660619 เป็นอรหันต์แล้วจึงหมดผีปอบ รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #26 ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่
https://docs.google.com/document/d/1iuzRXeXbIfgq0uaTv_hyqMCR5JI0Vxxs/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1w_jj2vlVh6Q3RXJCOr79eWcVeXIJtDv8/view?usp=sharing
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/NrvkMjKnc1Y
และ https://fb.watch/lg213Q1YZ1/
พ่อครูว่า..วันนี้วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน 2566 ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 8 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
_กราบขอโอกาสกราบพ่อครูช่วยประชาสัมพันธ์ค่ายอุโบสถศีลออนไลน์ด้วยค่ะ
.. ขอเชิญทุกท่านร่วมเข้าค่ายอุโบสถศีลออนไลน์ ครั้งที่ 19 “เพิ่มศีล เพิ่มปัญญา พาพ้นทุกข์” วันศุกร์ที่ 23 – อาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน 2566 สมัครง่ายๆ โดยการแสกน QR Code จากหน้าจอ เพื่อเข้าร่วมกลุ่มไลน์โอเพ่นแชท เมื่อเข้ากลุ่มแล้ว ท่านจะได้รับรายละเอียดกิจกรรมต่างๆ จากผู้ดูแลกลุ่ม อย่ารอช้า รีบสมัครเลย
SMS วันที่ 16-18 มิ.ย. 2566
_Darin Chitnuyanond ดาริน ชิตนุยานนต์ · กราบนมัสการค่ะ ใช้ยา9เม็ดของคุณหมอเขียวในการดูแลสุขภาพของท่านพ่อสมณะหรือเปล่าคะ?
พ่อครูว่า… ก็คงจะเอามาดูแล ก็เขาไม่ได้บอกว่าอันนี้เม็ดที่ 1 เม็ดที่ 2 ก็คงจะดูแลกันอยู่
_เปิ้ล ม่านไม้สายน้ำ : ถ้าไม่มีใครบอก ดิฉันก็ไม่ทราบได้ว่า ท่านประยุทธ์ ทำผลงานอะไรบ้าง
พ่อครูว่า… ไม่เห็น หรือว่าเห็นอยู่ผลงานในประเทศไทยแต่ไม่รู้ว่าใครพาทำสิ่งเหล่านี้ เช่นตอนนี้กำลังสวยเลยนะ รถไฟฟ้าสายสีเหลือง นั่นคือผลงานพลเอกประยุทธ์ ยังไม่มีนายกคนใหม่มา ผู้ที่จะมาเป็นนายกก็คงจะทำงานได้มากกว่าพลเอกประยุทธ์ เท่าที่ฟังเขาสงสัยอยู่ เจ้าประคุณทูนหัว พอดีฟังแล้ว นกฟังก็คงตกต้นไม้เลย ในคำโฆษณาของเขา นกฟังแล้วหลับผลอยตกต้นไม้เลย จริงๆ
