660630 การเมืองบุญนิยมโลกุตระที่เป็นปรากฏการณ์จริง พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/15AK9BD5DUC0yqwE_g8SQB_WtyTrBuOa5/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/16RkzH2Pgb-yZg_EtQVezuMfar78rtE1z/view?usp=drive_link
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/fQRSKdhzfCM
และ https://fb.watch/lutVSFtbqW/
สมณะฟ้าไท… วันนี้วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก วันเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เข้าพรรษาแล้ว เดี๋ยวก็น้ำท่วมแล้ว พระพุทธเจ้าท่านก็เตือนว่า วันเวลาล่วงไป พวกเธอทำอะไรอยู่ เราเคยปฏิญาณเรื่อง 8 อ. จำได้ไหม จะอยู่ฉลอง 100 ปีพ่อครู ตอนนี้เอา 90 ปีก่อน แต่จะอายุยาว อายุสั้นไม่สำคัญเท่าได้ลดกิเลสหรือไม่
พ่อครูว่า…
SMS วันที่ 28-29 มิ.ย. 2566
_Petcharat Rank เพชรรัตน์ แรงค์ · กราบนมัสการพ่อท่านค่ะ.. ลูกกราบยืนยันด้วยปฏิบัติบูชาพ่อฯในข้อที่ว่า สัจจะเค้าเป็นของเค้าเองไม่มีบิดพริ้วได้.. เป็นไปตามสัจจะ.. ถูกหรือผิดเป็นผลก็ได้พิสูจน์ของจริงปรากฏเป็นสัจจะนั้นๆ.. แม้ศีลข้อ1เมื่อปฏิบัติดีแล้ว.. ก็ดีเลยดีร้อยไปถึงข้ออื่นๆ… ร้อยงดงาม.. สัจจะอัศจรรย์พ่อฯบอกไว้จริงทุกอย่างค่ะ..
กราบขอบพระคุณค่ะ🤟🥰😍
พ่อครูว่า…คนนี้อ่านสภาวะดีนะ พูดเป็นภาษามาได้เท่านี้ก็แน่นปิ๊กเลย ขยายความมาให้อาตมาฟัง ใครฟังตามแล้วได้เข้าใจก็จะเข้าใจ จะไม่ขยายความ เดี๋ยวไม่มีเวลาพอหรอกแค่นี้ อ่านให้ฟังอีกทีก็แล้วกัน ฟังดูว่าเราจะเข้าใจในภาษาที่เขาพูดนี้ลึกซึ้งไหม ลึกซึ้งจริงไหม ได้แค่ไหน
_นพดล ทองโคตร · ถูกต้องแล้วครับ พลังงานพระโพธิสัตว์พ่อครูต่ออายุขัยได้จาก..72.พรรษา.แล้ว สมมุติความเป็นโรค เหมือนจะมีตามวิชาหมอปัจจุบัน แต่ข้าฯน้อยเห็นว่า.จริงแล้ว..โรคที่ว่านั้น.แม้จะเกิดก็ต้องหายไปด้วยบารมีพ่อครูครับ
พ่อครูว่า…สาธุขอให้เป็นจริง อาตมาก็ไม่มีโรคอะไรนอกจากกระเปาะที่มันมีอยู่สร้างเสลดในลำคอ มันเหมือนน้ำพิษ ต้องไอขับเสลดเอาน้ำพิษมันออก บอกไม่ถูกเลย อาตมาเรียกมันว่าน้ำพิษ มันไม่น่าจะให้มันอยู่ในร่างกายเราเลย ต้องไอแรง เหนื่อย เบามันไม่ออกเลย มันเบาไม่ได้ มันแรง เราก็ต้องแรงด้วย Action reaction
_ศิลป์สร้าง จนทุกชาติ · ญาติธรรมอโศก ต้องหามณีแดงมาให้พ่อท่านได้ต่ออายุ ยืดอายุเซลล์ร่างกายและสมองเพื่อประเทศชาติ
พ่อครูว่า…เขามีแฟชั่นมณีแดง อาตมาก็ได้ยินมาบ้าง มันเป็นอะไรแค่ไหนยังไม่รู้เลย จะโฆษณาขายยาหลอกหรือเปล่าก็ไม่รู้ หรือของจริงจะเป็นได้ อาตมาก็ไม่ได้ดิ้นรน ให้เป็นไปตามธรรม
_นตา รักษาสุข · กราบพ่อครู //เม็ดสำรอง เมื่อก่อนถูกมาก เอ็มไซม์ เมล็ดธัญญพืช น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะรุม เม็ดมะรุม กัญชา พรหมมิ กระชาย ขมิ้น การบูร พอวัดเชียร์อะไร คนข้างนอกเห็นว่าฮิต ปั่นขึ้น หลายอย่างเป็นเช่นนี้ จึงควรกินหลากหลาย อย่าไปเชื่อใครคนใดคนหนึ่งที่ชูเชียร์ตามยุค เห็นมาหลายยุคแล้วคนในวัด ข้างวัดบางคน ขนาดหินเหรียญพลัง เหรียญหิน พันกว่า 2พัน 3พัน ขายในวัด ขนาดเมื่อวานสู่แดนธรรมเขาว่ากินทุเรียนถ่ายคล่อง แต่พ่อครูฉลาดสายปัญญาท่านว่า อาตมาไม่รู้สึกนะ แล้วแต่ธาตุใครธาตุมันมั้งพ่อครูว่า คนที่อยากขายแถววัดปั่น พอปั่นราคาขึ้นในวัด คราวนี้นอกวัด ห้าง จนทั่วโลกเขาเห็นแน้วโน้มคนหลงเชื่อดีจริง เขาฟังเรานะ คนนอกถ้าเรื่องกันตาย กันแก่ นี่เขาชอบหนักมาก …
จะมีใครไหมที่พัฒนา Zeno ให้ดี? (คำตอบตอนนี้ฟังได้ปกติแล้ว)
_แดง สารคาม · โรคกระดูกพรุนเกิดจากวิบากกรรมอะไรคะ
พ่อครูว่า…อาตมาก็จะต้องเอาความรู้ทางหมอมาตอบ อาตมาไม่มีความรู้ทางหมอมาตอบ มีคนให้ข้อมูลมาบ้างว่า มันเกิดจากพฤติกรรมไม่ค่อยเคลื่อนที่เคลื่อนตัว ชอบนอน ชอบอยู่นิ่งๆ ออกกำลังกายน้อย เพราะฉะนั้นเมื่อผู้หญิงหมดเมนส์ ฮอร์โมนก็จะลดลงกระดูกก็จะพรุนง่าย เอาละอาตมาพูดมากเดี๋ยวจะผิดเอา แค่นี้ก็แล้วกัน อาตมาไม่เก่งทางนี้เท่าไหร่ ทางเรื่องสรีระเท่าไหร่ อาตมาไปเก่งทางเรื่องนามธรรม สรีระนี้ให้ทางพวกกายภาพ ทางด้านที่เขาเรียนรู้กันจริงๆ เขาเรียนรู้กันรายละเอียดเยอะแยะเลย กายวิภาคเขาเก่งกว่าอาตมาเยอะ อาตมากายวิภาคไม่ค่อยไหว
_ช่อทิพ หนูทอง · กราบเรียนถามพ่อครูว่าการบำเพ็ญจากโพธิสัตว์เพื่อเป็นพระพุทธเจ้านั้น มีการแซงคิวได้หรือไม่ เช่น เบอร์ 5 แซงเบอร์ 8
พ่อครูว่า…แซงได้เพราะว่าอยู่ที่ความเพียร อยู่ที่บารมี อุตสาหะวิริยะอะไรต่างๆนานาแซงได้ โอ้โห..ถามลึก แต่เบอร์ 5 แทงเบอร์ 8 มันไกลเหลือเกินมันไม่ได้ง่ายๆทั้งด้านโพธิสัตว์จะเบอร์ 5 แซงเบอร์ 8 จะไม่ไหว ถ้าแซงเบอร์ 6 ก็ยังพอถูไถพากเพียรมากๆหนักๆก็แซงได้ แต่โอ้โห..โพธิสัตว์ไม่ใช่เรื่องสามัญเรื่องตื้นจะไปแซงกันเล่น
_• พ่อท่านและชาวสันติอโศกเป็นที่พึ่งของประเทศไทยและของโลก
พ่อครูว่า…คนนี้ให้คำตอบมาเลย อาตมาก็ไม่อยากจะรับคำนี้ออกไปเต็มๆ แต่มันก็เป็นความจริง คนเขาหมั่นไส้อาตมาเยอะอยู่เหมือนกัน แต่ที่จริงแล้วมันเป็นสัจจะ อาตมามีความรู้ในเรื่องโลกุตรธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่จะช่วยโลก มันเป็นสัจจะที่ยิ่งใหญ่ที่คนอย่างพระพุทธเจ้า ในกาละยุคกัปหนึ่งๆ อย่างพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าสมณโคดมก็คือพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ที่จะมายืนยันความรู้เรื่องโลกุตระให้คนในโลกนี้ได้รับประโยชน์ หมดยุคพุทธกัปของศาสนาพระพุทธเจ้าแล้วมันก็หมดไป ไม่มีใครจะรู้ได้ ต้องมีพระพุทธเจ้าอีกองค์อื่นๆ ขึ้นมา องค์ใหม่มาประกาศอีก มันจึงจะเกิด เพราะฉะนั้นมันยังไม่หมดกัป โพธิสัตว์เจ้าพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว เหลือแต่โพธิสัตว์ค่อยๆสืบทอดเอาไว้เพื่อให้ครบพุทธกัปของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ เข้าใจขึ้นนะ อย่างนี้เป็นต้น เป็นธรรมดาธรรมชาติ
_กราบนมัสการพ่อท่าน ศาสนาไมได้เสื่อมแต่ใจคนเสื่อมคะ
พ่อครูว่า…ถูกต้อง ศาสนาของพระพุทธเจ้าไม่ได้เสื่อม ความรู้โลกุตระของพระพุทธเจ้านั้นเที่ยงแท้ นิยตะ นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) ของพระพุทธเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง ยุคไหนๆ อุบัติขึ้นมาก็เหมือนเดิม เหมือนยุคสมัยพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แต่คนมันรับไม่ไหว คนมันเสื่อมจากความรู้นี้
เช่นในยุคกัป 2,500 ปีนี้ อาตมาเน้นย้ำไปพูดไปก็สงสารคนไม่ศรัทธาอาตมาจะอ้วกแตก แต่มันก็ต้องยืนยัน (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไท… พูดถึงการบำเพ็ญบารมี การมาลดกิเลส คนอยู่ไปนานๆอาจได้แค่โสดาบัน คนมาใหม่ๆอาจจะได้เกินก็ได้ อยู่ที่ความพากเพียร คนเก่าเอาแค่นี้แหละแต่คนใหม่มาอาจจะเร่ง แต่ความเป็นโพธิสัตว์นั้นไม่ง่าย มันยาก เหมือนกับคนมีแรงมาก กำลังมาก ความเพียรมาก ส่วนเรามีความต่างจากเขาเยอะก็ยาก
นายกฯตู่เป็นโพธิสัตว์มาช่วยงานศาสนาในยุคนี้
_ผึ้ง • กราบพระโพธิสัตว์พระสมณะ โพธิรักษ์ พูดถูกต้องค่ะ ใช่ค่ะ 🙏เรื่องลุงตู่ หนูก็เชื่อ เรื่องลุงตู่ เป็น คนดีทำงานจริง มีความแววไว มีจิตใจที่แข็งแกร่ง มีความอดทน เสียสละ มุ่งมั่น รักษา ประเทศชาติ มีใจซื่อสัตย์ ใจสุจริต ค่ะ 🙏 สมควร เป็น รัฐบุรุษ ค่ะ
พ่อครูว่า…อาตมาไม่ไปเชียร์ลุงตู่มากเพราะคนเขาว่าเชียร์แล้วลุงตู่คะแนนลดลง อาตมาก็ว่าประเทศไทยมีวิบากตรงนี้อย่างนี้แหละ ก็ต้องรอดูไป ยังไม่ได้ตัดสิน ยังเป็นไปอยู่ ดูแล้ว นี่ลุงตู่ก็บอกไว้ว่าถ้าเรียบร้อยผมก็ไป คำพูดของพลเอกประยุทธ์เป็นคำพูดจากใจทุกที อาตมาฟังแล้ว คนที่มีธาตุร่วมกัน มีธาตุตรงกัน โดยเฉพาะธาตุของจิตวิญญาณ ธาตุของภูมิปัญญา มันมีร่วมกัน
ยกตัวอย่างชัดๆ คือธาตุโพธิสัตว์ร่วมกัน อาตมาก็เคยบอกว่าพลเอกประยุทธ์นี้เป็นโพธิสัตว์ที่มาทำงาน โดยหน้าที่ โดยกิจ โดยภาระของเขา มันเป็นเรื่องของโพธิสัตว์อย่างที่ว่ามา อย่างลุงตู่เป็นโพธิสัตว์ ในหลวง ร.9 เป็นโพธิสัตว์ ท่านก็ทำไปตามของท่าน หมอเขียวเป็นโพธิสัตว์เขาก็ทำหน้าที่ของเขาไป อย่างนี้เป็นต้น มันเป็นสัจจะที่เป็นไปตามลำดับ อย่างอาตมาเป็นโพธิสัตว์ อาตมาก็ทำหน้าที่ของอาตมาไป มันขยายความเรื่องโพธิสัตว์ไม่ค่อยเป็นกันเท่าไหร่ มันก็สูงหน่อย มันก็ยากที่จะรู้
เขาก็พูดตรงๆ ว่าให้ทำก็ทำต่อ ไม่ให้ทำตามกฎเกณฑ์เขาก็ไปไม่ต้องทำหน้าที่ ตอนนี้มันเป็นมหาวิกฤตซ้อนวิกฤต..ใช่ ทางด้านต่างประเทศ เขาหนักหนาสาหัส ของเราว่าจริงๆแล้วมันเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ตอนนี้พวกเล็นพวกหมัด มันก็กัดก็เจ็บอยู่อย่างนี้นิดๆหน่อยๆ
อาตมาว่ามันไม่ใช่เชื้อโรคที่เอาตายหรอก มันก็เป็นพวกเล็นพวกหมัด พวกมด พวกแมลง พวกมด มันจะต้องกัด สันดานมดมันก็ต้องกัด ถูกตัวมันก็ต้องกัดหรือไปแตะมันหรือมันนึกว่าเป็นอาหารมัน มันก็ซัด นี่ก็นึกว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เป็นอาหารเขาอยากได้ ก็มากัด เหมือนมดมันรุมกินน้ำตาล เจออาหารที่มันชอบ มันเข้ามารุมกินเลย มันเป็นธรรมชาติของมัน มันเหมือนแค่มดแค่นั้น เป็นคนก็ช่วยๆกันหน่อย
_• กราบนมัสการพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ผมทึ่งในความเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตและทางชีวะมากครับ เมื่อ 2,500 กว่าปีก่อนโน้น วิทยาศาสตร์ปัจจุบันยังไม่รู้สัตว์พวกแบคทีเรียเลย แต่พระพุทธเจ้ารู้ก่อนแล้ว ว่าในน้ำครำน้ำเน่า เหงื่อไคลมีสัตว์หรือพืชเล็กๆมีการเกิดการขยายตัว ซึ่งท่านเรียกการเกิดของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ว่าการเกิดแบบ “สังเสทชโยนิ”ช่างอัศจรรย์ในความรู้ของพระพุทธเจ้าจริงๆ และมีอีกหลายเรื่องที่พระองค์รู้ก่อนวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ด้วยซ้ำ สาธุๆครับผม
พ่อครูว่า… จริง ค่อยๆขยายความกันไป เรื่องหยาบพวกนี้ทางวิทยาศาสตร์ ทางวัตถุเขาก็มีเหมือนกัน ความรู้ทาง สังเสทชะ ไม่ค่อยรู้ก็ค่อยว่ากันไป
โลกีย์คืออะไร อธิบายให้เด็กฟัง
_มีเขียนมา ดช.ธัมโม…หลวงปู่ครับโลกีย์คืออะไรครับ
พ่อครูว่า… อายุย่าง 7 ขวบแล้ว โลกีย์คือคนที่ยังหลง ยึดตัวเอง คนไม่ว่าเด็ก ไม่ว่าผู้ใหญ่ยังเห็นว่า ได้ขนมนี่ก็อยากแย่ง ได้ตุ๊กตาก็อยากแย่ง ได้อะไรที่เราชอบก็อยากแย่ง นี่คือโลกีย์
ทีนี้คนที่มีจิตลดจากโลกีย์ไม่ไปเป็นโลกีย์จะไปเป็นโลกุตระ จะเห็นว่า นี่เราก็รู้ว่าขนมของเขา เราก็ไม่แย่ง นี่ตุ๊กตาของเขา ของเล่นของเขา เราก็ไม่แย่ง เราเห็นอะไรก็แล้วแต่ที่เราอยากได้ ซึ่งไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของที่เราไม่ใช่ของที่เรามีสิทธิ์จะได้มา ถ้าเราอยากได้เราก็ต้องซื้อต้องขาย ก็ต้องเอาเงินไปซื้อ เขาให้ ถ้าเขาให้ก็เอา เอาที่ของเขาให้ ของที่เขาไม่ให้ ไม่ไปแย่ง ไม่ไปเอา อยากได้ก็ลดกิเลสเรา
คนที่รู้ว่าอยากได้อันนี้ แต่เรายังไม่มีสิทธิ์ ไม่มีเงินซื้อหรือเขาไม่ให้เรา เราก็มาลดกิเลสซะ เลิกอยากได้ อันนี้คือโลกุตระ เอาละยาวไปเดี๋ยวจะเรื่องมาก เอาไปทวนฟัง ไปให้ย่าเปิดให้ฟังทวนก็ได้
มาเข้าสู่เรื่องที่น่าจะพูดหรือควรจะพูดในวันนี้ มีคนอยากจะฟังอยากจะรู้บ้างเหมือนกันก็คือ เรื่องของการเมืองบุญนิยม อาตมาเคยพูดเคยเขียนไว้เยอะแล้ว ตอนไปชุมนุมนั้นอาตมาเขียนหนังสือไว้หลายเล่มเลยเกี่ยวกับเรื่องของการเมืองบุญนิยม ตั้งแต่เล่มเล็กเล่มน้อยจนถึงเล่มใหญ่หลายเล่ม
การเมืองอย่างนี้ยังไม่มีในโลก ถ้าอย่างนี้ล่ะการเมืองใหม่ไหม นี่เล่มใหญ่เลยแต่อันนี้เขียนเล่มน้อยแต่งเสร็จแล้วมารวมกันแล้วก็มีเล่มอื่นอีกเกี่ยวกับเรื่องการเมืองใหม่ หรือการเมืองที่เป็นแบบโลกุตระ ตอนยุคชุมนุมเล่มนี้ ปี 2551 และเล่มนี้ ตุลาคม 2552 อ่านเล่มนี้ ที่เขียนขยายความก็ใช้งานได้เยอะ
การเมืองบุญนิยมเป็นเช่นไร
พ่อครูว่า… การเมืองบุญนิยมหรือการเมืองโลกุตระ ที่อาตมาใช้คำว่า บุญนิยม แทนคำว่า โลกุตระ เพื่อที่จะใช้ภาษาให้มันเทียบเคียงกับคำว่า ทุนนิยม ทุนนิยมนี้มันโลกียะ 100% ล้านเปอร์เซ็นต์ การเมืองทุนนิยม
ง่ายๆก็การเมืองทุนนิยม เขาใช้อำนาจทุนเป็นหลัก อำนาจทุนเป็นอำนาจ และสร้างอำนาจบาตรใหญ่เป็นอำนาจ ทุนเป็นรูปธรรม อำนาจบาตรใหญ่เป็นนามธรรม ที่คนเขาสร้างแล้วก็ใช้กันอยู่
การเมืองที่เป็นทุนนิยมหรือเป็นโลกียะ การเมืองในโลกปัจจุบันนี้ด้วยหรือแม้แต่ในยุคพระพุทธเจ้าก็ตาม ก็เป็นการเมืองแบบโลกียะกับการเมืองแบบโลกุตระ
แต่การเมืองแบบโลกุตระในยุคพระพุทธเจ้านั้นเป็นยุคที่มีข้อจำกัด เพราะเป็น 1.ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และ 2. เป็นยุคทาส ลึกซึ้งนะเรื่องทาส มันเป็นอำนาจบาตรใหญ่่ของสังคมที่คนเป็นทาส slave ภาษาอังกฤษ มันเป็นทาส เป็นยุคทาส เป็นจริงเลย คนทุกคนยอมรับจำนวนว่ามีนายทาส มีลูกทาส
ยิ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้ว ทุกคนเป็นทาสของท่านหมด มีสิทธิ์จะสั่งฆ่าได้หมดเลย จะขายจะฆ่าจะอะไร เป็นเจ้าของคนทุกคนเลย อย่างนี้เป็นต้น เป็นเรื่องอำนาจบาตรใหญ่ขนาดนั้น
ในยุคพระพุทธเจ้าอุบัติ พระพุทธเจ้ามีบารมี ท่านก็สร้างวิธีของท่าน จะเรียกว่ากฎหมายก็เป็นกฎหมายระดับรัฐธรรมนูญ เช่น ศีลของพระพุทธเจ้าคือกฎหมายรัฐธรรมนูญ ยังไม่ระบุโทษ ยังไม่ระบุรายละเอียดนัก บอกแต่เนื้อหาสาระว่าควรกับไม่ควร พอกฎหมายละเอียดออกมาแบ่งเป็นกฎหมายแพ่ง อาญา มันจึงจะมีระบุกำหนดผิดเท่านี้โทษเท่านี้ อะไรต่างๆอย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นของพระพุทธเจ้าท่านก็มีวินัย ท่านแยกเป็นศีล ศีลเป็นเรื่องเหมือนรัฐธรรมนูญ วินัยเป็นเหมือนกฎหมายลูก กำหนดโทษสารพัด
ส่วนศีลนั้นตายตัว มี จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ในยุคพระพุทธเจ้าก็ใช้วงการของท่าน คนที่ไม่เข้าในวงการ ไม่เข้าในจารีต เข้าลัทธิ เขาก็อยู่กันอย่างชีวิตสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นทาส และคนในยุคทาสนั้น ไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน สิทธิในตัวเอง สิทธิที่จะแสดงออก ความหมายของสิทธิมันก็ยิ่งใหญ่ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้สิทธิมนุษยชนก็ตั้งเป็นองค์กรควบคุมหรือว่าดูแลโลกเลย เป็นผู้ดูแลสิทธิมนุษยชน ใครไปละเมิดก็ต้องเอาเรื่อง แม้แต่ทั่วโลกเลย ประเทศไหนเขาก็ยึดถือทั่วโลก ยอมรับว่าคนมีสิทธิส่วนบุคคล ใครจะละเมิดสิทธิส่วนบุคคลยาก เขาก็เลยช่วยพวกเสียเปรียบ พวกที่ถูกกดขี่สิทธิ เขาก็ตั้งเป็นองค์กรช่วย ก็มีสมาชิก มีผู้เห็นชอบด้วย ก็สนับสนุนกัน ก็เป็นองค์กรที่เลี้ยงชีพองค์กรหนึ่ง
ทีนี้เรื่องประชาธิปไตยในยุคพระพุทธเจ้ายังไม่มีภาษา อาตมาเคยอธิบายไว้แล้ว ว่าความเป็นพลังงานที่มนุษย์เอามาใช้แล้วก็ประพฤติกันออกมา เพราะฉะนั้นผู้ที่มีความรู้ในพลังงานเรียกว่าอธิปไตย เป็นแรง เป็นพลังงาน เป็นอำนาจ พลังงานมีความรู้ในเรื่องของ ความปรุงแต่งร่วมกับความเกี่ยวข้องในโลก ใครก็ตามในสังคมกลุ่มนี้ปรุงแต่งอยู่ในขอบเขตนี้ออกไปอีก
สมัยพระพุทธเจ้าปรุงแต่งแล้วก็ไม่สามารถที่จะแพร่ สื่อสาร ออกไปกว้างไกลกว่าคนในทวีปอินเดีย เพราะสื่อสารยังข้ามออกจากประเทศ ออกจากทวีป ออกจากขอบเขต แม้แต่อยู่ในแคว้น ออกจากแคว้นไปก็ไปตามคน แต่ก่อนยังไม่มีเครื่องมือมาก แต่เดี๋ยวนี้มันไปทางอากาศ ความรู้เจริญขึ้นในยุคสมัยนี้มันก็อยู่ในกรอบขอบเขต
เพราะฉะนั้น ในการบริหารปกครอง เรียกว่า การเมือง การเมืองบุญนิยมหรือการเมืองโลกุตระ ในยุคพระพุทธเจ้ามีแต่ของพระพุทธเจ้าที่มีความรู้ในอธิปไตย 3 โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย และ ธรรมาธิปไตย
โลก คือ เกี่ยวข้องกับผู้อื่น เท่าที่ใครจะสามารถเกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ
อย่างบางประเทศเขานึกว่าเป็นเจ้าโลก เขานึกว่าเขาใหญ่พยายามจะแผ่อำนาจอิทธิพล แม้ในเมืองไทย ส่วนหลายประเทศเขาสามารถแผ่อิทธิพลสำเร็จของเขา คนพวกนั้นก็ตกเป็นทาสของนายอำนาจ เป็นเจ้าอำนาจ มันเป็นเรื่องบังคับ เป็นเรื่องอำนาจบาตรใหญ่ มันไม่ใช่เรื่องที่จะให้คนยอมรับนับถือ มี 2 ประเด็น 1. อำนาจบาตรใหญ่เอามากดขี่เขา 2.อำนาจที่ไม่ใช่อำนาจบาตรใหญ่ แต่เป็นธรรมาธิปไตย เป็นอำนาจโดยธรรมที่เขาเห็นว่าดี เขาจึงยอมยกให้
2 ประเด็นนี้คนละขั้ว ขั้วหนึ่งนี้เป็นคุณธรรมและเป็นอิสรเสรีภาพ ส่วนอีกขั้วหนึ่งเป็นอำนาจบาตรใหญ่เพื่อจะข่มเขาได้ เป็นอำนาจเลวร้าย เป็นอำนาจซาตาน ส่วนอำนาจของทางที่ประชาชนหรือคนอื่นเขายกให้เองนี่ เป็นอำนาจของพระเจ้า เป็นอำนาจของคุณธรรม เป็นอิสรเสรีภาพ ใช้สัจจะของความจริงของคนที่คนอื่นเขายกให้ เป็นอำนาจที่เขายกให้ ไม่ใช่เราไปแย่ง ไม่ใช่เราไปข่มขี่ ไม่ใช่เราไปใช้อำนาจบาตรใหญ่ ใช้อาวุธ ใช้อำนาจความกลัวให้เขากลัว อันนี้ไม่มี อำนาจนี้ไม่มีความกลัว มีแต่อำนาจความยอมรับนับถือ เคารพยกย่อง เชิดชูบูชา มันคนละลักษณะกันเลย
_นักรบธรรม…มีพระเดชกับพระคุณครับ
พ่อครูว่า… มีคนสรุปให้ อำนาจพระเดชยังเป็นอำนาจเลวร้ายเป็นอำนาจแบบโลกียะ ใช้ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แม้แต่ความสุขก็เอามาล่อ มาสร้างอุปาทานทางความสุขให้เขาอยากได้ความสุขอันนี้ แล้วก็หลอกกัน
เอาง่ายๆ ตัวอย่างเช่นว่า ถ้าเราเป็นนายก เราจะขึ้นเงินให้เท่านี้คนเกิดมาจะได้เท่านี้ อย่างนี้แหละเป็นสิ่งล่อให้เขาอยากได้ ถ้าเขาได้เขาจะเป็นสุข แค่นี้ก็เป็นอำนาจเถื่อน อำนาจบาตรใหญ่ อำนาจขี้หลอกขี้ล่อ ซึ่งประเทศอย่างเมืองไทยมีตัวอย่างที่เขาใช้อำนาจอย่างนี้มามาก แล้วเมืองไทยไม่ใช้อำนาจแบบนี้เพราะถือว่ายังเป็นคนเถื่อน เป็นคนชั้นต่ำ ไม่ทำ มีแต่รับใช้ประชาชน มีแต่ใจเมตตาเกื้อกูล มีแต่เสียสละ แล้วไม่ล่อหลอก ไม่สร้างประชานิยม
อาตมาสรุปอันนี้อยู่ว่า เลวที่สุดในแผ่นดินคือหากินบนคำว่าช่วยเขา คุณไปสัญญิงสัญญาว่าจะช่วยอย่างนั้นอย่างนี้ นั่นแหละคือแบบเถื่อนๆ เรียกคำโก้ๆว่า มีนโยบาย นัยยะ กับ อุบาย คือ ยังไม่จริง มันเป็นเป็นกลยุทธ์อันหนึ่ง อุบาย เป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งที่มีนัยยะนโยบาย
วรรณะ 9 เข้าสู่การเมืองบุญนิยม
มีคนอยากแสดงความเห็นว่า ต้องมีวาสนาบารมี …ได้ อาตมาเข้าใจภาษาที่เขาพูดมา เขาช่วยอาตมาอธิบาย ว่า ต้องมีวาสนาบารมี
วาสนาแปลว่าของผู้นั้นที่เป็นมาแล้วในตัวเอง อยู่ในตัวเองเรียกว่าวาสนา กลางๆ ส่วนบารมีนั้นก็คือสิ่งที่เป็นวาสนาของผู้นั้นแต่มีขั้นชั้น สูงขึ้นไปตามลำดับ เรียกว่าวรรณะ the class ถ้าใครทำให้ classical จนเต็ม classic เป็นเอกเป็นหนึ่ง
เพราะฉะนั้น มาพูดถึงวรรณะกันตรงนี้ ประชาธิปไตยบุญนิยมจะมีความรู้วรรณะ 9 ผู้ที่จะบริหาร ผู้จะใช้พลังงานรับใช้ประชาชนหรือทำงานกับประชาชน หรือใช้พลังงานตัวเองที่จะทำเต็มที่กับประชาชน จะมีความรู้ใน the classes 9 ข้อ จะใช้วรรณะ 9
เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ) ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
พ่อครูว่า… อยู่ในพระวินัยข้อ 1 เลย ประโยชน์อะไรที่จะเอาทั้ง 9 ข้อนี้มาสอน ก็คือความเจริญของมนุษยชาติและสังคมสรุปง่ายๆ ท่านสาธยายไปเยอะ
มาสาธยาย วรรณะ 9 ขยายความ วรรณะ 9
แปลความหมาย 9 ข้อนี้แล้วค่อยขยายปฏิสัมพัทธ์ เป็นกระบวนทัศน์อยู่ทั้ง 9 ข้อ แล้วก็จะมีขยายกระบวนทัศน์นี้เป็นกระบวนการขึ้นไปอีก
-
เลี้ยงง่าย (สุภระ) บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย อย่างชาวอโศกเรานี้เลี้ยงง่าย อยู่ง่ายกินง่าย ไปง่ายมาง่าย นอนง่ายนั่งง่าย ไม่เรื่องมาก
คนที่กินก็ยาก นอนก็ยาก ไปก็ยากมาก็ยาก ไอ้โน่นก็ยากไอ้นี่ก็ยาก โอ้โห..ตายซะ
-
สุโปสะ พัฒนาให้เจริญง่ายให้มีความรู้มีคุณค่าให้ขยันหมั่นเพียรพัฒนาให้เป็นคนเจริญง่าย (สุโปสะ)
-
อัปปิจฉะ อาตมาแปลว่าเป็นคนมักน้อย มักคือชอบ จะมีน้อยๆ มัก หรือรัก หรือชอบ แม้แต่ความรักหนุ่มสาวก็เรียก มัก รัก ฮัก ชอบ ชอบมีน้อยๆ เพราะฉะนั้นจึงชอบหรือพากเพียรที่จะมีน้อยๆ จนกระทั่งถึงจิตใจกล้าหาญที่จะมีน้อยๆ อาตมาจึงสรุปว่า “กล้าจน”กล้าที่จะมีน้อยๆ แล้วน้อยที่สุดก็คือ 0 แม้มี 0 ก็ไม่มีปัญหา ไม่หวั่น ไม่หวั่นไหว ไม่ตกใจ ไม่กลัว เพราะพึ่งตนเองได้แล้ว 2.มีสมรรถนะเกินที่ตัวเองกินตัวเองใช้ 3.แจกจ่ายเผื่อแผ่เกื้อกูลผู้อื่นจริงๆด้วย
เพราะฉะนั้นถ้าคนมีคุณสมบัติ 4 อย่าง
1.อย่าเป็นหนี้
-
ขยันหมั่นเพียรมีสมรรถนะก็ทำเลี้ยงตัวเองให้รอด
-
ทำให้เหลือตัวเองกินตัวเองใช้
4.เผื่อแผ่แจกจ่ายผู้อื่น ขายก็ขายขาดทุนได้ ให้ฟรียังได้เลย เพราะฉะนั้นถึงบุญนิยมขั้นสมบูรณ์ก็ให้ฟรีบุญนิยมขั้นสุดท้าย
1.ต่ำกว่าราคาตลาด 2.เท่าทุน 3.ขาดทุน 4.แจกฟรี ให้เป็นขั้น 4 เลยได้อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นคนที่ทำสังคม บริหารสังคมหรือพาสังคมทำ มีความเชื่อถือ มีความเห็นดีเห็นงามว่า อ๋อ มีแนวคิดอย่างนี้ มีกระบวนทัศน์อันนี้ แล้วก็รวมกันทำ เกิดกระบวนการสร้างสรรค์ เกิดกระบวนการพัฒนา กระบวนทัศน์คือparadigm กระบวนการคือ process มีวิธีการทำสร้างสรรค์ขึ้นได้ตามที่มีparadigm ตามที่มีกระบวนทัศน์อย่างนี้ มีแนวคิดอย่างนี้ก่อนแล้วก็มาทำ เกิดผลผลิตเป็น product มี process product ขึ้นมา อย่างแท้จริง
ก็เกิดผลผลิตเกิดพฤติกรรมพฤติการณ์ขึ้นมากับมวลมนุษยชาติ ที่เป็นบุญนิยม ที่เป็นแบบมีวรรณะ 9
-
สันตุฏฐิหรือสันโดษ แปลว่าใจพอ ไปแปลว่าพึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ไปถามบิลเกต ไปถามธนินท์เขาก็บอกว่าพอใจสิ.. มันต้องใจพอแล้วน้อยลงๆ มันเกี่ยวข้องกับอัปปิจฉะ เป็นผู้ที่ต้องมีทิศทางน้อยลงต่างหาก ใจพอที่จะมีทิศทางน้อยลงจนไม่เป็นของตัวของตนสูงสุด
เพราะฉะนั้นในความหมายขั้นต่อไป ก็จะต้องขัดเกลาตนเอง
-
ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) ขัดเกลากายวาจาใจที่มันมักมาก ที่มันขี้โลภ มันต้องหอบหวง กอบโกยให้ลดลงๆ กายมันต้องไม่เอา วาจาไม่เอา ใจก็ให้มักน้อยเข้าลดลงๆๆ การลดลงขัดเกลาอย่างนี้เจริญ มีหลักเกณฑ์ในการที่พาปฏิบัติให้ละหน่ายคลาย ให้ลดน้อยลงเรียกว่า ธูตะ
-
เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)
เมื่อขัดเกลาได้เจริญขึ้น เจริญขึ้น คนผู้นี้ก็น่าเลื่อมใสมากยิ่งขึ้น
-
มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ) เพราะเป็นคนเจริญพัฒนาขึ้นได้ เป็นพระอาริยะ เป็นอรหันต์ เป็นโพธิสัตว์เจริญขึ้นเจริญขึ้น คนทั้งหลายที่มีปัญญาผู้รู้ก็จะเลื่อมใสศรัทธา มี ปาสาทิกะหรือปาสาทิโก เลื่อมใสคนที่มักน้อยสันโดษใจพอแล้วก็มีแต่รับใช้ผู้อื่นเรื่อยๆจนถึงขีดขั้นสุดท้ายตัดสินด้วย อปจยะ และ วิริยารัมภะ
-
ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม อวรรณะ 9 ขยันเสมอ, เป็นคนมีคงคลัง 0 เป็นคนมีสมบัติในตัวเอง 0 บาท
และคนจะอยู่มี 0 บาทได้ต้องมีสังคม ต้องมีผู้อยู่ร่วมและเกื้อกูลกัน สังเคราะห์กัน รักกัน เกื้อกูลกัน มีพุทธพจน์ 7 มีความระลึกถึงกัน มีคนเข้าใจระลึกถึงเรา ถ้าเราเป็นคนดี คนที่ควรจะต้องเลี้ยงดูไว้ตั้งแต่ข้อ 1 มาเรื่อยๆ ต้องเลี้ยงดูไว้ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลเพราะเป็นคนดีเป็นคนมี ปาสาทิกะ เป็นคนมีอาการน่าเลื่อมใส เขาจะเลี้ยงไว้ไม่ต้องสะสมเลย อย่างอาตมาพิสูจน์ตัวเองมา ไม่ได้สะสมสมบัติมาตั้งแต่อาตมาทำงานศาสนามา 53 ปี ไม่มีสมบัติของตัวเอง ไม่ได้สะสม แต่มีคนมาบริจาคให้นะ แต่อาตมาไม่ได้รับไว้เป็นเป็นส่วนตัว
เคยบอกแล้วเงินที่เขาบริจาคให้อาตมานี่ อาตมาจะไม่เอาไปใช้แม้ว่าอาตมาป่วยเจ็บจะตายต้องซื้อยามารักษา อาตมาก็ไม่ใช้เงินของคุณ ไม่ต้องพูดถึงของกิน ร่างกายต้องการก็ไม่ต้องเอาเงินคุณไปซื้อ ถ้าไม่มีใครนำมาให้ มาประเคน ก็ไม่ได้กิน ตายก็ตายไป ถ้าคนไม่เห็นดีเห็นชอบ ไม่รู้ค่าให้อยู่ ถ้าหากสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างนั้นก็ตายไปเลย เป็นคนอยู่ทำไม ใช่ไหม มันไม่มีคนอยากให้อยู่เลยถึงขนาดนั้น อาตมาไม่เชื่อ มีแต่เขาจะใส่สายให้อยู่ ดีไม่ดีก็ใช้หัวใจเทียม ปอดเทียมต่อเอาไว้ โอ้โห พอเถอะ มันก็ช่วยได้สิ วิทยาศาสตร์เอาปอดเทียม หัวใจเทียมช่วย มันก็นอนเป็นพืชอยู่ได้ จะไปมีปัญหาอะไรทุกวันนี้วิทยาศาสตร์มันเจริญจริงๆ แต่ไม่เอาหรอก ไม่มีประโยชน์ เสียเวลา เป็นภาระผู้ที่อยู่ด้วย และมันดร็อปจนไม่ฟื้นแล้ว ก็ต้องปล่อยให้ปล่อยเถอะให้ไปที่ควร ไม่งั้นก็ชะลอไว้อย่างนั้นเสียเวลา
9.ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ)
การเมืองโลกุตระต้องมีโพธิปักขิยธรรม 37
เพราะฉะนั้นการเมืองบุญนิยมหรือว่าจะทำประโยชน์ต่อคน จบ ในวรรณะ 9 เป็นเครื่องยืนยันว่าเป็นคนที่มีพลังงาน ถ้าพลังงานสูงถึงขั้นมี 2 ตัวสุดท้าย วิริยารัมภะ กับอปจยะ เป็นนักการเมืองที่มีภูมิธรรมถึงระดับอรหันต์ แล้วอาตมาก็อธิบายซ้อนไม่ได้หรอกวันนี้ อรหันต์ชั้น 1 2 3 4 อรหันต์ชั้นโพธิสัตว์ อรหันต์ชั้นสูงขึ้นไป คือจะมีคุณภาพของอรหันต์
เพราะฉะนั้นอรหันต์ในระดับที่ 1 ที่ 2 ก็จะยังยาก ที่จะทำงานกับสังคมกว้างขึ้นกว้างขึ้น อรหันต์ขั้น 1 ทำงานกับสังคมได้ระดับหนึ่ง ดีไม่มีตัวตนแต่มันก็ยังไม่มีบารมีพอที่จะทำอะไรได้มาก คนจะสนับสนุน คนจะช่วยเหลือก็จะน้อย บารมีมันน้อย
แต่คนที่มีบารมีมากขึ้นมากขึ้น เป็นอรหันต์โพธิสัตว์ที่สูงขึ้นสู่ระดับ 5 ระดับ 6 ระดับ 7 เอาตัวอย่างอาตมา อาตมาไม่ต้องสะสมไม่ต้องเรี่ยไร เขามาบริจาคแต่อาตมาไม่ได้เรี่ยไร ขั้น 7 ขึ้นไปไม่เรี่ยไร ขั้น 6 แก่ๆแล้วก็ไม่เรี่ยไรแล้ว จะมีคนมาสนับสนุน ขั้น 5 ก็จะเปรยปราย ชั้น 4 ก็เรี่ยไรอยู่ในที เป็นอนาคามี เป็นสกิทาคามี เป็นโสดาบัน การเรี่ยไรก็จะมากขึ้นแต่ไม่ได้ไปบังคับอะไรใคร นี่ก็พูดเฉลี่ยขยายไปนิดหน่อย
ที่นี้เรื่องกระบวนทัศน์ของการเมืองบุญนิยม มันก็ใช้หลักธรรมพระพุทธเจ้า หลักธรรมใหญ่ที่สุดก็คือจรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งมีครบศีลสมาธิ ปัญญา วิมุตอยู่ในนี้เสร็จ
ทีนี้เมื่อผู้ที่รู้จักศีลเป็นตัวหลัก เช่น ศีลข้อ 1 เราเอาศีลข้อที่ 1 มาปฏิบัติ มันเป็นหลัก แล้วมันก็มีรายละเอียดของกระบวนทัศน์ของมัน เช่น ศีลข้อ 1 เราก็เอามาปฏิบัติด้วย อปัณณกปฏิปทา 3 ก็จะเกิดคุณธรรม 7 ก็จะเกิด ประสิทธิภาพของพลังงาน ทั้งปัญญา ทั้งเจโต คือฌาน อีก 4 แล้วก็ไปสู่วิมุติ
เพราะฉะนั้นผู้ที่มีศีลเป็นหลักแล้ว เช่น ศีลข้อ 1 ปฏิบัติอะไร ก็ต้องปฏิบัติด้วยโพธิปักขิยธรรม 37 ผู้ที่ปฏิบัติคุณธรรม 37 คือโลกุตระ 37 ข้อ ยกไว้นะ ต้องมีศีลเป็นหลัก
ศีลข้อที่ 1 ก็ปฏิบัติตามโพธิปักขิยธรรม 37 หรือปฏิบัติ อปัณณกปฏิปทา 3 แล้วจะเกิดคุณธรรมสัทธรรม 7 แล้วก็จะเกิด ฌาน คือพลังงานพิเศษ ฌาน มันจะทำลายสิ่งที่ไม่ดีหรือเผาหรือสลายก็จะเกิดปัญญาหรือเกิดสภาพ ฌาน คือสภาพ 2 อย่าง
1.สภาพที่กำจัดทำลายสิ่งเลวร้ายที่มีในจิต
2.เกิดความเฉลียวฉลาดรู้จริง มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพ รอบรู้และสามารถ ประหารเด็ดขาดกิเลสคือบุญนั่นแหละ ฌานมาเป็นบุญ เคยอธิบายไว้ว่า บุญนั้นคือเพชฌฆาตมือสุดท้าย ถ้าบุญได้ลงมือแล้วหมายความว่ากิเลสนี้ตายไม่มีฟื้น อธิบายพูดมาไม่รู้กี่ทีแล้ว รายละเอียดพวกนี้อาตมามีในตัวเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 มี ไม่ได้เอาตำราไหนก็ไม่มี เพราะฉะนั้นใครฟังอาตมาแล้วเอาไปเรียบเรียงเป็นตำราก็จะเกิดตำราขึ้น
2,500 กว่าปี ตำราพวกนี้ไม่มี มีแต่ภาษาในของพระพุทธเจ้าและอยู่ในพระไตรปิฎกเล่มนี้ของพระมหากัสสปะกับลูกศิษย์ของท่านรวบรวมมา มันไม่มีรายละเอียดเหมือนที่อาตมาอธิบาย เพราะท่านสายเจโต แต่อาตมามาแตกลายงาออกมาจากคำเข้มๆข้นๆในพระไตรปิฎกไว้เป็นหลักเท่านั้นเอง แต่อาตมาขยายความไว้เยอะ เกิน 53 ปี
เพราะฉะนั้นต่อจากโพธิปักขิยธรรม 37 ก็ขออธิบายคร่าวๆ ตั้งแต่สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 นี่คือหลัก 4 เป็นกระบวนการ 4
สติปัฏฐาน 4 มีกาย เวทนา จิต ธรรม พิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม เป็นเหตุเป็นปัจจัยปฏิสัมพันธ์กันนะ ไม่ได้ตัดขาดกันนะ กาย เวทนา จิต ธรรม ไม่ได้ตัดขาดกัน แล้วการปฏิบัติกาย เวทนา จิต ธรรม ปฏิบัติเมื่อใช้ สัมมัปปทาน 4 มี
สำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 ทางตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วทำให้เป็นอภิสังขารคือให้เกิดเป็นบุญ ฆ่ากิเลส คือจัดการปรุงแต่งรู้จักกิเลส ฆ่ากิเลส
อันที่ 2 เป็นการประหาร ปหานปธาน คือการประหารกิเลส เมื่อประหารกิเลสได้แล้วก็เหลือแต่จิตสะอาดจากกิเลส ก็เป็นผล
อันที่ 3 ภาวนาปธาน เมื่อประหารกิเลสได้ก็เป็นผลสำเร็จคือภาวนาปธาน สะสมผลสำเร็จที่จิตสะอาดจากกิเลสได้ ก็อนุรักขณาปธาน นี่คือสัมมัปปธาน 4
ภาษาที่อธิบายทำอย่างไร สำรวมอินทรีย์คืออย่างไร ประหารคืออย่างไร คุณก็ต้องรู้ว่าสำรวมอินทรีย์นี้ ตาหูจมูกลิ้นกายใจสัมผัสๆแล้วเกิดกิเลสแล้วเราก็รู้จักกิเลสและเราก็พยายามพิจารณา ประหารกิเลส ฟังแล้วเหมือนเอามีดไปตัดคอ อธิบายเหมือนเอาใช้ไฟไปเผา คือฌาน ฟังตอนแรกเหมือนเอามีดไปตัดคอ เอาไม้หน้าสามไปตีหัวมันแตกแหลกลานเลย จนกระทั่งมันตาย ก็ต้องแรงหยาบอย่างนั้น เหมือนกับเอาไฟไปเผาสลายไป มันแรงอีกเหมือนกัน
แต่มันไม่ใช่ มันเกิดปัญญาไปเผา ปัญญาคืออะไร ปัญญาคือมันจะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ไปยึดไว้นั้นมันเป็นของไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันตั้งอยู่มันเป็นทุกข์ อย่าให้มันมีเหลือเลย นี่คือความหมายมันยากที่จะเข้าใจ ตื้นๆมันก็เข้าใจว่าไม่เที่ยง ตั้งอยู่ดับไป คุณก็จะต้องทำให้ไม่ตั้งอยู่ โดยเฉพาะกิเลสไม่ให้มันตั้งอยู่ และให้มันดับไป ดับไปโดยปัญญาอันยิ่ง เป็นตัวเผา ฟังแล้วปัญญาเผามันก็ดูยาก
ปัญญาก็คือ ปุญญะ พยัญชนะเดียวกัน อันหนึ่งคือ อุ อันหนึ่งคืออะ ปัญญาก็อะ ปุญญะก็อุ อะ อิ อุ
ปริญญา ปัญญา ก็คือความรู้ ก็คือธาตุรู้ที่มันฉลาดขึ้น จาก อะ อิ อุ จาก ปะ + อัญญะ แล้วก็เป็น อัน นุ
ไม่ได้อธิบายอย่าง ไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์ ที่เขาเรียนปริญญา เปรียญกัน ไม่ใช่อันที่เขาไปปรุงแต่งตาม ไวยากรณ์ เขาก็หลงความลึกซึ้งพวกนี้ไป ซึ่งเป็นอาจาริยาวาท เป็นภาษาสมัยใหม่ที่ปรุงแต่งให้ไพเราะ มันไม่เป็นโลกุตระ มันไปหาโลกจินตา มันเป็นหลงการหลงความรู้ไปเรื่อยๆเลย อันนั้นจึงไม่มีผลและน่าสงสาร หลงความรู้สูงสุดไปเป็นพญาครุฑ
ทีนี้มาเข้าถึงขั้นอธิบายไปว่า การเมืองแบบบุญนิยมนี้ มีคุณธรรมของโพธิปักขิยธรรม 37 สำรวม สังวร พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ด้วยสัมมัปปธาน 4 ด้วยอิทธิบาท 4 แล้วก็จะเกิดพลังงานเรียกว่าอธิปไตย หรืออินทรีย์ หรือพละ เป็นพลังงานทั้งนั้น อินทรีย์เป็นกำลังหรือเป็นพลังงาน พละหรือผล พละกับกำลัง
พระพุทธเจ้าอธิบายแยกพลังงานไว้ 5 เป็นอินทรีย์ 5 แล้วก็เป็นปลายผลหรือพละก็ 5 มี ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา
ศรัทธา โดยความรู้ทั่วไปก็รู้ว่าเป็นความรู้ เป็นความเชื่อถือ ทีนี้ศรัทธามันไม่มีปัญญาร่วมก็ได้ แต่ศรัทธาของพระพุทธเจ้าต้องมีปัญญา ยิ่งเป็นตัวนำศรัทธาด้วยยิ่งดีใหญ่ เขาแกนศรัทธาก็ต้องมีปัญญาเข้าไปร่วมด้วยอย่างเต็มตัว แต่ต้องมีปัญญาเข้าไปช่วยจริงๆ ศรัทธาไม่มีปัญญาไม่เจริญ นอกจากไม่เจริญแล้ว ศรัทธาไม่มีปัญญามีแต่งมงายงมโง่ไปเลย
ศรัทธา วิริยะ ต้องมีสัมมาทิฏฐิ ศรัทธาของคุณต้องมีปัญญาเข้าไปร่วม แล้วเมื่อเห็นเมื่อรู้ว่าศรัทธาของเราเข้าทางสัมมาทิฏฐิมีปัญญาร่วม คุณก็วิริยะ แล้วคุณก็จะมีตัวตื่น สภาพจิตวิญญาณที่มันตื่นเรียกว่า ชาคริยาหรือชาคระ หรือชาคโร เป็นกริยา ชาครติ ชาคร
ก็จะตื่น กายกรรมก็คือ รู้ความละเอียดของการสัมผัส กายมาปรุงแต่งเป็นเวทนา แล้วก็รู้ในเวทนานั้นก็แยกจิตออกเป็นเจโตปริยญาณ 16 ว่าในเวทนามีกิเลสไหม มีราคะโทสะโมหะแล้วก็รู้วิธีทำให้ราคะ ทำให้โทสะ ทำให้โมหะมันลดลงๆ ลดลงได้ เจโตปริยญาณ 16 ลดลงได้ขั้นหนึ่ง เรียกว่าสภาพ 2 สายศรัทธาจะเป็น สังขิตฺตํจิตตํ สายปัญญาจะเป็น วิกขิตฺตํจิตตํ ลดลงได้ มันก็ยังเป็นก้อนและเป็นความฟุ้งอยู่ ยังยากอยู่ ก็ต้องทำให้มันได้ผลดีขึ้น กระจายก็ลดน้อยลงมา ตีไม่แตกเป็นก้อนสังขตัง ก็ต้องตีให้ได้ แยกให้ออก เอาส่วนเสียออกให้ได้ ทำได้ก็เป็น มห มหัคะ ใหญ่ขึ้น ดีขึ้น เจริญขึ้น เลิศขึ้น ถ้าไม่ได้ก็เป็น อมหัคะ มันก็ไม่เจริญ ไม่เพิ่มจากความเจริญ ไอ้ที่มันยังไม่ได้ มันเพิ่มเจริญขึ้นก็เป็น มหัคคะ
เจริญขึ้นจนกระทั่งมันได้ราบรื่น เจริญขึ้นเรื่อยๆเรียกว่า สอุตระ แต่คนเจ้าตัวจะรู้ว่ามันเจริญมันได้ดีแต่มันยังมีดีกว่านี้อีก ยังรู้ว่ามันยังไม่จบ เพราะฉะนั้นถ้าใครตีกรอบที่จะจบไม่เป็น ไม่มีกรอบ ไม่มีคอก เพราะฉะนั้นเรื่องสัตว์เท่านี้เอาให้ได้ในกรอบเท่านี้ก่อนโดยเฉพาะสัตว์คน สัตว์เดรัจฉาน สัตว์ผีนรก อสูรกาย สัตว์เปรต สัตว์จตุมหาราช คุณก็เข้าใจกว้างๆก่อนแล้วก็ทำตามภูมิธรรมของตนเอง
สรุปคุณสามารถกำจัดสิ่งที่ควรกำจัด ทำให้เจริญในสิ่งที่ควรเจริญได้ จนกระทั่ง สอุตระแล้ว เจริญขึ้นมีกรอบสุดแล้วเป็น อนุตรังจิตตัง โดยกรอบตั้งแต่สัตว์จนถึงเรื่องสิ่งอื่น ทุจริตไม่ทุจริตในศีลข้อที่ 2 ข้อที่ 3 เกี่ยวกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสตีกรอบไปเรื่อยๆ หากทำโดยไม่มีกรอบ ไม่มีรอบไม่มีการจบกิจ มันไม่มีการจบกิจในกรอบแต่ละกรอบ มันก็เลอะเทอะไป ไอ้นุ่นก็ทำไอ้นี่ก็ทำ แล้วอะไรมันจะเรียบร้อยอะไร มันจะจบบ้าง มันไม่เป็นอันจบ มันจะเละ
ผู้ที่สามารถถึงขั้นทำจิตถึง อนุตรังจิตตัง คือผู้นั้นรู้จักกรอบ รู้จักทำให้หมดได้ จิตสะอาดจากกิเลสแล้ว จิตก็สะสม คุณก็หลุดพ้นเป็นวิมุติ วิมุติจากกรอบของคุณ จากโลกน้อย โลกกลาง โลกใหญ่ ไปตามลำดับ จากเรื่องนี้เรื่องนี้เรื่องนี้ แล้วสั่งสมจิตเป็นจิตแข็งแรงตั้งมั่น
เพราะฉะนั้น จิตแข็งแรงตั้งมั่นของพระพุทธเจ้ามีเจโตปริยญาณเป็นหลัก ไม่ใช่ไปนั่งสะกดจิต แล้วไม่ได้มีรายละเอียดตั้งแต่รู้สภาวะของจิตเจตสิกต่างๆทั้ง 16 ขั้น ไม่ใช่ ไปโมเมนั่งหลับตา สะกดจิต ไม่มีรายละเอียดพวกนี้เลย กายยังไม่มีสัมผัสที่จะรู้กิเลส หยาบ กลาง ละเอียด ไม่มีลำดับ
สรุปตีหัวเข้าบ้าน ตีมาหลายแผลแล้ว นั่งหลับตานั้น เลิก มันไม่ได้ มันเป็นโมฆะ เลิกได้ อาตมายังหวังอยู่อย่างมากว่า ผู้หลับตาจะตื่นๆมาฟังอาตมาแล้วล่ะก็ โอ้โห ตายๆ แล้วเขาจะละอายอย่างแรงกล้า ท่านโพธิรักษ์ เคยไปดูถูกท่านมามากว่าท่านไปตีหลับตาเขาทำไมไปว่าทางสายหลับตาทำไม ถ้าอาตมาได้ผู้ที่มาจากสายหลับตามา อัตราการก้าวหน้าในความเจริญของโลกุตระนี้จะพรวดๆ เลย อัตราการก้าวหน้าจะตัวเลขสูง ระดับคูณ ระดับยกกำลังเลย ถ้าเผื่อว่าทางโน้นเขาตื่น เขาชัดเจน
แต่นี่ แทงด้วยหอกร้อยเล่มตอนเช้า กลางวัน เย็น ก็เฉย เวียนไปแทง 300 เล่มแต่ละวันก็เฉยอยู่อีก จะกี่วันถึงจะตื่น (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
_สู่แดนธรรม… อะไรที่เป็นจารีตประเพณีที่ตกผลึกมาแล้วอย่างอินเดียคงยากที่จะเปลี่ยนแปลงให้เขาตื่นขึ้นมาได้
พ่อครูว่า… ไม่ยากไม่ใช่งานโพธิรักษ์หรอก ไม่ยากมันไม่ได้พิสูจน์ฝีมือ อาตมาไม่สิ้นความพยายาม ไม่ลดแรงของอุตสาหะ อาตมาทำ จนกว่าจะขาดใจคาเวที ถ้าอาตมาอธิบายธรรมะแล้วขาดใจฟุบลงไปตรงนี้แล้ว โอ้โห..ยอดเลย อาตมาทำได้ขนาดนั้นยอดเลย แต่ก็ไม่ใช่ว่าอยากจะเป็นอย่างนั้นนะ มันจะโก้เกินไป
เหลือเวลาอีกหน่อยแถมให้ว่า โพธิปักขิยธรรม 37 มี สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8
สติปัฏฐาน 4 ประพฤติอย่างไร ก็ต้องประพฤติอย่างสัมมัปปธาน 4 แล้วก็ปฏิบัติด้วยอิทธิบาท 4 มันจึงจะเกิดเป็นอินทรีย์ 5 พละ 5 มันจึงเกิดสัทธรรม 7 ฌาน 4 มันจะเกิดในตัว เกิดตามสัจธรรมอย่างนั้น
ทีนี้ผู้ปฏิบัติถูกต้องตามธรรมะที่อธิบายไปแล้วก็จะเกิดพลัง จะเรียกพลังนั้นว่าอินทรีย์ จะเรียกพลังงานนั้นว่าพละ มันก็คืออธิปไตย จะเรียกมันว่าเป็นพลังของอินทรีย์หรือพลังไปจบเป็นผลหรือเป็นพละ มันก็คือ อธิปไตย 3 โลกาธิปไตย อัตตาธิปไตย และ ธรรมาธิปไตย ที่ทำประโยชน์ให้แก่มวลมนุษยชาติ เรียกว่า พหุชนะ เป็นอายะ 3 พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)
อนุเคราะห์โลกเพื่อให้เขามีความสุข ความสุขอันนี้เป็นคำกลางๆอนุโลมว่าอย่างน้อยก็เป็นความสุขโลกีย์ยังซ้อน ให้เขารู้จักสุขอาศัยไม่ใช่สุขหลงเสพ สุขอาศัยหมายความว่าคุณลดความที่ติดโลกียะลงมาได้แล้วก็อาศัย ถือว่าสุขใช้ภาษาแทนว่าสบาย ว่ามันสุขไม่เดือดร้อนเท่าไหร่ ไม่มี อวิปฏิสาร แล้วถึงขั้นเปมะ ตามอธิบายในอานิสงส์ของศีล
-
อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ)
-
ปามุชชะ – ปราโมทย์ (มีความยินดี)
-
ปีติ (ความอิ่มเอมใจ)
-
ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)
-
สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)
-
สมาธิ (จิตมั่นคง)
-
ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง)
-
นิพพิทา (เบื่อหน่าย)
-
วิราคะ (คลายกิเลส)