660714 คนวรรณะ 9 เป็นคนรวยที่จน เป็นคนจนที่รวย พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/15VieNniAdDtBhY7JRhcjdnr9duK8EhN6/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1lR0pwOY3avy3F4SWVCA5rb3l8EatmKWE/view?usp=sharing
และ
https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660714–9-e26uie2
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/wN8aEW-bO5M
และ https://fb.watch/lN0gP3ZCp2/
สมณะฟ้าไท… วันนี้วันศุกร์ที่ 14 กรกฎาคม 2566 แรม 12 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้พ่อครูก็ลดวันเทศน์ลงเหลือสัปดาห์ละ 2 วัน คือวันอังคารกับวันศุกร์ เพราะฉะนั้นจากเดิมวันอังคารที่สมณะสันติอโศกเคยแสดงธรรม ก็จะเลื่อนไปเป็นวันอาทิตย์
เมื่อวานนี้ เราผ่านวันดีเดย์เลือกนายกไปแล้ว ได้คะแนนเสียง 324 ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา เราก็ไม่ได้นายก คนที่ดังหลังโหวตเลือกนายกเสร็จก็คือคุณชาดา ไทยเศรษฐ์ พวกรักสถาบันก็เชียร์คุณชาดาเต็มที่เลย แต่นักปฏิบัติธรรมเราก็เปรียบเทียบระหว่างวันที่ 14 พฤษภาคม กับ 13 กรกฎาคม ว่าจิตใจต่างกันไหม อย่างไร
ประเด็นที่อภิปรายกันมากคือเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นสถาบันที่เราจะต้องช่วยกันปกป้องด้วยชีวิต
พ่อครูบอกว่าเป็นการศึกษาประชาธิปไตยที่สวยงาม มีฝ่ายค้านฝ่ายรัฐบาล มีคนประท้วงก็ไม่รุนแรง แสดงความเห็นอย่างเต็มที่
ส่วนเราก็มาศึกษาธรรมะโลกุตระเพื่อลดละกิเลสตัวเองและช่วยเหลือมวลมนุษยชาติ
พ่อครูว่า… เริ่มต้นด้วย SMS วันที่ 10 – 11 ก.ค. 2566
_พลังเพ็ญ คำด้วง · กราบนมัสการท่านสมณะและสิกขมาตุค่ะ ฟังคลิปพ่อครู ตอนแรกก็รู้สึกทุกข์ใจ แต่ก็ต้องมาปรับจิตปรับใจตัวเอง ว่าไม่มีอะไรไม่พรากจากกัน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เราต้องไม่ประมาท ในการปฏิบัติธรรมต้องลดละสักกายะ ที่เรายังติดยึดอยู่เพื่อปฏิบัติบูชาพ่อครูให้ยิ่งขึ้น ในกาละนี้ค่ะ ธรรมะประทับใจในวันนี้ บาปแม้เล็กแม้น้อย อย่าทำ(ทุกการกระทำเราต้องชดใช้)
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
จะตั้งใจมีสติสัมโพชฌงค์ให้มากขึ้น รู้ว่าบาปจะพยายามไม่ทำ ให้ได้มากที่สุด กราบขอบพระคุณท่านสมณะและสิกขมาตุได้อานิสงส์ในการฟังธรรมวันนี้มากค่ะ
พ่อครูว่า[…บาปแม้เล็กแม้น้อยอย่าทำเสียเลย เป็นคำตรัสของพระพุทธเจ้าโดยตรง คำว่าบาปเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีในกายวาจาใจ แม้แต่เบื้องต้นที่เรารู้ด้วยสามัญสำนึกเป็นธรรมดา จนกระทั่งลึกซึ้งไปถึงขั้นบาปที่ลึกขึ้นเข้าถึงขั้นซับซ้อนข้างใน เราก็ไม่ทำ เพราะผู้ปฏิบัติธรรมต้องเป็นคนที่รู้ว่า กรรมเป็นอันทำ กรรมนี่แหละเป็นของของตน กรรมเป็นมรดก เราจะต้องเป็นทายาทของกรรมของเรา ไม่มีอื่นเลย พระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องกรรมนี่แหละยิ่งใหญ่ เทวนิยมศาสดาของเขารู้แต่เรื่องของก๊อต ก๊อตว่าอย่างไรเขาก็แค่นั้น ส่วนของพระพุทธเจ้านั้น ให้ตนเองรู้ในกรรมของตนเอง
_สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ · กราบขออนุญาตพ่อครูฯสมณะฯสิกขมาตุฯขอส่งกำลังใจถึงลุงรปภ.ขวัญใจมหาชนไทยรักปกป้องภักดี ประกาศวางมือทางการเมืองแล้ว ฝากฝังรวมไทยสร้างชาติ ดูแลชาติบ้านเมืองปชช.ต่อไป ไม่ว่าจะยืนอยู่ ณ จุดใด มนุษย์หูเทียมขอเลิกยุ่งเกี่ยวกับการเมืองด้วยเช่นกัน วันต่อไปจะมีแต่ประเด็นธรรม ตามรอยธรรมตถาคตเจ้าที่พ่อครูพาปฏิบัติโลกุตระธรรม อโศกเพื่อมวลมนุษยชาติสิ้นทุกข์โศกไปด้วยกันฯ สาธุ
พ่อครูว่า…ฟังธรรมก็บอกความจริงที่ตัวเองเข้าใจและเขียนรายงานมาอย่างนี้แหละ ขอบคุณ
_งามใบตอง นิลมณี · น้อมกราบนมัสการพ่อครูท่านสมณะท่านสิกขมาตุค่ะ วันนี้ฟังธรรมมีสภาวะ เข้าใจและซาบซึ้งกับคำสอนค่ะ น่าจะมีสาเหตุจากการฟังธรรมะพ่อครูเมื่อวาน รับทราบอาการป่วยของพ่อครูแล้ว ใจไม่ค่อยดีค่ะ แต่จะกระตุ้นตัวเองทำความเพียรให้เพิ่มขึ้นและจะสังวรในกรรม 3 ให้สุจริตมากขึ้นค่ะ น้อมกราบนมัสการค่ะ
พ่อครูว่า…ก็ถูกแล้ว ปฏิบัติให้มีสุจริต 3 ให้ดีขึ้นเรื่อยๆ
_มหาชัย โหราศาสตร์ไทย · หมดยุคภิกษุณี ไม่มี มีไม่ได้ มั่ว รู้ดีกว่าพระพุทธเจ้า ขาดไปตั้งแต่ยุคสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชแล้ว อย่าหาทำ พระโพธิสัตว์เขาไม่ทำเรื่องแบบนี้ อย่าแถ
พ่อครูว่า…ภิกษุณีไม่มี เราก็ไม่ได้ว่าอะไร คุณมาใส่ความว่าเราทำให้มีภิกษุณีเหรอ อาตมาไม่มีภิกษุณี มีแต่สิกขมาตุ ไม่ได้มั่ว รู้อยู่ ปฏิบัติธรรมะอยู่ในกฎเกณฑ์ อยู่ในหลักการ อยู่ในศีล ในวินัยของพระพุทธเจ้า เราก็รู้ สภาวธรรมคือสภาวธรรม ซึ่งสภาวธรรมนั้นจะปฏิบัติแล้วมันก็ได้สำหรับตนเอง เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจสภาวธรรมให้ดีว่ามันได้อะไร อะไรพัฒนาไป อะไรเจริญ อะไรได้ไม่ได้ก็ต้องเรียนรู้ให้จริง ก็เอา ต่างคนต่างเข้าใจนะ
_ใบฟ้า ธรรมะธารา นาวาบุญนิยม · กราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้าฯค่ะ
การวินิจฉัยของพ่อครู เกี่ยวกับอาการไอ ภาวะอ่อนแรง และการ ประมาณในการเทศน์ การพัก การเขียนหนังสือ เป็นเอกสิทธิ์ ของพ่อครูอย่างสมบูรณ์ค่ะ เพราะ พ่อครูคือ “Independent Man” ค่ะ ลูกคนนี้ น้อมรับ ตามที่พ่อครูเห็นควรทุกประการ ความหวังที่มีอยู่ ก็ยังแอบหวังว่า มณีแดงก็ดี เอ็นโดจีนัสสเต็มเซลล์ก็ดี จะสามารถ รักษาฟื้นฟู กระเปาะที่คอของพ่อครู ได้หรือไม่หนอ??? ทุกอย่างคงเป็นไปตามธรรม ตามบารมีของพ่อครูอย่างแท้จริงค่ะ กราบขอบพระคุณ ด้วยเศียรเกล้าฯ ในความเมตตากรุณา อย่างหาที่สุดมิได้ ของพ่อครู ต่อลูกๆ และมวลมนุษยชาติค่ะ
_Tonkra Thunyatorn ต้นกล้า ธัญญาธร · กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง..
อยากขอความกรุณา.. ให้บุญนิยมทีวีเปิดธรรมะ ย้อนหลัง ช่วงเวลา 20.00 – 22.00.. เพราะเป็นช่วงตั้งจิตก่อนเข้านอน.. ถ้าได้ฟังเป็นการบรรยายธรรมะ จะดีมากๆๆๆเลยคะ..
