660529 ศึกษาความผูกพัน-ความสัมพันธ์ กรณี บี-ประทับใจ รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #24 ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/15xIrZOsI7NLJ8iXr7D9K_fqKFZXw1sdk/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1Z2wPGgvaWR9siqdVkMVKzwzxuUQAhYyW/view?usp=share_link
ดูวิดีโอได้ที่
และ https://fb.watch/kQkNAzd9Sn/
ศึกษาความผูกพัน-ความสัมพันธ์ กรณี บี-ประทับใจ
พ่อครูว่า… วันนี้วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม 2566 ขึ้น 10 ค่ำเดือน 7 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
วันนี้เรามีศพ อยู่ข้างหน้าอาตมานี่ตั้งอยู่ข้างหน้าอาตมานี่เป็นศพของ นางสาวประทับใจ รักพงษ์อโศก ซึ่งเพิ่งเสียชีวิตไป เมื่อวานนี้ ถูกรถจักรยานยนต์ชนในขณะที่ไปทำงานแล้วรถมันเสียน้ำมันหมด แล้วลงมาจากรถเอาไฟมาส่องถนนมันเป็นที่มืดๆ รถมอเตอร์ไซค์มาจากไหนไม่รู้ซัดตูมเดียวซี่โครงหัก ขาหัก แล้วก็เลือดตกใน ช่วยกันไม่ทัน ก็สิ้นชีวิตไปเสียก่อน
ชื่อเล่นของประทับใจเขามีชื่อว่าบี เป็นชาวอโศกเราจนกระทั่งอยู่ในตระกูลรักพงษ์อโศก ซึ่งมีท่านซาบซึ้ง สิริเตโช เป็นต้นตระกูล เมื่ออยู่กับพวกเราแล้วก็อยู่กันอย่าง ชาวอโศกจริงๆมานาน โดยเฉพาะเป็นครูด้วยสอนเด็ก สอนนักเรียนมามากมายหลายรุ่น เป็นครูตัวอย่างที่ทุกคนควรจะต้องได้ศึกษาอย่างดีชีวิตเขา
เขาได้ประพฤติเขาได้กระทำ ทำงานไปด้วยศึกษาไปด้วย ปฏิบัติธรรมไปด้วย ครบสูตรของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ไปปฏิบัติธรรมหนีเข้าป่าเขาถ้ำหลับตาสะกดจิตไม่ใช่ อันนั้นมันของเดียรถีย์นอกรีตมันผิดมิจฉาทิฐิ แต่ของพระพุทธเจ้าที่อาตมาพาทำปฏิบัติลืมตามีอายตนะ 6 รับรู้ทางทวาร ทางหูจมูกลิ้นกาย แล้วก็ทำงานเกี่ยวเนื่องกันมีอายตนะต่างๆ โยงใยจิตวิญญาณกับภายนอกภายใน แล้วก็รับรู้ตัว
ถ้าดูที่ชื่อว่าอายตนะคือมีทั้งภายนอกภายในระหว่างนามรูปวิญญาณอายตนะ สัมพันธ์กันเกิดเป็นสามเส้า วิญญาณแล้วก็แยกเป็นนามรูปมี 2 สภาพนามกับรูป
ตั้งแต่รูปภายนอกแล้วก็มีภายในกำหนดรู้เป็นกาย เห็นรู้ชัดเจนอยู่ เรียกว่าอายตนะเป็นสภาพเชื่อมต่อระหว่างภายนอกภายใน ระหว่างกายระหว่างจิตอันนี้เป็นต้น
ซึ่งพวกเราศึกษากันมารู้จักสภาวธรรมจากพยัญชนะจากภาษาที่อาตมาหยิบมาเป็น อุเทส เป็นคำอธิบายขยายความแล้วสามารถมีธาตุรู้มีปัญญามีสัญญากำหนดสภาวธรรมต่างๆพวกนี้รู้ด้วย ทั้งพยัญชนะและสภาวะมารวมเป็นอันเดียวกันเรียกว่าอายตนะ แล้วก็ปฏิบัติตนมา
