660606 ความเป็นทิพย์ของพ่อครูอยู่ที่ไหน พ่อครูเทศนาภาคค่ำ งานอโศกรำลึก 2566 ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1Cq5Jz9KJOBqvk63EKkql9COW7KtixKeN/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1rumFfhRZLJnZzzktVsOQEpDO9IGZc3Jn/view?usp=sharing ยูทูป และ https://fb.watch/k_Vt5fQK3f/ ทำไมพ่อครูต้องประกาศอรหันต์ในยุคนี้ ตอน 2 พ่อครูว่า… วันนี้วันที่ 6 มิถุนายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศกวันนี้เลข 6 ชนกันหลาย 6 พวกเราก็มาฟังเทศน์ฟังธรรมกัน พวกเราฟังธรรมกันจริงๆ เป็นคนที่มีกุศลเกิดมามีชีวิตก็ได้รับสิ่งที่เป็นสาระแก่นสารแก่ชีวิต ธรรมดาคนเราก็ไปงกๆเงิ่นๆอยู่กับ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ไปบันเทิงเริงรมณ์ หรืออยากได้อะไรก็ไปวุ่นอยู่กับอย่างนั้น แต่พวกเราฟังธรรมะโดยเฉพาะธรรมะที่อาตมาเทศน์ มันเป็นธรรมะที่ทวนกระแส เป็นธรรมะที่จะลอกคราบให้เลิก ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ด้วย แล้วพวกเราก็พอ ถึงแม้ว่าจะขี้เกียจบ้างแต่อย่างน้อยก็มาฟังอยู่นะ หรือคนที่เห็นว่าได้เวลาฟังธรรมแล้วดีจังเลย ดีใจดีใจ จะมีอย่างนี้กี่คนไม่รู้ แต่ก็อย่างน้อยก็พอใจ ยังไม่ถึงขั้นยินดีก็พอใจล่ะ ใช้ได้ ควร ควรใจ คนเอาใจมาใส่ในเรื่องนี้ งานวิสาขะหรืองานปีนี้ ก็ได้อธิบายพูดคำตรง ออกมายัง อาสโภ อย่าง อาจหาญแกล้วกล้า ซึ่งอาตมาเจตนาจริงๆ จะต้องพูดอย่างนี้จะต้องเจรจาอย่างนี้ ถ้าไม่อย่างนี้มันก็คงจะไม่เสร็จไม่จบ มันก็ไปไม่รอดอย่างเก่า อาตมาก็เลยจะต้องทำตามจริงตามควร ที่อาตมาเอามาเทศน์แล้วคือเรื่องที่ว่าอาตมาเป็นพระอรหันต์จริงเป็นพระโพธิสัตว์จริง เป็นตัวจริง ถึงวันนี้วาระนี้ได้บอกแล้วว่าตัวเองจำนนจริงๆ จำเป็นที่จะต้องทำเช่นนี้ จำนนจำเป็นจำยอมจำต้อง ยืนยันตัวแท้ของตัวเองให้เป็นตัวจริงเป็นหลักฐาน เปรียบเทียบให้เห็นความไม่จริง ที่มันก็มีอยู่ในยุคนี้เยอะด้วย ความจริงที่อาตมามีและพาพวกเราเป็นแม้แต่ภิกษุ ก็มีภิกษุพวกเราซึ่งไม่เหมือนแน่นอนไม่เหมือนพิสูจน์ทางด้านโน้นเขา ก็เป็นของด้านเราความจริง แม้แต่ฆราวาสที่ปฏิบัติประพฤติ มีศีลสมาธิปัญญา มีฌาน มีวิมุติก็แล้วแต่ ฆราวาสก็มีตามแบบของเราซึ่งมันก็จะเปรียบเทียบกันจะได้รู้กัน จะได้ศึกษาก็ค่อยๆรู้กันไป เพราะว่ามันเป็นความจริงที่รู้กันได้ยากมากยากจริงๆยากยอดเยี่ยมเลย ก็จะได้ค่อยศึกษาไป สิ่งที่จะวินิจฉัยหรือตัดสินว่าจริงๆแล้วอะไรกันแน่อย่างไหนอะไรเก๊อะไรจริงกันแน่ จริงๆเอาไปเอามาเราเก๊แต่อันอื่นเขาจริงหรือเปล่า เราก็จะต้องค่อยๆเป็นไปจริงๆ ต้องทำอย่างนั้น เพราะที่อาตมาพูด..ไม่ได้หมายความว่า อาตมาโมเม มันมีไม่จริงมีแต่ของเก๊ไม่ใช่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ก็เอามายืนยันว่ามันจะเสื่อม โลกุตระจะเสื่อม 2500 ปีมันก็ใช่แล้ว ท่านไม่ได้ตรัสไว้ว่าจะเสื่อมในพ.ศ.เท่าไหร่ แต่ที่เราอยู่ในยุค 2,500 มันมีปรากฏการณ์สิ่งที่ยืนยันจริงมีพฤติกรรมจริงๆให้เราได้เห็น ว่ามันเสื่อมจริงๆด้วย ผู้ยังไม่ค่อยรู้เท่าไหร่เขาก็ยังว่าเลยว่าศาสนาพุทธทุกวันนี้มันเสื่อม แล้วพวกเราศึกษาจริงๆจะไม่รู้ได้อย่างไรว่ามันเสื่อม คนศาสนาเองของพระพุทธเจ้าท่านเอามาประกาศไว้ตรงตามที่ท่านประกาศนี้มันไม่เสื่อมหรอก ความเป็นเนื้อหาธรรมะแท้ของท่านไม่เสื่อม แต่คนชาวพุทธนี่ มันไปเข้าใจผิดเข้าใจไม่ถูกต้อง เข้าใจผิดไปจากเนื้อหาสาระ โดยเฉพาะที่มันเป็นโลกุตะระซึ่งพระพุทธเจ้าท่านก็พยากรณ์ไว้แล้วว่า โลกุตรธรรมมันจะไม่มี ที่จริงโลกุตรธรรมมันก็มีของมันอยู่นั่นแหละ แต่คนจะรับเอาโลกุตรธรรมไปใส่ในตัวเขา ในตัวคนมันมาในยุคนี้ พระพุทธเจ้าท่านพยากรณ์เอาไว้ว่ามันตรงกับยุคนี้ จะไม่มีโลกุตรธรรมกันแล้ว มันเสื่อม เสื่อมสุดๆด้วย อาตมาก็เอาโลกุตรธรรมมาประกาศตั้งแต่ต้น แต่ไม่ได้ระบุไว้ว่าเป็นโลกุตรธรรมตั้งแต่ตอนต้น ค่อยๆประกาศค่อยๆยืนยันมาเรื่อยๆปฏิบัติพวกเราประพฤติมีคุณธรรมที่เป็นโลกุตรธรรมมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงทุกวันนี้ ก็เลยยืนยันอยู่คู่กันว่า เรานี้มันอรหันต์จริง แต่เขามีแต่อรหันต์เรา