ปล. ตอนนี้ เป็นเกี่ยวกับการเกษตร ในช่วงเวลา ดังกล่าว..กราบขอบพระคุณสำหรับการรับเรื่องไปพิจารณาคะ🙏🙏🙏
พ่อครูว่า…ได้ไม่ได้ก็ว่ากันไป ทำตามความพอเหมาะพอสม รอรับเรื่องไปพิจารณาดู
_อ๋อย บริงโซว์ • ฟังรอบที่สามค่ะ กราบขอบพระคุณพ่อครูเป็นอย่างสูง ได้ความละเอียดเพิ่มขึ้นอีกมาก จึงมีความรื่นเริงในธรรม และมีความยินดีที่จะได้ฟังธรรมจากพ่อครูครั้งแล้ว ครั้งเล่า เป็นความอัศจรรย์ของธรรมะ ขอบพระคุณท่านที่กรุณาเรียบเรียงคลิป และ insert ตัวอักษร เพิ่มความสัมผัสทางตา คือนอกจากจะเห็นภาพแล้ว ยังได้อ่านตัวอักษรด้วย เพิ่มความลึกซึ้งค่ะ นึกไปถึงผู้ที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน เป็นการขยายวงในการเอื้อธรรมะ สาธุค่ะ ❤
พ่อครูว่า…ช่วยนะอาตมาก็อาศัยตัวหนังสือไตเติ้ลที่เขาเขียน แล้วเขายังมีตัวหนังสือไล่ตาม เขาทำในโทรทัศน์ช่องไหนก็ตาม บางทีฟังไม่ทันก็ต้องเก็บเอาจากตัวหนังสือ
_สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
ลูกกราบเรียนถามพ่อครูว่า ตอนมีชีวิตทำจิตเป็นพีชะ ลูกเข้าใจค่ะ แต่ว่าทำจิตเป็นอุตุตอนมีชีวิต ลูกไม่เข้าใจ ทำอย่างไรคะเพราะมันไม่มีนาม 5 เลย น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า…เดี๋ยวค่อยกลับมาอธิบาย เป็นเรื่องใหญ่
_แก้วลา ไชยวงค์ · 🙏🏻🙏🏻🙏🏻พ่อครูอายุ 90 แล้วหรือเจ้าค่ะ ดูเมื่อไหร่ท่านก็เหมือนเดิม🙏🏻🙏🏻🙏🏻🇹🇭🇹🇭🇹🇭
พ่อครูว่า…ย่างเข้า 90 แล้ว เลยมา 1 เดือนกว่าแล้ว อย่ามาพูดให้ดีใจเลย ไม่เหมือนหรอก มันก็ต้องร่วงโรยไปตามเวลา อายุ แต่ก็ไม่เหมือนไม่คล้ายกับคนที่ทรุดโทรมมากกว่าอาตมาก็จริง
_ณรงค์1816 • ไอ้หมอนี่ดูถูกพระที่อยู่ป่า พระที่มีชื่อเสียงดังๆๆ ในอดีตซึ่ง ร.9 ให้ความเคารพนับถือหลายองค์ล้วนปฏิบัติดีชอบมาทั้งนั้น ตลอดอายุไขถ้าไม่ดีจริงคงไม่มีใครนับถือ แต่ไอ้นี่ไม่เคยออกป่า มาจากโฆษกทีวีบางขุนพรหมแล้ว ตั้งตนเองนิกายใหม่ กรมศาสนาไม่สนใจหรือที่บอกพระในป่าอย่าไปสนให้สนตนนายรักษ์โฆษกทีวีบางขุนพรหม?
_yasawadee7231 • เห็นพระอรหันต์หลายรูปที่มาจากการอยู่ป่าเขาแล้ววัดที่พ่อครูอยู่ก็มีป่าเต็มไปหมด แต่ทำไมต้องพูดว่าให้พระอื่นว่าไม่ใช่อรหันต์แล้วตัวท่านประกาศว่าตัวเองเป็น
พ่อครูว่า…อาตมาเห็นความจริงนั้นจริงๆก็พูดตามที่อาตมาเห็นจริง คุณไม่เห็นตามนั้นก็ขัดแย้งไป ความจริงนั้นอาตมาก็มีสิทธิ์แสดงความจริงของอาตมา คุณก็เข้าใจตามที่คุณเข้าใจ
สายพระป่าหาก รินน้ำชาเก่าจนหมด แล้วเติมชาใหม่ได้จะสัมมาทิฏฐิไวมาก
_bernadeschii2671 • ยิ่งใหญ่มาจากไหน มากล่าวว่าหลวงปู่มั่นว่าไม่ใช่อรหันต์ ถ้าเกิดทันยุคท่านนะสนุกแน่ หลวงปู่มั่นดุจนหนีออกจากวัดแน่ๆ แบบนี้ คอยจับผิดแต่คนอื่น ไม่เคยมองย้อนกลับมาดูตัวเอง ไร้สาระสิ้นดี พวกนอกรีด
พ่อครูว่า…มันก็เป็นความเห็นนะ คนที่มีความเห็นความเข้าใจที่แตกต่างกัน คนหนึ่งมองเห็นเป็นโคลนตม อีกคนหนึ่งมองเห็นดาวอยู่พราวพราย มองสิ่งเดียวกัน แต่เห็นต่างกันมันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติของความเห็นที่ต่างกัน
เรื่องนี้ศึกษาให้ดีๆ จะว่าเป็นคนใหม่ แต่ก็เข้าใจประวัติของอาตมาด้วย อาตมาก็พูดอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร ไม่ได้มาเพิ่งพูด ทำไมมาเพิ่งขึ้นตอนนี้ ทำไมเพิ่งรู้สึก ก็ไม่เป็นไร มันเป็นธรรมดาแสดงความเห็นแย้ง
ก็ฟังสิ พระพุทธเจ้าท่านก็สอนให้ทุกคนฟังความ เมื่อความต่างกัน 2 ข้าง นี่เรียกว่านานาสังวาส ใครเห็นว่าธรรมอันใดดีก็ฟังเอา อันใดที่ฟังแล้วเห็นว่าเป็นอธรรมวาทีก็ไม่เอา แต่อันนี้เป็นธรรมวาทีเป็นคำพูดที่เป็นธรรมก็เอา อาตมาก็พูดสิ่งที่เป็นธรรม
อันที่ว่าไม่เป็นธรรมแต่มันเป็นธรรมเหมือนกันแต่มันเป็นธรรมของเดียรถีย์ ไม่ใช่ธรรมะของพระพุทธเจ้า อาตมาก็วิจัยวิจารณ์ว่าไป อันไหนเป็นธรรมพระพุทธเจ้าก็ว่าไป ก็พูดอย่างนี้อธิบายอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา ก็ทำตามคำสอนพระพุทธเจ้าทุกอย่าง อาตมาไม่ได้นอกรีตนอกรอยอะไร มาหาว่าอาตมาเป็นพวกนอกรีต อันนี้คุณมองอาตมาผิด อาตมาไม่ได้นอกรีตเพราะอาตมาทำตามพระพุทธเจ้า เอาพระไตรปิฎกมาเทียบเคียง ยืนยันอ้างอิงจากพระไตรปิฎกพระพุทธเจ้าตลอดเวลา
แต่พวกคุณนี่อาตมาสงสาร น่าสงสารที่ว่า ไปเข้าใจผิดตามครูบาอาจารย์ที่พากันผิดมานานแล้วเป็นร้อยเป็นพันปี ค่อยๆผิดมาทุกวันนี้ก็ผิดหนักเลย จึงเห็นกันแย้งกัน 180 องศาเลย จึงน่าสงสารจังเลย
อาตมามาทำงานในยุคนี้ นี่บวชทำงานศาสนามาตั้งแต่เห็นว่าเราควรเลิกแล้วทางฆราวาสก็ออกมาทำงาน 50 กว่าปีเข้าไปแล้ว จนถึงทุกวันนี้และก็จะทำต่อไปจนตาย อาตมาก็ยืนยันว่าอาตมานี่เป็นลูกพระพุทธเจ้า ส่วนคุณไม่เข้าใจ คุณก็ว่านอกรีต คุณก็ไปเอาพระพุทธเจ้าคนละองค์กับอาตมาแล้ว มันนอกรีตนอกเรื่อง ถ้าอาตมานอกรีตก็นอกรีตจากของคุณ ของคุณก็รีตหนึ่ง ของอาตมาก็รีตหนึ่ง คำว่า รีต มาจากคำว่า จารีต ก็คนละจารีตเท่านั้นเอง คุณว่าไร้สาระเพราะคุณรับสาระที่อาตมาให้ไม่ได้ ก็เป็นธรรมดาคุณรับไม่เข้า เป็นชาเต็มถ้วย รินชาออกจากถ้วยบ้าง ฟังๆดูบ้าง ให้มีปรโตโฆษะ พระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างนั้น
นี่ก็อ้างอิงคำสอนพระพุทธเจ้า อย่าทำตัวนอกรีตของพระพุทธเจ้า เอาน้ำชาเก่าออกจากถ้วยให้มันมีที่พร่องรับน้ำชาใหม่เข้าไปในถ้วยบ้าง มี ปรโตโฆษะ จะได้เกิดสัมมาทิฏฐิ ไม่อย่างนั้นน้ำชาเต็มถ้วยจะรับไม่เข้าเลย ไม่มีปรโตโฆษะเลย ถ้าคุณมิจฉาทิฏฐิอยู่อย่างไร คุณก็จะยิ่งมิจฉาทิฏฐิอยู่อย่างนั้นยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ถ้าคุณรินออกมาก็จะมีน้ำชาอันใหม่ที่สัมมาทิฏฐิเข้าไปเจือบ้าง ยิ่งรินออกไปหมดถ้วยแล้วรับใหม่จะไวเลยนะ แต่คงยาก ไม่ได้ ก็ว่าไปก่อน
การฆ่าคนขององคุลิมาลเป็นบาปหรือไม่
_พร…. น้อมกราบนมัสการเรียนถามพ่อครูค่ะ
การฆ่าคนขององค์คุลีมาลในเวลานั้น เขามีเจตนาที่เป็นอกุศลจิตหรือไม่อย่างไรคะ สมมุติว่า.. ในกรณีนี้ถ้าอกุศลเจตนามีไม่ครบองค์ การส่งผลของวิบากจะเป็นไปในลักษณะใดคะ
กราบขออภัยพ่อครูด้วยค่ะ ที่กราบเรียนถามในเรื่องที่ไม่ควร ดิฉันอยากรู้จริงๆค่ะ
