660428 แพ้แน่ๆถ้าพลังเงียบไม่ช่วย พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1XdwAEiGEntcBS2aEEFG4v-qZr6hFcSPa/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1SJ19CbIoPIc-SjuhgP665fNgkBXZQuOa/view?usp=share_link ดูวิดีโอได้ที่ และ https://www.facebook.com/300138787516163/videos/1385701248893358 สมณะเดินดิน… วันนี้วันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก วันขึ้น 9 ค่ำเดือน 6 ปีเถาะ อีก 2 วันก็สิ้นเดือนเมษายน เดือนพฤษภาคมถือว่าเป็นเดือนมงคลเดือนแห่งพืชมงคลเดือนแห่งการเพาะปลูก มีวันพืชมงคลและวันที่ 5 พฤษภาคมก็เป็นวันฉัตรมงคล โรงปุ๋ยพลังชีวิต ตอนแรกว่าจะเปิดขายลดราคา วันที่ 3-7 ตอนนี้ก็ขยับออกไปให้มันยาวขึ้น เปลี่ยนเป็นวันที่ 4-11 พฤษภาคม ฝนฟ้าก็จะตกวันนี้ก็จะมีพายุเข้าที่อุบลราชธานี ปีนี้ข่าวว่าข้าวจะขาดแคลนในโลก เพราะประเทศจีนและอินเดียประสบภาวะแห้งแล้ง มีคลื่นความร้อน ทำให้การปลูกข้าวไม่ได้ตามเป้าหมายการส่งออกจะลดน้อยลง ผู้ที่บริโภคข้าวโดยเฉพาะทางเอเชียก็จะมีการขาดแคลนข้าวในรอบ 40 ปี พ่อครูก็ส่งเสริมให้พวกเราปลูกข้าว มีท่านถักบุญให้ข้อมูลข้าวสารปี 2565 ที่บ้านราช บริโภคร่วมกันที่ครัวกลาง 26,260 กก บริโภคนอกโรงครัวกลาง 13,220 กก บริจาคให้องค์กรต่างๆ 10,976 กก สรุปว่า ปี 2565 รวม 50,456 กก ต้องมีข้าวเปลือก 100,000 กก หรือ 100 ตันข้าวเปลือกจึงจะเพียงพอ เราบริโภคกันเอง 40 ตันข้าวสาร หรือประมาณ 80 ตันข้าวเปลือก พวกเราที่ช่วยทำนาเป็นคนหนุ่มสาว มีจำนวนคนน้อยไม่เพียงพอกับพื้นที่ที่เราต้องรับผิดชอบทำนาเกือบ 150 ไร่ แม้จะใช้เครื่องแต่ก็ทำไม่ทัน เป้าหมายที่พ่อครู บอกให้พวกเราเป็นชาวนาน่าจะใกล้เป็นจริง เจ้าที่เจ้าทางที่เป็นจิตวิญญาณนอกตัวไม่มีจริง พ่อครูว่า… SMS วันที่ 26-27 เม.ย. 2566 _คอยใคร · กราบเคารพพ่อครูครับ ตอนนี้ผมรับงานทำบ่อปลาอยู่แถวถนนศรีนครินทร์ครับ วันที่ผมไปเปิดงานต้องมีการทุบบ่อเก่าและรื้อโครงเหล็กหลังคาเดิมออก จึงให้คนงานไปต่อไฟจากตู้ไฟบ้านลูกค้า พอต่อไฟเท่านั้นตู้เชื่อมก็มีเสียงระเบิดดังปังๆๆ แต่ไม่แรงมากครับ คนงานจึงไปดึงไฟออก หัวหน้าช่างผมก็ไปดูที่ตู้ถึงรู้ว่าลูกน้องต่อไฟผิด เพราะตู้เป็นไฟสามเฟส ก็เสียตู้เชื่อมไป 1 ตู้ในวันเปิดงาน และผมได้ยินเสียงแว่วๆจากคนงานว่า “เอาแล้ว..เจ้าที่เล่นซะแล้ว” ผมก็ฟังผ่านๆ ไม่สนใจอะไร ก็เริ่มรื้อทุบบ่อไปได้ครึ่งวัน จากนั้นผมก็เดินตรวจงานทุบบ่อเก่าที่ทุบ พื้นดินจะไม่เท่ากันต้องคอยโดดขึ้นลงและก็มีพื้นต่างระดับที่ผมไม่ได้มองดีๆ เลยทำให้เท้าผมพลิกเกิดอาการเจ็บ ผมก็นั่งขอบบ่อเอามือจับที่ข้อเท้า ก็มีเสียงแว่วๆมาอีกครับ “ว่าแล้ว เจ้าที่แรง ขนาดลูกพี่ยังโดนเลย” ผมก็เกาหัว แล้วตะโกนไปว่า “เจ้าที่อะไร ทำงานพลาดเอง ต่อไฟผิดตู้พัง นี่ก็เดินไม่ระวังเอง เลยสะดุด ดันไปโทษเจ้าที่ทำไม” คนงานก็ยิ้มๆแล้วบอกอีกว่า “ลองของซะแล้วลูกพี่” มาถึงคำถามครับ เรื่องเจ้าที่เจ้าทางเชื่อถือได้ไหมครับ แต่ถ้ามีจริงทำไมถึงต้องแกล้งกันด้วยครับ ตามจริงควรจะอำนวยความสะดวกเพื่อให้งานเสร็จไวๆเจ้าของบ้านจะได้ดีใจใช่ไหมครับ หรือเจ้าที่ไม่พอใจที่ไม่มีของมาเซ่นไหว้ก่อนทำงาน ปรกติเริ่มงานหัวหน้าช่างผมจะทำทุกทีแต่วันนี้คงลืมครับ แต่เช่นนั้นก็เถอะครับ เจ้าที่ถ้ามีก็ไม่น่าถือตัวถือตนเลย สู้ชาวอโศกก็ไม่ได้ ไม่มีตัวไม่มีตนเป็นคนรับใช้ ขอถามเท่านี้ก่อนครับขอกราบขอบพระคุณพ่อครูครับ พ่อครูว่า… เจ้าที่เจ้าทางในศาสนาพุทธไม่มีหรอก พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ตั้งแต่ต้นๆเลยว่า คนที่ยังเข้าใจเรื่องจิตวิญญาณไม่ได้ก็เป็นเทวนิยม ไหว้ภูเขา ไหว้แม่น้ำ ไหว้จอมปลวก ไหว้ต้นไม้อะไรพวกนี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ตั้งแต่ต้นๆแล้ว สรุปดีกว่า คนที่ยังศึกษาเรื่องของจิตวิญญาณ จิต เจตสิก รูปนิพพาน ที่เป็นเรื่องปรมัตถ์แท้ๆ ศึกษายังไม่ดีพอ โดยเฉพาะยังไม่จบกิจ ยังไม่ถึงขั้นอรหันต์มันจะยังมีเชื้อของเทวนิยม นึกว่าเป็นเจ้าที่มีวิญญาณอันนั้นอันนี้สถิต สรุปให้ชัดๆว่าไม่มีวิญญาณที่ว่านี้อยู่ที่นอกตัวนอกตนมาเป็นอะไรกับเราเลย อุปาทานทั้งสิ้น แล้วตัวเองก็เป็นผีบ้าเอง เช่นพวกที่เข้าส่งเจ้าลงมีวิญญาณเข้าทรง ตัวเองผีบ้าเองสะกดจิตตัวเอง ชักดิ้นชักงอเองโดยมีสัญญาเก่ามีความเชื่อเดิมติดยึดมา มันเป็นอย่างนี้ ฉันก็จะต้องทำอย่างนี้เป็นอย่างนี้ โดยมีจิตติดยึดเชื่อว่ามันมีจริง ถ้าคุณฟังอาตมาเข้าใจแล้วจิตวิญญาณที่ล่องลอยจะมาเข้าทรงคนนั้นคนนี้ อะไรพวกนี้ ไม่มี วิญญาณเจ้าที่เจ้าทางใดๆไม่มี วิญญาณคือธาตุจิตที่อยู่ในตัวมนุษย์เท่านั้น ขออภัยไปให้ลึก แม้แต่วิญญาณพระเจ้าที่เขาว่ามี นี่ก็ไม่มี ให้ลึกๆไปถึงขั้นนั้นเลยมันเป็นอุปาทาน เพราะฉะนั้นศาสนาเทวนิยมจึงมีพระเจ้าอยู่ ศาสนาพุทธไม่มี พระเจ้าก็คือจิตวิญญาณเรา พระเจ้าทำอะไรเราไม่ได้ เราเป็นเจ้าของจิตวิญญาณพอตายก็ปรินิพพานเป็นดินน้ำไฟลมไม่ไปอยู่กับพระเจ้านี่คือของพุทธ เอาแค่นี้ก็แล้วกันแต่เดี๋ยวจะมากไปกว่านี้ แยกกายแยกจิตให้เป็นอุตุพีชะได้จึงได้บรรลุอรหันต์ _ครู สา · แล้วการแยกกาย แยกจิต สร้างความตระหนักรู้ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ไม่ตีโพยตีพายในความทุกข์กาย และจิตเป็นผู้เฝ้ามองให้เห็นจริงในอาการไตรลักษณ์ จะมีผลต่อการพิจารณาในวาระสุดท้ายก่อนตาย ที่ไม่ทนทุกข์ทรมานและเป็นการตายตามความเป็นจริงที่นำไปสู่การหลุดพ้นไหมคะ นมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ พ่อครูว่า… ใช่ ถ้าคุณสามารถศึกษาได้จริง แล้วก็ปฏิบัติเหตุปฏิบัติดับเหตุ ที่มันเป็นตัวการโง่ๆได้หมด คุณก็แยกกายแยกจิตได้บริบูรณ์ กายก็คือสภาพอย่างที่อาตมาอธิบายซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นเรื่องยากมาก แต่ต้องรู้เบื้องต้นเสียก่อน พ้น สักกายทิฏฐิ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนในสังโยชน์ 10 เพราะฉะนั้นคนที่เข้าใจเรื่องกายไม่สัมมาทิฏฐิตั้งแต่ต้นแล้วหมดท่าเลย ไม่สามารถที่จะจัดการความบรรลุธรรมบริบูรณ์ได้ เพราะฉะนั้นต้องศึกษาดีๆแยกกายแยกจิตได้ รู้จักกายสัมมาทิฏฐิแล้วก็จะรู้จิตลึกซึ้งขึ้นไปตามลำดับ ถ้ากายยังไม่สัมมาทิฏฐิตั้งแต่ต้นจะมารู้จิตลึกซึ้งเป็นลำดับนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นพวกที่ไปนั่งหลับตาปฏิบัติธรรมตัดภายนอกไม่มีกายเสียแล้วตั้งแต่ต้นนี้ จึงโมฆะไม่มีวันที่จะสำเร็จเรื่องบรรลุอรหันต์ได้เลยเป็นอันขาด ที่มีกันก็มีแต่กายเก๊ หรือมีแต่อรหันต์เก๊กันเท่านั้น _ด.