กำลังจะทำปริญญาเอก จวนจะดีเฟน กำลังจะได้ปริญญาเอกแล้วก็บอกอาตมาอยู่ว่า อย่างไรปีนี้ก็คงได้จบปริญญาเอก อาตมาก็ถามเขาอยู่เสมอ เขาก็ตั้งใจทั้งทำงานทั้งปฏิบัติธรรมทั้งสอนหนังสือ ครบครัน เพราะฉะนั้นจึงมีความสำคัญสัมพันธ์ มีกับพวกเราจนกระทั่งพวกเราได้เผลอ ไปมีความผูกพัน
สัมพันธ์กับผูกพันนี้ต่างกัน ผูกพันคือสังโยชน์คือความติดยึดผูกพันกันจะไม่พรากจากกันว่างั้นเถอะ เพราะฉะนั้นมันก็เลย ทั้งๆที่พวกเราศึกษาธรรมะศึกษาอย่างเห็นๆอ่านอาการรู้สภาวะอย่างอื่นๆ รู้แจ้งในภาวะมีสติสัมปชัญญะปัญญา มีสติตื่นเต็มทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม รู้เห็นอาการของจิตเจตสิกรูป แต่เราไม่ถึงขั้นให้จบเป็นนิพพานได้ นี่แหละก็ต้องศึกษากัน
ศึกษาถึงจิตที่มันผูกพันไม่รู้จักจบ
ฟังเรื่องของความผูกพันกับความสัมพันธ์ให้ดีๆ สัมพันธ์มันต้องเกี่ยวข้องกันสัมพันธ์คือการเกี่ยวข้องกันทำงานร่วมกันอยู่ด้วยกัน ส่งเสริมกัน ขัดเกลากัน ทำประโยชน์แก่กันและกันจนกระทั่งมีประโยชน์มากขึ้น สร้างสรรค์มีประโยชน์ต่อผู้อื่นทั้งวัตถุทั้งพฤติกรรม กายกรรมวจีกรรมมโนกรรมทั้งความรู้ความคิด ปัญญา เชื่อมโยงกันอยู่ไม่ขาดตลอดเวลา
เป็นคนมีปัญญาเป็นคนมีการศึกษาเป็นคนไม่เสียชาติเกิดคือ ชีวิตนี้ก็ได้อาศัยชีวิตอยู่ และรู้จักทุกข์รู้จักสุข และก็ได้ลดทุกข์ อาศัยสุขซึ่งเป็นการใช้อาศัยภาษาพยัญชนะมาใช้ ลำลอง ให้เป็นการติดยึดอารมณ์นั้นไม่ใช่ แต่มันก็ยิ่งกว่าอารมณ์นั้นเรียกว่า ปรมังสุขัง เป็นอารมณ์ที่ยิ่งกว่าสุข
เขาเรียกว่าสุขคนโลกๆคือการบำเรอ แต่ยิ่งกว่าสุขนี้ไม่มีการบำเรอเป็นแต่เพียงอารมณ์หรืออาการความรู้สึกที่อาศัย ให้เป็นความรู้สึกที่เพียงอาศัยกันอยู่เท่านั้น จึงเป็นผู้ที่รู้สภาพที่เรียกโดยโลกๆว่าทุกข์กับสุข รู้ทั้งสภาพที่ไม่มีและสภาพที่ยังมีสภาวะที่เหลือ บางๆเบาๆ เล็กๆน้อยๆ มันก็มีอยู่เรียกว่า อนุสยะ น้อยคืออนุ สยะ คือตัวตน ยังมีตัวตนน้อยๆนิดๆ ไม่ถึงขั้น สกะ และไม่เป็นถึงขั้น สวะ
สยะ สวะ สกะ
สยะนี้ น้อยกว่าเพื่อน ย ล ฬ ว ส ห
สยะตัวที่ คือเศษวรรค สักกายะ สักกะ เป็นตัวตนที่เต็มรูป หยาบ รู้ยาก ศึกษาลดสักกะ แล้วมาลด อาสวะ แล้วมาลดอาสยะ หรือจบด้วยอาศัย อาสยะ เพียงแต่รู้จัก สยะ แล้วอยู่กับ สวะ อาสวะหมด