กราบขอบพระคุณอย่างสูงยิ่งค่ะ
พ่อครูว่า… ก็ไม่ใช่เรื่องไม่ควร มีเรื่องราวสงสัยก็ถามได้ อยากรู้ก็จะบอกให้ฟัง
การฆ่าคนขององคุลีมาลในเวลานั้น เขามีเจตนาที่เป็นอกุศลจิตหรือไม่ เจตนาจริงของเขานั้นไม่เป็นอกุศลจิตหรอก เป็นกุศล แต่เป็นกุศลแบบโลภวิชา เขาโลภวิชาการ เขาไม่ได้เจตนาจะฆ่าคน แต่ถูกอาจารย์หลอกให้ฆ่าคน โดยคิดว่า ให้ไปฆ่าคนสักวันคงถูกคนฆ่าตายก่อน แต่องคุลิมาลเก่ง จนกระทั่งฆ่าคนได้ถึง 999 คน จะถึงคนที่ 1,000 แล้ว
ถามว่ามีอกุศลจิตไหม จะว่าเป็นกุศลหรืออกุศล มันเป็นบาป มันก็บาป แต่โดยจริงๆแล้วมันซ้อนว่า เขาไม่ได้เจตนาฆ่าคน เขาเจตนาจะเอาวิชาการความเจริญให้แก่ตนเอง เจริญที่เขาจะได้วิชาที่อาจารย์เขาหลอกว่าเขามียอดวิชา ถ้าฆ่าคนได้ 1,000 คนจะสอนยอดวิชานี้ อย่างกับหนังจีนนะ เขาก็เลยไปฆ่าคน ไปทำบาปโดยอาจารย์หลอก ให้ฆ่าคนถึง 1,000 คนแล้วมันคงไม่รอดหรอกองคุลิมาล อาศัยมือคนอื่นฆ่าองคุลีมาล แต่องคุลีมาลก็เก่งนะ
เรื่องกรรมวิบากต่อไปอาตมาตอบไม่ได้ ไม่มีความรู้ได้ ไม่มีความหยั่งรู้ไปถึงกรรมวิบากของผู้ที่มีกรรมถึงขั้นละเอียดพวกนี้ กรรมวิบากเป็น อจินไตย อจินไตย ระดับที่คุณถามมา อาตมาไม่มีความรู้จะตอบได้ว่าเป็นลักษณะใด อยากรู้จริงๆก็ตอบไปแล้วจริงๆตามที่อาตมามีความรู้พอที่จะตอบได้ อันไหนตอบได้แล้วตอบยาวเชียว อันที่ตอบไม่ได้ก็ตอบสั้นๆพอประมาณ ก็ได้ขนาดนี้
การทำจิตให้เป็น อุตุนิยาม พีชะ ตอนมีชีวิตเป็นๆ
ที่ค้างไว้เมื่อกี้นี้คือเรื่อง การทำจิตให้เป็น อุตุนิยาม พีชะ ตอนเป็นๆ อันนี่แหละเป็นหัวใจเลยนะ เป็นหัวใจของศาสนาพุทธเลย
อาตมาก็เคยย้ำตรงนี้เป็นหัวใจของศาสนาพุทธ ตรงที่ ทำจิตให้เป็นอุตุ ทำจิตให้เป็น พีชะ
ถ้าทำจิตให้เป็นอุตุในขณะตอนเป็นๆ อุตุเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม อุตุนิยามเป็นมหาภูต ส่วนพีชะเป็นภูตคาม แล้วก็สูงขึ้นไปเป็น ปาณะ เป็นเจตภูต จนเป็นเจริญเป็นสัตตะ ก็เป็นจิตนิยาม อาตมาเคยได้แจกแจง ภูต ตามนี้บ้างแล้ว
มหาภูตเป็นดินน้ำไฟลมความเข้าใจของคนแล้วก็ทำใจในใจ มนสิกโรติ หรือเต็มๆก็คือ การทำใจในใจก็คือมนสิการ ผู้ทำใจในใจของตนเป็น หรือทำใจในใจของตนได้ เช่นที่ถามมา
ทำใจในใจของตนมีให้มีลักษณะเป็นอุตุ เป็นดินน้ำไฟลม เขาบอกว่าเขาเข้าใจเรื่อง พีชะ เป็นพืช
พืชมันเป็นชีวิตแล้ว ชีวะแล้ว แต่เป็นชีวะที่ มีเจตสิกไม่ครบ มีขันธ์ไม่ครบ พืชมีแค่ สัญญากับสังขารขันธ์ มีรูป ไม่มีเวทนาขันธ์ ไม่มีวิญญาณขันธ์
ส่วนจิตเป็นสัตว์ขึ้นไปแล้ว มีครบขันธ์ 5 มีทั้งเวทนาขันธ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ผู้ที่ไม่มีเวทนาก็ไม่มีความรู้สึกทุกข์สุข (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไท… วันนี้พ่อครูอธิบายจิตวิญญาณ ให้ทำใจอย่างไรเป็นพีชะ คือพืช พืชก็มีแค่สัญญากับสังขาร แต่ไม่มีวิญญาณ ไม่มีเวทนา ไม่มีความรู้สึก แต่มันก็ปรุงแต่งไปตามที่มันจำได้ อินทผาลัมก็ออกเป็นลูกอย่างนี้เล็กๆ ส้มโอก็ออกลูกใหญ่ๆ มะพร้าวก็ลูกเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครไปสามารถบังคับให้มะพร้าวออกลูกเป็นอินทผาลัมได้ มันก็เป็นธรรมชาติของมันตามที่มันจำได้ มันก็เป็นอย่างนั้น
พ่อครูว่า… มาอธิบายต่อ อธิบายกันให้ละเอียดขึ้นไปอีก
การแยกกาย แยกจิต ในธรรมนิยาม 5 ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเป็นธรรมวินัยเลย ให้อุปัชฌาย์จะต้องอธิบายแยกกายแยกจิตกับผู้ที่มาบวช เพราะถ้าผู้ที่มาบวชแล้วเข้าใจการแยกกายแยกจิตในธรรมนิยาม 5 ไม่สัมมาทิฏฐิ ยังไม่รู้เรื่องนี้ บวชไปก็สูญเปล่า ไม่มีทางที่จะได้ประโยชน์จากการบวช เป็นเรื่องสำคัญมาก แต่ทุกวันนี้โลกุตรธรรมพวกนี้มันเสื่อมจนเขาไม่เห็นความสำคัญ และก็ดูเหมือนจะไม่มีความรู้เรื่องนี้กันแล้วด้วย นี่อาตมาพูดความจริง ไม่มีความรู้เรื่องนี้กันอย่างชัดเจน
ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วก็มาสรุปกันให้เข้าใจว่าอันนี้เป็นกรรมฐาน 5 ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าให้ศึกษาจาก ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ก็พูดกันอยู่ว่าเป็นกรรมฐาน 5 ให้พิจารณา อ่านสัจจะ กาย จิต ที่จะแยกกายจิต จาก 5 อย่างนี้ จากผมก็ได้ จากขนก็ได้ จากเล็บก็ได้ ฟันก็ได้ หนังก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่ง อาตมาก็ชอบที่จะเอาเล็บ เพราะผมก็ดี ขนก็ดี ฟันก็ดี ยิ่งหนัง ยิ่งผิวหนังยิ่งยากใหญ่
ก็เอาเล็บนี่แหละเป็นตัวสำคัญที่จะทำให้รู้จัก เล็บคือ นขา
อธิบายให้รู้ว่าแยกกายแยกจิต เมื่อใดมันเป็นกาย เมื่อใดมันเป็นจิต เมื่อใดมันไม่เป็นกาย มันเป็นแต่จิต หรือเมื่อใดมันไม่เป็นจิต มันเป็นแต่กาย ต้องรู้ชัดเจน ต้องรู้ชัดเจนสลับเลย
ถ้าเข้าใจนี้ไม่ถูกต้องสัมมาทิฏฐิด้วยพยัญชนะ ด้วยเหตุผล ด้วยตรรกะ แล้วไปปฏิบัติจริงให้มันตรงนี้ไม่ได้ คนผู้นั้นไม่บรรลุอรหันต์
จิตที่สามารถทำจิตของตนเองนี่แหละ ให้มีความรู้และมีความรู้สึก ความรู้คือปัญญา โดยใช้สัญญากำหนดรู้อาการเมื่อมีกระทบสัมผัส แล้วเกิดสภาวะมีเวทนาหรือไม่มีเวทนา หรือมีเวทนาแล้วมีความรู้สึกสุขทุกข์ มีความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบ นี่แหละคือกรรมฐานแท้ของศาสนาพุทธ
พวกที่ไปนั่งหลับตาแล้วใช้กสิณ 40 แล้วก็จ้องสะกดจิตทั้งนั้นแหละ เป็นเครื่องประกอบ เป็นวิธีสะกดจิตโดยอาศัยดินน้ำไฟลม อาศัยอะไรต่างๆนานา กสิณ 40 อาตมาไม่ได้จำทั้งหมด เป็นเครื่องที่จะจดจ่อเหมือนนักสะกดจิต ให้เอาจิตไปจดจ่อไว้ที่อันนั้นๆ มันเป็นสมถะเป็นเรื่องนอกรีตไม่ใช่เรื่องของพุทธเลย แล้วเขาก็เอามาเรียนกันมากมาย ผู้เข้าใจไม่ได้ก็ทำตามคัมภีร์วิสุทธิมรรคของพุทธโกศาจารย์ก็เก็บมาได้ 40 ข้อ แล้วก็มาเรียนกันเหมือนพระป่าทั้งหลายแหล่ที่เรียนกันเป็นเรื่องนอกรีตหมด พระป่า ขออภัยอาตมาที่พูดนี้ไม่ได้ไปว่าแต่พูดความจริง อาตมาไม่ได้ไปว่าใคร อาตมาพูดสัจธรรม ความเห็น แสดงความเห็นต่อธรรมะ ผิดคำว่าผิด ถูกก็ว่าถูก วิจัยวิจารณ์ธรรมะ ไม่ได้ไปเจตนาจะละลาบละล้วงคน
แต่คนที่ได้ปฏิบัติผิดมันก็ต้องเกี่ยวพันกัน เพราะต้องมีการปฏิบัติของคนๆนั้น เพราะฉะนั้นฟังธรรมะก็อย่าไปยึดมั่นถือมั่นในคนมาก เราจะเคารพนับถือก็จริงอยู่ แต่เราฟังธรรมเอาเนื้อธรรมะเข้าไปให้ดีๆ แล้วเราก็จะได้เข้าใจธรรมะในธรรมะอย่างชัดเจน
ฟังอีกทีหนึ่ง เล็บของคุณ เล็บที่คุณยังติดอยู่กับประสาท คุณกระทบกระแทกเข้าไปหรือเอามีดบาดเข้าไปถึงเล็บที่มีประสาท คุณก็จะเจ็บ นั่นคือความรู้สึก คือเวทนาที่เป็นเวทนาแท้คือเจ็บ เจ็บตัวนั้นคือจิตนิยาม เป็นเวทนาที่รู้สึกตามความเป็นจริง
ถ้าคุณเจ็บแล้ว คุณก็รู้ความเจ็บด้วยความไม่ชอบหรือชอบ ไม่มี นั่นคือคุณรู้ความจริงตามความเป็นจริง อย่างพระอรหันต์รู้ความเจ็บ แต่ท่านไม่ได้มีความชอบความชัง ไม่มีผลักไม่มีดูด มันเจ็บเราไม่สมควรจะอยู่กับความเจ็บ มันเป็นอาการที่ทุกรกิริยา ก็อย่าไปทำให้มันเจ็บ ก็หนีออกมาจากอาการเจ็บนั้น เช่น ไฟมันทำให้ผิวหนังร้อนก็อย่าไปจับมัน
ไม่ใช่พระอรหันต์ก็บอกว่าจับไฟแล้วก็ไม่รู้สึก จับไฟแล้วก็ไม่ไหม้ อย่างนั้นไม่เกี่ยวกับอรหันต์เลย เป็นเรื่องอุปาทานชนิดหนึ่ง เป็นได้นะสำหรับคนที่ฝึกดีๆ จับไฟแล้วมันไม่ไหม้ ฝึกได้เป็นสมถะที่เรียกว่า อิทธิปาฏิหาริย์อะไรก็ได้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องของศาสนาพุทธ เป็นเรื่องของพลังงานทางจิต ไม่ใช่ว่ามันไม่มี อาตมาเคยเล่นมาด้วยพวกนี้
เพราะฉะนั้น ถ้าเราเข้าใจอันนี้ แยกได้ว่า อาการรู้สึกนี้ เล็บที่มันยาวออกมาจากประสาท เมื่อกี้ประสาทอธิบายไปแล้วว่ามันเป็นความรู้สึกเจ็บ เป็นเวทนา มีเวทนาเป็นจิตนิยาม ส่วนที่เป็นชีวะอยู่เหมือนกัน เล็บของเราที่ยาวออกพ้นจากประสาท มันไม่ติดกับประสาทแล้วมันพ้นออกไปเป็นชีวะ ไอ้ที่พ้นออกมานี่แหละไม่ติดประสาทแล้ว เป็นชีวะอยู่ อันนี้แหละเป็นพืช ไม่มีเวทนาแล้ว ไม่มีความรู้สึกไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้สึกอะไรแล้ว เฉยๆ
อย่างคนผมยาว คนมาจับปลายผมเรา ไม่กระตุกไปถึงประสาทไม่ดึงไปถึงผิวหนังเส้นประสาท เขาจะจับผมหรือจะตัดออกไปเราก็ไม่รู้สึกตัว เจ้าของเจ้าตัวก็ไม่รู้สึกอะไร เพราะฉะนั้นคนตัดผมก็ตัดไปสิ จะหั่นจะซอยอย่างไรก็ไม่เจ็บอะไร เพราะมันไม่มีความรู้สึก มันเป็นชีวะ ถ้าตัดขาดออกไปแล้วส่วนที่ขาดออกไปไม่มีชีวะแล้วก็เป็นอุตุ เป็นดินน้ำไฟลม พืชก็ไม่เป็นแล้ว ถ้าตัดออกไปแล้วก็เป็นอุตุ ถ้ายังอยู่ก็เป็นพืชได้
เข้าไปอีกถึงประสาทก็เป็นจิต ซึ่งเกิดด้วยกรรมกับธรรมะทีนี้ เราก็มาปฏิบัติประพฤติใจในใจของเราให้เป็นเช่นนี้ได้ อย่างที่คุณถามมาว่า มันจะทำอุตุได้ขณะที่ชีวิตเป็นๆได้ไง ส่วนที่ทำเป็นพืชเข้าใจอยู่
ถ้าทำเป็นพืชก็คือมันทำความรู้สึก รู้สึกไม่เจ็บ ทำให้จิตเป็น พีชะ เหมือนกับเล็บผมที่มันยาว จะตัดจะทุบมันก็ไม่รู้สึกแล้ว เป็นพีชะ นั่นแหละคนที่ทำจิตอย่างนี้ได้ เป็นคนที่ไม่ทุกข์ ไม่สุข ไม่ผลักไม่ดูด เป็นฐานของพระอรหันต์ ที่ทำได้ ยิ่งทำให้เป็นอุตุได้เลยจะยิ่งรู้ครบ ว่าอ๋อ…จิตที่เราทำให้เป็นอุตุได้ เช่นในสิ่งที่เราเกี่ยวข้อง ตา กระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส ลิ้นนี้ยากจะอธิบายหน่อย โผฏฐัพพะกระทบภายนอก
อธิบายตรงที่ 1. ตาเห็นรูป 2. หูได้ยินเสียง ตาเราเห็น เราเห็นสิ่งที่มันปรุงแต่งกันอยู่ เขาก็สนุกสนาน เขาก็มีความเอร็ดอร่อย เขาก็มี โอ้โห… มีความยึดถือ ไม่ชอบใจก็ตาม ชอบใจก็ตาม เขาก็เป็นกันเต็มที่ ชอบใจ รัก ชอบ ผูกพันกันอย่างรุนแรงจีจ๋ากัน จนกระทั่งถึงขั้นหวงแหนแก่งแย่ง ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา ถึงขนาดนั้นก็ตาม ก็คือเขาทำเอง
เช่น ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา ทีนี้เรามานึกถึงตัวเราว่า ถ้าเราต้องการก็ดี จะฆ่าผัวมันเสียจะเอาเมียมันมา เราเป็นคนทำไม่ได้หรอกไปฆ่าคน ไปฆ่าผัวเขาแล้วจะเอาเมียเขามามันทำไม่ได้ อันนี้แหละมันเป็นอุตุแล้วกับเรา เพราะเราเองจิตของเรามันไม่ถึงขั้นที่จะเป็น พีชะ มันก็ไม่เป็นแล้ว หรือจะบอกว่ามันเป็น พีชะ ก็คือมันมีธาตุรู้รู้ได้ แต่มันไม่ต้องการ เหมือนพืชนี่ รากของมันไปสัมผัสธาตุต่างๆ มันก็ไม่เอาไม่เกี่ยว มันรู้ว่ามันไม่เกี่ยว มันก็เฉยๆปล่อยไป คือมันมีแต่มันไม่มี ในโลกมันมี แต่มันไม่มี เพราะฉะนั้นคนที่สามารถทำความรู้สึก และรับรู้ด้วยสัญญากำหนดรู้
อย่างเช่นอาตมา ดูเขาสนุกสนานฟุตบอล เตะฟุตบอลเข้าโก โอ้โห ชื่นใจ อาตมาก็เฉยๆ จิตเป็นอุตุ รู้ความจริงตามความเป็นจริง จิตเราไม่ได้เกิดอะไร เห็นความจริงตามความเป็นจริงเท่านั้นที่มันกระทบทางตา หรือเสียง เสียงที่จะทำร้ายกัน หรือเสียงที่จะประเล้าประโลมกัน ถ้าเสียงที่จะทำร้ายกันเราก็รู้เชิงว่านี่เป็นเสียงที่จะทำร้าย เราก็รู้ก็เห็นว่ามันร้ายมันแรงอย่างไร แต่ใจเราก็ไม่ได้ไปร้ายแรงอย่างนั้น
แม้แต่ที่สุดเห็นเขาฆ่ากัน เราก็ได้แต่สังเวชใจเฉยๆ สังเวชใจไม่ได้หมายความว่าจิตใจมีเวทนาด้วยนะ แต่มันก็รู้ว่าเขาทำไม่ค่อยดีเลยนะ ทำได้จนถึงป่านนี้ เช่น อาตมาดูผู้บริหารประเทศแต่ละประเทศ ยังมีการกระเหี้ยนกระหือรือ ยังต้องการมีอำนาจ ยังต้องการเอาชนะ ก็เลยฆ่ากัน ตัวเองไม่ได้เป็นคนฆ่าหรอกนะ ให้ลูกน้องไปฆ่าตายกันเป็นเบือ ตัวเองก็รอดตัวอยู่นี่แหละ สั่งอยู่ในห้องแอร์ด้วยอะไรต่างๆ มันก็เห็นอัตตา เห็นความเห็นแก่ตัว เห็นการใช้อำนาจบาตรใหญ่ จะเอาชนะด้วยอำนาจก็ดี ชนะด้วยความรัก ด้วยความต้องการ ด้วยความแย่งชิงก็ตาม มันก็เป็นสัจจะที่เราเห็น เราก็บอกว่าเราเองเราไม่มีอย่างนี้เด็ดขาด นั่นคือจิตเราขาดจากอันนี้แล้ว เห็นว่ามันหยาบ มันแรง มันร้าย ให้ตายเราก็ไม่ทำ แม้แต่เขามาทำให้เราตาย เราก็ไม่ไปทำตอบแบบเขา เขาจะฆ่าเรา เราก็ไม่ฆ่าเขาตอบ คนที่เข้าใจขนาดนี้แล้วจะเข้าใจความตาย ตายก็ตาย ความตายความเกิด ถ้าเรายังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตายก็เกิดมาอีก
_สู่แดนธรรม… จะขอถามเป็นคำสรุปครับ ถ้าทำจิตให้เป็นอุตุคือเราไม่ต้องไปมี ปฏินิสัคคะเลย ได้ไหมครับ
พ่อครูว่า… ถูกต้อง พยัญชนะ ปฏินิสัคคะ ปฏิคือมันมี Action Reaction กระทบกันอยู่ แม้จะกระทบกันอยู่ ไม่มีปฏิกิริยา แต่อาการที่เรารับรู้สึกนี้ไม่มีสวรรค์ นิสสัคคะ คนเราต้องการสวรรค์เมื่อคุณต้องการสวรรค์ คุณก็มีนรก อย่างที่อาตมาอธิบายไปเรื่องนรกสวรรค์อันเดียวกัน มันเป็นความยึดถือ แล้วคุณก็ปรุงแต่ง สิ่งที่คุณชอบ
คนมาโซคิสหรือซาดิสม์ เห็นคนเขาฆ่ากัน เขาก็เป็นสุข ทั้งๆที่มันทุกข์นะ การฆ่ากัน
อนุปุพพิกถา 5 ที่สัมมาทิฏฐิ
_สู่แดนธรรม… ถ้าเรายังมีวิบากกรรมที่ต้องสัมผัสสัมพันธ์กับมัน แสดงว่า เราอนุโลมไปเป็นพืชเพื่อที่จะ ปฏินิสัคคะกับมัน อย่างนั้นได้มั้ยครับ
พ่อครูว่า... ผู้ที่สามารถรู้จริงแล้วก็ทำใจในใจได้ก็ทำสิ คำว่า ปฏินิสัคคะ สูงกว่า ปฏินิสรณะ
ปฏินิสรณะ แปลว่ายังมีสงครามอยู่ แต่เป็นสงครามที่ยังทำได้บ้างไม่ได้บ้าง เป็นที่พึ่งอาศัย ท่านแปลว่าเป็นที่พึ่งอาศัยเพราะคนยังไม่บรรลุก็ต้องรบกับกิเลสจนกระทั่งคุณสามารถบรรลุได้ คุณก็เป็นปฏินิสัคคะ งั้นก็ไปแปลว่าไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ ผู้ไม่รู้ก็จะบอกเป็นตัวตนเป็นรูปธรรม ทั้งๆที่สิ่งที่พูดมันเป็นนามธรรมทั้งนั้น
เพราะฉะนั้น จิตผู้ใดที่หมดไม่มี ปฏินิสัคคะ แม้กระทบสัมผัสอยู่มีปฏิกิริยา มี Action Reaction แต่จิตของคุณก็ไม่มีสวรรค์นรกแล้ว นี่คือจิตอรหันต์ ท่านแปลว่า การสลัดคืน ท่านก็แปลจากคำว่า ปฏิ คือกระทบแล้วกลับไปกลับมา สลัดคืน ไม่ได้แปลตรงๆตามเนื้อภาษาของคำว่า นิสัคคะ คือ ไม่มีสวรรค์
แล้วเขาเข้าใจคำว่า สวรรค์ หรือ ไม่มีสวรรค์ ไม่ได้ เพราะไม่มีความรู้ ไม่มีความรู้ตั้งแต่ อนุปุพพิกถา 5 มี 1.ทาน 2.ศีล 3.สัคคะ 4.อาทีนวะ 5.เนกขัมมะ
ในชีวิตของคนมีการฝึกการให้กับฝึกตามคำสอนพระพุทธเจ้า พุทธศาสนาก็ฝึกให้มีการให้ เรียนรู้การให้ แต่ศาสดาจะสอนกันให้อย่างไร ของพระพุทธเจ้านั้นสอนการให้ถึงโลกุตระ แต่โลกีย์นั้นสอนการให้แค่เป็นกุศล ให้ทาน ละเอียดลออก็ไม่พอ ทานก็ดีทั้งนั้น แต่ของพระพุทธเจ้านั้น ทานที่ยังไม่เป็นอานิสงส์ ทานที่ไม่มีอานิสงส์ ไม่มีประโยชน์โภคผล ที่ได้จากการกระทำ คือทำใจในใจไม่เป็น
ตั้งแต่คุณทานแล้วก็ต้องการสิ่งตอบแทน นี่สูงสุดเลย ทำทานแล้วไม่ต้องการสิ่งตอบแทนอะไรนี้สูงสุด
ยิ่งหยาบกว่านั้น สูงสุดคือทำทานแล้วไม่ต้องการตอบแทนเลย แต่นี่ทำทานแล้วมี ปฏิพัทธจิตโต ล.23 ข.49 ทานสูตร เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง
อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา(ท้าวกุเวร ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์) คือ ทำทานแล้ว 1. ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ
- มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ
- มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ ก็ยิ่งสะสมเสพในคลังของตนไว้ เป็นตัวเป็นตน เป็นภพเป็นชาติ ทานก็ยิ่งไม่มีอานิสงส์เท่านั้นๆ เพราะทำใจในใจผิด ยิ่งทานแล้ว
- ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ เป็นของเราข้ามชาติเลยไปกันใหญ่ อย่างนี้เป็นต้น ไม่รู้จักสวรรค์ ไม่รู้จักนรก ไม่รู้จักภพ ไม่รู้จักชาติ
เพราะฉะนั้น คนพวกนี้ไม่รู้จักโทษในกาม กามาทีนวะ ทุกวันนี้สอนการทำทาน ทำศีลมีแต่แค่สวรรค์
_สู่แดนธรรม… ตอนนี้พ่อท่านกำลังอธิบายการทำจิตให้เป็นอุตุและขยายความไปถึง ทาน ศีล สัคคะ
พ่อครูว่า… คนที่ไม่รู้ทำทานก็ให้เป็นสวรรค์ ถือศีลก็ให้เกิดสวรรค์ อย่างการถือศีลทุกวันนี้ก็เป็นแค่จารีตประเพณีที่จะได้ ได้อะไรคือได้บุญ ได้กุศล ได้ทำดี ไม่ได้ปฏิบัติศีลก็เพื่อที่จะลดกิเลส ไม่ได้ถึง
เพราะฉะนั้นถึงบอกว่าทุกวันนี้ถือศีลได้แค่ สีลัพพตุปาทาน ถือศีลตามจารีตประเพณีไป ได้กุศล ไม่ได้เกิดบุญ ไม่ได้เกิดการขัดเกลากิเลสอะไร ทำไปก็ได้บุญได้กุศลไป ศีลก็เป็นแค่จารีตประเพณีเป็น สีลัพพตุปาทาน ก็ได้สวรรค์แบบโลกีย์ไป
ไม่รู้จัก จริงๆแล้วสวรรค์นี่เป็นกาม เป็นกามภพ เป็นกามาวจร อวจร อยู่ในตาหูจมูกลิ้นกายแล้วคุณก็ไม่รู้เท่ารู้ทันตา หู จมูก ลิ้นกาย ที่จะเสพ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) อยู่นี่ เหมือนพระป่า พระมหาบัวนี่แหละ กินหมากกินพลูอยู่ ติดสวรรค์อยู่นั่นแหละไม่ขาดปากเลย
แค่ความติดยึดรูป รสกลิ่น เสียง สัมผัส สวรรค์แค่นี้ก็ไม่รู้ติดสวรรค์ลงสวรรค์อยู่นั่นแหละ จมอยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้นกามอย่างมหาบัวอาตมาชัดเจน มหาบัวจะรู้เรื่องกามคือเกี่ยวข้องกับเพศชายเพศหญิงเท่านั้น แล้วก็ปฏิบัติได้ดี เรื่องนี้ก็ไม่ได้มีความด่างพร้อยอะไร
แต่เรื่องกามจริงๆแท้ๆก็คือเรื่องตาหูจมูกลิ้นกายทาง 5 ทวารเรียกว่ากามคุณ 5 มหาบัวติด 100% เต็มเลย ตั้งแต่บวชจนตาย กินหมากกินพลูติดรสไม่ได้รู้เรื่องสวรรค์เลย แค่นี้ยังไม่รู้ในกามที่เป็นเบื้องต้นของกิเลส ก็ไม่รู้ไม่ละ แล้วก็ไปเข้าใจว่าตนเองเป็นพระอรหันต์อย่างนี้เป็นต้น
จะให้อาตมาไม่วิจัยวิจารณ์ ไม่ว่าความไม่ถูกต้องตามธรรมะพุทธเจ้าและปล่อยให้หลงผิดกัน แล้วก็ไปหลงนับถือสิ่งที่ไม่ใช่ว่าใช่สิ่งที่ยังเป็นกิเลสเขรอะ ว่าเป็นผู้ที่อรหันต์ เอ้า มันก็น่าสงสารนะ เพราะฉะนั้นอาตมาจึงจำนน จะไม่ช่วยไม่บอกให้รู้เรื่อง ไม่บอกความจริงที่ถูกต้อง อาตมาก็เป็นคนใจดำไป อาตมาทำไม่ได้
เพราะฉะนั้น อาตมาพูดนี่ อาตมาขออนุญาตเถอะ ฝืนทำใจคุณไม่ให้อาตมาไปว่านั้น อาตมาเลี่ยงไม่ออก อย่าให้ไปว่า ทำไงได้มันกระทบท่าน ท่านเป็นเช่นนั้น ท่านผิดเช่นนั้น ท่านก็โดนที่อาตมาพูดถึงเรื่องนี้ แล้วก็ระบุโดยตรงเลยเพราะว่าคุณก็เห็น อาตมาก็เห็นว่ามันผิดอย่างเห็นๆ คุณก็เห็นอย่างนั้นน่ะมันผิด แต่อาจารย์ของคุณยังยึดความผิดเป็นความถูก ยังไปติดยึดสิ่งที่เป็นกิเลสอยู่ ยังไม่รู้จักละจักล้างแล้วคุณก็นึกว่าเป็นอรหันต์ แล้วกัน แล้วจะไม่ช่วยคนอย่างนี้อาตมาจะไปช่วยใคร ก็ต้องช่วยคนที่เข้าใจผิด คนที่โง่ พูดให้ชัดก็ต้องช่วยคนโง่ คุณต้องรู้สิว่าตัวเองโง่ ตัวเองเข้าใจไม่ถูก
เพราะฉะนั้นอาตมาก็พยายามพูดอย่างผู้ดีนะนี่ ไม่ได้พูดอย่างผู้ร้าย
_สู่แดนธรรม… ผมขอนำเข้าสู่เรื่องอุตุอีกครับ โดยขณะนี้พ่อท่านกำลังทำการสังขารเรื่องคำพูด ตำหนิว่ากล่าว แบบที่พูดเมื่อกี้นี้ครับ
แต่ผมคิดว่า เจตนาของพ่อท่าน นึกวจีกรรมอะไรขึ้นมา ก็เป็นอุตุ ไม่ได้ทำด้วยความรังเกียจ ไม่ได้ทำด้วยความลำเอียง อันนี้พ่อท่านบอกได้ชัดเจนไหมครับ
พ่อครูว่า… พูดมาตลอด ว่าอาตมาไม่มีอะไรเป็นอคติในจิตของอาตมา แม้แต่ สาเฐยจิต จิตที่พูดอวดดีอวดโอ่ว่าตัวเองรู้ ตัวเองเก่ง ตัวเองถูก ก็ไม่มี เพราะเขาเข้าใจในสัจธรรมพวกนี้ยังไม่ได้ อาตมามีสิทธิ์ที่จะบอกความจริง ไม่ใช่ความอวดโอ่ไม่ได้เป็นกิเลสหรืออุปกิเลสอะไรเลย
แต่คนเข้าใจไม่ได้ ไม่รู้จักจิตสะอาดของอาตมา อาตมาอธิบายธรรมะนี้ อธิบายธรรมะด้วยอนุโลม ปฏิโลม กับคนที่เขาอยู่ในภูมิฐานที่เขาได้รับรู้ว่าเขาเป็นเช่นนี้ มันผิดนะจ๊ะอย่างโน้นอย่างนี้ ส่วนอาตมาไม่ได้ผิดไม่ได้ถูกกับคุณเลย แต่เขาก็หาว่าอาตมานี้ไปพูดไปว่า หากอาตมาไม่พูดไม่ว่าคนที่เขาผิดอยู่ อาตมาจะเอาแต่ความถูกมาพูด มันไม่พอ และอาตมาพูดแต่ความถูกคือความหลุดพ้น มันก็พูดได้แต่ส่วนน้อยเข้าตัวเอง มันพูดแต่เรื่องของมัน
อ้าว ก็มันนี่มันบริสุทธิ์มันสะอาดมันถูกต้อง พูดปั๊บมันก็ถูกเรา พูดแต่เรื่องของมัน พอไปว่าเรื่องของเขา เขาก็ต้องผิด เขาก็ต้องยังมีกิเลสยังติดยังยึด ก็ว่าไปว่า
_ป๋อง … การฟ้องร้องและกล่าวสุภาษิตมีหมวด 5 เหมือนกันในพระไตรปิฎกเล่ม 7 และเล่ม 22 ข้อที่ 271-278 ครับเป็น 1 ถูกเป็นกลาง 2.เป็นสัจจะ 3.อ่อนหวาน 4.เป็นประโยชน์ 5.มีเมตตาในการกล่าวครับ
พ่อครูว่า… พวกเราก็เข้าใจธรรมะพุทธเจ้า จำข้อ จำเลข จำเล่มได้ ก็เอามายืนยัน พระพุทธเจ้าตรัสจริง เนื้อหาสภาวะที่พูดมานั้น เป็นไปเพื่อความละหน่ายจางคลายจากกิเลส ไม่ได้ตรัสเพื่ออย่างนู้นอย่างนี้
อาตมาว่า อาตมาทำงานศาสนามาถึงวันนี้แล้ว มันเห็นชัดว่ามนุษยชาติทุกวันนี้เสื่อมไปจากโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าจริงๆเลย เสื่อมไปมาก โดยเฉพาะกระแสหลัก เสื่อมไปจนกระทั่งหลงยึดถือ หลงยึดติดความผิดเป็นความถูก กระแสหลักเลยนะ
เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ที่อยู่ในสังคมศาสนา เป็นภิกษุผู้มาบวชแล้ว ผู้เล่าเรียนแล้ว ถ้าปรารถนาความจริง แต่ก่อนอาตมาก็เข้าใจว่าครูบาอาจารย์ของท่านทั้งหลาย ก็ล้วนแต่ผิดอยู่ ก็ไม่ได้อธิบายสิ่งถูก สิ่งถูกยังไม่ได้มีใครมาเปิดเผย ท่านก็ได้แต่รู้ตามค่าราคาของความดีงาม สูงกับไม่สูง เป็นโลกียะอยู่ ก็ได้อยู่เท่านั้น แล้วมันก็ซ้อนนะโลกียะได้สูงสุด ก็ได้เข้าใจ ยิ่งไปได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ก็เลยกลายเป็นผู้ปฏิบัติ แล้วได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ
เอาละ อย่างพระป่า หนีจากลาภ หนีจากยศ แต่เขาก็ไปได้ยศอยู่นะ อย่างมหาบัวนี้เป็นเจ้าคุณชั้นธรรมเลยนะ แต่ท่านก็ไม่ได้ติดไม่ยึด ก็ดีของท่านแล้ว ท่านก็ไม่ได้ยึดถือ ไม่ได้ติดยึดในยศศักดิ์พวกนี้ นี่ก็เป็นสิ่งที่ยืนยันตามความจริงตามฐานของแต่ละคน
ส่วนพระบ้านที่บอกว่าไม่ได้ติดไม่ได้ยึด แต่ท่านก็แบกเทิ่งๆ ของท่านไป ตั้งแต่เป็นพระครูจนกระทั่งเป็นเจ้าคุณ เจ้าคุณชั้นสามัญ เป็นเจ้าคุณชั้นราช เป็นเจ้าคุณชั้นเทพ เป็นเจ้าคุณชั้นธรรม เป็นเจ้าคุณชั้นพรหม จนกระทั่งเป็นสมเด็จ ก็ตั้งยศศักดิ์ ซึ่งสมัยพุทธเจ้าไม่มี ยศศักดิ์พวกนี้นอกรีตทั้งนั้น พวกนี้นอกรีตของศาสนาพระพุทธเจ้า
พูดไป อาตมาก็เห็นใจ ถ้าทางเถรสมาคมไม่มีอันนั้นเอาไว้เขาอยู่ไม่รอด เขาบริหารกันไม่ได้ เละ แต่พวกเรานี้ไม่ต้องมียศศักดิ์ ไม่ต้องมีอะไร เข้าใจกันโดยธรรมว่า ใครมีภูมิธรรม ผู้มีศีล ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เป็นฐานะของศีลที่สูงในระดับ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ พวกเราก็รู้ เคารพกันด้วยธรรมะ มันจึงไม่สับสนวุ่นวาย
แต่ทางโน้นท่านไม่ได้นะ ทางโน้นท่านไม่มีตำแหน่งยศศักดิ์ฐานะไว้ ท่านล่อกันเละเลย ด่านนั้นก็ยังลำบาก อาตมาก็เห็นใจมันต้องใช้วิธีนั้น ถ้าไม่อย่างนั้นก็ ไม่มีฐานอาศัยของคนในระดับนี้ มันเป็นโลกียะแต่มันจำเป็น เขาก็ต้องอยู่อย่างนั้น
ทีนี้ผู้ที่รู้แล้วว่าโลกียะก็คืออย่างนั้น ถ้าเราไม่เอาโลกียะเขา มาเอาโลกุตระเรา ก็บอกอย่างพวกเรานี้ เกิดมาในยุคยังไม่มีอาตมาเกิดมา ยังไม่มีโลกของโลกุตระ ไม่มี ขอยืนยัน ยังไม่มีสังคมโลกุตระ อาจจะมีพูดเปรยปรายเป็นคำว่าโลกุตระ อย่างเช่น ท่านพุทธทาส พูดเปรยปรายถึงคำว่าโลกุตระ แต่ท่านก็ไม่ได้เข้าใจโลกุตระอะไรเข้าไปถึงสภาวะ จนสามารถสอนลูกศิษย์ลูกหา ให้มาเป็นโลกุตระได้ เพราะท่านเองก็ยังไม่ถึงขั้นเป็นโลกุตระทีเดียว
โลกุตระไม่หนีเข้าป่า ไม่หนีไปอยู่ที่หลบที่ลี้อะไร แต่อยู่กับสังคม สัมผัสอยู่ แต่ท่านพุทธทาสท่านก็สัมผัสนะ แต่ท่านก็ยังถอยไปอยู่ในถิ่นที่ๆ ท่านก็มีที่ของท่าน ก็รู้ๆ ก็เห็นอยู่ ท่านก็ไม่ได้ไปอยู่ในเมือง สังคมสามัญเหมือนอย่างพวกเรา
อย่างสันติอโศกก็อยู่กลางกรุง หรือว่าปฐมอโศก หรือราชธานีอโศกก็ไม่ได้ไปไกลอะไรจากสังคม ก็อยู่ในสังคม ที่เราพอสามารถอาศัยได้ อาตมาไม่พาไปรุกป่า ที่ก็ไม่ได้ไปรุกป่า ที่ก็ต้องเอาที่ที่อยู่สัมพันธ์กับสังคม ไม่ใช่ว่าเป็นที่ไกลเกิน แต่ทีนี้เราจะไปรุกสังคมที่ราคาแพงๆเราก็ไม่มีปัญญา ไม่มีวาสนาถึงขนาดนั้นที่จะไปได้ที่อะไร
อย่างกรุงเทพฯได้สันติอโศกตรงนั้นได้ตั้งแต่มันยังไม่แพงนะ ที่อยู่ได้ เดี๋ยวนี้มันเป็นใจกลางกรุงไปแล้ว แต่ก่อนนี้อโศกมันเปลี่ยวนะพอสมควร บารมีได้ขนาดนั้นก็เหลือแหล่แล้ว หรืออย่างปฐมอโศกก็อยู่ห่างจากเมืองพอสมควร เป็นกิโล ก็ห่างอยู่ไม่ใช่เล่น แต่เดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นชุมชนแล้วนะปฐมอโศก คนยังไปซื้อข้าวของกลายเป็นตลาดไปเลย
คนวรรณะ 9 เป็นคนรวยที่จน เป็นคนจนที่รวย
สัจจะต่างๆพวกนี้อาตมาพาพวกเรามา อาตมายังอุ่นใจตรงที่ว่าอาตมายังได้พาพวกเรา ปฏิบัติธรรมเป็นไปเพื่อความละหน่าย คลาย ปฏิบัติตนให้มาเป็นคนจน ซึ่งมันไม่มีหรอกในโลกไหนที่ใครจะมาสอนให้เป็นคนจน เศรษฐศาสตร์แบบคนจน ไม่มี ไม่มีใครมาสอนเรื่องนี้แบบนี้
ทีนี้ศาสนาพระพุทธเจ้านี้สอนคนให้มาเป็นคนจน แล้วอาตมาก็ยืนยันว่า ผู้ที่เข้าใจและรู้จักความจนนี้ แล้วก็เห็นดีเห็นงามว่าคนจะต้องมีชีวิตมาเป็นคนจน คนนี้เป็นคนที่มีโลกุตรธรรม
เพราะฉะนั้น ชาวพุทธที่สัมมาทิฏฐิ จะไม่กลัวความจน เพราะจะมีปัญญา จะรู้ว่า ความจนนี้ดีนะ คนมีทิฏฐิ มีความเห็นความเข้าใจว่าต้องมาจนนี่ดี เป็นทิศทางที่ถูกต้องแล้วในการมีชีวิตมาจน ซึ่งอาตมาพยายามอธิบายยกตัวอย่าง อย่างสมบูรณ์แบบ แต่คนก็ไม่ฉุกคิด อาตมาอธิบายอะไร อาตมาอธิบายว่า พระพุทธเจ้านี้เกิดมาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน มีสมบัติพัสถานมากมาย พอท่านรู้ตัวปั๊บ ท่านก็ทิ้งมาหมดเลย มาเป็นคนจนหมดเนื้อหมดตัว ไอ้เรื่องโลกียะ ลาภทรัพย์ศฤงคารอะไร ท่านทิ้งหมด รองเท้าทองก็ทิ้ง เสื้อผ้าหน้าแพรก็ทิ้งอันเก่ามานุ่งห่มผ้าบังสุกุลทันทีเลย มาเป็นคนจนทันทีเลย
หรืออาตมาก็เหมือนกันในชีวิตปัจจุบันนี้ อาตมาก็เลิก ทิ้งสมบัติทางโลกมาก็มาเป็นคนจนเหมือนกัน ไม่ได้เอาไว้ ไม่ได้มีจะต้องเอาไว้อาศัย จะต้องส่งเสริมศาสนาต้องอาศัยสิ ทรัพย์ศฤงคารเงินทองต้องอาศัย ไม่อย่างนั้นจะเอาอะไรมาทำงาน ก็อาตมาก็ทำงานได้ ไม่มีเงินก็ทำมาได้ทุกวันนี้ แต่เขาก็จะบอกว่า นี่ไง มันมาจน ทำไมมันมีอะไรต่ออะไรเยอะ ก็คนเขามาสร้างให้จนต้องห้ามว่าอย่าให้มันมากนะ อะไรเกินเราก็ไม่เอา มันก็มีอะไรต่างๆที่อาตมายืนยัน
แม้แต่ที่สุด มีกติกาที่จะให้มาบริจาค ก็ไม่ใช่บริจาคง่ายๆก็เอามาจากเลือดปูนี่แหละ เงินคนจนนี่แหละ และเมื่อเราทำกันจนกระทั่งจิตมีปัญญาเข้าใจเห็นดีว่า มาจนนี่มันหมด มันปลงภาระ มันปลงวาง มันปลดปล่อยออกไปจากตัวตน จนกระทั่งไม่ต้องสะสม ไม่ต้องกอบโกยอะไร อย่างพวกเรานี้อาตมาพูด อาตมาเชื่อว่า พวกเราเข้าใจ เพราะพวกเราทำได้บ้างแล้ว หลายคนก็อยู่กันอย่างมีชีวิตอยู่ในสังคมพวกเราสาธารณโภคี มันยืนยันได้เลย เป็นสังคมสาราณียธรรม 6 มีลาภโดยธรรม แล้วเอามารวมกันเป็นส่วนกลาง กินใช้ร่วมกัน มีบ้างไม่มีบ้าง ขาดเหลืออะไรก็เอากองกลาง ได้บ้างไม่ได้บ้างก็ไม่เดือดร้อนใจ เรียกว่าศีลสมบูรณ์แบบ ศีลที่ไม่สะสม ศีลข้อไม่สะสมแล้ว เราถึงขั้นไม่สะสม แล้วก็ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ไม่เกิด อวิปฏิสาร
อานิสงส์ของศีลข้อที่ 1 อานิสงส์ของการมีศีล คือจิตมันไม่มี อวิปฏิสาร มันไม่มีความเดือดเนื้อร้อนใจ
ศีลข้อคุณไม่สะสมแล้ว คุณก็ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ก็ใช้ตามมีตามได้ ไม่มีก็ไม่ใช้ พูดอย่างนี้แล้วพวกเราหลายคนอยู่ในที่นี้จะเข้าใจเลยว่า ใช่ เรามีความเป็นอันนี้ก็อยู่ในนี้ หลายคนก็อยู่กันมา 10 ปี 20 ปี 30 ปี 40 ปี ก็รู้สึกว่าจริงนะ เราก็อยู่อย่างนี้ไป มีก็ใช้ ไม่มีก็ไม่ได้ใช้ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไร
เพราะเราไม่สะสมแล้ว อปจยะ ไม่สะสมแล้ว แล้วก็มีชีวิตอยู่อย่างไม่สะสมนี่แหละ แล้วก็ใช้ตามที่ สาธารณโภคี ให้ใช้ นี่ก็อธิบายสภาวธรรมที่สังคมเรามี และพิสูจน์ยืนยันว่านี่เป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่พิสูจน์มีแต่ตรรกะ มีแต่การคิดตามพยัญชนะ ตามความหมาย แต่นี่เป็นความเป็นจริง ที่ชีวิตคุณเป็นอยู่กับสิ่งเหล่านี้ คตะ คโต ไปกับสิ่งเหล่านี้ ดำเนินไปกับสิ่งเหล่านี้จริงๆ
อธิบายตามธรรมะพระพุทธเจ้าว่า คุณมีศีลข้อนี้ ถึงขั้นไม่สะสม และเมื่อไม่สะสมแล้วเป็นยังไง คุณก็อยู่ได้สบาย 10 ปี 20 ปีก็ไม่ได้สะสมเงินทองอะไร ตามมีตามได้ ก็ใช้ส่วนกลางไป ดีไม่ดีไม่ได้มาสะสม เอาส่วนกลางมาใช้ เหลือก็คืนเขา แล้วก็อยู่อย่างที่เราไม่จำเป็นต้องใช้ จะใช้เมื่อไหร่ก็ไปขอเบิกเขาใช้ อย่างชีวิตพวกเรามีกัน
นี่เป็นสังคมที่มันมีของจริงยืนยัน อธิบายได้แล้วก็เข้าใจง่ายสำหรับผู้ที่อยู่ในสภาวะที่ร่วม คุณไม่ร่วม คุณอยู่ข้างนอกคุณก็ฟัง มันมีด้วยหรือสังคมแบบนี้ สังคมที่มีเงินกองกลาง
ที่ปฐมอโศกจะซื้อที่ดิน 40 ล้านเกือบ 50 ล้าน ก็เลยบอกว่าจะซื้อ จ่ายเงินสดด้วยนะ เขาก็บอกว่า โอ้โห.. ปฐมอโศกจะซื้อที่ดินเป็นที่ดินติดโรงปุ๋ยเข้าไปทางในเมือง ซื้อเขา 40-50 ล้านต้องซื้อ แล้วก็จะจ่ายเงินสด เขาก็บอกว่าโอ้โห…เอาเงินสดที่ไหนมาจ่าย เราก็บอกว่าไปกู้เขามาไม่ได้เสียดอก เขาก็บอกว่า มีด้วยหรือกู้ไม่เสียดอก กู้มา 40-50 ล้านไม่เสียดอก มีด้วยเหรอ เราก็บอกว่าก็มี เรากู้มาไม่ได้เสียดอกอะไร นี่เป็นสังคมที่คนข้างนอกเขาเข้าใจเราไม่ได้ มีหรือสังคมกู้เงินมา 40-50 ล้านไม่เสียดอก อย่างนี้เป็นต้น
นี่พวกเราก็ทำไปตามประสา คนเข้าใจไม่ได้ว่าทำไมมันร่ำมันรวย มันมีสมบัติพัสถาน มีที่ดิน มีเครื่องใช้ไม้สอย มีอะไรต่ออะไร มีโรงเรือน มีโน่นมีนี่อะไรต่างๆนานา ซึ่งเราปฏิบัติตามธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วทั้งนั้น
คนมีวรรณะ 9 เป็นคนรวยที่จน เป็นคนจนที่รวย ไม่ได้เล่นลิ้นเล่นคำอะไรนะ ไม่ได้เล่นคารมโวหารอะไร แต่มันเป็นเรื่องจริง มันเป็นสัจจะที่ลึกซึ้งมากเลย เป็นธรรมะ 2 ใน 1 1 ใน 2 ได้
จิตของคนที่ไม่ต้องการแล้ว ไม่อยากได้หรือถึงขั้นจิตไม่สะสม นี่คือคนรวยเต็ม เป็นคนรวยเต็ม 0 รวยเต็มที่เลย
แต่คนยังอยากได้อยู่ มีเงินหมื่นล้าน แสนล้าน ก็ยังตะกละตะกลาม ไม่ให้ใครมาเอาไปเลย ใครจะเอาไปต้องมีผลได้ต้องมี ดอกเบี้ย ต้องมีปันผลอย่างโน้นอย่างนี้ต่างๆนานา นั่นคือคนจนไม่เสร็จ จนไม่จบ คุณจะมีแสนล้านก็ตาม จนไม่จบคนพวกนี้ ตายไปคุณก็ยังเป็นคนจน
คุณไม่รู้จักพอ วรรณะ 9 ของคุณไม่มีเลย เพราะฉะนั้นชีวิตของคนที่มีมากๆก็จะต้องมีอะไรมาบริการตนเอง บำเรอตัวเอง เป็นคนเลี้ยงยาก ไม่ใช่เลี้ยงง่าย เพราะฉะนั้นคนพวกนี้อธิบายธรรมะยังไงยังไงก็ ทุโปสะ ไม่เจริญง่าย เอาธรรมะโลกุตระมาพูดไม่มีกระดิกหูหรอก อวรรณะ บำรุงไม่ขึ้น ไม่เป็นสุโปสะ ทุโปสะตลอด เพราะเขาไม่มักน้อย เขาไม่กล้าที่จะจน เขาจะต้องมาก เขาจะต้อง มหัปปิจฉะ เขาจะต้องมาก เขาจะต้องรวย
เพราะฉะนั้นยิ่งไปใจสันโดษใจพอ ไม่มีพอ ไม่พึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ คนพวกนี้ไม่พึงพอใจหรอก จะต้องตะกละ จะต้องเอาอีกจะต้องเอาอีก ไม่สันโดษไม่พอ เพราะฉะนั้นคนพวกนี้ไม่มีทางขัดเกลากิเลสเลย อสัลเลขะ จะไม่ขึ้นขีดมาพวกวรรณะนี้เลย เขาจะมีแต่แค่เลี้ยงยากบำรุงยาก ทุโปสะ มักมาก อสัตุฏฐิ ไม่มีใจพอ จากนั้นอีก ข้อที่ 5 ข้อที่ 6 ก็คือ เป็นคนขี้เกียจ โกสัชชะ สังคณิกา มีแต่กอบโกยเป็นคณะ เป็นกองประกอบ แต่เขาก็ไปแปลว่าไม่คลุกคลีด้วยหมู่ ที่จริงก็ไม่คลุกคลีด้วยกิเลส อสังคณิกะ
นี่เป็นพวกไม่มีวรรณะ เป็นอวรรณะ 6
- เลี้ยงยาก (ทุพภระ)
- บำรุงยาก (ทุปโปสะ)
- มักมาก (มหัปปิจฉะ)
- ไม่รู้จักพอ (อสันตุฏฐิ)
- เกียจคร้าน (โกสัชชะ)
- คลุกคลีหมู่คณะ(คลุกกองกิเลส) (สังคณิกา)
(พตปฎ. เล่ม1 ข้อ 20) ตรงข้ามกับ วรรณะ 9
นี่พวกอวรรณะ พวกคนชั้นต่ำ เพราะฉะนั้นคนรวยคนสะสมมากมายคือคนชั้นต่ำ คนเกียจคร้านนั้นเป็นคนชั้นต่ำนั้นรู้ง่าย คนมักมากกับคนที่มีความกระตือรือร้น มีความพากเพียร ขยันหมั่นเพียร มันไม่เหมือนกัน
มักมากนี่ ทำแล้วต้องการเอามากๆ แต่คนขยันพากเพียร ทำงานกระตือรือร้นขวนขวาย สร้างสรรค์แต่ไม่ได้มาสะสม ไม่ได้ไปต้องการที่จะกอบโกย ทำแล้วก็สร้างสรรค์เหมือนอย่างพวกเรา คนที่ขยันก็ขยัน คนที่ขยันบ้างไม่ขยันบ้างก็ทำไปประมาณนั้น
คนที่ขี้เกียจก็แฝงอยู่กับเพื่อนไป เกาะเพื่อนกินไป ได้บาปได้อกุศลติดตัวไป กรรมเป็นอันทำนะ อาตมาขอเตือน พวกที่กินแรงกินเรี่ยวของคนที่สูง คนเจริญ ก็ยิ่งบาปมีค่าสูง ราคาของบาปสูงกว่ากินแรงของคนที่เขาจิตไม่สูง คนกินแรงของคนจิตสูงจิตเจริญเป็นอาริยะ บาปราคาก็แพงขึ้น อาตมาก็ขอเตือนให้สติพวกเรา
เพราะฉะนั้นมาอยู่ที่นี่ถ้าขี้เกียจแล้วก็รู้จักหลบเลี่ยง อยู่ได้อยู่ตรงนี้ไปแต่คุณก็สะสมหนี้บาป ระวังกรรมเป็นอันทำ ที่อาตมาพูดไม่ได้ไปว่าใคร ถ้าใครเป็นอย่างที่อาตมาว่า คุณก็ต้องเป็นอย่างที่คุณทำ กรรมเป็นอันทำ คุณทำอย่างไรก็เป็นกุศลหรืออกุศล มันก็เป็นของคุณ
เพราะฉะนั้นต้องพยายามพากเพียรศึกษาเรียนรู้ อาตมาทุกวันนี้ เรี่ยวแรงก็ร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ ก็ฝืนตัวเองไป นี่ก็ลดลงมา สอนเทศน์อาทิตย์หนึ่ง 2 วัน วันอังคารกับวันศุกร์ อีกหน่อยก็คงลดเหลือวันเดียว สอนแต่วันพฤหัสบดีวันเดียวหรือไง มันได้แค่นั้นก็แค่นั้น ก็เป็นไป
อาตมาก็พยายามอยู่นะ ไม่ใช่อาตมาขี้เกียจ อาตมาไม่ใช่คนขี้เกียจ แต่ว่ามันจำนนต่อความเป็นจริง สังขารมันไม่ให้ แต่ก่อนนี้มันก็ไม่ค่อยไอเท่าไหร่ เดี๋ยวนี้อาการมันมากขึ้นทุกวัน มันบำบัดไม่ได้มันเป็นวิบากของอาตมา อาตมาก็ทนทู่ซี้ไป ทนมันไปเรื่อยๆ นี่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
นี่ก็มีคนออกความเห็นมาว่าอยากจะเอามณีแดง กับสเต็มเซลล์ เอ็นโดจีนัสสเต็มเซลล์ จะเอามาช่วยอาตมาก็ว่าโอ้ เอามันจะช่วยได้จริงหรือ ก็ดี เป็นมณีแดงหรืออินโดจีนัสสเต็มเซลล์ อาตมาก็ไม่รู้เรื่องหรอก มีคนเขาพูดก็บอกมา เขาเป็นพยาบาลเขาก็รู้เรื่อง คุณใบฟ้าก็ดูมา แอบหวังอยู่ว่าจะมีพวกนี้มาช่วย อาตมาฟังดูก็เข้าทีถ้าเป็นไปได้ก็ดี มันจะช่วยได้ง่ายๆหรือ ก็ว่าไป เราก็ไม่รู้ได้หรอกว่าจะได้หรือไม่ได้
อาตมาได้พยายามที่จะพูดถึงเรื่องคำว่า ความจน ชาวพุทธที่มีปัญญาเต็มที่แล้วไม่กลัวความจน กล้าจน อัปปิจฉะ เป็นคนมีน้อยๆไม่ต้องการมีมากๆ การที่สอนให้คนในสังคมเป็นคนไม่มีมากๆ อย่าไปสะสมมากๆมาเป็นคนจนนี้ มันเป็นการสร้างเศรษฐกิจให้แก่สังคม พวกเราเป็นคนที่ช่วยประเทศชาติด้วยการมาเป็นคนจน พวกมาเป็นคนจนคือพวกที่สร้างเศรษฐกิจสังคม ให้แก่ประเทศชาติ พวกที่ไปเป็นคนรวยนั้นคือพวกที่ไปทำลายเศรษฐกิจสังคมของประเทศชาติ
คือเขามองตื้น เขามองไม่ลึกหรอก เขานึกว่าคนรวยนี่จะเป็นคนที่ มีก้อนเงินมาหมุนทำให้เกิดสะพัด จริงสิ มันก็เกิดสะพัด แล้วสะพัดแล้วได้อยู่ที่ใคร มันก็ได้อยู่ที่นายทุนนั่นแหละ มันก็กอบโกยไปอยู่ที่นายทุนนั่นแหละ มันไม่ได้เป็นของส่วนใคร มันไม่ได้สะพัดจริง เศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจต้องสะพัด ซึ่งมันไม่ได้สะพัด
ลีลาของการสะพัดของนายทุนนั้น มันออกทุนไป 5 มันจะต้องได้คืนมา 10, 20 ยิ่งเก่ง เป็นอย่างนั้น แล้วคนก็ไปมองตื้นๆแล้วก็นึกว่าเป็นการเจริญ บอกว่าเป็น GDP อะไรนี่ ซึ่งอาตมาวิจัยวิจารณ์แล้วว่ามันไม่ใช่ความเจริญทางเศรษฐศาสตร์ เพราะเศรษฐศาสตร์โลกุตระแบบที่อาตมาพูดนี่ มันไม่มีในสังคมโลก มหาวิทยาลัยไหนก็ไม่ได้เรียน มีเรียนอยู่ที่สันติอโศกหรือชาวอโศกเท่านั้น ที่เรียนเศรษฐศาสตร์บทนี้ ทฤษฎีสำคัญนี้
แล้วก็ปฏิบัติได้จริงด้วย มาเป็นคนจนได้จริงด้วย สำเร็จด้วย จึงเป็นคนช่วยสังคมประเทศชาติอยู่ พวกคนที่ไปรวย รวย ไม่ต้องเอาเงินต่างประเทศ เอาเงินอยู่ในประเทศ คุณก็กอบโกยเอาเปรียบส่วนรวม ยิ่งคุณไปเอาของประเทศอื่นมาอีก โอ้โห..คุณไประราน โลภโมโทสัน ออกไปอาละวาดข้างนอกเขาอีก
ประเทศที่จะช่วยคนได้คือ ประเทศเศรษฐกิจดีนั่นคือ 1. ช่วยตนเองรอด 2. มีส่วนที่จะสะพัดให้คนอื่นได้ ในตัวเราเองก็ช่วยตัวเองหรือพึ่งกินพึ่งใช้พึ่งอยู่ได้พอ สะพัดไปช่วยคนอื่นได้ นั่นคือคนเศรษฐกิจดี
คนจนที่ช่วยคนอื่นได้ สะพัดไปช่วยคนอื่นได้ นั่นคือคนที่เศรษฐกิจดี คนรวยที่สะพัดออกให้คนอื่นแบบที่เรียกว่า “อุจจาระไม่ให้สุนัขรับประทาน” พวกนี้พวกไม่มีประโยชน์คุณค่าในสังคมโลกเลย
แต่คนมองเศรษฐศาสตร์ มองเศรษฐกิจที่ละเอียดลึกซึ้งพวกนี้ไม่ออก เมืองไทยมีพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เรียกว่าโพธิสัตว์เจ้า เป็นผู้ที่ตรัสว่าต้องมาเอาแบบคนจน มาขาดทุน นี่คือเศรษฐศาสตร์ที่เจริญ เศรษฐศาสตร์ที่ประเทศไทย ในหลวงเป็นพระเจ้าแผ่นดินของประเทศไทย ตรัสในที่สาธารณะไม่ได้ไปตรัสมุบๆมิบๆอะไร ประกาศจริงๆเลย ต้องเอาแบบคนจน แต่ท่านก็ในฐานะของท่าน ท่านก็แสดงได้เท่านั้น แต่อาตมานี่ ไม่แสดงเท่านั้น อาตมาพาทำเลย จนมีความสำเร็จให้คนมาเป็นคนจนได้จริง ไม่เป็นคนที่สะสม แล้วอาตมาก็ขอยืนยันว่าพวกเรานี่เป็นพวกที่เจริญทางเศรษฐกิจ เจริญยังไง ก็เป็นคนจนสำเร็จ แล้วมาเป็นคนขายขาดทุนได้ด้วยคือกำไรของเรา จริงไหม ไม่ได้พูดปากเปล่า ไม่ได้พูดเล่นวาทะคารมให้โก้ๆ แต่ทำจริง เข้าใจจริงแล้วก็เป็นของจริงทำได้ แล้วเราก็สบาย อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนการเสียสละ ยิ่งๆขึ้น
นี่คือสัจจะที่สุดยอด พูดไปพูดมาก็เวลาหมดแล้ว
สมณะฟ้าไท… สรุปจบ