ญ.ใสกลางเพ็ญ …กาย ร่างที่ไม่มีจิตทำไมเรียกว่ากายคะ พ่อครูว่า… เขาถาม โดยที่มีความเข้าใจแล้ว ถามมาประเด็นเรื่องกาย ร่างคือสรีระที่ไม่มีจิตแล้วทำไมไม่เรียกกาย? ซากศพคือร่างที่ไม่มีจิตแล้ว ก็ไม่มีกายแล้ว ฟังให้ดีนะนี่เด็กหญิงอายุ 11 ปีถาม ซึ่งไม่ใช่เรื่องเข้าใจได้ง่ายนะแต่เด็กเรา 11 ปี ซึ่งถามนี้ก็เข้าใจมาระดับหนึ่งแล้วว่า ร่างหรือซากศพไม่มีจิตจึงไม่เรียกว่ากาย เพราะคำว่ากายต้องมีจิต ถ้าไม่มีจิตร่วมได้เลยไม่ใช่กาย เช่น ดิน น้ำ ไฟ ลม สสาร วัตถุ ไม่มีจิตได้ร่วมด้วยอย่างนั้นคือไม่มีกาย แม้แต่พืช พืชไม่มีเวทนา ไม่มีจิตร่วม มีแต่แค่พีชนิยาม ไม่มีจิตนิยาม นี่แหละคือเรื่องลึกซึ้ง ผู้ที่ศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าต้องเข้าใจอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยามแล้วปฏิบัติด้วยตัวเองเรียกว่าทำกรรมเป็นกรรมนิยามให้เกิดผลทรงไว้ จบ ถ้าแยก อุตุนิยาม พีช จิต ไม่ได้ เข้าใจถึงอาการ 3 ขั้นนี้ไม่ได้ไม่มีวันบรรลุอรหันต์ ผู้บรรลุอรหันต์ก็คือผู้ที่สามารถทำจิตให้เป็นอุตุได้เป็น พีชะได้ ทำจิตมนสิการทำจิตในจิตของเราได้ เมื่อกระทบสัมผัสกับอะไรต่ออะไรในโลกสามารถที่จะมี วสวัตตีโก ผู้ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ ทำให้จิตเป็นอุตุ เป็นพีชะ และ เป็นจิตที่บริสุทธิ์บริบูรณ์เป็นโลกุตรจิตอยู่เหนือสิ่งเหล่านี้ได้ จึงเป็นผู้ที่ควบคุมจิตจัดการจิตไม่ให้จิตมันไปทำชั่วไม่ให้จิตมันไปสุขไปทุกข์ เป็นจิตที่สุดยอดฉลาดและสามารถทำจิตให้แตกสลายเป็นดินน้ำไฟลมไปได้เลย นี่คือความจริงใจที่สุดในศาสนาพุทธ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เรื่องจิตวิญญาณและจัดการกับจิตวิญญาณได้ เสร็จสมบูรณ์แบบจบกิจเลย จิตวิญญาณประชาธิปไตยคือพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข _ตุ๊ก อัศวิน : ขอโอกาสส่ง..อารมณ์..เจ้าค่ะ กาละนี้..เป็นกาละแห่ง สงครามสยามยุทธ์ เจ้าค่ะ มีผู้ประกาศตนลง..สนามยุทธ์ครานี้มากมายหลายสำนัก มากกว่าครึ่งร้อย..แค่อ่านรายชื่อพรรค ก็มึนตึ้บ..เจ้าค่ะ!! พรรคสัมมาธิปไตยได้เป็นพระอันดับ ที่ ๘๘ นับเป็นเลขมงคลยิ่งนักแล..เจ้าค่ะ ซึ่งเป็นไปตาม’กาละ_เทศะ_ฐานะ ดังที่พ่อครูได้ปรารภไว้!! ในความเห็นของเตง..เข้าใจว่าพรรคสัมมาธิปไตย มิได้ตั้งเป้าที่จะมี ส.ส. ให้มาก เพื่อชิงตำแหน่ง เป็น นาย ก. แห่งสยามประเทศนี้ แต่พรรคสัมมาธิปไตย จะเล่นบทผู้ช่วยพระเอก เป็นผู้ ส่งเสริม สนับสนุน ให้พระเอกเล่นบทบาทของ พระเอก ให้เด่นชัด..คือ..ซื่อสัตย์ มีคุณธรรม ชิมิ..เจ้าคะ จำได้ว่า..ในกาละสมัยหนึ่ง ที่พรรค ‘เพื่อฟ้าดิน’ ก็ได้เล่นบทบาทนี้ด้วยการใช้สิทธิแห่งพรรค จัดทำป้ายโฆษณา เป็นรูป สัตว์การเมือง เสือ_สิงห์_กระทิง(ควาย)_แรด ติดประกาศหรา!! เพื่อเตือนสติ นักเลือกตั้ง ทั้งหลาย ให้เห็นโทษ เห็นภัย จาก นกม(นัก_กิน_เมือง) ที่จะมาแทะทึ้ง สะด๊วบ เค้กประเทศไทย อย่างตะกรุมตะกราม ไม่เกรงใจประชาชน..เรยยย..ดังนี้แล จึงขอได้โปรดให้ สัมมาทิฎฐิ..เพื่อความเข้าใจ..ข้อความดังกล่าวข้างต้นนี้..ให้ชัดเจน แจ่มแจ้ง แก่สติปัญญา..ด้วยเจ้าค่ะ น้อมกราบ._/\_.ขอบพระคุณ ด้วยความเคารพยิ่งสุดเศียรเกล้า..เจ้าค่ะ พ่อครูว่า… ประเด็นอยู่ที่ว่าพรรคสัมมาธิปไตยสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร จะไปเป็นผู้ช่วยพระเอก ไม่ได้ตั้งจิตตั้งใจจะเป็นพระเอกเองแต่มาเป็นผู้ช่วยพระเอกอันนี้ถูกต้องแล้ว จะทำตนเป็นผู้ช่วยพระเอก และผู้ช่วยพระเอกจริงๆนี้คือใคร คือประชาชน ในประชาธิปไตยผู้ที่เป็นนักการเมืองน้ำดี ประชาชนก็ต้องหนุน ก็ต้องช่วย ยิ่งเป็นผู้ที่มีตำแหน่งหน้าที่สูงๆจนสูงที่สุด เช่นเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นต้น ก็ต้องมีประชาชนเป็นผู้ช่วยอย่างเต็มที่ ดังที่เห็นได้ขนาดนี้ อาตมาว่าอาตมาไม่ได้ตาถั่ว อาตมาว่าอาตมาตาดีนะที่เห็นความจริงว่า พลเอกประยุทธ์มีประชาชนสนับสนุน ไม่ได้จัดตั้ง การเมืองเขาที่มีผู้ที่ทำหน้าที่มาเป็นส.สแล้วจะไปเป็นรัฐมนตรีไปเป็นนายก เขาจัดตั้งกันทั้งนั้น จัดตั้งกันถึงขนาดจ่ายคนละกี่บาทเพื่อพอเวลาไปปรากฏการณ์ที่ไหนก็ไปเสนอหน้า เป็นหน้ามา หรือหน้าม้าก็ได้เอ้า อย่าไปใส่ตัวอื่น มาเป็นหน้าม้า เขาทำกันอย่างนั้น แต่ผู้ที่จริงมีประชาชนไปสนับสนุนยินดีโดยไม่ต้องจัดตั้ง ไม่ต้องมีหน้าม้า นี่คือสัจจะความจริง เพราะฉะนั้นในความจริงที่มันลึกซึ้งกันทุกวันนี้เราเห็นได้ความจริง อย่างพลเอกประยุทธ์ไม่ต้องไปนั่งเสียเงินจัดตั้งพวกนี้เลย หรือแม้แต่เป็นกลยุทธ์กลวิธีวิธีการ กลเม็ดเด็ดพรายอะไรเยอะ เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยทุกวันนี้จึงเป็นประชาธิปไตยเลือกตั้ง ที่ก็ทำลำลองกันไปเท่านั้นเองจะเลือกตั้ง มันจริงอยู่ที่คนปฏิบัติตรงประพฤติจริงนักการเมืองจริง ในเมืองไทยจะเห็นได้ว่าพลเอกประยุทธ์เป็นนักการเมืองที่มีประชาธิปไตยลึกซึ้งมาก ขอบอกได้เลยว่าลึกซึ้งกว่าอเมริกา เพราะมีความรู้ทางวิญญาณ อเมริกาเป็นการเมืองขาเดียว เป็นการเมืองไม่มีวิญญาณ เป็นการเมืองมีแต่รูปธรรมไม่มีนามธรรม นามธรรมกระจัดกระจายไม่ได้เป็นประชาธิปไตย นามธรรมแหลกละเอียด นามธรรมนั้นถูกเหตุข้อมูลหลักฐาน ค่ายกลแห่งการเมืองจัดการหมดเลย ไม่ได้บริสุทธิ์ใจไม่ได้เป็นความอิสระเสรีภาพอย่างสมบูรณ์แบบอะไรเลย ความเข้าใจประชาธิปไตยของอาตมายิ่งเห็นว่าประชาธิปไตยของไทยแตกต่างจากสหรัฐอเมริกาคนละขั้ว ใครเห็นว่าประชาธิปไตยขาเดียวเลือกตั้งแล้วไม่มีกษัตริย์ เป็นประชาธิปไตยที่ไม่มีวิญญาณ กษัตริย์คือวิญญาณของประชาชน คือวิญญาณของประเทศ เพื่อสืบสายจิตวิญญาณเป็นกรรมพันธุ์เป็นสันตติตลอดเวลา กรรมพันธุ์นี้สืบทอดกันอยู่ในระบบของกษัตริย์ที่สืบสันตติวงศ์ที่มีกฎมณเฑียรบาลที่มีเชื้อสายสืบกันมา ต้องมีการอบรมฝึกฝนเตรียมตัว พี่จะต้องขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ของประเทศ แม้จะเป็นประเทศที่มีประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กษัตริย์ก็เป็นรัฏฐาธิปัตย์ 1 องค์ แม้แต่นายกจะเป็นตัวแทนประชาชนประชาชนก็เป็นรัฏฐาธิปัตย์ กษัตริย์ก็เป็นรัฏฐาธิปัตย์ด้วยอย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นประเทศที่ไม่มีกษัตริย์ จึงเป็นรัฏฐาธิปัตย์ขาเดียว ประชาชนสืบทอดไม่มีที่ไปที่มา ไม่มีการเตรียมตัว ไม่มีเนื้อในมีแต่เปลือก อันนี้เข้าใจกันยาก เพราะฉะนั้นความเสื่อมของการเมืองในโลก เมื่อประชาธิปไตยต้นแบบเขาก็มีกษัตริย์ อังกฤษเขาก็มีกษัตริย์ แต่พอไปเป็นอเมริกาเหลือขาเดียวก็จึงเป็นประชาธิปไตยพิการ มันไม่มีทางจิตวิญญาณไม่มีการสืบทอดทางจิตวิญญาณไม่มีรัฏฐาธิปัตย์ทางจิตวิญญาณ มันเอาแต่ประชาชนอย่างเดียว ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจกันยากอยู่ เขายังไม่รู้ไม่เข้าใจ จนสุดท้ายก็กลายเป็นคอมมิวนิสต์ แล้วคอมมิวนิสต์เองก็กลายเป็นเผด็จการเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์จนได้ จะเป็นเรื่องของประชาชนที่แท้เอาประชาชนเป็นหลักเลยก็ไม่ได้ เอาไปเอามาล้มเหลวหมด ทั้งประชาธิปไตยแบบสหรัฐ ล้มเหลวทั้งคอมมิวนิสต์ชัดเจนที่สุดก็คือ เกาหลีเหนือ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ยังยืนยงคงที่อยู่ดีก็คือ ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อย่างอังกฤษเขาก็ยังทรงไม่ได้ แม้แต่ญี่ปุ่นหรือทางสแกนดิเนเวีย ทางยุโรปบางประเทศก็ยังมีกษัตริย์เป็นประชาธิปไตย โดยเฉพาะประเทศไทยนี่แหละที่ยังเป็นประชาธิปไตยที่ยังทรงสภาพสมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยหรือคอมมิวนิสต์นั้นพิการ เป็นระบบบริหารประเทศที่พิการไม่เป็นประชาธิปไตย (พ่อครูไอตัดออกด้วย) สมณะเดินดิน… พวกที่สนับสนุนไม่เอากษัตริย์ จะมีจิตวิญญาณที่หยาบกระด้าง ไม่มีการเคารพนับถือในวัยวุฒิชาติวุฒิ พ่อครูว่า… ค่อยๆศึกษากันไปเป็นเรื่องลึกซึ้งไม่ใช่เรื่องตื้น เรื่องต้องมีสภาพ 2 เทวฺ พอเป็นพิการขาเดียวหนึ่งเดียว เหมือนอย่างเทวนิยม พระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวนี้ก็พิการแล้ว แล้วแถม เป็นหนึ่งเดียวที่ลึกลับด้วยพระเจ้าอยู่ไหนก็ไม่รู้ แต่ถ้าจริงพระเจ้าก็คือพระศาสดาเองนี่แหละที่มีภูมิธรรมทั้งหลายทั้งหมด ของศาสนาคริสต์หรือศาสนาอิสลามหรือศาสนาเทวนิยมใดๆก็แล้วแต่ ที่มาสอนเป็นคัมภีร์ที่บอกว่าเป็นของพระเจ้าแท้จริงเป็นของพระศาสดาเองที่ได้สั่งสมกรรมวิบากมา จนกระทั่งไม่รู้ว่าเป็นของตนเองที่ได้สะสมมาจนสูงส่ง ตนเองได้สะสมความรู้ความจริงของแต่ละศาสนา มีความรู้ของตนเองมาก็ไม่รู้ได้ว่าเป็นของตนเองไม่มั่นใจ ไม่กล้ารับรองว่าเป็นของตนเอง ก็เลยบอกว่าเป็นของพระบิดา เป็นของพระเจ้าประทานมาให้ แล้วอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ สมมุติกันอยู่ในจินตนาการอยู่ในห้วงลึก จนกระทั่งทุกวันนี้ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้า ไม่มีใครเคยสัมผัสพระเจ้าได้เลย ต่างๆนานาพวกนี้มันเป็นความไม่สมบูรณ์แบบ ไม่มีความชัดเจน 2 สภาพเลย เทวะ ซึ่งสัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ได้ ครบโลกครบอัตตา มันเป็นความรู้ที่ไม่บริบูรณ์ในเทวนิยมขาเดียว สรุปง่ายๆก็คือศาสนาพระเจ้าเป็นความรู้ที่ยังขาเดียวลึกลับอยู่ยังไม่เต็มเต็ง ยังไม่เป็น เทวฺ ที่เป็นสอง ยังไม่เป็นสองที่แท้ เกิดเป็นคนจนอย่างไรถึงเรียกว่าเป็นคนชั้นสูง _สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ พ่อครูคะ ณ.วันนี้ลูกยังไม่ได้ข่าวว่า จะมีผู้สมัคร ส.ส ท่านใดมาประกาศตนว่าจะขอเป็นคนจนเพราะช่วยเหลือสังคม ทั้งที่คนจนแบบที่พ่อครูพาทำนี้เป็นจริงได้ ช่วยเหลือสังคมได้จริง นี้เป็นเพราะอะไรคะ ฟังพ่อครูเทศน์เรื่องคนจน คนรวย ลูกมีความเห็นอย่างแท้จริงว่า คนจนที่พ่อครูพาทำ นี่แหละเป็นผู้กอบกู้เศรษฐกิจช่วยเหลือสังคม ลูกขอถามว่า เพียงเราได้ชาติกำเนิดมาเป็นคนจน ทำมาหากินสุจริตไม่เบียดเบียนใคร เราจะสามารถเรียกได้ว่า ได้ชาติกำเนิดมาสูงกว่าคนรวยตั้งแต่เกิดเพราะเอาเปรียบเขาได้ไหมคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ พ่อครูว่า… เอาเปรียบเขาได้แต่คุณไม่เอาเปรียบเขา นี่คือคนจนที่สมัครใจจน ไม่ไปเอาเปรียบเขา จะรวยก็ไม่ไปรวยแข่งเขาแต่มาทำตัวให้จนกว่าเขา คนนี้ต่างหากเป็นคนที่รู้เป็นคนที่สมัครใจมาจน และเป็นคนจนที่มีภูมิปัญญามาเก่า ที่มีบารมีมาเก่า พระพุทธเจ้าหรือเจ้าชายสิทธัตถะนี้รวยหรือจน ..รวย แต่มาเป็นพระพุทธเจ้าแล้วรวยหรือจน ..จน ท่านทิ้งสมบัติพัสถานที่ยิ่งใหญ่มา ถ้าท่านอยู่ท่านจะเป็นจอมจักรพรรดิ์ แม้แต่ท่านจะเกิดในแคว้นเล็กแต่ต่อไปท่านจะเป็นจอมจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ แม้แต่พระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าพิมพิสารที่เป็นแคว้นใหญ่ที่สุดในยุคนั้นในอินเดีย ก็ยังยอมรับนับถือเลยในพระพุทธเจ้า มาเลย จะแบ่งแคว้นให้ปกครองครึ่งหนึ่งและทั้งคู่ บริหารแบบนี้แล้วสุดยอด เป็นผู้บริหารที่สุดยอดแล้ว คนจะได้สุขสบายกัน อย่างนั้นเลย แต่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าไม่เอา ถ้าเอาก็จะได้ยิ่งใหญ่เป็นจอมจักรพรรดิ์เลย ขนาดยังไม่ลงมือนะ พระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าพิมพิสารก็ให้แล้ว ยิ่งลงมือทำก็จะเป็นจอมจักรพรรดิที่ไม่ใช่จอมจักรพรรดิอย่างเจงกิสข่าน ที่ไปเที่ยวฆ่าล่า ไม่ใช่ และจะเป็นจอมจักรพรรดิ์อย่างสายบุ๋นไม่ใช่สายบู๊ คนจะมาขึ้นกับท่านโดยที่เรียกว่าด้วยพระคุณ ไม่ใช่พระเดชเลย สุดยอดอย่างนั้นแต่ท่านไม่เอา ยิ่งใหญ่เป็นจอมจักรพรรดิ์ ท่านเป็นจริงเป็นได้จริง แต่ไม่เอา มาเป็นคนจน มาเป็นคนไม่มีสมบัติพัสถาน นี่มันแสดงถึงสภาวะจริงที่ยิ่งใหญ่มาก อาตมาพูดมาหลายทีหลายครั้งแล้ว คนก็นึกไม่ออก เข้าใจยังยาก เพราะฉะนั้นผู้ที่บรรลุธรรมสูงสุดนี้มาเป็นคนจน พระอรหันต์มาเป็นคนจนทุกคน ไม่สะสมสมสมบัติ อนาคาริกชนก็ทิ้งแล้ว ไม่เอาแล้ว สละทรัพย์สฤงคาร บ้านช่องเรือนชาน แล้วก็มาบริหารร่วมกันกินใช้ร่วมกันดูแลไป ร่วมรับผิดชอบด้วยกันเรื่องอะไรแบบอยู่คนเดียว เป็นเรื่องเดาเอาไม่ได้ ต้องมีปัญญา มีภูมิรู้จริงๆ เศรษฐกิจจะดีนั้นเน้นที่งานไม่ใช่ไปเน้นที่เงิน _ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม · กราบนมัสการ พ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ตอนนี้การเมืองทั่วไป กำลังหาเสียงกันชนิดที่ไม่คิดความดีและชั่ว จะต่างกันขนาดไหน หาเสียงแบบสกปรก เริ่มแจกเงินกันแล้วแนวเดิม จะให้นักการเมืองโลกีย์ลดความแก้ตัวได้อย่างไร อยากฟังพ่อท่านให้ความรู้บ้างก็จะดีนะ กราบสาธุค่ะ พ่อครูว่า… อาตมาพูดจนคอจะแตกแล้วอธิบายไปแล้ว อธิบายไปจบจนกระทั่ง ว่า คนที่ไปงมงายอยู่กับเงิน นั่นคือคน ง.