถุเป็นดินน้ำไฟลม เป็นภายนอกอย่างเดียว ไม่ได้ไปเน้นหาจิต มีแต่เน้นไปทางจิตโดยไม่เกี่ยวกับภายนอกมันก็ผิดแต่มันก็ดีกว่าเข้าใจแต่เพียงภายนอก
คำว่า กายต้องมีทั้งภายนอกและภายใน กายต้องมีสองเสมอเป็น 2 ใน 1และ 1 ใน 2 ซึ่งเป็นเรื่องสิริมหามายาเป็นเรื่องเข้าใจยากมาก
เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจกายไม่ได้ แยกกายแยกจิตไม่ได้ เมื่อใด อารมณ์หรือเวทนามันมีกาย เมื่อใดเวทนาไม่มีกาย ตรงนี้แหละจะบรรลุธรรมหรือไม่บรรลุธรรมก็อยู่ตรงนี้
เพราะฉะนั้นเวลาคนมาบวช พระพุทธเจ้าจะต้องให้อุปัชฌาย์อธิบายการแยกกายแยกจิตให้ได้ ให้สัมมาทิฏฐิก่อน ถ้าไม่สัมมาทิฎกายแล้วแยกกายแยกจิตไม่ถูกต้อง ล้มเหลวในการบวชเลย จะแยกธรรมนิยาม 5 ไม่ออก จะเข้าใจอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยามและปฏิบัติด้วยกรรม ด้วยธรรม ปฏิบัติไม่ได้เลย จะล้มเหลวไปทั้งขบวนสูญเปล่า
เพราะฉะนั้นในเถรสมาคมอาตมามั่นใจ คำว่ากายทุกวันนี้ มันมาเป็นพลเมืองของไทยหมดแล้ว เดิมเป็นของอินเดีย จะเป็นเชื้อชาติไทยแล้วไม่ใช่แค่สัญชาตินะ แล้วเขาก็หมายคำว่ากายคือ ร่างภายนอก กายคือสรีระ แล้วก็เรียกกันด้วยศัพท์เต็มว่า ร่างกาย ก็ยิ่งชัดเจนว่าร่างกาย เขาหมายถึงจะเป็นภายนอก เป็นดินน้ำไฟลม ไม่ได้เข้ามาหาใจเลย อันนี้ผิดถนัดเลยคือความล้มเหลวหรือความเสื่อมของศาสนาพุทธ
เพราะฉะนั้นถามว่าการศึกษารู้ในคำว่ากายเพื่อจุดประสงค์อะไรก็เพื่อให้สัมมาทิฏฐิ เพราะถ้าไม่สัมมาทิฏฐิข้อนี้ข้อเดียวก็เลิกเลยศาสนาพุทธ นี่คือจุดประสงค์ อาตมาก็พูดมาตั้งนานแล้ว แล้วจะยังเข้าใจสัมมาทิฏฐิกันได้แค่ไหน ยังอีกนะ อาตมาว่าคนยังเข้าใจไม่ครบง่ายๆเรื่องกาย อาตมาก็ยังไม่เก่ง ขยายความได้เท่านี้ก็ไม่ใช่น้อย
คุณต้องเข้าใจแยกกายแยกจิต ปฏิบัติโพธิปักขิยธรรมต้องพิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ถ้าคุณเข้าใจกายในกายผิดตั้งแต่แรก คุณเข้าใจกายในกายไม่ได้แล้วคุณจะไปปฏิบัติอย่างไร พิจารณากายนอกกายใน มันอยู่ตรงไหนยังไง
เมื่อคุณเข้าใจว่ากายมีแต่ข้างนอก หรือคุณจะเข้าใจกายในกายคือภายใน
ความหมายของกาย เวทนา จิต ธรรมนี้ เป็นอิทัปปัจจยตาไม่ได้แยกกันนะ แยกกันไม่ได้ กายก็จะต้องมีเวทนา เวทนาใดที่ไม่มีกายไม่เป็นกาย แต่เวทนาที่จะเกิดนั้นต้องมีผัสสะภายนอก ถ้าไม่มีผัสสะภายนอก เวทนาไม่มี เมื่อมีเวทนาแล้วก็ต้องปฏิบัติเวทนาไม่ให้เป็นกาย
