660710 พ่อครูฝืนสังขารเพื่อต้องการลูกๆได้ PI(โพธิรักษ์ Intelligence) รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #29 ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1s1Yt5PHmz2zGWjUuOT9rJXKx4y8WZfq2/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1oHvut0hR0Z8BnXS3qTEXdLbHfkzQnjIu/view?usp=sharing
https://spotifyanchor-web.app.link/e/0Klnc9U1jBb
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/TLemXCtXqOE
และ https://fb.watch/lHJFLNVZU0/
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 10 กรกฎาคม 2566 แรม 8 ค่ำเดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
เราก็มาฟังธรรมกันอีก อาตมาก็มีหน้าที่แสดงธรรม พวกเราก็ฟังธรรม อาตมาเกิดมาชาตินี้ เกิดมาเผยแพร่ธรรมะ ชีวิตชาตินี้ถูกกำหนดมาอย่างนั้น ก็เต็มใจทำ ทำมา ตั้งแต่รู้ตัวว่าจะต้องมารับหน้าที่นี้ 50 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่ พ.ศ. 2513 ตอนนี้ปี 2566 เป็นเวลา 53 ปี
SMS วันที่ 7 – 9 ก.ค. 2566
_บุญระบบ มุนีเวช · กราบขอบพระคุณท่านสมณะทั้ง 3 รูปที่สรุปข่าวการเมืองให้ฟังโดยที่เราไม่ต้องไปติดตามข่าวให้ปวดหมองเลยฟังสรุปข่าวจากรายการมองโลกมองธรรมได้ความชัดเจนดีมากค่ะกราบนมัสการค่ะ ประทับใจอย่างมากในรายการมองโลกมองธรรม โดยเฉพาะดูคลิปสัมภาษณ์ท่านพีรพันธ์ทำให้ได้รับทราบความดีงามในความรักชาติของลุงตู่ที่มีแต่ความห่วงใยประชาชนตั้งใจทำงานเสียสละจริงๆเสียดายนายกตู่มากคนดีอย่าพึ่งท้อแท้นะคะ รักลุงตู่เหมือนเดิมค่ะ
พ่อครูว่า… รายงานผลความรู้สึกของประชาชนคนหนึ่ง อาตมาก็มีหน้าที่รายงานไป
_โกศล สุขเล็ก · กราบนมัสการท่านสมณะ ตอนนี้กำลังมีบุคคลกำลังนำกฎหมู่มาขู่กฎหมาย..
พ่อครูว่า… เอออันนี้ก็มีแง่ มีประเด็นแง่เชิงที่เอามาว่ากันได้ กำลังมีคนนำกฎหมู่มาขู่กฎหมาย เขาก็ยืนยันว่าเขาได้คะแนนเสียงมา ชนะเลือกตั้งมา เขาก็ว่าเขาได้ชนะเลือกตั้งได้คะแนนมากกว่าใครๆ เขาว่าเขาเป็นเสียงประชาชน นี่แหละมันทำให้มองเห็นว่า คนที่ไปหลงเรื่องการเลือกตั้ง Election ไปหลงการเลือกตั้ง ปรารถนา การเลือกตั้งว่าคือประชาธิปไตย ถือจัดถือยิ่งเลย เสร็จแล้วได้คะแนนนี้มาก็นึกว่ามันสุดยอดแล้ว ดังที่มีเหตุการณ์อยู่ในปัจจุบันนี้ มีคนเขาแย้งต่างๆนานาให้เห็นได้ว่า ประชาธิปไตยนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ประชาชนมาลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเท่านั้น บอกว่าเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ ถ้าไม่มีเลือกตั้งยังเต็มใบไม่ได้ เอาก็เป็นความรู้ความเข้าใจของแต่ละคน อาตมาก็วิเคราะห์วิจัยไปบ้าง
_แก้วลา ไชยวงค์ · คนชั่วจะครองเมืองจริงหรือเจ้าคะ ท่านจันทร์🙏🇹🇭🙏🇹🇭🙏🇹🇭
พ่อครูว่า… อาตมาก็ไม่ตอบเพราะถามท่านจันทร์ ก็ให้ท่านจันทร์ตอบก็แล้วกัน อาตมาก็ไม่ตอบ จริงนะอาตมาไม่ต้องตอบหรอกให้ท่านจันทร์ตอบก็พอ
_จรรยา ประเสริฐ · อยากให้นายกประยุทธ มาเป็นนายกอีกเหมือนเดิม เป็นไปได้ไหม????? เป็นไปได้หรือไม่ได้ ไม่ซีเรียส ไม่เป็นก็ดี เป็นก็ดี ดีทั้งสองอย่าง กราบสาธุ
