660605_พิธีน้อมกตัญญูบูชา พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ งานอโศกรำลึก 2566 ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1Y_Koa2qO5LmYdm2VqUS8eqdAORVfICJY/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1XAFQD4D1-aKbAVCyXuDcP5S9Dl_YQv7-/view?usp=sharing ยูทูป https://youtu.be/Sd2cIqpaGyA และ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/259546276730316 สมณะเดินดิน ติกขวีโร นำพาลูกๆ กล่าวคำบูชาพ่อครู พิธีน้อมกตัญญูบูชาพ่อครู เริ่มด้วย ขอกราบคารวะพ่อครูและหมู่สงฆ์ ด้วยความเคารพอย่างสูงจากนั้น จึงเกริ่นกล่าว ตั้งนะโม (๓ จบ)…ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ซึ่งเป็นแสงสว่างของโลก ผู้ทรงประทานเส้นทาง แห่งความพ้นทุกข์ ให้แก่มวลมนุษยชาติ ด้วยการประกาศอาริยสัจ 4 และมรรคมีองค์ 8 ซึ่งมีสัมมาทิฎฐิ 10 เป็นเข็มทิศนำทาง ไปสู่ความหลุดพ้น จากทุกข์ทั้งปวง ณ บัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้ก้าวพ้นความสงสัย และมีความเชื่อมั่นกันว่า อัตถิ ทินนัง ทานมีผลจริง อัตถิ ยิตถัง ยัญพิธีมีผลจริง อัตถิ หุตัง พิธีปฏิบัติ จนเกิดผลที่จิตมีจริง อัตถิ สุกฏ ทุกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก การทำดีทำชั่ว มีผลดลบันดาลได้จริง อัตถิ อยังโลโก โลกโลกีย์นี้มีจริง อัตถิ ปโรโลโก โลกหน้า คือโลกโลกุตระ มีจริง อัตถิ มาตา อัตถิปิตา แม่และพ่อ ผู้ให้กำเนิด ทางจิตวิญญาณ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย มีจริง อัตถิ สัตตา โอปปาติกา การก่อเกิดทางจิตวิญญาณมีจริง อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญจ โลกัง ปรัญจ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ สมณพราหมณ์ผู้รู้แจ้ง โลกนี้ โลกหน้า ด้วยตัวเอง แล้วประกาศ ให้ผู้อื่นได้รู้ตามมีจริง และบัดนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ก็ได้มีที่พึ่ง ที่อาศัย ในสมณพราหมณ์ ที่เป็นผู้รู้แจ้ง ทั้งโลกนี้ โลกหน้า ด้วยตัวเอง คือพ่อครู สมณะโพธิรักษ์ ผู้นำสัมมาปฏิบัติ จนส่งผลให้ข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้เกิดแสงสว่างในชีวิต อันมีสัมมาทิฏฐิ 10 และสัมมามรรค สัมมาผล ตามธรรม สมควรแก่ธรรม ในวาระครบรอบ 89 ปี ของพ่อครู ในการกอบกู้ศาสนาที่ผ่านมา พ่อครูได้ทุ่มเท ทั้งแรงกายแรงใจ ด้วยเลือดทุกหยด และเหงื่อทุกหยาด เพื่อประโยชน์และความสุข ของมวลมนุษยชาติ มาตลอด จวบจนวาระสำคัญในโอกาสนี้ ที่พ่อครูจะมีอายุ ขึ้นปีที่ 90 ข้าพเจ้าทั้งหลาย ซึ่งเป็นลูกๆที่ได้ชีวิตใหม่ ได้กำเนิดขึ้นใหม่ ทางจิตวิญญาณ ขอปฏิญาณตน ร่วมกันว่า… ข้าพเจ้าทั้งหลาย จะเข้าไปตั้ง ความละอายอย่างแรงกล้า ความเกรงกลัวอย่างแรงกล้า ความรักอย่างแรงกล้า และความเคารพไว้อย่างแรงกล้า ต่อพ่อครูผู้เป็นสัตบุรุษ จะเป็นผู้ไม่ประมาทในโทษภัยอันมีประมาณน้อย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง สัจจาธิษฐาน ที่เป็นปิตุบูชา ของข้าพเจ้าทั้งหลายนี้ จะเกิดจริงเป็นจริงได้ ก็เพราะการมุ่งมั่น เอาจริง และความเพียร พยายามอย่างแรงกล้า ของข้าพเจ้าทั้งหลายนั่นเอง … สาธุ ฤทธิ์แรงของการเปิดเผยสัจจะทำภิกษุกระอักโลหิต พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 5 มิถุนายน 2566 แรม 2 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก ตรงกับวันคล้ายวันเกิด อาตมาเกิดวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ 2477 วันนี้วันที่ 5 มิถุนายน 2566 66 กับ 77 ลบกันเหลือ 89 ปี แล้ววันนี้วันที่ 5 มิถุนายนก็เป็นวันที่อาตมาจะเริ่มต้นปีที่ 90 วันที่ 1 อาตมาเกิดประมาณไม่ได้รู้จักเวลาตกฟาก แม่ก็ไม่รู้จักเวลาตกฟาก บอกแต่ว่า เช้า พระกำลังเดินบิณฑบาตกลับเข้าวัด แล้วหลังบ้านเป็นวัด บ้านเป็นร้าน ที่จังหวัดศรีสะเกษ เห็นหลังไวๆ ตอนพระกลับจากบิณฑบาต บอกเวลาตกฟากได้เท่านั้นก็ประมาณเวลา 7:00 น พระต่างจังหวัดจะบิณฑบาตสายหน่อยก็ประมาณ 7 โมงกว่าๆไม่ถึง 8 โมง ก็ประมาณนั้น เกิดมาจนกระทั่งมาถึงวันนี้แล้ว 89 ปีกำลังจะย่าง 90 มาถึงวันนี้อาตมาก็ได้เปิดเผยตนเอง เปิดเผยด้วยความจริงใจเปิดเผยด้วยความตั้งใจเปิดเผยด้วยเมตตาจิตอย่างสมบูรณ์เต็มที่ เพราะมันเป็นความเปิดเผยที่สะอาดบริสุทธิ์ และก็เป็นความเปิดเผยจากคนที่ ขออภัยต้องกล่าวความจริงอีกว่า คนบริสุทธิ์คนสะอาด มีแต่ความจริงล้วนๆ ไม่มีสิ่งที่แฝงเลยแม้แต่นิดหนึ่ง สิ่งใดแฝงที่มันไม่ใช่ความจริงจะเล็กจะน้อยประมาณน้อยขนาดอณู ปรมาณูขนาดไหนก็ไม่มี มีแต่ความจริงล้วนๆเต็มๆ อาตมาได้เกริ่นกล่าวถึงเรื่องนี้มาหลายวัน พยายามเรียบเรียงคำพูดคำบรรยายคำที่จะอธิบายจะบอกกล่าวตรงๆ อาตมาก็พยายามที่สุดที่จะให้มันครบให้มันแม่น ให้มันถูกตรงจริงๆให้มันจริงให้มันชัดให้มันง่าย โดยอาศัยสิ่งที่อาตมาได้ใช้ชีวิตทางธรรม ประกาศตนเองแสดงตนเอง พาทำ แล้วก็มีผู้มารู้มาเห็นตามเข้าใจตามและกระทั่งออกมา เป็นชาวอโศกตั้งแต่นักบวช มาบวชตาม เอาชีวิตมาทางนี้อย่างไม่ถอยหลังอีก นอกจากวิบากของบางคนไม่ถอยหลังแต่สุดท้ายไปไม่รอดตกร่วงไปถอยหลังอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่หลุดออกไป หลุดออกไปมีบ้าง มีมิจฉาทิฐิติบ้างก็เป็นธรรมดาธรรมชาติที่มันมี สิ่งที่ขาดตกบกพร่อง error ย่อมเป็นธรรมชาติธรรมดาที่มีกระเซ็นกระสายกระดอนออกไปบ้างจากกลุ่มสัจจะที่แท้จริง ก็มีมาแต่มีน้อย นอกนั้นก็อยู่กันอย่างเป็นปึกแผ่นแน่นหนา อาตมาเองอาตมาพยายามที่จะเปิดเผยความจริงในวาระอายุ 90 อย่างให้ครบให้ถ้วนให้สะอาด ให้เข้าใจกันอย่างเต็มที่ พยายามเรียบเรียงคำพูดภาษาต่างๆให้ดีที่สุดให้ครบ ก็เท่าที่จะทำได้ สำหรับผู้ที่เข้าใจเชื่อถือได้อยู่เห็นจริงอยู่ ก็จะฟังได้ดี ส่วนผู้ที่ไม่เชื่อถือโดยเฉพาะยิ่ง ตรงกันข้ามกันเลย ไม่เชื่อเลย ขัดแย้งต่อต้าน มันก็อีกนัยยะหนึ่ง มันก็จะรู้สึก ฟังไม่ไหวหรือฟังไม่ได้ ก็ผู้ที่ฟังไม่ได้เขาก็จะไม่ฟังเลยเขาจะเลิกฟังแล้วมันทนไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสว่าท่านตรัสความจริงนี้ ตรัสความจริงใน 180 รูป เมื่อตรัสเสร็จแล้ว 60 รูปบรรลุอรหันต์เลย อีก 60 รูปลาสึก ส่วนอีก 60 รูปอาเจียนเป็นโลหิตออกจากปากตาย มีฤทธิ์แรงถึงขนาดนั้น ในการเปิดเผยความจริง การเปิดเผยความจริงมีฤทธิ์แรงขนาดแบ่งได้เป็น 3 ชนิด พระพุทธเจ้าตรัสเสร็จจบ มีสงฆ์ที่ร่วมนั้น 180 รูป 60 รูปบรรลุอรหันต์เลยพอฟังจบทันที อีก 60 รูป ยังเข้าใจไม่ได้ แต่ก็ขัดแย้ง ก็เลยถอย ลาสึก อีก 60 รูป ลาสึก อีก 60 รูปตายเลยอาเจียนเป็นโลหิตพุ่งออกจากปากตาย มันแรงถึงขนาดนั้น สัจจะนี่ ฟังดีๆ มันเป็นเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องสามัญ มันเป็นเรื่องสุดยอด ทำไมพ่อครูต้องประกาศอรหันต์ในยุคนี้ ตอน 1 มาฟังซ้ำอีกที เรื่องนี้ เรื่องจำเป็นแห่งจำเป็นมากที่สุดที่จะต้องบอกว่าตัวเองนี่ อาตมานี่ละ เป็นอรหันต์ และเป็นโพธิสัตว์ แล้วอาตมา ก็สาธยายความเป็นอรหันต์ สาธยายความเป็นโพธิสัตว์มาตลอด โดย เปิดเผยความเป็นโพธิสัตว์ก่อน ยืนยันว่า ตนเองเป็นโพธิสัตว์ ยังไม่ได้กล่าวคำว่าเป็นอรหันต์ อธิบายธรรมะพระพุทธเจ้าอธิบายโลกุตระนั่นแหละในความเป็นโพธิสัตว์มาเรื่อย แล้วในความเป็นโพธิสัตว์มีความเป็นอรหันต์ ก็ขยายความมาเรื่อยๆตามลำดับ คร่าวๆก็คือ โพธิสัตว์นั้นมีตั้งแต่เริ่มต้นจิตเข้ากระแสโลกุตระ เรียกว่าโสดาบัน จิตอารมณ์เข้ากระแส พอเริ่มเข้ากระแสจนไม่ตกต่ำเป็นธรรมดาเข้ากระแสจนเที่ยง จิตจะเที่ยง แล้ว จิตที่ เข้ากระแสสู่โลกุตรธรรมจะเที่ยงนั้นไม่ตกต่ำแล้ว ไม่พลิกผันแล้วมีแต่จะไปสู่ที่สุดที่สูง คือจบอรหันต์ทุกองค์ คือถึงขั้น นิยตะ โสดาบันมี 3 ขั้น 1 โสตาปันนะ 2 อวินิปาตธรรม 3 นิยตะ 4 สัมโพธิปรายนะ ไม่ตกต่ำคือจะไม่ตกร่วงไป