660503 ปลุกพลังเงียบช่วยกันทำให้การเมืองเจริญ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1deeb6Fkaiq0qC4ADyJ_neG3Wm5mqZ2LD/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/17630Vd0E8QlxZKtaxurMQBOMKuCryRT-/view?usp=share_link
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/tPxX7uIsaow
และ https://fb.watch/ki5BaOIldi/
สมณะเดินดิน… วันนี้วันพุธที่ 3 พฤษภาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 14 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ ปกติโดยทุกปี 15 ค่ำเดือน 6 จะเป็นวันวิสาขบูชา แต่ปีนี้มีเดือน 8 2 หน วิสาขบูชาปีนี้จะไปตกวันที่ 3 มิถุนายน 2566 งานอโศกรำลึกปีนี้ จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 3 มิถุนายนเป็นต้นไปเลย
เหลืออีก 11 วัน เป็นโค้งสุดท้าย เขาบอกว่าประเทศไทยจะได้เปลี่ยนแน่ ทางโลกบอกว่าสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ เหตุการณ์ต่างๆในโลกในประเทศไทย พ่อครูมองว่าเป็นเครื่องกระเทาะให้เห็นว่าใครเป็นใคร ใครเป็นแก่น ใครเป็นแก้ว ใครเป็นของจริง ใครเป็นของปลอม
ตอนนี้บางพรรคโพลมานำโด่งเลย พรรคที่บอกว่าคนแก่เป็นพวกไดโนเสาร์ จะกวาดเอาสิ่งดีงามของบ้านเมืองไปหมดสิ้นเลย เขาไปหลงตะวันตก หลงฝรั่ง ที่เชิดหน้าชูตาของเขา เขามั่นใจมาก เขาบอกว่า ก้าวไกลมาไกลเกินกว่าจะแพ้แล้ว ความอยากจะเป็นนายกทำให้คนจับโกหกได้ สร้างเรื่องราวเพื่อให้คนเชื่อ แต่ผู้คนก็ได้เห็นแก่น เขาไม่มีแก่น เป็นแก้วที่รอแตกร้าว เมื่อกระทบผัสสะแล้วจะไปได้ถึงไหน
ดูลุงตู่น่าจะเหนื่อยมาก เพราะเดินทางไปที่นั่นที่นี่ตลอดเวลา โพลล่าสุดบอกว่า พิธานำอันดับ 1 อุ๊งอิ๊ง มาอันดับ 2 ลุงตู่เป็นอันดับ 3 ได้คะแนนนิดเดียว เทียบกับเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมแล้วลุงตู่ดูเหมือนจะเทียบไม่ได้ แต่ก็เห็นความมั่นคง ไม่เห็นร่องรอยว่าจะย่อท้อ ไปแต่ละที่ยังดูมั่นคงแน่วแน่ สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ อาจจะเพราะความบีบคั้นทำให้ต้องดึงพลังออกมาให้มากที่สุด เพื่อจะรักษาบ้านเมืองไว้จึงต้องทำให้เต็มที่สุดและแรงเกิด