ยิ่ง สกะ ให้หมดก่อนเลย มันหยาบ ตัวตนที่เป็นสักกะ เช่น สักกายะ เป็นต้น
ผู้รู้ใช้พยัญชนะแล้วก็รู้จักสภาวะศึกษาจนสามารถลดกิเลสตัวนั้นลงได้ พระพุทธเจ้าสอนเราถึงความทุกข์ทั้ง 10 แม้พระพุทธเจ้าบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้วก็เลี่ยงไม่ได้เรียกว่าเป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ 6 อย่าง
ฟังดีๆนะพวกเรายังมีทุกข์อยู่ มี โศก ปริเทว ทุกข ยังมี โทมนัส ยังมี อุปายาสะ อยู่ นี่คือคนที่ยังไม่รู้ความจริงยังมีโศกอยู่ ทั้งๆที่พวกเราคือพวกที่ไม่โศกแล้วบรรลุความโศกเป็นอโศกแล้ว แต่ก็มีผู้ที่ยังไม่บรรลุมีความโศกอยู่ ยังมีแค่พิรี้พิไร ติ่งต่องๆ แหม่นี่ พรากจากกันตายจากกัน เรามีชีวิตเคยร่วมทุกข์ร่วมสุข ร่วมประโยชน์ร่วมสร้างสรรค์ ร่วมเรียนรู้ ร่วมอาศัยซึ่งกันและกันสัมพันธ์กันอยู่ มีความสัมพันธ์ด้วยกันมา แต่เสร็จแล้วมาตายจากกัน
มีใครจะไม่ตายจากกัน มีไหม ใครจะไม่ตายจากกันเลยตลอดนิรันดร ยกมือ เด็กก็เข้าใจผู้ใหญ่ก็เข้าใจ ไม่มีใครจะไม่ตายพรากจากกัน
ถ้ายิ่งเข้าใจลึกซึ้งไปว่าคนเรานี้ตายพรากเฉพาะร่างกายนี้แต่จิตวิญญาณไม่พรากจากกันง่ายๆ ถ้าหากผูกพัน
ถ้าผูกพันก็จะต้องมาเจอกัน แม้จะผูกพันแบบอาฆาตก็ต้องมาเจอกัน ผูกพันแบบรักใคร่ก็ต้องมาเจอกัน แล้วก็เกิดบุพเพสันนิวาส จะเป็นนิทาน เป็นเรื่องของการอาศัยร่างกายอาศัยชีวิต อาศัยบทบาท อาศัยเรื่องราวที่เราเคยสร้างนิยายร่วมกัน ไม่ว่ารัก ไม่ว่าโกรธ ไม่ว่ารักหรือชัง สร้างหนังมาเป็นล้านๆเรื่องแล้ว แล้วก็เห็นกันดูกันไปเป็นเรื่องเป็นราว จึงไม่ใช่เรื่องไม่จริง เป็นเรื่องจริง
อาจจะเป็นเรื่องปรุงแต่งบ้าง เสริมเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้มันหวือหวากว่าเวิ่นเว้อไปหน่อยบ้างแล้วแต่ แต่มันจริง มันก็มีโลภโกรธหลง หนังนี่เขาเอาเรื่องของความโลภความโกรธความหลง มาเป็นรสชาติ ปรุงแต่ง แล้วก็สร้างเป็นลีลาของผู้แสดงตัวแสดงออกมา เป็นหนังแต่ละเรื่องทุกเรื่องแค่นั้นแหละ ใช้โลภโกรธหลงเท่านั้นแหละมา สร้าง
ทีนี้พระพุทธเจ้าสอนเราถึงทุกข์อีก 4 อย่างที่มันเป็นเรื่องรสชาติของความโลภโกรธหลง เป็นทุกข์ 4 อย่างที่พระพุทธเจ้าบอกว่าอันนี้เลี่ยงได้
ส่วนความทุกข์อีก 6 อย่างที่เลี่ยงไม่ได้มีอะไรบ้าง
ก. ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ (ทุกข์อันเกิดจากกาย) .