แต่ไม่ออกนอกกระแส อาจจะตกต่ำถึงขั้นสึกไปเป็นฆราวาสแต่ไม่ออกนอกกระแส สุดท้ายอย่างมาก 7 ชาติเรียกว่า สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน อย่างมากที่สุด 7 ชาติก็ตั้งหลักได้และขึ้นสู่นิยตะ จริงแท้ที่จะบรรลุอรหันต์ได้แล้วก็ปฏิบัติต่อไป จนเป็นอรหันต์ไปแต่ละองค์ๆ ก็เป็นสกิทาคามี อนาคามี เป็นอรหันต์ได้ตามลำดับ นั่นคือกรอบของความเป็นอรหันต์ เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นอรหันต์ลำดับที่ 1 ก็คือโพธิสัตว์ระดับที่ 4 อาตมาก็ขยายความไปตามลำดับอธิบายมาเรื่อยๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องพูดเล่น ถ้าไม่มีความจริงเอามาพูด มันไม่ได้หรอก มันละเอียดละออกลับไปกลับมา สลับไปสลับมา ซับซ้อนลึกซึ้งมาก ถ้าเผื่อว่าไม่มีของจริงพูดไปประเดี๋ยวจะเลอะ เลอะแล้วก็เละเทะไปไม่มีลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ เพราะฉะนั้นอาตมาเกิดมาในชาตินี้ยุคนี้จึงจำเป็นมากที่สุดเพราะว่าสำคัญมากยิ่งจริงๆ เกิดมาชาตินี้ “อาตมา”จำเป็นมากที่สุดแห่งที่สุดที่ต้องบอก“ตัวเอง”ว่า “อาตมา” เป็น“อรหันต์” และเป็น“โพธิสัตว์” เกิดมาชาตินี้ ในยุคนี้ อาตมาจำเป็นมากที่สุด เพราะสำคัญมากยิ่ง และมันจำนนจริงๆ ไม่มีทางเลือกอื่นเลย ที่อาตมาต้องบอกว่าตนเองเป็นตัวจริง ของคนผู้บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าว่า อาตมาเป็น“อรหันต์”ก็ดี ว่าอาตมาเป็น“โพธิสัตว์”ก็ดี ซึ่งมันเป็น“ความจริง”ที่จริงที่สุด และยุคนี้มันไม่มี“อรหันต์จริง”หรือ“โพธิสัตว์จริง” กันแล้ว มันมีแต่“อรหันต์เก๊”หรือ“โพธิสัตว์เก๊”กันทั้งนั้น ต้องขออภัยอย่างสูงอย่างมากยิ่งที่สุด ที่การพูดเปิดเผยในวันนี้ ต้องพูดเป็น“คำตรง” เพราะฉะนั้น อาตมาจึงจำเป็น-จำนน-จำยอม-จำต้อง เอา “ตนเอง”นี้แหละ“ตัวแท้”ที่จะยืนยันเป็นหลักฐาน เพื่อเปรียบเทียบกับ“ความไม่จริง”ที่คนยุคนี้ไปหลงงมงายเข้าใจเชื่อผิดๆ หลงเชื่อถือผิดๆ อยู่กับ“อรหันต์ปลอม-อรหันต์เก๊”กันอย่างน่าสงสารสุดสงสารยิ่งนัก ซึ่งมันก็รู้“ความจริง”กันได้ยากสุดแสนยากยิ่งยอดอีกด้วย ว่า อย่างไหนจริง อย่างไหนเก๊ หรือยังไม่แท้!!! ในพุทธศาสนายุคกึ่งพุทธกาล พ.ศ. 2500 นี้ ความเสื่อมของคนชาวพุทธ มันเสื่อมกันสุดๆแล้ว มันมีแต่“อรหันต์เก๊” ไม่รู้จัก“อรหันต์จริง-โพธิสัตว์แท้” หรือมีแต่“อรหันต์”ที่ต้อง“เดา”เอาว่า ผู้นี้กระมังที่เป็นอรหันต์??..!! เพราะ“พระอาจารย์”หรือผู้เป็นปราชญ์ทางศาสนาพุทธยุคนี้ได้เพี้ยนผิดไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้าชนิด “กลับตาละปัตร” หน้ามือเป็นหลังมือกันเลยทีเดียว จึงสอนผิด เข้าใจผิด เชื่อผิด หลงงมงายไปชี้คนผิดที่เป็น“อรหันต์เก๊”ว่าเป็น “อรหันต์”มันก็หลอกคนอยู่ ซึ่งเขากล้าหลอกกันได้ถึงขั้นกล้ายืนยันผิดเพี้ยนไปได้ถึงขนาดว่า ผู้บรรลุธรรมนั้น ครั้นบรรลุธรรมแล้วจะบอกใครว่า “ตนเองบรรลุธรรม”ไม่ได้เป็นอันขาด ถึงกับพูดและเขียนว่า “ผู้บอกว่าตนบรรลุธรรมนั้นแหละคือผู้ไม่บรรลุธรรม” …บังอาจกันปานฉะนี้! อาตมาจึงจำเป็น-จำนน-จำยอม ไม่มีทางเลือกใดอีกแล้ว จำต้องใช้“ตนเอง”นี้แหละเป็น“เป้าให้ยิง”กันเลย ถ้าอาตมา“เป็นของเก๊”อาตมาถูกยิงเผาขนมาหนักหนาสาหัสมาป่านนี้ ถึงวันนี้ผ่านมา ถ้าอาตมา“ไม่ใช่ผู้อยู่ยงคงกะพัน”แท้จริง อาตมาก็ตายสลายแหลกราญไปเป็นผุยผงแล้ว ไม่อยู่ยงคงกะพันกันถึงวันนี้ วินาทีนี้หรอก อาตมาสามารถพิสูจน์ความเป็น“อมตบุคคล”กันให้เห็นอยู่จนถึงวันนี้ วินาทีนี้ ก็เพราะอาตมามี“ความเป็นอรหันต์แท้จริง” เป็น“ความจริงที่ข้ามชาติ”มาเป็นผู้“เปิดเผยความจริงในความเป็นอรหันต์”กันขึ้นในยุคนี้ อาตมาผู้เป็น“ของจริง”ก็อยู่ในยุคนี้ สมัยนี้ร่วมกันกับชาวพุทธทั้งหลาย ที่หลงงมงายอยู่กับ“ของเก๊”กัน อาตมาเห็นแล้ว จึงจำนน-จำเป็น-จำยอม จำต้องยืนยัน“ตนเอง” บอกตนเอง ขึ้นมาท่ามกลางสังคมยุคนี้สมัยนี้ เพื่อให้สังคมรู้“ความจริง”ด้วยจริงใจใสซื่อ มียืนยันในสัมมาทิฏฐิ 10 ในพระไตรปิฎกที่ทั้งธรรมยุติและมหานิกายใช้อ้างอิงเชื่อถือตรงกัน เอาแต่ข้อที่10 เริ่มต้น ในยุคใดที่มีผู้เป็น สยังอภิญญา อุบัติขึ้นมา ผู้สยังอภิญญา จะมีคุณธรรม เป็นผู้ดำเนินถูกต้องปฏิบัติถูกตรงแท้จริง ก็จะประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง อยังโลโก ปโรโลโก เพราะท่านเป็นผู้รู้ยิ่งด้วยตนเองมาแล้วจริง ก็อาตมานี่แหละ สยังอภิญญา เป็นผู้ที่รู้ยิ่งด้วยตนเองมาแล้วจริง ข้ามชาติมา สยังอภิญญาคือผู้รู้ความจริงในความเป็นจริงที่สัมมาทิฎฐิ 9 ข้อนั้น ข้อที่ 10 ระบุไว้ว่าท่านคือ สยังอภิญญา จะเป็นผู้เปิดเผยความจริงที่รู้แจ้งด้วยตนไม่ว่าโลกนี้โลกหน้า อย่างไร หรือความละเอียดลออ ของสัจธรรมก็จะสัจฉิกัตวา เอาความจริงที่รู้แล้วมาเปิดเผยให้กระจ่างแจ้ง เริ่มต้นตั้งแต่ สัมมาทิฏฐิ ข้อที่ 1 คือ 1.ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด) (อัตถิ ทินนัง) การทำทานคือการให้ เรามีของๆเราเยอะแยะเลย เราระกำ เรามังคุดสับปะรดเงาะเรามีมาก เราก็เอาไปให้ ทาน เอาไปให้ ทินนังคือให้แล้วเป็นอดีต เป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้วจบแล้วเสร็จแล้วเป็น Past perfect tense ให้ไปแล้ว การทำทานที่ให้ไปแล้วมีผลไหม หรือไม่มีผล ทุกวันนี้เขาสอนเรื่องทานกันก็ไม่มีผล โดยเฉพาะผลโลกุตรธรรม จริง เขาทานแล้วมีผลโลกียะอยู่ ให้ของให้เงินให้ข้าวให้น้ำ ให้วัตถุสมบัติ หรือแม้แต่ให้กำลังกาย ให้แรงงาน ให้ความรู้ให้สัจธรรม ก็ได้ให้ทั้งนั้น ผู้ที่ได้ให้ไปโดยที่ตัวเองยังไม่มีภูมิธรรมพอ ก็จะให้กันแล้วก็จะมีผลแค่เป็นกุศล สิ่งที่เราให้แก่ผู้อื่นนั้น ถ้าสิ่งนั้นเป็นของไม่ดี ก็จะเป็นบาป ไม่มีกุศล เป็นอกุศล เช่น ให้อาวุธ ให้สัตว์เป็น ให้สัตว์ตาย(ให้เนื้อสัตว์นั่นเอง) ให้ของเป็นพิษ ให้ของที่มอมเมา แค่ให้นะ คุณไม่ได้ขาย ถ้ายิ่งคุณขาย เรียกว่า มิจฉาวณิชชา 5 บาปหนักเข้าไปอีก มิจฉาวณิชชา 5 1.การค้าขายอาวุธ (สัตถวณิชชา) 2.การค้าขายสัตว์มีชีวิต (สัตตวณิชชา) 3.การค้าขายเนื้อสัตว์ (มังสวณิชชา) 4.การค้าขายสิ่งมอมเมา (มัชชวณิชชา) 5.การค้าขายสิ่งที่เป็นพิษ (วีสวณิชชา) (พตปฎ. เล่ม 22 ข้อ 177) ให้อาวุธไปฆ่าคนนั่นแหละเลว ศาสนาพุทธถึงขั้นไม่มีตัวตนใครจะฆ่าเรา เราก็ให้ฆ่า แล้วก็ตาย เราก็ไม่มีปัญหาอะไร ตายไปแล้วก็เกิดมาดีกว่าเก่า เจริญกว่าเก่านะ เพราะว่าจิตใจของเราไม่อาฆาตพยาบาท แต่ถ้าคุณอาฆาตพยาบาทคุณก็ไม่เจริญ เพราะฉะนั้นใน 5 อย่างนี้ไม่ใช่ไปขาย ให้ทานด้วยซ้ำ บาป ทานอาวุธให้อาวุธก็บาป มีคนไม่รู้เรื่องเทวนิยมทำเก่งสร้างอาวุธได้มากๆ ก็เอาไปแจกให้เขา เอาไปทำไม ให้เขาไปฆ่าคน คุณให้เขา คุณก็บาป คนเอาไปฆ่าก็บาปด้วยกันซ้ำซ้อนไปอีกตั้งเท่าไหร่ เขาไม่รู้เรื่องหรอกเรื่องกรรมวิบาก คนพวกนั้นทำแล้วก็จะวนเวียนอยู่ในนรกหมกไหม้ซ้ำซ้อนหนักหนาสาหัส เพราะฉะนั้นผู้ใดละเว้นเลิกการฆ่า เลิกการใช้อาวุธในศีลข้อการทาน ทินนัง ในการทาน เพราะฉะนั้นถ้าทานผิดๆ ดังกล่าวแล้วก็เป็นการทานที่บาป เข้ามาลึกไปอีก ทานอย่างไร ทีนี้ไม่ใช่ทานสิ่งที่เป็นบาป ทานเนื้อสัตว์ อาวุธ สิ่งเป็นพิษมอมเมาอันนั้นเป็นบาปแน่นอน ทีนี้ ทาน ที่ไม่เป็นของบาป ให้ข้าวให้น้ำเป็นต้น แต่คุณทานแล้ว นัตถิทินนัง ทานแล้วได้กุศลแต่ไม่ได้บุญ ทานข้าวไม่ใช่ของมิจฉา 5 อย่างดังที่กล่าวไปแล้ว แต่ทานปัจจัย 4 อันอื่นที่ไม่ถึงขั้นเป็นพิษเป็นภัย ใช้ประโยชน์ได้ ก็ยังไม่บาป แต่นี่ดีเลย ทานปัจจัย 4 ทานข้าว ผ้า ยา ที่อยู่ คุณทานแล้วคุณทำใจในใจ ไม่เป็นอานิสงส์ไม่เป็นผลอะไร อาจทานแล้ว คุณก็ให้เขาด้วยจิตใจว่าให้ แต่คุณยังหวง ยังยึดเป็นของเรา เธอจะต้องเหมือนกับให้เขาแล้ว เขาจะต้องมาใช้หนี้เราคืน เราให้ 5 บาทคุณเอา 5 บาทมาคืน ดีไม่ดีให้ 5 บาทเอาไปออกดอกออกผลดอกเบี้ยต้องมาคืนรวมกัน เกินกว่า 5 บาท