660626 ตอบปัญหาให้ถึงสัมมาธิปไตย รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #27 ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1WVZHQnNLQVzIBU2T9-lE0X7FzJ2tacZe/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1pkH-N0mxSiZQ3skY-Cq085xstBZn8UM4/view?usp=drive_link
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/Wym06zhbKNA
และ https://www.facebook.com/100078722032092/videos/1322088865399114
พ่อครูว่า…เจริญธรรมทุกๆคน วันนี้วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2566 ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก เรามาเข้าสู่การฟังธรรมกัน วันนี้มีนักเรียนมานั่งฟังธรรมด้วยเยอะวันจันทร์
เดี๋ยวขอโอภาปราศรัยกับ SMS ก็คงจะใช้เวลาทั้งรายการ
SMS วันที่ 21-22 มิ.ย. 2566
ลักษณะอาการจิต แค้น กับ ก้าวร้าว
_ปองแสงพุทธ ทองสุขนอก : ท่านเจ้าคะ แค้นกับก้าวร้าว
พ่อครูว่า… แน่นอนๆ มันยึด มันมีอาการเห็นแก่ตัวนั่นแหละถึงขั้นใช้คำว่าแค้นกับก้าวร้าว มันมีนัยยะสำคัญเป็นอาการของจิต แค้น เป็นอาการลักษณะหนึ่ง
แค้น นี่มันผูกพยาบาท โกรธ สายโกรธ
ทีนี้ก้าวร้าวนี่ มันอาจจะไม่โกรธแต่มันยึดตัวตน ข้านี่ ตัวของข้าใครอย่ามาแตะเชียวนะ ใครมาแตะใครมาว่า ใครมาทำให้ไม่ชอบใจ บางทีไม่มากมาย แต่แสดงออกตอบโต้อย่างรุนแรงเรียกว่าก้าวร้าว เพราะฉะนั้นผู้ใดที่ชื่อว่า ก้าววๆ ชอบคำว่า 99 ระวังเถอะ จะก้าวไถล มันไกล มันเลยไปจากก้าวไกลอีก มันร้ายแรงกว่าก้าวไกลอีก เป็นก้าวไถล ก้าวร้าย ก้าวร้าว ก้าวร้าย
ก้าวร้าว ไปหาก้าวร้าย แค้น บางคนอาจจะไม่แสดงออกแค้นอยู่ในใจเก็บได้ โอกาสเมื่อไหร่ฉันจะแสดงออก ถ้ายังไม่แสดงออกก็แค้นเก็บไว้ได้ ได้โอกาสเมื่อไหร่จะแสดงออกให้สะใจเลย
ส่วนก้าวร้าวเป็นการแสดงออกแล้ว เป็นอาการที่แสดงลักษณะที่มันไม่ดีแล้ว ก้าวร้าว
_(ต่อ)ที่มาของเวทนานี้ มีเหตุจากอะไร ใช่ความเห็นแก่ตัวมั๊ยเจ้าคะ
พ่อครูว่า…คุณปองแสงพุทธนับ แค้นกับก้าวร้าวเป็นเวทนาเจตสิก พอจะสงเคราะห์เข้า มีลักษณะเวทนาปนอยู่ แต่มันมีความปรุงแต่ง มันมีสังขาร ปรุงแต่งเข้าไปให้มีลักษณะถึงแค้น ปรุงแต่งเข้าไปให้มีถึงลักษณะก้าวร้าวออกมา เพราะฉะนั้นมันมีทั้งเวทนา มันมีทั้งสังขารที่ตัวเองนั่นแหละ มีอวิชชา ไม่มีความรู้ของอาการจิตพวกนี้ ไม่ได้สังวรระวัง ไม่ได้ควบคุม มันก็สะสมอกุศลจิต อกุศลเจตนาเข้าไป มันปรุงแต่งกันผนึกเข้ามากก็เรียกว่าแค้น ผนึกมากก็แสดงก้าวร้าวออกมา
มีเหตุจากอวิชชา มีเหตุจากความไม่รู้จักยับยั้งความแค้น ไม่รู้จักยับยั้งความก้าวร้าว ถ้ายับยั้งมันก็จะเป็นการระงับด้วยการกดข่ม แต่ศึกษาตามคำสอนพระพุทธเจ้า มันก็จะมีสติ ธัมมวิจัย วิริยะ แล้วรู้จักสัจจะทางจิตเจตสิก รูปนิพพานละเอียด ทั้งเจตสิก ละเอียดไปทั้งเวทนา 108 หรือละเอียดไปเต็มทั้งสภาพของโพธิบักขิยธรรม 37 มันก็จะละเอียดลึกซึ้งเข้าไปถึงสภาพต่างๆ ที่สามารถที่จะรู้เหตุในรายละเอียดของเจตสิกต่างๆ ว่าตัวไหน คนไม่ถนัดเท่ากัน บางคนถนัดปรับตรงนี้ บางคนถนัดปรับตรงนี้
เช่น คนนี้ถนัดจัดการกับ ไม่ใช่เรื่องของเวทนาโดยตรง ไปจัดการที่ รูปนาม ไปจัดการที่อายตนะ ในปฏิจจสมุปบาท จะมีเหตุปัจจัยหลายๆคำ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของจิตทั้งนั้นใน ปฏิจจสมุปบาท
ตั้งแต่ สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา จนกระทั่งถึงตัณหา อุปาทาน ซึ่งผู้ที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจะมีญาณปัญญา มีธาตุรู้ที่ยิ่งใหญ่ถึงขั้นปัญญา จะสามารถรู้สิ่งเหล่านี้อย่างสัมผัสสภาวะ จิตเจตสิกเลย แล้วสัมผัสมีธาตุรู้อย่างไปรู้นามธรรมอาการเจตสิกต่างๆหรือจิตต่างๆเป็นต้น แล้วก็สามารถมีโพชฌงค์ 7 แยกแยะ ธัมมวิจัย แยกแยะออกได้ๆๆ แล้วก็จัดการ โดยมีปฏิภาณรู้ว่าควรจัดการตัวไหนให้มันระงับ ควรจัดการตัวไหนให้มันเจริญ จะทำให้มันระงับหรือให้มันหยุด มันเสื่อม ให้มันไม่มีกลับ ทำให้มันมีคือให้มันเจริญๆยิ่งๆ จะรู้จัก ก็จัดการตามที่เราเห็นว่า สิ่งใดควรทำ ไอ้สิ่งที่ไม่ควรให้มีก็ทำให้ไม่มี สิ่งที่ควรให้เจริญแล้วก็ทำขึ้นไป
เจริญจนกระทั่งเป็นจิตเจริญสูงสุดเป็นสัมมาสัมโพธิญาณเท่าพระพุทธเจ้านั่นแหละที่เป็นความเจริญ ไม่ต้องไปห่วงทางการเจริญของจิต ไม่ใช่ไปดับไปให้มันไม่ทำงาน เหมือนกับสายที่ไปนั่งหลับตาสะกดจิตเอา สะกดจิตเอา โอ้โห..น่าสงสารสายหลับตา อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะความเสื่อมในศาสนาพุทธเมืองไทยมันเสื่อมไปจนกระทั่งไปหลงยึด ครูบาอาจารย์ที่ไปสอนนั่งหลับตาสะกดจิตแบบเดียรถีย์นอกรีต ได้ภูมิธรรมแบบโลกียะมันไม่ข้ามเขตมาโลกุตระ
เพราะฉะนั้นคนที่จะมีจิตข้ามเขตมาสู่โลกุตระนี้ กว่าจะมีธาตุรู้ที่มีโลกุตระธาตุ เป็น อัญญธาตุ สั่งสมมา จะต้องมี อัญญธาตุ เลย 50 หน่วยในร้อย คือครึ่งหนึ่งของความเป็น อัญญธาตุ เป็นธาตุโลกุตระที่ค่อยๆสั่งสม ต้องเลย 50 ขึ้นไปถึงจะแสดงออกให้ผู้ที่สามารถหยั่งรู้ อย่างพระพุทธเจ้าหยั่งรู้ อย่าง หยั่งรู้จิตของโกณฑัญญะเป็นต้น ในพราหมณ์ 5 รูป ที่มาเรียนรู้กับท่าน 5 รูปแรก
พอพระพุทธเจ้าหยั่งรู้จิตของโกณฑัญญะก็บอกว่า อัญญาสิ วตโพ โกณทัญโญ เพราะฉะนั้นธาตุรู้ที่เป็น อัญญธาตุ เป็นการรู้นี่แหละเรียกว่า อัญญา ถ้าอัญญะแปลว่าอื่น แปลว่าธาตุโลกุตระเป็นธาตุตั้งแต่เริ่มต้นเลย จนกระทั่งสั่งสม สะสม 1 หน่วย 2 หน่วยจนเลย 50 หน่วย 60 หน่วยจนแสดงออก ช่วยตนเองได้ ผู้อื่นที่สามารถหยั่งรู้ได้อย่างพระพุทธเจ้าจะรู้ว่านี่มีจิตอัญญธาตุแล้ว
หรือผู้ที่สั่งสมปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า จะสั่งสมอัญญธาตุทุกคน กว่าจะมี อัญญธาตุ เป็นธาตุโลกุตระที่ศึกษาโลกุตระไปเลยได้ต้องมี อัญญธาตุ เลย 50 หน่วยขึ้นไป ถึงจะถือว่ามันเข้ากระแส เข้าเขตที่จะเป็นผู้…ถ้าจะบอกว่า 50 ยังไม่ถือว่าเที่ยงเสื่อมได้นะ แต่ถ้าเผื่อว่าไปถึง 75 แล้วจะถึงขั้น นิยตะ เที่ยง จะเจริญเข้าไปพัฒนาตัวเองให้เป็นอย่างน้อยเป็นอรหันต์ได้ อย่างสูงขึ้นไปจะเป็นโพธิสัตว์ระดับสูงขึ้นไปตามลำดับ
นี่คือนัยยะ ความลึกซึ้งของวิทยาศาสตร์ทางจิตที่พระพุทธเจ้าท่านทรงค้นพบแล้วเอามาประกาศในโลก เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ค่อยๆศึกษากันไป พวกเราชาวอโศกนี่แหละ จะวางรากฐานของความรู้โลกุตรธรรมไป เพราะมันเสื่อมมาตั้ง 2,500 ปี มันเสื่อม แล้วอาตมาได้เกิดมาในยุคนี้มาเป็นผู้เอาโลกุตรธรรมขึ้นมาสถาปนาลงไปในโลก ใหม่ เพราะมันเสื่อมไปแล้วถ้าอาตมาไม่ขึ้นมา มันจะหายไปเลย อาตมารับผิดชอบอยู่แล้ว ยังไงก็ต้องมา มันมีกาละของมัน มันมีวาระเวลาที่อาตมาจะต้องออกมาทำงาน ทำมา 50 กว่าปีแล้วก็ยังทำต่ออยู่ ศึกษาต่อๆกันไป
แล้วถามซ้ำว่าอย่างนี้ความเห็นแก่ตัวไหม รวมๆก็คือความเห็นแก่ตัวนั่นแหละ กิเลสมันทำเพื่อตนเองก็เป็นความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น บำเรอตัวเองก็เป็นความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ที่บอกว่าทั้งสองฝ่ายพอๆกันคือความแค้นกับความก้าวร้าว บอกว่ามีมืออาชีพไม่ทะเลาะกัน
_(ต่อ)ทั้งสองฝ่ายพอ ๆ กัน มืออาชีพไม่ทะเลาะกัน ปรับความเข้าใจกัน คนไทยด้วยกัน กรรมใครกรรมมัน แบบนี้ได้มั๊ยเจ้าคะ หรือว่าดิฉันคิตไม่ถูกต้อง ประเทศเราจะได้ไปต่อ
พ่อครูว่า…จะบอกว่าทั้ง 2 ฝ่ายคือความแค้นกับความก้าวร้าวไม่ทะเลาะกัน ปรับความเข้าใจกัน คนไทยด้วยกัน กรรมของใครของมัน แบบนี้ได้ไหม