พ่อครูว่า… ไม่รู้ อาตมาตอบไม่ได้ เขาก็มีกลไกอะไรต่ออะไร อาตมาว่าจริงๆแล้ว ประชาชนที่เขาไม่กระดี๊กระด๊าในเรื่องการเมืองอะไรต่ออะไรกันพวกนี้ เขาทำมาหากินของเขาไป แต่ถ้าเผื่อว่าให้แสดงความเห็นตามจริงออกมาจริงๆแล้วว่า เอาง่ายๆว่า เอานายกพิธากับนายกประยุทธ์ พิธาเขาเป็นนายกแล้วนะ ระหว่าง 2 คนนี้ ใครเห็นดีเห็นงามว่าใครควรให้มาเป็นนายก อาตมาก็พูดทิ้งไว้แค่นี้แหละคิดเอาเองตอบเอาเองก็แล้วกัน
_Achitapon Wamontri อชิตพนธ์ วามนตรี · ทำไมถึงได้สร้างความแตกแยกเกลียดชัง เพียงฟังเขาเล่ามา พรรคก้าวไกลมิได้เป็นเช่นนั้น ถ้าเปิดกว้างก็เชิญพิธาหรือสส. ก้าวไกลมาถามให้กระจ่าง
พ่อครูว่า… ก็เขามีการถาม มีการแสดงออก มีการสัมภาษณ์ออกมาให้เห็นกันอยู่ และเขาก็แสดงออกได้ตามสิทธิ เขาก็เป็นเรื่องประชาธิปไตยนะ การแสดงสิทธิที่จะแสดงความเห็นออกมาตามสิทธิเสรีภาพ ทำได้ ก็ฟังเขาบ้าง
แค่นี้คุณก็มองว่าเป็นการสร้างความแตกแยกเกลียดชัง อย่างนี้เขาเรียกว่าส่อเสียด มากไป การแสดงความเห็นแล้วไปวิจัยวิจารณ์ว่าเราไม่เห็นด้วยหรือวิจารณ์แรงๆก็ได้ ในศาสนาพระพุทธเจ้าก็ยังให้เลย ท่านใช้คำว่า ปฏิกโกสนา จะวิจารณ์วิจัย วิเคราะห์ ฝ่ายตรงข้ามอย่างนั้นอย่างนี้อย่างเต็มที่อย่างแรงอย่างจัง ไม่เห็นด้วยยังไงก็มีสิทธิ์ มันเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นยิ่งเราเป็นยุคประชาธิปไตยก็อย่าเพิ่งไปหาเรื่องส่อเสียดว่ากล่าวกันแรงเกินไป ว่าสร้างความแตกแยกอะไร
_จากผู้เห็นด้วยกับด้านธรรม แต่ไม่เห็นด้วยด้านการเมือง · ชาวโลกุตระทำไมลงไปในเกมส์ชิงอำนาจ
พ่อครูว่า…คนนี้แยกการเมืองกับธรรมะเสียด้วยนะ และชาวโลกุตระนี่แหละ เป็นผู้ที่จะมองโลกได้ชัดเจนและก็แนะนำ โดยที่ตัวเองไม่ได้ลงไปในเกม ไม่ได้ไปร่วมแก่งแย่งชิงอะไรด้วย แต่ชี้นำบอกกล่าว ไม่ใช่คนโง่ ไม่ใช่คนที่มิจฉาทิฏฐิ ไม่ส่งเสริมคนดี ไม่ไปเข้าพรรคเข้าพวกกับคนดี แล้วก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ไปเข้าพรรคเข้าพวกกับผู้ที่จะช่วยกันสร้างสรรค์ให้มันเจริญ ให้มันก้าวหน้า แล้วก็วิจัยวิจารณ์พวกที่เขาไม่ถูกเช่นนั้นเช่นนี้ ผิดเช่นนั้นเช่นนี้ บอกกันด้วยใจเมตตาเกื้อกูล ความเห็นมันต่างกันต่างมุมก็มีเป็นธรรมดา เอามาพูดกันเป็นความเห็นต่างกันก็พูดกันอยู่มาก
_เบิกฟ้า หาพุทธแท้ · การไว้ใจคนมากเกินไป…แม้แต่เป็นชาวอโศกด้วยกันก็ตาม ระวังจะเสียทั้งเงินและสัมพันธภาพ เพราะความเห็นแก่ตัวของคนที่ยังไม่บรรลุธรรม
พ่อครูว่า… ก็เตือนกันไว้ก็ดี อย่าไว้ใจคนมากเกินไป แค่ประเด็นของเงินของทองก็เป็นจริง
_ช่อทิพ หนูทอง · ดิฉันรับโทรศัพท์ พูดไปมาถามชื่อ เลขบัตรประชาชน เลขบัญชีธนาคาร เอะใจว่าเป็น แก๊งค์ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) คอลเซนเตอร์ จึงโกหกว่า..ชื่อ อุ๊ง ลูกแม้วดูไบ พวกมันรีบวางหูไปเลย พ่อบ้านตำหนิว่า โกหก
ถามพ่อครูว่า ควรแก้ไขอย่างไร เพื่อจะไม่โกหกแก๊งค์คอลเซนเตอร์ คะ??
กราบเรียนถามพ่อครูว่า มงคลชีวิต 38 ประการ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือไม่คะ?
