660918 คนเจริญคือคนทำฌานจนเป็นบุญสำเร็จ รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #41 ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1QPdK-gAZx6hitiu_Lfzxx-8Tv2cBYMmi/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/12rgEOlqpjJkNqhTodT2458NQGSKFMuWV/view?usp=sharing
และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660918-e29f73k
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/9K3tUANKSKU
และ https://fb.watch/n7W58TKcrL/
มีซับ
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 18 กันยายน 2566 ขึ้น 4 ค่ำเดือน 10 ปีเถาะ กระต่าย ที่บวรราชธานีอโศก
คนเจริญคือคนทำฌานจนเป็นบุญสำเร็จ
แต่ละวันแต่ละวันพวกเรานี่ ใส่ใจสนใจธรรมะกัน ฟังธรรมะกันทุกวัน มันเป็นคนเจริญ เรียกว่าเป็นคนเจริญ ฟังธรรมะกันทุกวัน เป็นคนรู้จักสาระแก่นสารของชีวิต เพราะชีวิตเราเกิดมานี่ เวียนวนอยู่ในวัฏสงสารอยู่ในโลก หมุนเวียนอยู่อย่างโง่ๆเง่าๆอวิชชา วนเวียนไปเกิดแล้วก็ไปตามยถากรรม ไม่มีหลักเกณฑ์ในการที่จะทำให้ชีวิตนี้มันเดินทางไปสู่ความเจริญ
คำว่า “เจริญ” คำนี้คือ มันสามารถรู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพาน มันสามารถเข้าไปอ่านรู้สภาวะจิต สภาวะที่เป็นจิต แยกได้เป็นเจตสิก สามารถที่จะมีญาณหยั่งรู้ กำหนดรู้ สัญญากำหนดรู้ รู้ อาการ ลิงค นิมิต ตามคำสอนของพุทธเจ้า แล้วก็มีคนเอามาขยายความอธิบาย อุเทศ ขยายความอย่างที่อาตมาอธิบายเป็นอุเทศ
แล้วสามารถจับ อาการ ลิงค นิมิต อาการอย่างนั้นอย่างนี้กำหนดเครื่องหมายได้ แต่ละคนก็กำหนดอาการอย่างนี้หมายว่ากำหนดเอง ของเราเองว่าอย่างนี้เป็นอาการอย่างไร
อย่างเช่น อาการโกรธ อาการโลภ อาการกำลังเกิด อาการรักอาการชัง อาการเกิดโกรธน้อยๆ โกรธอย่างกลาง โกรธอย่างแรงอะไรอย่างนี้ มันสามารถรู้อาการเหล่านั้นที่มันเกิดในขณะที่มันเกิดหลัดๆ มีนาม มีจิตยังรู้ จับสภาวะพวกนั้นได้ ไม่ใช่มีแต่ภาษาข้างนอกที่รู้แต่พยัญชนะแต่ความหมายแต่บัญญัติ
แต่มันสามารถที่จะรู้อาการของจิต เกิดจริงๆสัมผัสรู้ สัมผัสแล้วก็เกิดญาณรู้เข้าใจ ตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้า แล้วก็มีวิธีที่จะกำหนดรู้ เพื่อที่จะให้มันมีประสิทธิภาพของปัญญา ประสิทธิภาพเป็นฌาน สามารถที่จะ
ฌาน นี่คือพลังงานไฟ ไม่ใช่พลังงานที่จะไปได้เพ่งเจาะอะไรเข้าไป แต่เป็นพลังงานที่รู้และไม่รู้และเผา รู้แยกกิเลสออกได้แล้วเผากิเลสเลย ฝึกไปตั้งแต่ฌานที่ 1 2 3 4 คนที่ทำฌาน 4 ได้เก่ง ก็เผาได้ พลั๊วะเลย สำเร็จฌานที่ 1 2 3 ก็คือ ทำพลังงานชนิดได้สำเร็จ เรียกว่า เกิดความสามารถที่ใช้พยัญชนะแทนสภาวะว่า บุญ
บุญ ไม่มีการสั่งสม บุญไม่มีเกิดอยู่ที่ไหนๆ บุญเกิดอยู่ในปัจจุบันธรรมที่เกิดจากพลังงานจิต ที่สามารถสร้างฌานวิสัย แบบพุทธได้
ฌาน เขาก็มิจฉาทิฏฐิกันง่าย แต่จะทำฌานให้เกิดแบบพุทธ นี้มันยาก จะให้เกิดพลังงานที่มันเป็นพลังงานมีประสิทธิภาพ มีสภาพ 2 เสมอคือ
1.รู้ความจริงตามความเป็นจริง
2.รู้แล้วมีฤทธิ์ สามารถทำให้กิเลสมัน ละหน่ายจางคลายจากกิเลส ระดับไปได้จนเป็นประสิทธิภาพสูงสุด
พยัญชนะหรือภาษาที่พยายามอธิบายก็ได้แค่นี้อย่างนี้
ลองมาเอา SMS แล้วก็ไล่ไปจะได้มีเหตุปัจจัยที่เราข้องใจเอาเป็นประเด็น เอาเป็นเหตุในการอธิบายธรรมะไปเรื่อยๆ
SMS วันที่ 15-17 ก.ย. 2566
_สว่างแสง ขวัญดาว · น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ กราบนมัสการท่านสมณะเดินดิน ท่านดินไท ท่านแสนดินด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ลูกเป็นคนจังหวัดร้อยเอ็ด อำเภอเสลภูมิค่ะ ปีนี้ลูกทำนาเจออุปสรรคมากตั้งแต่เริ่มทำนา ปีนี้ลูกเริ่มลงนาหว่านข้าวหลังจากลูกกลับจากงานอโศกรำลึกค่ะ ช่วงเดือนมิถุนายน หว่านข้าวก็เจอฝนมาตลอดจนเม็ดข้าวเน่าขึ้นไม่ได้ ต่อมาเดือนกรกฎาคมก็เจอฝนแล้งค่ะ และเมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา มีฝนพายุมาฝนตกหนักทั้งคืนที่นาลูกน้ำท่วมล้นคันนามิดยอดข้าว ลูกได้ปฏิบัติตามคำสอนของพ่อครูว่า เราต้องแก้ไขปัญหาที่เป็นปัจจุบันเสมอๆ ลูกบอกตัวเองเสมอว่าเรามาถูกทางแล้ว แม้ว่าการทำนาปีนี้จะลงทุนซ่อมแซมมาก ลูกก็ไม่ทุกข์ใจค่ะ หากเป็นแต่ก่อนลูกจะทุกข์ใจมาก ลูกได้มาปฏิบัติตามพ่อครูแล้วทำให้แก้ไขเหตุการณ์และเข้าใจตนเองค่ะ ลูกซาบซึ้งในคำสอนพ่อครูมาก คำสอนพ่อครูทำให้ลูกผ่านปัญหาและอุปสรรคมาได้อย่างไม่ทุกข์ใจ ลูกขอส่งกำลังใจมาทางพี่น้องบ้านราชขอให้สู้ๆนะคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ
พ่อครูว่า… ซาบซึ้งก็ต้องยกให้พระพุทธเจ้า อาตมานำมาถ่ายทอด เขารู้ว่าจะน้ำท่วม เราสู้อยู่แล้ว เพราะว่าเราจะมาอยู่ที่นี่เรารู้อยู่แล้วว่าเป็นที่น้ำท่วม เป็นที่ที่ใครเขาไม่เอา จนกระทั่งเรามาอยู่จนที่ดินมันราคาแพง แล้วก็ซื้อที่ดินเพิ่มมันก็ขึ้นราคาเอาราคาเอา ไอ้เราก็อยากได้ แพงเท่าไหร่ก็จะซื้อ จนกระทั่งราคาแพงขึ้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งที่ดินที่ไม่มีราคา มันราคาขึ้นเท่ากับราคาข้างบนที่เขาซื้อกัน ก็เอา เราก็เป็นคนอย่างนี้แหละ
คนทำนาคือคนเลี้ยงโลก
วิธีทำนานี้อาตมาก็ขอคารวะ ว่าเป็นผู้ที่เลี้ยงโลกไว้ ทำนาก็ดีทำสวนทำไร่ก็ดี เราถือว่าข้าวมันเป็นอาหารหลัก ถือว่าเป็นหนึ่ง พืชพันธุ์ธัญญาหารก็เป็นหนึ่ง กินแต่พืชพันธุ์ธัญญาหารไม่กินข้าวก็ได้ แต่ข้าวเป็นหนึ่ง ที่คนยอมรับกันทั่วโลก เป็นแป้งที่คนยอมรับนำหน้า ทำขึ้นมาแล้วเลี้ยงโลกได้
แล้วทำไมก็เคยอธิบายว่าคนจะเก่งอย่างไรไปทำอาวุธมาฆ่าคน กับคนที่ทำอาหารให้คนกินมีอายุ อีกคนหนึ่งทำอาวุธเพื่อที่จะฆ่าอายุของคน มันคนละโลกกันเลย มันเป็นงานที่คนละขั้ว เป็นขั้วนรกกับขั้วสวรรค์ แล้วเขาก็ไม่รู้นะ สร้างอาวุธ หลงในอำนาจบาตรใหญ่ แล้วก็ไม่เข้าใจชีวิตชีวะ สัตว์คนมันไม่รู้ว่าความมันจะพัฒนามาเป็นชีวะ (เสียงลำโพงดังรบกวน)
_มั่นใจพุทธ บุญเสร็จ · การสละของที่ไม่ใช้ ได้ฝึกทำอยู่เป็นประจำ รู้สึกเบาสบายขึ้นเรื่อยๆ
ยิ่งเราได้เห็นผู้อื่นได้ใช้ประโยชน์ จากสิ่งที่เราได้สละไป ก็ทำให้หัวใจแช่มชื่นขึ้นมาทันตา เห็นเด็กๆ ที่บ้านก็ทำเช่นเดียวกัน เดี๋ยวนี้บ้านโล่งขึ้นเยอะ มีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น ทำความสะอาดก็ง่าย ใจก็เบา มีผลทำให้สละในเรื่องอื่นๆ ได้ง่ายขึ้นเจ้าค่ะ เป็นตัวอย่างที่ดีให้ผู้อื่นด้วย เพื่อนบ้านเห็นก็ทำตามเจ้าค่ะท่าน
พ่อครูว่า… ดีจัง สร้างวิธีพวกนี้ไป
_ใจธรรม สิทธินาวิน · กราบเรียนพ่อครู ดิฉันอยากได้พจนานุกรมศัพท์ธรรมะ แบบที่พ่อครูอธิบาย เพราะฟังพ่อครูอธิบายธรรมะแล้วเข้าใจ เห็นด้วยกับที่พ่อครูอธิบายค่ะ หลายคำที่พ่อครูอธิบายแล้วเข้าใจ๊ เข้าใจค่ะ แต่ถ้าฟังจากที่พระองค์อื่นเทศน์ หลายอย่างไม่เข้าใจ บางทีนึกว่าไม่เป็นเหตุเป็นผล ตรรกะไม่น่าจะใช่ แต่ของพ่อครูคือใช่เลยค่ะ อย่างเช่นคำอธิบายเรื่องบุญบาป เรื่องการเอามือลูบคลำพระอาทิตย์ ที่พ่อครูอธิบายเป็นต้น ถ้ามีพจนานุกรมฉบับสมณะโพธิรักษ์ รวบรวมไว้ ต้องขอมีไว้สักเล่มแน่ ๆ ค่ะ กราบขอบพระคุณพ่อครูอย่างสูงยิ่งค่ะ
พ่อครูว่า… มีคนทำหนังสืออภิธานศัพท์อโศกที่พิมพ์ออกไป เล่มหนาปึก ลองหาดู ถามดู ก็ยังเอาวางแจกทิ้งเอาไว้ ก็ไม่ค่อยมีใครหยิบเลย ติดต่อที่คุณมิ่งหมาย ที่บ้านราชนี่แหละ ได้ ติดต่อที่ท่านฟ้าไทก็ได้ สม.ผาแก้วก็แจกกันอยู่ มาวางที่บวร
_จรรยา ประเสริฐ · วันนี้มารายงานการปฏิบัติธรรมของดิฉัน หลังจากได้ไปพบ คุณแม่ (แม่น้ำที่ดิฉันชอบนักหนา) ดิฉันไปสันติอโศก ไปฟังธรรมในรอบ 4 หรือ 5 ปี ที่ผ่านมา หลังจากไปรักษาอาการป่วย จนหายดีแล้ว เมื่อไปเดินดู มีกิจกรรมหมอเขียว มีกิจกรรมศีล 8 พบอาโอ๋ รู้สึกว่าดีใจ และขอขอบพระคุณเธอ ที่เธอได้ช่วยดิฉัน ในการให้ข้อคิดดี ๆ ระหว่างดิฉันป่วย ดิฉันซาบซึ้งใจ ในการพูดคุยกับพี่น้องอโศกด้วยกัน มีอาจันทร์แรม แม่ชีเมฆฟ้า หรือเมฆธรรมนี่แหละ ท่านเคยเป็นแม่ชีที่ปฐมอโศก ที่ดิฉันเคยรู้จัก พบท่านแล้ว ดีใจมาก ท่านเมตตาดิฉันเสมอมา ขอบพระคุณค่ะ และพบเพื่อน ๆ ชาว ชมร. เพื่อน ๆ ชาวแด่ชีวิต เพื่อน ๆ พลังบุญ อาเรืองรุ่ง พลังบุญ ทั้งหมดดิฉัน มีความรู้สึกอบอุ่น อยู่ถึงเย็น แทบไม่อยากกลับบ้านตัวเองเลย ได้พบกิเลส ตัวเอง คือ การที่อยู่คนเดียว บางครั้งเราคิดผิด คิดว่าเราถูก เราดี พอไปพบผัสสะที่วัด พบตัวเองว่า เราไม่ชอบเสียงดัง เพราะเคยอยู่ตัวคนเดียว ตามใจตัวเองมา ได้ฟังธรรมตามใจชอบ ที่เรากดดูได้ ในเฟสบุญนิยม ในยูทูบ เปรียบเทียบกับการฟังธรรมสด ๆ จากสิกขมาตุแล้ว มีบรรยากาศ ผิดกันเลยค่ะ กับการฟังธรรมอยู่คนเดียว การฟังธรรมอยู่คนเดียว เป็นการเลือกทางสุดท้าย ที่เราเลือกไม่ได้แล้ว ดิฉันตั้งใจ จะไปฟังธรรม พบหมู่มิตรดีอีกบ่อย ๆ เพื่อพัฒนาจิตวิญญาณที่ดีของดิฉันตลอดไปค่ะ กราบสาธุมาด้วยหัวใจ
พ่อครูว่า… ดี ค่อยๆเข้าใจความรู้ลึกซึ้ง ค่อยๆเข้าใจความเจริญไปตามลำดับ
_สุรัติ ประเสริฐผล : ตั้งแต่ลูกเกิดมา ตั้งแต่เล็ก ก็เห็นว่า เรามีชีวิตอยู่ได้ แต่ต้องเอาชีวิตผู้อื่นมาต่อชีวิตเรา ไม่เป็นธรรมเลยครับ แต่หาทางออกไม่ได้ จนเมื่อ พ.ศ. 2534 พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติธรรมแนวอโศก เอาคำสอนพ่อท่าน ไปโปรดลูก ลูกจึงหาทางออกได้ แต่ยังสงสัยในตัวพ่อท่านอยู่ เข้าไปพิสูจน์ พ่อท่าน ท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุ และ หมู่กลุ่มญาติธรรมอีก 2 ปี จึงหมดสงสัย แต่วิบาก เข้าไปวัดไม่ได้ แต่พ่อท่านก็ยังโปรดถึงบ้าน ลูกจึงติดตามคำสอนของพ่อท่าน และท่าน สมณะ มาตลอดครับ ขอน้อมกราบขอบพระคุณครับ
พ่อครูว่า… ดี ก็เอาไปพิจารณาปฏิบัติให้เจริญๆ
_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ · เพลงพ่อครูอยากให้ทำเป็นแบบคาราโอเกะ นักดนตรีจะได้เอาไปบรรเลง และนักร้องทั่วไปจะได้ร้องบ้างครับ
พ่อครูว่า… ดี ใครจะทำก็ทำ คุณก็ทำเอาเองได้เลยสิ เดี๋ยวนี้ทำเอาไม่ยาก
สภาวะเป็นเอกพยัญชนะเป็นรอง
_บุญช่วย : อจินไตย แปลว่าอะไรหรือคะ ถ้าหนูแปลเอง อะคือไม่ จินคือจินตนาการ ไตยะคือไต คือ 3 ยะคืออาริยะ รวมกันคือ ไม่สามารถที่จะจินตนาการของการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปของพระอาริยะได้เลย สรุปคือบุคคลธรรมดาไม่สามารถล่วงรู้ได้เจ้าค่ะ ผิดประการใด ขอน้อมผิดแต่เพียงผู้เดียวนะคะ
พ่อครูว่า… แยกกันอย่างนี้ ใครๆกันเหมือนนัยยะที่ท่านมหาประยุทธ์ สมเด็จพุทธโฆษาจารย์เล่นงานอาตมาแต่แรกๆ ว่ามาแยกพยัญชนะแบบนี้ มันไม่เข้ากับหลักไวยากรณ์อะไรต่ออะไร ท่านซัดอาตมาน่าดู ก็ตามประสาพวกเราลูกทุ่งลูกทุ่ง
คุณจะเข้าใจสรุปแล้ว คุณเข้าใจอย่างงั้น คุณจะแยกศัพท์อย่างไรก็แล้วแต่ อาตมาถือว่าเสร็จแล้วมันก็เข้าไปสู่สภาวะที่ถูกต้องก็ใช้ได้ จะไปมัวแต่ติดอยู่เรื่องพยัญชนะ ไม่ถูกพยัญชนะเพราะฉะนั้นตีทิ้งเลย สภาวะไม่ต้องให้ถูกแล้วก็ไปเลย
แต่แม้ว่าจะแยกพยัญชนะผิดยังไงแต่ถ้าตีเข้าไปหาสภาวะถูกแล้วเราก็ปฏิบัติจริงเป้าหมายสภาวะนั้นได้ อาตมาถือว่าอันนั้นใช้ได้ดีกว่าไปหลงอยู่แต่พยัญชนะ แม้แต่อย่างท่านสมเด็จพุทธโฆษาจารย์หรือท่านมหาประยุทธ์ ท่านก็ยึดถือพยัญชนะมากจนกระทั่งไม่พยายามที่จะเข้าใจสภาวะให้ได้ ว่า อ๋อ สภาวะถูกแล้วก็เอาเถอะพยัญชนะเป็นเรื่องรอง สภาวะเป็นเรื่องเอก ก็เอาเถอะ ใครจะเข้าใจอย่างไรก็ว่าไป
อจินไตยที่คุณแปลโดยสรุปผล ถูกแล้วล่ะคือมันไม่รู้เรื่อง มันได้แต่คิดพยัญชนะ คิดตรรกะอะไรไป แต่มันไม่เข้าไปสู่สภาวะ เช่น มันไม่รู้เข้าไปสู่สภาวะของกรรมวิบากก็ดี สภาวะของฌานก็ดี อะไรอย่างนี้เป็นต้น
หรือ แม้แต่ไม่รู้ตัวเองว่าเป็นความคิด โลกจินตา คือจินตะ จินตนาการเป็นเพียงความคิด มันไม่รู้มันก็ไปกันใหญ่
_ซึ้งซื่อ วิเชียร : ขอกราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรสุดเกล้าครับ ในวันที่ 15 – 17 ก.ย. 66 ผมไปเข้าค่ายอุโบสถศีล on site ที่สันติอโศกครั้งที่ 180 เพราะอยู่บ้านได้เรียนปริยัติทางหน้าจอต่างๆ เลยต้องไปเรียนปฏิบัติ ปฏิเวธให้เข้าถึงจิตที่แท้โดยเอาตัวไปลงอย่างจริงจังเพื่อบำเพ็ญธรรมให้ตนเองเจริญครับ ขอกราบขอบพระคุณ พ่อท่านอย่างสูงยิ่งครับ
จบกิจคืออหันต์สู่ยอดความรู้ของพุทธสุดที่พระพุทธเจ้า
พ่อครูว่า… ผู้ที่เห็นว่าชีวิตนี้มันต้องเอาเรื่องของธรรมะ ถ้าไม่เอาเรื่องธรรมะ โดยเฉพาะธรรมะที่เป็นโลกุตระแม้แต่ธรรมะที่เป็นโลกียะก็ตาม มันก็พาเจริญได้อยู่ในชีวิต ในโลกียะมันก็พาเจริญในชีวิตสามัญก็เป็นไปได้
แต่ยิ่งเป็นโลกุตระแล้ว มันเจริญถึงขั้นรู้แจ้ง รู้จบ รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง รู้จบ อันนี้มันเป็นสุดยอดของพระพุทธเจ้าที่ท่านค้นพบความจริง รู้จบคืออะไร จบคือจบเรื่องจิตวิญญาณ จบว่าจะทำจิตวิญญาณนี้ให้เป็นจิตวิญญาณที่ไม่ทำชั่วอีกเลย ทำแต่ดี รู้จักอาการของจิตที่เป็นบาป เป็นอกุศล เป็นกิเลส แล้วไม่ทำอีกเลย ล้างกิเลสได้ไม่ทำชั่วอีกเลย ไม่ทำบาปอีกเลย ทำแต่ดี
เพราะฉะนั้นกรรมที่ทำ ทำแต่ดี อย่างเที่ยงแท้ถาวร ทำได้อย่างนิยตะ เที่ยงแท้เลย นี่เป็นประเด็น
เพราะฉะนั้นคนที่จบอรหันต์แล้ว
-
จะทำแต่ดี จะเกิดอีกกี่ชาติกี่ชาติกี่ชาติก็กรรมมีแต่กรรมกุศล ไม่มีกรรมบาป ไม่มีกรรมอกุศลเลย นี่เป็นหลักประกันของชีวิตหรือจิตวิญญาณ
2.สามารถที่จะรู้แจ้ง รู้จริง รู้จบจิตวิญญาณ แยกธาตุจิตวิญญาณ เมื่อตายกายแตก กายัสเภทา ปรัมมรณา หลังกายแตกแล้วไม่มีจิตวิญญาณเราเหลืออีก สลายเป็นดินน้ำไฟลม หมดอัตตภาพของเราเลย นี่เป็นความตรัสรู้สุดยอดแล้วในเรื่องของจิตวิญญาณในเรื่องของชีวะ
สัตว์เดรัจฉานมันก็ค่อยๆขึ้นมา จนกระทั่งมันก็พัฒนาก็จะมาเป็นคน ชีวะเริ่มต้นตั้งแต่พอมาเป็น ปาณะ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าอย่าไปทำให้เขาตกร่วง พยัญชนะคำว่า ปาณะ มันมีสภาวะของธาตุจิตวิญญาณสะสมมา ที่อาตมาไล่อธิบายมาตามที่พระพุทธเจ้าก็อธิบายไว้ในพระไตรปิฎก (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
ตั้งแต่ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม มหาภูต รวมตัวกันมาเป็น ภูตคาม มาเป็นพีชคาม แล้วมาเป็นเจตภูต จนกระทั่งมาเป็น ปาณะ แล้วค่อยเจริญมาเป็นสัตตะ มาเป็นจิตนิยาม เป็นวิวัฒนาการของพลังงาน ตั้งแต่ยังไม่เป็นชีวะ จนมาเป็นชีวะ ตั้งแต่ระดับพีชนิยาม แล้วมาถึงขั้นจิตนิยาม นี่เป็นความรู้สุดยอดในประดาคน ที่สามารถจะหยั่งรู้สภาวะที่เยี่ยมยอดได้ นี่เป็นความเยี่ยมยอดของพลังงานจิตนิยามพลังงานจิตเจตสิกต่างๆ
มีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ศาสดาเทวนิยมไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นก็จัดการให้ แม้แต่ทำให้จิตทำดี ไม่ตกต่ำอีกเลยก็ไม่ได้ จะเวียนวน สูงแล้วต่ำ ต่ำแล้วสูง หรือเรียกว่า นรก-สวรรค์ สวรรค์-นรกอยู่โดยที่เขาไม่รู้ตัว เขาไม่รู้ว่าเขาทำไม่ได้
แต่ของพระพุทธเจ้ารับรองทำได้จริง จนสูงไปถึงขั้น รู้เหตุปัจจัยที่จะทำให้จิตอยากดีอย่างถาวรแล้วทำแต่ดี กรรมดีถาวรแล้วเพราะฉะนั้นจะเกิดอีกกี่ชาติอีกกี่ชาติก็ไม่เป็นภัยเป็นพิษ นี่เป็นหลักประกัน
นอกจากนั้นจะทำให้ชีวิตตัวเอง
1.ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ที่เป็นโลกุตระ ดีชั่วนั้นเป็นโลกียะ ไม่สุขไม่สุขนี้มันเป็นเรื่องของโลกุตระ พระพุทธเจ้าทำได้ นอกจากไม่ทำชั่วทำแต่ดีก็ไม่ทุกข์ไม่สุข แล้วก็ไม่เป็นโทษเป็นภัยอะไรอีกเลยจะเกิดมาอีกมีแต่พัฒนาตนเองให้มีแต่สูงขึ้นๆ ให้รู้จักสภาวะของมนุษย์มีอีกหลายขั้นเป็นโพธิสัตว์อีกหลายขั้น ที่อาตมาไล่ให้ฟัง จนสูงสุดแล้วเป็นขั้นพระพุทธเจ้าที่สุดแล้ว ธรรมที่คนจะรู้ไม่มีอะไรใครเทียบท่านได้อีกเลย ไม่มีใครจะเทียบเท่าเทียบทันแล้ว ก็จบ
เป็นอรหันต์ก็สูงแล้วมันมีขั้นที่สูงขึ้นไปอีก จะไปรู้ผู้อื่นแบบอื่นๆที่จะปรุงแต่งแบบอื่นอีกนอกจากตัวเราเองทำเราเองได้แล้ว คนอื่นๆเราก็ช่วยได้อีกไปตามลำดับๆ อย่างนี้เป็นต้น
จนกระทั่งขนาดที่พระพุทธเจ้าว่า เอาละ ขนาดนี้ช่วยคนได้ไม่ใช่น้อยแล้วล่ะ แต่ก็ช่วยเทวนิยมเขาที่มีมากกว่า ไม่ได้หมดทุกวันนี้ เพราะมันยาก มันเป็นนามธรรมยากมาก ก็สุดวิสัยแล้ว ทำได้อย่างสุดวิสัย มันก็เกิดมาตามยุคตามกาละ
ยุคที่คนดี คนพอสอนได้มากก็จะมีคนบรรลุได้มาก ยุคที่มันเข้าไปสู่ยุคที่กิเลสมันยังจัดจ้าน อย่างพวกเรายุคนี้ใกล้กลียุคเข้าไปยิ่งแยกเข้าไปทุกทีแหละ เพราะฉะนั้นโลกุตระจะเจริญน้อยลงจนกระทั่งโลกุตระหยั่งลงไม่ได้ มนุษย์เสื่อมมากหนักจนกระทั่งรับไม่ไหวแล้ว รับโลกุตระไม่ได้แล้ว มันก็จบ โลกุตระก็หยุดพัก แต่โลกียะนั้นมันไม่หยุดพักหรอก มันก็มีแต่จัดจ้านเลวร้ายไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้นเกิดมาเป็นชีวิตแล้ว คนไม่รู้ก็ไปหลงโลกียะคือหลงใน ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข หลงสุขหลงทุกข์ หลงสุขจะไม่เอาทุกข์แต่มันก็ต้องได้เพราะมันไม่รู้ ก็ไปวนเวียนอยู่อย่างนั้น แล้วก็สมมุติกัน แต่ละแห่งไม่เหมือนกันทีเดียว คล้ายกันบ้างเหมือนกันบ้าง มันก็ไม่เป๊ะเหมือนกันหมดหรอก แต่มันก็มีส่วนคล้ายกันมากได้ ก็แก้ไขกัน มันแก้ไม่จบ
แต่ของพระพุทธเจ้าแก้จบ จึงมีคำว่า กตํ กรณียํ มีคำว่าจบกิจ โดยเหตุปัจจัยแต่ละกรอบแต่ละกรอบ
กรอบที่สมบูรณ์แบบจบกิจก็ถือว่าอรหันต์ ไม่ลึกลับ รหะ คือลึกลับ อรหะคือไม่ลึกลับ อรหันต์ อีก อันตะแปลว่าที่สุด คือหมดความลึกลับเป็นที่สุด นี่เป็นจุดไขความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเอามาเปิดเผยเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางจิต ทรงค้นพบสิ่งประเสริฐสุดอันนี้เอามาเปิดเผย
เพราะฉะนั้นคนถ้าเผื่อว่าได้มาเรียนรู้ธรรมะโลกุตรธรรมแล้ว ทำตนให้เป็นอาริยะจนเป็นอรหันต์ได้ ปล่อยได้เลยทีนี้ ปล่อยอัตตาของผู้นี้ ปล่อยชีวะของผู้นี้ ปล่อยจิตนิยามของผู้นี้ จะสมัครใจเป็นอิสระเสรี จะอยู่ก็สุดยอดเป็นประโยชน์ต่อโลกต่อมนุษย์ จะไม่อยู่ก็เลิกเลยสลายตัวเองได้เลย มันจบแท้ๆตรงนี้
จบแท้ๆตรงที่สลายจิตวิญญาณได้ แต่ศาสดาเทวนิยมไม่มีทางที่จะรู้สิ่งนี้จึงจะต้องไปอยู่กับพระเจ้า แล้วก็ไม่เข้าใจว่าพระเจ้าคืออะไร พระเจ้าก็อยู่นิรันดรอีก สลายไม่ได้ อยู่นิรันดร แล้วก็ไม่รู้จักพระเจ้าด้วย ไปจบอยู่ที่ที่ลึกลับ มันไม่เป็น อรหะ มันไม่เป็นว่าไม่ลึกลับแล้ว มันก็ลึกลับอยู่อย่างนั้น เป็นพระเจ้า เป็นพลังงานที่ครอบ ก็เข้าใจว่าเป็นพลังงานนี่แหละเป็นเจ้าของทุกชีวิต ทุกสรรพสิ่งในมหาจักรวาล เป็นผู้สร้างทุกอย่างเลย อย่างนี้เป็นต้น ก็เข้าใจกันอย่างนั้น
พระพุทธเจ้าจึงมาพิสูจน์ ด้วยความตรัสรู้ของพระองค์ มาพิสูจน์ว่ามันไม่ใช่ อย่างนั้นไม่ใช่ เรานี่แหละเป็นเจ้าของจิตวิญญาณเอง เราสามารถทำลายมันมีเหตุความโง่ มีเหตุทำให้มันไม่เข้าใจ มันอวิชชา มันไม่รู้ความจริง จนกระทั่งเข้ามารู้ความจริง ว่ามันเป็นเรื่องของธาตุ 2 รูปกับนาม เข้ามาจับคู่ปรุงแต่งกันอยู่ จนกระทั่งสามารถแยกแยะได้ว่า อ้อ ลักษณะปรุงแต่งกันอยู่มันมีตั้งแต่พลังงานกับพลังงาน สสารกับพลังงาน จนมาปรุงแต่งกันเป็นชีวะในระดับพืช จนมาปรุงแต่งกันเป็นชีวะในระดับจิตนิยาม นักวิทยาศาสตร์เอกทางจิตวิญญาณของมนุษย์คือพระพุทธเจ้า จึงสามารถที่จะเข้าใจเหตุปัจจัยว่ามันไปปรุงแต่งกันโดยอะไร
คนหลงสุขหลงทุกข์ อารมณ์ อาการ อาการอารมณ์หรือความรู้สึกสุข ซึ่งมันหลอกอยู่ในโลกให้คนติด ผู้ไม่รู้อย่างเช่นพระเจ้าหรืออย่างสายเทวะนิยมเขาก็ติดสุข เขาไม่รู้ เขาไม่ได้เรียนเรื่องสุขเรื่องทุกข์ มันเป็นความปรุงแต่ง แล้วไปหลงยึดติดเรียกว่า อุปาทาน ไปหลงอยู่ว่าไอ้อย่างนี่เป็นของน่าได้น่าเป็น แล้วปรุงได้ก็หลงยึดติดอยู่อย่างนี้
พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็จึงเลิกยึดถืออันนี้ได้ ก็แยกธาตุดินน้ำไฟลมไปเลย แยกจิตเป็นดินน้ำไฟลมไปได้ ก็จบ
เพราะฉะนั้น สัตว์หรือเริ่มต้นตั้งแต่สิ่งมีชีวิตที่เริ่มต้นเป็นพืชมาแล้วมันก็จะพัฒนามาเป็นสัตว์ มันไม่หยุดหรอก กว่าจะพัฒนามาเป็นสัตว์ ที่จริงมันมีรายละเอียดมากมาย พระพุทธเจ้าก็ไล่ไว้ แต่อาตมาไม่ได้ไปเอารายละเอียดมาไล่ไม่ไหว ไล่ไปก็พอเข้าใจแล้วว่ามันเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เรามาทำของเราให้จบ จบแล้วทีนี้คุณจะอยู่คุณจะเลิกก็ได้
ที่มันเป็นความละเอียดละออแต่ละระดับนั้น เราไปรับผิดชอบไม่ไหว แล้วไปบอกมันก็ไม่รู้เรื่องด้วย กว่ามันจะมีจิตวิญญาณหรือ มีจิตนิยามที่มาศึกษารู้อย่างพวกเรา พวกเรารู้แล้วก็สามารถจัดการทำลายความโง่ของตัวเอง จนกระทั่งสลายไปได้สลายความยึดติด จนกระทั่งเป็นอรหันต์จนกระทั่งเลิกไปได้เลย
มันเป็นสุดยอดแห่งความรู้แล้ว เพราะฉะนั้นจะไปศึกษาวิชาอะไรอยู่ในโลก ยุคพระพุทธเจ้ามี 18 วิชา มีมหาวิทยาลัยเรียกว่าตักกสิลา มีวิชาอยู่ในตักศิลาที่เป็นมหาวิทยาลัยใหญ่อยู่ในยุคโน้น มี 18 คณะ 18 แผนก ท่านเรียนจบหมดเลย เกียรตินิยมมาหมด เหมือนทุกวันนี้ก็มีมหาวิทยาลัย แต่ละมหาวิทยาลัย มีไม่รู้กี่แผนก เดี๋ยวนี้มากกว่า 18 แล้วมั้ง วิชาของเขาแตกแขนงออกไป เช่น วิชาชงเหล้าก็มี จบปริญญานะ วิชาชงเหล้า ว่ากันไป วิชาทำไอ้โน่น ทำไอ้นี่สารพัด เป็นวิชาทั้งนั้น แล้วก็เรียนเลี้ยงชีพ
เลี้ยงชีพก็คือวนเวียนอยู่ใน ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อยู่อย่างนั้น ละเอียดแยกเข้าไปปรุงอยู่ในมุมนั้นมุมนี้ บานทะโร่โท่ไปได้เรื่อยๆ ไม่มีจบ
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้ามาสอนในเรื่องที่รู้ว่าหลงมาแล้ว แล้วเลิกละออกไป แล้วก็รู้จบ ก็จบเลย มันเป็นวิชาการที่ล้างความหลงลาภ ยศ สรรเสริญ หลงความสุข นั่นแหละที่เป็นเหตุ จนกระทั่งท่านตรัสรู้ว่าสุขกับทุกข์เป็นเรื่องอันเดียวกัน เป็นความยึดติดสิ่งที่เป็นหนึ่งเดียว เทวะที่มันหลอกเป็นหนึ่ง ที่แท้มันอันเดียวกัน เป็นมายาหลอกที่สุด เป็นมายา ที่แท้พวกคุณมารู้แล้วก็เป็นสิริมหามายา จะให้เกิดยังไงก็ได้ไม่ให้เกิดก็ได้ และรับรองว่าถ้าจะเกิดอีก ก็ไม่มีความเป็นพิษเป็นภัยเป็นโทษ มีแต่ประโยชน์
อย่างอาตมารู้สิ่งเหล่านี้เพราะอาตมาผ่านอรหันต์มาหลายขั้นที่แยกแยะให้ฟัง มีกี่ขั้น 6 ขั้น อรหันต์ 6 ขั้น แยกให้ฟัง
อรหันต์ขั้น 1 ก็รู้จักจบแล้วเลิกได้ ขั้นที่ 2 ก็มีความรู้รอบ มีกรอบเพิ่มขึ้นไปอีก ขั้นที่ 3 ขั้นที่ 4 ขั้นที่ 5 ขั้นที่ 6 6 ก็เป็นพระพุทธเจ้า สุดแล้ว
ก็ไล่ให้ฟังตั้งแต่อรหันต์ที่ทำตัวเองได้แล้วก็รู้ผู้อื่น รู้ไปตามลำดับ กรอบแรกเป็นอนุโพธิสัตว์หรืออรหันต์ขั้น 2 ก็รู้ไปกรอบ 1
เสร็จแล้วพยายามรู้ไปอีกอนิยตะ ต่อไปอีกเป็นกรอบที่ 2 3 4 5 ไป จนกว่าจะรู้เข้าไปถึงขีดว่า อ๋อ.. คนที่สามารถพัฒนาตนเองเป็นผู้ที่จะรู้ในเรื่องของโลก เรื่องของสัตว์โลก โดยเฉพาะมนุษย์
รู้จักที่เป็นสารพัดวิชา มันก็ทำเพื่อ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เท่านั้น ในเทวนิยมทั้งหลายไม่มีออกจากนี้ เพราะฉะนั้นท่านก็ประมวลมาประมาณนี้แหละ ประมาณให้รู้ว่า
ไอ้ที่มันยังทำให้หลงจนกระทั่งแม้ที่สุดมาหลงตัวเอง หลงตัวเองว่าจะรู้ มันรู้ไม่มีขีดจบหรอก ท่านก็กำหนดเอาไว้ถึงขีด เอาสังขยาเลขมาแยก 1 2 3 4 ถือว่าเป็นขั้นละเอียดแล้ว โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์
จากอรหันต์มาก็ต่อไปอีกเป็นขั้น 5 ขั้น 6 ขั้น 7 เออ.. อีก สามเส้า คือ 567 ก็รู้แล้วว่าในโลกมันมีความเฉลียวฉลาด มันมีความรู้โลก เป็นโลกวิทู
พอมาถึงขั้น 7 ก็จะรู้ว่า อ๋อ ไม่มีปัญหาหรอก 567 ก็เข้าเขตที่จะไปเป็นพระพุทธเจ้า ที่จะรู้สิ่งทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ที่เท่าที่โลกมันจะมี เพราะฉะนั้นพอถึงขั้น 7 เป็นโพธิสัตว์ขั้น 7 อรหันต์ขั้นที่ 4 มันก็มีต่อไปได้อีกอย่างเก่งอีก 3 รอบหรือ 2 รอบ 7 8 9 สุดแล้วตามหลัก 1 2 3 4 5 6 7 8 9 ก็ถือว่าเต็มขีดแล้ว ในสามเส้า 123 456 789 แล้วมันก็เป็นสามเส้าอีก มันก็ซับซ้อนไปอีก ในระดับ 7 8 9 เป็นภาวะที่รู้ความซับซ้อนของพวกนี้มากขึ้นมากขึ้น เป็นนัยยะที่ซ้อน หมุนรอบเชิงซ้อนๆๆๆ จนเป็นผู้รู้ลำดับ ความเป็นลำดับของพระพุทธเจ้า ท่านถึงตรัสว่ามันเป็นเรื่องที่สุดน่าอัศจรรย์ในความเป็นลำดับ ลำดับที่มันซับซ้อนแล้วก็สับสนเลย คนที่ไม่มีภูมิพอแยกไม่ออก
เพราะฉะนั้นขั้นที่ 7 8 9 เป็นการรู้ความซับซ้อน เป็นขั้นที่ว่ามันสุดแล้วเป็นเส้าที่ 3 แล้ว 1 2 3 456 ได้ 7 8 9 สูงสุดแล้ว แบ่งเป็น 3 กรอบ
อาตมาก็เริ่มเส้าที่สุดท้ายไปถึงพระพุทธเจ้า นิยตโพธิสัตว์ มหาโพธิสัตว์ แล้วก็เป็นพระพุทธเจ้า
นี่เป็นความรู้วิทยาศาสตร์ทางจิตที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่ไปเรียนวิทยาศาสตร์ทางโลกียะ เรื่องของวัตถุ มันก็ได้อย่างไม่มีจบแล้วก็หลงยิ่งใหญ่ด้วยนะ ทุกวันนี้ไปเอาพลังงานทางวัตถุ เอาไปทำลายกัน หลงความพิสดารของมัน เอามาทำอะไรต่ออะไร เหาะเหินเดินน้ำดำดินก็ได้ แต่ก็เอามาใช้ประโยชน์ได้จริงๆ แต่ก็หลงไปอีก
นี่จะไปสร้างโลกใหม่อยู่ในอวกาศ แล้วก็ไปเป็นมนุษย์เจ้าของแผ่นดิน เจ้าของพื้นที่ ซึ่งมันก็คิดไปบ้าๆบอๆ มันทำไม่ได้หรอก แต่เขาก็คิดฝันเพ้อไป มันไม่มีที่จบ คิดแบบนี้ไม่ใช่เพิ่งคิด เขาคิดกันมาบ้าๆบอๆแต่ไหนแต่ไร มันไม่รู้จักกรอบเป็นความเป็นไปได้ ไม่รู้จักกรอบแห่งความเป็นไปไม่ได้ ไม่รู้ มันก็คิดในกรอบที่มันเป็นไปไม่ได้นึกว่ามันเป็นไปได้ก็ทำ ถ้ามาทำสิ่งที่เป็นไปได้จะได้เยอะเหมือนกัน แล้วมันก็คิดต่อไปอีกว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ ทั้งที่มันเป็นไปได้ก็ไม่หยุดคิดกัน
เพราะฉะนั้นก็คิดฟุ้งเฟ้อฟุ้งซ่านที่มันเป็นไปไม่ได้ มันก็ไม่รู้ตัวมันคิดไป แต่เสร็จแล้วจนกระทั่งชีวิตตาย คนอื่นบางทีบางอย่างก็ไม่ได้บันทึกไว้ก็หายไป ที่บันทึกไว้ก็เอามาบ้ากันต่อ
มันไม่รู้ที่เจริญสุดและไม่รู้จักที่จบสุด ของพระพุทธเจ้านี้รู้ที่เจริญสุด เจริญอย่างไร เจริญก็คือรู้จักชีวะ แล้วก็ทำให้ชีวะนี่ทำแต่ดีไม่ทำชั่ว แล้วก็สอนอีก รู้ว่าชีวะนี่โง่อะไรอีก โง่ไปหลงสุข สุขทุกข์ก็คือความหลอกทั้งนั้น แล้วก็หลง รู้ว่าหมดแล้วสุขทุกข์ แล้วรู้ความจริงว่ามันจบหมดเลยทีนี้เลิกได้ ไอ้ธาตุรู้ตัวนี้เป็นจิตนิยาม ธาตุรู้ตัวนี้ เลิกเป็นจิตวิญญาณได้
ไอ้ที่มันกลับมาเกิดเป็นจิตวิญญาณ มันพัฒนามาเป็นเรื่องธรรมชาติมาแต่ไหนแต่ไร นี่พืชพันธุ์ธัญญาหารมันก็พัฒนาไปจนเป็นจิตนิยาม กว่าจะมาเป็นสัตว์เซลล์เดียว กว่าจะมาเป็นสัตว์ล้านเซลล์มันก็พัฒนามาเต็ม มันต้องมีน้ำประกอบ เพราะฉะนั้นมันจะอยู่ในน้ำขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมันเจริญขึ้นมามันก็ขึ้นบก ขึ้นบกไม่พอมันก็ขึ้นฟ้าบินไปเลย มีอยู่แค่นั้น
เพราะฉะนั้นเราจะศึกษาอย่างไรๆ ก็ตาม พระพุทธเจ้ารู้หมด แล้วก็ไม่ไปเสียเวลากับที่เขายังไม่รู้ ก็มาเรียนรู้สิ่งที่มันควรจะรู้ มีเวลา พวกเราอายุแค่ร้อย ในยุคที่คนอายุมากๆๆๆ มันก็โง่มามากแล้วแต่มันจะฉลาดขึ้นมาเรื่อยๆ ฉลาดความจริงขึ้นมาเรื่อยๆ ในยุคที่โง่มากๆมากๆ กว่าที่จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้สักองค์ 80,000 ปี 70,000 ปีกว่าจะได้ออก คุณอยากจะไปเกิด 80,000 ปีไหมจะได้ค้นพบพระพุทธเจ้าและรู้ทางออกจะได้ลดอายุลงมา โชคดีแล้วที่มาเกิดนี่ ไม่ต้อง 80,000 ปีหรอก 100 ปีก็ยากแล้ว
แล้วเรามีความรู้สำคัญในจุดสำคัญที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทฤษฎีเอกไว้แล้ว มันก็สุดยอดแล้ว ที่พระสมณะโคดมตรัสรู้ในยุคนี้ แม้มันจะผ่านไป 2,500 กว่าปีแล้วก็ตาม ก็สามารถพิสูจน์ได้ ความจริงนี้พิสูจน์ได้ แต่มันก็เรื้อ มันก็เพี้ยนไป น่าสงสาร หมู่ที่ไม่รู้มีอีกเยอะ
เพราะฉะนั้นคนที่รู้อย่างพวกเราไม่ใช่เพิ่งรู้ พวกเรานี่สั่งสมความรู้มาอย่างนี้มันไม่ใช่ฟลุ้คๆ มันมีบารมีสั่งสมมาอยู่แล้ว เหมือน อัญญธาตุ เป็นธาตุที่เป็นโลกุตระ
อาตมาอธิบายให้ฟังแล้วว่า ธาตุจิตที่เป็นโลกุตระนี้มันหมายความว่า มันจะเริ่มรู้ รู้ทันทีเลยว่าโลกุตระ มันสะสมมา 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 จนกว่าจะมาถึง 50 หน่วย มันถึงจะเป็นขีดที่พอพูดกันรู้เรื่องกับผู้รู้ กับคนที่เป็นโลกุตระกับพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นคนที่กว่าจะพูดกันรู้เรื่องถึงเรื่องโลกุตรธรรม หรือพูดกับพระพุทธเจ้า หรือพูดกับคนอย่างพวกเราเข้าใจ มันต้องสะสมหน่วย อัญญธาตุมา กว่าจะรู้ได้เกิน 50 55 60 มาก็ค่อยพูดกันรู้เรื่องบ้าง จนกว่าจะ 70 75 ถึงจะโอ้โห.. ทีนี้พูดโลกุตระรู้เรื่องกันดีๆจริงๆจากนั้นเลยสามารถจะพูดถึงเรื่อง โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ได้
เพราะฉะนั้นมันถึงห่างไกลมากเลยกับคนทางโลกมากเลยที่จะมารู้อันนี้ได้ง่ายๆ คน 7 พันล้านในโลกทุกวันนี้ ฉลาดกันแล้วยุคนี้ แต่ขั้นฉลาดเถอะ ก็ยังสามารถที่จะรู้โลกุตระได้ แม้แต่ในศาสนาพุทธเอง ก็รู้โลกุตระได้กระหย่อมเดียวอย่างพวกชาวอโศก นอกนั้นเขาก็พวกอรหันต์เก๊ อรหันต์อะไรจมอยู่แต่ในภพน่าสงสาร พยายามช่วยเตือนบอกเขา บอกว่าหยุดเถอะที่มันหลงใหลทางโน้น ไม่ว่าจะนั่งหลับตาหรือลืมตา ไปศึกษาสารพัดความรู้ไม่รู้จักพอ เรียนรู้มันจะไปจบที่ไหนความรู้ในโลก อย่างท่านสมเด็จพุทธโฆษาจารย์หรือท่านมหาประยุทธ์ ท่านยังไม่พอสิ่งที่น่าจะเรียนรู้มันมีอีกเยอะก็ถูกสิ คุณก็ต้องรู้จักกรอบแห่งความหยุดบ้าง
อันนี้แหละน่าสงสารท่าน ท่านก็จะต้องเป็นไป แล้วท่านก็ไม่เชื่อด้วยว่าที่อาตมาพูดจริง เพราะท่านยังไม่มีภูมิ ถ้าท่านมีภูมิเมื่อไร ความรู้ของท่านจะตีกรอบเข้าไป จะมาสรุปได้ง่าย ที่อาตมาพูดนี้หมายถึงยอมรับโพธิรักษ์ซะ แล้วมาหาโพธิรักษ์ตีกรอบให้ ให้ลดละไปตามลำดับท่านจะบรรลุเร็วเลย เพราะท่านรู้ครบทุกอย่าง รู้มากเกิน ไอ้ที่มาก็ไม่เอาให้ตีกรอบมาตามลำดับ แต่ก็อย่างว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ มันก็เป็นตัวอย่างของโลก เหมือนยุคพระพุทธเจ้าก็มีตัวอย่าง พระเทวทัตมีแล้ว พวกฉัพพัคคีย์ก็เป็นอย่างนั้นเป็นตัวแซมๆอยู่อย่างนั้น
ภาษากวีกับภาษาทั่วไปต่างกันอย่างไร
อาตมาเคยหลงในเรื่องกวีการ มันไพเราะมันรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องของ การเรียบเรียง การเล่นภาษาชั้นสูง อาตมาในยุคนี้ก็ไม่เอาถึงฉันทลักษณ์ เอาแค่โคลงสี่สุภาพ โคลงสี่สุภาพก็มีแผนมีผัง แล้วอาตมาก็ว่าดีมากแล้ว อาตมาก็เลยมาทำโคลงสี่สุภาพ เป็นกวีขั้นหลัก แต่งมาจนกระทั่งเห็นว่า ภาษาที่จะเป็นภาษากวี
ทุกวันนี้ก็เห็นที่เขาแต่งก็เป็นเพียงกลอนไม่เป็นภาษากวี ก็เป็นแต่เพียงให้มันสัมผัสต่อกันไปได้เรื่อยๆ ร่าย แล้วก็มาเป็นกลอน กลอน 2 กลอน 3 กลอน 4 กลอน 8 เป็นหลักเกณฑ์ แล้วก็มาเป็นโคลง โคลง4 โคลง5 จนกระทั่งมาเป็นฉันทลักษณ์
อาตมาถนัดเรื่องโคลง จนกระทั่งแต่งโคลง เรื่องกลอนนะไม่มีปัญหาหรอกง่าย แต่เรื่องโคลงยากกว่า โคลงมีระบุให้ใช้เอกโทเป็นหลัก หรือใช้ รัสสระหรือทีฆสระ ความรู้เรื่องพยัญชนะบ้าง
ส่วนฉันทลักษณ์นั้น ทีฆสระ รัสสระหนักมาก มีครุลหุอีก หนักเข้าไปอีก ยุคนี้ก็เลยไม่ค่อยเฟื่อง เฟื่องอย่างเก่งก็มีร่ายมีกลอนมีโคลงบ้าง
อาตมาริอาจเรื่อง ฉันทลักษณ์โคลงกลอนพวกนี้มา ตั้งแต่อายุ 12 เรียนอยู่ม.2 ม.2 สมัยก่อนนะ สมัยนี้น่าจะประมาณ ป.6 เรียนกลอน ครูคนแรกคือครูทา ศรีจันทร์ เริ่มอยู่ที่พิบูลฯนี่แหละ โรงเรียนวัดกลาง อาตมาเรียนอยู่ 2 ปี ม.3 2 ปี เรียนกลอน แล้วก็เรียนโคลง จนกระทั่งเข้าอกเข้าใจเรียบเรียงอะไรได้ ก็มาแต่งล้อเลียน อาตมาแต่งล้อเลียน
ว่าคนแต่งโคลงแต่งกลอน ไม่รู้จักภาษากวี ฟังแล้วก็เออ ไม่รู้นะอาตมาก็จะไปข่มเขาบ้างว่า มันไม่เป็นภาษากวี มันก็ไม่ได้เอาภาษาคำกวีมาใช้มาเรียบเรียง คือเป็นภาษาที่เลือก แล้วก็ไม่ใช่ภาษาที่จะเอามาใช้บรรยายพื้นๆ แต่เป็นภาษาที่จะบรรยายเรื่องที่จะลึกซึ้งซับซ้อนบ้าง
เพราะฉะนั้น ภาษาที่จะมาแต่งโคลงแต่งกลอนแล้วก็จะเป็นภาษาไปธรรมดาๆง่ายๆเหมือนกับภาษาร้อยแก้วนี้มันก็ ให้มันสัมผัสกันก็เท่านั้น ก็เป็นภาษาง่ายๆสัมผัส อาตมาก็เลยมาพยายามที่จะทำให้เขาเข้าใจก็เลยลองแต่ง เพื่อที่จะให้รู้บ้าง
อย่างภาษาที่จะเปรียบเทียบกันว่า มันจะมีภาษาที่เป็นโคลงหรือเป็นกวีหรือไม่เป็นโคลง ภาษาที่เป็นกวี เช่น
เพลินสวนชมช่วงเช้า ชนสาย
กายเหนื่อยในใจฉาย ชื่นชื้น
ดอมดื่มดอกไม้หลาย พันธุ์รื่น รมเยศ
หนาวผ่านกาลกลับฟื้น แมกไม้บานไสว
ฟังแล้วก็รู้สึกไพเราะไหม เป็นภาษาที่เอามาร้อยเรียงแล้วก็เป็นภาษากวี
ทีนี้ความหมายเหมือนกันนี่แหละ แต่ภาษามันไม่เป็นคำกวีอาตมาก็แต่งให้ดู ลองฟังดู จะอ่านอันนี้แล้วก็มาเทียบให้ฟัง
เดินดูสวนแต่เช้า จนสาย
มันก็เมื่อยชิบหาย ปวดแข้ง
ไม้ดอกมากเหลือหลาย สวยสด งดงาม
นี่ก็ใกล้หน้าแล้ง ดอกไม้เริ่มบาน
เนื้อความเดียวกันเลยกับบทเมื่อกี้นี้ใช่ไหม ฟังแล้วจับความได้ใช่ไหม แต่อันนึงมันมีภาษามันดูกวี
ทีนี้อ่านควบกันดู
เดินดูสวนแต่เช้า จนสาย ก็เป็นภาษาธรรมดา
มันก็เมื่อยชิบหาย ปวดแข้ง
ไม้ดอกมากเหลือหลาย สวยสด งดงาม
นี่ก็ใกล้หน้าแล้ง ดอกไม้เริ่มบาน
มันเป็นภาษาธรรมดาแต่ถูกนะเป็นผังของโคลงสี่สุภาพไม่ผิดเอกโทไม่ผิด ถูกต้องตามแผนผังของโคลงสี่สุภาพ
ทีนี้มาฟังอีกอัน
เพลินสวนชมช่วงเช้า ชนสาย
กายเหนื่อยในใจฉาย ชื่นชื้น
ดอมดื่มดอกไม้หลาย พันธุ์รื่น รมเยศ
หนาวผ่านกาลกลับฟื้น แมกไม้บานไสว
เนื้อความความหมายเหมือนกันหมด แต่เป็นภาษาที่ต่างกัน อย่างนี้เป็นต้น
ทีนี้อาตมาก็แต่งเป็นภาษาที่ไม่เป็นกวีมาอีกหลายอัน
โคลงเคลง (กวีที่ไม่เป็นภาษากวี)
ของมากมาช่วยบ้าง เถอะนะ
กว่าจะแล้วคงจะ รุ่งเช้า
อย่าเถลไถลล่ะ เดี๋ยวไม่ เสร็จนะ
เล่นอะไรอยู่เล่า(เหล้า) รีบเข้าไวไว
21 พ.ย. 47 (เชื่อไหมว่านี่ก็ โคลงสี่สุภาพ)
มันก็เป็นภาษาธรรมดาแต่ไม่ผิดจากแผนผังโคลงสี่สุภาพนะแผนผังถูกต้อง เอก 7 โท 4 สัมผัสถูกต้องตามแผนผังบัญญัติหมดเลย
อีกอัน
ตื่นนอนแล้วอาบน้ำ แต่งตัว
เร็วอย่าเล่นอย่ามัว ชักช้า
ไปที่โต๊ะในครัว เอากล่อง ข้าวมา
ไวหน่อยรถติดน่า(หน้า) ไม่งั้นมันสาย
มันก็เป็นกลอนเป็นโคลงมั้ย ถึงบอกว่าไอ้คำว่ากลอน คำว่าโคลง คำว่าฉันทลักษณ์ มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆตื้นๆพื้นๆที่จะทำกันเล่นๆง่ายๆ ซึ่งอาตมาพูดแล้วเหมือนไปข่มที่เขาแต่งกันต่างๆ แต่มันก็มีลักษณะจริงของมันอยู่อย่างนี้
อาตมามาแต่งเพลง ก็มาแต่งกลอนตั้งแต่อายุ 11 อายุ 14 ถึงมาเริ่มแต่งเพลง แต่งเป็นเพลงใส่ทำนองอายุ 14 แต่งกวีกาลมาตั้งแต่อายุ 11 อายุ 14 จึงใส่ทำนอง
แรกๆแต่งเพลงนี้ อาตมาเล่นกวีมาเป็นภาษากวีมันยากจนกระทั่งเป็นฉันทลักษณ์ก็เล่นมา พอมาแต่งเพลงมันก็เลยติดในศัพท์แสง คำที่ยาก เพราะฉะนั้นเพลงแรกๆที่อาตมาจะแต่งนี่เป็นเพลงโลกุตระ
มันก็เลยฟังแล้ว โอ้โห ยาก เช่น เพลง ตะวันทอฟ้า หรือเพลงแสงธรรมต้องทอบวร
เพลง แสงธรรมต้องทอบวร
-
เพ่งมองผ่านเมฆเฉกใจให้ช้ำ