660603 พิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ งานอโศกรำลึก ปี 2566 ณ ราชธานีอโศก ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/179dHk4ubsh_I59GmyvDkk3-BMYMzXnjr/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1XAFQD4D1-aKbAVCyXuDcP5S9Dl_YQv7-/view?usp=drive_link ดูวิดีโอที่ https://youtu.be/9t40o7pqBL0 และ https://fb.watch/kW_lT9UBmo/ ก่อนพิธีบูชาพระบรมสารีริกธาตุ เนื่องจากวันนี้เป็นวันวิสาขบูชา และเป็นวันครบรอบวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดาฯ ชาวอโศกจึงได้จัดพิธีถวายพระพรแด่สมเด็จพระราชินี ตอน 18.00 น. กิ่งแยกสามเส้าของวิสาขบูชา จากนั้น พ่อครูร่วมพิธีมอบหุนขี้ผึ้งรูปเหมือนพ่อครู(ปางปุ้งเต้าเสาสิ้ว) ที่อาสนะสงฆ์ จากนั้นพ่อครูได้นำลูกๆกล่าว… ✿ สัจจวาจาบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ✿ อิติปิโส ภควา อรหัง สัมมา สัมพุทโธ วิชชาจรณสัมปันโน สุคโต โลกวิทู อนุตตโร ปริสทัมมสารถิ สัตถา เทวมนุสสานัง พุทโธ ภควาติ ขอยอบนอบหมอบกราบคารวะ ด้วยสุดเกล้าสุดเศียรสุดกระหม่อมของเหล่าข้าน้อยนี้ เกลือกถูรองรับอยู่ใต้ละอองผงคลีแห่งธุลีฝ่าพระบาท ของสมเด็จพ่อ ผู้เป็นพระอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้มีพุทธคุณดังกล่าวข้างต้น อย่างสุดเทิดสุดบูชายิ่ง เหล่าข้าน้อยทั้งหลาย ขอน้อมรำลึกเทิดทูนพระคุณอันหาที่สุดมิได้ ณ กาลศุภสมัย 3 มิถุนายนนี้ …… เร่ิมกล่าวตามพ่อครูว่า… เหล่าข้าน้อยทั้งหลาย ขอตั้งปณิธานต่อพระมหาบรมสารีริกธาตุ ณ บัดนี้ว่า… เลือดและวิญญาณขอเหล่ข้าน้อยทั้งหมดนี้ ขอถวายอุทิศแด่พระพุทธศาสนาไปตราบดินสิ้นฟ้า จนกว่าข้าน้อยแต่ละคนจะปรินิพพาน ขอได้โปรดรับปณิธานนี้ ด้วยสุดเกล้าสุดเศียรสุดกระหม่อมของเหล่าข้าน้อยทั้งหลายเถิดเทอญ. หลังกล่าวบูชาพระบรมสารีริกธาตุ พ่อครูได้เทศนาต่อ …… พ่อครูว่า… 15 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ พอดีวันนี้มันฤกษ์งามยามดีมาประจวบงาน จัดไปจัดมา ตรงกับวันวิสาขบูชาของปีนี้ และก็เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระราชินี องค์ปัจจุบันของเราด้วย ก็เลยผนวกกันไป งานเราก็เลยเป็นงานที่มีองค์ประกอบที่สำคัญ ได้มาร่วมผนวกกันเข้าไปอย่างดียิ่งเลย คำว่า วิสาขะ นี่ ความหมายของมันคือ สาขา สาขะ เป็นสิ่งที่เป็นกิ่ง เป็นสิ่งที่แยกออกจากสาขา มีกิ่งแยกออกไปเรียกว่า วิสาขะ มีคำว่า ติ คำนี้แปลว่า 3 ก็มี 3 กิ่ง สามกิ่งสำคัญนั้นก็คือ 1 ประสูติ 2 ตรัสรู้ 3 ปรินิพพาน เป็นวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ตัวเลขก็คือ 15 ค่ำเดือน 6 ซึ่งเป็นวิสาขะของจันทรคติ เป็นดิถีวิสาขปุณมี เรียกว่าอย่างนั้น ซึ่งก็เป็นเดือนที่ระหว่างเมษายนกับพฤษภาคม ตอนนี้มันเลยมาถึงมิถุนายน วันนี้วันที่ 3 วิสาขะหรือวิสาขา เป็นชื่อของดาวฤกษ์ดวงหนึ่ง ที่เป็นดาวอยู่ในจักรวาล ซึ่งพวกเราอยู่ในโลกลูกหนึ่งจักรวาลนี้เป็นจักรวาลน้อยมี 9 ดวงด้วยกัน แต่ดาวฤกษ์อยู่นอก 9 ดวง อยู่โลกเรามองออกไปจะเห็นแสงสว่างทุกข้างขึ้น