ยิ่งราคามากขึ้นก็ยิ่งตะกละตะกรามยังมีความโลภยังมีความเป็นตัวตน ทั้งโลภ ทั้งมีตัวตนไม่ปล่อยไม่ขาดยังไม่ว่างไม่วางจากตัวตน ทานแบบนี้ พุทธเจ้าถือว่าทานแล้วไม่มีผล หรือแม้แต่แค่ทานแล้วหลงภพชาติ ทานแล้วจะได้ไปอยู่สวรรค์ ทานแล้ว จะเป็นสมบัติที่เราไปกินไปใช้หลังจากที่เราตายไปแล้ว ทานไปแล้วจะได้สะสมใส่คลังไว้เป็นของเราไปอีกนาน การคิดพวกนี้ยังไม่เป็นทานที่มีอานิสงส์สมบูรณ์ แม้แต่ทานแล้ว ส่งไปให้คนนั้นคนนี้ที่ตายไปแล้วเป็นเจ้าของเจ้าของ ส่งให้พ่อให้แม่ที่ตายไปแล้ว ให้ปู่ให้ย่าที่ตายไปแล้ว เป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งนั้นไม่มีคำสอนอย่างนี้ในคำสอนพระพุทธเจ้าเลย ไม่รู้เอามาปนจาก เดียรถีย์ ศาสนาอื่นที่สอนกันผิดๆ มาใส่ไว้เมื่อไหร่ไม่รู้แต่อาตมายืนยันว่าผิดเต็มสังคมศาสนาพุทธ ทีนี้ ทาน ที่มีผลมีอานิสงส์เป็น อัตถทินนังคืออย่างไร คือทานแล้วตัดสูญเลย ล.23 ข.49 ทานสูตร ทานที่ให้แล้วมีอานิสงส์คือ ทานที่ให้แล้วตัดขาด ไม่มีหวังจะเป็นเราเป็นของเรา ทานแล้วตัดจบขาดเลยนึกว่า ไม่มีสาเปกโข ไม่มีความหวังต่อจากการให้เลย ให้แล้วจบไม่ต้องจำก็ได้ ไม่ต้องจำว่าเราได้ให้ทานเลย จบ นี่คือทานที่มีอานิสงส์สูงสุดเพราะทานอย่างไม่มีภพ ไม่มีชาติ ทานอย่างตัดภพตัดชาติ ทานอย่างสมบูรณ์แบบ นี่คือทานอย่างมีอานิสงส์สูงสุด ถ้ายังทานแล้วก็หยาดน้ำกรวดน้ำ ส่งไปให้ผู้ตาย ส่งไปให้วิญญาณนั่นนี่เป็นเจ้าข้าวเจ้าของตามไปอยู่ทั้งนั้น ทั้งๆที่จริงๆแล้วมันไม่มีผล ส่งไปอย่างไรมันก็ไม่ถึง เอาไปให้ผู้ใดก็ไม่ได้ กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กัมมังสัตเตวิภัชติ กัมมุนาวัตตติโลโก กรรมเป็นของตนแต่เพียงผู้เดียวไม่มีถ่ายทอดให้ใครได้ ใครจะรับมรดกจากกรรมของเราไม่ได้ กรรมของเราดีชั่วบาปบุญของเราเองคนเดียว ไม่มีผู้ต่อ แบ่งให้ลูกให้หลาน แบ่งผู้ที่จะรับช่วงจากของเราไม่ได้ กรรมเป็นของของตน ตนเป็นทายาทของกรรม ตนรับมรดกกรรมของตนเองรับแต่เพียงผู้เดียว ทำให้เป็นของใครอื่น จะสืบทอดเป็นมรดกให้คนอื่นไม่ได้ เป็นของตนเท่านั้น แค่กรรมเป็นของๆตน ตนเป็นทายาทของกรรม พยัญชนะว่าอย่างนี้ ก็ยังเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ ถ้าผู้ใดสัมมาทิฏฐิแล้วจะรู้เลย เรื่องกรรมนี้อย่าไปคิดต่อกับใครเลย เป็นเรื่องของตนทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นกรรมที่เป็นกุศลหรืออกุศลแบบโลกีย์ ยิ่งกรรมเป็นโลกุตระเป็นบาปเป็นบุญ ซึ่งยิ่งละเอียดลึกซึ้ง บุญคือกำจัดกิเลส บาปก็คือกิเลส เพราะฉะนั้นผู้ที่เลิกกิเลสได้ มีปัญญาตัดกิเลสที่มีอยู่ ล้างจนหมดสิ้นเกลี้ยงจากจิตแล้วในเรื่องใดๆ เรื่องนั้นๆตัดขาดอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว หมดบาป หมดอกุศล หมดสิ่งที่จะไปสืบต่อไม่ดี หรือจะต้องตัดกิเลสอีกก็ไม่ต้องแล้ว หมดแล้วจบ บุญจึงมีหน้าที่ตัดกิเลสแล้วก็จบ บุญก็เลิก สำหรับกิเลสตัวไหนที่บุญจัดการแล้ว บุญก็ไม่มีหน้าที่มาทำการจัดการกับกิเลสตัวนั้นอีกแล้ว บุญก็ไม่มีตัวตนอีก ผู้ใดตัดกิเลสตัวไหนดับสิ้นไม่เกิดอีกแล้ว กิเลสตัวนั้นดับสิ้นไม่เกิดอีกแล้ว ก็ไม่ต้องมีบุญมาทำงานกับกิเลสอันนี้อีกแล้ว จะเอามันมาทำไม จะใช้มันอีกทำไม ก็ไม่ใช้มันแล้ว มันไม่เกิดอีกเด็ดขาด นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) มันจบแล้วจบเลย ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาที่จบกิจ เป็นศาสนาที่จบได้เด็ดขาดไม่มียึกยัก ไม่มีวนเวียน ไม่มีวอแวอะไรเลย ขาดแล้วจบ คำว่า จบกิจ กตํ กรณียํ นารํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ จึงเด็ดขาดอย่างนี้ มันไม่สุขทุกข์อีก เช่น ถ้าเราเข้าใจสภาพของเศรษฐกิจ ก็ทำเรื่องของเศรษฐกิจให้มันจบกิจ ของเศรษฐกิจ ก็ไม่ต้องมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจอีก แก้ปัญหาการเมือง คุณทำการเมืองในกรอบการเมืองทุกคนในสังคม คุณก็ไม่ต้องมาแก้ปัญหาเรื่องการเมืองอีกมันจบกิจของการเมือง อย่างชาวอโศกปัญหาเศรษฐกิจจบกิจ ไม่ต้องแก้ปัญหาเศรษฐกิจอีกเลย เศรษฐกิจไม่ขาดแคลน มีอะไรกินใช้มีเครื่องอาศัยในสังคมนั้นๆ หมุนเวียนไม่ขาดตอน ไม่ขัดข้อง อยู่อย่างพออยู่พอกิน ดีไม่ดีเศรษฐกิจดี คือให้ผู้อื่นได้ด้วย สละให้ผู้อื่นได้ด้วย ทานให้แก่ผู้อื่นได้ด้วย แจกจ่ายผู้อื่นได้ด้วย ไม่ต้องไปขาย ไม่ต้องไปแลกเปลี่ยนอะไรคืนมาด้วย ให้ฟรีๆเสียสละจริง นี่คือ ผู้เสียสละ แล้วไม่อยากได้อะไรตอบแทนคืน ไม่ถือว่าเป็นหนี้ มีแต่ให้เสียสละให้ นี่คือคนที่เศรษฐกิจดี แม้คนนี้จะเป็นคนจน เป็นคนไม่สะสมไม่มีคงคลัง แต่ก็พึ่งสมรรถนะกับความขยันของเขา และของหมู่ ต่างขยัน ต่างมีสมรรถนะ ต่างทำสร้างสรรค์ขึ้นมา ผลผลิตที่ควรสร้างแล้วก็สร้างสิ่งที่ควรสร้าง อาศัยกิน อาศัยใช้ และคนอื่นก็อาศัยกินใช้ เพราะเป็นของอาศัย เป็นอาหารของมนุษย์ในโลก แล้วก็แจกจ่ายเผื่อแผ่กันเหมือนที่เราๆทำ ศาลาปันสุข เราก็ได้จากไป ดูบอกไว้ของเราแบ่งให้กินได้ สม.กล้าข้ามฝัน… ตอนนี้จะเอาที่ร่มโพธิ์ร่มไทรเป็นหลัก พ่อครูว่า… อ้อ เข้ามาเลยอยู่ข้างในนี้คนทั้งหลายได้ยินได้ฟังก็บอกกัน ถ้ามีก็ได้ไป ถ้าพวกเราเก็บมา ก็ได้แบ่งกันไปเอาไป เพราะพวกเราเผื่อแผ่ เพราะฉะนั้น ผู้ที่แก้ปัญหาเศรษฐกิจกลุ่มของสังคมตนเองจบกิจแล้วก็ไม่เดือดร้อน พออยู่พอกินเหลือเฟือแบ่งแจกได้ก็ทำกัน มันจะเป็นเรื่องปรากฏการณ์จริง เป็นพฤติกรรมจริงทำกันจริงๆเห็นๆไม่ได้พูดเล่น เป็นสิ่งที่เป็นสัจธรรมพิสูจน์ได้ ยืนยันได้ จับต้องได้ เพราะฉะนั้นเรื่องทานจึงเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด เป็นเรื่องเริ่มต้นและเป็นเรื่องกลางและเป็นเรื่องปลายสุด เรื่องทาน แม้ที่สุดชีวิตจบเป็นอรหันต์ เป็นโพธิสัตว์ก็มีแต่เรื่องทานเรื่องเดียว เริ่มต้นเป็นอรหันต์ ก็สมบูรณ์แบบแล้วในเรื่องการทาน ก็จะทานได้หลายอย่าง ทานทั้งวัตถุ ทานพลังงาน แรงงาน แรงกาย ทานทั้งความรู้ ทานทั้งคุณธรรมต่างๆโลกียธรรม โลกุตรธรรมเป็นธรรมทานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นโพธิสัตว์จะเข้าใจเรื่องนี้แม้แต่ในความเป็นทาน ยังดีที่สุดละเอียดละออวิจิตรพิสดารในเรื่องการทาน เพราะฉะนั้น การทานที่ยังเป็นโทษเป็นภัย ทานสิ่งที่เป็นมิจฉาฯ (พ่อครูไอตัดออกด้วย) _สู่แดนธรรม… วันนี้เป็นวันที่เราจะได้ตั้งใจสดับฟังธรรมะที่พ่อท่านจะได้มาช่วยบอกความสำคัญในวันนี้ ย่าง 90 แล้ว คงจะเอาของเก่ามาขยายให้ละเอียดขึ้น คนทั่วไปมักคิดว่า เป็นเรื่องธรรมดา พ่อครูว่า… ยิ่งใหญ่ จนกระทั่งคนเอาคำว่าทานไปใช้งาน เพื่อจะสร้างอำนาจ ให้อาวุธแก่พวกเธอ พวกเธอจะต้องอยู่ในอำนาจ ฉันนะ ฉันสร้างอาวุธได้เก่งได้วิเศษมีประสิทธิภาพสูงมาก อำนาจการฆ่าการทำลายเจ๋งเลย ให้ใครไปจำนวนมากพอสมควร คุณจะต้องอยู่ใต้อาณัติของเรา ใช้เป็นเรื่องสร้างอำนาจบาตรใหญ่ _สู่แดนธรรม… ตอนผมเข้ามาตอนแรก พ่อท่าน ออกนโยบายไม่ให้ใครบริจาคเงินให้เราอย่างง่ายๆ เพราะป้องกันคนมาแสดงอำนาจว่า ฉันให้เงินคุณ คุณต้องตอบสนองความต้องการของเรานะ ก็ยังไม่มีองค์กรไหนจะทำอย่างพ่อท่าน ใครจะมาทำบุญต้องผ่านด่าน พ่อครูว่า… จะมาทำทาน จะมาบริจาคให้แก่เรา จะต้องมาคบคุ้นศึกษาเราเสียก่อนถึง 7 ครั้ง หรืออ่านหนังสือเราอย่างน้อย 7 เล่ม นี่เป็นหลักเกณฑ์ของเรา เพราะฉะนั้นคนที่มาใหม่ๆยังไม่รู้เรื่องอยากจะทำทานเผื่อไปตามโลกเขา นึกว่าเราจะรับง่ายๆ โอ้โห เคยมีคนมา ยิ่งต่างประเทศมา ยื่นมาเลยบอกว่า คุณไม่มีสิทธิ์จะทำทาน ก็ต้องบอกเขาดีๆ คนที่เขาตั้งใจให้ของเรานะถ้าเราบอกไม่ดีเราตายนะ หนอย เราจะให้อย่างบริสุทธิ์ใจอยากจะให้ คือมันหลงตนเอง เราเองก็มีหลักเกณฑ์ของเราซึ่งทำให้ยากมากเลยแต่เราก็ทำมาสำเร็จ _สู่แดนธรรม… องค์กรที่เป็นมหาอำนาจของโลกจะใช้นโยบายอย่างนี้ล่ะครับ ให้ทุนไป ประเทศที่รับทุนไปก็จะเกรงใจไม่กล้าขัดขืน