พ่อครูว่า… มงคลชีวิต 38 ประการเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีพระพุทธเจ้าเท่านั้นแหละถึงจะรู้จักมงคลชีวิต 38 ศาสดาอื่นก็ไม่มีใครจะรู้ได้อย่างนี้ เป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง ท่านแบ่งแจกออกเป็นขั้นเป็นตอน ตั้งแต่ข้อ 1 ถึงข้อ 38 สูงสุดเลย ละเอียด 38 ข้อ สุดยอดเลย มนุษย์ควรจะต้องศึกษาว่าชีวิตของเราคืออะไร ไม่คบคนพาล คบบัณฑิต ไล่ไปครบ 38 สุดท้ายเป็นความเกษม เป็น วิรชัง เขมัง (วิรชัง อาตมาแปลว่าธุลีเริง) แล้วก็จิตผ่องแผ้วเกษมใส
ส่วนแก๊งคอลเซ็นเตอร์นั้น อาตมาไม่มีปัญญาที่จะไปแก้ไข เพื่อจะไม่ให้โกหก แต่เราเลี่ยงดีแล้วล่ะ ก็หาวิธีที่ไม่จำเป็นจะต้องโกหกก็ได้
_สู่แดนธรรม… ผมก็บอกเขาไปตามตรงว่า ผมไม่มีเวลาเล่นกับคุณครับ แล้วก็วางหูเลยครับ
พ่อครูว่า… ในโลกก็มีคนอย่างนี้แหละมีคนหากินชั่วๆมีเยอะ เป็นธรรมดา มีอยู่อย่างหนึ่งที่อาตมาว่าง่ายคือ คุณไม่ต้องมีโทรศัพท์ อย่างอาตมานี่ไม่เจอแก๊งคอลเซ็นเตอร์เลย เพราะอาตมาไม่มีโทรศัพท์ ไม่ได้เจอเลย
สัตตะ ปาณะ ภูตะ ชีวะ ทำจิตให้ถึงอรหันต์
_Took Aswin ตุ๊ก อัศวิน : พ่อครูหมุนกงล้อธรรม เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2566 ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง..!! ท่านปรารภธรรมดุจดังร้อยมาลัยธรรมพวงใหญ่..ช่างงดงาม..เรียงร้อยได้อย่าง..ลาด…ลุ่ม..ลึก..ยิ่งนัก เจ้าค่ะ!! พ่อครูเริ่มที่..มหาภูต..ภูตคาม..เจตภูต!!
เพิ่งทราบว่า นิยาม 5 (อุตุ_พีชะ_จิต_กรรม_ธรรม) เป็นสิ่งใหม่ที่ไม่มีติดมากับ พตปฎ !!
น่าอัศจรรย์ใจยิ่งที่ พ่อครูปรารภธรรมได้งดงาม อย่างมีสภาวะธรรม!!
นี่คือ ข้อพิสูจน์ว่า พ่อครู คือผู้เป็นสยังอภิญญา..ของแท้เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… อันนี้จริง จริงตรงไหน จริงตรงเรื่องธรรมนิยาม 5 อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม ในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ ไม่มีกล่าวถึงเลย กล่าวเพียงหัวข้อก็ไม่มี ยิ่งกล่าวถึงในรายละเอียดยิ่งไม่มี แต่ไปมีอยู่ที่คัมภีร์วิสุทธิมรรคของพระพุทธโฆษาจารย์ มี อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม ท่านพุทธโฆษาจารย์เป็นผู้บันทึกคัมภีร์วิสุทธิมรรคเอาไว้
ศาสนาพุทธเมืองไทยแทบจะเรียกว่า เป็นศาสนาของพุทธโฆษาจารย์ คือเอาวิสุทธิมรรคมาเป็นคัมภีร์หลักเรียนกัน โดยเฉพาะนักบวช พวกภิกษุ ที่เรียนเปรียญธรรม ก็เลยมีธรรมนิยาม 5 มากล่าวไว้ อาตมาไม่ได้อ่านในวิสุทธิมรรค ไม่เคยอ่านเลย ก็ได้แต่ผ่านตาจากผู้นั้นผู้นี้กล่าวถึง
ท่านก็ให้ความหมายมา นึกว่าถูกต้อง แต่อาตมายืนยันว่าไม่ถูกต้องตามสภาวะแท้ สำคัญมาก อาตมาสัมผัสแล้วแค่พยัญชนะว่า อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม อาตมาก็นึกสภาวะออกเลย ซึ่งมันไม่ตรงกับสภาวะที่ท่านว่ากัน ธรรมนิยาม 5 นี่แหละ ถ้าเผื่อว่าผู้ปฏิบัติธรรม ไม่ว่าจะเป็นภิกษุ ไม่ว่าจะเป็นฆราวาส ไม่ว่าจะเป็นใคร ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าแล้วไม่มีความรู้ในสภาวะธรรมความเป็น อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ โดยเฉพาะ อุตุ พีชะ จิต ว่าสภาวะของอุตุ พีชะ จิต คืออย่างไร แล้วแยกสิ่งเหล่านี้ออก