เต็มดวงเมื่อ 15 ค่ำ แล้วก็ค่อยๆมืดลงเป็นแรม 15 ค่ำก็มืดสนิท เพราะฉะนั้นในความหมายของพยัญชนะก็ดี ในความหมายของตัวเลขก็ตาม ในความหมายของ เทศะ ฐานะต่างๆของกาละต่างๆก็ตาม มันจะประจวบเหมาะระหว่าง 3 ใน 1 และ 1 ใน 3 คำว่า 3 ใน 1 ก็มีสภาวะ 3 อย่างคือประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานอย่างนี้เป็นต้นเป็นสามเส้า อยู่ในวงกลมวงวน หรือในองค์ประกอบหนึ่งที่เรียกว่าโลกหรือวงวน ที่จะหมุนเวียนสลับซับซ้อนอยู่ในนี้ มันจะมีเริ่มต้นจากสามเส้า และใน 3 ใน 1 และ 1 ใน 3 นี้ จะเกิดเรื่องราวอะไรต่ออะไรขึ้นไปเยอะแยะมากมาย เหตุการณ์ประกอบกับวันและเหตุการณ์มีองค์ประกอบตั้งแต่บุคคลฐานะ องค์ประกอบสถานที่ต่างๆ และเวลา กาละ เทศะ กาละก็คือเวลา ที่มันมีอยู่ประจำเอกภพนี้ เคลื่อนไปทุกอย่างเคลื่อนไปคือ กาละ เราก็มาตั้งเป็นเวลาไว้เป็นนาทีเป็นชั่วโมงจนถึงเป็นอาทิตย์เป็นเดือนเป็นปี ก็ใช้กันไปทั่วโลก เพื่อเป็นสมมุติหมายให้คนต่างๆเข้าใจ แล้วเอามาใช้อาศัยเพื่อจะสื่อให้เกิดการเกี่ยวข้องกัน สร้างสรรค์กันแม้ที่สุดในการกำหนดหมายเอาไปทำลายกัน มันก็เป็นเรื่องของคน ซึ่งไปทำลายสิ่งที่ไม่ดีก็เป็นประโยชน์ แต่ถ้าไปทำลายสิ่งที่ดีมันก็เป็นโทษอะไรอย่างนี้ ก็มีคู่กันระหว่างสิ่งดีกับไม่ดี คู่กันตลอดเวลา เพราะฉะนั้นก็ค่อยๆศึกษา เราจะได้ค่อยๆเข้าใจถึงความเป็นโลก คือทุกอย่างปรุงแต่งกันอยู่ในองค์ประกอบของข้างนอกอันอื่น จนกระทั่งมาเกี่ยวข้องกับเรา แล้วก็มีพฤติกรรมพฤติการณ์ต่างๆ ปรุงแต่งกันขึ้นเป็นเรื่องเป็นราว คนมีธาตุรู้เป็นเจ้าเรือน ก็เป็นตัวที่จะกำหนด ซึ่งจิตวิญญาณที่มันกำหนดนี่แหละ มันหลากหลายมากที่สุดเลย พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเอามาสอนเรา แล้วก็เอามาตรัสเป็นสูตรต่างๆ ในการที่จะเรียนรู้อาการที่พระพุทธเจ้าท่านแบ่งแยกย่อยเอาไว้ ตั้งแต่ 2-3 มากมายขยายเป็น 4 5 6 7 8 9 จนนับไม่ถ้วน เป็นรายละเอียดที่มีต้นตอคือจิตวิญญาณเป็นประธานสิ่งทั้งปวง ที่มันเป็นตัวกำหนดทั้งรู้ กำหนดทั้งเกิด กำหนดทั้งดับ ก็เป็นเรื่องลึกซึ้งเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์แต่ละคนๆ ตั้งแต่พระพุทธเจ้าเองทุกพระองค์ ท่านก็เป็นคนหรือเป็นมนุษย์เหมือนกับเราทุกคน แต่ท่านได้ศึกษา ตามพระพุทธเจ้า ทุกพระองค์ เราไม่รู้หรอกพระพุทธเจ้าองค์ที่ 1 ที่เป็นต้นธาตุแท้ๆคือใครตามไม่ได้ไม่มีใครจะรู้ต้นทางต้นธาตุของพระพุทธเจ้าองค์ที่ 1 พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็ไม่สามารถตรัสบอกได้ ว่าพระพุทธเจ้าองค์ที่ 1 เมื่อใด ลแต่ประมาณผู้ที่สามารถระลึก พระพุทธเจ้าระลึกชาติย้อนไปได้ เป็นล้านๆล้านๆปี แล้วก็ผู้ที่เกิดแม้แต่พระพุทธเจ้าอุบัติประสูติหรือว่าตรัสรู้แล้วก็ประกาศพระธรรม แต่ละองค์แต่ละองค์ก็ตามไปถึงต้นตอ ต้นธาตุ ต้นธรรมไม่ได้ คนที่อวดเก่งว่าเป็นต้นธาตุต้นธรรมเอง อวดเก่งว่าเป็นผู้รู้จุดเริ่มต้นของพระพุทธเจ้าองค์แรกก็ดี เป็นเรื่องอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีในตน เพราะมันเป็นไปไม่ได้นอกจากเป็นเรื่องอุปาทานตัวเองสร้างเรื่องเอง แล้วก็กำหนดหมายเองเอามาพูดเลอะเทอะ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่ในศาสนาพุทธเรามีผู้รู้ มีผู้เรียน มีผู้ประกาศอธิบายมา มาถึงยุคนี้เป็นยุคกึ่งพุทธกาลของพระพุทธเจ้าสมณโคดม มันเสื่อมมากเลย เสื่อมมาเรื่อยๆจนกระทั่งถึงกึ่งพุทธกาล 2,500 พุทธกาลของพระสมณโคดมจะมี 5,000 ปี อันนี้เป็นเรื่องแน่นอน ไม่ใช่อาตมาเป็นผู้รู้แต่ผู้รู้ท่านอื่นท่านบอกกันมาต่อๆกัน ว่า ศาสนาพุทธของพระสมณโคดมจะมีอายุถึง 5,000 ปี จากนั้นโลกทั้งโลกจะว่างจากศาสนาพุทธไปเรียกว่าพุทธันดรเป็นช่วงที่ไม่มีศาสนาพุทธเลยเป็นช่วงที่คนเลวร้ายที่สุด เป็นกลียุคที่คนจะฆ่ากันทำร้ายกันคือคนชั่วจัดเต็มไปหมดจนศาสนาพุทธช่วยอะไรไม่ได้เลย ไม่มีฤทธิ์พอจะช่วยคนชั่วเลวนั้นได้ในยุคนั้น ยุคนี้ก็ร้ายแรงไปเรื่อยๆคนไม่รู้หรือคนทำชั่วทุกวันนี้ แม้แต่ในชาวพุทธหรือแม้แต่ในคนที่เคยเป็นพุทธ แล้วก็ไม่นับถือพุทธขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งกล่าวว่าจะไม่มีศาสนา ถึงขั้นจะไม่มีชาติ ไม่มีศาสนา ไม่มีพระมหากษัตริย์ เขากล้ากล่าวได้ถึงปานนี้ก็ตาม ก็เป็นความนึกคิดของเขา เป็นทิฏฐิของเขา ซึ่งเป็นเรื่องที่จะเป็นโทษเป็นภัยของสังคมมนุษยชาติ อาตมาเป็นคนคนหนึ่งเหมือนกันกับทุกๆคน เหมือนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็เป็นคน ที่มีอาการ 32 ครบเหมือนกันหมดในคนมีอาการ 32 นี้เป็นส่วนเต็ม อาตมาก็ได้บำเพ็ญตนเองเกิดมาเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรในศาสนา ในธรรมะ อาตมาระลึกไม่ได้หรอกในช่วงที่เกิดมาตั้งแต่ยังเป็นคนชั่ว เป็นคนไม่รู้เรื่องอะไรจนกระทั่งรับวิบากไป จนกระทั่งได้มาพบพระพุทธเจ้า มาพบศาสนาพุทธ จนกระทั่งศรัทธาเลื่อมใสแล้วก็ปฏิบัติตาม ได้บรรลุธรรม นานมาเป็นหลายล้านปี จนกระทั่งถึงยุคปัจจุบันนี้ อาตมาก็ระลึกได้เท่าที่ระลึกได้ ระลึกได้ว่าอาตมาเป็นผู้ที่บำเพ็ญธรรมะของพระพุทธเจ้ามาเป็นพระโพธิสัตว์ ในประเทศไทยนี้ศาสนาพุทธไม่ได้เข้าใจเรื่องของความเป็นพระโพธิสัตว์ ก็พูดถึงบ้างแต่ไม่ค่อยรู้เรื่องกัน อาตมาต้องเป็นคนนำสิ่งเหล่านี้มาประกาศลงไปในเมืองไทยในยุคนี้ ในที่อื่นๆ ในประเทศอื่นๆที่มีศาสนาพุทธ ญี่ปุ่นเป็นต้น พม่า เป็นต้น ลาว จีน ก็มีศาสนาพุทธ แม้แต่ในเกาหลี ในเขมร แต่ศาสนาพุทธเหล่านั้นเสื่อมไปหมดแล้ว เสื่อมจนไม่เหลือโลกุตรธรรม ไม่รู้จักโลกุตรธรรม กลายเป็นศาสนาที่เป็นโลกียธรรมหรือเป็นเทวนิยม เหมือนกันกับส่วนใหญ่ของคนส่วนใหญ่ในโลก ศาสนาเทวนิยมจะแยกแบ่งกันไปเป็นศาสนาหลายศาสนาที่มีความเหมือนกันบ้าง ต่างกันบ้าง แย้งกันบ้าง ก็ต่างคนต่างอวดเก่ง พระศาสดาแต่ละองค์ก็มีความเก่ง มีความรู้คนละแง่คนละเชิง ก็เลยแข่งกัน แล้วก็สร้างศาสนาของแต่ละองค์ ก็จะมีสมาชิก มีศาสนิกของแต่ละศาสนา ศาสนาเทวนิยมมีเยอะหรือ ศาสนาโลกีย์ ส่วนศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาโลกุตระ มีศาสนาเดียวจะเกิดในยุคไหนๆ กาละไหนๆ ก็จะมีศาสนาเดียว จะมีคนเห็นผิด แตกแยกออกไปจากสิ่งที่ถูกต้อง