อาตมากลัวมากเลย กลัวนักพูด หรือว่ากลัวเลวที่สุดในแผ่นดินคือหากินบนคำว่าช่วยเขา บอกว่าจะช่วยอันนั้นอันนี้แล้วเอาไหม เวลาเขา เราก็ดูเขาไป อาตมามาวิจารณ์เขา ก็อาจจะผิดก็ได้ เขาอาจจะเป็นผู้วิเศษเกิดมาในยุคนี้เป็นพระเอกขี่ม้าขาวก็เป็นได้เราก็ดูไป แต่เราก็จะว่าไปแล้วมันเหมือนดูถูก ประมาทเขาไปเลยนะประมาทเขาก่อน ที่เขาจะแสดงความเป็นจริงจะได้แค่ไหนก็ยังไม่รู้เลย ดูแล้วมันเวอร์ๆไปจะไหวเหรอ มันเป็นอย่างนั้นมันทำให้เข้าใจอย่างนั้น ก็พูดไปตามที่เราเข้าใจเราคนซื่อ เข้าใจอย่างนี้ก็พูดไปอย่างนี้ จะผิดจะถูกอย่างไรก็ขออภัยก็แล้วกัน
บุญกับกุศลต่างกันคนละขั้วเลย
_ปองแสงพุทธ ทองสุขนอก · บุญกับกุศล กราบขอบพระคุณที่เมตตา แต่ถ้าจะทำ เพราะดีใจที่ได้ทำ ถ้าทำเพื่อต้องการให้ใครมาช่วย ไม่ทำดีกว่าเจ้าคะ อยู่บ้านเฉยๆ ไม่ต้องยุ่งเรื่องชาวบ้านสบายดีเจ้าคะ
ลูกคิดอย่างคือทำกุศลบุญไม่หวังให้ใครมาช่วยเลย อย่ามานะเจ้าคะ ขออนุญาตช่วยเหลือตัวเอง กราบขอบพระคุณเจ้าคะ
พ่อครูว่า… คำว่าบุญ กับ คำว่ากุศล มันเสื่อมไปจากความรู้ของคน คนยุคนี้โดยเฉพาะชาวพุทธ คำว่าบุญคำว่ากุศล บุญภาษาบาลีคือ ปุญญะ กุศลก็คือ กุสละ ความหมายที่ชัดเจนของมัน เขาได้เข้าใจผิดเพี้ยนไปมันเลยเสื่อม เข้าใจไม่ได้ เขาเข้าใจว่าบุญกับกุศลคืออันเดียวกันเลย
ที่จริงพยัญชนะแต่ละพยัญชนะมันไม่อันเดียวกันหรอก พยัญชนะที่มันไม่เหมือนกันมันก็ไม่เหมือนกัน แม้จะเป็นคำที่ใช้แทนกันได้ เป็นคำซินโนเนม เป็นคำที่ใช้ลำลองกันไป มันคล้ายกัน แต่มันก็มีสิ่งที่ต่างกัน
แต่บุญกับกุศลมันต่างกันลิบลับเลย มันไม่ใช่ต่างกันแค่คล้ายๆกัน บุญกับกุศลต่างกันคนละขั้วเลย กุศลทำแล้วสั่งสมอาศัยไปตลอด จนกว่าจะ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไม่ว่าจะเป็นอรหันต์หรือพระพุทธเจ้าก็ต้องอาศัยกุศล
บุญนี่ จะว่าอาศัยก็ไม่ใช่อาศัย เพราะบุญมันไม่ใช่สภาพที่ อยู่ที่ไหน มันจะเกิดใน ปัจจุบันธรรม เป็นพลังงานที่เกิดในปัจจุบันชาติ แล้วมีเหตุมีปัจจัยให้ก่อเกิดอันนี้ ถ้าใครไม่มีภูมิปัญญาเลย ไม่มีตัวบุญจะเกิด ขออภัยมันไม่ได้เป็นตัว มันไม่ได้มีลักษณะอาการของบุญที่เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง เกิดขึ้นมาเลย ในคนผู้ใดก็แล้วแต่ที่ไม่มีภูมิปัญญา มีจิตวิญญาณ
ต้องมีภูมิปัญญาสัมมาทิฏฐิและสามารถ และพวกเราที่สัมมาทิฏฐิแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะสัมผัสได้ มันต้องมีเหตุปัจจัยครบพร้อม สัมผัสมีรูปมีนามมีสภาพ 2 สัมผัสกัน แล้วเกิดอาการ เกิดอาการขึ้นมาเป็นสภาวะธรรมเรียกว่าอายตนะก็ตาม ลึกเข้าไปในนั้นเป็นเวทนา สามารถที่จะแยกแยะมีตัวทำมาวิจัยสัมโพชฌงค์ แยกแยะกิเลสในปัจจุบันธรรม ออกจากจิต แล้วเห็นกิเลส
การเห็นกิเลสนี้เป็นตัวปัญญา เป็นตัวญาณทัศนวิเศษ เป็นปัญญา เป็นความฉลาดเยี่ยมยอดที่มีพลังฤทธิ์มีธรรมฤทธิ์ เห็นกิเลสแล้วกิเลสจะถอยเลย นอกจากกิเลสมันไม่รู้ตัว ยังไม่รู้ว่า เฮ้ย! ปัญญาเห็นเอ็งแล้วนะ มันก็จะ เด๋อๆอยู่ เมื่อมันรู้ว่าปัญญาเห็นแล้วมันก็จะหายไปเลย อาตมาอธิบายสภาวะธรรมเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นคนคิดไม่ถึง คิดไม่ออกหรอกว่า บุญนี้เป็นธัมมาวุธเป็นปัญญาวุธ บุญนี้เป็นอาวุธ ประหาร ไม่ใช่เป็นอื่นเลยเป็นอาวุธประหารเป็นพลังงานที่เกิดในปัจจุบันธรรม ปัจจุบันชาติเป็น ทิฏฐธรรม เกิดแล้วก็จัดการ จัดการประหารได้สำเร็จก็สำเร็จ
แต่ส่วนมากแล้วมันจะสำเร็จเพราะเป็นตัวพลังงานต่อจากฌาน เพราะฉะนั้นคนจะปฏิบัติธรรมะนี้ให้เกิด ฌานของพุทธ ต้องวงเล็บว่า ฌานที่สัมมาทิฏฐิของพุทธ เป็นฌานวิสัยของพุทธ ก็คือพลังงานปัญญาเป็นธรรมฤทธิ์นั่นแหละ มันเห็นกิเลส มันแยกกิเลสจากจิตออก มันเป็นสติ ธัมมวิจัย มันเป็นโพชฌงค์ อย่างน้อยโพชฌงค์ 3
พอมันแยกกิเลสได้แล้วมันก็จะมีตัวปัญญาอยู่ร่วมด้วย กับฌาน พอเจอหน้ากิเลส ทำงานทันที ทำงานแล้วกิเลสก็ถอยไป กิเลสก็จะกลัวปัญญา เพราะฉะนั้นมันก็จะถูกฆ่าโดยกิเลสอย่างที่กล่าวมานี้อย่างแท้จริง
ส่วนกุศลนั้นมันคนละเรื่องเลย กุศลคือ ผลของวิบากกรรม คุณกระทำดีกุศลก็เกิด คุณกระทำไม่ดีอกุศลก็เกิด ให้คุณเป็นเครื่องอาศัยเป็นพาหะ เครื่องอาศัยของชีวิตตั้งแต่ตอนเป็นๆ จนกระทั่งตาย แล้วก็มีสั่งสมเป็น พาหะ แม้คุณบรรลุเป็นอรหันต์ เป็นพระพุทธเจ้า คุณก็จะต้องมี พาหะ คืออาศัยอยู่ตลอดเวลา แต่บุญมันไม่เกี่ยวเลย
บุญไม่ใช่เครื่องอาศัย แต่มันเป็นเครื่องช่วยให้คุณนี่ พ้นทุกข์ บุญนี่มันช่วยให้พ้นทุกข์ ส่วนกุศลมันทำให้คุณมีผลดี มีความดี เป็นพาหะ เป็นสมบัติ กุศลเป็นสมบัติ แต่บุญเป็นวิบัติ ไม่ได้เป็นสมบัติเลย
อาตมาอาจจะใช้คำศัพท์หน่อย บุญเป็นวิบัติ กับกุศลคุณสมบัติ