พ่อครูว่า… นี่แหละที่อาตมาใช้โศลกหรือม็อตโต้ว่า เลวที่สุดในแผ่นดินคือหากินบนคำว่า ช่วยเขา … นี่แหละผู้ที่บอกว่าฉันจะช่วยเธอแล้วจะสร้างอำนาจบาตรใหญ่ให้ เช่น นักการเมืองกำลังจะใช้นโยบายบอกว่าเอาฉันไปมีอำนาจ ฉันจะช่วยทำอย่างนั้นอย่างนี้ อยู่ในเกมที่อาตมาว่านี้ เลวที่สุดในแผ่นดินคือหากินบนคำว่า ช่วยเขา ลักษณะนี้สังเกตดีๆ คนที่สัญญิงสัญญาว่าจะให้อย่างนู้นอย่างนี้แล้วก็ทำไม่ได้หรอก คุยได้คุยโม้ แต่คนที่ไม่พูดว่าจะให้ อาจจะบอกโครงการอาจจะบอกคร่าวๆ ต้องการกันอีกไหม ก็ไม่ได้มาเซ้าซี้ทำเป็นโฆษณาว่าเป็นเรื่องที่ฉันจะทำให้ เลือกฉันสิเอาฉันไปเป็นผู้มีอำนาจ ฉันจะใช้อำนาจทำให้ นี่คือความละเอียดลึกซึ้งตรงนี้ โดยเฉพาะในเรื่องนักการเมือง ศึกษาดีๆเถอะเรื่องนี้ละเอียดละออมาก เสร็จแล้วก็กลายเป็นเรื่องล้มเหลวกลายเป็นเรื่องทำลายกลายเป็นเรื่องสร้างอำนาจบาตรใหญ่ให้แก่ตัวเองเฉยๆ เหมือนอย่างพวกไม่มีความรู้ในโลกธรรม ประเทศไหนก็แล้วแต่อย่างนี้ทั้งนั้นเป็นความรู้เทวนิยมมีอยู่แค่นี้ อาตมาก็ขอพัก คำว่า ทานไว้แค่นี้ก่อน ๒. ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว มีผล (อัตถิ ยิฏฐัง) หรือศีล หรือ ข้อปฏิบัติวิธีปฏิบัติเรียกว่า ยิฏฐัง ทานนั้น ลักษณะการให้ ส่วนศีลหรือข้อปฏิบัติคือหลักเกณฑ์ที่คุณจะเอาไปประพฤติ เพื่อเกิดผลโลกุตรธรรมเหมือนการทานนั่นแหละ การล้างกิเลส การทำทานก็เพื่อล้างกิเลส การถือศีลหรือข้อปฏิบัติก็เพื่อล้างกิเลส เพราะฉะนั้นการเรียนศีลหรือข้อปฏิบัติเอาไปปฏิบัติ ถ้าไม่มีศีลไม่มีข้อปฏิบัติ คุณก็สะเปะสะปะ คุณก็ไม่รู้ว่าอะไรคืออะไร ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ คุณก็ไม่มีหลักเกณฑ์ คุณก็สะเปะสะปะไป ศีลมันก็เละเทะ จะไปปฏิบัติศีลได้อะไร เขาก็บอกว่าได้บุญได้กุศล แล้วคุณไปทำอะไร ศีลก็คือไปทำทาน หรือไม่ก็ไปสะกดจิตแบบกดข่มไว้ เหมือนกับเดียรถีย์ทั้งหลายแหล่คือไปปฏิบัติ แล้วเรียกเก๋ๆว่าไปปฏิบัติวิปัสสนา ไปปฏิบัติศีล วิปัสสนา แปลว่า การเกิดผล ภาษาก็ยิ่งเละใหญ่เลย สภาวะก็คนละเรื่อง วิปัสสนาแปลว่าการเกิดผลแล้ว เขายังไม่ได้ไปปฏิบัติเลยมีการเกิดผลแล้ว ปฏิบัติก็ยังไม่มีข้อปฏิบัติด้วย เช่น ถือศีลด้วยจารีตประเพณี ก็คือถือศีลที่มีมิจฉาทิฏฐิ ที่เขาพาทำกัน ตั้งแต่ปู่ย่าตายายถ่ายทอดมา ศีลคือปฏิบัติอย่างไรข้อ 1 ไม่ฆ่าสัตว์ ข้อ 2 ไม่ลักทรัพย์ข้อ 3 ไม่ผิดผัวเขาเมียใคร ข้อ 4 ก็ไม่พูดปด ข้อ 5 ไม่ดื่มน้ำเมา คุณก็พาซื่อทำตามไปกดข่ม ไม่ได้เกิดปัญญาไม่ได้เกิดการล้างกิเลสไม่ได้เข้าใจการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปไปติดยึดในอุปาทาน ก็ทำตามที่เขาพาทำกดข่มได้ดี กดข่มได้นาน เหมือนมันเลิกได้เลยก็ทำกันไปตามจารีตประเพณี มันไม่สำเร็จด้วยปัญญาเลย เพราะฉะนั้น ศีลในข้อปฏิบัตินี้ แม้ข้อ 1 ไม่เบียดเบียนสัตว์ ไม่ฆ่ากัน ไม่ทำร้าย การวางอาวุธ วางศาสตรา อยู่กันด้วยความเอ็นดูเมตตาปรารถนา หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ ท่านก็แปลไว้ดี แปลในพยัญชนะภาษาจากบาลีมาเป็นไทยในศีลข้อที่ 1 วางอาวุธ วางศาตรา มันสุดยอดแล้วในแต่ละประเทศ เพราะฉะนั้นประเทศใดที่ไม่ต้องใช้อาวุธ ไม่ต้องใช้ศาสตราเลย ทำให้ประเทศเป็นกลาง แล้วก็เป็นประเทศที่มีคุณค่า มีประโยชน์ตรงที่เสียสละ ตรงที่มีปัจจัยสำคัญของชีวิต อาหารเป็นหนึ่งในโลก เป็นเลิศอย่างนี้ เป็นต้น อาหารคือ กวฬิงการาหาร คือพืชพันธุ์ธัญญาหารเป็นต้น นี่แหละเรามีสิ่งเหล่านี้ให้แก่ผู้อื่น เอื้อเฟื้อแก่ผู้อื่น หรือเราปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารแล้วจะขายบ้างเพื่อที่จะหมุนเวียน ก็ขายอย่างขาดทุน ที่ขายได้ก็เพราะเราสร้างจนเหลือเฟือ สร้างจนมีมากเกินพอกินพอใช้ในครอบครัวของเราในสังคมของเราในประเทศของเรา เราก็ถึงมีแจกมีใจมีเผื่อแผ่แก่คนอื่น ฉันไม่จำเป็นต้องเอากำรี้กำไร ไม่จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนมา ให้มากให้ฟรีได้ ให้เขาอย่างเสียสละสมบูรณ์แบบได้ให้ไปเลย มันเป็นเรื่องดีเรื่องวิเศษสำหรับมนุษย์ด้วย เป็นเรื่องปรารถนาดีต่อกัน พิสูจน์ความปรารถนาดีอย่างนี้สิ สังคมใดก็ตามมีหมู่คนที่เข้าใจอย่างนี้แล้วตั้งใจทำอย่างนี้เช่นอโศกเรา เราได้ตั้งใจทำมาเรื่อยๆอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าพวกเราชาวอโศกเป็นกสิกร เป็นนักกสิกรรมกันอย่างโอ้โห มีหัวใจเป็นนักกสิกรรมเลยนะ แล้วก็ปลูกที่ดินพอมี ทำขึ้นไปเถอะ ทำแม้แต่ในที่ของเราแล้วมันยังมีแรงเหลือ ทำในที่สาธารณะที่พอทำได้อย่างที่พวกเราทำ ปลูกมันข้างถนนเลย ใครเขาจะไปว่าอะไร เราปลูกในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ถ้าเราทำจริง เราทำจนกระทั่ง มีที่สาธารณะก็ทำจนอุดมสมบูรณ์ ที่ว่างๆคนอื่นแล้วก็ไปปลูก ก็จะมีคนมาฟ้องศาลว่าไปปลูกในที่ของเขา อาตมาก็จะดูว่าศาลจะติดสินให้พวกเราติดคุกเพราะบุกรุกพื้นที่เขาไหม เพราะเราปลูกแล้วเราก็เอาไปแจกจ่ายเจือจานเราไม่ได้ ที่ของเราก็ปลูกในที่ของเราเต็มหมดแล้วเราก็ต้องปลูกในที่ของคนอื่นเพื่อจะได้กินได้ใช้กัน เราไม่ได้หวงแหนในที่ของเรา นี่เป็นโลกุตระธรรมที่ยิ่งใหญ่ อาตมาจะพาพิสูจน์เรื่องนี้ไป จะต้องติดคุกติดตะรางเพราะว่าละเมิดปลูกผักพืชในที่คนอื่นก็ให้มันรู้ไป เรื่องที่อาตมาพาทำเป็นเรื่องทวนกระแสโลกที่ไม่มีใครทำอย่างนี้กันหรอก เพราะฉะนั้นในศีลในข้อปฏิบัติ ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวกับสัตว์ สัตว์ที่เป็นเดรัจฉาน สัตว์ที่พูดกันไม่รู้เรื่อง พระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริมให้เอาสัตว์มาทำงาน เอาสัตว์มากิน เอาสัตว์มาอาศัยกินไข่มัน กินอะไรก็แล้วแต่ที่ออกจากมัน ไม่ได้ไปส่งเสริมเลย แม้แต่จะเอามาใช้แรงงาน เอามาเลี้ยงแล้วก็เกิดรักผูกพันกับสัตว์ ยิ่งแย่ใหญ่เลยมันเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง ไม่ได้สอนเรื่องพวกนี้อย่างสัมมาทิฏฐิเลย สัตว์เกิดมามันก็มีวิบากของมันไปตามวิบากของมัน เราอย่าเข้าไปสู่วงกระแสของวิบากกับมัน เมื่อเราไม่ไปเกี่ยวข้องทั้งรักทั้งชัง กับสัตว์ใด กลางๆ เห็นแล้วก็เอ็นดูมัน ถ้ามันทุกข์นัก เราก็ช่วยมันบ้าง อย่าไปต้องช่วยมันมาก ไปช่วยมันมากจนกระทั่งมันเสียสัตว์เสียนิสัยเสียสันดานสัตว์ เอาสัตว์มาเลี้ยงจนเสียสันดานสัตว์ คุณบาป คุณเอาสัตว์มาเลี้ยงจนมันเสียสันดานสัตว์ ปล่อยมันเข้าป่ามันก็ตาย เสียความสามารถที่จะป้องกันตนเองทำให้ตนเองอยู่รอดไม่ได้ มันไม่เป็นแล้ว เสียนิสัยสัตว์หมด คุณบาปนะ นี่เป็นนัยยะสำคัญที่อาตมาชี้ให้ เพราะฉะนั้นอย่าไปเสียเวลาเอาสัตว์มาเลี้ยง รักสัตว์ก็จงให้สัตว์เขาไปตามยถากรรม ไปตามวิบากของเขา คนไม่เข้าใจชาวอโศกหาว่าชาวอโศกไม่ดูแลสัตว์ ไม่เลี้ยงสัตว์ เขาเข้าใจยาก แต่ค่อยๆเข้าใจกันไป ถ้าจะว่าเรื่องเมตตา สงสาร นี่แหละเมตตาสงสารยอดอย่างชาวอโศกนี้ เมตตาสงสารเข้าไปหาอุเบกขา เมตตาสงสารที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยทั้งผลักทั้งดูด เรื่องสัตว์เดรัจฉานก็อย่างที่พูดผ่านไป สัตว์ที่เป็นคนด้วยกันนี่แหละ มันจะมีวิบากต่อกันและสูงมาก คนนี้แหละ จะเป็นเรื่องของความรักหรือความอาฆาตผูกพัน โกรธเคืองอาฆาตกันก็ตาม เกิดในคนนี้แหละ _สู่แดนธรรม… วันนี้จะมีรายการที่เขาจัดผังไว้มีต่อจากรายการ นี้ครับ จบ ชมข่าวเด่นในรอบปีของชาวอโศกต่อ Categories: ธรรมะพ่อครู, ศาสนาBy Samanasandin5 มิถุนายน 2023Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:660603 พิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ งานอโศกรำลึก ปี 2566 ณ ราชธานีอโศกNextNext post:660606 ความเป็นทิพย์ของพ่อครูอยู่ที่ไหน พ่อครูเทศนาภาคค่ำ งานอโศกรำลึก 2566Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024