เขาไม่กล้ายืนยันของเขาจริงๆหรอก อย่างอาตมายืนยัน เขาก็คิดว่าคงจะใช่อรหันต์ สุดท้ายก็ต้องอกตั้งใจกลั้นใจรับว่าเป็นอรหันต์ เขาไม่มั่นใจไม่แน่ใจอะไรหรอก เพราะฉะนั้นอรหันต์ของเขา (พ่อครูไอตัดออกด้วย) ยังเป็นอรหันต์ที่ไม่มั่นใจ เขาอาจจะทำทีว่ามันใจแต่ไม่มั่นใจหรอก แล้วจริงๆมันก็เสื่อมไปตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้จริงๆ ผู้ที่เป็นอาจารย์เป็นปราชญ์ทางศาสนาพุทธที่เขานับถือกันอยู่ในยุคนี้ ก็เป็นผู้ที่ผิดเพี้ยนไปเหมือนกัน ก็เป็นของเก๊อยู่อย่างเดิมนั่นแหละเลยสอนผิด เข้าใจตามทิฏฐิที่ตนเข้าใจซึ่งเป็นความเชื่อผิดๆ ถ้าจริงก็หลงติดอยู่กับสิ่งที่ผิดแล้วงมงายอยู่กับสิ่งนั้น มันก็เลยเป็นศาสนาพุทธที่หลอกๆกัน เป็นศาสนาพุทธที่เก๊ๆอยู่ อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรก็ต้องยืนยันตัวเอง เพราะว่าอาตมาเป็นของจริงอุบัติขึ้นมาในยุคนี้สมัยนี้ ที่เขามีอยู่เป็นของปลอมมันก็เลยมีของอยู่ 2 อย่างยืนยันกันอยู่แล้วมันก็ขัดแย้งกันมาตั้งแต่ต้น จนเดี๋ยวนี้เขาก็ยังไม่ยอมรับหรอก มีผู้ที่มีดวงตาอย่างพวกคุณมีปัญญาเห็นว่าอย่างนี้ใช่ อย่างโน้นไม่ใช่ ก็เป็นอิสระเสรีของแต่ละคน ที่จะวินิจฉัยเลือกเป็นเอาของใครก็ของใคร แต่อาตมานี้จำเป็น จำยอม จำนน จำต้องยืนยัน อาตมามาถึงวาระเวลานี้แล้วจะต้องพูดอย่างนี้ จะต้องลงน้ำหนักอย่างนี้ มันเป็นลักษณะการแสดงออกที่คนจะเห็นได้ บางคนอาจจะมองไปว่า แสดงอย่างนี้มันเวอร์ไปมันไม่ใช่ บางคนจะบอกว่าอย่างนี้แหละของจริง บางคนอาจจะเห็นว่าบ้าหรือเปล่า แอ๊คเวอร์ ไป เขาเข้าใจว่าคนจริงของเขาเป็นอีกแบบหนึ่ง เขาก็ว่า แบบนี้มันไม่ใช่ อรหันต์อะไรหน้าด้านมาบอกว่าตัวเองเป็นอรหันต์ก็ได้ด้วย อรหันต์เขาไม่ได้บอกตัวเองหรอก ใครบอกเป็นคนหน้าด้านไม่ใช่อรหันต์ อาตมาเป็นพูดจริงเป็นคนจริง เห็นความเสื่อมของเขาจริงๆ ก็จำเป็นจะให้อาตมาทำอย่างไรโดยเฉพาะอาตมาเป็นคนศาสนา เป็นคนที่จะต้องประคองรักษา ชื่อโพธิรักษ์คือเป็นผู้รักษาความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า รักษ์ คือรักษา ความรู้ของพระพุทธเจ้า มันเป็นตัวจริงเป็นกิจของอาตมาที่จะต้องทำเลย อาตมาไม่ทำหน้าที่ก็ผิดมาตรา 157.. ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ผิดกฎหมายนะ ไม่ได้อาตมาจำเป็น นี่พูดเหมือนเล่นๆแต่ที่จริงเป็นจริง ที่มันจริงที่สุดก็ขอพูดจำเจซ้ำซาก มันจริงก็คือมันมีแต่เก๊กันมันมีแต่ความเสื่อมจริงๆ อาตมาก็จำเป็นที่สุดที่จะต้องมากอบกู้ความเสื่อมนี้ แล้วอาตมาจะเป็นคนที่มากอบกู้จริงๆด้วย นี่ก็เปิดเผยตัวเองเปิดเผยมานานหลายทีแล้ว อาตมาเป็นผู้ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในสัมมาทิฏฐิ 10 ๑. ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด) (อัตถิ . ทินนัง) ๒. ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว มีผล (อัตถิ ยิฏฐัง) ๓. สังเวย(เสวย)ที่บวงสรวงแล้ว มีผล (อัตถิ หุตัง) ๔. ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว มีแน่ (อัตถิ สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก) ๕. โลกนี้ มี (อัตถิ อยัง โลโก) หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ ๖. โลกหน้า มี (อัตถิ ปโร โลโก) หมายถึง โลกโลกุตระ ๗. มารดา มี (อัตถิ มาตา) ๘. บิดา มี (อัตถิ ปิตา) ๙. . สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ สัตตา โอปปาติกา) ๑๐. สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) . . . (พตปฎ. เล่ม ๑๔ ข้อ ๒๕๗) มีพวกเราหลายคนจำที่อาตมาพูดไม่ได้ _สู่แดนธรรม… ผมเชื่อมาตั้งนานแล้ว สัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 ว่าเป็นพ่อท่าน อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ พ่อท่านบอกว่าอาตมาไม่ได้เป็นลูกศิษย์ใคร พ่อครูว่า… ท่านตรัสเอาไว้ว่าโลกนี้มันไม่มีความรู้หรอกโลกุตรธรรมเพราะว่าคนมันเสื่อมไปจากโลกุตตรธรรม กันหมดแล้วไม่มีแล้ว มีแต่ของปลอมมีแต่ กลองอานกะ ของอื่นมาทดแทนของจริงหมดแล้วของจริงหายไปหมดแล้ว ในยุคที่มันไม่มีก็คือไม่มีแล้วจะต้องมีคนมีของจริง ถ้าคนที่ไม่ใช่ของจริง อย่างเช่นสมมุติว่าอาตมาไม่ใช่ของจริง เกิดมาแล้วอาตมาก็ว่าของไม่จริงอีก แล้วกลับมาอีกมันก็จะซับซ้อนเป็นของไม่จริงเข้าไปใหญ่ แต่พระพุทธเจ้าท่านก็บอกไว้แล้วว่าจะมี สยังอภิญญา ขึ้นมากอบกู้ หรือขึ้นมาทำให้ศาสนาพุทธนี้มันยืนยงไป ต้องมีไปถึงขั้นของท่านจะต้องมี 5,000 ปี ถ้าไม่มีคนที่ถูกต้องมาสืบทอด มาแก้ กอบกู้ไอ้ที่มันเพี้ยนมันผิดไปแล้ว มันก็ไม่ถึง 5,000 ปี เพราะฉะนั้นมันต้องมีคนมา คนนั้นก็คืออาตมามายืนยันว่าอาตมาคือคนนั้น ทีนี้การยืนยันด้วยปาก ใครก็พูดได้ ว่าเรานี่แหละเป็นผู้มากอบกู้ ..