แยกความเป็นกายเป็นจิต เช่น คุณต้องเข้าใจว่า กายอย่างสัมมาทิฏฐิ กายคืออะไร แล้วรู้ว่าอาการของกายนี้เป็นอย่างไร
กายมีเวทนาไหม กายมีจิตไหม ถ้ามิจฉาทิฏฐิว่ากายไม่มีเวทนา กายไม่มีจิตร่วมด้วย กายมีแต่สภาพดินน้ำไฟลม เป็นอุตุธาตุ หมายถึงแต่ ดิน น้ำ ไฟ ลม เฉยๆ ไม่มีสิ่งสัมพันธ์ ไม่มีสิ่งร่วมรู้ คุณเข้าใจได้ว่าถ้าเผื่อว่าเป็นธาตุดินน้ำไฟลม เป็นอุตุธาตุ
จริงๆแล้ว ดินน้ำไฟลมก็ไม่มีความรู้สึกแน่ เพราะมันเป็นมหาภูตรูป พอเมื่อมาเป็น พีชะ มันเริ่มมาเป็นชีวะ เป็นพืช ส่วนอุตุ ดินน้ำไฟลมไม่มีชีวะ มีแต่พลังงานกับสสาร เป็นความแตกต่างกัน พีชะต่างกับอุตุ เช่นนี้
พีชะ มีดินน้ำไฟลมปรุงแต่งอยู่ในพืชด้วย เริ่มเป็นชีวะ ชีวะในตัวของมันเองมาร่วมรับผิดชอบตัวมันเอง
ส่วนอุตุนี่นั้นรับผิดชอบตัวเองไม่ได้ มีแต่สิ่งอื่นเป็นพลังงานมาจัดการมัน พีชะ มันเริ่มรับผิดชอบตัวเองยึดตัวเองแล้ว มีธาตุอะไรปรุงแต่งขึ้นมา อย่างอันนี้อินทผาลัมมาเต็มเลย มันก็มีธาตุของมันเอามาปรุงแต่ง
มะพร้าวหรือพืชพันธุ์ธัญญาหารอยู่ข้างหน้าเรานี้ พืชแต่ละอย่างมันก็ตัวของมัน มันรู้ มันไม่โกง มันก็ต้องการสภาพธาตุต่างๆ ที่ต้องมาปรุงแต่งเป็นตัวมัน มันก็เอามา
นี่คือลักษณะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ จริงๆ วิทยาศาสตร์ทางโลกเขาก็รู้ เขาก็ศึกษากันได้ว่า อุตุคืออะไร พีชะคืออะไร
ทีนี้พอไปถึงจิตเป็นชีวะที่เจริญขึ้นไปอีกถึงขั้นเป็นสัตว์ อาตมาก็แยกแยะให้เห็นตั้งแต่ สัตตะ ปาณะ ภูตะ ชีวะ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อปัณกสูตร ก็ขยายความให้ฟัง
เราก็จะรู้ว่าสภาพเหล่านั้นเริ่มมีธาตุรู้เข้าไปร่วมเป็นจิตแล้ว สัตตะคือสัตว์ ปาณะคือเริ่มเป็นสัตว์ หยาบๆท่านแปลปาณะเป็นสัตว์ จริงๆเป็นนามธรรม แต่สัตตะ มีรูปร่างเป็นสัตว์แล้ว สัตว์เดรัจฉานช้างม้าวัวควาย เป็นต้น
ปาณะ มันเป็นธาตุชีวะ เป็นสัตว์แล้ว
ภูตะ มหาภูต มันยังไม่เป็นสัตว์ ภูตะอย่างนี้ก็แยกเป็นชนิดหนึ่ง
ภูตคาม เริ่มมีความเป็นพืชแล้ว ก็แยกเป็นพืชเกิดแต่เหง้าแต่หัวอะไรต่างๆไปอีก
พอเป็นเจตภูติ ก็เริ่มเชื่อมขึ้นมามีความเป็นสัตว์ เริ่มขยายมาเชื่อม ปาณะ เพราะฉะนั้นความมีชีวะหรือไม่มีชีวะ สัตว์มีชีวะ ปาณะเป็นชีวะ ภูตะ ไม่มีชีวะก็ได้ หรือเริ่มเป็นชีวะเข้าไปหาจิตได้อะไรอย่างนี้เป็นต้น นี่คือรายละเอียดหรือนัยยะละเอียด ที่ตรัสรู้โดยพระพุทธเจ้า เป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณ
ซึ่งทั้งโลกเทวนิยมเรียนจบด็อกเตอร์หรือศาสดาของเทวนิยมกันหลายแหล่ก็ไม่มีความรู้ความละเอียดพวกนี้ จึงไม่ได้เรียนความรู้สึก ไม่ได้เรียนรู้ที่จิตเจตสิกต่างๆ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเขาไม่รู้ก็เลย ความสุขความทุกข์