โง่ อย่าไปเอาเงินมาเป็นหลักเอางานมาเป็นหลัก อย่าไปงมงายอยู่กับ ง.โง่ เงิน เอางานที่งามที่งอกงาม งานที่เป็นสัจจะประเสริฐจริง เป็นหลักของมนุษย์ อย่าไปโง่อยู่กับเงินๆทองๆ เพราะฉะนั้นเรื่องจน คนมาเป็นคนจนพิสูจน์ได้ คุณทำงานให้แก่ประชาชนนี้เถอะ แล้วไม่ต้องสะสมเงินเลย อย่างอาตมานี้ ไม่เห็นอดอยากเลย แล้วพาพวกเรามา ก็วางมา ละทิ้งมาเหมือนกัน แล้วพวกเราอดอยากไหม ก็ไม่อดอยาก เป็นคนจนที่อุดมสมบูรณ์ไม่อดอยากอะไรเลย เพราะในภาวะสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าสอน เราไม่ไปโง่ที่จะไปติดอะไร พะรุงพะรัง ไอ้นี่ก็งาม ไอ้โน่นก็หรู ไอ้นี่ก็สวยก็แพง ไอ้นั่นก็ชั้นสูง ก็ไฮโซ เลิกโง่จากพวกนั้นมาหมดแล้ว รู้จักเหตุปัจจัย สาระปัจจัยของชีวิตมันนิดเดียว ไม่มากเลย แถมบริขารให้อีกก็ยังไม่มากเลย องค์ประกอบที่จะใช้ในชีวิต ทุกวันนี้ก็อาจจะมีดินสอ ปากกาแว่นตาหรือคอมพิวเตอร์ก็ตาม ก็ไม่ใช่เพื่อตัวเรา ไม่ได้เพื่อหาเงิน ไม่ได้เพื่อเสพสุข แต่เพื่อทำงานรับใช้สังคม อาตมาใช้คอมพิวเตอร์ ใช้เพื่อสังคม ไม่ได้ใช้เพื่อหาเงิน เป็นเงินทางอากาศ ไม่ได้ใช้แบบนั้น แต่ใช้เพื่อจะเป็นความรู้ทางธรรมะ เอาไว้เขียนหนังสืออธิบายเนื้อหาธรรมะ เพื่อสื่อสารธรรมะ เพื่อบันทึกธรรมะอะไรต่างๆเท่านั้น สรุปแล้วต้องมาเป็นคนจนจริงๆ เพราะฉะนั้น นักการเมืองที่ดี ผู้รับใช้ประชาชนที่จริง ต้องเป็นอาริยบุคคล ถ้าไม่ใช่อาริยบุคคลจริง โดยเฉพาะเป็นอรหันต์ ถ้าไม่ใช่อรหันต์จริงก็ยังไม่ใช่นักการเมืองแท้ นักการเมืองที่จริง ต้องเป็นอรหันต์นั่นแหละสูงสุด ยิ่งเป็นโพธิสัตว์เลย ซึ่งคนเขาก็ยังไม่เข้าใจ จนกระทั่งหาว่าธรรมะอย่ามายุ่งกับการเมือง การเมืองอย่ามายุ่งกับธรรมะ นั่นคือคนนั้นเป็นคนพิการ คนที่ไหนจะแยกจากการเมืองได้ คนที่ไหนจะแยกจากธรรมะได้ ธรรมะกับการเมืองมันอันเดียวกัน คนที่เข้าใจว่าธรรมะไม่ใช่การเมืองคนนั้นคือเดียรถีย์ คือคนไปอยู่ป่า พวกเข้าใจป่าว่าเป็นการบรรลุธรรม พวกโง่พวกไม่ใช่สังคมมนุษย์ หนีไปเป็นผีป่า อย่างพวกเชนผ้าก็ไม่นุ่ง แดดลมหนาวอะไร ไม่รู้สึกรู้สา ทรมานทรกรรมตัวเองไปเดินโทงๆๆนึกว่าบรรลุธรรม แม้แต่ไม่ถึงขนาดนั้น ออกป่าก็พิการแล้ว คนไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่มนุษย์ป่า ไม่ใช่ มิลักขะ คนเป็นชาวอาริยกะ เป็นคนเจริญ เป็นคนสังคมไม่ใช่คนป่าเถื่อน เป็นคนอยู่เดี่ยวไม่ใช่ คนเป็นสัตว์สังคม แค่นี้ไม่เข้าใจแล้ว ปลีกแยกไปจากสังคม ผิดแล้ว มิจฉาทิฏฐิแล้ว ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งสังคม รู้จักสังคมดี สังคมเต็มๆก็เรียกว่าโลก รู้จักภาวะโลก ภาษาคำว่า สังคมคือความเกี่ยวข้อง โลกก็คือความเกี่ยวข้องที่ยิ่งกว้างขึ้น กว้างขึ้น ตามลำดับ แล้วก็เป็นผู้ที่อยู่กับโลกอยู่กับสังคมอย่างอยู่เหนือ เรียกว่าโลกุตระ อยู่เหนือโลกอยู่กับโลก ไม่ใช่ไปนั่งทับโลกหรอก เหนือคือผู้มีจิตที่เข้าใจแล้ว เรื่องของการอยู่กับมนุษยชาติว่าจะอยู่กับเขาอย่างไร เป็นผู้ที่มีคุณค่า เป็นอาริยะแบบไหน นี่คือสัจจะที่สุดยอดที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ อาตมาก็นำเอามาสาธยายอธิบาย คุณป้ารัตน์บอกว่า ทำยังไงจะให้นักการเมืองลดความเป็นโลกีย์ลดความเห็นแก่ตัว อาตมาก็ว่า ตัวอย่างอย่างทักษิณเขาทำ เขาใช้เงิน เป็นนักการเมืองที่ใช้เงินเป็นหลักเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นตระกูลเดียวกันตระกูลที่ยังเห็นเงินเป็นเรื่องของสัจธรรม โดยเฉพาะที่จะทำงานกับสังคม เพราะฉะนั้นคนทำงานกับสังคมไม่ต้องไปคำนึงเรื่องเงิน ทำงานกับสังคมคำนึงเรื่องงานแล้วก็จะหยุดโง่ ถ้าไปทำงานกับสังคมคำนึงแต่เรื่องเงินก็ยังโง่ เช่น เศรษฐกิจก็ไปวุ่นแต่ตัว GDP ตัวรายได้เป็นหลัก นี้มันยังโง่ เศรษฐกิจของมนุษยชาตินั้นเอาที่งานไม่ใช่ไปเอาที่เงิน ผลของงาน1, คนทำงาน1, ปัญญาความเฉลียวฉลาดของคนอีก1 เอาอันนี้ คนไหนมีคณะไหนมีแล้วตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ไม่ต้องไปคำนึงถึงเงิน ยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจน ชาวอโศก ไม่ได้เอาเงินเป็นหลักเลย เอาเรื่องงาน เอาเรื่องคน แล้วเอาเรื่องความรู้ความสามารถของคน นี่คือสาระแก่นแท้ของการกอบกู้เศรษฐกิจก็ตาม กอบกู้การเมืองก็ตาม ได้งมงายอยู่การเมืองก็เรื่องคะแนนเสียงเศรษฐกิจก็เรื่อง GDP รายได้ เวรจริงๆเลย คุณแก้ปัญหาเศรษฐกิจ คุณแก้ปัญหาการเมืองไม่จบกิจอะไรหรอก ไม่เป็น กตํ กรณียํ นารํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ แน่นอน มันผิดเป้ามันไปแก้ที่ผล ไม่ได้แก้ที่เหตุ เหตุมันอยู่ที่คน ไม่ได้ไปอยู่ที่เงิน ไม่ได้ไปอยู่ที่คะแนนเสียง ไม่ใช่ มันมาอยู่ที่คน ฟังนะนักการเมืองก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์ก็ตาม ฟังอาตมาพูด แล้วจงอย่าไปหลงเทวนิยม นั่นยังไม่ใช่พระพุทธเจ้า เทวนิยมหรือทางยุโรปหรือทางศาสนาพระเจ้า ความรู้เศรษฐศาสตร์จากเทวนิยมรัฐศาสตร์จากเทวนิยมนั้น มาเรียนเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้าเถิด เอาละเถรสมาคมก็ยังเข้าใจยาก เถรสมาคมไม่ได้เข้าใจรัฐศาสตร์เศรษฐศาสตร์อย่างที่อาตมาพูดหรอก มันก็น่าสงสารเหมือนกัน อาตมาเกิดมาในยุคนี้ถึงมาเปิดเผยเอาความจริงสาระสัจจะพระพุทธเจ้ามายืนยัน คนก็ยังไม่เชื่อง่ายๆหรอก เพราะอาตมาถูกข่มถูกดิสเครดิต ถูกทางโน้นประกาศแล้วก็ไปเชื่อเถรสมาคมนั่นแหละ คุณก็เชื่อกันอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่พยายามที่จะมาฟัง ไม่มี ปรโตโฆษะ ไม่ฟัง ผู้ที่นำสิ่งที่แปลกดี จนกระทั่งอาตมาทำงานมา 50 กว่าปี มีมนุษยชาติ มีพฤติกรรมสังคม มีวัฒนธรรมสังคม มีรูปธรรมสังคมสมบูรณ์แบบหมดแล้ว ให้เห็นได้ กระจายอยู่ทั่วประเทศในชุมชนชาวอโศก เป็นสาราณียธรรม 6 ถึงขั้นสาธารณโภคี ซึ่งเศรษฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจแบบสาธารณโภคีประชาธิปไตยก็อยากได้ คอมมิวนิสต์ก็อยากได้ คือสาธารณโภคีนี้ประชากรสมาชิกของสังคมเสียภาษี 100% ประชาธิปไตยที่สมาชิกของประเทศเสียภาษี 100% คุณไม่เอาหรือ คอมมิวนิสต์ มีสมาชิกประชากรเสียภาษี 100% จะเอาไหม มันจบแล้ว คอมมิวนิสต์เขาพยายามกดขี่บังคับ ด้วยกฎหมาย ด้วยอำนาจอะไรก็แล้วแต่ ให้ผู้ที่เสียภาษี เสียภาษีให้ได้มากที่สุด ซึ่ง ลำเอียง อยู่ดี สุดท้ายก็แพ้นายทุนมันไม่สำเร็จเพราะกิเลสของคน มันมีวิธีการหลีกเลี่ยงสารพัด มันต้องบริสุทธิ์ใจว่า มาเป็นคนจน ผู้ที่จบเศรษฐศาสตร์สมบูรณ์แบบแล้วจะมาเป็นคนจน อย่างพระพุทธเจ้าที่อธิบายไปตอนต้นแล้ว ก็ท่านรวยอยู่แท้ๆแต่มาเป็นคนจน พระบาทเปล่าเลย ไม่มีอะไร ห่มผ้า 3 ผืน รูปแบบก็ชัดๆอยู่แล้ว ท่านไม่ได้มาเสแสร้ง ไม่ได้มาทำ แอ็ค ไม่ได้ทำดรามาติกอะไร ไม่ใช่ ท่านเป็นเรื่องจริง ปฏิบัติเปิดเผยจริง เป็นความจริง คนที่ประเสริฐคือ รู้ว่าเป็นคนจนดีแล้ว มาเป็นคนจนได้สมบูรณ์สูงสุดแล้ว ความเป็นคนจนสูงสุด อาตมาเคยเรียบเรียงภาษา คนที่เข้าใจความสมบูรณ์แบบของคน เป็นคนที่จะไม่ต้องไปพึ่งวัตถุสมบัติ ไปพึ่ง อำนาจภายนอก ไม่ต้อง พึ่งความไม่มีกิเลส พึ่งความบริสุทธิ์ใจ พึ่งความไม่มีตัวตน แล้วเป็นคนรู้จักกรรม กรรมกิริยาที่ดีอยู่กับสังคม รับใช้มนุษยชาติ เป็นผู้รับใช้ผู้อื่น แม้เราจะรับใช้ผู้อื่นอยู่ในงาน เช่น งานนี้คนเขาว่าเป็นงานชั้นต่ำ เป็นงานขนขยะ เป็นงานเช็ดส้วม เป็นงานกวาดถนน มันเป็นการตีค่ามาเบ่งมาทับกัน เป็นจิตที่ไม่เห็นความสำคัญของมนุษยชาติที่มีปัญญา มีความเข้าใจถึงงานที่ควรจะทำ สัตว์เดรัจฉานมันไม่รู้หรอก มันมีแต่มนุษย์นี่แหละรู้จักงานที่ควรจะทำ เพราะฉะนั้นเมื่อไม่เข้าใจก็มายกว่างานนี้สูงกว่างานนี้ งานนี้ต่ำกว่างานนี้ต่างๆนานาสารพัด มันจึงเกิดการเหลื่อมล้ำ เกิดการไม่เสมอภาค เกิดการลำเอียง เกิดอะไรๆ ก็ไม่สงบ ไม่เจริญ ต้องสนับสนุนคนดีให้มาเป็นผู้ปกครอง _ซึ้งซื่อ วิเชียร : กราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรเกล้าครับ วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งได้เห็นความอุตสาหะพากเพียรจริงใจ จริงจังของพี่น้องชาวอโศกที่ได้รวมใจเป็นหนึ่งเดียว ที่พ่อท่านได้ประกาศเป็นธรรมะวาทีสนับสนุน พล.อ ประยุทธ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป ถ้าเป็นเช่นนี้พวกเราชาวอโศกมีความหวังสูงมากครับ เลือก พรรครวมไทยสร้างชาติลุงตู่ เบอร์ ๒๒ วันที่ ๑๔ พฤษภาคมนี้ครับ กราบนมัสการขอบพระคุณ พ่อท่านอย่างสูงยิ่งครับ พ่อครูว่า… คนที่เห็นคนเข้าใจอย่างนี้ก็ไม่มีปัญหา คนที่ไม่เห็นอย่างนี้ก็จะหาว่ามายุ่งการเมือง ถ้าไม่ยุ่งมันก็ยิ่งยุ่งต้องจัดการให้มันถูกต้องถ้าไม่ยุ่งเหมือนจะไม่ถูกต้อง อาตมารู้ว่าอะไรถูกต้องอะไรไม่ถูกต้องขอยืนยันว่า อาตมารู้อะไรถูกต้องและอะไรไม่ถูกต้อง แล้วอาตมาก็ต้องไปช่วยสิ่งที่ถูกต้องให้มันถูกต้องด้วยดี คำพูดของอาตมานี้ตรงกันกับในหลวงรัชกาลที่ 9 ต้องสนับสนุนคนดีให้มาบริหารประเทศ ถ้าไม่สนับสนุนคนดีให้มาบริหารประเทศประเทศจะเสีย ก็อันเดียวกันความเดียวกัน เพราะฉะนั้นคนที่รู้จักสิ่งที่ดีแล้วต้องมาสนับสนุนสิ่งที่ดี ส่วนคนโง่ที่เขาไม่รู้จักคนดีจริง ไปเข้าใจคนชั่วว่าดี แต่เข้าใจคนดีว่าชั่ว อันนั้นเป็นเรื่องความโง่ของเขาก็สุดวิสัยที่เราจะไปช่วยเขา ถ้าเขาตั้งจิตตั้งใจตั้งสติดีๆ ดูให้ชัดๆเลยว่า ใครดีใครชั่วกันแน่ แล้วให้รู้ชัดๆว่า เรานี้โง่เง่าไปถูกครอบงำทางความคิด ไปถูกเขาหลอก ไปหลงสนับสนุนคนชั่วคนไม่ดีอยู่ได้ คุณจะตื่น แล้วคุณจะละอายตัวเองทำไมตัวเองถึงโง่มาได้นานปานนั้น หรือโง่เพราะต้องเอา ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข จากเขา ยังเป็นทาส เราก็จะต้องเลิกเป็นทาส เลิกเป็นผู้โง่ได้ ถ้ายังโง่เป็นทาสอยู่ก็ช่วยไม่ได้ _ตี๋ๆๆๆๆๆ แซบมาก : ไปเอามาจากไหน ต้องให้คนดีมาทำงาน งั้นมึงก็ให้พระมาทำงานให้ดิ(คอมเม้นท์ใต้คลิปของป้าปีกบุญ ใน tiktok ค่ะ 26/4/66) พ่อครูว่า… แยกความเป็นพระกับคนไม่ออก พระคือผู้ประเสริฐคนที่มีคุณธรรมนั่นแหละคือพระ คือผู้ประเสริฐ พระนั่นแหละถ้าไม่มีความมีคุณธรรม แม้จะมีรูปแบบ เป็นพระแต่ไม่ได้มีคุณงามความดีอะไรที่ถูกต้อง ที่เหมาะควรที่จะเป็นเลย อาตมาก็ไม่อยากจะลงลึก เดี๋ยวจะไปว่าเขาอีก ลองศึกษากันให้ดีๆพระพุทธเจ้าให้ศึกษากรรม กรรมกิริยาที่ออกมานั่นแหละจะดูออกว่า เป็นคนสูงหรือคนต่ำ คนดีหรือไม่ดีจริงๆ อย่าไปเอาเรื่องรูปแบบ เรื่องหลักเกณฑ์อะไรมาก เอาพฤติกรรมจริงและคุณต้องฉลาดพอรู้ว่าพฤติกรรมจริง อย่างไรคือคนดีแท้ๆ คนที่ดีแท้ๆคือคนมีวรรณะ 9 เป็นคนชั้นเอก เป็นคนชั้น 1 เป็นคนคลาสสิค วรรณะก็คือคลาส the classes เป็นคนมีชั้นมีวรรณะไม่ใช่ the masses ซึ่งเป็นคน ปุถุชนทั่วไป ส่วนใหญ่ คนที่เป็นคนชั้นสูงชั้น 1 ชั้นเอก มีพฤติกรรมแสดงออกมาจริงๆว่าเป็นคนชั้น 1 ชั้นเอกเป็นคนชั้นสูง ส่วนคนทั่วไปthe masses เป็นคนสามัญปุถชน มีกิเลสเป็นเจ้าเรือน หมดกิเลสก็เป็นพระอรหันต์เป็นคนชั้น 1 การให้ทาน เสมอด้วยการรบ _คนนครพนม : “การให้ทาน เสมอด้วยการรบ” หมายความว่าอย่างไรครับ ขอพ่อท่านช่วยอธิบายด้วยครับ พ่อครูว่า… อธิบายอันนี้ก็จะอธิบายได้ครบสูตรเลย การให้ทานยากเสมอด้วยการรบ คนอยู่ในสนามรบก็รบกันฆ่ากันเพื่อเอาชนะ นั่นมันชนะกับคน ชนะเรื่องรูปธรรม ชนะเรื่องคน แต่ทานนี้เป็นการชนะเรื่องตน ไม่ใช่ชนะเรื่องคน ชนะเรื่องต้องไม่มีตัวตน เพราะฉะนั้น การทานที่สูงสุดคือ ทานที่หมดชาติหมดภพ ทานอย่างไม่มีสาเปกโข ทานอย่างไม่มีภพไม่มีชาติ พอทานจบ จิตของคุณอย่ามีอะไรต่อว่า ฉันเป็นคนมีประโยชน์ ฉันเป็นคนมีคุณค่า ฉันเป็นคนทำบุญทำคุณนะ เพราะฉะนั้นการสอนให้ต่อภพต่อชาติ ทำบุญแล้วก็มา อิมินา. สะกาเรนะ ขอให้มีส่วนบุญนี้อุทิศไปให้ผู้ตายซะอีกแน่ะ แล้วผู้ตายจะกินได้ยังไง ผู้ตายไม่มีปาก ไม่มีลิ้น ไม่มีกระเพาะ ไม่มีอะไรแล้ว ส่งให้ตายไปยังไง อาตมาเคยอธิบายยกตัวอย่าง ใช้ภาษาอีสานว่าได้ ปลาคอ(ปลาช่อน) มีไข่มา กำลังดีเลยนะ ผ่าออกมา เอาพุงทั้งไข่ทั้งไส้ปลาช่อน เอามาทำอาหารรับรองว่า วันนั้นแย่งกันเลย ครอบครัวหนึ่ง ถ้ามันหลายตัวก็ค่อยยังชั่วหน่อย มีไส้มีไข่หลายๆตัวก็เอามาไม่แย่งกันเท่าไหร่ ถ้าไส้เดียว ไข่มันมี 2 หลอด เป็นเม็ด 2 หลอดไข่ปลาช่อน อาตมาเคยทำเคยจัดการ นี่แหละคนชอบกิน ไส้ปลาคอ ไข่ปลาคอ พูดภาษาอีสาน ตายแล้วก็บอก พ่อแม่ตายแล้ว ได้ปลาช่อนมา มีไข่มีไส้ดีเลย วันนี้ทำแกงทำกับให้ ส่งเอาไปถวายพระ ให้พระฉัน แล้วให้พระอุทิศส่ง ไข่ปลาช่อนไส้ปลาช่อนนี้ให้ไปให้พ่อ พ่อชอบ พ่อที่ตายไปแล้วชอบกินนัก อาตมาก็บอกว่าเอาไปให้พระฉัน แล้วก็ถึงจะให้พระส่งไปให้ผู้ตาย พอพระฉันเสร็จแล้วก็ ยถา วริหา ปูรา ปาริปุเรนติสาครัง ถามว่าไข่หรือไส้ปลาช่อนออกจากท้องพระวิ่งจู๊ดไปให้พ่อกินได้ไหม เขาก็หัวเราะ มันจะไปได้ยังไง พรุ่งนี้เช้าก็กลายเป็นอุจจาระพระ นอกนั้นก็ไปสังเคราะห์ร่างกาย เลี้ยงร่างกายของพระนั่นแหละ นี่ก็พูดจนหมดเปลือกแล้ว เพราะฉะนั้นการทานนี่นะ มันยาก 1. จะทานแค่หยาบๆ ให้วัตถุทาน ให้อะไรต่ออะไรก็ยังยากแล้ว เท่ากับการรบ รบกับกิเลสของตนเองที่ขี้หวงขี้แหน กลัวจะเสียบาทเสียเบี้ย กลัวจะไม่ครบที่จำนวนที่ตนสะสมไว้ได้ ไม่อยากให้พร่อง มันจึงเหมือนการรบที่จะทาน เพราะฉะนั้นวัตถุก็ยากแล้ว สละวัตถุได้ก็ยังยึดเป็นเราเป็นของเราอยู่อย่างหยาบ ก็ต้องรบกับกิเลสหยาบนี้อีก นึกเป็นบุญคุณ นึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ จะเอาไว้กินภพหน้าชาติโน้นอีก เป็นปรมัตถ์สูงไปอีก ลดหยาบได้ก็เหลือละเอียดที่ต้องล้าง เพราะฉะนั้นการทำทานเสมอด้วยการรบ ตั้งแต่ขั้นสนามใหญ่สนามหยาบ สนามขั้นธรรมาธรรมะสงคราม ระหว่างเทวดาและมาร เทวดากับมารนี้อันเดียวกัน ไปโง่หลงก็นึกว่าเป็นเทวดา ที่แท้มันมีแต่มาร เป็นมาร ก็รบจนชนะมารซะ มารหยาบได้แล้วเป็นรูปภพ เหลืออรูปภพ ก็เป็นมารตัวน้อย ก็รบเอาชนะมารตัวน้อยอีก เป็นฆราวาสไปแยกคนคู่ให้เป็นโสดจะได้กุศลไหม _วัยรุ่นสงสัย : กราบนมัสการหลวงปู่ครับ การที่เราพยายามทำให้คู่รักคู่หนึ่งแยกกัน กลายเป็นคนโสด จะเป็นกุศล หรือ อกุศลครับ เพราะคู่รักคู่นี้ มีความสัมพันธ์ที่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนประมาณหนึ่งครับ พ่อครูว่า… รายละเอียดไม่พอ ให้โจทย์ของอาตมาคำนวณอาตมาให้คำตอบไม่ได้ เลยไม่มี ซตพ.ให้คุณ ข้อมูลน้อยเกินไป เอาคำตรัส ที่สมบูรณ์แบบเลย เอาที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า การตั้งตนเป็นคนโสด ผู้ที่ตั้งตนเป็นคนโสด ท่านเรียกว่าเป็นบัณฑิต ผู้ที่ฝักใฝ่ในความเป็นคนคู่ ไปแต่งงาน ไม่โสด ย่อมเศร้าหมอง พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ตรัสว่าโง่หรอก ย่อมเศร้าหมอง เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่า คุณเป็นภิกษุนี้ ท่านมีวินัยเลยว่าอย่าไปส่งเสริมให้เขาแต่งงานกัน เป็นพระเป็นเจ้าแล้วไปสนับสนุนให้เขาแต่งงานกัน ไปสวดงานแต่งงาน ไปอวยพรให้แต่งงานให้เป็นคู่ไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร ต้องอาบัติสังฆาทิเสส อย่าไปเอื้ออวยให้คนแต่งงานเข้าไปหาทุกข์ ท่านให้วาง เลิก ปล่อย ให้เข้าใจถึงสัจจะอันนี้ อาตมาเคยเปรียบที่จะให้ไปแต่งงานในโบสถ์ของศาสนาพุทธ เขาเปรยกันมา อาตมาเหยียบเบรกท6 ล้อเลย 10 ล้อเลย รถสิบล้อต้องเบรกมันสิบล้อเลย เพราะสังฆาทิเสสกินหัวเลยนะ พูดแรงๆอย่างนี้ เป็นพระเป็นเจ้าไม่รู้จักวินัย พระพุทธเจ้าไม่ให้ส่งเสริม ไปส่งเสริมได้อย่างไรทำให้คนแต่งงานก็เป็นคนคู่ ความเสื่อมของศาสนาพุทธทุกวันนี้ บวชเป็นพระเป็นเจ้าเป็นใหญ่เป็นโตขนาดเป็นพระเป็นเจ้า จะมาจัดการพิธีการ พิธีกรรม มีอำนาจมีส่วนมีสิทธิ์จัดการสังคมศาสนาด้วย อยู่ในฐานะตำแหน่งจะต้องจัดการอย่างนี้ได้ ยังไม่รู้เรื่องแค่สังฆาทิเสสข้อนี้ ศาสนาอื่นเขาไม่รู้เรื่องก็เป็นเรื่องของเขาไป พระศาสดาของเขามีความรู้อย่างที่เขาเป็น เขาก็ว่ากันไป แต่ศาสนาพุทธนั้นเป็นเรื่องรู้ทุกข์อาริยสัจ ยิ่งใหญ่ขนาดไหน ไม่รู้อย่างพระพุทธเจ้าก็ต้องปฏิบัติตามธรรมวินัยให้ได้ เข้าใจพระวินัยให้ได้ ถ้าเข้าใจพระธรรมวินัยแค่นี้ ขั้นสังฆาทิเสส อย่างหยาบแค่นี้ ยังละเมิดยังทำอยู่ได้ แล้วจะไปบริหารศาสนาพุทธได้ยังไง เพราะฉะนั้น เรื่องพระ อย่าไปยุ่งเรื่องคนเขาแต่งงานในศาสนาพุทธ แต่ถ้าเป็นฆราวาสไม่ได้อยู่ในฐานะ เป็นฆราวาสก็ไม่ใช่พระคนละฐานะ เพราะฉะนั้นฆราวาสจะไปแยกคู่กัน มองไปในแง่ปรมัตถ์ก็ดี แต่มองไปในแง่โลกๆประเดี๋ยวจะฆ่าแกงกัน มันก็มีมาแล้วเรื่องของเรื่อง มันเป็นไปตามธรรมชาติ ลึกไปกว่านั้นเลย ลึกไปกว่านั้นคือ คุณจะไม่ให้ผู้หญิงผู้ชายแต่งงานกันเลย โลกก็หมดสิคนน่ะ ลึกไปกว่านั้น เพราะฉะนั้นศาสนาพระพุทธเจ้าถึงบอกว่า เป็นอาริยะระดับต้น โสดาบันก็มีผัวเดียวเมียเดียว นี่คือวินัยของพระพุทธเจ้า ก็แต่งงานสิ ไม่งั้นคนก็หมดโลกสิ ผัวเดียวเมียเดียว ได้ อย่านอกใจกัน อย่าไปเที่ยวได้มีเรื่องทุกข์ร้อนมากกว่านั้น อยู่กันให้ดี มีความรัก 10 มิติ สูงๆ จะแต่งงานก็ให้ความรักเจริญสูงๆขึ้นไป มิติที่ 3 ที่ 4 อะไรขึ้นไป ไม่ใช่ว่า แต่งงานก็เห็นแต่เรื่องเสพกาม ลูกมาก็ฆ่าทิ้งอะไรอย่างนี้ มันไม่ใช่คนแล้ว มันยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานแล้ว ก็อธิบายอย่างหนักๆนี้แหละ เพราะฉะนั้นอยู่ในฐานะของฆราวาส ก็ไม่ถึงขั้นเป็นสมณะนักบวช ก็อยู่ในฐานะหนึ่งก็มีคู่แต่งงานกันแบบผัวเดียวเมียเดียว ตามหลักเกณฑ์พระพุทธเจ้าก็ดีแล้ว ไม่ต้องไปอะไรถึงขนาดนั้น ประชาชนเป็นผู้ปฏิวัติแล้วนายกฯประยุทธ์มารับไม้ต่อ มีสิ่งที่น่าจะได้พูด อีกสักอันหนึ่งก็คือ ทำไมต้องประยุทธ์ จันทร์โอชา … จาก FB พลอากาศโทวัชระ ฤทธาคนี 21 เม.ย. 66 ผมเห็นใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาตลอด ตั้งแต่ต้อง “ยอมนางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพราะนางเป็น รมว.กลาโหม ปี ๒๕๕๖ อีกตำแหน่งหนึ่ง” ทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นเสนาธิการทหารบก ช่วงต่อต้าน “คนเสื้อแดงป่วนเมืองอย่างหนักขั้นเผาบ้านเผาเมือง สังหารและทำร้ายทหาร” ๒๕๕๓ ซึ่งอยู่ในส่วนของการปฏิบัติการ ของ “แก้วสามประการระบอบทักษิณ พรรคการเมือง มวลชน กองกำลังติดอาวุธ” จนนางยิ่งลักษณ์ ถูกศาลปกครองสูงสุดพิพากษาว่า “ใช้อำนาจไม่เป็นธรรมปลดย้ายข้าราชการ” (ย้ายท่านถวิล เปลี่ยนศรี อย่างไร้เหตุผลและคนอื่นๆ) เพื่อเปิดทางให้ญาติ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ขึ้นมาเป็น ผบ.ตร.และในกระบวนการนั้นต้องย้ายข้าราชการอย่างน้อย ๒ ตำแหน่งเพื่อให้สามารถย้าย พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เข้าตำแหน่งได้ เมื่อนางยิ่งลักษณ์ ถูกถอดถอนตำแหน่งและอำนาจแล้ว เกิดสูญญากาศทางการเมืองเพราะรัฐบาลรักษาการไม่มีอำนาจสมบูรณ์ในการบริหารบ้านเมือง ขณะเดียวกันมีการชุมนุมขับไล่รัฐบาลของนาง ตั้งแต่กลุ่ม กปท. คปท.กองทัพนิรนาม จนเกิดเป็น กปปส.และการชุมนุมยืดเยื้อมา ๑๐ เดือนประชาชนและประเทศชาติเดือดร้อน แต่รัฐบาลนางยิ่งลักษณ์ไม่หยุดกอบโกยโดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าวและออกกฎหมายเพื่อประโยชน์แก่ตัวทักษิณเองและระบอบทักษิณรวมทั้งเครือญาติและที่ร้ายแรงส่งเสริมให้ท้ายพวกอนาธิปไตยล้มสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเห็นได้ชัด ฝ่ายการข่าวของ กลุ่มชุมนุมและฝ่ายทหารอาชีพ รับรู้ว่า “กลุ่มนปช.