แต่การตอบโพลนั้น ประชาชนบางคนก็ต้องเก็บไว้ในใจ ไม่สามารถแสดงออกได้เปิดเผย ก็ลองดูว่าจะออกมาแบบไหน วันที่ 14 พลังเงียบจะเงียบเชียบต่อไปหรือเปล่า หรือพลังเงียบจะออกมายืนหยัดยืนยัน พวกเรามีเวลาอีก 10 วัน ใครจะไปช่วยชักชวนให้พลังเงียบตื่นขึ้นมาได้ก็เป็นการช่วยชาติบ้านเมือง
แต่สิ่งที่จะช่วยได้อย่างมั่นคงยั่งยืนไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งที่เป็นสัจจะสาระต้องดำรงอยู่ในชีวิตเรา
แสงธรรมจะทอบวรต้องปลุกพลังเงียบให้ออกมา
พ่อครูว่า… ที่บอกว่าพลังเงียบและความเงียบนี่นะ อันนี้แหละ เป็นตัวชี้บ่งถึงความยังไม่เจริญ อยู่เงียบๆงุ่นๆคนเดียวไม่เกี่ยวกับใคร มันเป็นมิจฉาทิฎฐิที่ลึก มันไม่ใช่เรื่องของความเป็นมนุษย์เต็มรูปที่มีความตื่นเต็ม รู้จักสังคมข้างนอกก็รู้จักข้างใน รู้จักทั้งภายนอกภายในเต็ม100 สมบูรณ์แบบ มันไม่เป็นเช่นนั้น มันเป็นอวิชชาจริงๆของคน
แต่ทีนี้อาตมายังหวัง ยังไม่สิ้นหวังเสียทีเดียวว่า คนไทยจะมาถึงวันนี้แล้ว จะเสื่อมถึงขนาดนั้น อาตมายังมั่นใจว่า คนไทยทุกวันนี้เจริญ โดยเฉพาะทางด้านของการเมืองก็ตาม ศาสนาก็เอาเถอะมันอาจจะยาก
แต่เมืองไทยนี่แม้ว่าศาสนาที่ว่ายาก แล้วก็ยังมีกลุ่มคนที่เข้าใจที่เข้าถึงสัจธรรมโลกุตระแท้ๆจะมีจำนวนน้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนไทยส่วนใหญ่จะไม่มีเชื้อโลกุตระอยู่ ไม่ใช่
มี แต่มันพัฒนาขึ้นมาตามลำดับ ถึงวันนี้นี่อาตมาก็ยังมั่นใจว่า มันจะชนะได้อยู่ ยังมั่นใจว่าสัจธรรมที่เป็นโลกุตระยังจะชนะได้อยู่
ถ้าจะว่าไปแล้ว นี่ไม่ใช่อาตมาจะคุยโม้
อาตมาทำงานโลกุตรธรรมมาตั้งแต่ พ.ศ 2513 ทำมาทำมาแล้ว ในหลวง ร. 9 เห็นร่วม เริ่มตั้งแต่ 2527 มาเรื่อยๆ ในหลวงเริ่มเห็นด้วยเริ่มตรัส สิ่งที่ท่านก็เป็นพระเจ้าแผ่นดิน จะตรัสอะไรก็ต้องมั่นพระทัยว่าตรัสออกมาแล้วสู่สาธารณชน ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ
เช่น จะตรัสว่าแบบคนจน หรือมาขาดทุนของเราคือกำไรของเรา มันไม่ใช่เรื่องง่าย
ที่เราเห็นท่านตรัสตามหลักฐานที่มีใน พ.ศ 2534 แต่อาตมาว่าท่านเริ่มตั้งแต่ พ.ศ 2527 มาเรื่อยๆ มาถึง 2534 ท่านถึงเต็มรูป ตรัสออกมาด้วยภาษาต่อสาธารณชนเลยว่า บริหารแบบคนจน ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา ต่อมา อะไรอย่างนี้เป็นต้น