สู่แดนธรรม… ก็มาบอกว่าผมนี่แหละจะมากอบกู้.. เขาก็พูดได้ แต่ไอ้ที่พูดไปแล้วมันมีอะไรยืนยันไหมล่ะ ว่าคุณได้จริง สมมุติว่าอาตมาเพิ่งมาบวชพึ่งมาทำงานศาสนาเพิ่งประกาศมันก็ไม่มีอะไรจะยืนยันพิสูจน์ ก็เพิ่งประกาศบอกเขาไป พูดไปแต่ปาก มันก็ต้องรอให้ปฏิบัติไปพูดไปแสดงความเห็นความรู้ให้คนรับ แล้วก็มีคนมาฟังมีคนมาเข้าใจมีคนมาปฏิบัติตามจนมีมรรคมีผล ได้ตามคำพูดคำอธิบายนั้นๆมายืนยันอีก แล้วสิ่งที่ท่านต้องพูดทั้งปฏิบัติทั้งมีผลยืนยันมันตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎกไหม เรายังโชคดีที่ยังมีพระไตรปิฎกบันทึกมาไว้ สำหรับจะยืนยัน ตรงไหมล่ะ อย่างเรานี่อาตมาทำมาจนถึงวันนี้ ยืนยันได้เลยว่าพวกเราเป็นสังคมสารานียธรรม 6 นี่คือหลักฐานที่แท้จริง มีความเห็นความเข้าใจแบบนี้มีทิฏฐิสามัญญตา มาร่วมรวมกัน มีศีลสามัญตา มีศีลมาร่วมรวมกันเสมอสมานกันอย่างนี้ มีความเห็นสอดคล้องกันมีศีลสอดคล้องกันไปตามลำดับ แล้วก็เกิดผลอยู่กันแล้วมีความมีเมตตากายกรรมวจีกรรมมโนกรรม เมตตามันละเอียดนะมันเป็นยังไง กายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม เมตตามองออกไหม พวกเรามองออกนะ คนอื่นเขาจะบอกว่า มันอยู่อย่างไร คือสังคมของเขาที่จะอยู่กันด้วยเมตตากายกรรมเมตตาวจีกรรมเมตตามโนกรรมเขาไม่มีกันนี่ เขาก็ไม่เห็นของจริงเขานึกเอาไม่ได้โม้ไม่ออก แต่ของเรามีของจริงมา เป็นด้วยตัวเองด้วย แล้วก็รับกระทบสัมผัสมีความรับรู้มีความรู้สึกมีปฏิภาณปัญญา อย่างนี้แหละใช่ เมตตากันเกื้อกูลกันอยู่ เป็นสังคหะ อันนี้ก็เป็นรายละเอียด แต่สาธารณโภคี ข้อที่ 4 ลาภที่ได้มาโดยธรรม แต่ละคนทำงานมีผลผลิตก็คือ ลาภที่ได้มา หรือไปขายก็เป็นเงินหรือเอามาเป็นชิ้นเป็นอันก็เห็นอยู่อย่างนี้ก็เอามารวมกันกินใช้ร่วมกันไม่ได้แย่งได้ชิงอะไรกัน แบ่งกัน แบ่งปันกันกิน คนตั้งเป็นร้อยเป็นพันไม่ได้แย่งได้ยื้ออะไรกัน ไม่ได้งุบงิบไม่ได้ทำเป็นไม่มี มันไม่ได้มีเรื่องทุจริต ที่ประพฤติไม่สมควร มันไม่มีนี่ เคยนอนเฝ้าว่าสิ่งเหล่านี้มันจะหายไปหรือ มีคนมาเอาคนละพวง 2 พวงรุ่งเช้าแหว่งไปหมดเลย เป็นทุเรียนหายเลย _สู่แดนธรรม… บ้านราชเราเรือไม่หายแต่ทุเรียนหายครับ พ่อครูว่า… กลับมาเป็นผู้ที่ตรงตามพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าจะมีผู้ที่ เป็น สยังอภิญญา มาปรากฏอาตมาก็ยืนยันตัวเองว่าอาตมาเป็นผู้ที่เป็น สยังอภิญญา อุบัติขึ้นมาจริงๆเป็นตัวเป็นตนแท้ๆในยุคนี้ สยังอภิญญา คือผู้ที่ดำเนินชอบปฏิบัติชอบ สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา อาตมาเป็นคนคนนั้น รู้โลกนี้โลกหน้า พระพุทธเจ้าจับประเด็นคำว่าโลกนี้โลกหน้าเป็นประเด็นหลัก ให้ สยังอภิญญา นี่มาแสดงอันนี้ เป็นตัวชี้ชัดว่า ผู้รู้เรื่องโลกนี้รู้เรื่องโลกหน้าอย่างวิจิตรพิสดาร แล้วนำมายืนยันพิสูจน์กันให้รู้กันเข้าใจกันได้ว่า อ๋อ พวกนี้รู้โลกนี้รู้โลกหน้าถูกต้อง แล้วก็เอามาปฏิบัติ ปฏิบัติในความเป็นโลกนี้ในความเป็นโลกหน้าได้ด้วย แล้วโลกนี้มันคืออย่างไร พวกเราปฏิบัติได้โลกนี้เป็นโลกหน้า คืออะไร อาตมาเองจะต้องมายืนยันมาพาคนตรงนี้แหละ จะเป็นเครื่องชี้บ่งยืนยันได้ว่า อันจริง ยืนยันตัวเองแล้วมีคำสอนคำอธิบายตรงกันแล้วมีผู้ปฏิบัติ ไม่ใช่ผู้พูดผู้อธิบายปฏิบัติได้คนเดียวแต่มีคนอื่นฟังเข้าใจได้ ปฏิบัติได้บรรลุได้ด้วย อาตมาได้ยืนยันจนกระทั่งพวกเราชาวอโศกมีสมณะ 4 เหล่า โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ซึ่งไม่มีกลุ่มไหนหรอกเขายืนยันและชี้ชัดยืนยันว่า