หรือคนเสื้อแดงได้รับเงินและคำสั่งให้จัดการกับ กปปส.และกลุ่มอื่นๆ อย่างเด็ดขาดเพื่อเปิดทางให้ตำรวจสามารถสลายชุมนุมอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แล้วให้รัฐบาลรักษาการประกาศการเลือกตั้งตามที่มีแผนงานเดิมที่มีมาก่อนหน้านี้แล้วแต่ถูกผู้ชุมนุมและพรรคการเมืองต่างๆ เว้นพรรคเพื่อไทยในขณะนั้นต่อต้าน รัฐบาลรักษาการระบอบทักษิณได้รับคำสั่งจากเจ้าของพรรคเพื่อไทยในขณะนั้นให้ตื้อและยื้อไว้จนกว่า “กองกำลังติดอาวุธแก้วสามประการระบอบทักษิณ” มีความพร้อมและเคลื่อนทัพประชิดทุกเวที กปปส.และเข้าสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงด้วยอาวุธ และตำรวจจะเข้าสวมรอยสลายกลุ่มชุมนุมทุกกลุ่ม ฝ่ายทหารที่เข้ากับระบอบทักษิณก็จะสนับสนุนการสลายการชุมนุมอ้างว่าสนับสนุนตำรวจในการรักษาความสงบเรียบร้อย ฝ่ายชุมนุมรู้ถึงแผนยุทธศาสตร์นี่ดี ก็พร้อมรับมือด้วยหลักอหิงสาและเตรียมชิง “อำนาจรัฏฐาธิปัตย์” เพื่อจัดตั้งรัฐบาลตามฎีกาที่เขียนไว้แล้ว แต่ฝ่ายทหารจึงรีบชิงโอกาสก่อนที่ “กองกำลังติดอาวุธระบอบทักษิณ” จะดำเนินการสลายการชุมนุม กปปส.(รวมทั้งหมด กปท.และ คปท.) จะเกิดสงครามกลางเมืองทันที กองทัพจึงต้องป้องกันไม่ให้เกิดสงครามกลางเมือง ในการนี้ฝ่ายทหารโดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้จัดประชุมทุกฝ่ายเพื่อหาทางยุติการชุมนุมและความรุนแรง ด้วยการขอให้รัฐบาลรักษาการลาออก ซึ่งขณะนั้น นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่มีอำนาจอะไรแล้วเป็นบุคคลธรรมดา เข้าใจกันด้วยครับ แต่รัฐบาลรักษาการปฏิเสธที่จะลาออกทั้งสองวันประชุม พล.อ.ประยุทธ์ จึงต้องประกาศยึดอำนาจ ซึ่งมวลชนดีใจเพราะ “เดิน กิน นอน บนถนน ข้างถนนรวม ๑๐ เดือนแล้วจะได้จบเสียทีและรัฐบาลระบอบทักษิณก็จบสิ้นไปแล้ว คดีอาญาเอาผิดนักการเมืองในระบอบทักษิณจึงได้เริ่มขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ เป็นตัวเลือกที่มวลชนต้องการไม่ใช่คนอื่น แต่คนอื่นนั้นมี “พลังแฝง” เพราะเป็นผู้มีอาวุโสกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จึงต้องยอมรับตำแหน่ง มิฉะนั้น ระบอบทักษิณจะได้อำนาจคืนอย่างแน่นอนเด็ดขาด และการชุมนุมต่อต้านระบอบทักษิณถูกสลายไปโดยปริยาย ดังนั้นอำนาจรัฐตกเป็นของระบอบทักษิณทันที แกนนำหลัก พธม.และ กปปส.จะถูกล้างแค้นอย่างหนักกว่าที่เห็นในปัจจุบัน พล.อ.ประยุทธ์ จึงเป็นตัวแปรสำคัญในการป้องกันระบอบทักษิณไม่ให้ได้อำนาจอย่างชุบมือเปิป แต่ถูกกดดันตลอดเวลาและทำอะไรไม่ได้มาก เพราะท่านถ้าลาออก “บ้านเมืองจะวุ่นวายและนำสู่ความขัดแย้งรุนแรงและการแตกแยกอย่างชัดเจนและมีการเผชิญหน้ากันหลายเส้า” สรุปว่า : พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ในขณะไม่ได้ยึดอำนาจรัฐบาลนางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่ยึดอำนาจจากรัฐบาลรักรักษาการระบอบทักษิณ ที่มีนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาลรักษาการ และที่สำคัญยิ่ง นางยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ได้เข้าร่วมประชุมหาทางออก (เพราะรัฐบาลรักษาการเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลนางยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและเกิดสูญญากาศทางการเมืองและ รธน.เปิดโอกาสให้รัฐบาลนั้นเป็นแค่รัฐบาลรักษาการเท่านั้น นางยิ่งลักษณ์ หมดอำนาจไปแล้ว ไม่มีอำนาจอะไรให้ยึดอีกแล้ว ขอได้เข้าใจตามนี้ด้วยครับ พ่อครูว่า… พลเอกประยุทธ์บริหารแล้วประชาชนก็ไม่ได้ออกไปประท้วงต่อ ตอนนั้นที่สมชาย วงศ์สวัสดิ์มาเป็นนายก เราก็ออกไปประท้วงไม่ยอมอีก จากนั้นเป็นยิ่งลักษณ์ก็ผ่านการเลือกตั้งมา เข้ามาเป็นนายก ประชาชนก็ไม่เห็นด้วยเพราะเป็นนอมินี ก็ไปขับไล่อีก แต่พอพลเอกประยุทธ์ขึ้นมา ประชาชนไม่ได้ไปไล่ ก็เห็นว่าไม่ใช่เป็นนอมินีทักษิณและเป็นผู้ที่มีบทบาทเข้าตาประชาชน ไม่ใช่ไม่รู้จักแต่ประชาชนรู้จัก ก็เลยไม่ได้ไปขับไล่ ถ้าพลเอกประยุทธ์มาบริหารเหมือนกับทักษิณหรือว่านอมินีของทักษิณอีก ประชาชนจะไปขับไล่อีกไหม ก็ไป ถ้าพลเอกประยุทธ์ไปทำแบบนั้น แต่มันไม่ใช่ พลเอกประยุทธ์บริหารก็เข้าตาประชาชน สรุปแล้วรายละเอียดที่พูดนี้ก็คือ มันไม่มีการยึดอำนาจของพลเอกประยุทธ์เลย เพราะว่าไม่มีใครมีอำนาจสักคน นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาลก็ไม่มี ยิ่งลักษณ์ก็ไม่มี ไม่มีอำนาจอะไรเหลือแล้วเป็นแต่เพียงพูดออกปากให้เกียรติกันเท่านั้นเอง มันเป็นสุญญากาศมันว่างหมดแล้ว พลเอกประยุทธ์บอกว่าผมขอยึดอำนาจเป็นการพูดปากเปล่า พลเอกประยุทธ์จึงไม่ใช่เผด็จการ พลเอกประยุทธ์จึงไม่ใช่คนยึดอำนาจ แต่ที่จริงนั้นผู้ยึดอำนาจจริงๆคือประชาชน ไปทำการประท้วง ประชาชนเป็น โปรเทสแทนท์ที่แท้จริง ประชาชนเป็นจอมประท้วงที่แท้จริง ไม่ใช่ไปทำม็อบด้วย ไปทำ protest ไปทำการประท้วงอย่างดี อย่างสงบไม่มีอาวุธ อย่างสุภาพ เอาความจริงไปยืนยันเป็นธรรมาวุธ ไล่ สิ่งที่มันเป็นอธรรมออกไป อย่างบริสุทธิ์อย่างงดงาม อย่างชนะ Absolute เลย เป็นประชาธิปไตยที่ประท้วงโดยประชาชนเป็นตัวอย่างของโลก ไม่ได้ไปประท้วงเฉพาะยิ่งลักษณ์ ยิ่งลักษณ์เป็นตัวปลายแต่ประท้วงตั้งแต่ทักษิณ ไปสมัคร ทักษิณถูกยึดอำนาจโดยพลเอกสนธิ บุญยรัตกลินก็แล้วไป จากนั้นมาสมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ ประชาชนทั้งนั้น สมณะเดินดิน… ตอนทักษิณเราก็ไปประท้วง พ่อครูว่า… ของทักษิณมีทหารมาปฏิวัติ ของสมัครนั้นเป็นตุลาการภิวัฒน์ ต้องมีอะไรช่วยตามหลักเกณฑ์สังคมหลักเกณฑ์กฎหมายมันก็เป็นเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นจะเอาที่เป็นนามธรรมล้วนๆไม่มีอะไรเลย เป็นเรื่องที่จะเอามาพูดกันได้มันก็ไม่ได้ มันก็ต้องใช้มันก็ต้องสอดคล้องกัน มีทั้งรูปธรรมและนามธรรม มีทั้งกฎหมายมีทั้งพฤติกรรมที่สมบูรณ์แบบ ถ้าพูดไปจริงๆแล้ว การเมืองประชาธิปไตยไทยนี่เป็นตัวอย่างที่สวยงามสมบูรณ์แบบจริงๆ ไม่ได้แกล้งพูด แต่พูดความจริงเลยว่า มันเป็นตัวอย่างของโลกที่เกิดขึ้นมา เป็นปรากฏการณ์ให้แก่โลก ที่สุดยอด ใครจะว่าอาตมาเป็นคนอยู่ในมุมแคบๆมองไม่กว้าง ที่อื่นเขามีตัวอย่างสวยกว่านี้ ก็ไม่เป็นไร อาตมาก็เห็นอันนี้ อันอื่นไม่เห็นก็เลยยกอันนี้แหละ แม้แต่อาตมาก็ไปเป็นส่วนร่วมในกระบวนการนั้น จนเขาหาว่าเป็นพระเป็นเจ้าจะมายุ่งอะไรกับการเมือง อาตมาเห็นว่าเป็นหน้าที่ เห็นเป็นสิ่งควรทำ อาตมาก็เป็นคน ประชาชนคนหนึ่งในประเทศไทยอาตมาก็ทำหน้าที่ จนกระทั่งทำหน้าที่แล้วได้ผล ก็ดีแล้ว ก็ถึงจะเกิดความเป็นจริงของพฤติกรรมมนุษย์ จริงๆ มันก็เสร็จ สำเร็จรูปสภาพ จนกระทั่งมาถึงทุกวันนี้ ที่การบริหารเป็นนายกมาตั้งแต่สำเร็จอำนาจตอนนายกสมัคร สำเร็จตอนอำนาจของนายกสมชาย สำเร็จตอนอำนาจของนายกยิ่งลักษณ์ สำเร็จพลเอกประยุทธ์ขึ้นตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ 8 ปีกว่าแล้ว ประชาชนทุกวันนี้ว่ากันไปแล้ว อาตมาว่ากระแสของพลเอกประยุทธ์นี้สูงมาก อาตมาไม่อยากเป็นนักพยากรณ์ ว่าการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคมนี้ ผลจะออกมาอย่างไร ไม่อยากเป็นนักพยากรณ์ ก็คอยดูก็แล้วกัน โพลต่างๆ ปากกาเซียนต่างๆ อาตมาว่างวดนี้จะหักประกาศเซียน ทุบโพลต่างๆ แตกระเนระนาดไปหรือเปล่า ปากกาเซียนหักไปไม่รู้กี่ด้ามหรือเปล่า ก็ไม่ต้องไปถึงดูไบหรอกไปดูไป อีกไม่กี่วันก็ถึง 14 พฤษภาคม เหลืออีก 16 วัน เอง ใจเย็นๆ แต่แม้กระนั้นก็ดี ตามกระแสของสังคมขณะนี้ ใครก็เห็นแล้วว่า ประชาชนเอาประยุทธ์ทั้งประเทศ แล้วพลเอกประยุทธ์ก็วางตัวได้สวยมาก สวยอย่างไร คือไม่ยอมไปเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นอิสระ ดีมาก นี่เป็นประชาธิปไตยแท้ ไม่ใช่ไปอยู่ในพรรคจะต้องให้พรรคคอุ้มชู ไม่เกี่ยว แสดงว่าพลเอกประยุทธ์มีความรู้ในเรื่องประชาธิปไตยลึกซึ้งดีทีเดียว พวกที่มีความรู้ประชาธิปไตยประดักประเดิดไม่จริง ก็จะว่าอะไรวะ ให้เป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของรวมไทยสร้างชาติ ประกาศเป็นสมาชิกของรวมไทยสร้างชาติแต่ไม่ลงปาร์ตี้ลิส พวกนักการเมือง นักรัฐศาสตร์ประดักประเดิดยังไม่ค่อยเข้าใจ ก็บ๊องๆๆไปตามประสาเขา ยิ่งเห็นเลยว่า พลเอกประยุทธ์ชัดเจน เข้าใจเรื่องประชาธิปไตยที่วิเศษ ไม่จำเป็นที่จะต้องไปแย่งชิงอะไรในพรรค แม้ว่า สมมุติว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ รทสช. ชนะ แคนดิเดตเบอร์ 1 ก็คือพีระพันธ์ใช่ไหม ที่เขาใช้ Party List เบอร์ 1 แล้วดูซิว่าถ้า รทสช. ชนะ แล้วก็มีสิทธิ์เสนอชื่อนายก เขาจะยกพีรพันธ์ไหม เขาจะเสนอพีระพันธ์ไหม แล้วพลเอกประยุทธ์จะอกหักไหม คอยดูกันต่อไป ซึ่งไม่ใช่ต้องดูต่อไป ลึกๆคนไทยก็พอรู้เรื่องอยู่แล้ว นอกจากคนตาเขตาเอียงตาบอดตาถั่ว ก็ไม่เห็น เพราะอะไรก็เพราะสัจจะเพราะความจริง อันนี้แหละเป็นการยืนยันประเทศไทย ว่าประเทศไทยนี้จริงใจ และมีดวงตาที่เห็นความจริง นี่เป็นสิ่งบ่งชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยมีความคิดกันอย่างนี้หรือ นี่เป็นโพธิรักษ์โพลนะ นี่เป็นอ่านเป็น โพล ของโพธิรักษ์เอามาพูด ไม่ใช่โพลของสำนักไหน แต่สำนักโพธิรักษ์ อาตมาเห็นอย่างนั้นจริงๆ ประชาชนเป็นร่างกษัตริย์เป็นจิตวิญญาณของประเทศ อาตมาจึงประเมินได้ว่าประชาธิปไตยของเมืองไทยนี้สูงส่งประเสริฐ ประเสริฐกว่าอเมริกาเยอะ พลเอกประยุทธ์ใช้เงินไหม ใช้อำนาจบาตรใหญ่ไหม ใช้เครือแหเครือข่ายไหม ไม่ ไม่เหมือนประชาธิปไตยแบบอเมริกาไม่เลย นั่นแหละประชาธิปไตยที่เขานึกว่าประชาธิปไตยจะต้องเป็นหนึ่ง ต้องประชาตรงๆสายตรงจากประชาธิปไตยจากประชาชนมาเป็นประธานาธิบดี นอกนั้นไม่มีใครมีสิทธิ์ ต้องประชาชนโดยประชาชนของประชาชนประชาชนเท่านั้น แล้วในหลวงไม่ใช่ประชาชนหรือไง ในหลวงนั่นแหละเป็นหัวใจของประชาชน ซึ่งเขาเข้าใจความเป็นหัวใจกับร่างไม่ได้ ประชาชนคือร่างของประเทศ ส่วนพระเจ้าแผ่นดินคือจิตวิญญาณของประเทศ มีสภาพ 2 ในความเป็นประเทศต้องมีสภาพกายและจิต ประชาชนนั้นคือกายของประเทศ ส่วนพระเจ้าแผ่นดินนั้นคือจิตวิญญาณของประเทศ ประเทศที่ไม่มีจิตวิญญาณ เป็นกายพิการเป็นร่างมีแต่ร่าง และจิตวิญญาณก็ไม่อยู่ในระบบ จิตวิญญาณเละเทะ จิตวิญญาณของใครก็ได้เป็นประชาชนที่ไม่มีที่ไปที่มาไม่มีทศพิธราชธรรม ไม่มีการสืบสันตติวงศ์ ไม่มีกรรมพันธุ์ ไม่มีการสืบกฎมณเฑียรบาล ไม่ได้เตรียมพร้อมจะมาเป็นผู้บริหาร จับใครมาก็ได้ สุ่มคนนี้ได้เอามาเป็นประธานาธิบดีใครก็ไม่รู้ ไม่รู้หัวนอนปลายตีนมาเลย ดีไม่ดีไปดู background แล้วเป็นคนหากินเป็นนายทุนใหญ่ เป็นตัวอำนาจเบ่งอะไรต่างๆนานา มีแทคติกในการสร้างอำนาจอีกเยอะแยะด้วย เรื่องรัฐศาสตร์มันซับซ้อน สรุปแล้วอาตมาก็มองด้วยความรู้หรือภูมิของอาตมา ประชาธิปไตยแบบไทยหรือแบบพระพุทธเจ้าหรือของอาตมาเป็นแบบนั้น ยิ่งจะเป็นการบริหารประเทศแบบคนจน อันนี้จะต้องได้พูดกันต่อไป อย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเราได้ตรัสไว้แล้ว ให้บริหารแบบคนจน ให้คนมาเข้าใจถึงการขาดทุนเป็นความประเสริฐ การไปเอากำไรนั้นเป็นความชั่ว ซึ่งท่านไม่ได้ตรัสอย่างนี้นะนี่อาตมาพูด ว่าการขาดทุนนี้เป็นความประเสริฐ การกำไรนี้เป็นความชั่ว หรือใช้ภาษาอีกทีว่า การเสียนี่แหละเป็นการได้ ในหลวงท่านก็ตรัสอยู่ พูดเต็มๆคือการเสียสละนี่แหละเป็นความประเสริฐ การไปได้เปรียบเอาเปรียบนั้นเป็นความต่ำเป็นความเสื่อม ไม่ใช่ความประเสริฐ นี่เป็นสัจจะในความเป็นจริง คนเข้าถึงความเป็นจริงอย่างนี้ไม่ได้มันยาก มันหยั่งถึงความจริงที่เข้าใจยาก ความจริงถ้าตั้งสติใช้การพิจารณาจริงๆอย่างที่อาตมาพูดเขาจะรู้นะว่าคนเสียสละนี้ มันจะไปต่ำกว่าคนเอาเปรียบได้อย่างไร มันประเสริฐ ความจริงแค่นี้ก็ไขไม่ออกแล้วจะไปเป็นผู้บริหารประเทศ เป็นนักเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ก็ตามก็ล้มเหลว สมณะเดินดิน… พลเอกประยุทธ์จะกลับมาเป็นนายกนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย คนอื่นเขาใช้เงินกันทั้งนั้น พ่อครูว่า… แพ้แน่ๆถ้าพ่อแม่ไม่ช่วย สมณะเดินดิน… มีคนมองข้ามช็อตว่าจะไม่มีการเลือกตั้งเขาไม่ยอมกัน คำตอบคือพลังเงียบ เราต้องช่วยกันปลุกพลังเงียบขึ้นมาช่วยมีทางนี้ทางเดียว … Categories: ธรรมะพ่อครู, ศาสนาBy Samanasandin28 เมษายน 2023Tags: พุทธศาสนาตามภูมิวิถีอาริยธรรม Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:660426 คนเจริญแท้คือคนทำงานที่ไม่ไปหลงทำเงิน พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศกNextNext post:ฉบับที่ ๕๕๐(๕๗๒) นสพ.ข่าวอโศกรายปักษ์ รวมปักษ์เมษายน 66Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024