ซึ่งมันเป็นเรื่องของภูมิธรรมของโพธิสัตว์แท้ๆ มันพูดเล่นไม่ได้หรอกในระดับในหลวงหรือสาธารณชนทั่วโลก พูดเล่นไม่ได้ แต่คนเข้าไม่ถึง อย่างข้าราชบริพารไม่มีปัญญารับช่วงต่อ มันก็เลยยากไปไม่ออก
ทีนี้มาพวกเรานี่แหละรับไม้ หรือจริงๆก็ทำอยู่แล้ว พวกเราเป็นโลกุตระอยู่แล้ว รับทำอยู่แล้ว เมื่อในหลวงมาตรัสอย่างนี้อีกก็เลยยิ่งโอ้โห.. แทบจะถือว่า ถ้าไม่มีธรรมะหน่อยนี่จะผยองเลยนะ รีบคว้ามาถือว่าทำอย่างคะนอง ทำอย่างผยองเลย ซึ่งอาตมาก็ต้องระมัดระวังเรื่องนี้เป็นอย่างมากเลย เราก็ไม่ถึงขั้นคะนอง ไม่ถึงขั้นผยอง แต่ก็ทำตนเป็นผู้น้อย เป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นผู้แพ้อยู่ไป
แต่พยายามเสนอเนื้อแท้ ๆๆ ให้ปรากฏทั้งกาย วาจา ใจ ทั้งรูปธรรม นามธรรม ให้เต็มส่วน ให้เต็มสภาพเสมอๆ ก็เกิดขึ้นมาได้เรื่อยๆๆๆมาตลอด ถ้าจะว่าจริงๆแล้วเปอร์เซ็นต์ที่มีแม้แต่อยู่ในประเทศไทย ก็ยังไม่ได้อยู่ในเขตขีดที่ถือว่า น่าจะมั่นใจหรือว่าน่าจะปล่อยได้ว่างั้นเถอะ ปล่อยเดี่ยวได้ ยังไม่ถึงขั้นนั้น
มันจะต้องช่วยอุดหนุน ช่วยทุ่มแรงไปอยู่เรื่อยๆ อาตมาถึงบอกว่า มันน่าจะตายแล้วก็ยังตายไม่ลง ยิ่งทุกวันนี้ไอแรง มันมีเหมือนน้ำพิษออกมา มันบอกไม่ถูกรสชาติมันก็ทรมาน มันไม่ใช่น้ำกรดทีเดียวนะ มันเป็นน้ำพิษที่มันขื่นมันขมมันจะอ้วกมันจะไอออกมาสารพัดเลย มันไม่มีในสารบบ เลยไม่รู้จะบอกด้วยภาษาอย่างไรมันเป็นสิ่งที่ร่างกายต้องขจัดออกไม่พึงต้องการ เพราะฉะนั้นจึงต้องไอขจัดอย่างแรงให้รีบเอาออกจึงทรมาน มันลึกซึ้งซับซ้อน พูดไปพวกคุณก็จะเห็นใจเปล่าๆ ปล่อยอาตมาไปเถอะ ตามวิบากไม่มีปัญหาอะไร ..ชาตินี้มีวิบาก..
นึกถึงเพลงบูรณภาพ มันสุดยอดเลย อาตมาแต่งตอนนั้นเหมือนเบลอๆ ทุกวันนี้ก็ยังจำเนื้อไม่หมด แต่ทุกคนก็ทำได้ดี อย่าเพิ่งเอาออกมา อาตมาจะมีวันที่พูดถึงเรื่องเพลง เรื่องกวีการเหล่านี้เหมือนกัน ซับซ้อนตั้งแต่เริ่มต้น รู้สึกว่าจะต้องแต่งเพลง เมื่อมาบวชแล้วนะ เพลงแรกที่แต่งตั้งแต่ตอนเป็นนักบวชแล้ว คือ เพลงขันติต้องไม่จาง หรือเพลงตะวันทอฟ้า ซึ่งอาตมาทบทวนแล้วเห็นว่ายากที่คนจะเข้าใจได้
เพ่งมองผ่านเมฆเฉกใจให้ช้ำ คล้ำดำซ้ำเป็นเห็นปานขวานผ่า
เป็นกวีการที่ต้องขยายความกันเป็นวันๆเลย
-
เพ่งมองผ่านเมฆเฉกใจให้ช้ำ
คล้ำดำซ้ำเป็นเห็นปานขวานผ่า
ความคิดเคยเฉยเชือนก็เตือนตามมา
แม้เพียรเพ่งแพงแรงพาผองธรรมก้าวมาหน้าแนวแล้วเล่า
มันมีสัมผัสทั้งเสียง ทั้งพยัญชนะ สระ มีสำเนียงเสียงเมโลดี้ด้วย
เพ่งมองผ่านเมฆเฉกใจ คือเปรียบเทียบเหมือนกับใจเรานี่แหละ มันมีความให้ช้ำใจ เมฆสีดำ เราก็ยิ่งคล้ำอยู่ในใจ มันยังไม่ขาวไม่สะอาดสว่างออกมาเลย เห็นแล้วเหมือนขวานที่ผ่าเข้าไปในหัวใจให้แหลกละเอียดอะไรอย่างนี้
ความคิดเคยเฉยเชือนก็เตือนตามมา อาตมาเคยไม่เอาแล้วตั้งแต่ออกบวชใหม่ๆ กับคุณชวน ไปหาที่อยู่สัก 2 ไร่ ถ้าใครจำได้ แล้วจะไปอยู่ตรงนั้นจะไม่เอาเลย จะไม่พูดถึงธรรมะแล้ว เพราะเห็นเลยว่ามันยากจริงๆ พวกนี้พูดไม่ขึ้นหรอก อย่างไรก็คงปลุกไม่ไหว ไม่เอาแล้ว เฉยเชือน ความคิดตัดทิ้งเลยไม่เอาแล้ว
แต่เสร็จแล้วความสำนึกก็เตือนตามมา ว่า ไม่ได้นะๆ ก็เลยจะต้องหันมาเพ่งเพียร พยายามทุ่มแรง แม้เพียรเพ่งแพงแรงพาผองธรรมก้าวมาหน้าแนวแล้วเล่า ให้ก้าวหน้ามา แรงนำหน้า แต่ผลมันไม่ตามมา อย่าว่าแต่นำหน้าเลย ตามยังยาก
-
ก็ยังช่างเย็นเช่นยาค่าไร้
หรือคนไซร้ซานเขลาคลานคุกเข่า
ยอมซบจนซ้อนจมใต้ตมซมเซา
มิเงยหน้าเลย เคยเนาฉันใดก็เยาว์เยี่ยงเดิม..โธ่เอ๋ย
ก็ยังช่างเย็นเช่นยาค่าไร้ มันเหมือนยาหมดอายุหมดค่าแล้ว ก็เลยนึกถึงคน หรือคนไซร้ซานเขลาคลานคุกเข่า หรือว่าคนทั้งหลายแหล่มันหมดแล้ว ไม่โงไม่เงยขึ้นมาแล้ว ยอมซบจนซ้อนจนใต้ตมซมเซา คนนี่คงจะขุดไม่ขึ้น ตกลงไปใต้ตรงซมเซาถูกโคลนทุกอะไรต่ออะไรมันทับถมไป มิเงยหน้าเลย เคยเนาฉันใดก็เยาว์เยี่ยงเดิม..โธ่เอ๋ย
ไม่โงไม่เงยขึ้นมาเลย อยู่อย่างไรก็เป็นเช่นนั้นก็ยังเยาว์ยังเด็กยังเล็กเช่นเดิม โธ่เอ๋ย
-
ฟ้าดินผินเพลินเผินพลอย
เมินไม่คอยเอื้ออวยช่วยใด..ไยเฉย
หรือธรรมต่ำศักดิ์นักจึงปึ่งเลย
คนเอ๋ย..ควรครวญใคร่ก่อน
ฟ้า ไม่หันหน้ามองเราเลย ไปหลงใหลอะไรอยู่ที่ไหนทำไมไม่มาช่วยเลยฟ้าดิน เมินไม่คอยเอื้ออวยช่วยใด..ไยเฉย ทำไมต้องเมินต้องเฉยต้องหนีไม่เห็นใจเราบ้างเลย
หรือธรรมต่ำศักดิ์นักจึงปึ่งเลย หรือธรรมะมันต่ำศักดิ์นักหรือถึงได้ไม่ดูดำดูดีนักเลย ไปไหนก็ไม่รู้ไม่ช่วยอะไรเลย คนเอ๋ย..ควรครวญใคร่ก่อน แล้วก็หันมาหาคนว่าควรจะใคร่ครวญให้ดีๆซะก่อน
-
ผิว์เป็นเช่นใด ไม่ควรด่วนท้อ