โสดาบันที่จริง สกิทาคามีมีจริง อนาคามีมีจริง อรหันต์ เขาไม่กล้าพูด ถ้ามีคนมาซักไซ้ไล่เลียงมาทวงก็จะยืนยันไม่ได้ หน้าก็แหกหมอไม่รับเย็บพอดี เขาก็ทำไม่ได้ อาตมาเป็นคนจริงไม่กลัวหน้าแหกไม่มีงานให้หมอไปเย็บเพราะหน้าอาตมาไม่แหก อาตมากล้าพูดเพราะอาตมาเป็น สยังอภิญญา ตัวจริง เพราะความเป็นอภิญญานั้นมีอยู่ในตัวอาตมาเรียกว่า สยังอภิญญา สยัง คือ เอง ก็หมายความว่าตัวตนของตนเอง เอง คือ สยัง เป็นอภิญญาที่สัมมาทิฏฐิ ต้องกำกับด้วย เขาก็อธิบายอภิญญาแบบของเขา อาตมาอธิบายอภิญญาแบบอาตมา แล้วย้ำด้วยว่าอาตมาอธิบายอภิญญาแบบสัมมาทิฏฐิ “สยัง”คือ “เอง” ก็หมายเอา“ตัวตนของตน”นี่เอง “อภิญญา”ที่เป็น“สัมมาทิฏฐิ”ของพุทธหมายถึง “ความรู้ที่เป็นโลกุตรธรรมมีเองในคนผู้นั้นแล้ว” “อภิญญา”จึงคือ ตัวอาตมานี้แหละ“สยัง อภิญญา” ตัวจริง ที่เกิดมาเพื่อมาทำงานนี้ ในยุคพ.ศ. 2500 นี้ “สยัง อภิญญา”คือ คนชนิดใด? “ความมี”อยู่ในตน มีอะไรบ้าง? และ“ชีวิตดำเนินไป” อย่างไร? “สยังอภิญญา”แปลว่า คนผู้มีธรรมะที่เป็น“คุณวิเศษแบบ ‘โลกุตระ’ขั้น‘อรหันต์’ในจิตตนเองแล้ว”มากถึงขั้นเรียกได้ว่า “เป็นของตนเองติดอนุสัยตนเองไปได้” อนุสัยคำนี้เป็นกุศลอนุสัย ไม่ใช่อนุสัยกิเลส อนุสยังก็ได้ อนุแปลว่า ตาม หรือแปลว่าน้อย ละเอียด แล้วก็เป็นตนเอง ตนไปไหน อนุไปด้วย ตามไปด้วย อันนี้อะไร อภิญญา ความเป็นอรหันต์ อาศัย นิสัย วิสัย อนุสัย มีความลึกไปตามลำดับ ซึ่งเป็นคนที่มี“โลกุตรสมบัติ” หรือ “อรหันตสมบัติ” ฝังใน“จิต”สูงขึ้นเกินกว่าขั้น“อรหันตวิสัย”ระดับ 1 หรือเลยขั้น“โพธิสัตววิสัย”ระดับ 5 ขึ้นไปอยู่ในระดับ 7 ทีเดียว มี“โลกุตรธรรม”สะสมลงใส่ไว้เป็น“อนุสัย”ที่มีนัยะ“กุศลอนุสัย”คือ“อนุสัยเชิงดีแท้”มีให้เจ้าตัวใช้ทำงานช่วยผู้อื่น ซึ่งจะติดตัวอยู่ใน“จิตวิญญาณ”ไป แม้เกิด-ตาย ; ตาย-เกิดข้ามชาติไปอีกกี่ชาติต่ออีกกี่ชาติ ก็เป็น“ของตนเองแท้” ไม่ต้องรับถ่ายทอดมาจากใครอื่นแล้ว ควักเอาของตัวเองขึ้นมาใช้ได้เองเลย “สยัง อภิญญา”คือ คนผู้ที่ได้บรรลุ“โลกุตรธรรม”มี “คุณวิเศษขั้น‘อรหันต์’ในตนเองมาแล้ว” ถึง 3 ขั้นแล้ว กำลังบำเพ็ญอยู่ในความเป็น“โพธิสัตว์”ขั้นที่ 7 “ นั่นคือ (1)ขั้น“โสดาบันโพธิสัตว์” (2)ขั้น“สกิทาคามีโพธิสัตว์ (3) ขั้น“อนาคามีโพธิสัตว์” (4)ขั้น“อรหันตโพธิสัตว์” (5)ขั้น“อรหันตอนุโพธิสัตว์” (6)“อรหันตอนิยตโพธิสัตว์” (7) ก็คือ “อรหันตนิยตโพธิสัตว์” และ(8) ก็“อรหันตมหาโพธิสัตว์” ถ้าจะนับความเป็น“โพธิสัตว์”ก็มี“(8)ขั้นเท่านี้ ขั้นที่(9)ก็เป็น“อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” คือ“โพธิ”ที่เต็ม“โพธิ”เป็น“สัมมาสัมโพธิญาณ”เลย แต่หากนับรอบของ“อรหันต์”ก็ได้ 5 อรหันต์ (1)อรหันต์ (2)อรหันตอนุโพธิสัตว์ (3)อรหันตอนิยตโพธิสัตว์ (4)อรหันตนิยตโพธิสัตว์ (5)อรหันตมหาโพธิสัตว์ สูงสุดเข้าสู่ขั้น (6)ก็เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า “อรหันต์”คือ “ความเป็น” ซึ่งมี“ที่สุด”ของแต่ละกรอบ ในความเป็นคุณธรรมแต่ละรอบๆ อันหนึ่งคือเชิงความเป็นลักษณะเชิงเจโต อีกอันคือความรู้ เชิงปัญญา (พ่อครูไอตัดออกด้วย) _สู่แดนธรรม… สังเกตว่า คนมีอุปาทานเก่าจะไม่เอาแบบพ่อท่านเลย เช่น เขาจะไม่เชื่อว่า พระอรหันต์แล้วจะยังมีอนุสัย พ่อครูว่า… เขาจะไม่เข้าใจลักษณะของสิริมหามายา ส่วน“โพธิสัตว์”เป็น“โพธิ”หมายถึง“ความตรัสรู้”ที่สามารถจะสูงส่งสูงสุดตามคำตรัสของพระพุทธเจ้าได้ถึงขั้นสุดสูงเท่าเทียมกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ดังนั้น “โพธิสัตว์”เมื่อเข้าสู่ภูมิที่(7) จึงได้ชื่อว่า“นิยตโพธิสัตว์” ซึ่งสูงกว่าขั้น“อนิยตโพธิสัตว์”ขึ้นไปอีก 1 ขั้น ซึ่ง “เที่ยงแท้(นิยต)”แล้ว ที่จะสามารถตรัสรู้เป็น“พระพุทธเจ้า” “อนิยตโพธิสัตว์”หมายถึง คนผู้มีภูมิธรรมโลกุตระสูงเกินกว่า “อนุโพธิสัตว์”ที่เป็น“อรหันต์ชื่ออนุโพธิสัตว์” แต่ยัง“ไม่เที่ยงแท้”ที่จะสามารถตรัสรู้เป็น“พระพุทธเจ้า” ได้ จึงยังชื่อว่า“อนิยตโพธิสัตว์” ซึ่ง“อนุโพธิสัตว์“ก็คือ “อรหันต์ขั้นที่ 2” “อรหันต์ขั้นที่ 3”ก็จะได้ชื่อว่า “อนิยตโพธิสัตว์” “อรหันต์ขั้นที่ 4”ก็เป็น“นิยตโพธิสัตว์” สูงไปกว่า“นิยตโพธิสัตว์”ก็คือ ภูมิที่(8) เรียกชื่อว่า “มหาโพธิสัตว์” ถ้าจะเรียกเต็มยศก็“อรหันตมหาโพธิสัตว์”เป็น“อรหันต์ขั้นที่ 5” “อรหันต์”ขั้น 6 ก็เป็น“ปัจเจกสัมมาสัมโพธิสัตว์”หรือ “ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า” ซึ่งคนผู้เป็น“ปัจเจกสัมมาสัมโพธิสัตว์”ที่สูงสุดก็มี ภูมิธรรมเท่าเทียม“พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” สูงสุดก็ภูมิที่(9) “ปัจเจกสัมมาสัมโพธิสัตว์” หรือคือ พุทธภูมิสูงสุด“อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า”จบสัมบูรณ์ ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า คือผู้ที่มีความรู้สัมมาสัมโพธิญาณเทียบเท่าพระพุทธเจ้า แต่ท่านไม่ได้มาประกาศศาสนา ขึ้นเป็นทำเนียบพระพุทธเจ้าในโลกองค์ใดองค์หนึ่ง แต่ไม่ใช่ว่าท่านจะไม่สอนคน ท่านก็สอนคนมามากแล้ว แต่ไม่ได้ประกาศตนเองเป็นศาสดาของศาสนาพุทธเท่านั้นเองแล้วท่านก็ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน หายไปเลย ไม่มีใครรู้จัก เป็นสิทธิ์ส่วนตัวของท่าน ท่านไม่อยากเป็นพระพุทธเจ้า ทั้งๆที่เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แต่ท่านไม่ประกาศกับคน มันก็ไม่มีในทำเนียบคนทำเนียบโลกว่า เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง คำว่า พระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง เคยได้ยินไหมในพระไตรปิฎกมีเยอะแยะเลย มีความหมายอย่างนี้แหละ _สู่แดนธรรม… ถ้าผมจะสรุปว่าปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าคือท่านที่ไม่ยอมตั้งพุทธบริษัท พ่อครูว่า… ใช่ ไม่ประกาศตนเองให้คนอื่นรู้ว่า ท่านเป็น สัมมาสัมพุทธเจ้าแต่เฉพาะตน ท่านก็ปรินิพพานไป เพราะฉะนั้นก็ไม่มีบริษัท ไม่มีใครรู้จักท่านว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำเนียบของมนุษย์ในโลก ก็ไม่มีพระนามของพระพุทธเจ้าองค์นี้ ท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปแล้ว _สู่แดนธรรม… มหายานบอกว่าพุทธเจ้ามีมากมายเท่าเมล็ดทรายในมหาสมุทรหมายถึงนับปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยไหมครับ พ่อครูว่า… ใช่เพราะ กาละในโลกนี้ ที่ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่และยังมีในโลกลูกอื่นอีก ซึ่งเป็นเรื่องไม่ต้องไปคิด อยากจะนับก็เป็นนับเม็ดทรายในมหาสมุทรสิ คุณเกิดตายอีกกี่ชาติจะนับเม็ดทรายได้หมดฉันใดก็ฉันเพล _สู่แดนธรรม… พระพุทธเจ้าที่ท่านตั้งศาสนาได้สำเร็จจะต้องเอาภาระในการสร้างศาสนาใช่ไหมครับ พ่อครูว่า… เป็นโพธิสัตว์ก็หนักแล้วเห็นไหม พระพุทธเจ้าบางองค์ท่านก็ปรินิพพานไป จึงไม่ต้องไปสงสัย จะเป็นพระพุทธเจ้าอยู่รำมะร่อแล้วทำไมไม่เป็น ก็คุณพูดอย่างมีกิเลสอยากเป็น เอาความอยากของคุณไปวัดไปเปรียบเทียบท่านได้ยังไง มันเป็นความพระมหากรุณาของท่านต่างหาก ท่านต้องทนต้องสอนเปิดเผยธรรมะนี่ต่างหาก ถ้าท่านไม่เปิดเผยก็ไม่เสียหายอะไร เป็นอิสระเสรีภาพของท่าน ท่านก็ทำมาหนักหนาแล้ว แม้แค่สุดท้ายท่านมาทำก็จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง แต่ท่านไม่เอา เป็นความเสียสละอย่างยิ่งใหญ่ ท่านไม่เอาตำแหน่งนี้สัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เอา ถ้าเผื่อว่าพิธาเขาตัดสินไม่เอาตำแหน่งด้วย รับรองจะเด่นเหมือนพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยนะ ให้คนอื่นเขาแย่งกันหน้าดำคร่ำเครียดไปเลย ทวนอีก ดังนั้น “โพธิสัตว์”เมื่อเข้าสู่ภูมิที่(7) จึงได้ชื่อว่า“นิยตโพธิสัตว์” ซึ่งสูงกว่าขั้น“อนิยตโพธิสัตว์”ขึ้นไปอีก 1 ขั้น ซึ่ง “เที่ยงแท้(นิยต)”แล้ว ที่จะสามารถตรัสรู้เป็น“พระพุทธเจ้า” “อนิยตโพธิสัตว์”หมายถึง คนผู้มีภูมิธรรมโลกุตระสูงเกินกว่า “อนุโพธิสัตว์”ที่เป็น“อรหันต์ชื่ออนุโพธิสัตว์” แต่ยัง“ไม่เที่ยงแท้”ที่จะสามารถตรัสรู้เป็น“พระพุทธเจ้า” ได้ จึงยังชื่อว่า“อนิยตโพธิสัตว์” ซึ่ง“อนุโพธิสัตว์“ก็คือ “อรหันต์ขั้นที่ 2” “อรหันต์ขั้นที่ 3”ก็จะได้ชื่อว่า “อนิยตโพธิสัตว์” “อรหันต์ขั้นที่ 4”ก็เป็น“นิยตโพธิสัตว์” อาตมาเป็นนิยตโพธิสัตว์แล้ว เป็นอรหันต์มาตั้งหลายขั้นแล้วนะ ซึ่งถ้าอาตมาไม่มีสภาวะรับรองว่าพูดไม่ได้อย่างนี้ และพวกคุณจะหัวหมุนจะสับสนเลย อาตมาเป็นอรหันต์ระดับขั้นที่ 4 สูงไปกว่า“นิยตโพธิสัตว์”ก็คือ ภูมิที่(8) เรียกชื่อว่า “มหาโพธิสัตว์” ถ้าจะเรียกเต็มยศก็“อรหันตมหาโพธิสัตว์”เป็น“อรหันต์ขั้นที่ 5” “อรหันต์”ขั้น 6 ก็เป็น“ปัจเจกสัมมาสัมโพธิสัตว์”หรือ “ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า” ซึ่งคนผู้เป็น“ปัจเจกสัมมาสัมโพธิสัตว์”ที่สูงสุดก็มี ภูมิธรรมเท่าเทียม“พระสัมมาสัมพุทธเจ้า” สูงสุดก็ภูมิที่(9) “ปัจเจกสัมมาสัมโพธิสัตว์” หรือคือ พุทธภูมิสูงสุด“อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า”จบสัมบูรณ์ ถ้านับจากเริ่มเป็น“ผู้เข้ากระแสโลกุตระโสดาบัน” เป็น“โสดาบันโพธิสัตว์” ก็นับเป็น“โพธิสัตว์ระดับ 1”มาถึงขั้นเป็น“สยัง อภิญญา”ก็เป็น“โพธิสัตว์ระดับ 7” ผู้บรรลุ“อรหันต์”คือ คนผู้รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“กิเลสใน ตน”แล้วก็กำจัดกิเลสนั้นของตนได้หมดสิ้นเชื้อขั้น“อาสวะ” ความต่างของ สก สว สย สก ใหญ่หยาบสุด สว ก็เป็นตัวตน แต่ใช้พยัญชนะเศษวรรค (ยลวสหฬอํ) ตัวตนของ สย ละเอียดที่สุด เพราะเป็นเศษวรรคตัวแรก อาตมาใช้พยัญชนะสื่อสภาวะที่ละเอียดลึกซึ้ง ใช้พยัญชนะ รากเหง้าของภาษาบาลี วรรคที่ 1 ก ข ค ฆ ง วรรคที่ 2 จ ฉ ช ฌ ญ วรรคที่ 3 ฏ ฐ ฑ ฒ ณ วรรคที่ 4 ต ถ ท ธ น วรรคที่ 5 ป ผ พ ภ ม เศษวรรค ย ร ล ว ส ห ฬ อํ แต่ละตัวของพยัญชนะมีสภาวะทั้งนั้น ซึ่งอาตมาก็ยังไม่ได้เก่งมากที่จะอธิบายทั้งหมด “อาสวะ”คือ จิตที่ยังมี“เชื้อ(อุปาทิ)”ของ“ตัวตนขั้น “สวะ”อยู่ ส่วน“อนุสัย”นั้นไม่ใช่“เชื้อ”ที่เรียกว่า “อุปาทิ” แต่เป็น“จิต”ขั้น“อุปธิ” อุปธิ 3 ประกอบด้วย กิเลส ขันธ์ อภิสังขาร หยาบ กลาง ละเอียด รวมกันหมด เป็นพหูพจน์ เป็นขันธ์ อุปธิคือตัวตนของกิเลสนั้น ขันธ์คือกลุ่ม องค์ประกอบของ จะบอกว่ากิเลสก็คือกิเลส จะบอกว่าตัวตนก็คือตัวตน ตัวตนของจิตวิญญาณ ตัวตนของสภาวะจิตพระอรหันต์ เรียกโดยพยัญชนะก็มีตัวตน ไม่ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ยังมีขันธ์อยู่ ส่วนอภิสังขาร มี ปุญญาภิสังขาร อปุญญภิสังขาร และอเนญชาภิ สังขาร ปุญญาภิสังขาร คือรู้จักวิธีการที่จะปรุงแต่ง เป็นผู้ที่ใช้ความสามารถทำสิ่งนี้ขึ้นมาให้ได้ มันมีกิเลสก็จัดการเอากิเลสออก มันเป็นจิตที่ไม่ดี ก็ปรุงแต่งให้เป็นจิตที่ดี ทำให้เป็นจิตที่สะอาดคือ อภิสังขาร ปุญญาภิสังขาร คือการทำให้สะอาดด้วย ปุญญะ คืออาวุธร้ายตัดคอกิเลสขาด เป็นเพชฌฆาตมือที่ 4 มือที่ 5 ของ ฌาน ถ้าเพชฌฆาต มือปุญญะ กิเลสตายเด็ดขาดไม่ฟื้น แล้วก็หายไป เมื่อประหารกิเลส จนหมดหน้าที่ในคนผู้นั้นเรียกว่าเป็นอรหันต์ ผู้ที่เป็นอรหันต์ประหารกิเลสตัวสุดท้ายได้อย่างยั่งยืนถาวรแล้ว คนผู้นี้เป็นผู้ไม่มีบุญ ไม่มีบาปแล้วเรียกว่า อปุญญะ เป็นสังขารที่ไม่ได้มีการปรุงแต่งด้วยบุญแล้วเรียกว่า อปุญญาภิสังขาร ผู้ไม่รู้สภาวะก็จะไปแปล อปุญญะว่า เมื่อไม่ใช่บุญก็เป็นบาป อันนี้ก็จับได้ว่าผู้นี้ยังไม่รู้จักธรรมะ แม้แต่คำว่าบุญก็ไม่รู้ เพราะว่าบุญมันฆ่ากิเลสแล้วมันไม่มีทางที่จะมีอีก เป็นอปุญญะแล้ว มันจะเป็นบาปอีกไม่ได้เพราะมันฆ่าหมดสิ้นหมดแล้ว เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ทุกองค์หรือพระพุทธเจ้าทุกองค์ก็คือผู้ที่ ปุญญปาปปริกขีโณ ผู้บุญก็ดีบาปก็ดี มันไม่มีให้ทำงานอีกแล้วเป็นคนไม่มีบุญไม่มีบาป เพราะฉะนั้นคำว่าบุญจึงเข้าใจไม่ได้กันง่ายๆ ไม่เข้าใจว่าบุญเป็นตัวตนที่จริง บุญไม่มีตัวตน บุญเป็นพลังงานเกิดในปัจจุบันชาติ คือทุกปัจจุบันเท่านั้นที่มีกาละและมีปัจจุบัน แล้วคุณสามารถปรุงอภิสังขารเป็น ปุญญาภิสังขารได้จริง มันก็ทำงานตัดกิเลสได้จริง เมื่อผ่านปัจจุบันแล้วก็ไม่มีตัวบุญ จะไปสะสมบุญเป็นตัวก้อน เป็นตัวตนเป็นอดีตสั่งสม เป็นบุญกองเท่านั้นเท่านี้ นี่คือมิจฉาทิฏฐิอยู่ เข้าใจอันนี้ก็ยังไม่ได้ เพราะฉะนั้นเข้าใจคำว่า บุญ คำนี้ไม่ได้ ไม่มีทางจะไปบรรลุอรหันต์หรอก อาตมากล้ากล่าวได้เลยว่าเถรสมาคมไม่เข้าใจอย่างนี้ที่มีกันอยู่ภิกษุทั้งหลายขณะนี้ มันไม่มีทางที่จะตัดกิเลสเป็นอรหันต์ได้ อาตมาจึงกล้ายืนยันว่าไม่มี ..มีแต่อรหันต์เก๊ เพราะอาตมาเข้าใจสภาวธรรม เข้าใจพยัญชนะ เข้าใจสัจธรรมที่ครบ จึงพูดไปไม่ได้พูดอย่างพล่อยๆ พูดอย่างเพ้อเจ้อ พูดอย่างลอยลม พูดอย่างอวดดีอวดกล้าปากเปราะอะไร ไม่ใช่ อาตมาพูดอย่างชัดเจนยืนยันหลักฐานจริงๆจึงพูดความจริง อาตมาพูดผิดไม่ได้ พูดผิดอาตมาบาปหนักหนา พูดในเรื่องอุตริมนุสธรรมไม่ใช่เรื่องเล่นนะ เป็นเรื่องที่ผิดไปอาตมาก็คือปาราชิก พูดสิ่งที่ไม่จริงที่ไม่มีในตน เอาคุณธรรมขั้นอุตริมนุสธรรมมาพูด พูดผิดก็เสร็จสิ อาตมาจึงจำเป็นจะต้องไขความจริง เพื่อให้สังคมรู้“ความจริง”ด้วยจริงใจใสซื่อ แต่คนในยุคนี้ส่วนมาก ยังไม่รู้ว่า “ความจริง”หรืออรหันต์จริง”ว่า เป็นเช่นใดกันแน่? เพราะถูกหลอกมานาน ขออภัยต้องใช้คำตรง คนที่เป็นอาจารย์เขาไม่คิดจะหลอกก็ได้ แต่เขาไปหลงความคิดว่าเป็นของถูก มันก็เลยกลายเป็นคนหลอกที่ตัวเองไม่ได้เจตนาเป็นคนหลอก เขาไม่มีเจตนาจะหลอกนะ เพราะฉะนั้นบาปอันนี้ ถ้าพูดถึงรอบต้นมันดูเหมือนมันไม่บาปมาก ในรอบตื้นๆ แต่ในรอบลึกนั้น บาปซับซ้อน เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรคะนอง ที่จะพูดถึงอุตริมนุสธรรม อย่างผู้ที่ไม่มั่นใจไม่ชัดจริงอย่าพูดออกมาเลย เสี่ยงมาก เสี่ยงต่อบาป บาปหนาบาปหนัก คนชาวพุทธยุคนี้ ช่วงพ.ศ 2500 ส่วนใหญ่ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“โลกุตรธรรม”กันสนิทแล้ว อย่างเช่นท่านพุทธทาสเอาคำว่าโลกุตตระมาพูด แต่ขอยืนยันว่าท่านไม่รู้จักโลกุตรธรรมแท้ๆ ที่เป็นสภาวะจิตจริงๆเลย.. เพราะยุคนี้ได้เสื่อมกันไปจริงๆ ตามคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ใน“อาณีสูตร”เรื่อง“กลองอานกะ” พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 672 ตามที่ได้เคยยกอ้าง เอามาให้ได้รู้ได้เห็นกันแล้ว จึงยืนยันตามคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าว่า “จริงแท้” มันมี“ความเสื่อม”ตามที่เป็นจริง ปรากฏกันให้เห็นกันโทนโท่อยู่ให้สัมผัสได้ในขณะนี้ ยุคนี้ แล้วมันจะ“ไม่จริง”ได้ยังไง?! ในเมื่อมันมี“ทั้ง“2 อย่าง”กันอยู่ หลัดๆ โต้งๆ เพราะ“อาตมา”ไม่เหมือนกับ“คนเสื่อม”ทั้งหลายอยู่โทนโท่ เห็นๆกันหลัดๆ โต้งๆ ที่“สัมผัส”กันทั้งที่“เป็นของเก๊”ทั้งที่เป็น“ของจริง”ได้อยู่แท้ๆ มันไม่ใช่เรื่องเพ้อพก พล่อยๆ ลอยลม ปากเปล่า มีแต่ใน“จินตนาการ” หรือมีแต่อยู่ใน“ความลึกลับ”กันเท่านั้น เมื่อยุคนี้มัน“ไม่มีความจริง”ของอรหันต์-โพธิสัตว์กันแล้ว อาตมาจึงต้อง“แสดงตัวขึ้นมาให้ปรากฏ” ให้คนพิสูจน์“ความจริง”ในยุคนี้ ว่า อาตมาคือ ตัวตนยืนยัน“ความจริงของอรหันต์-ของโพธิสัตว์”จริงๆ เพื่อเปรียบเทียบกับ“ความไม่จริง”ที่คนในยุคนี้ ไปหลงเชื่อถือ และหลงเข้าใจผิดๆอยู่กับ“ของปลอม-ของเก๊”กัน ซึ่งเป็นทั้งปลอมทั้งเก๊ใน“ความรู้-ความเข้าใจ” และทั้งปลอมทั้งเก๊ในคำพูดคำอธิบาย และทั้งการเป็นอรหันต์ที่คนอื่นทั้งหลายไปพากันหลงผิด เชื่อผิด อรหันต์เก๊นั้นๆกัน มันได้แค่“เดาๆ”กันเอา ว่า ใช่! มันไม่มี“ของจริง”ยืนยัน ใครที่มองอโศกไม่ออกว่ามีโลกุตรธรรม ตีทิ้ง แค่นี้เขาก็ปิดประตูบรรลุธรรมได้เลย เขามีภูมิรู้แค่นี้ แต่ถ้าเขาเปิดใจ เอาหลักธรรมในพระไตรปิฎกมาเทียบเคียงเลยว่าชาวอโศกเป็นคนวรรณะ 9 หรือไม่ มี สาราณียธรรม 6 จริงหรือไม่ ก็จะได้รู้ความจริง และความหมายที่เขาเอาใส่ในคำตรัสของพระพุทธเจ้า มันมีของเก๊ของปลอมใส่เข้าไปเยอะ จนผิดไปจากความจริง อาตมาเห็นอย่างนั้นไม่ได้ไปใส่ความเขา อาตมาก็จำเป็น จำนน จำยอม จำต้องยืนยัน อาตมาผู้เป็น“ของจริง”ก็อยู่ในยุคนี้ สมัยนี้ร่วมกัน จึงจำนน-จำเป็น-จำยอม-จำต้องยืนยันตนเอง-บอกตนเองขึ้นมาท่ามกลางสังคมยุคนี้สมัยนี้ เพื่อให้สังคมรู้“ความจริง”ด้วยความจริงในใสซื่อ ผู้แสวงหาได้อย่างนี้ จึงได้ของจริง แบงค์ปลอมหรือแบงค์จริง แล้วแบงค์ปลอมมีเยอะกว่าด้วย เขาก็ว่าแบงค์จริงว่าไอ้ปลอม คนส่วนใหญ่ก็เชื่อว่าพวกใหญ่หมู่ใหญ่เขายืนยัน พวกเขาก็ต้องเชื่อเพราะฉะนั้นตัวจริงจึงอยู่ยากมากเลย อาตมาเองรู้สภาวะพวกนี้ดี จึงนำมาเปิดเผยเรื่องจริง อาตมาทำงานมา 50 กว่าปี ประกาศอธิบาย มีคนอย่างพวกคุณฟังแล้วเข้าใจมาเอาได้ เป็นคณะชาวอโศก มีพฤติกรรมมีชีวิต มีการดำเนินชีวิต มีปรากฏการณ์ปรากฏออกไป ก็ยังยาก ที่คนจะสนใจ 1.