เขาวิ่งไล่สุขไม่เอาทุกข์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ใหญ่ของจิตวิญญาณ เป็นเรื่องของโลกุตระ พระพุทธเจ้าถึงศึกษา อาการสุขอาการทุกข์เราไปหลงยึดมัน มันก็ต้องวิ่งไล่ตาม นิพพานไม่ได้ ปลดปล่อยไม่ได้ จนสามารถรู้ว่าเรายึดมันก็สุขทุกข์ ไม่ยึดมันก็ไม่มี สุขทุกข์เป็นอุปาทาน เป็นมายา เป็นมายาที่ยิ่งใหญ่ แต่เทวนิยม ศาสนา ศาสดาทางเทวนิยมไม่มีทางพ้นทุกข์พ้นสุข ไม่รู้จักความจริงที่จะมีนิพพาน เลิกล้มหมดสุขหมดทุกข์ แล้วก็ล้างจิตวิญญาณตัวเอง ตายสูญ ตายแล้วแยกธาตุออกเป็นดินน้ำไฟลมเลย ศาสนาเทวนิยม ศาสดาทางเทวนิยมไม่มีทางรู้และทำไม่ได้
ส่วนศาสนาพุทธ อาตมาพูดได้ว่าเป็นศาสนาเดียวในโลกไม่ว่าในยุคไหน เป็นศาสนาเดียวที่รู้ ทั้งรู้จักความจริง รู้แจ้งความจริง รู้จริงความจริง และรู้จบความจริงนี้ เรียกว่าสัจจะหรือสัจธรรมนี้บริบูรณ์ แล้วอาตมาก็ได้เอามาอธิบายจนพวกเราเข้าใจแล้ว แยกกาย แยกจิตตั้งแต่เป็นๆ ว่ากายเป็นอย่างนี้ แล้วทำให้จิตของเราไม่ยึดกายว่าเป็นเราตั้งแต่เป็นๆ ทำให้เป็นอุตุตั้งแต่ตอนเป็นๆ
ซึ่งมันเป็นการทำใจในใจของเราเองได้ เวทนาก็ไม่ได้เข้าไปยึดไปถือไปเป็นไปมี หรือแค่พีชะ ทำจิตให้เป็นแค่พีชะ เป็นพืช ก็รู้ชัด เราก็สามารถที่จะอาศัยได้ประมาณนั้น
จิตที่ สามารถทำได้จริง มันก็พ้นทุกข์จริง พ้นสุขจริง พ้นจริงๆเลย แล้วเราก็อยู่เหนือจิตเจตสิก แล้วก็ทำให้จิตเป็นพลังงานที่สามารถสร้างสรรค์ เป็นประโยชน์เลย ไม่ต้องโลภโกรธหลง ไม่มีตัวตน ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เมื่อไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ มันก็ไม่บำเรอตน
ยังเหลือแม้แต่ความเป็นตนที่เป็นจิตสะอาดแล้ว เป็นอุเบกขา เราก็ไม่ยึดเป็นตัวตน อันนี้ผู้ที่มีภูมิธรรมถึงขั้นละสุขละทุกข์ได้ โดยละเหตุของมันได้ เป็นจิตอุเบกขา ก็เป็นผู้ที่มีภูมิจะรู้ว่า จะยึดเป็นตนหรือไม่เป็นตน จะมีภูมิรู้จะยึดการยึดตน เพราะฝึกไม่ยึดมาเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดกิเลสแล้ว เหลือแต่ความจริงตามความเป็นจริง แล้วเราจะยึดความจริงเป็นตนหรือไม่ ผู้ที่บรรลุอรหันต์ไปจริงก็จะรู้แล้วก็ไม่ยึดได้ สามารถปรินิพพานเป็นปริโยสานได้
หรือจะยึดต่อ โดยที่ไม่เป็นสุขเป็นทุกข์แล้ว อย่างอาตมานี้พูดได้ เพราะว่าอาตมาผ่านอรหันต์ขั้น 1 2 3 4 มา อธิบายแยกแยะอรหันต์ตั้งแต่ขั้น 1 จาก โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ นี่เป็นอรหันต์ขั้นที่ 1 แล้วก็ศึกษาต่อในรายละเอียดของภพที่ลึกซึ้งขึ้นอีก เป็นอนุโพธิสัตว์ก็เป็นอรหันต์ต่อ เป็นอรหันต์ขั้นที่ 2 ระดับที่ 2
อนิยตโพธิสัตว์สูงไปกว่าอนุโพธิสัตว์ แล้วมีรอบจบอรหันต์ อรหันต์คือ อรหะ กับอันตะ ที่มันลึกลับคือสำหรับผู้ที่ยังไม่รู้ พอ ศึกษารู้หมดก็จะหมดความลึกลับ เป็นอรหันต์ขั้นนิยตโพธิสัตว์ ก็สูงไปกว่านั้นอีก เข้าเขตเที่ยงแท้ที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ก็ศึกษาให้บรรลุอรหันต์ในระดับ นิยตะ
แล้วก็ยังมีสูงไปกว่านั้นอีก ที่อาตมารู้อยู่ ในพิมพ์เขียวความสูงสุดของพระพุทธเจ้านี้ กว่าจะถึงอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องผ่านนิยตอรหันต์ มหาโพธิสัตว์ แล้วถึงจะเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างนี้เป็นต้น
อาตมาอธิบายสภาวะเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเรื่องเดา แล้วไม่มีในพระไตรปิฎกฉบับของพระมหากัสสปะ ไม่มีบันทึกเอาไว้ อาตมาก็เอาภูมิรู้ของอาตมาที่มีมาเอง ตามความเป็นจริงที่อาตมาเป็นนิยตโพธิสัตว์ซึ่งหมายความว่าเป็นสยังอภิญญา เป็นของตนเองแล้ว ติดตัวมาตั้งแต่ชาติก่อนๆ มาชาตินี้ไม่มีโลกุตระ อาตมามีโลกุตระมาเอง แล้วก็เอามาอธิบายให้รู้กันแล้วก็ปฏิบัติกันจนบรรลุโลกุตรธรรมกันได้ ก็ยืนยันแล้วจนกระทั่งบัดนี้ ผู้ที่ฟังตาม ปฏิบัติตาม เข้าถึง บรรลุได้ ก็เห็นจริง เชื่อถือ ผู้ที่เขาฟังไม่ถึง ภูมิไม่ถึงหรือไม่ศรัทธา อคติอะไรไปเขาก็ไม่ได้ ก็ไม่มีปัญหาอะไร เป็นเรื่องจริง
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
_สู่แดนธรรม… สมัยลุงแป้งบวช อาจารย์ก็จะบอกว่าภิกษุไม่ให้พราก พืชคาม ภูตคาม ไม่ให้พรากพืชที่เกิดแต่ ใบ ลำต้น ราก เหง้า เมล็ด เกสร เวลาจะถวายอาหารให้สมณะ ให้ทำให้มันไม่สามารถงอกต่อได้
พ่อครูว่า… แต่ก่อนอาตมาไม่ได้เอาถ่าน เคยเป็นลูกศิษย์วัดก็ไม่ได้ทำอะไรตามประสา
_สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
กราบนมัสการท่านสมณะเดินดิน สมณะบินบน และท่านจันทร์ ดิฉันได้ฟังท่านจันทร์ว่า แม้ ส.ส.คนใดจะรวมกลุ่มกันได้เกินครึ่งของจำนวนส.ส.ทั้งหมดก็ตาม ก็ไม่ใช่ว่า ส.ส.คนนั้นจะได้เป็นนายกฯ เสมอไป (พ่อครูว่า.. มีอีกหลายขั้นตอน จากประชุมแล้วยังต้องมีขั้นตอนของ สส.สว.อีก คือพิธา หลงตัวเองเยอะ แล้วก็หลงการเลือกตั้งเป็นใหญ่ หลงแบบอเมริกา ยึดถือการเลือกตั้งเป็นใหญ่ เลยกลายเป็นพวกเวอร์ Over มันเกินไป มันสุดโต่งไป
พิธานี้มีทิฏฐิวิปลาส มีนโยบายอะไรที่จะล้มระบบหลายอย่าง และยังมีชนักปักหลังอีกหลายอัน อาตมาว่าจะเป็นนายกได้อย่างไร เพราะมีจุดด่างพร้อย มีแผลเต็มตัว มันไม่สะอาดบริสุทธิ์พอที่จะขึ้นมาได้ ก็มองตามประสาเรานะ คนอื่นก็มองตามประสาเขา) ยังต้องให้ ส.ว.พิจารณาคุณสมบัติคุณธรรมของการจะให้เป็นนายกฯอีกครั้ง นี้คือความสำคัญของส.ว.ถ้าไม่เช่นนั้นสภาก็ไม่ต้องมีส.ว.ไว้พิจารณาคุณสมบัติก็ได้ โดยกำหนดให้ส.ส.ที่สามารถรวมกลุ่มได้เกินครึ่งของจำนวนส.ส.ทั้งหมดได้เป็นนายกฯไปเลย และท่านเดินดินก็ให้สังเกตว่าครั้งนี้ประธานสภาวันนอร์ก็ไม่ได้จากพรรคเสียงข้างมาก ดิฉันขอน้อมกราบขอบพระคุณท่านที่กรุณาให้สัมมาทิฏฐิ ดิฉันเชื่อว่ายังมีประชาชนอีกมากที่ไม่ทราบตามที่ท่านกล่าว น้อมกราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า… ประธานสภานี้ก็เป็นใหญ่ในประเทศ ผู้เป็นใหญ่ในสถาบันในประเทศก็มี 3 สถาบัน มีประธานสภาเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ประธานฝ่ายตุลาการคือศาล ประธานฝ่ายบริหารคือนายก 3 สถาบัน
_โชคชัย โคราช น้อมกราบนมัสการพ่อท่านและมนัสการท่านสมณะทุกรูปครับ ผมมีความสงสัยเรื่องเกี่ยวกับสติ ที่มีคำว่า สติสัมปชัญญะ ปฏิกูลสติ อิริยาบทสติ อานาปานสติ เกี่ยวเนื่องกับสติปัฎฐาน 4 อย่างไรครับ และจินตามยปํญญาใช้อย่างไรเกี่ยวข้องกับการปฎิบัติธรรมในตอนไหนอย่างไรครับ และหมายรวมถึงเกี่ยวข้องกับปัญญา 8 ไหมครับ..
ขอแบบย่อก็ได้ครับ ขอน้อมกราบด้วยความเคารพยิ่งครับ. และเพิ่มเติม อสุภสติอีกเรื่องครับ.