-
สภาวทุกข์ ทุกข์ประจำสังขาร เกิด แก่ เจ็บ ตาย คนจะมีความทุกข์นี้ เกิดเป็นชีวิตขึ้นมาแล้วก็พยายามโตขึ้น ถึงขั้นแก่บางคนก็ฝงก่อนแก่ ตายตั้งแต่ตอนเด็ก ตายตอนหนุ่มสาว ตายในระหว่างกำลังเป็นวัยทำงาน เป็นวัยแข็งแรงอย่างบีนี้ สรรอายุ 45 กำลังเป็นวัยสร้างสรรค์ทำงานแต่ก็ตาย เกิดแก่แล้วก็ตาย ไม่มีใครเลี่ยงได้เรียกว่าสภาวทุกข์
-
นิพัทธทุกข์ ทุกข์อยู่เนืองนิตย์ คือ หนาว ร้อน หิว กระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ ร่างกายเรามีความรู้สึกมีการกระทบ มีร้อนมีหนาวกระทบอยู่กับธรรมชาติใครก็เลี่ยงไม่ได้ มันร้อนเกินก็เป็นทุกข์ มันหนาวเกินไปก็เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ที่จะอยู่กับสิ่งแวดล้อม มันร้อนมันหนาว หรือมันกระทบ มันเจ็บมันปวด เป็นแผลเกิดขึ้นต่างๆนาๆ มันปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ อั้นไว้ก็เป็นทุกข์ มันเลี่ยงไม่ได้หรอก นิพัทธทุกข์
เป็นพระพุทธเจ้าก็ต้องมีร้อน มีหนาว มีหิว มีกระหาย เพื่อที่จะเอามาบำบัดร่างกายถ้ามันขาดแม้เราไม่อยาก แต่มันก็ต้องกระหายเอามาบำบัดตามควร ถ้าไม่ให้มัน มันก็ไม่ได้เหตุปัจจัยก็เหี่ยวแห้งก็ตาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะอย่างนี้เป็นต้นมันต้องมีมันเป็น นิพัทธทุกข์ มันเลี่ยงไม่ออก
-
อาหารปริเยฏฐิทุกข์ ทุกข์ในการหากิน-การทำงาน คือการแสวงหา จะต้องหาอาหารมาเลี้ยงชีพ จะต้องช่วยตนเอง แม้คนอื่นจะหามาให้ เราก็ต้องพยายามกิน อย่างอาตมาต้องแสวงหาความมีชีวิตต้องกินให้มัน ไม่กินให้มันก็อยู่ไม่ได้ มันก็ฝืนก็เป็นทุกข์ถ้าไม่อยากกินก็เป็นทุกข์ เราก็รู้ความจริงเป็นทุกข์แบบนี้เรียกว่า อาหารปริเยฏฐิทุกข์ ผู้ที่จะต้องพากเพียรให้มีชีวิตอยู่ ถ้าเราไม่ต้องการแต่เราควรจะอยู่มันก็ต้องกิน
หรือแสวงหางานการ ถ้าไม่ทำงานการก็ไม่ใช่คนยิ่งกว่าเดรัจฉานก็ต้องแสวงหาการงานทำ งานที่สร้างสรรค์มันก็ลำบากมันก็ทุกข์เราก็รู้ความจริงที่ต้องทำต้องจำเป็นจำนน มันก็ควร
-
พยาธิทุกข์ อวัยวะเจ้าการทำหน้าที่ไม่เป็นปกติ มีความทุกข์เพราะว่าความเจ็บป่วย อวัยวะเจ้าการไม่สมดุล มันเจ็บมันป่วยมันขัดข้อง มันขาดแคลน มันไม่สมดุล อย่างอาตมานี้เลือดลมไม่สมดุลอยู่ข้างใน เจ็บจี๊ดจ๊าดข้างใน ตรงที่แขนที่ขาที่โน่นที่นี่ วันนี้ก็เจ็บตรงนี้หลังคอก็ปวดร้าวๆขึ้นมา เขาก็เอายาทาให้หน่อย นวดให้หน่อย ก็ค่อยยังชั่วแล้ว มันก็เป็นพยาธิทุกข์
