660705 การถืออยู่ป่าของพระป่าเป็นสิ่งผิดตามธุดงควรรคที่ 6 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/14DBfmzSAI204h6lzzAZOAv6aGpXyzZty/view?usp=sharing
https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660705-108-1-e26j09s
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/cwCPwhaPA1U
และ https://www.facebook.com/100078722032092/videos/283153367700637
สมณะเดินดิน… วันนี้วันพุธที่ 5 กรกฎาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ประเทศไทยก็ได้ประธานรัฐสภาแล้ว ก็บอกว่าเป็นสารตั้งต้น ขึ้นไปเพื่อจะทำให้ได้เกิดนายกรัฐมนตรี มีคนเปรียบเทียบว่าการแย่งประธานสภาของพรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล เหมือนกับพระกับเณรแย่งกัน สุดท้ายโต๊ะอิหม่ามได้ไป
บทนี้เป็นบทที่เขาต้องการสะท้อนให้เห็นว่า คนที่อยากได้กลับไม่ได้ คนที่ไม่อยากได้กลับได้ เขาว่าคนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิต
พ่อครูเคยให้ข้อคิดไว้ว่า “เพราะไม่กังวลในความร่ำรวย ไม่หิวโหยในความบันเทิง ไม่ปรารถนาความเป็นใหญ่เป็นโต ไม่มีปัญหากับความเครียด ชีวิตจึงไม่ขาดแคลนความเบิกบาน”
เราคงต้องมาเรียนรู้เรื่องความไม่ได้ดั่งใจ ลดความเครียดลงไปชีวิตจึงไม่ขาดแคลนความเบิกบาน มนุษย์หากปรารถนาความร่ำรวยความเป็นใหญ่เป็นโต ชีวิตจึงตามมาด้วยความเครียด
พ่อครูว่า… เริ่มต้นกันที่ SMS ก่อน
SMS วันที่ 3 – 4 ก.ค. 2566
_สินอโศก : กราบนมัสการท่านค่ะ ดิฉันยังมีกิเลสอยู่ค่ะ ดิฉันกินมังสวิรัติได้บริสุทธิ์100% ไม่มีอาการโหยหาเนื้อสัตว์แล้ว และทีนี้ ดิฉันไม่ชอบเมื่อเห็นคนอื่นยังกินเนื้อสัตว์อยู่ค่ะ
พ่อครูว่า…ดีรู้ว่าตัวเองยังมีกิเลส
คนที่หลงตัวเอง ว่าไม่มีกิเลสทั้งๆ ที่กิเลสของตนเองยังไม่รู้ แม้แต่กิเลสขั้นหยาบ แล้วนึกว่าตัวเองเป็นอรหันต์ คนนี้น่าสงสารยิ่งกว่า เช่น พระนั่งหลับตาปฏิบัติ เป็นต้น
การนั่งหลับตาปฏิบัติไม่มีทางที่จะเป็นพระอรหันต์ได้ ไม่มีทางที่จะหมดกิเลสได้ มีแต่พวกวิปริตแล้วก็หลงตัวเองว่ากิเลสหมด นึกว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์
เดี๋ยววันนี้อาตมาเตรียมเรื่องออกป่า โดย พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องป่าไว้ 5 ประการ ที่จะได้เอามาสาธยาย
_เหนือ กาลเวลา · กินสิ่งไม่ชอบบ่อย ๆ เอาไปเอามา.กลายเป็นชอบเฉยเลยครับ..แฮร่ ๆ
องค์ประกอบของหมู่มิตรดีทำให้เราโยนิโสมนสิการได้ชัดเจนครับ..อยู่คนเดียวถ้าไม่มีของเดิมมันจะเสริมอัตตาได้ง่ายๆ แม้อยู่กับหมู่แล้วยังแอบหลบไปอยู่กับภพเรื่อยเลย
..ที่บ้านราชจะโชคดีหน่อย ..เรื่องเยอะดี..อิอิ..
พ่อครูว่า…เข้าใจนะ ใช้องค์ประกอบต่างๆเป็นเหตุปัจจัยในการปฏิบัติธรรม ที่พูดนี้เข้าใจ คือพวกเรานี้อาตมาภาคภูมิใจที่ปฏิบัติตรงธรรมะพระพุทธเจ้าแล้ว มันเห็นรายละเอียด พวกเราเก็บและเก็บน้อยเก็บละเอียดมุมนั้นมุมนี้ คนนั้นก็มองมุมนั้นมุมนี้ แล้วก็มาพูด บางทีอาตมาฟังแล้ว โอ้โห แง่นี้เรายังไม่ได้รู้สึกว่า เคยประหวัดไปถึงเลยนะเขาก็หยิบขึ้นมา เราก็เห็นได้ตามที่เขานำมาพูด มันก็เป็นเรื่องที่ดี
ไม่สุขไม่ทุกข์มี 2 แบบ
_สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ กราบนมัสการท่านสมณะและสิกขมาตุด้วยความเคารพค่ะ ท่านสิกขมาตุสัจฉิกตาว่า จุดสูงสุดของพุทธคือการไม่ทุกข์ ไม่สุข ท่านว่าคนทั่วไปปรารถนาไม่ทุกข์ แต่การไม่สุขนั้นคนยังไม่อยากเว้น ดิฉันว่าศาสนาพุทธมีความวิเศษตรงที่สอนให้คนมาปรารถนาการไม่ทุกข์ ไม่สุขได้ และพบการไม่ทุกข์ไม่สุขได้จริงค่ะ น้อมกราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า…วิเศษ คนที่สามารถรู้ว่าอาการจิตของเรา อาการที่มันไม่ทุกข์ไม่สุข อทุกขมสุข การที่รู้อาการไม่ทุกข์ไม่สุขนี้ รู้ได้ 2 อย่าง
รู้อย่างงมงาย รู้อย่างไม่ชัดแจ้ง ไม่เปิดเผย ไม่สว่าง รู้อย่างมี จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลก สัมผัสเหตุปัจจัยอยู่อย่างสว่างๆ
กับรู้อย่างมืดไม่มี จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา ไม่มีแสงสว่าง ดับแล้วก็ทำให้ไม่สุขไม่ทุกข์ เพราะเป็นการดับสัญญา ดับเวทนามันก็เลยไม่รู้สึกสุขรู้สึกทุกข์ พวกหลับตาได้ไม่สุขไม่ทุกข์อย่างนี้เหมือนกันแล้วซวย
นึกว่าตัวเองไม่ทุกข์ไม่สุข เพราะว่าความไม่ทุกข์ไม่สุขเป็นยอดสำคัญของศาสนาพุทธ เพราะฉะนั้นไปดับอย่างนั้น ก็เลยได้แต่ งม จม ซวย ไปหลงเลย
เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นจะต้องไปนั่งหลับตาให้ไม่สุขไม่ทุกข์แบบนั้น ไม่จำเป็น เพราะฉะนั้นมันไม่มีปัญหาเลย สำหรับผู้ที่มาปฏิบัติให้เข้าใจความสุขความทุกข์โดยดับเหตุ เมื่อดับเหตุไม่สุขไม่ทุกข์ได้แล้ว กิเลสละเอียดหมดเกลี้ยงเลย ความไม่สุขไม่ทุกข์ก็รู้กันอย่างสว่างๆ รู้กันอย่างสัมผัสอะไรต่ออะไรได้เลย
หลับตาลงก็เงียบสบาย ไม่ต้องไปนั่งหลับตาให้ยากเลย อย่างนั้นสะกดจิตแทบตาย กว่าจะไม่สุขไม่ทุกข์ได้ แต่ผู้ที่ไม่สุขไม่ทุกข์อย่างสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้าแล้ว ลืมตา พอได้จริงแล้วเป็นอรหันต์ จะหลับตาลงไป มันก็สบาย เพราะมันไม่มีหรอกจะไปดับไม่สุขไม่ทุกข์แบบหลับตา เพราะไม่สุขไม่ทุกข์ในขณะแม้แต่ลืมตาแล้ว หลับตามันก็เหลือแต่จิต จิตก็ไม่มีเหตุคือกิเลส ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกายก็ไม่มีเหตุที่กระทบสัมผัสแล้ว หลับตาไปจิตก็สบายง่าย
ถ้าลืมตาสัมผัสด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่สุขไม่ทุกข์ยากกว่า แต่นี่ เหตุ สัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ไม่มี ดับไปหมด ยิ่งหลับเลย ก็เลยมีแต่จิต เมื่อจิตหมดกิเลสแล้วเหตุก็ไม่มี นอนหลับก็มีแต่กรน ด้วยสรีระ มันไปห้ามไม่ได้ พระอรหันต์ก็ห้ามกรนไม่ได้
_แก่นกลั่นบุญ แก้วตั้ง · กราบเรียนถามพ่อท่านค่ะยุคนี้(ปัจจุบัน) พอคุณพิธาเข้ามาในแวดวงการเมือง ทำไมถึงทำให้ประเทศชาติสั่นคลอนได้มากมายขนาดนี้…ทั้งๆ ที่แจ้งชัดเจนว่าล้มล้างม.112 (กลบเกลื่อนไปมา) แต่ทำไมถึงต้องยอมให้เข้าไปมีบทบาทในส่วนของการบริหารประเทศ ซึ่งเสี่ยงมาก นักปฏิบัติธรรมอย่างพวกเราควรวางตัวในการเข้าไปเกี่ยวข้องทางสื่ออย่างไร (เช่น เฟส ฯลฯ) ถึงจะเหมาะสมเจ้าคะ คอมเม้นท์ และโพตส์ ถือว่าควรมั้ยคะ🙏น้อมกราบนมัสการด้วยความเคารพยิ่ง จากลูก(คนใต้ไปอยู่ภาคเหนือ) อาราธนาพ่อท่าน มีอายุยืนยาวเป็นหมื่น ๆ ปี
พ่อครูว่า…อย่างนั้นเขาอวยพรฮ่องเต้ อาตมาไม่ได้เป็นฮ่องเต้จะไปรับอวยพรเป็นหมื่นๆปี อย่างนั้นฮ่องเต้จีนเขาถูกอวยพร ไม่ใช่ยุคที่เราต้องอายุยืนถึงหมื่นปีหรอกทุกวันนี้ เอาร้อยหนึ่งก็เก่งแล้วล่ะ ไกลจากหมื่นเยอะเหมือนกัน
เป็นเหตุปัจจัยของโลกของประเทศของสังคมเป็นอจินไตยมันต้องเจอต้องพบสิ่งเหล่านี้ อาตมาไม่ถือว่าประเทศไทยอย่างพิธา อย่างเหตุการณ์พวกนี้ อาตมามองไปตามประสาอาตมา ว่ามันเป็นสะเก็ดเศษที่เหลือของประชาธิปไตยแบบไทย เพราะประชาธิปไตยแบบไทยนี้มันจะมีได้ อย่างพวกเราชาวอโศก เราเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์แบบ เพราะเราดำเนินตามพระพุทธเจ้า ประชาธิปไตยมีคุณสมบัติพิเศษด้วยอธิปไตย 3 อายะ 3 ยังไม่รื้อฟื้นวันนี้ ผ่านไปก่อน มันก็เป็นเหตุการณ์บ้านเมือง เหตุการณ์ของโลก ของสังคมที่จะต้องเป็นไป
คนไม่มีราคะ โทสะ โมหะ คือพระอรหันต์
_นาง จับใจ ธนะโภค · น้อมกราบนมัสการพ่อครูฯ ดิฉันขอกราบเรียนถามค่ะ ดิฉันทำงานถ้ามีคนมาช่วยทำ ทำงานไม่ตรงกับเป้าที่ดิฉันตั้งไว้ ดิฉันก็จะบอกเขาด้วยคำพูดแรงๆ (โทสะ) ค่ะ *** ขอกราบเรียนถามพ่อครูฯ ดิฉัน”ตกภพ” ใช่หรือไม่คะ
พ่อครูว่า…ดีนะที่รู้ตัวว่าตัวเองมีโทสะ ก็มีกิเลสสิ ก็รู้ตัวเองอยู่ว่าตัวเองมีกิเลสโทสะ ดีนะที่รู้ตัวเอง พิจารณาให้เห็นว่าโทสะมันเกิดเพราะตัวเราเองไปโง่ให้มันเกิดอาการนี้ในจิต คนที่มีอาการราคะโทสะอยู่ ก็คืออาการไม่ปกติ มากน้อยแล้วแต่ มีน้อยก็ไม่ปกติน้อยๆ คนปกติคือคนเป็นพระอรหันต์ ไม่มีอาการราคะ โทสะ โมหะ เลย จบสมบูรณ์แบบ
เห็นกิเลสตนได้มากขึ้นคือความเจริญ
_สุรภา ลิ้มวรรณเสถียร · กราบขอโอกาสค่ะดิฉันรู้สึกปฏิบัติธรรรมมา 3 ปี เห็นกิเลสมากขึ้นและเมื่อวานแสดงกิเลสออกมาน่าเกลียดมาก แสดงว่า 3 ปีนี้ที่ดิฉันรู้สึกกิเลสไม่ลดเลยและไม่รู้ธรรมเลย จึงต้องพิจารณาตัวเองไม่สมควรอยู่ในอโศกใช่หรือมั้ยเจ้าคะ
พ่อครูว่า…เห็นกิเลสในตัวเองได้มากขึ้นคือความเจริญ คนธรรมดาไม่เห็นกิเลสตัวเองได้ง่ายๆ คนที่เห็นกิเลสตัวเองมากขึ้นมากขึ้น แม้ปัจจุบันนี้กิเลสเรามีเท่านี้ แล้วเราสัมผัสก็เติมกิเลสมากขึ้นก็ยังดีรู้ว่าตัวเองมันมีกิเลส หรือกิเลสเรามีมาเดิม แล้วพอสัมผัสอันนี้รู้ว่ามีกิเลสติดมาเก่าก่อนเลยด้วย ก็ดีทั้งนั้นที่รู้กิเลสตัวเอง แล้วก็รู้ทั้งๆที่มันเคยมีมาก่อน เราก็รู้กิเลสของเรามากขึ้นหรือกำลังเติมใหม่ก็รู้กิเลสของเรามากขึ้น ผู้รู้อย่างนี้คือผู้เจริญแล้ว ก็ต้องพยายามปฏิบัติธรรม สร้างปัญญาให้มีพลัง สร้างฌานสร้างปัญญาให้มีพลัง แล้วมีพลังฤทธิ์ ธรรมฤทธิ์ของปัญญา มันจะมีฤทธิ์กำจัดกิเลสได้ไม่มีอันอื่น กดข่มให้ตายก็ไม่มีทางหาย ต้องใช้พลังงานปัญญาเท่านั้นกิเลสถึงจะหมดไปจากจิตอย่างสิ้นซากเลย
ถือว่าเป็นโชคมากที่เห็นกิเลสตัวเองแสดงออกมาแล้วน่าเกลียด ก็กิเลสตัวเองด้วย
สมควรอยู่อโศกอย่างยิ่ง คุณเรียนรู้ก้าวหน้ามากเลย อยู่เลยอย่างนี้ยิ่งสมควรอยู่เพราะอยู่ในหมู่ มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี จะพาให้ดี ยิ่งคุณห่างไปจะซวยเลย
_สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
ลูกมาปฏิบัติธรรมตามพ่อครูได้ 3 ปีแล้วค่ะ อาการจิตประสาทคลายลงมาก ปฏิบัติได้เดือนแรกก็เลิกกินยาคลายประสาทได้ แต่ลูกต้องคอยคุมอย่าให้จิตห่างจากธรรมะค่ะ พ่อครูคะช่วงนี้ลูกรู้สึกว่า ทุกข์กับการติดยึดมาก ขอพ่อครูช่วยว่ากล่าวตักเตือนลูกด้วยค่ะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า…ดีมาก นี่คือความเจริญชนิดหนึ่ง ที่สามารถรู้ว่าเราติดยึดอะไรมาก พระพุทธเจ้าก็สอนให้ ละหน่ายจางคลายจากกิเลส ละความติดยึดเป็นการเจริญของตัวเอง
ก็ว่าให้อยู่ทั้งสดและรีรัน มากมาย ให้ติดตามฟังไปเรื่อยๆ
อายุ 60 ปีแล้วจะมาบวชกับชาวอโศกได้ไหม
_โชคชัย โคราช..กราบนมัสการพ่อท่านสุดเศียรเกล้าครับผม ตอนนี้ตั้งใจปฎิบัติธรรมอยู่ด้านนอกแต่คบคุ้นช่วยงานอยู่ด้านนอกหมู่กลุ่ม เพราะมีภาระหนี้บางส่วนครับ อย่างนี้จะสามารถเข้าถึงอรหันต์และพุทธภูมิสูงสุดได้ไหมครับ ตอนนี้กำลังเร่งปลดภาระอยู่ครับ แต่กลัวช้าไปครับ.
ส่งลูกเรียนจบหมดแล้วเมื่อปี 65 ก่อนนี้ช่วยงานข้างวัดมาตลอดครับเมื่อกันยา 65 อายุหกสิบแล้วพอดี หากจะบวชจะได้ไหมครับ.
พ่อครูว่า…ถ้ามีบอกว่า 60 นี้เราไม่อยากบวชให้แล้วต้องมาดูก่อนต้องดูตัว มาคบคุ้นอยู่ทางนี้ ถ้าตั้งใจจะบวชอยู่ดูไป พอหมู่เห็นว่าได้ก็ค่อยบวช อันนี้เราบอกตายตัวไม่ได้ บางคนอายุ 60 มาดูตัวแล้วเราเห็นนะบุคลิกนิสัยใจคอองค์รวมไม่สมควรบวช ก็ไม่ให้บวช ถ้าเห็นว่าสมควรบวชได้ก็ให้บวช
คุณถามว่าอยู่ข้างนอกจะบรรลุพุทธภูมิได้ไหม ได้ แต่มันยากไม่มี มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี คุณต้องแข็งแรงกับภาวะที่จะต้องสัมผัสกับโลกที่มันยั่วยุมันแรง มันไม่มีใครเป็นเพื่อนช่วยสะกิด มันยากที่ไม่ได้อยู่กับหมู่กลุ่ม
คนไม่ใช่เข้าใจธรรมะพระพุทธเจ้าบอกว่า อย่าไปคลุกคลีกับผู้อื่นโดยไปแปลเพื่อน 2 ว่าต้องอยู่แต่เพียงผู้เดียว คำว่า ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ อสังคณิกะ โดยไปแปลผิดเพี้ยนไปหมด
มันมีแนวลึกซึ้งอยู่ว่า ไม่คลุกคลีกับหมู่คณะที่เป็นพาลชน แต่มิตรดีไม่ใช่พาลชน ต้องอยู่กับบัณฑิตชน ไม่คลุกคลีกับหมู่คณะที่เป็นพาลชน แต่คุณต้องคลุกคลีกับหมู่คณะที่เป็นบัณฑิตชนคืออาริย หมู่ชนอย่างชาวอโศกนี้ คุณต้องมาคบคุ้น ต้องมาอยู่ร่วมดีที่สุด การมี มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี รวมกันหมดแล้วเจริญเร็ว
_นุ่น กนิษฐา · กราบนมัสการพ่อท่าน เเละสมณะ ท่านสิกขมาตุทุกๆท่านค่ะ ฟังจากอินเดียค่ะ ดิฉันได้นำคำสอนพ่อท่านมาปรับใช้ จะได้บ้าง ค่อยๆได้ไปทีละเรื่องค่ะ
พ่อครูว่า… ถูกแล้วทำไปทีละเรื่อง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทำทีละหลายเรื่องไม่ได้ เพราะจิตมันเร็ว แต่ก็ไม่ประมาท ทำทีละเรื่องดีแล้ว
_(ต่อ)เพราะกิเลสกว้างใหญ่จริงๆค่ะ ฟังธรรมพ่อท่านเข้าใจง่าย ไม่ลึกลับซับซ้อน ฟังเเละนำมาปรับใช้จริง เเละ ได้ผลจริง น้อมเคารพพ่อท่านอยู่สุดเกล้าค่ะ
พ่อครูว่า… ดี ผู้รู้สึกว่าได้ประโยชน์ก็รู้สึกว่ามีค่า ปฏิบัติธรรมแล้วได้ประโยชน์ ตัวเองลดกิเลส รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องมีค่า เพราะฉะนั้นผู้ที่รู้สึกว่ามันเป็นคุณค่า เป็นสิ่งวิเศษ สิ่งประเสริฐ ผู้ที่ได้ประโยชน์จากผู้ที่มาชี้ทางให้ ก็เห็นว่าผู้ชี้ทางให้นี้ประเสริฐ ก็เต็มใจที่จะยกย่องเชิดชู ก็เรียกอาตมาสุดเศียรสุดเกล้าอย่างยิ่ง อย่างโน้นอย่างนี้ คนข้างนอกฟังแล้วจะหมั่นไส้อยู่ แต่คนที่เกิดความรู้สึกจริงใจจริงๆว่า เรานี่ได้สิ่งที่มีค่า ลดกิเลสได้คือสิ่งมีค่า จิตมันก็ยินดี
นี่แหละจึงเรียกว่า มีศรัทธาอย่างแรงกล้า หิริโอตัปปะอย่างแรงกล้า เคารพนับถือบูชาอย่างแรงกล้า นี่แหละ มันเป็นสัจจะแสดงออก แต่คนข้างนอกเขาไม่เข้าใจ เขาก็หมั่นไส้บอกว่ายกยอปอปั้นสูงส่ง ถ้ากิเลสขั้นโลกุตระไม่สูงส่ง อะไรจะสูงส่ง นอกจากโลกุตระที่เราสามารถรู้ด้วยพยัญชนะแล้ว เรายังสามารถรู้กิเลส รู้การลดกิเลสได้นั่นคือ เป็นโลกุตระที่ถึงขั้นเป็นสภาวะ ถ้ารู้แต่ภาษาโลกุตระ ภาษาได้เยอะแยะ แต่ไม่รู้กิเลสแล้วทำกิเลสลดให้แก่ตนเองได้ คนนี้ไม่ใช่ ไม่ได้เนื้อของโลกุตระ ไม่ได้เป็นอาริยะ ไม่ได้เป็นผู้เจริญ โสดาบันก็ไม่ได้ เป็นต้น แต่ผู้ที่ทำได้นี่แหละ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์
อาตมาฟังพวกเราพูดแล้วก็มีการประพฤติจริง ทำกิริยาก็ดูรู้กันได้ ว่ากิเลสลดหรือไม่ลดจริงก็รู้กัน เพราะฉะนั้นมรรคผล หรือกิเลสที่มันเกิดเป็นโลกุตรธรรม เป็นอาริยธรรมที่แท้จริง มันก็จริงในสิ่งที่จริงอย่างที่อาตมาพาทำมันมีจริง คนเข้าใจยากเพราะมันเสื่อม คนเสื่อมไปจากศาสนาพระพุทธเจ้า เสื่อมมากๆเลย มันก็เลยยากที่จะบอกแก่กันและกัน แต่ก็รื้อฟื้นขึ้นมาได้ยุคนี้ อาตมาก็ถึงบอกว่าอาตมาภาคภูมิใจที่สามารถรื้อฟื้นธรรมะที่มันเป็นอาริยธรรมหรือโลกุตรธรรมที่มันเสื่อมไปแล้ว คนเสื่อมไปจากธรรมะดีแล้ว เอาคืนมาได้ เห็นคนจริงแล้วตอนนี้บอกรายงานผลมาอย่างนี้ มันก็จริงๆชัดๆ
อาตมาก็เลยยิ่งชัดเจนตัวเอง ว่าเราคือใคร เรามาทำอะไร ทำแล้วมันเป็นสัจจะจริงไหม ก็ยิ่งเห็นเหตุปัจจัยที่มันเป็นมรรคเป็นผล มีคนรู้ตามปฏิบัติตามได้ อะไรได้ โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ จึงสุดยอดเลย
การถืออยู่ป่าของพระป่าเป็นสิ่งผิดตามธุดงควรรคที่ 6
มาพูดถึงเรื่องที่อาตมาตั้งใจจะพูดวันนี้ คือเรื่องของ การถืออยู่ป่า พระพุทธเจ้าสอนเป็นธรรมวินัย การสอนอย่างนี้ การถืออยู่ป่า มันจะไขความชัดเจนเลยว่าศาสนาพุทธไม่ได้ให้ออกป่า ค่อยๆฟังไปดูอาตมาจะอธิบาย เนื้อความท่านไม่ได้ขยายความมาก ท่านมีเป็นหัวข้อ อันนี้อยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 8 อยู่ในพระวินัยเล่มสุดท้าย พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอุบาลี
ธุดงควรรคที่ 6 ถืออยู่ป่าเป็นต้น
ล. 8 [1191] อุ. ภิกษุผู้ถืออยู่ป่ามีเท่าไรหนอแล พระพุทธเจ้าข้า?