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
_สู่แดนธรรม… เกี่ยวข้องกับปัญญา 8 แน่นอนครับ เกี่ยวข้องตรงที่ว่า พ่อครู เป็นบุคคลอยู่ในฐานะครูที่คุณคิดถูกแล้วว่าที่มาสอบถามว่าข้อนี้เป็นอย่างไร นี่แหละเกี่ยวข้องแล้ว 1 ประการ ส่วนสติต่างๆ 4-5 อย่างที่ว่ามานั้น ต้องนิมนต์พ่อท่านครับผม
พ่อครูว่า… คำว่าปฏิกูลก็ดีอีริยาบถก็ดี
พ่อครูฝืนสังขารเพื่อต้องการลูกๆได้ PI(โพธิรักษ์ Intelligence) 1
(พ่อครูไอตัดออกด้วย) อาตมาคงจะต้องเลิกหรือคงจะต้องงดแสดงธรรมแล้วล่ะ สังขารมันแย่จังเลย แม้แต่ธรรมดาก็ไอๆๆ นั่งอยู่ปกติทำงานนั่นนี่อยู่ แม้แต่นอนเดี๋ยวก็สะดุ้งขึ้นมาไอ อาการมันหนัก ไอ้กระเปาะ มันผลิต อาตมาเรียกมันว่าน้ำพิษ มันจะคันมาก มันจะอยากขับออกอย่างแรง แล้วมันก็ผลิต ผลิตเสลดเหนียวอีก ทั้งน้ำพิษก็จะต้องขับออก เสลดเหนียวดึงเอาไว้อีก ทรมานทรกรรม มันหนัก อาการมันมากเลยทุกวันนี้ อาตมามันฝืนขันธ์มานานเกินไปแล้ว มันควรจะต้องพักได้แล้วคือควรตายได้แล้วพูดง่ายๆ
อันนี้พูดความจริง เป็นสัจจะที่มันถึงวาระ แต่อาตมาก็ยังพยายามพิสูจน์ ยังพยายามชะลอมัน แต่มันทรมาน สักวันหนึ่งก็คง พยายามตั้งเป้าอะไรต่ออะไรไปให้พวกเราสบายใจ แต่แท้จริงก็ไม่ได้หลอกหรอก บอกไปอยู่ บอกไปเรื่อยๆ ว่า อาตมาคงไม่ได้ยาวยืนอะไรเท่าไหร่หรอก มันถึงเวลาที่มันจะต้องกลับบ้านเก่าแล้วด้วย พักผ่อน แล้วอาตมายังไม่หยุดหรอก อาตมายังจะคงเวียนมาเกิดอีกเพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงหรอก พวกเราก็บอกว่ากลัวอาตมาจะตายแล้วกว่าจะกลับมาเกิดใหม่ กว่าจะโต กว่าจะเทศน์ได้เขาคงจะตายก่อน ก็ว่ากันไป ก็เป็นไปตามสัจธรรมเท่าที่ได้
สติ สัมปชัญญะ ปฏิกูลสติ อานาปานสติ สติปัฏฐาน คืออะไร
พ่อครูว่า… อธิบายสรุปสรุปอย่างที่คุณว่าแบบย่อ
เอาคำว่าสติคำเดียวเป็นเรื่องหลักก็แล้วกัน
สติคือธาตุรู้ เป็นธาตุรู้ที่มีเงื่อนไข มีตัวชี้บ่งว่ามันเป็นลักษณะสติคืออย่างไร สติคือธาตุรู้ความตื่น ความตื่นนี้ภาษาบาลีว่า ชาคระหรือชาคริยะ ความตื่น พระบาลี คำบาลีแปลว่า ความตื่น
ตื่นก็คือ ไม่ใช่เรื่อง หรี่ๆหลับๆ มันเป็นการเต็มความรู้สึก ความรู้ รับรู้ ความรู้ ความรับรู้ ความรู้สึก มันตื่นเต็มร้อย มาจากรากศัพท์คำว่า สตะ แปลว่า 100 ตื่นเต็ม 100 อาตมาก็เคยขยายความแล้วว่ามันเต็มร้อยทั้งทางกายกรรม เพราะฉะนั้นไปหลับตาไม่มีกายข้างนอกทางกายกรรม วจีกรรม วจีกรรมก็เต็ม 100 มโนกรรมก็เต็ม 100
แต่ในเมื่อมันหลับตา กายกรรมเต็ม100 คุณก็ต้องลด ไม่มีกายข้างนอก วจีกรรมข้างนอกคุณก็ไม่ได้มีพูดอะไร มันก็ต้องลด มันก็มีแต่สติภายใน เพราะฉะนั้นผู้ที่ไปปฏิบัติธรรมหลับตาแล้วมีแต่สติภายในก็คือคนไม่เต็มคน คนไม่มีสติเต็มร้อย มันมีแต่สติภายในแล้วเขาก็ไปพยายามพากเพียรให้ตื่นเต็มภายใน ตื่นอย่างไรมันก็ตื่นอยู่ในภพ อยู่ในภวังค์ อยู่ในองค์ของภพ มันไม่ได้ออกมาเต็มคนที่มีตาหูจมูกลิ้นกาย อย่างนั้นมันบกพร่อง มันพิการ
ก็สรุปไม่รู้กี่ทีแล้วว่าไปหลับตามปฏิบัตินั้นมันไม่ได้เต็มคน มันไม่เป็น ทิฏฐธรรม ไม่เป็นทิฏฐกาละ ไม่เป็นปัจจุบันชาติ ที่จะตื่นมี จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลก(แสงสว่าง) ตื่นเต็ม เพราะฉะนั้นสตินี้ต้องตื่นเต็ม