เป็นเรื่องของการฆ่าการทำลายสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม บุญอยู่กับพวกไม่ดี เจออะไรที่ไม่ดีมันมีหน้าที่ฆ่า แล้วคนจะสร้างพลังงานบุญได้ ต้องเป็นอาริยชน เป็นผู้มีปัญญาอย่างแท้จริง ตั้งแต่สภาวะที่มันเริ่มเป็นบุญก็เป็น ฌาน 1 2 3 4 บุญ ร่วมมาตั้งแต่ฌาน 1 2 3 4 จะนับ ฌาน 5 ก็แล้วแต่ ถ้าฌาน 5 แล้วเด็ดขาด ตาย กิเลสสิ้นไปเลย ถ้าลงมือถึงขั้นบุญสมบูรณ์แบบ
อาตมาก็อธิบายรายละเอียดพวกนี้
ที่คุณบอกว่า ถ้าจะต้องให้คนมาช่วยไม่ทำดีกว่า อยู่บ้านเฉยๆไม่ต้องยุ่งชาวบ้านสบายดี… คุณก็บอกสภาวะจิตตัวเอง
_ใบฟ้า ธรรมะธารา นาวาบุญนิยม · กราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้า
เริ่มสนุกค่ะ ขณะที่พ่อครูกรุณาอธิบาย เปรียบเทียบ ระหว่าง “อุปโตภาควิมุติ” และ”ปัญญาวิมุติ”เพราะเข้าใจมากกว่าครั้งก่อนๆค่ะ ครั้งนี้เป็นการเทศน์สอนจากยอดไปหาต้น(ปฏิโลม) ลูกๆอาจเข้าใจด้วยภาษาแต่ยังไม่มีสภาวะ ดังนั้นในรอบต่อไปกราบขอพ่อครูได้กรุณาอธิบาย จากต้นไปหายอด (ง่ายไปหายาก)ความสนุกจะเพิ่มขึ้นจากมีสภาวะรองรับเป็นลำดับๆ ค่ะ กราบเรียนถามพ่อครูว่าความเข้าใจเกี่ยวกับการเทศน์ข้างต้นถูกต้องหรือไม่คะกราบขอบพระคุณในความกรุณา ด้วยเศียรเกล้าฯ ค่ะ
พ่อครูว่า… มันไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นเรื่องปรมัตถ์เรื่องโลกุตตระที่แท้จริง (ไมค์ดับไปเป็นเวลาเล็กน้อย ตัดออกด้วย)
ไม่ได้บอกมาว่าคุณเข้าใจอย่างไร เอาแต่ประเด็นจากยอดมาหาต้นและบอกว่าปฏิโลม ปฏิ แปลว่า ทวน
เดี๋ยวอธิบายจากต้นไปหายอด ของบุคคล 7
สัทธาวิมุตติ ก็นับเป็นพระอาริยะขั้นต้น
_สว่างแสง ขวัญดาว · สัทธาวิมุตติ พวก(2)ที่มีสัมมาทิฏฐิมีปัญญานี้จะเป็นอาริยะบุคคลด้วยไหมคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า… สัทธาวิมุติ อาตมาอธิบายเป็น 2 นัย
นัยหนึ่ง พวกยังไม่สัมมาทิฏฐิ สายศรัทธาส่วนมาก จะไม่มีปัญญาเข้าใจยังไม่สัมมาทิฏฐิ ก็จะทำวิมุติ ประเภทกดข่ม เป็นการดับ เป็นการทำกิเลสให้ลด ประเภทกดข่มไว้ เขาก็ทำกันจริง
สายหลับตาเป็นต้น ซึ่งไม่มีทางจะเป็นทางสัมมาทิฏฐิได้หลับตา หลับตาปฏิบัติไม่บริบูรณ์มันเป็นคนพิการ ก็ไม่มีทางที่จะเป็นสัมมาวิมุติได้ ก็เป็นสัทธาวิมุติ ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิไปตลอด ต้องลืมตา
พวกลืมตาปฏิบัติแล้วถึงจะเกิดวิมุติด้วยปัญญา ศรัทธาถ้าเผื่อว่าไม่มีปัญญาเติมเลย อย่าง อุภโตภาควิมุติ อันดับที่ 1 ไล่ไปถึง สัทธานุสารี ตัวที่ 7
อุภโตภาควิมุติ ต้องมีปัญญาเข้าไปเติม สายศรัทธาได้ไปมากแล้ว ก็จะเติม สัทธานุสารีเริ่มเป็นโสดาปัตติมรรค พอมาสัทธาวิมุติ ก็จะเริ่มรู้จักอริยสัจ 4 เริ่มจะปฏิบัติเข้าไปหาอาริยะ จึงจะเป็น ทิฏฐิปัตตะ เข้าถึงได้ด้วยทิฏฐิที่เป็นสัมมา เท่าที่สายศรัทธามี พระพุทธเจ้าถึงยังกำกับว่า ไม่เหมือน ทิฏฐิปัตตะเขา สัทธาวิมุติ จะได้เห็นอริยสัจ 4 ก็ตาม แล้วก็ทำอาสวะสิ้นได้เพราะเห็นด้วยปัญญา แต่ก็จะต่างจาก ทิฏฐิปัตตะ อย่างนี้เป็นต้น จะไม่เหมือนกันทีเดียว จะค่อยสูงขึ้น
สัทธานุสารี คือผู้ที่พยายามติดตามหาความรู้ที่จะเป็นสัมมาทิฏฐิเข้าไปสู่ โสดาปัตติมรรค และก็ได้โสดาปัตติผลต่อไป พอเจอหรือได้โสดาปัตติมรรค ก็จะปฏิบัติจนเกิดผลได้ไปเรื่อยๆ
ธัมมานุสารี ก็ตามหาโสดาปัตติมรรค แต่เป็นสายปัญญา จะเห็นเร็วและรู้ได้ง่ายกว่าศรัทธา มันเป็นสัจจะของธาตุ ฐานของจิต เป็นจริตของมนุษย์ เป็นศรัทธาจริต พุทธิจริต มาแต่ไหนแต่ไรก็จะเป็นไปตามนั้น
เมื่อเป็นทิฏฐิปัตตะแล้ว สัทธานุสารีก็ตาม กว่าจะไปถึงทิฏฐิปัตตะ ก็จะต้องสัมมาทิฏฐิ มีมรรคมีผลจนทำอาสวะสิ้นได้ ไปเป็นลำดับๆ
สายนั้นต้องมีปัญญาจึงจะทำให้อาสวะสิ้นได้ แต่สายปัญญานั้นมีปัญญาอยู่แล้วจึงทำอาสวะสิ้นได้เลย สายศรัทธา ต้องมีกายสัมผัสวิโมกข์ 8 ส่วนทิฏฐิปัตตะสิ้นอาสวะบางอย่างด้วยปัญญา แต่สัมผัสวิมล 8 ด้วยกายมาตลอด
ส่วนกายสักขีนั้น มีการ สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายมาตั้งแต่ทิฏฐิปัตตะ แล้ว เพราะฉะนั้นมีกายแล้ว ออกไปขั้นที่ 6 มีปัญญาวิมุต ถึงมีบาลีกำกับว่า นเหวโข ไม่ต้องกล่าวว่าจะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายอีก
แต่ในภาษาที่เขาแปลว่า มิได้ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จึงเป็นภาษาที่ผิด สิ้นอาสวะไม่ได้ จะสิ้นอาสวะได้ จะต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย อาตมาเห็นภาษาบัญญัติแล้วเลยรู้ว่าอันนี้แปลผิด มันก็รู้ว่าผู้นี้ไม่เข้าใจ แล้วก็ไม่ได้แปลกันคนเดียวนะ แล้วเขาก็เรียนกันอย่างนี้ด้วยเรียนกันผิดๆมา ที่อาตมาว่ามันเสื่อมศาสนาพุทธ มันมีแต่พยัญชนะ สภาวะมันเข้าไม่ถึง อาตมามีสภาวะจึงรู้ว่ามันเป็นไปได้อย่างไร คุณจะชี้ขาวแล้วบอกว่าดำ แล้วไปชี้ดำแล้วบอกนี่ขาว อาตมาก็เห็นชัดๆอยู่แล้วว่าก็ดำคุณจะบอกว่าขาว ขาวคุณจะบอกว่าดำ มันจะได้เรื่องอย่างไร
_สู่แดนธรรม… ถ้าพ่อท่านแปลก็จะแปลว่า ไม่จำเป็นต้องสัมผัสวิโมกข์อีก
พ่อครูว่า… น เหวโข คือไม่ต้องอีกแล้วนั่นแล คือผ่านแล้ว มีแล้ว ไม่ต้องไปกล่าวคำว่ากายอีก ละไว้ในฐานที่เข้าใจ ไม่ต้องกล่าว สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายอีก เพราะว่าผ่านมาตั้งแต่ ทิฏฐิปัตตะ กายสักขีแล้ว
ก็ท่านไปแปลง่ายๆเข้าใจลวกๆว่ามี น ต้องบอกว่าไม่เลย ตีทิ้งเลย
_สู่แดนธรรม… แปลอย่างท่านก็แปลผิดเลย แปลว่า ไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายสักหน่อยเลย
พ่อครูว่า… ที่จริง ผู้สัมมาทิฏฐิแล้วไม่ต้องพูดเลย ท่านปฏิบัติทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ลืมตามาตลอดไม่ได้ไปหลับตาทำ แต่ทีนี้ เพราะเขามิจฉาทิฏฐิในเรื่องปฏิบัติธรรมหลับตา มันก็เลยมั่วซั่วไปหมดเลย แปลพยัญชนะ ก็เลยไปกันใหญ่เลย
คนละวาที อาตมากับฝั่งโน้น คนฟังดูก็เลือกเอา แยกแยะตัดสินเองว่าอันไหนเป็นธรรมะอันไหนเป็นอธรรม ก็แล้วแต่คน ที่สุดก็คือตัวเองเป็นผู้ตัดสิน
คุณสว่างแสงว่ามานี้ก็ต้องเป็นอาริยบุคคล มีปัญญาก็เห็นทุกข์อริยสัจ เป็นอริยบุคคลไปตามลำดับ
_ฟ้าเจือศีล จากปัญญา8 เล่ม2 หน้า150 รบกวนพ่อท่านขยายความคำ(วินิพโภค) และ(วินิพภุชติ) 2คำนี้ต่างกันอย่างไรคะ
พ่อครูว่า… มันไม่ต่างกันหรอก คำหนึ่งเป็นคำกิริยา อีกคำหนึ่งเป็นคำนาม
วินิพโภค แปลว่า แยก
วินิพภุชติ แปลว่า ทำการแยก เกี่ยวกับการแยก เป็นคำนามโดยตรง เป็นตัวการแยกเลย เป็นตัวเกี่ยวกับการแยก แค่นั้นที่ต่างกัน
สัจจะของผู้ถูกและผู้ผิด ควรกล่าวอย่างไรต่อกัน
_Here Thoon เฮีย ทูน · กลับมาเผยแผ่โลกุตระธรรมดั่งเดิม ลดละเรื่องโลกิยะ
พ่อครูว่า… อาตมาพูดบรรยายธรรมะนั้น ต้องมีโลกิยะเป็นเครื่องประกอบจึงจะเผยแพร่โลกุตระได้
_( 3 คอมเม้นท์ต่อไปนี้ อยู่ใต้คลิป สมณะ ๓ รูป แสดงธรรมวันเสาร์ พุทธศาสนาตามภูมิ ภาคทบทวน โดยสมณะเดินดิน ส.ดินไท และ ส.แสนดิน)