อาตมาไม่รู้จะบอกได้อย่างไร จะตอบอย่างไร คุณก็มีเจตนาดีไม่อยากให้คนที่มีความแค้นกับคนที่มีความก้าวร้าว เขาไม่ทะเลาะกัน จับมือกัน 2 ฝ่าย เป็นมืออาชีพด้วยกันทั้งคู่ก็ไม่ทะเลาะกันซะ ปรับความเข้าใจกันซะ เอ๊ พูดเป็นนัยๆ หมายถึงนักการเมืองที่เขามีอาการนี้กันอยู่ใช่ไหม เหมือนพูดเป็นนัยๆว่าพี่ไปหลายวันอะไรอย่างนี้ ทำให้เห็นว่าเอาเรื่องราวตัวละครเรื่องจริงของนักการเมืองขณะนี้ 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งฝ่ายแค้นฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายก้าวร้าว เขาเรียกกันอย่างนั้นเลยนะ
_สู่แดนธรรม… ที่มาของปัญหานี้น่าจะฟัง ท่านถิรจิตโตเทศน์ ฝ่ายแค้นก็คือพรรคเพื่อไทย ฝ่ายก้าวร้าวก็คือพรรคก้าวไกลนี่แหละครับ
พ่อครูว่า… ตามปฏิภาณของอาตมา อาตมาไม่ได้ไปจับเรื่องจากที่ท่าน ถิรจิตโตพูด
คุณจะไปให้เขาจับมือกัน เอาน่า อาตมาว่าปล่อยให้เขาเล่นละครไปเถอะ ซึ่งไม่ใช่ละครหรอกเป็นเรื่องจริงของชีวิตบุพเพสันนิวาส มันเป็นละครเรื่องบุพเพสันนิวาสของโลก ก็ดูกันไป พวกเราชาวดูไปไม่ใช่พวกชาวดูไบ กรรมใครกรรมมัน แบบนี้ได้ไหม ก็กรรมใครกรรมมันอยู่แล้ว มันก็จะต้องไปต่อของมันเมื่อมันทะเลาะกันสุดท้าย
อาตมาว่าพวกเราไม่มีสิทธิ์ที่จะไปละลาบละล้วงเข้าไปสู่ตรงนั้น มันหยาบเกินไป บอกได้เลยว่ามันหยาบเกินไปที่จะเข้าไปยื่นมือเข้าไปร่วม คำว่า หยาบเกินไป ถ้าใครฟังแล้ว (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
คำว่า หยาบเกินไปนี่ มันซับซ้อนลึกซึ้ง dialactic มันกลับไปกลับมา มันดูเหมือนใครมองว่าจะรุนแรงก็เรียกว่าหยาบ ถ้าใครมองว่ามันไม่มีอะไรมาก มันก็ดีมันละเอียด มันเป็นปฏิกิริยาของสงครามสังคม เรื่องการเมือง ขณะนี้เป็นเรื่องจริงของประเทศไทย ที่มันกำลังสังเคราะห์ความเป็นการเมืองของไทย ความเป็นประชาธิปไตยของไทย มันกำลังสังเคราะห์กันเข้า ละเอียด ละเอียด ลึกซึ้งขึ้น
ดูเชิงหนึ่ง ก็บอกว่ามันหยาบ มันเละเทะรุนแรง ถ้าคนที่ดูไม่เป็นก็จะเป็นอย่างนั้น คนดูเป็นจะเห็นว่ามันกำลังสังเคราะห์เก็บละเอียดขึ้นไป เนียนนะ
คนที่มองว่า มันแรง เรียกคำว่า “แค้น”ก็ดี คำว่า “ก้าวร้าว”ก็ดี การแสดงออก แค้นกับก้าวร้าว คำว่า แค้น มันเป็นเรื่องแรงอยู่นะ คำว่าก้าวร้าวก็เป็นเรื่องแรงไม่ใช่เรื่องเบาๆ เป็นสงครามที่เหมือนสงครามแรง แต่ที่จริงโดยลักษณะของความเป็นจริงที่มันเกิดการสังเคราะห์อยู่ขณะนี้ มันไม่แรงหรอก เท่าที่อาตมารู้ อาตมาถึงไม่ไปยุ่งไปเกี่ยวอะไร ปล่อยเขาจัดการกันเอง
เหมือนกับหนังเรื่องรามเกียรติ์รบกัน หรือโขนรบกันเท่านั้นแหละ แล้วมันก็จะจบตามบท ผู้เขียนบทอาจจะเป็นพระเจ้าก็ได้ พระเจ้าอาจจะเป็นผู้เขียนบทก็ได้แล้วก็จะจบไปตามบทเอง
_สู่แดนธรรม… พ่อท่านเคยบอกว่า ดูมวยต้องดูคะแนนให้ครบ 15 ยกครับ ไม่ใช่ดูการน็อคในระหว่างยก อย่างนั้นมันหยาบไปใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… ใช่ มวยน็อคมันหยาบ เพราะมวยจะเป็นศิลปะชั้นสูงจะต้องเก็บชกให้ครบ 15 ยกแล้วก็เก็บคะแนนไป ใครเก่งก็ได้คะแนนเยอะ นั่นแหละถึงจะเป็นมวยศิลปะชั้นสูง ก็ศึกษาไป ใช้ภาษาสื่อสภาวธรรม ให้ฟังกัน
_สุคนธ์ เมืองแก้ว · พรรคก้าวไกลนี้จะให้ ส.ว.ยกมือให้มาบริหารประเทศ..เอาให้ดีนะ ส.ว.บ้านเมืองนี้ยังอนุรักษ์ประเพณีไทยอยู่นะครับ..
พ่อครูว่า…คนนี้ก็เตือนสว. อย่างไรอย่างไรจะยกมือให้ใครเพราะเขามีส่วนมากเลยสว. หรือวุฒิสภา เขามีสิทธิ์ที่จะอนุมัติว่างั้นเถอะ ยกมือให้มาบริหารประเทศต้องผ่านสว.เขา เอาให้ดีๆนะเตือนไว้ ก็รออยู่มีจังหวะหลาย จังหวะซึ่งพิธาจะต้องผ่านอีกหลายจังหวะซึ่งมีผู้พยากรณ์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเปลวสีเงิน ไม่ว่าจะเป็นจตุพร พรหมพันธุ์ พยากรณ์ไว้หมดแล้วว่าพิธาจะไม่ได้เป็นนายก พิธาเขาได้เจอคำตัดสินของทั้งคุณเปลวสีเงินและคุณจตุพร พรหมพันธุ์แล้ว พิธาก็คงจะอ่อนแรงเหมือนกันนะ ระดับมือ ผู้เป็นสื่อสารหรือผู้ที่เป็น พูดกันศัพท์อย่างอาตมาก็คือเป็นฆ้องปากแตกของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นจตุพรหรือคุณเปลว เหมือนฆ้องปากแตกที่มีเสียงดังอยู่นะ เสียงดังอยู่ในประเทศไทยอยู่ พูดอย่างนั้นไปแล้วก็คงจะ ในหัวใจก็คงวูบๆวาบๆน่าดูเหมือนกันนะ ก็ดูมันเป็นเรื่องบทบาทของสงครามสังคมสังคมสงครามอยู่เป็นธรรมชาติ
_ธันยวีร์ วิยาสิงห์ · ปากท้องชาวบ้าน สนใจบ้าง กลัวลุงตู่ขนาดต้องขจัดให้สิ้นซาก เลยรึ
พ่อครูว่า…คนนี้ฟังแล้วมีนัยยะแสดงเท่าที่อาตมาอ่านภาษา พอจะฟังได้ว่า ว่าไปถึงพวกที่เขากำลังเป็นตัวปฏิกิริยา พูดกันชัดๆ ก็หมายถึงพรรคก้าวไกล พิธา ถึงฝ่ายที่เป็นสีส้ม เป็นตัวปฏิกิริยาเด่น ก็ปรามไปว่า ที่ปากท้องชาวบ้านสนใจบ้าง สนใจเรื่องสำคัญคือปากท้องชาวบ้าน เขากลัว ต้องรีบปราบ รีบขจัด รีบจัดการ เห็นเขาก็ทำลักษณะคล้ายๆอย่างนั้นจริงๆ
โอ้โห..ขนาดยังไม่ได้ขึ้นเป็นนายกก็ยังจะให้ลุงตู่รีบหยุด เก็บข้าวเก็บของออกจากทำเนียบ ไปโน่นเลย เป็นคำละลาบละล้วง เบ่งอำนาจอะไรต่ออะไรไป จนกระทั่งเจ้าประคุณเอ๊ย จะเป็นตัวพิธาเองหรือเปล่าไม่รู้ แต่ว่าเสียงมันออกมาจากฝ่ายนั่นแหละฝ่ายก้าวไกลนั่นแหละบอกให้ จะเป็นใครก็แล้วแต่คนของก้าวไกลนั่นแหละ หรือเป็นสมาชิกเป็นฝ่ายถือหางว่างั้นเถอะ พูดบอกว่าให้ลุงตู่รีบเก็บข้าวของออกจากทำเนียบ นี่รัฐบาลใหม่เขาจะเข้าไปแล้ว ไปโน่นเลย ซึ่งปัดโธ่เอ๋ย.. คุณจะต้องผ่านอีกหลายขั้นตอน จะให้เขาปล่อยมือทิ้งหน้าที่ ทิ้งการรับผิดชอบไปได้ยังไง แค่นี้ก็ยังไม่รู้ความตะกละตะกามความเห็นแก่ได้ อยากจะรีบเข้าไปเป็นนายก อยากจะเข้าไปเป็นใหญ่เป็นโต อยากจะไปบริหารประเทศชาติ เอาน่า อย่าเพิ่งแสดงออก เขาเรียกอะไรนะ แสดงความอยากมากเกิน
_สู่แดนธรรม… ตีตนไปก่อนไข้หรือเปล่าครับ
พ่อครูว่า… ไม่ใช่ตีตนไปก่อนไข้ กระเหี้ยนกระหือรือ อย่ากระเหี้ยนกระหือรืออย่างนั้นนัก เราได้เห็นนะ เราได้ดู พวกนี้เป็นการแสดงออกจริง จะว่าละครก็ไม่ใช่ละครลิเก เป็นเรื่องแท้ ดี
สมณะยุ่งกับการเมืองไม่ผิดวินัย พระยุ่งกับการเมืองผิดระเบียบ
_นวลจันทร์ เฟื่องศิลป์ · เป็นพระมายุ่งอะไรการเมือง ผิดวินัยสงฆ์มั๊ยคะ
พ่อครูว่า…ตอบไปไม่รู้กี่ทีแล้วว่าไม่ผิด คำว่า การเมืองนี่ มันเป็นภาษาสมัยใหม่ ภาษาในสมัยพระพุทธเจ้ามันไม่มีหรอก คำว่า การเมือง สมัยพระพุทธเจ้านั้นเป็นสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การบริหารปกครองสิทธิ์เด็ดขาดอยู่ที่พระเจ้าแผ่นดิน ใครจะพูดอะไรมากมายไม่ได้ จะวิจารณ์เรื่องการบริหารมากไม่ได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านพาคนให้บรรลุเป็นประชาธิปไตยอย่างถึงขั้นสาธารณะโภคีเลย แล้วท่านก็ทำอยู่ในแวดวงของท่าน ทำได้แต่ในเฉพาะหมู่สงฆ์ แล้วท่านก็มีบารมีจนกระทั่งพระเจ้าแผ่นดินยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในยุคนั้น เป็นพระเจ้าแผ่นดินแคว้นใหญ่เลยนะ พระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าพิมพิสาร เป็นเจ้าแคว้นที่ใหญ่มากในประเทศอินเดียใหญ่กว่าแคว้นอื่นๆเยอะ
เหมือนกับจีนกับอินเดียสมัยนี้เป็น 2 ประเทศใหญ่มาก มีพลเมืองพันกว่าล้านทั้งคู่ นอกนั้นประเทศอื่นยังไม่มีพลเมืองถึงพันล้านเลย มี 2 ประเทศนี้พันกว่าล้านอย่างนี้ เป็นต้น มันก็คล้ายๆกันกับยุคพระพุทธเจ้า ที่มีแคว้นโกศลกับแคว้นมคธของพระเจ้าพิมพิสารกับพระเจ้าปเสนทิโกศล ต่อมาพระเจ้าพิมพิสารถูกพระโอรสประหารชีวิต แล้วพระเจ้าอชาตศัตรูก็ขึ้นครองราชย์ในยุคพระพุทธเจ้า
ก็เป็นตัวอย่างให้เราได้ดู อาตมาก็พยายามนำพฤติการณ์ หรือสิ่งที่มันเป็นบทบาทของการเป็นอยู่ของประชาชนก็ดี การบริหารก็ดี ที่เรียกกันจนกระทั่ง การบริหารเรียก ประชาธิปไตย มันก็เป็นภาษาของการบริหารปกครองประเทศนั่นแหละ ทุกประเทศ
จนกระทั่งมาสมัยนี้ก็แบ่งแยกเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ ระบอบประชาธิปไตยขาเดียว ระบอบเผด็จการ ระบอบประชาธิปไตย ตามความหมายแล้วยุคนี้ขณะนี้ทั่วโลก สู้กันระหว่างคอมมิวนิสต์กับประชาธิปไตย เอาประชาชนเป็นหลัก คอมมิวนิสต์ก็เอาประชาชนเป็นหลัก คือรวบรวมพลังที่จะมีอำนาจเหนือประชาชน คอมมิวนิสต์เขาเป็นอย่างนั้น โดยมีหมู่ไม่ถือว่าเป็นส่วนบุคคล แต่ก็มีหัวหน้าหมู่ หัวหน้าคณะอยู่ เป็นการปกครองด้วยคณะบุคคลเรียกว่า คอมมิวนิสต์ เป็นอำนาจเด็ดขาดอยู่ที่คณะบุคคลนั้น แล้วก็เป็นคณะบุคคลที่ใช้อำนาจมากกว่าประชาธิปไตย เท่าที่รัฐศาสตร์ การเมือง วิชารัฐศาสตร์ เขาก็เรียนกัน จะเป็นอย่างนี้
ส่วนประชาธิปไตยนั้นให้อิสรเสรีภาพแก่ประชาชนมากกว่าคอมมิวนิสต์ ถือว่าคอมมิวนิสต์เป็นลัทธิที่บังคับ มีลักษณะบังคับ อำนาจอยู่ที่ผู้บริหารมาก แต่ประชาธิปไตยนั้นเขาพยายามที่จะบอกกันว่า พยายามที่จะบอกจะพูดกันว่า ให้ประชาชนเป็นใหญ่ แล้วประชาชนมันหัวแหลกหัวแตก มันจะไปรวมหัวกันได้ง่ายๆที่ไหน
เพราะฉะนั้นมันลึกซึ้งมากเลย จะต้องทำจิตวิญญาณให้เป็นจิตวิญญาณรวมเข้ามาหาหนึ่งเดียวกัน โดยมีภูมิปัญญาที่จะให้คนเขาปฏิบัติจิตให้มีความเจริญเป็นอาริยะ มีความเจริญที่จะไม่เห็นแก่ตัว นี่เป็นแกนแก่นของประชาธิปไตย หรือแท้ๆก็คือความเจริญของมนุษยชาติทั้งหมด ไม่เห็นแก่ตัวไม่มีตัวตน แล้วก็มีปัญญา มีปฏิภาณปัญญา
เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าสอนให้มีธาตุรู้ที่เรียกว่าปัญญา ไปหยั่งรู้เรื่องของอาการจิตเลย อ่านรู้อาการของจิตเลยที่แยกแยะเป็นจิตเจตสิกรูปนิพพาน แยกแยะเป็นรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ แล้วก็แยกไปเป็นรูปนามเป็นอายตนะ เป็นผัสสะอะไรอย่างนี้
จนกระทั่งมาแยกแยะเวทนา 108 ซึ่งเป็นแกนของกรรมฐาน เป็นที่ตั้งของกรรมฐานของศาสนาพุทธ แต่พอศาสนาพุทธเสื่อมก็ไปเป็นสมถะ กรรมฐานก็กลายเป็นกสิณ คือใช้กสิณแล้วก็สะกดจิตโดยใช้กสิณเป็นที่ยึด ใช้กสิณเป็นที่เพ่งจิตให้มันเกาะอยู่ตรงนั้นเป็นวิธีสะกดจิต กสิณดิน กสิณน้ำ กสิณลม กสิณไฟ กสิณอะไรต่ออะไรจนกระทั่งถึง 40 กสิณ ท่านพุทธโฆษาจารย์ในวิสุทธิมรรครวบรวมเป็น 40 กสิณ
สรุปคือ ใช้สิ่งเหล่านั้นให้เป็นฐานที่เกาะ ให้เป็นฐานที่ให้จิตเข้าไปยึด ยึดตรงนี้ให้จิตมันเกาะนิ่งๆ ถ้าคนที่เขาเป็นผู้สะกดจิตพวกนี้ จิตของพวกนี้ก็จะดับสัญญา ไม่เป็นเจ้าของจิต ผู้ที่เป็นผู้สะกดก็จะเป็นเจ้าอำนาจของจิตนั้นก็จะสั่ง สั่งผู้ที่ถูกสะกดให้ทำอย่างโน้น ให้เป็นอย่างนี้ ให้รู้สึกอย่างนั้นรู้สึกอย่างนี้ได้ เปลี่ยนความรู้สึก เปลี่ยนความรู้จริงๆได้เลย
เช่น ตา ก็ลืมตานี่แหละ ไม่ให้เห็นก็ได้ ทั้งๆที่มันมีอะไรให้เห็นแสงสว่างก็มี ตาก็ลืมแต่ไม่เห็น หรือให้เห็นสิ่งที่ไม่มี มันไม่มีนะแต่ให้มีขึ้นมาหลอกตัวเองได้ก็เห็นอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งอาตมาก็ศึกษามาทำมา ฝึกฝนมา ทำเป็น อาตมาทำทางนี้เป็น (ภาพเก่าของพ่อครู insert)
ประวัติศาสตร์เร่ิมต้นโทรทัศน์ในประเทศไทย
ตอนนั้นอาตมาทำงานโทรทัศน์เป็นผู้ช่วยคุณจำนงค์ รังสิกุล ตอนนั้นก็ไปร่วมสมาคมค้นคว้าทางจิต ที่เห็นในภาพคือเขากำลังทำการสะกดจิต
คณะอาตมาทำงานที่บริษัทไทยโทรทัศน์ เป็นวันเปิดโทรทัศน์ไทย เป็นวันแรกเรียกว่าวันเกิดของโทรทัศน์ไทยคือวันที่ 24 มิถุนายน 2498 เริ่มต้นมีโทรทัศน์ในเมืองไทยช่องแรกคือช่อง 4
อาตมาก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นผู้ที่อยู่ในโทรทัศน์ กล้องโทรทัศน์ จะเห็นว่าเขียนว่าไทยทีวี มันใหญ่เบ้อเร้อต้องใช้ขาลาก ใช้ลูกล้อ ใช้ฐานรับตั้ง น้ำหนักมันน่าจะถึง 100 กิโลกรัมกว่า ใช้คนลาก คนจูง คนถ่าย ช่างภาพถ่ายก็คนหนึ่ง คนลากก็อีกคนหนึ่ง ต้องมีอย่างนี้ทั้งนั้นเลยมันเทอะทะมากเลย นี่ รายการอะไรต่างๆ อาตมาเป็นพิธีกร
พูดถึงอันนี้มีคนยุให้อาตมาเล่าถึงประวัติเหล่านี้อยู่เหมือนกัน พอดีเขาไปเก็บภาพ มีคนไปเก็บ ไปสะสมภาพเกี่ยวกับโทรทัศน์พวกนี้ มาได้เยอะเลย เอามาให้ท่านลั่นผาได้มา ก็เลยเอามาให้ดู โอ้โห มันน่าเป็นแฟ้มภาพที่จะเอามาพูดถึงเรื่องอดีต มันจะดึงให้อาตมาสามารถที่จะระลึกถึงอดีตในภาพเหล่านั้นขึ้นมาได้เยอะเลย เพราะอาตมาเป็นผู้ที่ร่วมอยู่ในกลุ่มเริ่มต้น ในวงการโทรทัศน์เมืองไทย ที่มีอายุยืนอยู่ ในขณะนี้คนที่อยู่ในยุคที่มีโทรทัศน์ ช่องต้นๆตั้งแต่ทำงานตั้งแต่ พ.ศ. 2498 จะเหลืออยู่ไม่กี่คนก็ไม่รู้
นี่ คุณอารีย์ นักดนตรี ยังอยู่นะ อายุแก่กว่าอาตมา 2 ปี เป็นศิลปินแห่งชาติแล้ว นี่ ฉลอง สิมะเสถียร เป็นพระเอก หรือสะอาด เปี่ยมพงศ์สาน
พูดถึงฉลอง มีเกร็ดเล่าเรื่องนิดหนึ่ง สมัยก่อนฉลองก็เป็นนักร้อง เป็นพระเอกหนัง เป็นพระเอกละครโทรทัศน์ เป็นพนักงานโทรทัศน์เหมือนกับอาตมาด้วย นี่พวกโทรทัศน์ช่อง 4 ทั้งนั้นแหละ
เพราะฉะนั้นอาตมาเริ่มๆทำงานตั้งแต่อาตมายังเรียนหนังสืออยู่นะ อาตมายังเรียนอยู่เพาะช่างปี 3 ยังเรียนไม่จบ พ.ศ. 2498 อาตมาอยู่ปี 3 แล้วก็มีโอกาสได้เข้ามาทำงานโทรทัศน์ ทำงานเป็นตัวเริ่ม
อาตมาเริ่มด้วยรายการเด็ก คืออาจารย์สมจิตร สิทธิชัย เป็นผู้ช่วยคุณจำนงค์ คุณจำนงค์เป็นหัวหน้าฝ่ายจัดรายการ ส่วนอาจารย์สมจิตร สิทธิชัย เป็นรองหัวหน้า เป็นผู้ช่วยจัดการอยู่ ก็มาจัดการ จะทำรายการเกี่ยวกับเด็ก ก็ไปหาคนที่จะมาทำรายการเกี่ยวกับเด็ก
เขาก็ไปที่ชมรมดรุณสารของอาจารย์นิลวรรณ ปิ่นทอง อยู่ในเครือข่ายหนังสือพิมพ์สตรีสาร อาจารย์นิลวรรณ ออกหนังสือเด็กเรียกว่าดรุณสาร แล้วก็มีสโมสรดรุณสาร มีชมรมดรุณสาร ซึ่งเดี๋ยวนี้ยังเหลืออยู่ชมรมดรุณสาร พงษ์ศักดิ์ พยัคฆ์วิเชียร ก็อยู่ร่วมอยู่ในชมรมนี้ด้วยกับอาตมา
แต่ก่อนมีกิจกรรมร่วมกัน แต่ก่อนใช้โรงพยาบาลสงฆ์เป็นที่จัดชุมนุม จัดชมรม มีกิจกรรมอะไรก็ไปจัดสนุกสนานที่นั่น
พูดถึงภาพนี้ ผู้ใหญ่ที่ยืนเป็นพิธีกร คือหม่อมราชวงศ์พิศวาส นาควานิช ซึ่งเป็นแม่ของผู้บัญชาการทหารบกคนหนึ่ง(พลเอก ธีรชัย นาควานิช) ซึ่งลูกชาย 2 คนเป็นพลเอกทั้งคู่ อาตมาจำชื่อไม่ได้แล้ว อายุมากกว่าอาตมา 2 ปีหรือปีเดียว อาตมาก็เลยเรียกพี่อู๊ด ก็ทำงานอยู่โทรทัศน์ด้วยกัน
ภาพนี้คือภาพรายการคนเก่งรุ่นจิ๋ว ที่พูดเมื่อกี้ว่าอาจารย์สมจิตรไปชมรมดรุณสารแล้วก็ได้ตัวน้องแดงคือนิภา ธรรมพิชา ซึ่งไปเข้าตาแมวมอง จะเอามาเป็นพิธีกรในรายการเด็ก เสร็จแล้วน้องแดงเขาก็ตกลงจะมาทำรายการ แต่มีข้อแม้ว่าต้องเอาพี่รักมาด้วย
คือน้องแดงเขาศรัทธาอาตมา อาตมาเป็นเด็กโข่งอยู่ในชมรมคืออายุค่อนข้างจะมาก เขาก็เรียกพี่ทั้งนั้นในตอนนั้น เป็นคนแต่งเพลง ดรุณวอลซ์ ตั้งแต่เขายังไม่เปิดตัวชมรมเลย อาตมาใช้นามปากกา เกื้อปรียา อาตมาล้อเลียนนำแฟนของอาจารย์องุ่น ที่มีนามปากกาว่าปรียา อาตมาก็ใช้นามปากกา เกื้อปรียา ส่งเพลงดรุณวอลซ์ไปให้ เขาก็ชอบใจเขาก็ร้องกัน แต่ไม่เจอตัวผู้แต่งสักทีเลย เพลงดรุณวอลซ์นั้น ใช้นามผู้แต่งว่า รักพงษ์ มงคล ซึ่งเดี๋ยวนี้ช่องบุญนิยมทีวีก็เอามาเปิดอยู่
เสร็จแล้วอาตมาก็ได้โอกาสไปเปิดตัวที่ชมรม ก็เลยไปอยู่ในชมรมนั้น น้องแดงเขาก็อยู่ในชมรมนั้น ก็เลยศรัทธาอาตมา อาจารย์สมจิตรเอาน้องแดงไปทำรายการเด็ก ก็คุยกันจะทำอย่างไรดี ซึ่งอาตมาก็เป็นคนแนะ ว่าเอาเด็กตั้งแต่ 7 ขวบถึง 15 ขวบ ประกาศให้มาสมัครเข้ามาตอบปัญหา เราก็ตั้งปัญหาขึ้นมาให้ตอบแล้วก็แจกรางวัลไป โอภาปราศรัยเล่นกับเด็กๆ สร้างความเฉลียวฉลาดให้ตอบปัญหา อาจารย์สมจิตรก็เห็นดีเห็นชอบด้วย จึงเป็นรายการเด็กรายการแรกของประเทศไทย
จะตั้งชื่อรายการว่าอย่างไร อาตมาก็เป็นคนตั้งให้ว่าเป็น รายการคนเก่งรุ่นจิ๋ว อาจารย์สมจิตรก็ชอบ ก็เลยกลายเป็นรายการคนเก่งรุ่นจิ๋ว เป็นรายการเด็กให้สมัครมา เขียนจดหมายมา คนก็เขียนจดหมายมาเยอะ พ่อแม่พี่น้องคนที่มีโทรทัศน์ดูกันแล้ว มันก็มีสตางค์นะ คนมีโทรทัศน์ดูสมัยใหม่ๆ ก็ไม่ใช่จะแพร่หลายเกิน เขาก็เขียนจดหมายมา
มีรายการเกี่ยวกับดนตรี อาตมาก็จัดรายการ เอาวงดนตรีของโรงเรียนต่างๆมาออกอากาศ อาตมาจึงเป็นที่รู้จักกว้างขวาง อันนี้เป็นภาพรายการคนกล้า เด็กแสดงสีไวโอลิน
อันนี้เป็นวงดนตรีของโรงพยาบาลหญิง คนที่เป่าแซกโซโฟนคือกิ่งรัก คนที่ 2 จากซ้ายมา กิ่งรักคือน้องสาวอาตมาตอนเขาเรียนพยาบาล เขาเป็นนักดนตรีด้วย เดี๋ยวนี้จะอ่านโน้ตออกหรือเปล่าก็ไม่รู้เลยคงจะทิ้งหมดแล้ว เดี๋ยวนี้อายุ 85 แล้ว
เขาบอกว่าคนที่จะพูดถึงเรื่องเก่าคือคนแก่นะ ..เอาน่า ก็ยอมแก่แก่ก็แก่ก็ยอมรับก็แล้วกัน เรื่องเหล่านี้ก็เป็นประวัติศาสตร์ นักประวัติศาสตร์จะชอบ มีตำนาน มีประวัติศาสตร์ แต่นี่ไม่ใช่ของไม่มีหลักฐานยืนยัน มันมีหลักฐานยืนยันอ้างอิงด้วย มันสนุกนะ ทำให้รู้จักประวัติเก่าๆซึ่งยังมีผู้เล่าเรื่องพวกนี้เป็นประวัติเอาไว้ด้วย มันจะมีความจริงที่เหลือ ไม่ใช่มาค้น เดาเอา คาดคะเนว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ใช่ แต่นี่มันเป็นเรื่องที่มีประสบการณ์จริงมา ผู้ที่จะอยู่ในเหตุการณ์จริง มาพูดก็จะชัดเจนกว่า เอาแค่นี้ก่อนเพราะเป็นน้ำจิ้ม ซึ่งยังมีอีกเยอะ SMS
ตอบปัญหาสมณะทำการเมืองให้ถึงสัมมาธิปไตย
_(ต่อ)นวลจันทร์ เฟื่องศิลป์ · เป็นพระมายุ่งอะไรการเมือง ผิดวินัยสงฆ์มั๊ยคะ
พ่อครูว่า…คำว่าไม่ยุ่งการเมืองเป็นมิจฉาทิฏฐิชนิดหนึ่ง เรื่องของเรื่องคือพระภิกษุนี่ยังไม่มีภูมิธรรม ยังไม่มีความรู้ความสามารถอะไรที่จะมาช่วยการเมืองเขาได้ เพราะมันเป็นยุคเสื่อม ขออภัยที่อาตมาต้องพูดความจริงออกไป ไม่ได้ไปว่ากล่าว เอาความจริงมาพูด มันเป็นยุคเสื่อมที่ศาสนาพุทธมันเสื่อม ภิกษุก็เสื่อม ไม่มีพลังอำนาจอะไรพอที่จะไปทำงานกับสังคมเขาได้
เพราะฉะนั้นเรื่องการเมืองมันเขี้ยวลากดิน คือมันร้าย มันใช้เล่ห์กลแทคติกอะไรมาก ผู้ที่มีปฏิภาณปัญญาไม่มากเพียงพอเข้ามายุ่งก็จะโดนพวกนักการเมืองดึงเอาไปเป็นหัวคะแนน เอาเงินฟาดบ้างเพราะมันเสื่อมไง พระอยู่ใต้อำนาจเงิน อำนาจของอำนาจอะไรก็แล้วแต่ เพราะฉะนั้นนักการเมืองจึงกลายเป็นนายเป็นเจ้าอำนาจที่จะใช้พระเป็นเครื่องมือ แล้วเขาก็ชอบด้วยนะ นักการเมืองชอบพระที่อ่อนๆ แล้วพระนี่ มีอภิสิทธิ์โดยธรรม คนเคารพนับถือ เพราะฉะนั้นจะพูดกับคนได้ง่าย จะบอกคนให้มาเอาอันนี้ มานับถืออันนี้ มาเลือกพรรคนี้ ง่ายไง มันเป็นสภาวะซับซ้อนอยู่อย่างนี้
เพราะฉะนั้นนักการเมืองจึงชอบที่จะเอาพระไปเป็นหัวคะแนน ก็ง่ายก็ใช้อิทธิพลอะไรก็แล้วแต่เท่าที่จะมีอิทธิพล แล้วพระเองก็ตกอยู่ใต้อิทธิพลของนักการเมือง เพราะไม่มีบารมี ไม่มีความรู้ ไม่มีความสามารถ ไม่มีปัญญาพอที่จะอยู่เหนือนักการเมือง ทางสงฆ์หมู่ใหญ่จึงบริหารด้วยการบอกว่ามีกฎของเถรสมาคมว่า พระอย่าไปยุ่งกับการเมือง ก็ไม่ผิดของเขา แต่มันจะเอามาใช้กับอาตมาไม่ได้ อาตมาเป็นนานาสังวาสกับคณะใหญ่ คณะใหญ่จะเป็นอย่างนั้น ก็เป็นไป คุณก็ทำอย่างนั้นถูกแล้ว ดี อาตมาว่ามันก็พอเป็นไป ถ้ามายุ่งแล้วมันจะยาก
แต่อาตมานั้นเป็นนานาสังวาสคือเป็นอีกคณะหนึ่งของศาสนาพุทธ ที่ถูกตามธรรมวินัยมาหมด ได้ลาออกมาประกาศกับคณะสงฆ์อย่างถูกต้องตามพระธรรมวินัย มีหลักฐานเป็นตัวหนังสือด้วย อาตมาเขียนประกาศต่อหน้าสงฆ์ 180 รูป ในวันที่ 6 สิงหาคม 2518 จำวันได้ด้วย เพราะฉะนั้นตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2518 อาตมาก็มาเป็นอีกคณะหนึ่งเรียกว่านานาสังวาสกับสงฆ์
นานาสังวาสนั้นเป็นพุทธร่วมกันซึ่งไม่ใช่นิกายนะ อาตมาไม่ยอมให้ใครมาว่าอาตมาเป็นนิกายเพราะอาตมาไม่มีจิตที่จะเป็นนิกาย เพราะจิตที่จะเป็นนิกายนั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ ถ้าไปแยกสงฆ์แม้จิตของคุณแยก อันนี้ลึกซึ้งเป็นเรื่องของวินัย จิตคุณก็ตกต่ำ เป็นอนันตริยกรรม แล้วยิ่งทำสภาพจริงของวัตถุนี้ได้ประพฤติจริงเหมือนอย่างกับสงฆ์หมู่ใหญ่ เขาออกมาประพฤติจริงด้วย แล้วทำแยกอาตมา แล้วเขาก็มาเรียกอาตมาว่าอาตมาเป็นนิกาย เห็นสิริมหามายาไหม เขามาเรียกอาตมาว่าเป็นนิกายนอกรีต ต่างกันกับของคณะใหญ่ว่างั้นเถอะ สงฆ์หมู่ใหญ่ เถรสมาคมเป็นคณะที่ประชาชนหมู่ใหญ่เขานับถือก็ใช่ แต่นับถืออย่างไม่ถูกต้องตามธรรมวินัย ไม่เจริญตามธรรมวินัย
แต่อาตมาแยกมานี่มันเป็นของจริงที่เจริญตามธรรมวินัย โดยเฉพาะเป็นโลกุตรธรรม ต้องขออภัยจริงๆที่ต้องพูดความจริง ไม่ได้ไปข่มไม่ได้ไปดูถูกดูแคลน แต่แยกให้ฟังว่า อย่างนี้ถูกต้อง อย่างนี้ไม่ถูกต้อง ตามสัจจะ ถึงเวลา ถึงโอกาสจำเป็นที่จะต้องพูด ซึ่งจะมีหนังสือที่อาตมาจะออก กะว่าจะออกแจกในวันงานฉลองครบรอบ 90 ปีของอาตมา เดือนมิถุนายน 2567 ชื่อหนังสือบอกไปก่อนเลย
“เกิดมาชาตินี้” นี่ยังเขียนอยู่ยังไม่จบทีเดียว ซึ่งจะเป็นหนังสือที่พูดอย่างอหังการมากเลย แต่มันจำเป็นที่จะต้องแสดงอย่างนั้น ค่อยๆเห็นก็แล้วกัน
เพราะฉะนั้นอาตมาเกิดมาในชาตินี้ ตามชื่อหนังสือจึงต้องมาทำงานทางศาสนาที่ยากมากเลยในยุคที่จะกอบกู้ศาสนาพุทธขึ้นมา แล้วก็จะต้องปลูกฝังสถาปนาสัจธรรมของพระพุทธเจ้าที่ถึงขั้นโลกุตระให้ลงไปในศาสนาพุทธ
เพราะศาสนาพุทธยิ่งใหญ่เพราะความมีโลกุตรธรรม เทวนิยมตะวันตก ศาสนาพระเจ้าไม่มีหรอก โลกุตรธรรมไม่มี
เพราะฉะนั้นธรรมะที่เป็นโลกุตรธรรมจะเป็นธรรมะในระดับเล็กน้อยไปจนกระทั่งถึงระดับระบอบที่บริหารปกครองประเทศ ธรรมะที่อยู่ในระบอบไปบริหารประเทศนี้ เป็นธรรมะที่จะต้องมีอยู่ในการเมืองอยู่ในการบริหารประเทศ ถ้าไม่มีธรรมะอยู่ในการบริหารประเทศ ผู้บริหารประเทศไม่มีธรรมะนี่เป็นต้น ก็พังสิ ผู้บริหารประเทศไม่มีธรรมะ ประเทศก็ฉิบหายวายป่วงหมด
เพราะฉะนั้นผู้บริหารประเทศจึงต้องมีธรรมะ โดยเฉพาะของพระพุทธเจ้านั้นเป็นโลกุตรธรรม เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แม้มันจะเสื่อม อาตมาก็เอาโลกุตรธรรมมาสถาปนาลงไปแล้ว 50 กว่าปีแล้ว มีคนรู้ มีคนรับได้ มีคนปฏิบัติบรรลุมรรคผล มีสมณะ 4 เหล่า มีพฤติกรรมของโลกุตรธรรมจนเป็นสังคมชาวอโศก อยู่กันอย่าง สาราณียธรรม 6 อย่างนี้เป็นต้น เป็นของจริงมาพิสูจน์ได้ ยืนยันได้ เป็นของจริง
อาตมาจำเป็นจะต้องย้ำยืนยันอ้างอิงว่ามีของจริง คุณมาสัมผัสพิสูจน์ได้เรียกว่า เอหิปัสสิโก เชิญให้มาพิสูจน์ได้ ไม่ได้พูดลอยลมไม่ได้พูดแต่เฉพาะปากเปล่า
เพราะฉะนั้นในการเป็นการเมือง ที่คนพูดด้วยภาษาของความไม่รู้ของเขาว่าเป็นพระเป็นเจ้า เป็นนักธรรมะหมายถึงอย่างนั้น อย่ามายุ่งการเมือง ผิดวินัยสงฆ์ใช่ไหมคะ ซึ่งไม่ผิดวินัยสงฆ์ แต่อาจจะผิดระเบียบของเถรสมาคมที่เขากำหนด อาตมาไม่รู้แท้ว่าเขากำหนดหรือไม่กำหนด แต่ก็คงจะเข้าใจอย่างนั้นว่าพระอย่าไปยุ่งกับการเมือง ซึ่งอาตมาก็เห็นด้วย พระของเถรสมาคม อย่าให้มายุ่งกับการเมืองเลย เพราะสู้เขาไม่ได้หลอก ถูกเขาใช้เป็นหัวคะแนนเลย แน่นอนมันก็จะเป็นอย่างนั้น
_ประวิทย์ บุญราศรี · ท่านเป็นพระอย่าไปยุ่งหรือออกความเห็นเลยครับนมัสการขอเถอะครับ
พ่อครูว่า…ขออภัย อาตมาไม่ให้คุณหรอก คุณขอก็ไม่ให้ ขออะไร ขอว่าอย่าให้ไปยุ่งการเมือง อาตมาก็ขอ อาตมาขอคุณเหมือนกันว่า อาตมาขอยุ่งการเมืองเถอะ แต่จริงๆอาตมาไม่ได้เข้าไปยุ่งการเมือง อาตมากำลังเข้าไปทำการเมืองที่มันยุ่งๆให้หายยุ่ง ไปช่วยให้หายยุ่ง นี่ไม่ได้เล่นลิ้นนะ ไม่ได้ใช้คารมโวหารอะไร เป็นอย่างนั้นจริงๆ
เพราะฉะนั้นถึงวันนี้อาตมาจึงให้พวกชาวอโศกตั้งพรรคการเมืองชื่อว่า พรรคสัมมาธิปไตย และอาตมาก็ออกแบบโลโก้ให้ เป็นแบบที่คนทางโลกๆ โลกโลกีย์หรือคนที่ไม่เข้าใจทางโลกุตรธรรม ดูแล้วจะงงว่าโลโก้อะไรมีแต่ตัวเลขมีเลข 0 เลข 1 เลข 2 อยู่ในใบโพธิ์
สัมมาธิปไตยคือ อธิปไตยที่เป็นสัมมานั่นแหละ
0 1 2 มีความหมายอะไร ใบโพธิ์ก็คือความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า หมายถึงความตรัสรู้เป็นโพธิ
0 ก็คือสุญญตา 1 ก็คือความเป็นเอกธรรม เป็นจิตที่ทำให้เป็น1ได้อยู่เหนือ 2