พ. ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ถืออยู่ป่านี้มี 5 จำพวก. 5 จำพวก อะไรบ้าง? คือ:-
-
เพราะเป็นผู้เขลา งมงาย จึงถืออยู่ป่า
-
เป็นผู้มีความปรารถนาลามก อันความปรารถนาครอบงำ จึงถืออยู่ป่า
-
เพราะวิกลจริต มีจิตฟุ้งซ่าน จึงถืออยู่ป่า
-
เพราะเข้าใจว่า พระพุทธเจ้า สาวกของพระพุทธเจ้า สรรเสริญ จึงถืออยู่ป่า
พ่อครูว่า… เป็นการเข้าใจได้ทั้ง 2 อย่างคือพระพุทธเจ้าสรรเสริญหรือไม่สรรเสริญ เพราะฉะนั้นต้องใช้ปฏิภาณปัญญา ให้รู้ให้เห็นด้วยองค์รวม ด้วยความรู้ องค์รวมอันอื่นๆด้วย มีเหตุปัจจัยอื่นๆเป็นพลวัตอีกตั้งเยอะแยะ เป็นองค์ประกอบ ไม่ใช่ว่าเราจะเข้าใจได้แคบๆง่ายๆ
-
เพราะอาศัยความมักน้อย สันโดษ ขัดเกลา ความเงียบสงัด และเพราะอาศัยความเป็นแห่งการอยู่ป่ามีประโยชน์ ด้วยความปฏิบัติงามนี้ จึงถืออยู่ป่า
ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ถืออยู่ป่ามี 5จำพวก นี้แล.
อุ. ภิกษุผู้ถือเที่ยวบิณฑบาต มีเท่าไรหนอแล พระพุทธเจ้าข้า? .
อุ. ภิกษุผู้ถือผ้าบังสุกุล มีเท่าไรหนอแล พระพุทธเจ้าข้า? …
อุ. ภิกษุผู้ถืออยู่โคนไม้ มีเท่าไรหนอแล พระพุทธเจ้าข้า? …
อุ. ภิกษุผู้ถืออยู่ป่าช้า มีเท่าไรหนอแล พระพุทธเจ้าข้า? …
อุ. ภิกษุผู้ถืออยู่ในที่แจ้ง มีเท่าไรหนอแล พระพุทธเจ้าข้า? …
อุ. ภิกษุผู้ถือทรงผ้า 3 ผืน มีเท่าไรหนอแล พระพุทธเจ้าข้า? …
อุ. ภิกษุผู้ถือเที่ยวตามแถว มีเท่าไรหนอแล พระพุทธเจ้าข้า? …
อุ. ภิกษุผู้ถือการนั่ง มีเท่าไรหนอแล พระพุทธเจ้าข้า? …
อุ. ภิกษุผู้ถืออยู่ในเสนาสนะตามที่จัดไว้ มีเท่าไรหนอแล พระพุทธเจ้าข้า? …
อุ. ภิกษุผู้ถือนั่งฉัน ณ อาสนะแห่งเดียว มีเท่าไรหนอแล พระพุทธเจ้าข้า? …
อุ. ภิกษุผู้ถือการห้ามภัตรที่เขานำมาถวายเมื่อภายหลัง มีเท่าไรหนอแล พระพุทธเจ้าข้า? …อุ. ภิกษุผู้ถือการฉันเฉพาะในบาตร มีเท่าไรหนอแล พระพุทธเจ้าข้า?
พ. ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ถือฉันเฉพาะในบาตรนี้มี 5จำพวก. 5 จำพวกอะไรบ้าง? คือ:-
-
เพราะเป็นผู้เขลา งมงาย จึงถือฉันเฉพาะในบาตร
-
เพราะผู้มีความปรารถนาลามก อันความปรารถนาครอบงำ จึงถือฉันเฉพาะในบาตร
-
เพราะวิกลจริต มีจิตฟุ้งซ่าน จึงถือฉันเฉพาะในบาตร
-
เพราะเข้าใจว่า พระพุทธเจ้า สาวกของพระพุทธเจ้าสรรเสริญ จึงถือฉันเฉพาะในบาตร
-
เพราะอาศัยความมักน้อย สันโดษ ขัดเกลา ความเงียบสงัด และอาศัยความเป็นแห่งการฉันเฉพาะในบาตร มีประโยชน์ด้วยความปฏิบัติงามนี้ จึงถึงฉันเฉพาะในบาตร
ดูกรอุบาลี ภิกษุผู้ถือฉันเฉพาะในบาตรมี 5 จำพวก นี้แล.
พ่อครูว่า… เป็นไปตามเหตุปัจจัยที่เราจะศึกษาจะศึกษาอันหนึ่งอันเดียวหรือจะศึกษาอันอื่นด้วยตามแต่เราที่จะเกี่ยวข้องเราสัมผัสสัมพันธ์กับอะไรเราก็ชัดเจน ว่าเรากำลังเกี่ยวข้องกับอันนี้ สัมผัสกับอันนี้ สัมพันธ์กับอันนี้ แล้วเราจะกิเลสไหม เท่านั้นมันก็จบแล้วอันนี้ แล้วก็ปฏิบัติไปทั้ง อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ สัลเลขะ
ในสัจจะต่างๆพวกนี้ มันมีเจตนาเพื่อที่จะให้รู้จักกิเลส แล้วก็ฆ่ากิเลสได้ เพราะฉะนั้นการที่จะหนีสัมผัส มันก็ช้า แล้วมันก็ไม่ครบ ทั้งช้าทั้งไม่ครบ และทั้งงมงาย พวกที่ไม่มีเหตุปัจจัย
เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า จึงมีสูตรสำเร็จยิ่งใหญ่ว่า ต้องปฏิบัติไปอย่างมีศีล สมาธิ ปัญญานั้นยอด มีศีล มี อปัณณกปฏิปทา 3 มีสัทธรรม 7 มีฌาน
เสร็จแล้วก็จะเกิดสั่งสมการลดกิเลส ตกผลึกลงไปเป็นสมาธิเรียกว่า ศีล สมาธิ แล้วก็รู้ด้วยปัญญาหรือปัญญาก็จะเจริญ สมบูรณ์แล้วก็เป็นศีล สมาธิ ปัญญา หลักวิชาพระพุทธเจ้าคือ จรณะ 15 วิชชา 8 นั่นคือ สูตรสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ วิชชาจรณะสมบัติ เป็นวิชชาจรณะสัมปันโน ที่เรียกกัน ต้องบรรลุด้วยวิชชาและจรณะ
เมื่อมันปฏิบัติไม่ครบโดยเฉพาะไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 ซึ่ง ปฏิปทา คือ ข้อปฏิบัติ อปัณกะ คือ มันไม่ใช่ มันผิดไปจากสิ่งที่มันถูก มันเลิกไป หล่นไป ตกไปมากแล้ว ไม่ได้เรื่องแล้ว มันไม่มีการเข้าถึง อปัณณะ นี่ คือ ไม่มีการเข้าถึง ไม่มีการบรรลุ อปัณณกะ ผู้ที่ไม่มีการบรรลุเลย อปัณณกะ นี่แปลเป็นความหมายชัดๆ
ข้อปฏิบัติที่ไม่มีการบรรลุเลย ถ้าไม่มี 3 ข้อนี้ สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ถ้าไม่มีอันนี้อยู่ในการประพฤติปฏิบัติธรรม ไปนั่งหลับตา ไม่ได้สำรวมอินทรีย์ 6 ไม่ได้ตื่น ไม่มี โภชเนมัตตัญญุตา ไม่ได้เรียนหรอก เวลากินต้องอ่านรู้ ในสัมผัสทั้งหลายแหล่ กระทบทางลิ้น ทางจมูก ทางกาย ทางวาจา ไม่ได้รู้เรื่อง เหมือนอย่างสายนั่งหลับตา มหาบัว อาจารย์มั่น ที่บอกว่าเป็นอรหันต์ อรหันต์เก๊ทั้งหลาย ไปปฏิบัติสิ่งที่ไม่เป็น อปัณณกะ มันไม่มีทางบรรลุไง ปฏิบัติไม่มี 3 ข้อนี้ ออกนอกข้อปฏิบัติที่จะพาบรรลุ ไอ้พวกนั้นมันพาตกร่วง มันพาออกนอกรีตนอกทาง การปฏิบัติที่ไม่มี 3 ข้อนี้ ลึกซึ้งมากจุดนี้
เพราะฉะนั้นความเสื่อมเห็นชัดเจนว่า ศาสนาพุทธยุคนี้มันเสื่อมจนกระทั่งพูดกันไม่รู้เรื่อง แม้ผู้ที่ไม่ออกป่า ก็ไม่ได้มาสำรวมอินทรีย์ไม่ได้มี โภชเนมัตตัญญุตา ไม่ได้ ชาคริยานุโยคะ ไปตามลำดับ โดยมีศีลเป็นข้อกำหนด
คุณจะมีการปฏิบัติธรรม คุณก็จะต้องมีตัวตั้ง หรือเหตุตั้ง พระพุทธเจ้าเรียงศีลไว้ให้เป็นลำดับ ที่เป็นลำดับอย่างสมบูรณ์แบบเลย ตั้งแต่ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ มันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่เกี่ยวกับสัตว์
สัตตะ ปาณะ ภูตะ ชีวะ ที่อยู่ใน อปัณณกสูตร เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งว่า ความเป็นชีวะ
ชีวะ จะเป็นสัตว์หรือชีวะยังไม่ได้เป็นสัตว์ ชีวะที่เป็นแค่พืช เรียกว่า พีชนิยาม ชีวะที่ เป็นสัตว์ เรียกว่า จิตนิยาม
อุตุนิยาม ไม่ได้เป็นทั้งพืช ไม่ได้เป็นทั้งสัตว์ ไม่ได้เป็นทั้งจิต ไม่ได้เป็นทั้งพืช ไม่เป็นชีวะเลยอุตุ
พอเริ่มมาเป็นพีชะ ก็เริ่มมีเชื้อมีชีวะมีชีวิต แต่ชีวะในระดับพืชยังไม่ได้มีเวทนา ยังไม่มีวิญญาณ เป็นชีวะไม่มีบาปไม่มีบุญ ไม่มีการอาฆาตมาดร้าย ไม่มีการจองเวรจองกรรม ไม่มีรักไม่มีชัง แต่เป็นชีวะ มีเพศผู้เพศเมีย ซึ่งเป็นรายละเอียดที่ลึกซึ้ง