เรียกความไม่ถูกต้องนั้นว่านิกาย ศาสนาพุทธจึงเกิดนิกายขึ้นมาได้เหมือนกัน เรียกว่าไม่ใช่พุทธกายหรือธรรมกายของพระพุทธเจ้า แต่เป็นกายที่ผิดเพี้ยน เข้าใจความเป็นกายก็ยังไม่ถูกต้องอะไรอย่างนี้เป็นต้น วันนี้คงไม่ได้พูดรายละเอียดตรงนี้ กว่าอาตมาจะได้มาขยายรายละเอียดในคำว่า กาย อย่างนี้ก็นาน ปลูกฝังเรื่องพวกนี้มานาน จนกระทั่งเพิ่งมาเปิดขยายมาไม่นานใน 10-20 ปีนี้เท่านั้น อาตมาทำงานศาสนามาถึง 50 กว่าปีแล้ว ค่อยๆขยายรายละเอียดความละเอียดของธรรมะพระพุทธเจ้ามาเรื่อยๆ เพราะมันผิดมันเพี้ยนไปจนไม่เหลือแล้ว คำว่ากายเป็นคำต้นและเป็นคำกลางและเป็นคำปลาย ที่จะต้องใช้ประกอบกับความรู้ธรรมะโลกุตระของพระพุทธเจ้าอย่างสำคัญมากเลย คำว่า กาย ตั้งแต่ต้น ถึงกลาง ในกลาง ก็มีรายละเอียดเยอะจนจบคำว่า กาย ก็จะเป็นคำที่จะต้องใช้ตรวจสอบถึงที่สุดที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในวิญญาณฐีติ 7 อย่างนี้เป็นต้น อาตมาพยายามนำคำตรัสของพระพุทธเจ้าพวกนี้ มากล่าวให้พวกเราได้เข้าใจ เอามาใช้ประกอบในการปฏิบัติธรรม สุดท้ายเราก็จะได้บรรลุนิพพานและจะได้เป็นประโยชน์ต่อโลก ประโยชน์ตนนั้นคือตัวเองได้บรรลุนิพพาน บรรลุนิพพานคืออะไร คือบรรลุการรู้จักจิตเจตสิกต่างๆ จิตคือธาตุรู้ที่แยกออกไปเรียกแต่ละหมวด แต่ละเรื่อง แต่ละราวเรียกว่าจิต แล้วจิตก็ยังแยกละเอียดไปอีก เจตสิก คือส่วนละเอียดของจิตที่แยกออกไปอีก ประกอบไปทั้งหลายแหล่เรียกว่าเจตสิกทั้งนั้น คือรายละเอียดของจิตอีกทีหนึ่ง ซึ่งจิตก็แยกออกไปจากคำว่าวิญญาณ วิญญาณเป็นธาตุรู้องค์รวมทั้งหมดเรียกว่าวิญญาณขันธ์ แต่จิตแยกออกไปจะเรียกขันธ์ก็ไม่เต็มขันธ์ เจตสิกกก็แยกย่อยออกไปอีก เจตสิกแยกย่อยออกเป็น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ 5 หมู่ใหญ่ จุดสำคัญที่สุดคือจุดเวทนา นี่คือความรู้สึกหรืออารมณ์ของคน ในคนมีอารมณ์ มีความรู้สึก เราจะต้องเรียนรู้อาการของความรู้สึกให้ได้ เด็กก็ตาม ผู้ใหญ่ก็ตามมีทุกคน แล้วก็จะต้องรู้อาการที่เป็นจิตเจตสิกของเรา เวทนาเจตสิกคืออาการอย่างนี้ แตกต่างจากอาการอื่นแตกต่างจากขันธ์ เช่น สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ รูปขันธ์วิญญาณขันธ์ ต่างกันนะ แม้แต่ในเวทนาเจตสิก ซึ่งไม่ได้เรียกว่าเป็น ขันธ์ทีเดียว ย่อยออกไปแล้ว มันก็ยังมีความแตกต่างกันอีก จนกระทั่งพระพุทธเจ้าท่านสรุปให้เรียนรู้เวทนาไปถึง 108 เวทนา ที่อาตมาได้ขยายความไปมากมายแล้ว ซึ่งก็จะขยายความอีกซึ่งไม่ใช่เรื่องตื้น มันเสื่อมไปตั้งแต่ก่อนที่จะถึงกึ่งกลางพุทธกาลก่อนจะถึงพ.ศ. 2,500 ก่อนจะถึง 2,500 มันเสื่อมมาเรื่อยๆ มาถึง 2,500 ก็เสื่อมสุดเลยไม่เหลือ ไม่มีศาสนาพุทธ มีแต่ศาสนาเทวนิยม ศาสนาโลกีย์ ศาสนานอกรีตของศาสนาพระพุทธจ้า อาตมาเกิดมาในยุคนี้อันนี้แหละที่อาตมาจะไขความ จำนนต้องประกาศว่าตนคืออรหันต์ ตอน 1 เกิดมาชาตินี้ “อาตมา”จำเป็นมากที่สุดแห่งที่สุดที่ต้องบอก “ตัวเอง”ว่า “อาตมา” เป็น“อรหันต์” และเป็น“โพธิสัตว์” เกิดมาชาตินี้ ในยุคนี้ อาตมาจำเป็นมากที่สุด เพราะสำคัญมากยิ่ง