กายคือความสุขความทุกข์ เพราะฉะนั้นสัมผัสภายนอกอยู่ แล้วสัมผัสแล้วไม่มีสุขไม่มีทุกข์ นั่นคือความสำเร็จของเวทนา ความรู้สึกหรืออารมณ์สัมผัสภายนอกอยู่ ในสภาวธรรม เขาสัมผัสภายนอก คุณมีกายแล้ว แล้วคุณก็มีจิตมีเวทนาและคุณก็ทำเวทนาของคุณไม่ให้มีกายไม่มีสภาพ 2 ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ได้ นี่แหละเป็นการปฏิบัติ ต้องรู้
แล้วเวลาปฏิบัติจริงๆต้องอ่านสภาวะของตัวเองออกในปัจจุบันนั้นๆ ไปนั่งคิดเอา ไปสัญญาคิด ผ่านมาแล้ว ไม่ใช่ของจริงหรอก คุณไม่รู้อารมณ์จริงไม่รู้จักเวทนาตัวจริงที่เกิดในปัจจุบันชาตินั้นๆ คุณไม่รู้คุณก็ได้แต่เดาเอา มันก็ไม่ตรงสภาวะ ความรู้สึกจริงมันไม่ใช่สัจจะ ไม่ใช่เวทนาขณะนั้น มันเป็นสัญญา มันเป็นเพี้ยนไปกำหนดสัญญา เอาความจำมาคิด แล้วคุณจะเจอความจริงจากมันได้อย่างไรมันต้องมีเวทนาเกิดอยู่หลัดๆถึงจะอ่านความจริงได้ว่า มันถึงจะอ่านได้ว่า มันไปหลงความสุข มันเป็นสุขเป็นทุกข์อยู่ มันเป็นอารมณ์ แว่บๆเดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์อย่างนี้ สุขอย่างนี้ ทุกข์มันมีความจริงคุณจะอ่านออกได้อย่างไร คุณไม่ได้ทำปัจจุบันคุณไม่ได้ทำ คุณไปทำแต่ในอดีตในอนาคต อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นการที่จะปิดหูปิดตาไม่มีภายนอก มันโมฆะเลยที่ปฏิบัติธรรมกัน มันเสื่อมสนิทจริงๆเลย นักปฏิบัติธรรมนึกว่าจะได้บรรลุธรรมและหลงผิดไม่ได้บรรลุด้วย มันน่าสงสาร ดีที่พวกเรามาฟังแล้วอาตมากู้กลับศาสนาพุทธคืนมาได้ประมาณนี้ จนป่านนี้แล้วอาตมาก็มาถึงขั้นบ่นๆว่าไม่ควรจะอยู่แล้ว ได้ขนาดนี้ก็คงจะประมาณนี้นะ นอกนั้นก็ความหวังมันยิ่งกว่าพิธานะ แต่พิธาเขายังมีหวังมากกว่าอาตมา เขายังเหลืออีกมาก
ทำจิตไม่เกี่ยวเกาะเป็นอุตุ
-
ความเป็น “อุตุ” ที่อยู่ในคนเป็นๆนี้ จะคิดตามยังไงก็คิดไม่ออกค่ะ ( มีข้อสังเกตุว่า แม้คนที่ตายแล้ว ก็ยังเหลือ “จิต” หรือ “ตัวรู้” อยู่ และจะมีเจตสิกร่วมอยู่ด้วยหรือไม่อย่างไร อันนี้ก็ไม่อาจทราบได้ค่ะ)
พ่อครูว่า… ฟังดีๆมันเป็นปรมัตถธรรม เป็นอภิธรรม ที่อาตมาอธิบายมันเป็นสภาวะธรรม
อุตุคือสภาวะดินน้ำไฟลม ในตัวเราเป็นสังขารปรุงแต่งมีดินน้ำไฟลม ร่วมปรุงแต่งกันอยู่ในนี้ด้วย พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณาผม ขน เล็บ ฟันหนัง จะเป็นผมก็ตาม เป็นขนก็ตาม เป็นเล็บก็ตาม ไม่ต้องไปพูดถึงฟันถึงหนัง มันละเอียดเกินไป เอาแค่เล็บแค่ผม อาตมาถนัดที่อธิบายเรื่องเล็บ