พอไปถึงเริ่มจะเป็นชีวะเรียกว่า ภูตะ ซึ่งภูตะมีทั้งมหาภูตรูป เป็นอุตุแท้เลย ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นมหาภูตรูป 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ
มีทั้งภูตคาม เริ่มมาเป็นพืชมาเป็นชีวะ ภูติที่เป็นมหาภูติ ยังไม่เป็นชีวะ แต่พอมาเป็นภูตคามเริ่มเป็นชีวะ พอเป็นเจตภูติ อันนี้เป็นสัตว์เลย อย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นลักษณะของอาการของจิตเจตสิกทั้งนั้น เพราะฉะนั้นถ้าพูดให้เข้าใจสภาวะ ถ้าจิตอย่างนี้เป็น ปาณะ
ปาณะ เป็นสัตว์แน่นอน
สัตตะ แน่นอนเป็นสัตว์
เจตภูติ ต้องดูรายละเอียด และเจตภูติต้องดูว่ามันยังใช่หรือไม่ใช่มันเป็นชีวะแค่ ภูตคาม ไม่ใช่แม้แต่ชีวะเลย เป็นมหาภูตะ
คุณต้องอ่านลักษณะ ทั้งส่วนมหาภูติออก ดิน น้ำ ไฟ ลม อยู่นอกตัวเราหรือในตัวเรา มันปรุงแต่งกันอย่างสนิทเนียนเลย เพราะในร่างกายขันธ์ 5 เรามีดิน น้ำ ลม ไฟ ร่วมสังเคราะห์สังขารกันอยู่ อย่างสนิทเนียน
เพราะฉะนั้น เราสามารถที่จะทำใจในใจของเรา ให้มันมีลักษณะเป็นอุตุ หรือเป็นพีชะ หรือเป็นเจตภูติ ได้ สามารถแยก สามารถทำได้เลย เราทำจิตเราเป็นมหาภูติ เราก็ทำได้ ทำจิตเราเป็นภูตคาม เราก็ทำได้ ทำจิตเราเป็นเจตภูติ เป็นปาณะหรือเป็นสัตว์ เป็นจิตนิยามไปเลยได้
พระอรหันต์รู้อย่างนี้อย่างอาตมานี่แหละ อาตมาเป็นพระอรหันต์จึงรู้เอามาอธิบายได้ เอาของตนเองมาอธิบายเกี่ยวเนื่องกันกับธรรมะนิยาม 5 อย่างนี้เป็นต้น เขาไม่ได้มีอธิบายไว้หรอกในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ ไม่มี ของพระกัสสปะเก็บมาไม่ได้มีธรรมะนิยาม 5 ในนี้ไม่ได้เก็บไว้ ไม่มีนะ ในพระไตรปิฎก 45 เล่มไม่มี แต่มีอยู่ในวิสุทธิมรรคของคนอื่นๆ
แต่อาตมาเห็นว่า โอ้โห อันนี้มันสำคัญมากเลย ถ้าไม่มีความเข้าใจอันนี้ไม่มีทางเป็นอรหันต์ ถ้าไม่มีความเข้าใจในธรรมะนิยาม 5
ก็เข้าใจธรรมะนิยาม 5 จึงสามารถรู้ ภูตะ 3 มหาภูต ภูตคาม เจตภูติได้ เมื่อรู้สามารถทำจิตของตัวเองให้เป็น 3 ขั้นนี้ได้เป็นอรหันต์ ถ้าคุณทำไม่ได้ คุณไม่ได้เป็นอรหันต์
เพราะฉะนั้นเมื่อคุณสามารถทำเป็นอุตุได้ คุณก็สามารถที่จะตายด้วย นิพพาน 3 สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน ไม่ทำนิมิตให้เป็นชีวะเลย จะเป็นชีวะ พีชะ หรือจิต ก็ไม่ทำ ปล่อยให้แยกธาตุไปเลยไม่มีอายะ ไม่มีอยะ ไม่มียางเหนียวเลย สลายกลายเป็นดิน น้ำ ไฟ ลมถ้วน ไม่มีอะไรเป็นเชื้อเยื่อยางใย ทุกอย่างก็แตกแยกธาตุออกไปหมดเลยเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่มีอะไรกลับมารวมตัวกันอีกเลยเพราะไม่มีอยะ จึงไม่มีอายุ ไม่มีอยะ จึงไม่มีอายุ หมดอายุเลย ไม่มีอายะไม่มีอายุ หมดเลย แตกสลายได้
เพราะฉะนั้น ความรู้กับสภาวธรรมความจริงที่ละเอียดและออที่อาตมาเอามาแยกให้ฟัง มันเป็นสิ่งที่อาตมาเป็นอาตมามีเอามาขยายความด้วยภาษาของอาตมา ไม่ได้อ่านมาจากตำรา เอาสภาวธรรมจริงมา อาตมามีอย่างนี้จริงได้ ทำได้ จึงเอามาพูดได้ ไม่ได้ไปเก็บมาจากใครพูด
เพราะฉะนั้นคนที่เขาไม่เชื่อว่า อาตมาไม่ได้พูดจากตำรา อีกแหละ พระพุทธเจ้าสอนให้ไม่เชื่อในกาลามสูตร ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคก็มี อาตมาก็เอามาอธิบายเพราะเป็นสิ่งสำคัญ สำคัญมาก
มันเสื่อมด้วยเหตุปัจจัย เช่น พระไตรปิฎกสยามรัฐไม่มีเรื่องของธรรมะนิยาม 5 มันก็เป็นเหตุปัจจัยอันหนึ่ง มันไม่น่าตก แต่ทำไมเก็บตกหล่นกันได้อย่างไร พระอานนท์ก็รู้เยอะครบ เข้าทำสังคายนา รวบรวมเป็นพระไตรปิฎกฉบับนี้ด้วย เป็นคนสุดท้าย พระกัสสปะรวบรวม 500 รูปมาช่วยกันทำ แต่มันก็ตกหล่นจนได้ เพราะมีเหตุปัจจัย
ถ้าอาตมาไม่มีความรู้ความชัดเจนจริง อาตมาก็ไม่นำมายืนยัน แต่อาตมาเห็นว่ามันขาดไป อย่างนี้ศาสนาก็ถึงอรหันต์ไม่ได้ เหตุปัจจัยยุคนี้ต้องใช้สยามรัฐ แต่ก็ยังดี เขาก็เอาวิสุทธิมรรคมาเรียนอยู่บ้าง แสดงถึงความเป็นเมืองไทย พุทธศาสนาเมืองไทยสำคัญกันอยู่ที่วิสุทธิมรรค พระไตรปิฎกก็เอาด้วย ที่อื่นก็เอาพระไตรปิฎกแต่เขาไม่เอาวิสุทธิมรรค มหายานบางเจ้าก็ไปเอาอะไรต่ออะไรสูตร สำคัญๆของเขา เขาก็ยึดกันไปคนละอย่าง มีเล่มอรรถกถาจารย์สำคัญๆ ซึ่งอรรถกถาจารย์ไม่ใช่เถรวาทมันเป็นอาจาริยวาท หมายความว่า มันเป็นคำสอนของพระรุ่นหลัง ไม่ใช่พระเถระที่เกิดในยุคเดียวกับพระพุทธเจ้า
คำว่า เถรวาทะ คือ มันเป็นเฉพาะวาทะของพระเถระที่เกิดร่วมยุคกับพระพุทธเจ้าเท่านั้น เป็นพระเถระหรือพระเถรี ผู้หญิง ผู้ชาย เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่ได้เกิดร่วมในยุคพระพุทธเจ้าจึงไม่ได้เป็นพระเถระเถรี คำสอนของผู้ที่ไม่ได้เกิดในร่วมยุคพระพุทธเจ้าจึงเรียกว่า อาจาริยวาท เป็นแค่ขั้นอาจารย์หรือ อรรถกถา ไม่ใช่ขั้นเถรวาททีเดียว
ทีนี้มาวิเคราะห์ที่พระพุทธเจ้าตรัส 5 ประการในการอยู่ป่า มีประการเดียวเท่านั้น ที่เป็นเรื่องสมบูรณ์ เป็นเรื่องที่ถูกต้อง เป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจให้ละเอียดอย่างปัญญาด้วย อีก 4 ข้อเป็นพวกที่วิปริต พวกที่โง่งมงาย ข้อแรกเป็นผู้ที่เขลาก็คือผู้โง่งมงาย มีเยอะ ไม่เข้าใจถึงเหตุปัจจัย
ที่ยืนยันว่าไม่เข้าใจชัดเจนก็คือ โง่งมงาย ไปอยู่ป่าแล้วหลับตาสะกดจิตอีก นี่มันส่อแสดงให้เห็นถึงความงมงายที่ชัดเจน
ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็น ชาคริยานุโยคะ ทำให้ตื่นไม่ใช่ไปทำให้หลับ ไม่ใช่ไปทำให้อยู่ในภพ แต่ทำให้เปิดภพ เปิดสว่างรู้เท่าทันความจริงทุกอย่างครบทั้งนอกใน รายละเอียดทุกอย่าง
เริ่มตั้งแต่กายที่เป็นสภาวะ 2 ทั้งนอกทั้งใน ไปปิดแต่ภาวะนอกคือจะต้องร่วมสัมผัสภายนอก ยังไม่แยกกันภายนอกภายในเรียกว่า กาย เข้าใจไม่ได้ กายต้องมีภายนอกภายใน กายมีแต่ภายนอกไม่ได้ มีแต่ภายในก็ไม่ได้ ไม่มีกาย มีแต่ภายในไม่มีกาย มีแต่ภายนอกไม่มีจิตก็ไม่ได้
ความรู้ในเรื่องกายคำแรกของสังโยชน์ 10 สักกายทิฏฐิ เสื่อมชัด ในศาสนาพุทธยุคนี้ เพราะยังเข้าใจกายว่าเป็นภายนอกเท่านั้น แล้วก็แถมภายนอกเท่านั้น เวลาจะปฏิบัติธรรมจะเข้าถึงการอ่านกิเลสจริงๆ ผ่าเข้าไปดูแต่เพียงข้างในอีก หลับตาเข้าไปอยู่ข้างในอีกทิ้งกายข้างนอกอีก
ในอาณาปานสติสูตร ก็ไม่ได้ให้ขาดภายนอก ต้องมีลมหายใจ สุดท้ายแล้วนะจะเป็นภายนอกอยู่แต่เอาความรู้สึกมาสัมผัสอยู่ภายนอก ถ้าคุณทิ้งความรู้สึกกับลมหายใจภายนอกเข้าไปข้างใน โมฆะเลย ไม่มีอานาหรืออาปาณะ อานา อาปาณะ ลมหายใจหรือเข้าลมหายใจออก คุณตัดลมหายใจออก หรือคุณมีแต่ลมหายใจเข้า ไม่มีลมหายใจออก
จริง มันมีลมหายใจเข้าออก แต่มันออกแล้วความรู้สึกของคุณก็ไม่เกี่ยวกับลมหายใจเข้าออกด้วยในพวกนั่งหลับตา เข้าไปอยู่ในภพเลย คุณเป็นคนพิการแล้ว คุณเป็นคนไม่มีลมหายใจเข้า ไม่มีลมหายใจออก พิการแล้ว อานาไม่มี อาปาณะไม่มี จะไปอันไหนเป็นลมหายใจเข้า ลมหายใจออกก็ได้
ปาณะ เอาไปแปลว่า เป็นลมหายใจเลยนะ เป็นชีวิตหรือเป็นสัตว์เป็นลมหายใจ ปาณะ ในพจนานุกรมบาลีก็มีคนแปลไว้อย่างนี้ด้วย ซึ่งมันก็ถูก มันไม่ผิดหรอกมันถูก แต่นี่ ไม่มีอะไรลมหายใจมีแต่ลมหายใจอยู่ข้างใน ที่จริงมันมีลมหายใจข้างนอกแต่คุณไม่มีความรู้สึกกับลมหายใจมัน มันเบา แล้วคุณก็ไม่ได้เอาสัญญามากำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกด้วย เอาสัญญาไปเจาะกับเกาะอยู่ในภพ นิ่งหรือไม่รู้อะไรข้างนอกเลย อย่าให้รู้ อย่าหายใจออกนอกตัว เขาปฏิบัติกันอย่างนั้น อาจารย์ใหญ่เขาก็บอก อย่าเอาจิตออกนอกตัว อาตมาอยู่วัดอโศการามเขาสอนกันอย่างนั้น อย่าให้จิตออกนอกตัว นั่งหลับตา ไม่ให้ตากระทบรูป หูกระทบเสียงหรือกระทบก็ไม่รับรู้ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า สอนให้ตาบอดหูหนวกกันอย่างนั้นหรือ
เพราะฉะนั้นสิ่งที่มันผิดพลาดไปพวกนี้ถึงบอกว่า เป็นการไปอยู่ป่าอย่างโง่งมงาย มันไม่ฉลาดพอเลยที่จะปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น แม้แต่ข้อที่ 1 หนีไปอยู่ป่าเพราะโง่งมงายขนาดนี้ มันจะไปพัฒนาเป็นอาริยะ เป็นอรหันต์อะไรได้
ข้อ 2 ไปอยู่ป่าแล้วจะได้รับความนิยมชมชอบว่าเป็นพระปฏิบัติเป็นพระกรรมฐาน เป็นพระธุดงค์ เป็นพระปฏิบัตินั่นแหละ ถ้าพระปฏิบัติไม่ได้ออกป่า มันงมงาย ไม่ได้ออกป่า เขาว่าไม่ได้ปฏิบัติ ก็มีความปรารถนาเข้าใจว่าจะไปเป็นพระปฏิบัติต้องออกป่า เขาจะได้นับถือ นี่เป็นความคิดลามก นี่ข้อที่ 2 ผู้ปฏิบัติความปรารถนาลามก อันความปรารถนา ครอบงำ เป็นความปรารถนาลามก ที่จริงก็คือมิจฉาสังกัปปะ
_สู่แดนธรรม… ปาปิจโฉ
พ่อครูว่า… เป็นความปรารถนาที่อวิชชา คำว่าลามกแปลมาจากอวิชชา มันผิด มันเป็นความปรารถนาที่ผิด ไปอยู่ป่า ฟังไว้หน่อยพวกสายหลับตา ทั้งที่ข้อ 1 คุณก็ใช่ ข้อ 2 คุณก็ใช่
ข้อ 3 วิกลจริต หรือมีจิตฟุ้งซ่าน คือไม่ปกติแล้วทั้งวิกลจริต ทั้งฟุ้งซ่าน ไม่ปกติแล้ว มันวิปลาสทางจิตแล้ว วิปลาส 3 มีอะไรบ้าง ทิฏฐิวิปลาส สัญญาวิปลาส จิตวิปลาส
ถ้าหากจิตวิปลาสต้องส่งโรงพยาบาล แก้ทางประสาท ถ้าสัญญากำหนดหมายวิปลาสก็ผิดในการกำหนดหมาย ถ้าไปถึงทิฏฐิวิปลาสมันก็หนักกว่าสัญญาวิปลาส ยิ่งถ้าจิตวิปลาส ต้องไปเข้าโรงพยาบาลรักษา วิปลาส 3
ฉะนั้น พวกจิตวิกลจริตหรือฟุ้งซ่าน ก็เห็นความอยู่ป่าเป็นเรื่องมันก็ออกไปไม่เข้าเรื่องเข้าราวอะไร
ข้อ 4 เพราะเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าหรือสาวกพระพุทธเจ้าสรรเสริญ จึงถือการอยู่ป่า นึกว่าเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญ มันมีคำเหมือนกันนะ มีคำพาดพิงว่า การอยู่ป่า ชอบความสงบนี้ดีก็ถือว่าเป็นคำสรรเสริญของพระพุทธเจ้า
แต่จริงๆแล้วคำสอนของพระพุทธเจ้าในจรณะ 15 ชัดๆอยู่แล้ว ในความรู้ เป็นวิชชา มันไม่ใช่หนี มันต้องเผชิญ ต้องตื่นรู้ ต้องมีศีลเกี่ยวกับสัตว์ เกี่ยวกับคน เพราะฉะนั้นถ้าไม่เห็นความสำคัญในศีลข้อที่ 1 คุณต้องอยู่กับคน สรุปให้ชัดๆเลย อยู่กับสัตว์โดยเฉพาะสัตว์คนนี่แหละ เป็นตัวการที่คุณจะปฏิบัติธรรม เป็นตัวเหตุปัจจัยที่คุณจะใช้ปฏิบัติธรรม อยู่กับคนนี้แหละ สารพัดแง่เชิงที่จะต้องได้ปฏิบัติธรรมให้ละเอียดลออ สัตว์เดรัจฉานมันไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่มีกลเม็ดอะไรมากมายให้เราต้องรักต้องชังขนาดเท่าคน คนด้วยกันนี่แหละกิเลสมันสมบูรณ์แบบอยู่ที่นี่
เพราะฉะนั้นศีลข้อที่ 1 พระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติเกี่ยวกับสัตว์ แต่ท่านเรียกสัตว์ อาตมาก็ขยายความไปถึง ปาณะ แล้วท่านก็ตรัส ปาณะเป็นหลัก ปาณาติปาตะ ทำให้ชีวิตตกร่วงเสียหายลงไป หลุดร่วงลงไป ปาณะ เป็นธาตุจิต เป็นธาตุรับรู้ที่อย่าให้ขาดปาณะ ไปจากอารมณ์ ไปจากจิต ซึ่งมันเป็นความลึกซึ้งมาก อาตมาก็พยายามอธิบาย
ในชีวกสูตร 5 ขอขยายความเพิ่มเติม สุดลึกซึ้งแล้ว มันขยายความถึงขั้น สัญจิจยะหรืออุทิสะ จิตที่มีทิศมุ่ง จิตที่มันมีทิศจะไปให้ถึงตรงนั้นตรงนั้น อาตมาเอาสภาวธรรมมาอธิบาย
เขาไปแปลหยาบๆว่า อุทิศ สัญจิจจะ มันมีที่หมาย การกำหนดรู้คือ สัญญาตัวทำงาน
สัญจิจยะ สัญญานี้เกิดมีทิศมุ่งหมาย เริ่มตั้งแต่ เจตภูติตัวแรก
ไม่ใช่มหาภูติ ไม่ใช่ภูตคาม ละเอียดขึ้นมาเป็นปาณะ สัตว์ที่เริ่มต้น ตนเองต้องมีความรู้ถึงเจตภูติ ที่มันจะรู้จัก เจตภูติคือเริ่มรู้จัก เจตะ เริ่มรู้จักอะไร เริ่มรู้จักความเป็นสัตว์ คือ ปาณะ
สัตตะ มันรู้ได้ง่ายเลย สัตตะคือ 7 ถ้าบอกว่า ปาณะ จะเรียกว่าหนึ่งก็ได้ จะเรียกว่าหาที่สุดมิได้ ก็ได้
เริ่มเป็นชีวะในระดับชีวะแบบนี้ ขั้นเจตะหรือขั้นปาณะ หรือ สัตว์ขึ้นไป ไม่ใช่แค่ ภูตคามหรือมหาภูต ด้วยซ้ำ ที่จริงรู้หมด มหาภูติก็รู้ภูตคามก็รู้ ไม่ใช่รู้แค่ภาษาแปลนะ คุณก็ได้แต่ตามพจนานุกรม คุณจำไม่ได้ตามพจนานุกรม คุณก็พูดไม่ออก แต่อาตมาไม่ได้พูดตามพจนานุกรมเท่านั้น อาตมาขยายความตามประสาของอาตมาที่รู้สภาวะจริง มันก็ละเอียดรู้รอบรู้ละเอียดขึ้นได้
เพราะฉะนั้นผู้ที่เข้าใจ สัตตะ ปาณะ ภูตะ ชีวะ ได้ ใน อปัณณกสูตร เล่ม 13
ขยายความจากเกินภูมิพวกเราก็เอามาใช้ประโยชน์ก็แล้วกัน ทุกวันนี้พวกเราปฏิบัติธรรมทั้งรู้มีแผนที่ มีพิมพ์เขียวที่อาตมาอธิบายไปเยอะ แล้วก็ปฏิบัติไปตามลำดับตามฐานะเรา ตั้งแต่ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์เกี่ยวกับคน แล้วก็เกิดราคะโทสะโมหะ อะไรกันเราก็เรียนรู้