และมันจำนนจริงๆ ไม่มีทางเลือกอื่นเลย ที่อาตมาต้องบอกว่าตนเองเป็นตัวจริง ของคนผู้บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าว่า อาตมาเป็น“อรหันต์”ก็ดี ว่าอาตมาเป็น“โพธิสัตว์”ก็ดี ซึ่งมันเป็น“ความจริง”ที่จริงที่สุด และยุคนี้มันไม่มี“อรหันต์จริง”หรือ“โพธิสัตว์จริง” กันแล้ว มันมีแต่“อรหันต์เก๊”หรือ“โพธิสัตว์เก๊”กันทั้งนั้น ต้องขออภัยอย่างสูงอย่างมากยิ่งที่สุด ที่การพูดเปิดเผยในวันนี้ ต้องพูดเป็น“คำตรง” เพราะฉะนั้น อาตมาจึงจำเป็น-จำนน-จำยอมต้องเอา“ตนเอง”นี้แหละ“ตัวแท้”ที่จะยืนยันเป็นหลักฐาน เพื่อเปรียบเทียบกับ“ความไม่จริง”ที่คนยุคนี้ไปหลงงมงายเข้าใจเชื่อผิดๆ หลงเชื่อถือผิดๆ อยู่กับ“อรหันต์ปลอม-อรหันต์เก๊”กันอย่างน่าสงสารสุดสงสารยิ่งนัก ซึ่งมันก็รู้“ความจริง”กันได้ยากสุดแสนยากยิ่งยอดอีกด้วยว่า อย่างไหนจริง อย่างไหนเก๊ หรือยังไม่แท้!!! ในพุทธศาสนายุคกึ่งพุทธกาล พ.ศ. 2500 นี้ ความเสื่อมของคนชาวพุทธ มันเสื่อมกันสุดๆแล้ว มันมีแต่“อรหันต์เก๊” ไม่รู้จัก “อรหันต์จริง-โพธิสัตว์แท้” หรือมีแต่“อรหันต์”ที่ต้อง“เดา”เอาว่า ผู้นี้กระมังที่เป็นอรหันต์??..!! เพราะ“พระอาจารย์”หรือผู้เป็นปราชญ์ทางศาสนาพุทธยุคนี้ได้เพี้ยนผิดไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้าชนิด “กลับตาละปัตร” หน้ามือเป็นหลังมือกันเลยทีเดียว จึงสอนผิด เข้าใจผิด เชื่อผิด หลงงมงายไปชี้คนผิดที่เป็น “อรหันต์เก๊”ว่าเป็น “อรหันต์”มันก็หลอกคนอยู่ ซึ่งเขากล้าหลอกกันได้ถึงขั้นกล้ายืนยันผิดเพี้ยนไปได้ถึงขนาดว่า ผู้บรรลุธรรมนั้น ครั้นบรรลุธรรมแล้วจะบอกใครว่า “ตนเองบรรลุธรรม”ไม่ได้เป็นอันขาด ถึงกับพูดและเขียนว่า “ผู้บอกว่าตนบรรลุธรรมนั้นแหละคือผู้ไม่บรรลุธรรม” …บังอาจกันปานฉะนี้! อาตมาจึงจำเป็น-จำนน-จำยอม ไม่มีทางเลือกใดอีกแล้ว จำต้องใช้“ตนเอง”นี้แหละเป็น“เป้าให้ยิง”กันเลย ถ้าอาตมา“เป็นของเก๊”อาตมาถูกยิงเผาขนมาหนักหนาสาหัสมาป่านนี้ ถึงวันนี้ผ่านมา ถ้าอาตมา“ไม่ใช่ผู้อยู่ยงคงกะพัน”แท้จริง อาตมาก็ตายสลายแหลกราญไปเป็นผุยผงแล้ว ไม่อยู่ยงคงกะพันกันถึงวันนี้ วินาทีนี้หรอก อาตมาสามารถพิสูจน์ความเป็น“อมตบุคคล”กันให้เห็นอยู่จนถึงวันนี้ วินาทีนี้ ก็เพราะอาตมามี“ความเป็นอรหันต์แท้จริง” เป็น“ความจริงที่ข้ามชาติ”มาเป็นผู้“เปิดเผยความจริงในความเป็นอรหันต์”กันขึ้นในยุคนี้ อาตมาผู้เป็น“ของจริง”ก็อยู่ในยุคนี้ สมัยนี้ร่วมกัน กับชาวพุทธทั้งหลาย ที่หลงงมงายอยู่กับ“ของเก๊”กัน ชาวพุทธด้วยกันแต่ท่านไปหลงของเก๊ ตัวเองเป็นของเก๊แล้วเอามาประกาศ อยู่ร่วมสมัยกัน มีทั้งของจริงและของเก๊ อาตมาประกาศตนว่าตนเป็นของจริง และผู้ที่ไม่ตรงกับอาตมาเป็นของเก๊ อาตมาเห็นแล้ว จึงจำนน-จำเป็น-จำยอม จำต้องยืนยัน“ตนเอง” บอกตนเอง ขึ้นมาท่ามกลางสังคมยุคนี้สมัยนี้ เพื่อให้สังคมรู้ “ความจริง”ด้วยจริงใจใสซื่อ แต่คนในยุคนี้ส่วนมาก ยังไม่รู้ว่า “ความจริง”หรืออรหันต์จริง”เป็นเช่นใด? …กันแท้! เพราะคนชาวพุทธยุคนี้ ส่วนใหญ่ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“โลกุตรธรรม”กันแล้ว เสื่อมกันไปจริงๆ ตามคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ใน“อาณีสูตร”เรื่อง“กลองอานกะ” พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 672 เป็นการยืนยันคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าว่า “จริงแท้” มันมี“ความเสื่อม”ตามที่เป็นจริง ปรากฏกันให้เห็นกันหลัดๆ โต้งๆ โทนโท่อยู่ให้สัมผัสได้ในขณะนี้ ยุคนี้ แล้วมันจะ“ไม่จริง”ได้ยังไง?! ในเมื่อมันมี“ความเสื่อม”สัมผัสได้อยู่ เมื่อยุคนี้มัน“ไม่มีความจริง”ของอรหันต์-โพธิสัตว์กันแล้ว อาตมาจึงต้องแสดงตัวขึ้นมาให้ปรากฏ ให้คนพิสูจน์“ความจริง”ว่า อาตมาคือ ตัวตนยืนยัน“ความจริงของอรหันต์-ของโพธิสัตว์”จริงๆ เพื่อเปรียบเทียบกับ“ความไม่จริง”ที่คนในยุคนี้ ไปหลงเชื่อถือ และไหลงเข้าใจผิดๆอยู่กับ“ขอปลอม-ของเก๊”กัน ซึ่งเป็นทั้งปลอมทั้งเก๊ใน“ความรู้-ความเข้าใจ” และทั้งปลอมทั้งเก๊ในคำพูดคำอธิบาย และทั้งการเป็นอรหันต์ที่คนอื่นั้งหลายไปพากันหลงผิด เชื่อผิด อรหันต์เก๊นั้นๆกัน แบบ“เดาๆ”กันด้วยนะ! อาตมาผู้เป็น“ของจริง”ก็อยู่ในยุคนี้ สมัยนี้ร่วมกัน จึงจำนน-จำเป็น-จำยอม-จำต้องยืนยันตนเอง-บอกตนเองขึ้นมาท่ามกลางสังคมยุคนี้สมัยนี้ เพื่อให้สังคมรู้“ความจริง”ด้วยความจริงในใสซื่อ แต่คนในยุคนี้ส่วนมากยังไม่รู้ความจริง”หรือไม่รู้“อรหันต์จริง” เป็นเช่นใด? ขอแวะตรงนี้ว่าถ้าท่านไม่ตรงกับอาตมาท่านหยุดเสีย ท่านทำผิด ซึ่งกรรมเป็นอันทำ ใช้ยางลบลบไม่ได้ ไปทำกรรมผิดๆเป็นสมบัติของท่าน อาตมาถึงขอปราม หยุดเถอะ อย่าทำเลยสิ่งผิด แต่แน่นอนท่านไม่หยุด แต่ สุสูสังลภเตปัญญัง ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา ซึ่งปัญญาเป็นความฉลาดแบบโลกุตระ เพราะคนชาวพุทธยุคนี้ ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“โลกุตรธรรม”กันแล้ว ตามคำพยากรณ์เรื่องกลองอานกะของพระพุทธเจ้านั้นแหละ เมื่อ“ความรู้จริง-อรหันต์จริง”ประกาศตนต่อสังคมยุคสมัยที่เสื่อมจริงๆนี้ จึงยากที่จะให้“คนเสื่อม”ซึ่งพากัน “มิจฉาทิฏฐิ”ไปสุดหนักหนาสาหัส และหลงยึดมั่นถือมั่นใน“ความรู้เก๊-อรหันต์เก๊หรืออริยะเก๊”กันสนิทเนียนแล้วนั้น กลับมา“เข้าใจ”หรือ“เชื่อถือในความรู้จริง-อรหันต์จริงหรืออาริยะจริง”กันได้ง่ายๆ มันย่อม“ยากสสส์”สุดยากกันแน่ยิ่งกว่าแน่!!! แต่อาตมานั้น“ง่ายสสสส์”สุดแสนง่ายที่อาตมาจะบอก“ความจริง-ยืนยันตนเองที่เป็นจริง”ของอาตมา นำออกมาแสดงต่อสังคมกันอยู่จริงๆนี้ ตามที่ตนเองเป็นตามที่อาตมามี“ผลของความสำเร็จในการเป็นอรหันต์จริง”นั้นๆมาแล้ว และผ่าน“ความเป็นอรหันต์”เป็น“อนุโพธิสัตว์”ผ่านขึ้นไปเป็น“อนิยตโพธิสัตว์”กระทั่งเจริญขึ้นผ่านมาเป็น“นิยตโพธิสัตว์”คือโพธิสัตว์ระดับ 7 และกำลังมีกระแสความเป็น “มหาโพธิสัตว์”ระดับที่ 8 ขึ้นไปเป็นลำดับๆ นี้ มันมี“สภาวธรรม”จริงในตนเองแท้ จึงนำเอา“คุณวิเศษ”อันเป็น“นามธรรม”แท้ๆที่“วิเศษแท้”นี้ออกมาพูดมาบอกได้ง่ายๆ เป็นลำดับๆอย่างน่าอัศจรรย์ด้วย ถ้าอาตมา“ไม่มีคุณวิเศษ”เหล่านี้จริง อาตมาจะเอาอะไรมาพูด มาบอกต่อประชาชน ต่อสังคม