ส่วนความมีความตื่นรับรู้เต็ม สตินี่แหละ เรียกว่า ที่สัมปชัญญะ
สัมปชัญญะก็เป็นอาการเจตสิกต่อเนื่องจากความรับรู้ แล้วก็มี สัมปชัญญะ
สัมปชัญญะโดยพยัญชนะก็บอกอยู่ในตัวว่ามันมี อัญญะ มี ปชะ อาตมา รู้จักพยัญชนะของบาลี ปะ คืออย่างไร ชะ คืออย่างไร
ช เป็นธาตุรู้แล้ว ช.ช้าง ชา ได้รับความรู้ ชาติ รู้ขึ้นมา ก็จะมีความรู้ที่รู้อื่นๆขึ้นไปเรื่อยๆ สติสัมปชัญญะ ตื่นที่ตื่นรู้ เพราะฉะนั้นไปปฏิบัติหลับตาสัมปชัญญะจะมาตื่นรู้ ไม่มี สติจะตื่นเต็มก็ไม่มีอยู่แล้วสัมปชัญญะก็จะไม่มีหรอก
ปฏิกูลก็ดี อิริยาบถก็ดี อานาปานะก็ดี อันนี้หมายถึงเรื่องที่เราจะต้องเกี่ยวข้อง มีสติสัมผัสกับปฏิกูล จะต้องเรียนรู้ว่า เป็นสิ่งที่ไม่น่ายึดถือ เป็นเรื่องปฏิกูล เป็นเรื่องที่ไม่น่ายึดไว้ หรือพิจารณาแม้แต่อยู่ในอิริยาบถต่างๆ อิริยาบถทางกาย วาจา ใจ ก็ต้องรู้อิริยาบถต่างๆว่าเราทำอิริยาบถเหล่านี้ ทำไปทำไม ทำเกี่ยวข้องกับอันโน้นอันนี้ อะไรคืออะไร
ถึงแม้อานาปานสตินี่ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก อานาปานสติ ในศาสนาโดยเฉพาะศาสนาในประเทศไทย หลงอานาปานสติกัน แล้วก็มีอีกหลายประเทศ ในหลายกลุ่มของนักปฏิบัติธรรม ไปหลงว่า อานา อาปานะ เป็นการหลับตา แล้วก็เอาลมหายใจเป็นกสิณ เอาความรู้สึกมาจับที่ลมหายใจออก ลมหายใจเข้า สุดท้ายก็มิจฉาทิฏฐิ
ลมหายใจออก ลมหายใจเข้ามันก็มีอยู่นะ แต่ว่าความรู้สึกคุณดับไป สัญญาและเวทนาไม่รับรู้ที่คุณหายใจออกหายใจเข้า คุณก็ไปอยู่ในภพใน แต่กายของคุณนั้นยังมีหายใจออกหายใจเข้า แต่คุณไม่รู้กายแล้ว เพราะฉะนั้นในอานาปานสติ พระพุทธเจ้าท่านมีอยู่วลีหนึ่งบอกไว้ว่า
ลมหายใจนี้เป็นกายของเรา ถ้าขาดลมหายใจแล้ว ไม่รับรู้ลมหายใจแล้วคุณไม่มีกาย คุณก็เป็นคนพิการ พิการไปมากเลยนะเพราะตาหูจมูกลิ้นกายคุณไม่มี คุณมีแต่เวทนาไปรู้ลมหายใจอยู่ที่จมูกเท่านั้น สัมผัสอื่นคุณไม่รับรู้ ทางเสียง ทางรูป ทางรสอะไร คุณไม่รู้เรื่องหมดเลย
ซึ่งมันพิกลพิการไปหมด แล้วไปหลงอานาปานสติ คือว่าไปนั่งหลับตากำหนดสติที่ลมหายใจเข้าออก แล้วก็ไปเล่นกับเวทนากับสัญญา โดยไปพาซื่อหลงเลอะเทอะไปดับเวทนา ไปดับสัญญาเป็น อสัญญีสัตว์ เป็นสัตว์ที่ไม่มีความรับรู้อะไรไป แล้วหลงว่าเป็นนิโรธ เป็นนิพพาน แล้วก็บรรลุ ปึ๊ง เหมือนมหาบัวทำ ซึ่งมันก็น่าสงสาร มันเข้าใจผิด แล้วมันก็เลอะเทอะกันไปใหญ่เลย
ศาสนาพระพุทธเจ้า อานาปานสตินั้นคือภาษาที่ให้เรียนรู้ มีสติ อยู่ทุกขณะที่คุณมีลมหายใจเข้าลมหายใจออก หมายความว่ามีชีวิตอยู่ ยังไม่ตาย
คุณก็ปฏิบัติธรรมทุกอย่างเลย รู้จักกาย รู้จักจิต แล้วก็ลดละกิเลสทางกาย ทางจิตได้ ปัสสัมภยัง จิตสังขารัง หมดกิเลสทางกายแล้ว เหลือแต่ ปัสสัมภยังจิตสังขารัง ก็ทำความสงบให้ทางจิตต่อที่เหลือ
คำว่าสงบนี่แหละในปัญญาข้อที่ 3 มีความสงบ 2 อย่าง ความสงบของโลกียะกับของโลกุตระ
เมื่อเข้าใจผิดตั้งแต่คำว่า กาย จะเข้าใจเรื่องธรรมนิยาม 5 ไม่ได้ จะแยกกาย แยกจิตไม่เป็น เพราะฉะนั้นจะไม่มีสิทธิ์เลยที่จะบรรลุธรรม ไม่มีสิทธิ์เลย
-
สักกายทิฏฐิ ไม่พ้น เพราะฉะนั้น 2.คุณจะมาปฏิบัติโดยการแยกกาย แยกจิต โดยแยกเป็นธรรมนิยาม 5 คุณก็ไม่ได้แล้ว เพราะคุณเข้าใจกายผิด เพราะฉะนั้นจะมาปฏิบัติสติปัฏฐาน 4