ดวงตาของเขาไม่มีแวว ดวงตาของเขาไม่มีภูมิปัญญา ไม่มีดวงตา คือไม่มีภูมิธรรมพอที่จะรู้ว่า อ๋อ นี่คือเพชรอันมีค่า เขาไม่รู้เขานึกว่าเป็นเศษแก้ว เศษสวะอะไรไปทั้งนั้น เพราะเขาไม่รู้จักโลกุตรธรรมจริงๆตามที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์เอาไว้โลกุตรธรรมจะหายไป คนส่วนใหญ่จะเสื่อมกันไปโดยเฉพาะคณะใหญ่ แต่คนในยุคนี้ส่วนมากส่วนใหญ่ยังไม่รู้“ความจริง” หรือไม่รู้“อรหันต์จริง” ว่า เป็นเช่นใดกันแท้? เพราะคนชาวพุทธยุคนี้ ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“โลกุตรธรรม”กันแล้ว ตามคำพยากรณ์เรื่องกลองอานกะของพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสเปรียบเทียบไว้นั้นแหละ …ว่า จะมียุคที่ชาวพุทธเสื่อมความรู้เรื่อง“โลกุตระ” ในโลกยุคนั้นก็จะไม่มี“คนจริง”ที่มี“ความรู้โลกุตรธรรมจริง-อรหันต์จริง”กันเลย เมื่อ“ความรู้โลกุตรธรรมจริง-อรหันต์จริง”ประกาศตนต่อสังคมยุคสมัยที่เสื่อมจริงๆนี้ จึงยากที่จะให้“คนผู้เสื่อม”แล้ว ซึ่งพากัน“มิจฉาทิฏฐิ”ไปสุดหนักหนาสาหัส และหลงยึดมั่นถือมั่นใน“ความรู้เก๊-อรหันต์เก๊หรืออริยะเก๊”กันสนิทเนียนแล้วนั้น หันกลับมา“เข้าใจ”หรือ“เชื่อถือในความรู้โลกุตรธรรมจริง-อรหันต์จริงหรืออาริยะจริง”กันได้ง่ายๆ มันย่อม“ยากสสส์”สุดยากกันแน่ยิ่งกว่าแน่!!! มันเท่ากับโควิดเป็นโรคมะเร็ง เป็นไงไม่รู้ก็คิดเอาเองแล้วกัน โควิดคือโรคที่เป็นง่าย ติดต่อง่าย ระบาดง่าย แล้วเป็นแล้วตายคือมะเร็ง 1.เป็นง่าย ติดง่าย ระบาดหนัก 2. เป็นแล้วตายก็ง่ายด้วย ให้คืนด้วยถ้าได้เป็นมะเร็ง โควิดที่เป็นมะเร็ง มันยาก (พ่อครูไอตัดออกด้วย) ความเป็นทิพย์ของพ่อครูอยู่ที่ไหน _สู่แดนธรรม… ขอยืนยันคำพูดของพ่อท่าน ว่า ได้อยู่เสวนากับคณะที่มิจฉาทิฏฐิ นิยมกันว่าถ้าเป็นอรหันต์หรือเป็นอริยบุคคล จะต้องมีความเก่งในความเป็นโลกทิพย์อิทธิปาฏิหาริย์ พ่อครูว่า… เพราะเขาไม่รู้ทิพย์ที่เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ อาตมามีทิพย์ที่ยิ่งกว่าทิพย์ที่ เป็นอาเทสนาปาฏิหาริย์หรือว่าอิทธิปาฏิหาริย์ แบบนั้นมันขี้กะโล้โท้ แต่ทิพย์ที่อาตมามี เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือคำสอนที่สอนแล้วเอาไปปฏิบัติได้ยืนยันกันได้แล้วได้รับมรรค รับผลจริง นี่คือทิพย์ เช่น สอนเรื่องศีล เอาศีลมาพูดเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วพวกเราก็รับเอาศีลไปปฏิบัติ ศีลก็เกิดอธิจิต ศีลก็เกิด การขัดเกลากิเลส มีปัญญารู้เกิดหลุดพ้นจากกิเลสเป็นวิมุต ศีล ซึ่งไม่ใช่แค่ไปรักษาศีล แล้วไปไหน ไปวัด ไปถือศีล 8 วันนี้วันพระ แล้วก็ทำศีลแค่จารีตประเพณี ปฏิบัติศีลได้แค่ สีลพตุปาทาน ยึดได้แค่ศีลแต่ศีลนั้นต้องเกี่ยวข้องกับการเกี่ยวข้องกับจิต เกี่ยวข้องกับกรรมกิริยาทุกอย่าง ตั้งแต่ศีลข้อที่ 1 เกี่ยวพันกับคนกับสัตว์ ศีลข้อที่ 2 เกี่ยวพันกับทุกสิ่งทุกอย่าง ศีลข้อที่ 3 เกี่ยวพันกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส คุณก็จะต้องรู้ว่ารูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอันนี้ อันไหนมันมีกิเลสแฝงอยู่ในรูปในรสในกลิ่นในเสียงสัมผัสต่างๆ หากว่าคุณปฏิบัติแล้ว ไม่ได้วินิจฉัย ไม่ได้วิจัย ว่าปฏิบัติศีลแล้วได้รู้จักกิเลสจากสิ่งเหล่านี้ คุณไม่เลย คุณไม่ได้ไปทำอย่างนั้นเลย _สู่แดนธรรม… แสดงว่าความเป็นทิพย์แบบที่พ่อท่านสอน พ่อครูว่า… ยืนยันได้พิสูจน์มีมรรคผล แบบนั้นมันไม่มีมรรคผลเลย ทิพย์แบบนั้น _สู่แดนธรรม… ผมจะบอกว่าโลกทิพย์ที่พ่อท่านสอนสามารถจะสืบพุทธศาสนาไปได้ ด้วย อนุสาสนีปาฏิหาริย์นะครับ จบ Categories: ธรรมะพ่อครู, ศาสนาBy Samanasandin6 มิถุนายน 2023Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:660605_พิธีน้อมกตัญญูบูชา พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ งานอโศกรำลึก 2566NextNext post:660609 พ่อครูเทศน์ ธัมมิกราษฎร์ประกาศโลกุตรธรรม งานอโศกรำลึก 2566Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024