ที่เป็นทั้ง“ความจริง”ของ“สภาวะแห่งคุณวิเศษจริง” ทั้ง“ความจริงที่ถูกต้องถ่องแท้ของคำสาธยายคำอธิบาย” ทั้ง“ความรู้-ความคิด-ความเห็น-ความเข้าใจ-ความเชื่อ” ทั้ง“ความสอดคล้องเรียงร้อยที่เป็นลำดับไม่สับสน” ทั้ง“ความเป็นได้”ที่มีคนมีสังคมกลุ่มหมู่มวลมนุษย์จริง-บรรลุธรรมได้เป็นคุณวิเศษพิเศษขั้น“โลกุตระ” ซึ่งเป็น“อื่น(อัญญะ)”ไปจาก“โลกียะ” เป็นภาวะ“โลกอื่น”ที่ภาษาเรียกว่า “โลกุตระ”นี้แหละ ให้คนทั้งหลาย“สัมผัส”ได้ด้วยตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย,ใจกันเลย เพราะ“ความรู้”ก็ดี “ความเป็นอรหันต์”ก็ดี มันมีในตัวอาตมาอยู่แล้วแท้ๆ มีข้ามชาติตั้งแต่ชาติก่อนๆติดตัวมา ซึ่งยุคนี้ในโลกทั้งโลก มันไม่มี“ความรู้คุณวิเศษ”ที่เป็น“โลกุตระ”กันแล้ว อรหง-อรหันต์ไม่มี แม้แค่“รู้จัก” ก็ไม่รู้จักกันแล้วจริง ไม่ต้องไปพูดคำว่า“รู้แจ้ง-รู้จริง”กันเลย มันไม่มีใครมีความรู้ถึงขั้น“ปัญญา”รู้จัก“โลกุตระ” เถรสมาคมก็ตาม เทวนิยมทางตะวันตกก็มีแต่ความรู้ เฉโก กันเป็นโลกียะ ส่วน ปัญญาเป็นโลกุตระ ในโลกยุคกึ่งพุทธกัป พ.ศ. 2500 ก่อนอาตมาจะเกิด จึงไม่มีอรหันต์แท้ มีก็แต่อรหันต์เก๊กันทั้งนั้น ก่อนอาตมาเกิดก็มีคนประกาศอรหันต์แต่เป็นอรหันต์เก๊ ดังนั้น ความเป็น“อรหันต์”มันจึงไม่มีใครรู้จริงกันแล้วจริงๆ เพราะ“อรหันต์”เป็น“โลกุตรธรรม” แต่“ความรู้โลกุตระ”มันไม่มีแล้วในโลกยุคกึ่งพุทธกัปป์นี้ ตามที่อาตมาก็ได้เอาคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ใน“อาณีสูตร” เรื่อง“กลองอานกะ”ที่เป็นเรื่องของ“โลกุตระ” ในโลกยุค“กึ่งพุทธกัปป์”นี้ ก่อนอาตมาจะเกิดจึงไม่มี“อรหันต์”แท้ มีก็แต่“อรหันต์เก๊”กันเท่านั้น ยุคนี้อาตมาเกิดมา ในตัวอาตมามี“ความเป็นอรหันต์ติดตัวมาแล้ว”มาเกิดเป็นคนในยุคนี้ จึงรู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า “อรหันต์เก๊” ก็คือ “ของไม่จริง” อาตมาจึงจำเป็น-จำนน-จำยอม ที่จำต้องเอา“ตนเอง”ที่เป็น“อรหันต์จริง” มายืนยันขึ้นในสังคมพุทธ ที่ถูกครอบงำด้วย“ของเก๊-ความรู้เก๊-อรหันต์เก๊”กันมานานแล้ว ให้พิสูจน์ ให้สัมผัสกัน ให้มาใช้เรียนรู้“ถลกหนัง-ลอกคราบ-ยิงเป้า”กันจริงๆ ถ้าอาตมา“ไม่ใช่ของจริง”อาตมาก็พรุนแหลกราญไปทั้งกายทั้งจิตใจแน่ๆ แต่อาตมา“อยู่ยงคงกระพัน”จริงๆ ดังนั้น ในยุคเดียวกันร่วมสมัยกันนี้ ที่โลกยุคนี้สมัยนี้ร่วมกันอยู่ มีทั้ง“ของเก๊”และมีทั้ง“ของจริง”แสดงตัวกัน เมื่อ“ของเก๊-อรหันต์เก๊”ก็แสดงตัวอยู่แล้ว ยืนยันตัวเองแล้วในสังคม ขณะนี้ เผยแพร่กระจาย“ความเก๊”มาก่อนที่อาตมาจะปรากฏตัวด้วยซ้ำ ชาวพุทธก็ได้รับซับทราบ และได้เชื่อถือกันมาแล้วก่อนอาตมาจะเกิดมาในยุคนี้ ที่จริงอาตมาประกาศอรหันต์ พ.ศ.2558 อาตมาใช้คำว่า โพธิสัตว์ไปก่อน แล้วค่อยใช้เวลา กว่าจะประกาศอรหันต์ก็รอจนปี 2558 อาตมาไม่ได้ตะกละตะกรามอวด อาตมาใช้เวลา 45 ปี ค่อยประกาศ แต่อาตมาเคยเล่าว่าเคยบอกแก่คนที่มาถามส่วนตัว คือ ขวัญดี กับ อ.แสง จันทร์งาม ตอนนั้นยังไม่ได้ถึงเวลายืนยัน แต่เขาเซ้าซี้มากก็เลยบอกไป ก่อน พ.ศ.2558 ส่วน อ.สัญญา ธรรมศักดิ์ อาตมาไม่ได้บอกว่าอาตมาเป็นอรหันต์ไป คุยแต่เนื้อหาธรรมะ แล้วท่านก็ไปกล่าวข้างนอกรับรองว่าอาตมาเป็นอรหันต์ ก็ไม่ได้บันทึกอะไร “อรหันต์เก๊”เขาก็แสดงตัวกระจาย“ความเก๊” ตามทิฏฐิของเขา ต่างก็มีคนปักใจเชื่อกันถึงขั้น“ยึดมั่นถือมั่น” เพราะเป็น“ยุคเสื่อม”จริง จึงได้แต่“ของเก๊”กัน อาตมาผู้เป็น“ของจริง”เป็น“อรหันต์จริง”แท้ๆ เกิดมาในยุคนี้ร่วมสมัยอยู่นี้ มายืนยันความเป็น“อรหันต์”อย่างองอาจแกล้วกล้า(อาสโภ) ตามคุณลักษณะของอาตมา ชาวพุทธทั้งหลายก็ได้รู้ได้เห็นได้“สัมผัส”คนที่ยืนยันตนเองกันจริงๆ เห็นกันโต้งๆ โทนโท่ ถึง“ของเก๊” กับ“ของจริง”ในยุคกึ่งพุทธกัปป์ของพระพุทธเจ้าสมณโคดมนี้ ก็ต้องใช้วิจารณาญาณของแต่ละคนอย่างอิสระตัดสินลือกเฟ้นด้วยตนเองเถิด ว่า อันไหนจริง-อันไหนเก๊! ด้วยความเมตตาสงสารของอาตมาอย่างจริงใจแท้ๆ อาตมาจึงจำเป็น-จำนน-จำยอมเอา“ตนเอง”ที่เป็น“ของจริง” ชนิดที่“จำต้อง”เปิดเผย“ความจริง”ขึ้นมาให้ชาวพุทธทั้งหลายได้ศึกษาพิสูจน์กัน ชนิดที่ไม่เคยมีใครแสดออกอย่างแกล้วกล้าอาจหาญ มี“อาสโภ” ซึ่งไม่มีแม้แต่ความเป็น“มังกุ”ใดๆในจิตเลย ดั่งที่อาตมาเป็นอาตมามีกันนี้หรอก จิตที่“อาสโภ”ถึงขั้นไม่มี“ความเก้อยาก”คือ ไม่มี “มังกุ”นี้ เป็นอจินไตย เป็นอาการของจิตในจิตที่คนไม่มีเอง เป็นของตนเอง จะคิดเอาอย่างไรก็ไม่ตรงตามจริงได้ มังกุ เป็นอาการขวยเขินน้อยๆ แต่ อุทธัจจะ เป็นการขวยเขินมากกว่า หากไม่ใช่อาริยะขั้นสูงจะไม่รู้อาการนี้ เพราะจะมีอาการหยาบกว่ามังกุมาก อรหันต์คือผู้ที่หมดอาการมังกุ เมื่อสังคมพุทธมีแต่คนผู้ไม่ใช่“คนจริง”ในความเป็นผู้“สัมมาทิฏฐิ”ตั้งแต่“ความรู้”ก็“มิจฉาทิฏฐิ” ใน“การปฏิบัติ”ก็“มิจฉาปฏิบัติ” ใน“ผลที่ได้บรรลุ”ก็“มิจฉาผล” อาตมาผู้มี“ความจริง”ใน“ความเป็นอรหันต์-เป็นโพธิสัตว์” ที่มี“ผลสำเร็จ”ถึง“ระดับ 7”มาแล้ว นำ“ความจริง ที่มีผลสำเร็จระดับ 7 จริง(สยัง อภิญญา)”นั้นติดตัวมาเกิดข้ามชาติมาเป็น“โพธิรักษ์”มีร่างกายตัวตน”เป็น“คนจริง”ในยุคนี้ พบ“ของเก๊”ที่ในโลกยุคนี้มี อาตมาจึงสุดทางเลือก ที่จำต้องทำอย่างที่ได้ทำมา นั่นคือ ต้องบอก“ความจริง”ว่า จริง บอก“ความเก๊”ว่า เก๊ มันจำนน จำเป็นที่ต้องย้ำยืนยั้น วันนี้เป็นวันสำคัญก็เลยย้ำหนัก เพราะเป็นวันวิสาขบูชา เป็นวันอโศกรำลึกวันแรก และเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระราชินีด้วย ก็ได้ทำมาตามลำดับ ซึ่งได้ทำตามที่พระพุทธเจ้าพาทำ คือ เริ่มต้นกันตั้งแต่“ศีลให้สัมมาทิฏฐิ” แล้วจึงต่อ“สมาธิ”ให้สัมมาทิฏฐิ และ“ปัญญา”ให้สัมมาทิฏฐิ จน กระทั่งถึงขั้น“วิมุติ”ให้สัมมาทิฏฐิ ที่สุด“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”ที่สัมมาทิฏฐิ จบ Categories: ธรรมะพ่อครู, ศาสนาBy Samanasandin3 มิถุนายน 2023Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:ฉบับ ๕๕๑(๕๗๓) นสพ.ข่าวอโศก รวมปักษ์เดือน พฤษภาคม ๒๕๖๖NextNext post:660605_พิธีน้อมกตัญญูบูชา พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ งานอโศกรำลึก 2566Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024