เกี่ยวกับของ เกี่ยวกับพืช เกี่ยวกับสิ่งที่เป็นวัตถุในข้อที่ 2 เราก็ไม่ทุจริตในศีลข้อที่ 2 ไม่ทุจริต
ศีลข้อที่ 3 รู้ ละเอียดขึ้นไปถึงตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบสัมผัสแล้วกิเลสเกิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ครบแล้ว
ปฏิบัติกับวัตถุ กับพืช กับคน กับสัตว์ ศีลข้อ 1 ข้อที่ 2 แล้วก็เรียนรู้รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ทำภายนอกภายใน โดยเฉพาะมีกาย
กาย เป็นตัวที่เรียนรู้ตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งเก็บละเอียดจบ เพราะฉะนั้นในคำสอนพระพุทธเจ้าถึงให้เรียนรู้กายให้สัมมาทิฏฐิก่อน สังโยชน์ข้อที่ 1 ในสังโยชน์ 10
ถ้าเข้าใจ กายผิด เช่น เข้าใจกายมีแต่เพียงภายนอกไม่มีภายใน คนนี้ปิดประตูเลย ไม่ได้เรียนรู้ พิจารณากายในกายตามสติปัฏฐานหรือโพธิปักขิยธรรมข้อที่ 1 ไม่ต้องไปเรียนหรอกมิจฉาตั้งแต่กายแล้ว
ผู้ที่มีมิจฉาตั้งแต่กายนี้ มิจฉาจริงๆจึงไปเอานั่งหลับตา ไม่ปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 เข้าใจกายมันไม่มีในหลับตา กายในไม่มีกายนอกไม่ได้ ถ้าคำว่ากายในคุณต้องมีกายนอก ละไว้ในฐานที่เข้าใจ มันต้องมีสภาพคู่ เมื่อมีในมันต้องมีนอก คุณทิ้งนอกไม่ได้
เพราะฉะนั้นสติปัฏฐาน 4 พิจารณาบอกว่ากายใน คุณก็ไปหลับตามันก็ไม่มีกาย แต่คุณก็นึกว่าคุณถูกแล้ว คุณผิด คุณทิ้งไม่ได้ แม้แต่ในอานาปานสติก็ยังบอกว่า ยังเหลือลมหายใจรอนๆจะขาดนะ ถ้าขาดไม่มีลมหายใจ มีแต่ลมหายใจอยู่ภายใน คุณก็ไม่รู้ ภายนอกคุณไม่สัมผัส คุณไม่รู้เรื่องกับภายนอกแล้ว แค่ลมหายใจคุณก็ยังไม่รู้สึกแล้ว ไอ้นั่นน่ะเป็นโมฆะ ไอ้นั่นน่ะผิดเลย ไม่มีกายตั้งแต่ต้น พิจารณาสติปัฏฐาน 4 ไม่ได้ เป็นโลกุตตรธรรมข้อที่ 1 ในโพธิปักขิยธรรม 37 หรือโลกุตตระ 37 เพราะฉะนั้นพวกนี้จึงเสื่อมไปจากโลกุตระ 100% พวกนั่งหลับตา เสื่อมจากโลกุตระ 100% พิจารณากายในกายไม่มีกาย กายข้างนอกไม่มี เพราะฉะนั้นคุณก็หลับตาเข้าไป มันก็ไม่มีกาย เมื่อไม่มีกายเลยก็โมฆะแล้ว สูญแล้ว
เมื่อไม่มีกายปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 โพธิปักขิยธรรมไม่ได้ คุณจะไปได้ผลอะไร คุณจะได้มีมรรคมีผลอะไร คุณก็ไม่มี
เพราะฉะนั้นเวลาจะไปตรวจสอบ ด้วยวิญญาณฐิติ 7 ต้องสัมมาทิฏฐิในคำว่ากายกับสัญญา แล้วใช้สัญญาเข้าไปกำหนดหมายกำหนดกายให้รู้ ตั้งแต่วิญญาณฐิติข้อที่ 1 จนกระทั่งถึงข้อที่ 7 คุณก็ไม่เข้าใจไม่รู้เรื่อง กายต่างกันสัญญาต่างกัน ไม่รู้มีมาทำไม ใช้ไม่เป็น ปฏิบัติไม่เป็น ไม่เป็นประโยชน์อะไรกับชีวิตนักปฏิบัติธรรมโลกุตระของพระพุทธเจ้าเลย เพราะคุณไม่รู้เรื่องกาย มิจฉาทิฏฐิตั้งแต่ข้อแรก ข้อที่ 2 ข้อปฏิบัติไม่ได้แล้ว ข้อ 3 สุดท้ายกาย ตรวจสอบด้วยกายด้วยวิญญาณฐิติ 7 คุณก็ไม่รู้เรื่อง
ผู้ที่ไปหลับตามันน่าสงสารจริงๆ เพราะฉะนั้นผู้ที่หลับตาปฏิบัติได้ฟังอาตมาบ้าง ใช้สำนวนไทยว่า เป็นบุญหู จะได้รู้ แล้วก็มีปฏิภาณรู้ตัวเองว่าตายๆๆ เราหลงผิดไปแล้ว นอกจากหลงผิดแล้วมีความรู้จริงๆว่าเราหลงผิด ดีไม่ดีเคยลบหลู่โพธิรักษ์ด้วย ที่เคยข่มอาจารย์เรา ดูถูก ซึ่งมันถูกจริงๆอาตมาเห็นถูกๆเลยว่าอาจารย์ของคุณนั้นสอนผิด เขาก็จะโกรธอาตมา เขาก็จะเคือง พอเขารู้สึกตัวแล้ว เขาจะมีหิริอย่างแรงกล้า ละอายอย่างแรงกล้า มีโอตัปปะอย่างแรงกล้า คำนี้สำคัญนะอาตมาเอามาอธิบายซ้ำ คำตรัสสอนของพระพุทธเจ้า
คนในโลกไม่เคยได้ยินคำสอนพระพุทธเจ้า พอได้ฟังคำสอนพระพุทธเจ้าก็เกิดปัญญาข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ปัญญาข้อที่ 1 ไม่เคยได้ฟังโอ้โห อย่างนี้ ของเทวนิยมไม่มีปัญญาแม้ข้อที่ 1 เพราะเขาไม่ได้ฟังธรรมะพระพุทธเจ้า เขาไม่ได้พบพระพุทธเจ้า เขาไม่ได้พบสัตบุรุษ เขาไม่ได้ฟังคำสอนจากพระโอษฐ์หรือจากสัตบุรุษหรือจากผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิเป็นครูได้ เขาไม่ได้ฟัง
เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่จะเกิดได้เลยในโลก ในศาสนาเทวนิยมเขาถือว่าเขาจะต้องรู้จักพระเจ้า แล้วก็มีตำราพระเจ้า ตำราพระเจ้าก็คือพระศาสดาเอง ไม่กล้าเชื่อว่านี่เป็นคำสอนของตัวเอง โอ้โหคำสอนนี้มันยอดเลิศเลย หรือเชื่อว่าคำสอนตัวเอง อาตมาเชื่อว่าพระศาสดาของแต่ละศาสนานั้นไม่กล้าหรอกที่จะยึดว่าคำสอนนี้เป็นของตัวเอง ไม่กล้า จะยกเป็นคำสอนต้องผู้รู้ยอดเยี่ยมเลย เรามิบังอาจ แต่เราก็เป็นลูกพระเจ้า พระเจ้าก็มอบมรดกนี้ให้เรา คือคำสอนอันสุดยอดให้เรา
เพราะฉะนั้นคำสอนของพระเจ้า เขาก็นับถืออย่างยิ่งยอดแน่นอน คำสอนของพระเจ้านั้นคือคำสอนของพระศาสดาเอง แต่ละศาสนาก็ของศาสดาแต่ละองค์ แต่พระศาสดา แต่ละองค์ไม่รู้ว่าตัวเองมีความรู้อันนี้รวบรวมได้ขนาดนี้ ก็ตัวเองได้มา สั่งสมมามีบาร มีรู้ความรู้นี้มาของตนเอง แต่ไม่เข้าใจไม่รู้ ก็เลยได้แต่บอกว่า ถ้าคำสอนของพระเจ้าของเรา ไม่ใช่ของพระเจ้าอีกศาสนาหนึ่งนะ สายเทวนิยมเขาก็ทะเลาะกัน
เพราะฉะนั้นในศาสนาเทวนิยมจึงอยู่ในยุคเดียวกันสมัยเดียวกันก็มีศาสนาหรือมีพระศาสดาได้หลายองค์ แต่ของพระพุทธเจ้าศาสนาพุทธ ศาสดาไม่มี 2 องค์ ศาสดามีพระองค์เดียวคือพระพุทธเจ้า ทุกคนไม่มีใครบังอาจเป็นศาสดา นอกจากคนบ้า คนไม่รู้ตัวก็บ้าๆบอกว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้ามาเกิด เป็นศาสดา
_สู่แดนธรรม… สาเหตุที่ไม่มีองค์ที่ 2 เพราะว่าองค์ที่รองไม่สามารถตามทันใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… ใช่ มีความรู้จริงว่าเรายังไม่ถึงความเป็นพระพุทธเจ้า อย่างอาตมานี้รู้ ว่าอาตมายังไม่ถึงพระพุทธเจ้า อาตมาไม่บังอาจพูดมันผิด ความถูกของเราคือยังไม่ถึง เรายังไม่บังอาจหรอก
แค่เจโตปริยญาณ 16 ก็ต้องรู้ สอุตระ มันรู้ยิ่งรู้จริงแต่ยังไม่รู้ถึงที่จบ ไม่ใช่ อนุตระ แค่เจโตปริยญาณ 16 ก็ยังรู้เลยผู้เป็นอรหันต์ธรรมดาระดับหนึ่งก็รู้แล้วใน เจโตปริยญาณ 16 ก็รู้รายละเอียดของจิตเป็นความรู้ที่รู้จบหรือไม่รู้จบเป็น สอุตระ ยังไมใช่อนุตระ
ผู้สูงกว่านั้นเป็นอรหันต์ระดับ 2 3 4 ขึ้นไป อาตมาเอาอรหันต์ระดับ 1 ระดับ 2 ระดับ 3 ระดับ 4 ระดับ 5 มาพูด แม้ที่สุดอรหันต์ระดับ 6 ออกข้อสอบอรหันต์ระดับ 6 คือใคร โยมตอบว่า อนิยตโพธิ