-
อยากให้ทางใครที่ท่านสอนคนละอย่างกัน ไม่อยากให้ไปพูดถึงท่านอี่น มันดูไม่ดีจะทำให้ท่านเสียมากกว่าได้
พ่อครูว่า… ขอบคุณที่เตือน อาตมาทำตามที่คุณขอไม่ได้ การที่สอนกันคนละอย่างนี่แหละมันจำเป็นที่จะต้องอธิบายกัน แล้วก็พูดถึงกันและกัน คนผิดเขาผิด เขาไม่รู้คนถูกหรอก เขาจะพูดถึงคนถูกไม่ได้ ส่วนคนถูกนั้นจะรู้คนผิด จึงต้องพูดถึงคนผิดเสมอ คุณยังไม่มีปฏิภาณปัญญาพอที่จะเข้าใจความจริงนี้ได้จึงว่าอาตมา ถ้าคุณมีปัญญาคุณจะไม่ว่าอาตมา เพราะผู้ที่ถูกนั้นจะต้องรู้ทั้งถูกและผิด ส่วนผู้ที่ยังผิดอยู่นี้ไม่มีปัญญารู้ถูก เพราะฉะนั้นจะไม่กล่าวถึงผู้ถูกได้จะไม่อาจเอื้อม แต่พูดถูกนั้นรู้จักผู้ที่ผิดแล้วมีเมตตา มีความกรุณาปราณี มีความสงสาร มีความเห็นใจ จะเกื้อกูลช่วยเหลือจึงต้องพูดถึงผู้ผิด
เพราะฉะนั้น คนที่ไม่เข้าใจจะปรามผู้รู้จะห้ามผู้รู้ แล้วผู้ที่ไม่มีภูมิปัญญาพอถูกปรามถูกห้าม ก็จะหยุด แต่อาตมาขออภัย อาตมาหยุดไม่ได้หรอกเพราะมันเป็นสัจจะที่อาตมาเลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดความถูก โดยไม่มีสภาพ 2 จะมาพูดความถูก ความถูกจริงๆจะมีสภาพ 2 คือผู้นั้นจะต้องรู้ความผิดด้วย แล้วไม่ทำผิดอีก จึงเป็นผู้ถูก
ส่วนผู้ที่ผิดนั้นเขาไม่รู้ถูกเลยเขาก็จะทำแต่ผิด หรือเขาจะเริ่มรู้ถูกบ้างเขาก็จะเริ่มมีความรู้ 2 มากขึ้น มากขึ้น จนกระทั่งเต็มถูก ถึงจะรู้ผิดเต็ม แล้วคุณก็จะอยู่กับถูกเต็ม
_• อย่าไปพูดถึงพระท่านอื่นเลยนะค่ะ
พ่อครูว่า… ขออภัยเถอะคุณห้ามผิด ไม่พูดถึงไม่ได้ ถ้าไม่พูดถึงแล้วก็พูดลอยลงไป คนจะเข้าใจยากเพราะไม่มีตัวอย่าง แบบนี้ไปว่าไปแล้วมีคนเป็นอย่างที่ว่าหรือเปล่ามันก็ไม่ได้เรื่อง
เพราะฉะนั้นคนที่พูดแล้วอธิบายถูก เมื่อเห็นคนผิด ก็จะต้องนำมาเพื่อที่จะยืนยัน มีคำสอนอยู่อันนึงบอกว่า อย่าพูดกระทบตนกระทบท่าน อันนี้เป็นคำพูดที่โมฆะ
เพราะคุณพูดถึงความถูกความผิด มันก็ต้องกระทบคนทั้งคู่ พูดความถูกก็กระทบคนถูก พูดความผิดก็กระทบคนผิด นอกจากไม่มีคนถูก คุณพูดอย่างไรก็ไม่มีกระทบเพราะคนถูกไม่มี เมื่อคนถูกไม่มีจะพูดอย่างไรก็ไม่มีทางกระทบคนถูก เพราะคุณผิดอยู่คุณก็พูดแต่ผิดๆ