-
วิปากทุกข์ ทุกข์เพราะผลกรรม เลี่ยงวิบากเก่าไม่ได้ อันนี้เป็นอจินไตยไม่ต้องคิด เราทำมาแล้ว มันเป็นวิบาก ชาตินี้มีวิบาก วิบาก มันมาถึงมันก็ต้องทุกข์ อย่างอาตมามีวิบากหนักหนาสาหัส ไปเนื่องจากอวัยวะมันไม่ดี มีกระเปาะอะไรขึ้นมาเบียดบังเส้นเสียงเส้นลม ทำให้ไอ มันก็เป็นวิบาก และเป็นอย่างที่หมอผ่าไม่ได้ด้วยถ้าหมอผ่าได้ป่านนี้ผ่าออกไปนานแล้ว นี่หมอผ่าไม่ได้ มันเสี่ยงมาก มันติดกับหลอดลมที่จะหายใจเลย เสี่ยงมากเลย จะไปปะผนังหลอดลมมันติดกับผนังหลอดลมปะไม่ได้ แล้วจะปล่อยให้ผนังหลอดลมรั่วก็ไม่ได้ มันก็เลยเป็นวิบากที่หนักกับอาตมา เป็นทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ อาตมายังมีวิบากพวกนี้อยู่ก็ดีแล้ว นอกจากพวกนี้แล้วอาตมาก็ไม่เจ็บไม่ป่วยที่เป็นโรคร้ายแรงเท่าไหร่เลยในชีวิตมา
ที่จริงเคยเป็นโรคอยู่ 2 โรค 1. เป็นกาฬโรค 2.เป็นไทฟอยด์
ตอนเป็นกาฬโรค ยายบอกว่าตายไปแล้ว 15 วินาทีเลย ชัก ไม่หายใจ แลบลิ้นยาวออกมา ยายก็ร้องไห้แล้ว พับไปเลยเสร็จแล้วก็ฟื้นขึ้นมา อาตมาจำได้ตอนนั้นเหมือนกับเข้าสนามรบ เป็นเด็กอยู่เลย อยู่ประมาณชั้นม. 2 เดี๋ยวนี้ก็ประมาณป.6 หายจากโรคแล้วก็หัวโกร๋นผมร่วงเลย
-
มาเป็นโรคไทฟอยด์ ประมาณอยู่ม. 8 ปีแรกเลย อยู่กับพี่ล้วน ควันธรรม อาศัยอยู่กับเขาทำงานเลี้ยงลูก ทำกับข้าวให้เขา เราก็เรียนหนังสือไป เป็นโรคไทฟอยด์ ก็เกือบตายเหมือนกัน สลบไป ไม่รู้ตัวไปหนึ่งวันแล้วก็ฟื้นขึ้นมาหาย หัวโกร๋นอีกเหมือนกัน 2 ครั้งเป็นวิบากที่อาตมาเจอในชีวิต เป็นวิบากที่เลี่ยงไม่ได้ ไม่ได้อยากเป็น แล้วก็เกือบตาย
นอกนั้นก็ไม่มีโรคอะไรหนัก ก็มีที่คออย่างที่ว่า
-
ทุกขขันธ์ ทุกข์รวบยอดเพราะการประชุมแห่งขันธ์ 5 อันยังอาศัยมีชีวิตอยู่ ขันธ์นี่คือหมู่กอง ได้มันเป็นกองทุกข์ มีรูป มีเวทนา มีกาย มีความรู้สึก มีสัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นทุกข์ มีขันธ์ทั้ง 5 เป็นทุกข์ มันมีสิ่งที่มันเป็นอาการของจิตต่างๆ จิตสัมพันธ์กับอื่นๆเรียกว่า รูป แล้วก็กลายเป็นความรู้สึก เป็นการกำหนดรู้เป็นหน้าที่ของเจตสิกต่างๆ แล้วก็ปรุงแต่งสังขารรวมตัวกันเรียกเต็มๆว่า วิญญาณ ก็มันมีอยู่มันยังไม่ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ยังไม่ตายทิ้งเกิดมาต้องมีพวกนี้