พ่อครูว่า… ผิด
อรหันต์ระดับ 1 คือ อาริยะ โสดา สกิทา อนาคามี แล้วอรหันต์ระดับ 1 อนุโพธิสัตว์เป็นอรหันต์ระดับ 2 อนิยตะ โพธิสัตว์ระดับ 3 นิยตะ โพธิสัตว์ระดับ 4 มหาโพธิสัตว์เป็นระดับ 5 ปัจเจกหรือสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นระดับ 6
ผู้ที่จะมาแจกอรหันต์ระดับ 5 6 ก็ต้องมีความรู้ ถ้าไม่มีความรู้เดี๋ยวโดนซัด คุณจะเอาขี้หมาขี้แมวอะไรมาอธิบายให้ฟัง ใช่ไหม ทำอวดดีผู้รู้เขารู้ซักเข้ามา หน้าแหกไปเกาหลีเขาก็ไม่ช่วย ในเมืองไทยช่วยไม่ได้แล้วต้องไปเกาหลี หน้าแหกก็ไม่มีหมอเกาหลีก็ไม่รับเย็บหมดเลย
คำว่า อุตริ ภาษาไทยกับภาษาบาลี อุตริมนุสธรรม พอมาเป็นภาษาไทยก็เลยกลายเป็นอุตริ(อุด ตะ หริ) รู้ไหม อุตริแปลว่า พวกเพี้ยน พวกทำความผิด พวกแปลผิด พวกแสดงความผิด อุตริ(อุด ตะ หริ) เอาสิ่งที่มันไม่เข้าท่า ไม่เข้าเรื่อง มันผิดไปเลยอะไรอย่างนี้ อุตริ ความหมายมันเป็นภาษาไทยจึงเป็นความหมายง่ายๆ ว่ามันไม่ถูกต้องนะ อุตริ มันบ้าๆบอๆ อุตริอะไรว้า อย่างนี้ อย่ามาทำอย่างนี้ อุตริไม่ดี มันไม่เข้าท่า มันไม่เข้าเรื่อง มันไม่ถูกต้อง อุตริ(อุด ตะ หริ)ก็หมายความง่ายๆตื้นๆแค่นั้น
ความจริงอุตริ(อุด ตะ ริ)ที่ไทยมาออกเสียงเรียกอุตริ(อุด ตะ หริ) มันเป็นโลกุตรธรรมเป็นธรรมะที่เหนือโลกียธรรมทั้งหมดทั้งมวล พลเมือง 7,000 ล้านกว่าจะ 8,000 ล้านแล้วนี่ รู้จักอุตริมนุสธรรมธรรมะที่เหนือโลกแท้ๆอยู่กับชาวอโศก คิดดูสิว่าเรา คู่ต่อสู้ของพลโลก ที่เขาไม่รู้ 7,000ล้านกว่า จะ 8,000 ล้านแล้ว ของเรานี่กระจุกหนึ่ง รู้จริงๆนี่โลกุตระจะล้าน 1 จะถึงหรือเปล่าอาตมาก็ไม่รู้ รู้อย่างสัมมาทิฏฐิจริงๆเป็นโลกุตระทุกวันนี้ โอ้โหให้ 1 ล้านก็แล้วกันต่อ 7,000 ล้าน โอ้โห คู่ต่อสู้
เพราะฉะนั้นอันโน้นถึงเป็นเรื่องของเทวนิยม เป็นเรื่องของทุนนิยม มันไม่รู้เรื่องบุญเลย แม้แต่ชาวพุทธทุกวันนี้ก็ยังเพี้ยน กายก็เพี้ยน บุญก็เพี้ยน ฌานก็เพี้ยน สมาธิก็เพี้ยน วิมุตก็เพี้ยน มันเพี้ยนไปหมดเลย ขออภัยพูดแล้วก็ดูเหมือนตัวเองใหญ่ พูดไปว่าเขา
อาตมาจำนน จำเป็นต้องว่า ว่าอย่างโน้นมันไม่ถูก ส่วนที่ถูกคือตัวเองรู้อยู่คนเดียว ทำไมอาจารย์ของข้าตั้งกี่รุ่นไม่ได้พูดอย่างเอ็งโพธิรักษ์เอ็งใหญ่มาจากไหน อาตมาก็จำนน เอาเถอะน่าคบกับอาตมา ฟังดีๆ สุสูสังลภเตปัญญัง คุณจะรู้ว่าอาตมาคือใคร พูดไปเดี๋ยวเขาจะหมั่นไส้หนักเข้าไปอีก เอ็งหมายความว่าอะไร เอ็งคือใคร
อาตมาก็บอกว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 อาตมาคือสัตบุรุษ ก็บอกไปไม่ได้ปิดบังเลย มันก็แสดงความสบายเหมือนกัน ก็ไม่ได้ไปปิดบังอะไรพวกนี้ มันก็บอกไปภาษาครบ คุณก็ตามสภาวะกันไปเอาเถอะ
เพราะฉะนั้นคุณรู้สภาวะของอาตมานี่แหละและคุณจะรู้ว่าอาตมาคือใคร คุณเริ่มรู้รู้นี่แหละ เพราะความรู้อาตมาคือใคร แต่ละคนถึงแสดงออกมานี่ พ่อท่านอย่างสุดเศียรสุดเกล้าเคารพ เพราะจิตของคุณรู้ว่าอาตมาคือใคร คุณพูดมาจากสิ่งที่คุณรู้ว่าคนอย่างนี้ไม่ใช่ว่าเราจะเจอได้ง่ายๆ มันเป็นการบอกความจริงจากใจคุณ เอาเถอะ อาตมาว่าคนเรามันไม่กล้านะที่จะเขียนออกมา แล้วก็เขียนออกมาจริงๆซื่อๆเลย โอ้โห พ่อท่านที่เคารพสุดเศียรสุดเกล้า ที่เคารพอย่างสูง ไม่ใช่คำประโลมโลก แต่เป็นคำจากใจจริงๆ แสดงออกเป็นความเคารพอย่างแรงกล้า ในความหมายที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เป็นการเคารพอย่างแรงกล้า
เพราะมันรู้จักสิ่งนี้ ว่าเป็นสิ่งสูง สิ่งที่ควรเคารพ เป็นการเกิดจากจิต ลึกๆ จะเอาภาษาทางโลกๆมาทำเป็นปะเหลาะก็ได้แต่คนจริงใจก็มี อย่างคนที่คบกับอาตมา จะเป็นคนที่มีภูมิปัญญา คนไม่มีภูมิปัญญาไม่คบอาตมา เขาไม่เห็นคุณค่าอาตมาที่จะมาคบอาตมา เพราะฉะนั้นใครที่คบอาตมาแล้วก็รู้ว่า คนนี้ต้องคบ ชาตินี้ต้องเข้าหา ต้องศึกษาให้ดี ต้องติดตาม คนนั้นมีภูมิปัญญา
ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ในอวิชชาสูตร ที่มีเครื่องอาศัยเรียกว่า อาหาร อาหาร แปลว่า เครื่องอาศัย ผู้ที่สามารถรู้จักวิชชา วิมุติ ผู้นั้นมีวิชชา มีวิมุติเพราะ เป็นผู้ที่รู้
อวิชชา มีนิวรณ์ 5 เป็นอาหาร ของอวิชชา
ผู้จะเรียนรู้วิชชาและวิมุติ ต้องอาศัยนิวรณ์ 5
แล้วนิวรณ์ 5 ก็จะต้องอาศัยจริต 3 ซึ่งมีทุจริตกับสุจริต 3
ผู้ที่จะอาศัยจริต 3 ต้องมีอาหาร คือจะต้องมีการสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6
ผู้ที่อาศัยสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 จึงจะสามารถมีสติเป็นเครื่องอาศัย เป็นอาหาร เป็นเครื่องอาศัยต่อ ถ้าคุณสำรวมอินทรีย์คุณไม่มีสติ มีการตื่นทั้งข้างนอกข้างใน สติต้องร้อย สติต้องเต็มร้อยทั้งภายนอกภายใน มีแต่ภายในสติไม่เต็มหรอก สติเต็มต้องเต็มร้อยทั้งภายนอก สติทั้งกาย ทั้งวาจา สติทั้งใจ อธิบายมาหลายทีแล้ว
ผู้ที่มีสติจึงจะโยนิโสมนสิการ จึงจะทำใจในใจ ตัวนี้แหละเป็นรากเหง้า มูลสูตรที่ 2 ข้อที่ 2
ข้อที่ 1 มีฉันทะเป็นมูล ข้อที่ 2 มีมนสิการเป็นแดนเกิด เป็นสัมภวะ เกิดอะไร เกิดอาริยะ เกิดโอปปาติกโยนิ ทำให้จิตนี้เกิดได้
เพราะฉะนั้นผู้ที่จะมนสิการได้อย่างโยนิโสอย่างได้ถ่องแท้ถูกต้องถ่องแท้แยบคายละเอียดละออจริง ถูกต้องสัมมาทิฏฐิได้ โยนิโสมนสิการ ทำใจในใจอย่างสัมมาทิฏฐิก็ต้องเป็นผู้ที่มีศรัทธา ต้องอาศัยศรัทธา ศรัทธาคือความเชื่อ ความรู้ ความจริงก็ได้
ผู้ที่มีศรัทธาก็เพราะว่าได้ฟังสัทธรรม ธรรมะที่ถูกต้องจริงที่ดีจริง เพราะฉะนั้นศรัทธาก็ต้องศรัทธาอย่างสัมมาทิฏฐิแล้วในสัทธรรม ได้ฟังสัทธรรม จากใคร ก็ต้องได้จากพระพุทธเจ้าหรือได้จากสัตบุรุษ หรือ ผู้อยู่ในฐานะครูที่สัมมาทิฏฐิ ต้องได้ฟัง
เพราะในยุคที่มันไม่มีสัตบุรุษเกิดก็ต้องอาศัยผู้รู้ที่สัมมาทิฏฐิที่เหลือ ถ้าผู้รู้ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิเสียแล้ว เช่น ยุคนี้ถ้าอาตมาไม่เกิด มันมิจฉาทิฏฐิกันหมดแล้ว ครูบาอาจารย์ไม่สัมมาทิฏฐิ มันก็สูญเปล่าศาสนาพุทธก็ไม่ได้เป็นศาสนาที่เป็นโลกุตระ ก็เป็นศาสนาโลกียะเหมือนทั่วไป จึงเละเทะไปสร้างประเพณีจารีตของอะไรต่ออะไรมาเต็มศาสนาหมดเลย
เพราะมันไม่มีโลกุตระ อย่างที่มันเป็นเห็นๆนี่ ยุคพระพุทธเจ้าไม่มีจารีตประเพณี ไปเที่ยวได้ปรุงแต่งแบบบ้าๆบอๆมาใส่ศาสนา เละไปหมด แล้วก็อาศัยพวกนั้นเป็นการเลี้ยงชีพ ตามจารีตประเพณีต่างๆ ให้หมอปลามาอาศัยหากินบ้าง ให้ใครต่อใครออกหน้าจอก็เยอะไป โดยเฉพาะในเถรสมาคมนั่นแหละหากินเลี้ยงชีพไป เป็นอาชีพชนิดหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่การปฏิบัติธรรมเพื่อไปหานิพพานเพราะมันมิจฉาทิฏฐิ
จริง เขาเจตนาอยากจะไปนิพพานนะ เพราะเป็นคำสูงเหลือเกินนิพพาน ละเอียดดี ศาสนาพุทธคือมีนิพพานเป็นศาสนาวิเศษ ก็มีแต่เพียงความรู้ภาษาแต่ โดยสภาวะจริงหรือการปฏิบัติที่เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นสัมมาอาริยมรรค มันไม่ถูกทาง มันไม่ได้แล้ว นั่นก็สูญเปล่าอาตมาพูดไปก็ยิ่งน่าสงสาร
แล้วก็สงสารตรงที่ไหน ตรงที่ไปข่มเขามาก อาตมาเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพูดสิ่งที่ถูกต้องแล้วมันก็ไปข่มสิ่งที่เขาผิดเอามากๆ ให้ความที่เขามีสิ่งที่ผิดมากๆเมื่ออาตมาเอาสิ่งที่ถูกมากๆมา มันก็เลยข่มหนัก ข่มหนักเขาก็ยิ่งรู้สึกไม่ชอบใจมาก มันก็เป็นสัจจะ อาตมาก็เลี่ยงไม่ได้ ไม่รู้จะพูดยังไง มันไม่มีทางเลี่ยง มันจำเป็น จำต้องจำยอมที่จะต้องพูดความจริงสัจธรรมออกมา
เพราะฉะนั้นในสัจจะแท้จริงที่อาตมายกตัวอย่างง่ายๆว่าถ้าอาตมาพาพวกเราทำผิด เถรสมาคมเขาถูก ผู้รู้ในเถรสมาคมคือผู้ถูก อาตมาก็เป็นผู้ผิดใช่ไหม เพราะมันต้องขัดแย้ง ต้องแตกต่างกัน ถ้าอาตมาถูก แน่นอนไม่ได้ไปว่าเขา เขาก็ต้องผิดสิ เขาจะเอาอาตมาตายด้วยหาว่าอาตมามาทำลายศาสนา มาล้มล้าง มาพาเรื่องผิดมาใส่ แต่อาตมารักษาตัวรอดเพราะอาตมาอยู่ได้ด้วยความจริง ความจริงนะ อาตมาอยู่ได้นี่ อาตมาอยู่ได้ด้วย ธัมโมหเวรักขติธัมมะจาริง ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
อาตมามีโพธิจริงจึงมีรักษาโพธิ โพธิรักษา มีโพธิจริง จึงรักษาธรรมเป็นโพธิจริง ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าจริง อันนี้แหละเลี้ยงอาตมาเอาไว้ รักษาอาตมาเอาไว้ตลอด ถ้าไม่มีอันนี้ อาตมาอยู่ไม่รอดหรอก ป่านนี้
อาตมาทำงานศาสนามา 50 กว่าปีมาถึงวันนี้แล้ว ถึงแม้ว่าผู้ที่เขาไม่รู้ ไม่ยอมรับเขาก็ไม่กล้า ไม่กล้าที่จะขัดแย้ง เพราะอาตมาเอาตามพระไตรปิฎกมาขยายความ อาตมาอธิบายธรรมะตามพระไตรปิฎก ตามความรู้ของอาตมา อาตมายังขอบคุณการแปลพระไตรปิฎกไว้ในพยัญชนะภาษาไทย แปลมาจากบาลียังใช้ได้อยู่ อาตมาไม่ได้เห็นผิดเพี้ยนอะไรมากมายเหมือนท่านพุทธทาส ท่านพุทธทาสท่านเข้าใจไม่ได้ ท่านก็ให้ฉีกทิ้ง 60% อาตมาก็เลยรู้สึกว่าท่านพุทธทาสเอ๋ยตัวเองไม่รู้แล้วไปดูถูก เขาแปล เขาไม่ได้แปลคนเดียว เขาแปลเป็นหมู่ พระไตรปิฎกฉบับหลวง อาตมาใช้ฉบับหลวงเป็นหลัก เขาก็แปลมาใช้ได้รักษาพยัญชนะแปลถูกตัวต่อตัวมาดีจังเลย มันจึงเป็นสำนวนของภาษาพระไตรปิฎก
เพราะฉะนั้นใครที่เคยอ่านพระไตรปิฎกจะไม่ได้เข้าใจง่ายๆหรอกสำนวนตามพยัญชนะ เขาก็เอามาใส่ต่อกัน บางทีจะรู้สึกว่ามันอะไรนะ เอามาต่อคำนี้มาต่อคำนี้ เอาวลีนี้มาต่อวลีนี้ มาต่อประโยคนี้มันยาก เป็นธรรมะที่มันลึกซึ้ง
อาตมาก็ได้แต่พูดความจริง ได้แต่บอกความจริง เอาความจริงมาประกาศ เอาความจริงมาสถาปนาลงไปในมนุษยชาติ เพราะมันเป็นงานของอาตมา เป็นตัวจริงของอาตมา อาตมาทำงานทางศาสนาพระพุทธเจ้า แล้วเอาตนมา เอาอัตตา เอาตัวตนของอาตมาชีวะของอาตมา สัตตะของอาตมา จนมาถึงวันนี้แล้วนี่มี สัตตะ เป็นสัตตะเสียเอง
อาตมาเป็นผู้ชายเลยเรียกอาตมาว่า สัตบุรุษ เพราะอาตมาเป็นสัตตะ มีความรู้ในระดับ สัตตะ
มีความรู้ใน สัตตะ ปาณะ ภูตะ ชีวะ ในระดับสัตตะแล้ว
ความหมายของธรรมะต่างๆที่อาตมานำมาพูด ถึงแม้จะเข้าใจแต่ยังไม่ถึงสภาวะก็จะพอเข้าใจได้ คนที่ยังไม่ถึงอาจจะไม่เข้าใจเลยแต่พวกคุณอาตมาถือว่าเข้าใจได้ เพราะว่าถ้าอาตมาพูดธรรมะระดับนี้ ละเอียดขนาดนี้ สูงขนาดนี้ ถ้าพวกคุณรับไม่ได้ พวกคุณก็หลับกันเป็นแถวๆ แต่นี่ก็เห็นตาแป๋ว ฟังแล้วมีธรรมรส ถึงแม้จะไม่ถึงขั้นวิมุติรสทีเดียว แต่ก็เป็นธรรมรสอร่อย ฟังธรรมอร่อยได้เรื่อยๆ มันก็ชวนตัวเองฟังธรรม มันมีธรรมรสก็ชวนฟัง
คนที่ฟังธรรมะอาตมาไม่เกิดธรรมรสแล้วก็ ไม่ค่อยมาหรอก กลัวอาตมาจะลืมหน้าก็มาโผล่ให้ดูบ้าง หลายคนก็อ้างว่าแก่แล้วไม่มาแล้ว มายาก คนที่แก่แล้วก็ยังเห็นคุณค่าก็ลากสังขารมา ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติของจิต
คนที่เกิดจากฉันทะ เกิดจากความยินดี เป็นมูลกา ความยินดีฉันทะเป็นมูล เป็นรากเหง้า โอ้โห…ใช่ เพราะฉะนั้นในรากเหง้าฉันทะนี้เป็นตัวที่ 1 ในมูลกา เป็นตัวรากเหง้าของสัจธรรม
เพราะฉะนั้นคนที่มาฟังธรรมะโลกุตระแล้ว โอโห อย่างนี้มันต้องใช่เลย สัมผัสแล้วมันมีฉันทะ อาตมายกตัวอย่าง บุคคลสักคน
คนนั้น เขาใช้นามแฝงของเขาว่า บ้านเล็กเมืองน้อย เขาเป็นคริสต์ มาฟังธรรมะอาตมาแล้วเกิดฉันทะ เกิดความยินดีเป็นมูลกา โอ้โห เสร็จแล้วก็สนใจฟังศึกษา เขาเขียนมายังแสดงความเข้าใจอะไรของเขาที่เขาเข้าใจมา แล้วเขาก็วิจัยวิจารณ์ได้กว้าง
นี่ก็เขียนมาหลายวันแล้วยังไม่ได้อ่านสู่ฟัง
แต่ในความหมกมุ่นมนุษย์จึงได้ค้นพบสัญญาณความช่วยเหลือ จะเป็นผู้ที่สร้างทุกอย่าง แต่นี่มีสัญญาณความเห็น เอ๊ มนุษย์มีความช่วยเหลือ สัญญาณเป็นรูปธรรมก็คือตีระฆัง นี้คือสัญญาณเข้ามาฟังธรรมแล้ว สัญญา ความช่วยเหลือค่อยๆดังขึ้นดังขึ้น จาก มโนมยอัตตา คือสำเร็จด้วยจิต ความสำเร็จด้วยจิต จิตตัวเองมันก็สำเร็จความรู้ของมันเอง จากมโนมยอัตตาของตน
จนได้ให้กำเนิดพระเจ้าขึ้นมาปกป้องคุ้มครองและบำบัด อรูปอัตตาของตน แล้วหลังจากนั้น นิรมาณกายของพระเจ้า ก็ได้บำบัดทุกข์บำรุงสุข จนยึดครองจิตใจมนุษย์ มันเป็นอะไรอันหนึ่งสร้างขึ้นมาเป็นพระเจ้าหรือนิรมานกาย มาอาศัยบำบัดสุขบำรุงทุกข์ของตัวเองที่มันเป็นกิเลส ที่จริงต้องบำบัดทุกข์บำรุงสุข จนยึดครองจิตใจมนุษย์ ให้เป็นสัมโภคกายกันมาอย่างต่อเนื่อง สัมโภคกายคือร่วมกัน ร่วมเข้าใจร่วมกันตรงกัน ไปด้วยกันมาด้วยกัน เลือดสุพรรณจะพาลงทะเล พาลงเหวลงนรกก็ได้
เอื้อประโยชน์หล่อเลี้ยงสนองกันไปมา ทำให้อาทิสสมานกายของพระเจ้าปรากฏในหลากหลายรูปแบบ
สมณะเดินดิน… สรุปจบ