ส่วนถ้ามีคนถูก คนถูกก็จะพูด ก็จะต้องพูดถูก แล้วจริงๆคำพูดคนถูกนั้นอย่างน้อยก็มีของตัวเราเอง ตัวของผู้ถูก เมื่อเกิดคนถูกขึ้นมา
เช่น อาตมาเป็นคนถูก เกิดมาในยุคนี้มันไม่มีใครถูกในเรื่องโลกุตระ อาตมาเอามาพูดโลกุตระจึงต้องพูดทั้งถูกและผิด
ส่วนคนผิดที่มีกันอยู่เก่า มันไม่มีแล้วคนรู้โลกุตระ คุณก็ไม่มีสิทธิ์จะพูดถูก ก็ไปพูดแต่คนผิด ไปกระทบกับคนผิด คนผิดก็พูดกระทบกับคนผิดไป แล้วก็รู้ว่าใครผิดมากผิดน้อยลงตัวว่าไม่ผิด
ผู้ผิดมากอาจจะบอกคนผิดน้อยว่าผิดมากก็ได้ ผู้ที่ผิดน้อยอาจจะพูดกับคนที่ผิดน้อยว่ามากก็ได้ ก็มันโง่ คนผิดที่รู้ความไม่จริงก็ผิดมันก็ตู่กันไปตู่กันมาเท่านั้นเอง
ฟังธรรมะดีๆ แล้วก็ตามให้ถึงที่เลย พิสูจน์กันให้ถึงเนื้อแท้เลย ว่าทำแล้วมันเป็นได้ไหม มันยาก มันทวนกระแสได้ไหม เอาคำสอนพระพุทธเจ้ามาเทียบเอาพระสูตรไหน เอาพุทธพจน์เข้าไหนข้อไหนเอามายืนยันกันไป อันไหนมันเข้ากับเรื่องราวเหตุการณ์รูปนามนั้นๆ มันก็รู้กันได้
สภาวธรรมของสัทธรรม 7 อย่างฉายหนังช้า
_• ฟังธรรมจากท่านสมณะ 3 ท่าน ได้สาระประโยชน์ 3 มุม (สนุกที่ทำให้รู้จักกิเลสของตัวเอง) เตือนให้ไม่เผลอกับสติ
พ่อครูว่า… ผู้ที่อธิบายไปแล้วคนฟังก็ทำให้เราเกิดรู้จักกิเลสตัวเอง นี่ก็คือตัวประโยชน์แท้ ของโลกุตระด้วย พูดอธิบายไปแล้ว สอนไปแล้วทำให้ เกิดรู้จักกิเลสตัวเองอ่านกิเลสตัวเองออก เมื่อกิเลสจริงคือเกิดในขณะปัจจุบัน กระทบสัมผัส ปั๊บ กิเลส มันก็เกิดมาพร้อมกับสังขาร คุณก็จะรู้ว่าอันนี้เป็นกิเลส คุณจะมีปฏิภาณปัญญาฉลาดมาก หรือน้อยแล้วแต่ รู้ว่าอันนี้เป็นกิเลสของเรา ในขณะที่สัมผัสเกิด นั่นแหละเป็นตัวเป้าหลัก เป้าหมายหลัก ที่ให้คนฟังธรรมแล้วเอาไปใช้จริง
เมื่อสัมผัสจริง กิเลสจริง คุณมีไหวพริบแล้วรู้จักกิเลสจริง แล้วคุณก็จะต้องฝึกสร้างบุญ สร้างปัญญา หรือสร้างฌาน สร้างพลังงานทางจิตนั่นแหละ ให้มันลดละกิเลสนั้นได้
เพราะฉะนั้นคนจะมีอาการลดกิเลสได้ ฟังประเด็นนี้ดีๆ เมื่อสัมผัสแล้วเห็นกิเลสตัวเองแล้ว กิเลสจะลดได้นั้น เกิด ท่านเรียกว่าเกิดสัทธรรม 7 คือ กิเลสลดได้
-
ศรัทธา ถ้าหากศรัทธาที่เกิดจากสัทธรรม 7 จะมีปัญญาร่วมด้วย แต่ถ้าเป็นศรัทธาที่ปัญญายังไม่เข้าไปร่วมมาก ก็จะเริ่มรู้น้อยๆ ศรัทธายังไม่มีปัญญาเข้าไปร่วมมาก จะเริ่มรู้น้อยๆ