ส่วน 2 คือความเป็นเทวะ ความเป็นสภาพคู่ของทุกสิ่งทุกอย่างในมหาจักรวาลนี้ เริ่มตั้งแต่อุตุนิยาม ตั้งแต่พลังงานสสารก็มีพลังงานบวกลบ เป็น 2 ไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงขั้นเป็นชีวะ เป็นพืช เป็นสัตว์มีพลังงาน 2 เป็นคู่ที่ทำงานตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นความรู้ของผู้ที่รู้ความเป็น 2 และจัดการปรุงแต่งกันระหว่าง 2 ให้เกิดเป็นสภาพ 3
สภาพ 3 ถ้าเป็นสภาพปรุงแต่งกัน สภาพที่สามารถคุมการปรุงแต่งของ 1 2 ได้ อันนั้นก็เรียกว่าประธาน คุมไม่ได้ก็เรียกว่าอวิชชาเรียกว่าโง่ เพราะฉะนั้นสังขารก็เป็นนายของตัวอัตตา
ส่วนผู้ที่สามารถคุมได้คุมสภาพ 2 ได้ ก็เป็นโลกุตระ คุมไม่ได้ก็เป็นอวิชชา หรือพระเจ้า คุม 2 ไม่ได้ ได้แต่ยึด 2 เป็น 1 เทวนิยมหรือพระเจ้าศาสนาเทวนิยมยึด 2 เป็น 1 แล้วใช้อำนาจยึด เป็นศาสนาบังคับ เป็นศาสนาใช้อำนาจ อำนาจของพระเจ้า ทุกคนต้องเป็นทาสของพระเจ้า อย่างนี้เป็นต้น แต่ของพระพุทธเจ้านั้นอิสรเสรีภาพ ไม่มีทาสไม่มีนาย อันนี้นี้จะลึกซึ้งมาก อธิบายไปได้อีกกี่วันก็ได้
ลักษณะประชาธิปไตยที่ดี 5 ประการ
_สู่แดนธรรม… นักเรียนของเรา ส่งโน้ตมาถามว่า…ประชาธิปไตยที่ดีควรเป็นอย่างไร เขาอยากรู้ว่าไม่ดีเป็นอย่างไรด้วย
พ่อครูว่า…ประชาธิปไตยที่ดี อาตมาได้พยายามพูดเป็นภาษาอาตมาว่า
1.ไม่มีตัวตนหรือพูดง่ายๆว่าไม่เห็นแก่ตัว
-
มีปัญญา
ซึ่งอาตมายังไม่ได้เรียบเรียงคำความ น่าจะมี 4-5 คำในเรื่องประชาธิปไตยนี้
-
เป็นผู้ทำงานรับใช้ประชาชนอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
-
มีความซื่อสัตย์
-
มีสมรรถนะ มีความรู้
เรียงใหม่แบบนี้
-
เสียสละ
-
ไม่มีตัวตน
-
ซื่อสัตย์
-
มีสมรรถนะมีความรู้
-
รับใช้ประชาชน
พ่อครูว่า… 5 ข้อนี้เป็นประชาธิปไตยที่แข็งแรง ประชาธิปไตยที่มีสมรรถนะ มีประสิทธิภาพอย่างดีแล้ว เสียสละคือเป็นผู้ให้ เป็นผู้เสีย ไม่ใช่เป็นผู้ได้เลยนะ ไม่มีตัวตน เป็นสัจจะที่ลึกซึ้งมาก ศาสนาพุทธเท่านั้นที่ไม่มีตัวตนได้ ศาสนาเทวนิยมนั้นไม่มีคำสอน ไม่มีความรู้ให้มาศึกษาจิตวิญญาณให้ละกิเลสจนไม่มีตัวตนได้ มีศาสนาพุทธศาสนาเดียวและอยู่ในประเทศไทย และจริงๆก็อยู่ในชาวอโศกด้วย แม้แต่เถรสมาคมก็ทำให้หมดตัวตนไม่ได้ขออภัยที่ต้องพูดความจริง ยังไม่มีปัญญาพอที่จะสอนให้มดตัวตนได้จริง เพราะยังไม่เป็นโลกุตระแท้
ความซื่อสัตย์ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ความซื่อสัตย์นี้ยิ่งใหญ่มาก ใครก็ต้องยอมรับว่าพลเอกประยุทธ์นี้ซื่อสัตย์ เพราะฉะนั้น พลเอกประยุทธ์มีตัวเด่นคือซื่อสัตย์กับทำงานรับใช้ประชาชน 2 อย่างนี้ ที่เด่นดังอยู่ทุกวันนี้ พลเอกประยุทธ์มี 2 อย่างนี้ของประชาธิปไตยคือซื่อสัตย์กับรับใช้ประชาชน
และ 3 คือมีสมรรถนะมีความรู้คือสามารถสร้างสรรค์ช่วยเหลือมนุษยชาติ ก็เห็นความเสียสละของพลเอกประยุทธ์อยู่อย่างจริงจัง เพราะฉะนั้นขั้นไม่มีตัวตนก็อาจจะยังไม่ถึงขั้นบริบูรณ์ในตัวนั้น แต่เสียสละซื่อสัตย์ มีสมรรถนะมีความรู้ กับรับใช้ประชาชนนั้น พลเอกประยุทธ์มีอย่างเห็นๆ นี่ได้แสดงตัวเอง ได้ทำงานผ่านมา 8 ปี มีหลักประกัน มีสิ่งยืนยันใน กาละ เทศะ ฐานะ มาแล้ว
เพราะฉะนั้น คนจะมาแข่งขันนี้ อาตมาเคยพูดแล้วว่าในชีวิตของอาตมา อาตมาเกิด 2477 ประชาธิปไตยเมืองไทยประกาศ 2475 แต่มันยังไม่เป็นประชาธิปไตยที่เป็นรูปร่างอะไรขึ้นมามากหรอก มันยังเป็นการเมืองที่เป็นเผด็จการ ยังไม่เข้าร่องเข้ารอยมานาน แต่มันก็เป็นประชาธิปไตยแบบไทยที่มีรากเหง้าของโลกุตรธรรม แม้ว่ามันจะไม่ขึ้นมาเป็นตัวทำงานข้างบน แต่อยู่ข้างใต้ Unconscious Subconscious ในจิตใต้สำนึก จิตไร้สำนึก มันก็ออกมาทำงานอยู่ อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นในความเป็นจริงของเมืองไทย จึงเป็นความเป็นจริงที่มีประชาธิปไตยแบบโลกุตระของพุทธศาสนา ประชาธิปไตยเดียวในโลกไม่เหมือนใคร เพราะฉะนั้น ตำรารัฐศาสตร์ประเทศไหนไหน ถ้าไม่เข้าใจศาสนาพุทธโลกุตรธรรมอย่างที่อาตมาอธิบายนี้ คุณจะไม่มีวันเข้าใจประชาธิปไตยที่เป็นอุตระ ประชาธิปไตยที่เหนือประชาธิปไตยทุกประชาธิปไตยในโลกเท่าที่เขาถือว่าเขาเป็นประชาธิปไตยในโลก
เพราะฉะนั้น ประชาธิปไตยที่ดีที่สุดต้องโลกุตระ
และมีหลักประชาธิปไตย 5 ประการ
-
ประชาธิปไตยต้องมีกษัตริย์
-
กษัตริย์ต้องเป็นประมุข
-
มีพระจริยวัตร มีการประพฤติจริง มีบทบาทจริงด้วย สืบสันตติวงศ์
-
มีทศพิธราชธรรม แล้วยิ่งสูงยิ่งละเอียด
-
ประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์ เป็นประชาธิปไตย 2 ขาคือ มีกษัตริย์กับประชาชน เรียกว่าราชประชาสมาสัย รวมเรียกสรุปอีกอันเป็นกระบวนการ 5
พ่อครูว่า… ก็ค่อยๆศึกษาไปว่า (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
ว่าความเป็นระบอบการเมือง ระบอบการบริหารประเทศชาติ มันก็มีมาแต่ไหนแต่ไรของสังคมมนุษย์ ตั้งแต่เผด็จการหรือว่าตั้งแต่สมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือตั้งแต่เป็นหัวหน้าเผ่า มาเรื่อยๆ จนพัฒนามา เอาความเป็นประชาชนเข้ามามีสิทธิมีอำนาจร่วม หรือว่ากระจายอำนาจเป็นศัพท์สมัยใหม่ว่า กระจายอำนาจให้แก่ประชาชนเขามีอำนาจร่วมในการร่วมรู้ ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมประพฤติอยู่ในสังคมไม่ใช่เอาอำนาจบาตรใหญ่อยู่ที่ผู้บริหารเป็นหัวหน้า หรือแม้ที่สุดประยุกต์มาเป็น ผู้บริหารเป็นหัวหน้าคนเดียวก็ไม่ควรไว้ใจ ก็เลยมาตั้งเป็นคณะแบบคอมมิวนิสต์ เรียกว่าแบบคณาธิปไตย เป็นประชาธิปไตยหรืออธิปไตยแบบมีคณะเป็นกลุ่มบริหารและก็ค่อยๆเลือกกันเข้ามา เขาอาจจะมี 10 คน 15 คน 20 คนก็แล้วแต่เขา แล้วแต่ประเทศที่เขาทำ ซึ่งอาตมาเป็นคนไม่กว้างขวาง ไม่ไปรู้สถิติประเทศนั้นประเทศนี้ แต่รู้ถึงจุดสำคัญ รายละเอียดสำคัญพวกนี้ได้ในพฤติกรรมต่างๆทั้งหลาย อาตมาไม่ได้เป็นนักศึกษา ไม่ได้เป็นนักสถิติที่จะค้นคว้ารอบรู้อะไร แต่รู้ด้วยปฏิภาณปัญญา รู้ด้วยความรู้ที่มีมาเดิม อาศัยสัจจะพวกนี้มาแจกแจงอธิบายสู่กันฟัง ด้วยความมั่นใจว่าอาตมาไม่ได้พูดสิ่งที่ผิด พูดสิ่งที่ถูกต้อง
ในคนที่ไม่เข้าใจอาตมา อาตมาขอให้อาตมาอย่าไปยุ่งกับการเมือง อาตมาก็ขอคืนว่าขอเถอะขอยุ่ง แล้วอาตมาบอกแล้วไม่ใช่เล่นลิ้น ไม่ได้ไปทำให้การเมืองยุ่ง แต่ไปช่วยให้การเมืองหายยุ่ง อาตมาพาทำ ไม่ใช่พา อาตมาพยายามเข้าไปร่วม ก็ไปยุ่งนี่แหละกับในการเมือง เช่นเข้าไปเป็นผู้ประท้วงหรือไปขับไล่ หรือไปเรียกว่าไปปฏิวัติ ไปรัฐประหาร
รัฐประหารคือ ประหารรัฐบาลที่เป็นรัฐบาลทรราช เป็นรัฐบาลที่ไม่ถูกต้อง เป็นรัฐบาลที่ไม่ควรจะบริหารต่อไปเรียกว่าทรราช ซึ่งก็จริงที่ได้ทำมาแล้วตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ รัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ อย่างนี้เป็นต้น ก็ทำไปแล้ว อาตมาได้ร่วมมือมาทั้งนั้น พาพวกเราไปแล้วก็มีคณะมวลประชาชนเข้ามาร่วมและเป็นผู้ที่รู้จักเป็นผู้ที่มี Goodwill มี Favorite ทางสังคมมากกว่าอาตมาในเรื่องทางการเมืองก็ช่วยกันนำอย่างที่เห็นที่เป็น ผ่านไปแล้วมีหลักฐานต่างๆ นักรัฐศาสตร์จะอธิบายได้ แต่อาตมาเอง อาตมาไม่ได้เป็นตัวจะมายึดว่าเราเป็นผู้มีอำนาจ เราเป็นผู้ที่มีฤทธิ์มีเดช มีความเก่งกล้ามา อาตมาไม่ได้ยึด ไม่ได้ติดใจเรื่องนี้ อาตมามีแต่พฤติกรรมจริงเท่านั้นแหละ ที่จะว่ามาจะต้องได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ จะต้องมีตำแหน่งยศศักดิ์ฐานะอย่างนั้นอย่างนี้ อาตมาไม่มีปัญหาอะไร อาตมาไม่ต้อง
มี Insert ภาพ คุณหมาแก่ หรือคุณดนัยมาสัมภาษณ์ ก็มีภาพเก่าๆมาร่วมบ้าง
ชาวอโศกไปทำ Neo protest ไม่ใช่ก่อม็อบ
_รัฐพล เพิ่มทรัพย์ · เทวทัตขอต้องได้..แนวคิดดีมากๆครับ แต่คิดจะเป็นศาสดา บารมีไม่ถึง..เพราะอิงการเมืองเพื่อความยิ่งใหญ่ของลัทธิทานผัก..