แม้ไม่มีรูปเป็นวิญญาณร่องรอยสัมภเวสีไม่มีใครเห็นรูป แต่ก็มีเวทนา มีความรู้สึก มีสัญญากำหนดรับรู้ของตัวเองอยู่ ปรุงแต่งเป็นวิญญาณของตัวเอง แต่อยู่กับตัวเองไม่ได้พบกับใคร ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับใคร มีอยู่กับวิบาก
ถ้าเป็นวิบากที่ตัวเองอวิชชาตัวเองไม่รู้เรื่องไม่รู้ตัวแล้วก็ไปตามที่เราคิดว่าเราปรุงแต่งจะดิ้นออกจาก อยากหาที่เกิด อยากหาตาเห็น จมูกได้กลิ่น อยากหาลิ้นได้รับรส อยากหามีกายสัมผัสกับอะไร อยากมันไม่หยุดหรอก เหมือนกับคนนอนหลับนี่มันต้องตื่นมา พอนอนพอสมควรแล้วก็ต้องตื่นมาหาอะไรมาบำเรอตา. หู. จมูก. ลิ้น. กายสัมผัสเสียดสี หลงว่ามันเป็นความสุขหลงว่ามันเป็นความหน้าได้หน้ามีหน้าเป็น มันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติอย่างนั้นคนที่ไม่รู้
นอกจากมันเบื่อมันทุกข์มากก็อยากจะตายตายไปแล้วมันยังไม่หมดกิเลส มันก็จะมีอยู่นั่นแหละ เสร็จแล้วก็ไปอยากดิ้นรนใหม่ยิ่งโง่อยากจะดิ้นรน เห็นว่าถ้ามีตากระทบรูป หูกระทบเสียงพวกนี้แหละเป็นสุข ก็ยิ่งดิ้นรนอยากจะหาที่เกิด ดิ้นอยากจะมีตาหูจมูกลิ้นกาย เป็นสัตว์นรกเรียกว่า จิตวิญญาณที่ตายไปแล้วเป็นสัตว์นรก ที่มันดิ้นรนอยากได้ตาหูจมูกลิ้นกาย ซึ่งมันไม่มี มันก็เลยดิ้นรนที่รวมเรียกด้วยศัพท์ว่าดิ้นรนหาที่เกิด
คือหาที่ที่จะมีตาหูจมูกลิ้นกายครบ นั่นแหละตายไปแล้วเป็นสัตว์สัมภเวสีดิ้นหาที่เกิดร่างเกิดที่มีครบตา จมูกลิ้น กาย มันเป็นความทุกข์ดิ้นรนแล้วตามวิบากมันจะไม่ได้ ถ้าไปมีวิบากที่จะต้องได้รับนรกอเวจีต้องไปตกทุกข์ดิ้นอยู่นั่นแหละ ก็ดิ้นจนกระทั่งมีวิบากอื่นที่ตนเองฝังไว้ในสัญญา มีอาฆาตมีพยาบาท มีแก้แค้น มีอยากได้อยากมีอยากเป็น แล้วมันก็ไม่ได้
อยากได้แล้วไม่ได้ไม่รู้แล้ว อวิชชาด้วย ก็ดิ้น อยากมากดิ้นมาก แล้วก็ไม่มีทางออก ไม่มีทางได้ จะขาดใจก็ไม่มีใจจะขาด เพราะมันไม่มีชีวิตชีวะ ไม่มีลมหายใจอะไร มันไม่ต้องใช้ตับปอดไส้พุงอะไรมันไม่ต้องใช้ มันมีแต่นามธรรม พวกเราก็คงนึกออกยาก แต่มันทุกข์ชนิดที่เรียกว่า มันโง่ มันดิ้นรนในสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้