เล็บคน ถ้าอ่านพิจารณากรรมฐานนี้ได้ รู้จักเวทนาในสิ่งนี้ว่า มันเป็นกายหรืออะไรไม่เป็นกาย อธิบายแล้วอธิบายอีก ตอนนี้ก็ยังอธิบายอีก
เล็บในคนที่มันยังมีชีวะยังไม่ได้ตัดออกจากนิ้ว มันยังเป็นเล็บยาวพ้นปลายประสาทออกมา มันไม่มีเวทนา มันไม่มีความรู้สึกเจ็บหรือไม่เจ็บ ไม่มี ผมขนก็เหมือนกัน ปลายผมยาวก็ไม่รู้สึกเจ็บอะไร ทุกคนเข้าใจใช่ไหม ตัดออกมา ขาดออกจากร่างกาย มันกลายเป็นอุตุเป็นดินน้ำไฟลมไปแล้ว จะเอายาอะไรมาเชื่อมต่อมันก็ไม่เป็นชีวะแล้ว ไม่เหมือนหนัง เล็บของคนที่หลุดออกไปแล้วเอามาต่อไม่ติดหรอก ไม่มีความรู้สึก ไม่ใช่กาย ไม่มีเวทนา
-
ตัดออกไปแล้วเป็นอุตุแน่นอนแม้ว่าตัดแล้วมันยังมีชีวะอยู่ก็ตาม มันก็ไม่รู้สึกเจ็บไม่ปวดอะไร มันไม่มีเวทนา แต่มันติดอยู่ที่ร่างกายเรายังเป็นชีวะนี่แหละ มันเป็นพืชเป็นชีวะ เข้าใจให้ดีนะเป็นพืชกับเป็นจิตนี่แหละ เพราะฉะนั้นเราจะต้องเรียนรู้ว่าจิตทำให้เป็นพืชเป็นอย่างนี้ เป็นอุตุอย่างที่คุณทำมาแล้ว มันจะเอาออกยังไง
ทีนี้คุณถามหนักกว่านั้นไปถึงอุตุในร่างกาย อุตุในร่างกายนั้น ขี้ไคลหรืออุจจาระที่มันออกไปแล้ว หรือแม้แต่เมนของผู้หญิงหรือเรียกว่าระดูมันหมดชีวะแล้ว ไหลทิ้งออกมาเฉยๆ
_สู่แดนธรรม… ขี้มูกแห้งด้วยครับ
พ่อครูว่า… แถมให้ ไม่มีในพระไตรปิฎก ระดูหรืออุจจาระที่มัน ไม่เหมือนระดู ออกไปแล้ว ทิ้งออกไปให้ ไม่เจ็บไม่มีปวด มันสบายด้วย
_สู่แดนธรรม… ที่บอกว่าอุตุเขาคงหมายถึงจิตใจมากกว่าครับ
พ่อครูว่า… ใช่เขาหมายถึงจิตใจอย่างไร ก็ยังที่อธิบายว่า เราสามารถที่จะทำความรู้สึก ความรู้สึกเป็นอย่างไร ถ้าความรู้สึกของคุณอันนี้เราไม่เกี่ยวเกาะ จิตของเราไปเกี่ยวเกาะใช้ภาษาไทยถูกต้องแล้วตรงตามวิชาการ คำว่าไม่เกี่ยวเกาะ แม้แต่เราสัมผัสอยู่แต่เราไม่เกี่ยวเกาะ มันก็ไม่มีความรู้สึกใด ความรู้สึกที่ไม่มี ยิ่งกว่าพืชยิ่งกว่า พีชะ มันเหมือนกับไม่ใช่เราเลย มันไกลไปเป็นอุตุ มันก็เป็นดินน้ำไฟลม ที่เราอาศัยในรูปธรรมก็มีอยู่แล้ว ร่างกายก็มีดินน้ำไฟลม มีธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลม ผสมส่วนปรุงแต่งกันอยู่ในร่างกายนี้ ในจิตใจก็มีเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราก็ทำความรู้สึกให้เข้าไปถึงความรู้สึกอ่านความรู้สึก แล้วก็อ่านในขณะที่มีการสัมผัส ถ้ามันไม่สัมผัสมันก็เข้าใจว่าเป็นดินน้ำไฟลมอยู่ข้างนอกเหมือนเราตัดเล็บตัดผมอะไรออกไปหลุดออกไปแล้ว มันก็ไม่ใช่เรา มันก็ไม่เป็นกายอย่างชัดเจนแล้ว แต่อ่านความรู้สึก แม้มันติดอยู่ที่ตัวเรา เราก็เห็นให้ได้ว่าเราไม่ไปเกี่ยวเกาะมันจนถึงขั้นรู้สึกได้ มันไม่รู้สึกอยู่แล้วก็อย่าไปทำความรู้สึก
เช่น ผู้หญิงชอบเล็บของฉัน สวย ยาว ตอนนอนมีคนมาตัดเล็บออกไป แกตื่นมาแกดิ้นแน่เลย เอาเล็บของฉันมา จะดิ้นตายแน่เพราะอาการเกี่ยวเกาะมันเป็นกิเลสโง่ มันไม่ใช่ของฉันแล้วตัดออกไปยิ่งไม่ใช่ของฉันก็ดีแล้วไม่ใช่ของฉัน ช่วยออกไปดีแล้ว แต่มันเกี่ยวเกาะ เห็นไหม ความโง่ของคนมันโง่ได้ระดับไหม โง่ได้ระดับผู้หญิงจะเข้าใจดีพูดเรื่องเล็บเรื่องผม หรือเรื่องผิวต้องนวลต้องผ่องต้องเนียน เอาไว้โชว์ ก็เป็นการติดยึด ก็เป็นการนิยม ค่านิยมของคนเป็นเรื่องของ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) มันก็เป็นธรรมชาติของคนที่มีกิเลสที่ยังอวิชชา ยัง หลงใหลในสิ่งเหล่านั้นอยู่
อย่างพวกเรานี้ หน้าตาบางทีไม่ค่อยล้างเลย ไม่ค่อยดูแลเลย อย่าว่าแต่ผัดหน้าทาแป้ง 3 ชั้น 5 ชั้นเลย พวกที่เคยมาแล้วนั่งอยู่นั่นแหละ 1 ชั่วโมง 2 ชั่วโมงเมื่อไหร่จะเสร็จสักที
ทีนี้เรื่องของอุตุที่อยู่ในคนเป็น อย่างสู่แดนธรรมว่า ขี้มูกแห้ง
_สู่แดนธรรม… มันไม่เกี่ยวเกาะแล้ว
พ่อครูว่า… อธิบายเลยไปอีกนิดหนึ่ง
_ กราบเรียนถามในข้อนี้ว่า ถ้าการทำจิตให้เป็น “อุตุ” ซึ่งอยู่ในคนเป็นๆแบบนี้ คือการทำเจตสิกทั้งหลายให้หายไป หมดไป แม้กระทั่งตัว “รับรู้” ก็ลดทอนลง ให้น้อยลง เล็กลงๆไปเรื่อยๆ จนหมดสิ้นไป สูญไป คล้ายๆกับการทำสมาธิแบบฤาษี ซึ่งเป็นโลกียฌาน ที่ดับเจตสิกทั้งหมด ที่สุดก็ดับความ”รับรู้” จนไม่รู้อะไรเลย จะเป็นอย่างนั้นหรือไม่ อย่างไรคะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็จะยิ่งเข้าใจได้ยากขึ้นอีก เพราะจะไม่มีการเคลื่อนไหว หรือไม่มีปฏิกิริยาใดๆของ “นาม” ที่อยู่ภายในเลย ( อันนี้เป็นความคิดแบบตรงดิ่ง ทื่อๆน่ะค่ะ ขอพ่อครูช่วยกรุณาขยายความถึงอาการที่แตกต่างกัน ให้พอรู้เป็นแนวให้ด้วยค่ะ )
พ่อครูว่า… ไม่เกี่ยวเกาะด้วยปัญญากับไม่เกี่ยวเกาะด้วยสมถะมันก็ต่างกันนะ ต้องทำด้วยปัญญา แต่ที่จริงสมถะมันก็ต้องใช้ประโยชน์ก่อน จนกว่าจะทำด้วยปัญญาได้ในที่สุด เหมือนกับเราไม่เกี่ยวกับสิ่งในโลกที่เราวางแล้ว อันนี้ไกลจากเรา เราไม่จำเป็นต้องเกี่ยวเกาะไม่ต้องยุ่งเกี่ยวเลย มีหลายเรื่องใช่ไหมที่มันมีอยู่ในสังคม
ทุกวันนี้ แล้วเราปฏิบัติธรรมมาเรียนรู้ธรรมะ แต่ก่อนเราเกี่ยวเกาะนะเห็นเป็นเรื่องสนุก เป็นเรื่องน่ารู้ น่าเป็น น่ามี น่าได้ไปกับเขา พอตอนหลังเราเห็นแล้วไร้สาระ เราจะเห็นว่า สาระสำคัญในสาระ มันงวดเข้างวดเข้า น้อยเข้าน้อยเข้า จนสุดท้ายนี้จะถึงขั้น สาระชีวิตที่อาศัยนั้น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เป็นปัจจัยชีวิตเป็นเครื่องอาศัยปัจจัย 4 สุดท้ายเลย
นอกนั้นก็เป็นเครื่องอาศัยเป็นบริขาร ไม่มีก็ไม่เป็นไร ไม่ตาย แต่ 4 ปัจจัยนี้สำคัญมาก หรืออาหารเป็นหนึ่ง อาหารสำคัญที่สุดในบรรดาปัจจัย 4 เครื่องนุ่งห่ม บ้านเรือนที่อยู่อาศัย ยารักษาโรคไม่มีก็ยังไม่ตายทันที
สัญญาของพระอรหันต์กับสัญญาของพืชต่างกันอย่างไร
-
“สัญญา” ของพีชะหรือพืช มีลักษณะอาการอย่างไรคะ มีขอบเขตหรือไม่ และมีความแตกต่างต่างจาก “สัญญา” ในอยู่ในคนอย่างไรคะ
พ่อครูว่า… ไม่ต่างกันแต่มันมีประสิทธิภาพน้อยกว่ากันเท่านั้นเอง พืชมันก็มีสัญญากำหนดหมายมีทิศทาง
สัญจิจจะ แปลว่า จิตมีทิศมุ่ง อาตมาแปลเป็นไทย จิตเริ่มมีทิศมุ่ง ซึ่งอันนี้ลึกซึ้งละเอียดมากเลย ท่านที่เรียนเปรียญ 9 เป็นดอกเตอร์ทางบาลีก็แล้วแต่ ท่านก็อยู่กับพยัญชนะเยอะ แต่อาตมาอธิบายอย่างสภาวะ มันมีประโยค ว่า
สัญจิจจะ ปานังชีวิตา โวโรเปตุง หมายถึงจิตเริ่มมีเจตภูตหรือเจตสิก มีทิศมุ่ง อาตมาก็แปลเป็นไทยอย่างละเอียดแล้ว เริ่มต้นมีทิศมุ่ง
เพราะฉะนั้นการที่มีจิตแบบนี้ในชีวกสูตรพระพุทธเจ้าก็ตรัสถึงว่า ถ้าจิตคุณมี สัญจิจจะ บางทีก็ใช้คำว่าอุทิสะ ปาณัง อารัพติ นั่นเป็นประโยคอีกอัน คล้ายกัน แต่ อุทิสะ มันหยาบกว่า สัญจิจจะ
เพราะฉะนั้นจิตมีทิศมุ่ง อย่าง ชีวกสูตร 1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตุง (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น) นี่คือจิตของคนเจาะจง แล้วเขาไปแปลหยาบๆว่าเจาะจงบุคคล ซึ่งมันไม่ใช่ จิตมันทิศมุ่งไปไม่ดีเป็นจิต โวโรเปตุง อารัพติ จิตมีมุ่งหมายไม่ดีต่อสิ่งนั้น ถ้าเป็นสัตว์ คุณก็มีจิตมุ่งไม่ดีต่อสัตว์ ข้อแรกกล่าวชื่อสัตว์นั้น จงไปนำสัตว์นั้นมา มีจิตมุ่งแค่นี้บาปเป็นอันมากแล้ว ไม่ใช่บุญเลย
คุณมีจิตมุ่งอย่างนั้น ถ้าสัตว์มันรู้ตัว มันก็ทุกข์แล้ว แต่มันยังไม่รู้ตัว คุณก็เริ่มก่อทุกข์ขึ้นมาในโลกเป็นคนบาปแล้ว
-
สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส จับมันผูกมัน มันก็บาปหนักเข้าไปเพราะมีกรรมกิริยากายกรรม
-
ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้” จิตมุ่งหมายของคุณมันโหดหนักเข้าไปใหญ่
-
สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส สัตว์มันเป็นทุกข์ มันก็จองเวรจองกรรม เป็นเวร เป็นภัยกันหนักต่อไปอีก
-
ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อกปฺปิเยน อสฺสาเทติ อิมินา ปญฺจเมน ฐาเนน พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ) ชีวกสูตร ล.13 ข.60
ข้อ 5 นี้ยิ่งใหญ่เลย ท่านสรุปไว้เลยว่าข้อนี้เป็น อกัปปิยะ เป็นสิ่งไม่ควรเลยมันบาปมา 4 ข้อไม่ควรแล้ว ยิ่งข้อ 5 นี้มันยิ่งไม่ควรอย่างยิ่งเลยมัน อกัปปิยะ
ทำอาหารอย่างประณีตเลยนะ อย่างยอดเยี่ยม มีกุ๊ก 5 คนมาจาก 5 ประเทศเลยปรุงอาหารถวายพระพุทธเจ้า อาตมาพูดให้เป็นพิธาหน่อย ใส่เลย ถวายให้พระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นจิตมีทิศมุ่ง ไม่ได้ไปหมายมุ่งเอาพระพุทธเจ้า เอาภิกษุ เอาตัวตนบุคคล แต่มันมุ่งไปในทางร้ายไปในทางต่ำ ไปในทางบาปของคุณ นี่แหละคือการเบี้ยวบาลีให้มันหยาบ แล้วกิเลสก็เลยได้กินเนื้อสัตว์ เบี้ยวบาลีเพื่อกินเนื้อสัตว์ ฟังดีๆ
สมณะฟ้าไท… มาข้างนอกเอาพระสูตรนี้ไปเทศน์รับรองอดแน่นอนครับ
พ่อครูว่า… ก็เขาจะเข้าใจไหม ความเชื่อเขาก็ถูกครอบงำความคิดสำเร็จรูปแล้ว อาตมาจะเจาะเข้าไปได้ไหมนี่ แทงด้วยหอกร้อยเล่มเช้า แทงด้วยหอก ร้อยเล่มกลางวัน แทงได้หอกเจาะร้อยเล่มเย็นมันจะเข้าไหมนี่ ของพระพุทธเจ้ามาพูดทั้งนั้นเป็นสัจจะในโลก ของเขามันอยู่ยงคงกระพันแทงด้วยหอกก็เสียหอกไปเปล่าๆ มันก็ยากแต่ก็ต้องทำ
ก็สัญญาในคนนั่นแหละ สัตว์เดรัจฉานจะไปเรียนรู้ได้อย่างไร แม้แต่คนที่ไม่มีภูมิธรรมพอจะฟังรู้เรื่องเขาฟังที่อาตมาอธิบายไม่รู้เรื่องหรอกเพราะภูมิเขาไม่ถึง (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
_สู่แดนธรรม… ผมจำได้ที่พ่อท่านเคยบอกไว้ว่าพืชมันมีสัญญา มันดูอะไรที่มันต้องการมันก็เอา อันไหนที่มันไม่ได้ต้องการ มันก็ไม่เอา บอระเพ็ดกับต้นตาลอยู่ที่ดินเดียวกันทำไมรสชาติต่างกัน
พ่อครูว่า… มันดูดเอาธาตุอาหารมาปรุงแต่งต่างกัน มันก็ไม่แย่งกัน เพราะฉะนั้นพวกพืชมันไม่ทะเลาะกัน ดีไม่ดีมันก็เกี่ยวพันกันอยู่ด้วยกันไป บางทีมันกลืนกันเลย
สัญญาของคนมันก็มีประสิทธิภาพกว่าสัญญาของพืชเข้าใจอย่างนั้นก็แล้วกัน แม้แต่สัญญาของคนก็มีประสิทธิภาพกว่าสัตว์เดรัจฉาน การกำหนดหมายของเดรัจฉาน มันจะไม่มีคุณธรรม หรือบางทีมันมีคุณธรรมมากกว่าคน คนนั้นเหี้ยมโหดกว่าเดรัจฉานก็ได้ คนมีคุณธรรมมากกว่าเดรัจฉานก็ได้ อย่างนี้เป็นต้น
การระลึกถึงความตายควรระลึกอย่างไร
-
การระลึกถึงความตายอยู่บ่อยๆนั้น จะได้รับประโยชน์อะไรบ้างคะ