พ่อครูว่า…ตั้งข้อหาว่าอาตมาเป็นเทวทัต ขอต้องได้ และอาตมาก็พูดอยู่แล้วว่าอาตมาไม่ได้เป็นศาสดา อาตมาเป็นโพธิสัตว์ จะไม่ขยายความมาก คุณรัฐพลควรศึกษาไปอีก บอกว่าอาตมาบารมียังไม่ถึง ความเป็นศาสดา ซึ่งอาตมาจะไปเป็นศาสดาก็เป็นศาสดาพระพุทธเจ้าเท่านั้นแหละไม่เป็นศาสดาเทวนิยม
คุณพูดมาใส่ความหาความอาตมาว่าอาตมาทำงานไปอิงการเมืองเพื่อจะได้ความยิ่งใหญ่ของลัทธิทานผัก พูดไป ท้าวความอีกอาตมาเข้าไปร่วมกันเมืองมาตั้งแต่พ.ศ 2549 อาตมาจำได้ ประมาณกรกฎาคม แล้วอาตมาก็นำประท้วงมา อาตมาอธิบายย้ำเลยว่าอาตมาคือนักประท้วงและอาตมาก็ใช้คำว่า Protest แล้วอาตมาไม่ได้พากันไปประท้วงแบบหมู่ประชาชนที่เขาใช้คำว่า ม็อบ ม๊อบเป็นนักประท้วง นักรวนสังคม
คำว่า ม็อบ กับ Protest ก็เป็นการประท้วงทั้งคู่ แต่คำว่าม็อบคือลักษณะของความวุ่นวายเดือดร้อนเสียหาย ส่วนลักษณะโปรเทสคือลักษณะชั้นดี ชั้นทำงานอย่างถูกต้องมีครรลองคลองธรรม อย่างที่พวกเราเป็นชาวโปรเทส อาตมาก็ใช้คำว่า NeoProtest ในตอนที่ประท้วง อาตมาก็คิดเองภาษาว่า Neo-protest คือเป็นการประท้วงแทนที่จะใช้คำว่าม็อบ อาตมาไม่ใช้ แต่มันเป็นการชุมนุมประท้วงเหมือนกัน
ม็อบเขาใช้แบบกันเยอะแล้ว เก่าไปแล้ว คำว่า Protest เราก็ยังไม่มี เดี๋ยวนี้ก็ยังเรียกม็อบกันอยู่ เขาก็ยังไม่ใช้ Protest แต่อาตมาใช้คำว่า Protest แล้วใช้คำว่า นีโอ ซึ่งเป็นการประท้วงแบบใหม่กลายเป็นไทยง่ายๆว่าประท้วงแบบใหม่
โดยนำคณะเข้าไป มีสมณะ ประชาชน เมื่อชาวอโศกเข้าไปร่วมไปตั้งเต็นท์ ไปยึดพื้นที่อยู่ในถนนอยู่ในสนามรบที่อยู่ในกลางกรุงเทพฯ ทำกันอยู่มีหลักฐานยืนยันทั้งภาพนิ่งวีดีโอ มีคณะมวลแล้วก็มีผลสำเร็จ ยืนยันได้ว่ามีผลสำเร็จเพราะว่า ประท้วงจนกระทั่งรัฐบาลต้องพ่ายแพ้หรือว่าต้องเลิก ต้องหยุด หายไปได้อย่างที่ยืนยันแล้ว 3-4 รัฐบาล
จนกระทั่งรัฐบาลประยุทธ์ ขึ้นมาบริหาร เราก็ไม่ได้ไปประท้วงอีก ให้ทำงานมาถึง 8 ปี แล้วถึงวันนี้เราก็ยังเห็นดีอยู่ว่า ท่านประยุทธ์น่าจะได้ทำต่อตามที่ความตั้งใจของพลเอกประยุทธ์เองว่า ต้องการจะทำต่อ
แต่พลเอกประยุทธ์ไม่ใช่คนดันทุรัง เขาจะให้หยุดก็หยุด ไม่ใช่คนดันทุรัง เขาจะให้ทำต่อ ก็พูดไว้แล้วว่าทำต่อมีสิ่งต่อที่จะต้องทำอย่างนี้เป็นต้น ก็ดูไปก็แล้วกันว่าหวยจะออกอะไรในประเทศไทย ตอนนี้ก็ยัง โอ้โห ..มีตั้งหลายคนที่เป็น candidate จะขึ้นมาเป็นนายกอยู่นี่ อย่างมีพิธา โอ้โห ชูมาเด่น กระนั้นอุ๊งอิ๊งก็ยังมาแทรกอยู่ เศรษฐาก็ยังเป็นแคนดิเดตเป็นตัวที่จะเข้ามาชิงตำแหน่งนายกกัน
มีพิธา มีอุ๊งอิ๊ง มีเศรษฐา แม้แต่อนุทินก็มีชื่อในนั้น ใครอีกล่ะ บิ๊กป้อมประวิตร แหมลืมไปได้ไงคนนี้ บิ๊กป้อมนี้มากับเพนกวินนะ เดินท่าทางเหมือนเพนกวิน นี่ก็อีกอย่างนี้เป็นต้น
แต่ว่า สังเกตดีๆเถอะ พลเอกประยุทธ์ไม่ได้แสดงตัวว่าจะมาชิงเป็นชื่อในแคนดิเดต ไม่มี มีแต่ทำงานไป อาตมาถึงบอกว่า ผู้ที่เอาแต่พูดอวดชูนนโยบาย รู้เหมือนพิธา แต่ประยุทธ์ไม่ต้องชูอะไรมากก็บอกบ้าง ไม่บอกก็ทำเลยทำๆๆเพราะมันมีคณะบริหารอยู่แล้วเห็นว่าควรทำก็รีบทำไป ก็ได้ผลงานทุกวันนี้ก็เจริญงอกงามแม้แต่ในทางวัตถุ ทางจิตวิญญาณก็นำอยู่อย่างประพฤติให้ดู
พลเอกประยุทธ์นี้ประพฤติธรรมะโลกุตรธรรมให้ดู จนกระทั่งอาตมาเห็นว่าคนนี้เป็นโพธิสัตว์ บอกไปแล้วคนเข้าใจไม่ได้ อาตมาก็ไม่ได้พยายามอธิบายขยายความอะไรเพราะมันไม่ง่าย แต่ยังไงพลเอกประยุทธ์ก็ทำอยู่ แสดงให้เห็นว่าไม่ได้เป็นคนเอาตัวตนมาแสดงโด่เด่เป็นหลักยึดมั่นถือมั่น ใครยินดีอยู่ให้ทำก็ทำ ใครไม่ยินดีให้อยู่ให้ทำก็เลิก จนกระทั่ง 8 ปีก็มีผลงาน เรื่องนี้ดูไปเถอะอย่าเพิ่งไปหยุด พวกเราพวกชาวดูไป บอกแล้วไม่ใช่ชาวดูไบ
คุณรัฐพลบอกว่าอิงการเมือง เราไม่ได้อิง เราไปทำการเมืองอย่างเต็มสภาพอย่างระมัดระวัง แล้วไม่ได้ไปแย่งชิงตำแหน่งหน้าที่ อาตมาบอกไว้เลย อาตมาไม่ได้ไปเอาตำแหน่งในทางการเมือง แน่นอนคุณชาตินี้ตามอาตมาดูไปเถอะ
อาตมาบอกอีกคำ อาตมาโชคดีมากเลย กรรมมหาวิบากในชาตินี้ อาตมาไม่ได้เข้าไปเป็นคนมีตำแหน่งหน้าที่อะไรที่จะเป็นยศศักดิ์เป็นตำแหน่งหน้าที่ทางโลกเลย มีแต่ถูกคนดูถูกดูแคลน มีแต่คนเขาตั้งให้เลยนะ ตั้งให้เป็นเทวทัต ตั้งให้เป็นศาสดามหาภัย แม้แต่ว่า นักการเมืองที่เขาว่าไปเป็นตัวตั้งตัวตี ไม่ อาตมาก็พาทำเป็นมวลประชาชนเพราะพวกเราประชาธิปไตย ไม่มีปัญหาอะไรเป็นแต่เพียงว่าอาตมา อาตมามีการแนะว่าจะเอาอย่างนี้ด้วยไหมถ้าเอาด้วยก็ไปทำกัน ถ้าพวกคุณไม่ไปอาตมาก็ไม่ไปแต่ถ้าพวกคุณมีมวลมากพอบอกว่าอาตมาจะพาทำอย่างนี้จะไปกันไหม ถ้าไปก็ไปกันเป็นหมู่มวล ไม่ได้ไปคนเดียวโด่เด่ แล้วไม่ได้ใช้ความบังคับด้วย ไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ด้วย มันลึกซึ้งค่อยๆดูกันไป
_บุญช่วย อึ้งเรือนยะ : สันติอโศกเดินตามพระพุทธเจ้าหรือเดินตามมหาวีระกันแน่คับ
พ่อครูว่า…คุณต้องพยายามเข้าใจว่ามหาวีระกับพระพุทธเจ้านั้นมีความคล้ายความต่างกันอย่างไร
พระมหาวีระนั้นไม่ยอมรับลัทธิพระเจ้าเช่นเดียวกันกับพระพุทธเจ้า อันนี้เหมือนกัน แต่พระมหาวีระนั้นเป็นฤาษี เป็นโลกียะธรรมะอยู่ ยังเป็นผู้ที่มักน้อยสันโดษจนสุดโต่ง พระมหาวีระนี่เดี๋ยวนี้เขาก็เรียกว่าศาสนาเชน ออกป่าหนีสุดโต่งไป โอ้โห..ไม่กินเนื้อสัตว์เหมือนศาสนาพุทธ ระมัดระวังเรื่องสัตว์ต่างๆไม่ให้แม้แต่สัตว์เล็กสัตว์น้อยอะไรต่ออะไร ไม่ให้มันตายเพราะตนเลย ระมัดระวังอย่างยิ่งแล้วก็ไม่เกี่ยวกับสังคม หนีออกปากเขาถ้ำไป มันกลายเป็นสุดโต่งเป็นอัตตาที่ไม่รู้ตัว ให้ค่อยศึกษากันไป
_ในตรม จนตลอดชาติ ·
เป็นหญิง อย่าง่วงเหงานอนซบเซาอยู่จนสาย
การเรือน เร่งขวนขวายเอาใจใส่ในเคหา
ข้าวปลา อย่าคาหม้อทิ้งเหลือให้บูดรา
ถ้วยชาม อย่าให้คาจงล้างทำจำให้ดี
ถึงน้องหยกครับ
พ่อครูว่า…เขียนมาเป็นภาษากลอน ฟังแล้วซึ่งก็เป็นแบบของคุณในตรม มันไม่ใช่กลอนสี่ แต่คำมันก็ว่ากันไปก็มีสัมผัสใน อันนี้เขาเขียนถึงน้องหยก ก็ส่งความไปถึงน้องหยก ใครเข้าใจความหมายก็ดูก็มีน้ำใจใช้อาตมาเป็นสื่อ ก็ว่าไป
อรหันต์ก็เป็นมะเร็งได้
_นพดล ทองโคตร · ขออนุญาตคิดว่า พ่อครูไม่ได้ป่วยมะเร็งครับ ด้วยเห็นว่าจิตพระโพธิสัตว์ ย่อมไม่ก่อให้เกิดโรคภัยแก่ร่าง คงมีแต่เพิ่มพลังแก่ร่างกาย ให้พ่อครูแข็งแรง อายุยาวได้ทำงานกอบกู้ศาสนาได้อย่างเต็มกำลังครับ
พ่อครูว่า…อาตมาก็ยังไม่รู้สึกว่าอาตมาเป็นโรคร้ายที่เขาบอกมาเหมือนกัน อาตมาก็พอรับรู้ว่า เขาว่าอาตมาเป็นมะเร็ง มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ตรวจได้จากค่ามะเร็งในเลือด อาตมาก็ยังไม่รู้ว่าอาตมาเป็นมะเร็งอะไร
อาตมาเป็นไอเท่านั้น มันมีกระเปาะ อันนี้หลักฐานชัดเจน มันเบียดเส้นเสียงอยู่นี่ แล้วมันก็ขับเสลดเหนียวออกมา ทุกวันนี้อาการมันหนักขึ้นมันก็คงเจริญ มันสร้างสเลดเหนียว เข้ามาปิดท่อหายใจอยู่แถวนั้น ก็เลยจะต้องขับเสลดที่เหนียวที่ปิดนี้หนัก ทุกวันนี้มันแรงขึ้น ผ่าตัดก็ผ่าไม่ได้เพราะมันติดอยู่กับหลอดเสียง มันเสี่ยงตายมากเลย เขาก็ไม่ผ่า หมอก็ไม่รู้จะผ่ายังไงเพราะมันติด ก็เลยเป็นโรควิบากของอาตมา อาตมาขอรับไป
_สู่แดนธรรม… ผมขอถามเพิ่มครับ ค่านิยมของคนที่คิดด้วยตรรกะ เขาจะมองว่าพระอริยะชั้นสูงหรือพระอรหันต์จะไม่มีสิทธิ์เป็นมะเร็ง เขามองอย่างนั้นว่าพระอรหันต์ไม่มีความเครียด ไม่มีปมอะไรที่เป็นกิเลส เขาเลยบอกว่าการที่คนเป็นมะเร็งมีสาเหตุจากความเครียด เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ถ้าบอกว่าใครมีสิทธิ์เป็นมะเร็งนั้นเขาจะลบทิ้งเลยว่าไม่ใช่อรหันต์
พ่อครูว่า… เข้าใจไปยังงั้นบ้างก็แล้วแต่ จะบอกว่าพระอรหันต์เป็นผู้ที่พ้นจากความเกิดแก่เจ็บตาย แม้แต่จะเจ็บจะป่วยโรคแรงโรคหนัก ไม่มี มันก็ไม่จริงทีเดียว โรคแรงๆหนักๆแล้วแต่วิบาก อรหันต์บางองค์ก็ตายด้วยโรควิบากร้ายแรงก็ได้ ไม่ใช่เรื่องที่จะไปคิดอย่างนั้น
_สู่แดนธรรม… เพราะฉะนั้นมะเร็งไม่ใช่เกิดแต่ความเครียดเท่านั้นใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… ไม่ใช่ แต่ความเครียดก็เป็นส่วนให้เกิดมะเร็งเหมือนกันแต่ไม่ใช่ความเครียดเท่านั้นมีเหตุปัจจัยอีกเยอะ อวัยวะสรีระต่างๆก็เป็นมะเร็งได้ ต้องไปคุยกับแพทย์เขาดีๆจะรู้เหตุปัจจัยมากกว่าเรา
_Kvit Ssk ควิท เอสเอสเค· ไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งเลวร้ายเท่ากับคนที่เห็นผิดเป็นถูก เห็นชั่วเป็นดี มองเห็นมิจฉาทิฎฐิเป็นสัมมาทิฎฐิ อันเป็นความคิดที่เป็นปัญหาต่อสังคมส่วนรวม
พ่อครูว่า…อันนี้ใช่ สิ่งเลวร้ายคือเห็นผิดเป็นถูก เห็นชั่วเป็นดี มองเห็นมิจฉาเป็นสัมมาทิฏฐิ คุณพูดมาถูกหมด แต่คุณหมายความหมายถึงว่าคุณว่าอาตมาหรือเปล่า คุณมองว่าอาตมาเห็นผิดเป็นถูกเห็นชั่วเป็นดี เห็นมิจฉาทิฏฐิเป็นสัมมาทิฏฐิ คุณศึกษาอาตมาให้ดีๆไปเถอะถ้าคุณเห็นนะ แต่ถ้าคุณไม่เห็น คุณพูดกลางๆก็แล้วไป ไม่มีปัญหาอะไรคุณพูดถูกต้องแล้ว
พ่อครูตื่นมาตีระฆังทุกชั่วโมงเพื่อฝึกไม่ติดหลับ
_ตุ๊ก อัศวิน · น้อมกราบ._/\_.ขอบพระคุณ คณะปัจฉา ที่ทุ่มเทสรรพกำลังทั้งกายและใจ ช่วยดูแล ‘พ่อครู’ ให้ท่านดำรงธาตุขันธ์ให้อยู่เป็นประโยชน์ ต่อโลก ไปอีกนานเท่านาน และ ขอบพระคุณที่กรุณาเล่าสู่ฟัง ถึงความ ‘เป็น_อยู่_คือ’ ของพ่อครู ให้ลูกๆได้ตระหนักรู้ และ เพิ่มความเพียร ให้สมกับ ‘ความกรุณาของพ่อครูที่มีต่อลูกๆ’..เจ้าค่ะ
ฟังท่าน ส เดินดิน ปรารภถึง ในอดีต พ่อครู ลุกมาตีระฆังทุกชั่วโมง ราวกับ เป็น ‘แขกเฝ้ายาม’ ในยามวิกาล ฉะนั้น!! จึงเกิดความสงสัยใคร่รู้..เจ้าค่ะ
ปุจฉา: พ่อครู ท่านเห็นประโยชน์อันใดฤา จากการบำเพ็ญ ตีระฆังทุกโมงยาม..เช่นนั้น..เจ้าค่ะ
กราบขอบพระคุณยิ่ง..เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…การที่อาตมานอนแล้วก็ตีระฆัง อาตมามีกังสดาลอยู่ข้างตัวนอนแล้วถึงชั่วโมงก็ เริ่มนอนประมาณ 2-3 ทุ่ม พอได้ 1 ชั่วโมง ถ้านอน 3ทุ่ม ถึงเวลา 4ทุ่ม ก็ตี 5ทุ่มก็ขึ้นมาตี ชั่วโมงนึงก็ขึ้นมาตีโดยอาตมามีหลักเกณฑ์ว่า ถ้าอาตมารู้สึกตัวแต่ละชั่วโมงอาตมาจะทำให้ตัวเองรู้สึกตัวทุกชั่วโมงเพื่อขึ้นมาตีระฆัง เพราะฉะนั้นถ้ารู้สึกตัวขึ้นมาก่อน 4ทุ่ม10 นาที หรือเลย 4 ทุ่มเป็น 10 นาที อาตมาก็ถือว่าอนุโลมถือว่าตีได้ ถ้าเลยไปแล้วก็ถือว่าพลาดไม่ตี ไปตีเอาชั่วโมงต่อไป
ทีนี้ประเด็นว่า ทำไมอาตมาเห็นประโยชน์อะไรจากการจะต้องลุกขึ้นมาตีเหมือนกับคนเฝ้ายาม อาตมาฝึกความตื่น อาตมาฝึกไม่ให้ติดการหลับการนอนนี่เป็นหลักเลย ไม่ติดกันหลับการนอน นอนอย่างหลับอร่อย พูดอย่างเป็นกิเลสคือหลับอะไร หลับอย่างเพลิน
ฝึกจนกระทั่งอาตมาจับกิเลสติดอร่อยติดหลับได้ จนกระทั่งอาตมากำหนดการหลับการตื่นได้ และอาตมาก็ตีระฆังนี้มา ตั้งแต่นุ่งชุดขาว ก่อนนุ่งชุดขาว พ.ศ 2532 อาตมาตีระฆังมาก่อน จนกระทั่ง มาหยุด เมื่ออาตมาอายุ 70 แต่อาตมาก็ติดเป็นนิสัยแล้ว ตอนนี้กลางคืนก็จะตื่นเกือบทุกชั่วโมงเหมือนอย่างตอนโน้น แต่ก็พยายามจะหลับให้ได้นาน ชั่วโมงครึ่งบ้าง 2 ชั่วโมงบ้าง นานๆจะหลับต่อกันถึง 3 ชั่วโมงสักที แล้วโดยเฉพาะเขาบอกว่าหลับไม่ลึก ที่เขาใช้ศัพท์ภาษาเท่ๆว่า Deep sleep
เขามีเครื่องวัด นาฬิกานี้เป็นเครื่องวัดอะไรสารพัด หมอก็อาศัยเป็นเครื่องวัดต่างๆนานา เหมือนกับหมอแมะ หรือใช้สเตทโตสโคป เจาะดู อันนี้เป็นเครื่องวัดมาค่อยใช้ตรวจดู ท่านแสนดินก็มาดู มันก็บอกเท่าที่มันมีได้ เขาก็ทำไว้ ไม่ใช่ใส่ไว้โก้ๆ อันนี้ไม่ใช่ใส่ไว้เท่ ไว้โก้ ไว้ติดอะไร ไม่ใส่ก็ดีกว่า แต่หมอเขาก็ให้ใช้เพื่อที่จะดูแล สรีระร่างกายเป็นประโยชน์ เป็น AI ชนิดหนึ่ง มันเก่ง ก็ใช้ประโยชน์ไม่ได้ใช้เป็นเครื่องอลังการ ว่าทำเท่ทำโก้ ไม่ใช่ ที่จริงมันรุงรังเสียด้วยซ้ำไปแต่อาตมาก็เห็นว่ามันเป็นประโยชน์ก็ใช้ไปมันก็ไม่กระไรมันก็พอได้
นายกฯประยุทธ์บริหารได้ดีที่สุดใน 29 คนที่ผ่านมา
_รอยใบไม้ . มีคนมองว่ากองทัพธรรมเป็นกองทัพที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรมาก อยากให้เป็นกองทัพแบบเดิมดีแล้ว ดีกว่าเป็นองครักษ์พิทักษ์มาร(ลุงตู่) เป็นผู้ตรวจสอบ มิใช่ผู้รับรอง เพราะคนเรามีกิเลส ไม่อยากให้เอาองค์กรอโศกไปรับรองใคร พ่อครูมองอย่างไรในเรื่องนี้คะ
พ่อครูว่า…มีคนท้วงๆมาอย่างนี้ รอยใบไม้เขาส่งข้อมูลมาให้ อาตมาก็ขอจะเรียกว่าแก้ตัวก็ได้ จะเรียกว่าบอกความละเอียดลออหรือความจริงก็ได้ ว่าที่จริงกองทัพธรรมมันก็เป็นชนหมู่หนึ่ง จริงๆแล้วกองทัพธรรมนี้เป็นชื่อมูลนิธิที่ชาวอโศกเราไปจดทะเบียนเป็นชื่อมูลนิธิ กองทัพธรรมมูลนิธิ เริ่มแรกก็มีพล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นประธานกองทัพธรรม เดี๋ยวนี้ หนึ่งพุทธ วิมุตินันท์ เป็นประธานกองทัพธรรม
อาตมาก็ขอยืนยันว่าตามที่อาตมามอง ในเรื่องนี้อาตมาไม่ใช่ว่าอาตมาจะทำอะไรไปโดยไม่ไตร่ไม่ตรอง ไม่เห็นว่าควรจะเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ อาตมาก็ไตร่ตรองแล้ว อาตมานี่ใจเป็นกลางแต่เข้าข้างคนดี นี่เป็นหลักเกณฑ์เลย เป็นคนใจเป็นกลาง อาตมาไม่ได้ไปลำเอียงว่าจะต้องรักคนนั้นชังคนนี้ แต่อาตมาดูตามสถานะจริงๆสถานะหรือกรรมกิริยาพฤติการณ์ของพลเอกประยุทธ์ เขาเป็นคนที่ควรส่งเสริมและเขาทำได้ดี
จนกระทั่งอาตมาเคยพูดส่งเสริมว่า นายก 29 คน อาตมาเห็นว่านายกคุณประยุทธ์นี่แหละ คนที่ 29 นี้เป็นนายกที่ดีที่สุด ทำงานได้ดีที่สุดแล้วก็มีจิตที่แข็งแรงมั่นคง ทำงานมานานถึง 8 ปี เท่ากับพลเอกเปรม พลเอกเปรมก็ไม่ได้มีจุดเด่นเหมือนอย่างพลเอกประยุทธ์หลายอย่าง พลเอกเปรมมีลักษณะเป็นทางศรัทธาจริต แต่พลเอกประยุทธ์นี้มาทางพุทธิจริต มีปฏิภาณปัญญา มีความแววไวต่างๆ นานา แล้วทำงานเผชิญหน้า ไม่เลี่ยงไม่หลบ ทำงานอย่างเผชิญ ทำงานอย่างเผชิญ หลายอย่างอาตมาอธิบายไม่ครบ พูดไม่หมด
สรุป อาตมาเห็นว่าเป็นนายกรัฐมนตรี คืออาตมาก็เกิด 2477 ก็ทัน พอได้รับรู้ตั้งแต่นายกคนที่ 1 2 3 อาตมาจะไม่ทัน แต่หลังๆนี้มันก็พอรู้ตั้งแต่ จอมพลแปลก พิบูลสงคราม อาตมาก็รับรู้ยังจำได้หลายๆอย่างมาเลยเพราะโตพอสมควรแล้ว
ก่อนจอมพลแปลกก็มีไม่กี่คน เอาเถอะมันยังไม่เข้าร่องรอยประชาธิปไตยเท่าไหร่ อันดับ 1 2 3 มา มีพระยามโนปกรณ์นิติธาดา พระยาพหลพลพยุหเสนา มาถึงจอมพลแปลกคนที่ 3 อาตมาก็รับรู้มา นอกนั้นพอรับรู้มาด้วยอาตมาก็โตมา
เพราะฉะนั้น นายกรัฐมนตรีตั้งแต่จอมพลแปลก จนกระทั่งนายควง อภัยวงศ์ นายทวี บุณยเกตุ หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช นายปรีดี พนมยงค์ ตั้ง 29 คนผ่านมา อาตมาก็เห็นว่าพลเอกประยุทธ์ ควรจะได้รับตำแหน่งรัฐบุรุษคนหนึ่งของประเทศ แต่คนอื่นเขาจะเห็นด้วย อาตมาก็ไม่มีสิทธิ์จะไปกำหนดอะไรเขาหรอก พูดไปตามความเห็นของอาตมา อาตมามีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็นในทางที่ปรารถนาดี ส่วนใครจะมองว่าเป็นความปรารถนาที่ไม่ดี แต่คงไม่คิดว่าอาตมาปรารถนาร้าย นอกจากจะเวอร์ไปเท่านั้นว่าอาตมาคิดปรารถนาร้าย อาตมาไม่ได้ปรารถนาร้ายหรอก แต่เห็นว่าปรารถนาไม่ถูกต้องเท่าที่คุณเห็นก็ขัดแย้งกันบ้าง
เรื่องคนมีกิเลสหรือคนไม่มีกิเลส ไม่ใช่เรื่องที่คนจะรู้กันได้ง่ายๆหรอก คนมีกิเลสหรือไม่มีกิเลส พระอรหันต์หรือพระโพธิสัตว์นี่เหมือนกับคนมีกิเลสแสดงความปรารถนาดีออกไปสูง ความปรารถนาหรือความอยาก มันเหมือนกิเลส
ความปรารถนาดีอันสูง มันก็เหมือนกับอยากแรงๆ มีความอยากแรงๆ แต่พลังงานที่เป็นความปรารถนาดีอันสูง มันเป็นพลังงานที่จะต้องใช้ ถ้าพลังงานปรารถนาดีมันไม่สูง ปรารถนาดีเบาๆเยอะๆเยอะแหยะๆแล้วมันจะได้ผลอะไร มันก็ไม่ได้ผลอะไร มันก็จะต้องมีความปรารถนาดีที่แรงพอสูงพอ ให้พอเหมาะพอควรแล้วก็จะต้องอยู่ในขั้นแรง มันถึงจะชนะ มันถึงจะสำเร็จผล ถ้าความปรารถนาดีเบาๆน้อยๆมันจะไปสำเร็จผลอะไรได้ล่ะ นี่ก็พยายามใช้ภาษาสื่อสภาวะให้ฟังอธิบายสัจธรรมให้ฟัง
เพราะฉะนั้นอาตมาว่าอาตมาแสดงออกตลอดเวลา มันเป็นลักษณะที่คุณไม่เข้าใจง่ายๆหรอก ความเป็นอรหันต์ ความเป็นโพธิสัตว์ ซึ่งมันเข้าใจผิดมา ไปเข้าใจอรหันต์เก๊ ไปเข้าใจโพธิสัตว์เก๊ แต่โพธิสัตว์ยังไม่ค่อยรู้เรื่องมากมายหรอกในประเทศไทย ประเทศไทยเป็นประเทศที่ยึดถือเถรวาทสุดโต่งแล้วก็ผิดเพี้ยนไปด้วย มันก็เลยเลอะกันไปใหญ่ แม้จะมีสายที่ใช้ปฏิภาณปัญญา ชอบปัญญาก็กลายเป็นปัญญาฟุ้ง ปัญญาไม่ได้เข้าเรื่องเข้าราว ซึ่งมันไม่ได้เป็นสัมมาทิฏฐิอะไร อาตมาก็วิจัยวิจารณ์ระบุ แม้ว่าจะพาดพิงก็ได้ทำไปแล้ว เขามีความปรารถนาดี มีเจตนาดีทั้งนั้น ไม่ได้ต้องการไปยกตนข่มท่าน ไปอวดที่อวดดีอะไร แต่พูดถึงผลของศาสนาทั้งนั้น
ฉะนั้นความเห็นที่แตกต่างกัน ก็ขอลงท้ายว่า สุดท้ายคุณก็เห็นอย่างของคุณ คนที่เห็นต่างกับอาตมานะ ส่วนของอาตมาก็เห็นอย่างอาตมา ลงท้ายก็นานาสังวาสก็แล้วกัน คุณก็เห็นอย่างนั้น คุณก็ทำของคุณไปศึกษาไป แต่อย่ามาลบหลู่อาตมามากนัก
ไม่ใช่ว่าป้องกันตัวไม่อยากให้ลบหลู่ แต่ว่าเชิงตำหนิกัน นี่มันเป็นลักษณะที่เป็นสัจธรรมที่มันเลี่ยงไม่ได้ จะบอกว่าไปลบหลู่ อ้าวไปตำหนิก็คือไปลบหลู่อยู่แล้ว ภาษามันคนละคำเท่านั้น ลบหลู่ก็คือข่ม ตำหนิสิ่งที่ควรข่ม ควรตำหนิหรือลบหลู่ ถ้าจะไปพูดให้ แรงก็คือด่า ใช้ภาษาพวกนี้ มันมีนัยยะเดียวกันแต่น้ำหนักมันต่างกันเท่านั้นเอง สรุปแล้วก็คือตำหนิ ภาษาสวยๆของพระพุทธเจ้า นิคคัณหะ อย่างตำหนิอย่างดัง อย่างแรง อย่างมาก อย่างไรก็ได้เรียกว่า ปฏิโกสนา ตำหนิหรือว่าข่มอย่างแรงๆดังๆ ข่มหนักๆอย่างไรก็ได้ เป็นภาษา อย่าไปฟ้องร้องกัน นี่เป็นธรรมวินัยเลย ยิ่งเป็นนานาสังวาสแล้วคนฟ้องร้องเป็นอาบัติ อาตมาถูกฟ้องร้อง คนที่เขาไม่รู้จักวินัย ทำละเมิดวินัยมาฟ้องอาตมา เขาอาบัติกันทั้งนั้น พูดไปจะเหมือนฟื้นฝอยหาตะเข็บมากเกินไป ก็ขอผ่านไปก่อนก็แล้วกัน
ทำอย่างไรไม่ไปตกในสุทธาวาส 5
_สม.รินฟ้า . กราบเรียนถามพ่อท่านค่ะ พ่อครูโพธิรักษ์กล่าวไว้เมื่อ 12 มี.ค. 2558 ว่า การติดหลับนี่ จะนานกว่าอุทกดาบสอีก เพราะถ้าเป็นอนาคามีก็ไปอยู่ในสุทธาวาส..พระพุทธเจ้าว่า ตถาคตไม่เอาสุทธาวาส มันดูสะอาด แต่มีภพชาติที่นาน แล้วไม่มีอะไรดึงด้วย ไม่อยากติดก็ต้องออกมา…
กราบเรียนถามว่า..อนาคามีภูมิ มี 5 ระดับ ต้องไต่ทีละระดับไหมคะ..??
และถ้าไม่พ้น 5 ระดับ ต้องค้างอยู่ที่ชั้นสุทธาวาส ข้ามพุทธันดร..แล้วจะบรรลุเป็นพระอรหันต์เองรึคะ..??
ปฏิบัติธรรมอย่างไร ให้เป็นพระอนาคามี โดยไม่ต้องหยุดที่ชั้นสุทธาวาสคะ..??
พ่อครูว่า…ตอบอย่างตีหัวเข้าบ้านก่อน 1.ปฏิบัติอย่างโพธิรักษ์ 2. ปฏิบัติอย่างพระพุทธเจ้าพาทำ เข้าใจให้สัมมาทิฏฐิ พระพุทธเจ้านั้นสายปัญญาโดยตรง อาตมาก็สายปัญญาโดยตรง พระสมณโคดมกับสมณะโพธิรักษ์ อันเดียวกัน สายเดียวกัน แล้วอาตมาก็ไม่ยอมตายแบบที่จะต้องไปค้างอยู่ที่สุทธาวาส 5 ขั้นนั้นเป็นอันขาด
สุทธาวาส 5 ขั้นนั้น พูดเป็นภาษาทางธรรมก็เรียกว่า
อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา
-
อวิหาสุทธาวาสภูมิ
-
อตัปปาสุทธาวาสภูมิ
-
สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ
-
สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ
-
อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