แล้วมันอยากได้สิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ มันก็ดิ้น แล้วก็ไม่มีทางอื่นนอกจากความทุกข์อาการจิตของตัวเอง อาตมาจึงบอกว่า ทุกข์กระแทก ฆ่าทำร้ายทำลายอาการจิตของตนเอง ใช้ภาษาเรียกอันนี้ใช้พยัญชนะเรียกอันนี้ มันโง่ขนาดนั้นมันไม่รู้ มันอยากทำลายสิ่งนั้นเพราะคิดว่าทำลายแล้วมันจะได้เปลี่ยน เปลี่ยนออกมามี อยู่อย่างนั้นมันไม่มีสิ่งที่ตนเองอยากได้ก็เลยจะเปลี่ยนสภาพนั้น ออกมาเพื่อให้มันมีสิ่งที่ตัวเองคิดว่าจะได้ แต่มันเป็นไปไม่ได้อีก มันก็เลยแต่เจ็บปวด ยิ่งทุกข์ยิ่งเจ็บปวด ยิ่งทุกข์ยิ่งดิ้นรน
เหมือนกับสัตว์ตัวที่มันดิ้นรนออกจากกรงขัง ก็ยิ่งกระแทกกรงไปเรื่อยๆมันยังไงอย่างนั้นอยู่ เสร็จแล้วมันก็ตาย กระแทกจนมันต้องตายเพราะมันกระแทกก็จะมีแต่ความกระทบกระเทือน ความเจ็บความแตก ความทำลายตาย ตายแล้วมันก็ไม่มีตาย แล้วมันจะเป็นอย่างนั้นอีก มันหนักกว่าเก่าเพราะโง่ไง เพราะอวิชชา มันก็ทำอย่างนั้นอีกหนักกว่าเก่า ความทุกข์ซ้ำซาก ความทุกข์หนักขึ้นหนักขึ้นโดยไม่รู้จักทุกข์ ยิ่งเป็นทุกข์ทับถมทุกข์ นี่คือโง่
พวกเราได้รับการศึกษาพวกนี้แล้ว เราจะไม่ทำทุกข์ทับถมทุกข์หรือไม่ทำทุกข์ทับถมตน เราจะมีทางออก เราจะมีมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดี เราจะมาเกิดเร็ว จะมาเกิดอย่างนั้นอย่างนี้ มาหาที่เกิดแล้วจะมีที่เกิด ได้ที่เกิดที่ดีด้วย มาอยู่ในหมู่กลุ่มแวดวงที่ดีด้วย ไม่ไปอยู่ในแวดวงที่ยิ่งโง่ ไปพาเราเจอวิบากสารพัดนี่ไม่ มันมีวิบากดีเป็นกุศลวิบากมันก็จะมา อย่างบีนี่ ไม่ต้องห่วงหรอกไม่ไปไหนไกลเดี๋ยวก็มาเกิดในนี้แหละ ดูแลกันก็แล้วกันแล้วอย่าไปขี้ตู่กันมากว่าคนนี้แหละบีมาเกิด เดี๋ยวจะเป็นบีหลายคน เด็กน้อย เกิดมาในนี้หลายคนเดี๋ยวก็เป็นบีไปหมด มันก็จะไปไม่รอด
ความทุกข์ที่เลี่ยงได้อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอน โศก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาสะ(คือความคับแค้นใจอึดอัดขัดเคืองอยู่ในใจ) มันจะลดลงจนกระทั่งหายหมด
ข. ทุกข์ที่เลี่ยงได้ (เจตสิกทุกข์ อันสามารถดับเหตุได้แท้)
-
ปกิณกทุกข์ (ทุกข์จรแห่งกิเลส คือ โศก ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะ เมื่อพรากจากคนที่รัก หรือพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก เป็นต้น)
-
สันตาปทุกข์ (ทุกข์ คือ ความร้อนเผาใจ อันนื่องมาจากกิเลสไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ แผดเผา)
-
สหคตทุกข์ (ทุกข์ไปด้วยกันกับโลก เช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข)