660920 ตำราพิชัยสงคราม พรหมชาลสูตร ตอน 1 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1467DuNjgAOFmv6sQy1eawdi-DszI_WW_/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/18cptqGXOBnLkTkm4Xu64O8Ll1ti442o9/view?usp=sharing
และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660920-108—-1_128-kbps-e29i75k
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/5PYpdGfXONM
และ https://fb.watch/nayRklW-mM/
มีซับ
สมณะเดินดิน… วันนี้วันพุธที่ 20 กันยายน 2566 ขึ้น 6 ค่ำเดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
ปีนี้เป็นปีพิเศษ ศิษย์เก่าทุกๆสถาบันสัมมาสิกขา จะนัดมารวมตัวกัน ในงานชื่อว่าศิษย์เก่าบูชาพ่อ รวมตัวกันที่ บ้านราช ในวันที่ 9 ถึงวันที่ 10 ธันวาคม 2566 จะรวมตัวกันมาให้ได้มากที่สุด เป็นนิมิตหมายที่ดี ที่ศิษย์เก่าที่จากไปนานจะได้มารวมตัวกัน หลายคนก็มีลูกมีทายาทมาสืบทอด
ช่วงนี้ทั้งนายกและรองประธานสภาเดินทางไปดูงานต่างประเทศ ไม่ค่อยมีคนสนใจเรื่องเนื้อหาในการประชุม เขาจะสนใจกันแต่เรื่องทำไมใช้งบประมาณเดินทางมากขนาดนั้น เปรียบเทียบกับตอนลุงตู่ไปดูงาน ทั้งค่าใช้จ่ายซึ่งต่างกันมาก จำนวนคนไปดูงานก็ต่างกันเยอะ มีอะไรไม่ค่อยเคลียร์เท่าไหร่ ลุงตู่เคยให้สัมภาษณ์ว่าที่ไม่ใช้เครื่องบินเช่าเหมาลำ เพราะมีค่าใช้จ่ายเยอะในการจอดในการเดินทาง
ข่าวใหญ่อีกอันนึงมีประชาชนร้องเรียนว่า เขาถูกไล่ล่าจากกรรมการพรรคก้าวไกล มีคุณเจี๊ยบ อมรรัตน์ แสดงความเห็นทางการเมือง เอาข้อมูลส่วนตัวของคุณปีใหม่ ไปลง Facebook เพื่อให้คนที่เห็นด้วยไปไล่ล่า เพราะว่าคุณปีใหม่แสดงความเห็น แย้งกับคุณเจี๊ยบ อมรรัตน์ โดยไม่ได้กล่าวออกชื่อไปแต่อย่างใด เหมือนเป็นการไล่ล่าแม่มด ซึ่งคนไทยพร้อมเฮโลไปตามกระแส
มีคนเอาหนังสือ “มาเหนือเมฆ” มาให้พวกเราอ่านกันด้วย
จะลดอุปาทานต้องปฏิบัติตามจรณะ 15
พ่อครูว่า… เราไปกันบนพื้นดินไม่เหินเดินเมฆอะไรไปกับพื้นดินแถวนี้แหละ
มีเรื่องของ คนที่มีความเชื่อมีอุปาทาน ความยึดติดในนามธรรม นามธรรมเป็นสิ่งที่ซ้อน นามธรรมคือจิตของเรานี่ ไปประหวัดถึง ไปคิดเอาเองเป็นนิรมานกาย เป็นกายที่เนรมิตเอง จะเป็นอะไรก็ตามแต่สมมุติชื่อสารพัด จะเป็นผี เป็นสาง เป็นเทวดา เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นจตุคามรามเทพ เป็นครูกายแก้วอะไร มันเป็นเรื่องนิรมิตเอาเอง แล้วก็หลงว่ามีอำนาจ มีฤทธิ์ มีเดช มีอะไร ซึ่งเป็นเรื่องที่ศัพท์เรียกว่าอุปาทาน คือการยึดถือ ติดยึด ตรึงติดตั้ง
สมมุติว่ามันมี มันมีฤทธิ์แรงอย่างนั้น มีอิทธิพลอย่างนี้ เก่งอย่างโน้น เก่งอย่างนี้อะไรต่างๆนาๆ เขาก็เชื่อกันไป ตั้งแต่เชื่อ เชื่อแม่น้ำ เชื่อทะเล เชื่อภูเขา เชื่อต้นไม้ เชื่อจอมปลวก กราบเคารพบูชา คนไทยทุกวันนี้ก็ยังกราบเคารพบูชาอะไรพิสดาร แปลกๆก็เชื่อว่ามันมีฤทธิ์มีเดช กราบต้นกล้วย กราบต้นมะพร้าว กราบต้นหญ้า กราบต้นนั่นต้นนี่ที่มันออกผิดประหลาดมาหน่อยก็กราบไปหมด อะไรอย่างนี้เป็นต้น
มันเป็นความไม่มีปัญญา ไม่รู้จัก และมันเป็นการตะกละตะกลาม มันเป็นการยึดถือคิดว่าสิ่งเหล่านั้นจะประทาน มันเป็นเรื่องเทวนิยม 100% สิ่งเหล่านั้นจะมีอำนาจมีฤทธิ์จะประทานโชค ประธานลาภ ประธานอะไรต่ออะไรให้เราได้ดังประสงค์ ตามที่เราอยากได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มันเป็นเทวนิยม มันเป็นเรื่องของโลกธรรม ธรรมดาๆ นี่เอง
สำคัญที่สุดคือจิตมันอยากได้ ยังมีความไม่พอ มันอยากได้ อยากได้อะไรก็แล้วแต่ อยากได้เงินได้ทอง อยากได้ลาภได้ยศ อยากได้สรรเสริญ อยากได้สุข อยากได้ของงามๆ อยากได้ของอร่อย อยากได้ของไพเราะ อยากได้อะไรมาบำเรอเสพสมกิเลสของตนเอง เพราะไม่ได้ปฏิบัติธรรมโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า ที่รู้ความเป็นจริงว่า สิ่งเหล่านั้นทั้งหลายเป็นมายาสุขทุกข์
สรุปลงตรงสุขต้องทุกข์ ไม่ได้ก็ทุกข์ดิ้นรนอยากได้ ได้มาก็เสพเป็นสุขแค่นั้นเอง ถ้าหมดสุขหมดทุกข์ หมดเสพสมสุขสม หมดบำรุงบำเรอกิเลส หมดอยากแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่มีเลย จบ เป็นผู้ที่รู้แจ้งเห็นจริงว่ามันเป็นเรื่องหลอก เรื่องความสุขรวมลงที่ความสุข คือสิ่งที่ไม่มีตัวตน แต่เราไปหลงปั้นขึ้นมา หลอกตัวเองเป็นผีหลอก เป็นมายา ให้มันมีตัวตน มันก็มี
ถ้าเราเรียนรู้จริงๆแล้วค่อยๆลดไปทีละขั้นทีละขั้นตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนมา แต่ละสิ่งตั้งแต่หยาบกลางละเอียดไปจนกระทั่ง หมด ก็จะรู้แจ้งเห็นจริงว่าไม่มีเลย จบกิจเป็นอรหันต์ สวรรค์ทั้งหมด มันไม่มีสวรรค์ เป็นของปลอม สวรรค์ไม่มี นรกมันก็ไม่มี ถ้าไม่มีสวรรค์ นรกก็ไม่มี ไม่มีสวรรค์จะขึ้นก็ไม่มีนรกจะตก อยู่ที่เดิมที่กลางๆ ถ้ามีสวรรค์นรกก็มี สวรรค์สูงนรกก็ยิ่งต่ำ สวรรค์สูงขึ้นนรกก็ยิ่งต่ำลงไป เป็นธรรมดาๆเป็นคู่กัน
เพราะฉะนั้นไม่ศึกษาไม่เรียนรู้จรณะ 15 วิชชา 8 แล้วไล่เรียงเลิกไปทีละขั้นทีละขั้น ตั้งแต่ศีลข้อที่ 1 ข้อที่ 2 ข้อที่ 3 เลิกแค่นัยยะของศีลข้อ 1 2 3 นี่จะครบมิติ ของความติดยึดกันบริบูรณ์แล้ว นอกนั้นมันก็จะเป็นส่วนขยายออกไปเท่านั้นเอง จาก 3 เส้า เป็น 4 เป็น 5 เป็น 6 จับคู่กัน สามเส้า จนเป็น 9 ไปขยายออกไปอีกเป็น 11 ก็ไปหา 20 อย่างนี้เป็นต้น ไปอีก ซ้อนเป็นการยกกำลังซับซ้อนไปอีก
อาตมาก็ตั้งใจอยู่ว่าจะอธิบายเรื่องของจรณะ 15 วิชชา 8 นี้ให้ฟังให้ฟังให้ละเอียดๆดี แต่ค่อยๆไปเถอะเดี๋ยวอาตมาก็ถึงจนได้
ก็มาขอโอภาปราศรัยกับ SMS
SMS วันที่ 18-19 ก.ย. 2566
_ประไพ ยาสาร : การตั้งตบะช่วงเข้าพรรษาเป็นการพิสูจน์ตนเอง พิจารณาทบทวนทุกวันแล้วจิตเราจะเข้มแข็งขึ้น กราบสาธุเจ้า
พ่อครูว่า…ตั้งตบะ ตั้งว่าเราจะทำอะไรต่ออะไรขึ้นมา เข้าพรรษาแล้วก็ปฏิบัติตามตบะที่เราตั้ง ก็จะได้พิสูจน์ตนเอง ทบทวนทุกวัน ก็แล้วแต่ ตั้งตบะอะไรล่ะ จะเลิกอันนั้น จะไม่ใช่อันนี้ จะไม่กินอันโน้น หรือจะเอาเข้ามาเยอะๆ ตบะอะไร ควรจะเอาออกนะ ตั้งตบะเอาออก ก็ลองดู ไม่มีรายละเอียดอะไรมาก อาตมาก็รับทราบเท่านั้น
ก็เป็นการฝึกจิตชนิดหนึ่ง ตามภาษาที่บอกมาก็คงจะตั้งเพื่อที่จะลดละ เลิกละ ก็ลองดู
หลวงปู่คงไม่อยู่ค้ำฟ้าสักวันต้องจากพวกเราไป
_นาง จับใจ ธนะโภค : กราบนมัสการพ่อครูฯ ขอน้อมกราบเรียนถามและรายงานการจัดการกิเลส ดังนี้ ค่ะ
ช่วงเช้าของวันหนึ่ง ดิฉันนั่งทำงานอยู่กับหลาน(ลูกของแนน) อยู่ๆ หลานก็บอกกับดิฉัน ว่า ยายครับหลวงปู่(พ่อครูสมณะโพธิรักษ์) “จะละสังขาร” แล้วนะ แล้วยายจะทำยังไง ดิฉันจึงหยุดทบทวนสักครู่ จึงตอบหลานไปว่า ก็ยังมีสมณะ สิกขมาตุ และญาติธรรมชาวอโศก ที่หลวงปู่สอนไว้ทำงานศาสนาแทนหลวงปู่ไงลูก ดิฉันตอบหลานแบบนี้ได้ไหมคะ น้อมกราบขอบพระคุณมาด้วยความเคารพอย่างสูง
พ่อครูว่า…หลานเขาว่าได้หรือไม่ล่ะ มันก็ได้แล้ว ถ้าจะถามว่าดีหรือไม่ถูกหรือไม่ก็ควรจะทำอย่างนี้ ถ้าถามว่าได้หรือไม่ได้คุณก็ทำไปแล้ว ถ้าจะถามว่าถูกหรือเปล่าดีไหมคะอะไรอย่างนั้น ไม่ถามก็ไม่เป็นไรอาตมาก็ตอบก็แล้วกันว่าดีไหมคะถูกไหมคะ
ก็ดีแล้วล่ะถูกแล้วล่ะ หลวงปู่จะอยู่ค้ำฟ้าได้อย่างไรก็ต้องตายสักวันจนได้ เอาล่ะเรื่องนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรก็ดูๆกันไปอาตมาก็ได้แต่พยายามอยู่เพื่อที่จะยังพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้า ว่าการฝึกฝืนการพยายามใช้อิทธิบาท ยินดีในความเป็นอยู่เรียกว่าฉันทะ แล้วก็วิริยะพยายามที่จะทำตนเองให้มีเหตุปัจจัยให้มันทรงอยู่ให้ได้ ไม่ว่ารูป ไม่ว่านามช่วยมันทุกอย่าง วิริยะ มีจิตตะ จิตมันก็มีพลัง จิตมันก็รวมมีกำลังมีจิตเป็นประธานขึ้นมา ยังไม่ตายยังไม่ตายยังไม่ตาย รวมแล้วเป็นวิมังสะ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ก็เป็นแก่นเป็นแกน เป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นองค์ประกอบที่มันได้มรรคได้ผล ช่วยชูให้ชีวิตมันยาวยืนไปอยู่ทุกวันนี้ ก็พอเป็นไป
เป็นแต่เพียงว่าไอ้เจ้าเหตุปัจจัยที่มันไอหนัก แล้วมันมีอะไรต่ออะไรหลายๆอย่างอาตมาเรียกมันว่าน้ำพิษมันออกมาแล้ว มันไอแล้วมันก็จะต้อง โอ้โห รสชาติมันแหม คุณเอ๋ย ไม่รู้ว่ารสอะไร ทั้งที่อาตมามันไม่มีรสอร่อยแล้ว รสพวกนี้มันขืนมันขมมัน ต้องการจะขับออกมันไม่ต้องการจะมีอยู่ในสรีระเราต้องไอแรง มันเป็นอะไรก็แหม อาตมาก็เรียกมันว่ามันเป็นโรควิบาก จนหมอก็ไม่มีทางที่จะแก้ไข เพราะว่าเหตุปัจจัยมันผ่าตัดไม่ได้ ก็ให้มันอยู่ไปอย่างนั้นแล้วมันก็ทำงานของมัน อายุมันก็โตวันโตคืน มันก็ทำงานหนักขึ้นทุกที มันก็ไม่หนักกว่านี้ก็ยังดีแล้ว อาตมาก็นึกแต่ว่าดีนะมันยังไม่หนักมันก็ได้แค่นี้เอาแค่นี้ก็ยังดี ยังพอทน
อาตมานึกถึงคนอื่นๆที่เขามีวิบากหนักกว่าอาตมาเยอะน่าสงสาร อาตมาแค่นี้มันไม่กระไรเท่าไหร่หรอก ก็นึกว่ามันยังดีอยู่กว่าคนซึ่งหนักหนากว่าเราก็เห็นๆอยู่เขาทรมานก็เราเยอะ เราก็อย่างนี้ก็เอาวิบากแค่นี้ก็ไม่ไปท้อแท้อะไร
ศึกษา อาการ ของนาม และรูป 28
_Aik Lim อิ๊ก ลิ้ม : น้อมกราบนมัสการท่านสมณะท่านสิกขมาตุด้วยควาเคารพและศรัทธายิ่งเจ้าค่ะ โยมกราบขอโอกาสเรียนถามว่า
-
“อาการ” ที่เป็นสภาพของรูปนาม คือ เป็นอาการที่เกิดจากปฏิกิริยาร่วมกันของรูปนาม ใช่ไหมเจ้าคะ หรือ”อาการ”เป็นของรูปหรือนามอย่างใดอย่างหนึ่งก็เรียกอาการได้เจ้าคะ
-
โยมเข้าใจว่า “รูป” อย่างเดียวโดดๆไม่น่ามีอาการ โยมเข้าใจถูกต้องไหมเจ้าคะ น้อมกราบนมัสการและกราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…ใช่รูปนามเป็นสภาวะ 2 รูปคือสิ่งที่เป็นอีกอันหนึ่งจะต้องคู่กัน เป็นสิ่งที่ให้เรารู้มัน มันจะต้องเป็นสิ่งที่ถูกรู้ เป็นสิ่งที่ถูกรู้ 2 นามธรรมคือตัวรู้ของคุณ เพราะฉะนั้น 2 อันนี้มันจะต้องมาสัมผัสกัน ถ้าไม่มีอะไรสัมผัส มีแต่นามคือความคิดของคุณ คุณไม่ได้เปิดตาไม่ได้รับเสียง ไม่ได้รับกลิ่นไม่ได้รับรสแตะลิ้น ไม่ได้มีกายสัมผัสภายนอก มีแต่ในใจ มันมีนามแต่หนึ่งเดียว
อันนี้แหละอาตมาอธิบายแล้วอธิบายอีก อธิบายแล้วอธิบายอีกว่ามีแต่นามอย่างเดียวคิดอยู่ในภพอยู่ในภวังค์ของตน มันไม่ใช่ความจริง อธิบายมานานมามากแล้ว คนก็ยังไม่ชัดเจนในตรงนี้
ว่ากายต้องมีภายนอก 5 ทวาร ตา หู จมูก ลิ้น กาย ตากระทบรูปเอออย่างนี้เป็นคู่ สิ่งที่เกิดเป็นความจริง หูกระทบเสียง สิ่งที่เกิดอย่างนี้เป็นความจริง จมูกกระทบกลิ่นอย่างนี้เป็นความจริง ลิ้นกระทบรส กายสัมผัสเสียดสี เย็นร้อนอ่อนแข็ง อย่างนี้เป็นความจริง
แต่ถ้าไม่มีกาย 5 ทวารภายนอก โผฏฐัพพะ กายสัมผัสและเกิดความรับรู้ มีสัมผัสแต่ในภายในโดยไม่เกี่ยวข้องกับภายนอกเลย อันนี้ไม่ใช่ความจริง ความจริงอันนี้แหละพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ใน พรหมชาลสูตร มันเป็นแต่เพียงสัญญาในสัญญา มันไม่มีปัญญาเลย ปัญญาต้องมีภายนอกด้วยอีก
ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ อยู่ในมหาจัตตารีสกสูตรข้อ 258 พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดว่า ปัญญา ปัญญินทรีย์ปัญญาพละ จะเกิดได้ต้องมีสัมมาทิฏฐิ มีธรรมะวิจัยสัมโพชฌงค์และที่สำคัญต้องมี มัคคังคะ คือมีองค์แห่งมรรคทั้งหมดองค์แห่งมรรคทั้งหมดคือมรรคมีองค์ 8 คุณต้องมีทั้งหมดเลย ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิไปยังสัมมาสมาธิ มีครบ
ตัวที่ยืนยันที่ว่าต้องอยู่ในชีวิตธรรมดา คือต้องมีสัมมาสัมปะสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ เป็นชีวิตธรรมดาสามัญ ไม่ใช่คุณไปนั่งหลับตาไม่ได้ทำงานอาชีวะอะไร ไม่ได้มีกัมมันตะอะไร ไม่ใช่ อาจจะมีกัมมันตะอยู่ที่คุณทำใจในใจของคุณอย่างเดียว ไม่มีอาชีพการงานอะไร ไม่ได้สร้างสรรค์อะไร ไม่ได้มีกายกรรม วจีกรรมไม่มี ไม่ใช่ ต้องมี
เพราะฉะนั้นปัญญาไม่เกิด ปัญญินทรีย์ไม่มี ปัญญาผลหรือปัญญาพละไม่มี คุณวิจัยก็วิจัยแต่เพียงในภายใน วิจัยข้างในภายในจิตอย่างเดียวไม่มีข้างนอกผสมเลย อาตมาถึงสรุปว่า การหลับตาปฏิบัติมันโมฆะด้วยประการฉะนี้ มันจะไม่เกิดปัญญาตัวจริง มันจะไม่เกิดความจริงที่จริง ไม่มีปัจจุบันชาติ ไม่มีกามภพ ไม่มีกามาวจร
คนที่ปฏิบัติ ฌาน ของพระพุทธเจ้าเรียกว่า มีปัญญารู้จักกิเลส แล้วก็เผากิเลสได้ ก็ต้องมีตั้งแต่มี กามาวจร มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นเหตุเป็นปัจจัย แล้วคุณก็ล้างกิเลสไปแต่ละเรื่องแต่ละเรื่อง ตามศีลเป็นหลักก็ได้ ศีลข้อ 1 2 3 แล้วคุณก็ลดกิเลสไปตั้งแต่ข้างนอกคือ กาม
กิเลสข้างนอกมันลดมันดับ ไม่เกิดอีกเลย สัมผัสอย่างไรก็ไม่เกิดอีกเลยอยู่เหนือ อุตระ ก็เหลือข้างในกิเลสข้างใน ปรุงแต่งอยู่เป็นภวังค์ เป็นภวภพ เป็นรูปภพอรูปภพ คุณเข้าไปล้างมันอีก ในขณะที่คุณสัมผัสอยู่ข้างนอก ตากระทบรูปอยู่อย่างนี้ ข้างนอกคุณไม่มีหรอกปฏิกิริยาข้างนอกคุณไม่มีเลย เรื่องราวที่จะเกิดกามจากปัจจัยไหนก็หมดแล้วหมดกามภพแล้ว หมดจากสกิทาคามี ไปอยู่อนาคามีข้างในมันอยู่ข้างในแล้ว
ถ้าอย่างนี้แล้วก็ไม่ได้หลับตา ก็มีการกระทบสัมผัส รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) วัตถุทุกอย่างกระแทกกระทุ้งกระเทือนอยู่แต่ข้างนอกคุณไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบรับ ไม่ปรุงแต่งร่วมเลย ไม่มีสังขารภายนอก กายสังขารไม่มี แต่ข้างในรูปสังขารคุณมี ก็ล้างอาการข้างใน ในขณะปฏิบัตินี่แหละมันถึงเป็นความจริง เป็นปัจจุบันชาติ
ไม่ใช่ไปคิดเอา ไอ้ที่เอาแต่คิดนี่แหละ มันเป็นได้คือ เป็นอดีต 18 เป็นอนาคต 44 ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส เพราะฉะนั้นพวกนั่งหลับตาท่านเรียกเต็มๆว่า เจโตสมาธิ ผู้ทำเจโตสมาธินี่คือพวกหลับตาทำ ไม่มีทางบรรลุธรรม เพราะมิจฉาทิฏฐิทั้งหมดทั้ง 62 แล้วพระพุทธเจ้าก็สรุปแล้วว่ามีเท่านี้ อดีตอนาคตมีเท่านี้
แหม มีผู้สรุปมา ในพรหมชาลสูตร เขาใช้นามแฝงของเขาว่า ทำมาด้วยใจ ใต้ร่มโพธิ์ เขียนส่งมาให้อาตมาตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2566 หลายหน้าเหมือนกัน อาตมาจะอ่านให้ฟังตอนนี้ก็ยังเกรงใจ SMS อยู่ ก็ขอ SMS ก่อนก็แล้วกันเดี๋ยวจะอธิบาย ดีเหมือนกันเรื่องนี้ก็เจตนาจะอธิบาย
ตอบคำถาม อาการคือลีลาของมัน กิริยาของมัน อาการของมันกิริยา กิริยาของรูป กิริยาของนาม อาการที่มันไม่นิ่ง อาการนิ่งก็เรียกว่าอาการได้ อาการอยู่นิ่งๆ คุณก็รู้ เออ นี่มันเคลื่ออนที่แล้ว มันเคลื่อนที่เป็นอาการอย่างนี้แล้ว เกิดมันเกี่ยวข้องกับอันอื่นสัมผัสเป็น 2 3 4 ปรุงแต่งเป็นเรื่องอีก คุณก็ต้องรู้อาการที่มันเกิดปรุงแต่งกันขึ้น จากนิ่งๆ 1 ขึ้นเป็น 2 ขึ้นเป็น 3 4 5 อาการเหล่านั้นเป็นนามธรรมทั้งสิ้น แล้วคุณก็ต้องรู้สิ่งที่มันเกิดอาการนั้น มันก็ถูกรู้เป็นรูป อาการที่มันเกิดให้เราสัมผัสเอานามธรรมเป็นตัวสัมผัสรู้ ไอ้รู้นั้นเป็นนาม เป็นสัญญากำหนดรู้ ไอ้ที่ถูกรู้นั้นเป็นรูป ต้องมีอย่างนี้ มันมีแต่รูปมันไม่มีนามไปแตะไปเกี่ยวข้องเลย ไปศึกษาอะไรมันไม่ได้ มันเป็นธรรมชาติของมัน มันก็อยู่ของมัน เมื่อเราไปเกี่ยวข้องกับมันเมื่อไหร่เราก็รับรู้แล้วก็เรียนรู้กับมันได้
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ไม่ได้สัมผัสเลยไม่เกี่ยวข้องเลย คุณจะไปเอามันมาทำไม ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น ดาวมันวิ่งของมันอยู่โน่นเป็นล้านๆปี แล้วเราก็ไม่เคยเกี่ยวข้อง แล้วก็ไปเอามันมาวิจัยอย่างโน้นอย่างนี้ไปเกี่ยวไปข้องกับมันมันมีผลส่งต่อเราอย่างนู้นอย่างนี้ ก็ดีอยู่ ก็รู้ว่าเราก็มีปฏิกิริยาต่อกัน มันมีประโยชน์หรือมีโทษอะไร ก็ดี แต่ว่าเราจะไปยุ่งอะไรกับมันมาก ชีวิตจริงๆเราก็อยู่ตรงนี้ จะนานเท่าไหร่ ดาวมันอยู่นานกว่าเราหลายล้านปี ก็ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน มันก็ไม่เป็นทุกข์เป็นสุขอะไร ดาวไม่เป็นทุกข์เป็นสุข แต่ตัวคนนี่แหละเป็นทุกข์เป็นสุข
แล้วตัวคนนี้แหละจะต้องรู้นิพพานให้ได้ หมดสุขหมดทุกข์แล้วคุณจะอยู่หรือไม่อยู่ มีจิตนิยามมีชีวะ คุณเลิกได้เป็นอรหันต์คุณมีภูมิทำถึงขั้นอรหัตผล คุณก็เลิกไปเลย มันมีที่จบสำหรับธรรมะพระพุทธเจ้า แต่คนที่ไม่รู้จักกรอบของความจบ ก็ไม่มีการจบกิจ จบทำ จบการกระทำ จบงาน
ฉะนั้นย่อลงมาถึงขั้น อาการ ลิงค นิมิต นี่แหละเป็น 3 สภาพที่คุณจะต้องรู้สรุปลงเป็นนามธรรมที่ละเอียดที่สุดแล้ว คืออาการกับนิมิต
อาการก็เป็นสิ่งที่รู้ บางเบาหรือเป็น Dynamic อาการมันจะต้องเคลื่อน ส่วนนิมิตนั้นมันไม่เคลื่อน มันเป็น Static เป็นตัวคู่กัน มันต่างกันอย่างที่มันมีนัยยะต่าง และมันไปต่างกับอะไรอื่นๆ มันก็ไปต่างกับอันอื่นอีก คุณก็รู้ไปเรียนรู้ไป อย่างนี้เรียกว่ารู้จักอาการ
รูปคือสิ่งที่เป็น Static นิมิต ถ้าอาการมันจะเคลื่อน นิมิตมันก็เคลื่อนนิ่งๆ รวมแล้วมันเป็นรูปนี้ เป็นตัวนี้ รูปอย่างเดียวมันไม่มีอาการก็ได้ แต่มันก็คืออันนั้นอันเดียวกันกับอาการนั่นแหละ นิมิตตัวนี้ มันมีอยู่ในมัน ถ้าคุณไม่ละเอียดพอ เช่น ก้อนหินก้อนนี้(ยกก้อนหิน) คุณนึกว่าตัวมันเองมีอาการเคลื่อนไหวไหม คุณเดา คุณไม่เห็นไม่รู้ว่ามันมีอาการเคลื่อนยังไงหรอกแต่มันก็เคลื่อนเพราะมันก็ไม่นิ่งแน่นอน มันเสื่อมไปเป็นธรรมดาของมันหรือมันจะปรุงเนื้อตัวของมันขึ้นมาก็ไม่รู้นะ สักวันหนึ่งมันจะโตกว่านี้ไหมมันโตก็มีหินต่างๆมันก็มีพลังงานในตัวของมัน เป็นหินที่โตขึ้นไปได้
เรื่องรูปเรื่องนามสูงสุดแล้วย่อเข้าไป คุณก็เอาเรื่องรูปนามที่ใกล้ตัวที่เกิดทุกข์ให้มาเรียนรู้ไม่ต้องไปรู้รายละเอียด โดยไม่เกี่ยวข้องกับเราเลย จนกระทั่งไปถึงดวงดาวพระอาทิตย์มันเปลือง มันไกลตัวเกินไปสรุปมาให้ถูกสรุปเข้าเป้า
_สู่แดนธรรม… เรื่องรูปที่จะศึกษาให้ถึงนิพพานนั้นจะต้องเป็นรูปที่อย่างที่พ่อท่านให้ความเห็นว่ามันคือกาย รูป ที่ไม่มีอาการเลยมันไม่เกี่ยวกับเรา ถ้าจะพิจารณาว่ารู้รูปไม่เที่ยงนั้นจะต้องมีนามไปสัมพันธ์ด้วย
พ่อครูว่า… เพราะฉะนั้นรูปที่เรียน เราแค่รู้รูปอื่นที่มันไม่กระดิกหรือมันไม่เกี่ยวกับเราเลย มีมหาภูตรูป 4 ดินน้ำไฟลมที่ท่านย่อว่าอย่างสรุปหยาบที่สุดหรือครบที่สุดแล้วดินน้ำไฟลม มหาภูตรูป 4 นอกนั้นเป็นอุปาทายรูปอีก 24 ให้เรียนรู้รูป 24 นี้ อาตมาก็ยังอธิบายอยู่ตอนนี้ยังไม่ได้โอกาสไม่ได้ฤกษ์งามยามดีที่จะอธิบาย เคยอธิบายไปแล้วในอุปาทายรูป 24
ถ้ารู้อุปปาทายรูป24 ครบเข้าใจแม้คุณจะท่องไม่ได้แต่คุณเข้าใจมันหมดด้วยกระบวนการ โดยลีลาเกี่ยวข้องสัมผัสมันหมดแล้วคุณท่องไม่ได้คุณจำภาษาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร คุณรู้กระบวนการกายในกายเป็นอยู่ในอุปาทายรูปที่ 24 ตั้งแต่ มหาภูตรูป 4
อุปาทายรูป 24
ก. ปสาทรูป 5
จักขุ (ตา)
โสตะ (หู)
ฆานะ (จมูก)
ชิวหา (ลิ้น)
กายา (กาย)
ข. โคจรรูป, วิสัยรูป 4
รูปะ (รูป)
สัททะ (เสียง)
คันธะ (กลิ่น)
รสะ (รส)
โผฏฐัพพะ (สัมผัส)
พ่อครูว่า… กายกับโผฏฐัพพะ ถือว่าเป็นอันเดียวกัน 5 คู่ก็เลยเหลือเป็น 9
ค. ภาวรูป 2
-
อิตถัตตภาวะ, อิตถินทรีย์ (ญ)
-
ปุริสสัตตภาวะ, ปุริสสินทรีย์ (ช)
ต้องรู้ภาวะ 2 นี้ให้ดี รวมแล้วมันเป็นรูปที่อยู่ในเรียกว่ารวมๆว่า หทยรูป รูปทางนามธรรม รูปทางใจ มี 3 เส้า ห ท ย ไม่ขอลงถึงพยัญชนะ ห จริง ท แข็งแรง แกล้วกล้า มีฤทธิ์มีแรงทั้งหมด พยัญชนะตัวแรกของเศษวรรค รวม 3 อันนี้เป็นพลังงานที่เรียกว่าจิตวิญญาณ เรียกว่าหทัย มันไม่ได้มีที่ไหนในร่างกาย แต่มันเกิดเป็นองค์รวมสัมผัสปรุงแต่งเป็นเรื่องราวขึ้นมาตรงไหน ตรงนั้นคือ หทย ตรงนั้นมันไม่ได้อยู่กับพี่มันไม่ได้อยู่จำเพาะไม่ยึดที่ จากหทยรูปก็เป็นชีวิตรูป
ง. หทยรูป๑ = 12.หทัยรูป ที่ตั้งการเกิดอาการของรูป ได้ดับพลังงานแห่งชีวิต
จ. ชีวิตรูป๑ = 13.ชีวิตินทรีย์ รู้ความมีชีวิตอยู่ของกิเลส รูปที่มันมีชีวิตพลังงานที่มันมีชีวิตินทรีย์ เป็นพลังงานของชีวิตอยู่นะมันไม่ ถ้าพลังงานชีวิตปรับตัวลงมาเป็นพืชมันก็เจริญเป็นแค่ พีชนิยาม ให้มันเป็นอุตุมันก็กลายเป็น มหาภูตรูป ไม่เป็นชีวะแต่เป็นพลังงานของดินน้ำไฟลม นี่เราก็จะต้องเข้าใจอาการจริงของมัน สภาวะจริงของมัน ตั้งแต่มหาภูตรูปหรืออุตุนิยาม จนพีชะ มนุษย์พืช จนจิตวิญญาณจิตนิยาม อย่างนี้เป็นต้น เมื่อเรียนรู้อันนี้แล้ว ท่านให้เรียนรู้ตรงจุดสำคัญคือ อาหารรูป
ฉ. อาหารรูป๑ = 14.กวฬิงการาหารจนถึงวิญญาณาหาร โดยเฉพาะอาหารที่เป็นคำข้าว กินเข้าไปเคี้ยวเข้าปาก ถ้าอาหารภายนอกไม่เคี้ยวเข้าปากไม่ครบลิ้น ไอ้ลิ้นนี่แหละตัวร้าย เรียนรู้ตัวลิ้น ได้ มันจะรู้รูปรสกลิ่นสิ่งสัมผัสที่ติดยึดมันสำคัญมาก ก็เราจะรู้ได้จาก กวฬิงการาหาร อาหารคำข้าวที่เคี้ยวกินเข้าไปเคี้ยวกลืนเข้าไปสัมผัสกับลิ้น หมากพลู ก็ลิ้น ก็สำคัญ แล้วคุณไม่ได้กินกลืนเข้าไปด้วยซ้ำไป มันไม่ใช่อาหารจริงด้วยซ้ำไป หมากพลูไม่ได้กินกลืนแต่คุณติดรสแท้ๆเลยรูปรสกินสิ่งสัมผัสของมันจริงๆเลย คุณไม่ได้เรียนรู้ก็ไม่ได้รู้ว่ามันเป็นกิเลสเหมือนสายมหาบัวติดกินหมากกันปากแดง เพราะไม่ได้เรียนรู้สัจธรรมของพระพุทธเจ้า ก็พยายามบอกกันอยู่ ก็ไม่รู้ว่า ออกอากาศอยู่ทุกวันก็อยากให้ดูนะ
อาตมาพยายามอดทนฝืนที่จะจ่ายเงินค่าดาวเทียม เพื่อให้ท่านทั้งหลายสะดวก ได้ดู ได้รู้ ได้เห็น แหม นี่มันก็จะสุดทนแล้ว อีกหน่อยก็ไม่เอาละ ก็เอาแต่สื่ออื่นไม่ต้องสื่อดาวเทียมที่มันค่าใช้จ่ายสูง เดือนละ 4 แสนกว่าบาท 5แสนบาท แล้วก็อุปกรณ์อีกหลายอย่าง เอาแต่เครื่องมือเดี๋ยวนี้เขามีอินเตอร์เน็ต ไม่ต้องเป็นถึงขนาด อันนู้นก็เหลือแหล่แล้ว ตอนนี้ก็ยังเอา ก็สงสาร ก็ให้ประโยชน์แก่พวกนี้แหละ เขาจะได้รับบ้างหรืออาตมาเห็นแก่คนแก่ เหมือนอาตมาใช้ไม่เป็นไอ้ตัวพวกนี้ ก็เลยต้องอาศัยเปิดดู เอารีโมทกดไปมายังพอทำเนา อยู่ในมือถือกดไม่ได้ไม่รู้เรื่อง ไปนั่งจำรหัสมันอีก อาตมาก็เลยไม่ไหว ก็ไม่เคยใช้ อาตมาทำไม่เป็น ทำเขียนหนังสือได้นี่ก็เก่งแล้วทุกวันนี้
ช. ปริเฉทรูป๑ = 15.อากาสธาตุ=รูปที่กำหนดจะให้ว่าง
ซ. วิญญัติรูป 2 = 16.กายวิญญัติ 17.วจีวิญญัติ ไหวให้รู้
ฌ. วิการรูป = 18.ลหุตา 19.มุทุตา 20.กัมมัญญา
ญ. ลักขณรูป 4 = 21.อุปจยะ ความเกิดอยู่เจริญขึ้นไป
22.สันตติ ความเชื่อมต่อสืบเนื่อง
23.ชรตา เคลื่อนไปสู่ความเสื่อม
24.อนิจจตา เคลื่อนไปเสื่อม>เจริญ
สภาวะของปัญญา ฌาน และบุญ
_วิเชียร จิระเวชบวรกิจ : กราบนมัสการท่านครับ ปัญญา ฌานและบุญก็คือ อุณหธาตุ ที่ใช้เผากิเลสได้เช่นเดียวกันได้ไหมครับ
พ่อครูว่า…ได้ จะบอกว่าปัญญาเผากิเลสไม่ได้ เพราะปัญญาคือฌาน ฌานคือปัญญา มันเป็นสิริมหามายา มันเป็นคู่ คู่ที่ทำงานด้วยกัน เมื่อทำงานสำเร็จเราเรียกว่า บุญ เผากิเลสสำเร็จเรียกว่าบุญ
เพราะฉะนั้นองค์รวมของมัน ปัญญา ฌาน และบุญไม่แยกกัน 3 เส้า ฌานคือ เริ่มทำงานขึ้นมาให้พลังงานทางจิตมันมีพลังงานที่จะมีฤทธิ์มีธรรมฤทธิ์ที่มันมีความรู้มีปัญญาในตัวของมัน และมันก็มีฤทธิ์ฤทธิ์นั่นก็คือธรรมฤทธิ์ของปัญญา เผากิเลสได้
มันคือตัววิชชาคือฌานคือปัญญาคือความรู้ ความรู้เข้าไปไล่ตัวโง่ กิเลสคือโง่ ปัญญา หรือฌาน ที่มีปัญญาในตัวหรือเรียกเต็มรูปว่าวิชชา มันคือตัวฉลาด ฉลาดโลกุตระ ไม่ใช่ฉลาด เฉโก
ฉลาดมันมีฤทธิ์เข้าไปไล่โง่ ย่อเข้ามาหาภาษาไทย ฉลาดกับโง่ ถ้าฉลาดมาโง่หนี ถ้าโง่อยู่ฉลาดไม่มี ถ้าโง่มันมีความอ่อนแรงก็ฉลาดก็มาเพิ่ม ถ้าโง่มันอ่อนแรงมากฉลาดก็เข้ามามาก ถ้าฉลาดมันอ่อนแรงโง่ก็เข้ามา ฉลาดอ่อนแรงมากโง่ก็เข้ามามาก โง่เข้ามาเต็มรูปฉลาดมีไหม ไม่มี มันก็หมดไป นี่ก็ใช้สื่อภาษาคำพูด อธิบายสภาวะมันเป็นอย่างนี้ คุณก็ไปดูสภาวะตัวเองสิ
_สู่แดนธรรม… พ่อท่านเคยบอกว่าคนเราย่อมฉลาดเท่าที่มีความโง่
พ่อครูว่า… ใช่ อาตมาก็สรุปว่าคนเราก็ฉลาดเท่าที่เราโง่ และโง่เท่าที่เราฉลาด อันนี้ก็พูดมานานแล้ว ตรงนี้ก็ขอผ่าน
ปัญญา คือภาษาชื่อรวม แยกออกมาจากฌานเท่านั้น ส่วนบุญนั่นคือผลสำเร็จของการทำลาย
ปุญญะ ท่านผู้รู้เดิมคือท่านธรรมปาละท่านแปลไว้ว่าปุญญะ สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ พยัญชนะบาลี
ปุญญะ แปลว่าเรื่องการชำระ หรือ ปุนนะ กำจัดกิเลสออกจากสันดาน สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ จนจิตสะอาด 3 คำนี้อธิบายลักษณะของความสำเร็จของบุญ มันต้องมีการชำระจากสันดาน ปุนนะ หรือปุญญะ หรือปุนาติ มันเป็นการทำลาย ปุนาติ ทำลาย ทำลาย กิเลสเลือก กิเลสคัด กิเลสออกมาจากสันดาน แล้วทำให้กิเลสมันตายจนสะอาดหมดจด วิโสเทติ นี่ ได้ความมาจากคำว่า สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ
บุญ คือ การชำระสันดาน ชำระกิเลสในสันดาน ชำระสันดานก็ได้สรุปรวม แต่ตัวจริงก็คือกิเลสในสันดาน
สันดาน มาจากรากศัพท์คำว่า สันตะ สันตานัง สันตะ ความสงบนี่ก็ต้องอธิบายไปถึงพยัญชนะอีก เอาล่ะไม่อธิบายต่อ
ทำให้เกิดความสงบ ถ้ามันไม่สงบ มันยืดยาดออกมา มันก็มีตัวอะไรขึ้นมา มันก็กลายเป็นตัว ไม่ สันติ สันตะ จนกระทั่งยืดยาวเป็น สันตานัง เป็นสันดาน
นี่อาตมาอธิบายเป็นสภาวธรรม ไม่ได้อยู่ใน ไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์ ตามที่สมเด็จพุทธโฆษาจารย์ ท่านยึดถือนักหนา ถ้าผิดไปจากโครงสร้างของ ไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์ แล้วถือว่ามันไม่ถูกต้อง อาตมาก็บอกว่าอาตมาเลิกแล้วเรื่องอย่างนั้น มันทำให้หลงในพยัญชนะ หลงในภาษา หลงการปรุงแต่งทางตรรกะ เราเข้าหาสภาวะ จัดการสภาวะ เรื่องอย่างนั้นอาตมาก็เคยหลง แต่เลิกแล้วเดี๋ยวนี้มาสรุปลงเป็นฉันทลักษณ์
ฉันทลักษณ์ก็คือ รวบรวมเอาพยัญชนะสรุปรวมเป็นสั้นๆสั้นๆ มีการไพเราะ มีแผนผังอะไรอยู่ เพราะฉะนั้นอาตมาอธิบาย ไวยากรณะ วจีวิภาค วากยสัมพันธ์ ฉันทลักษณ์ อาตมาเหลือแต่ฉันทลักษณ์ เอาอาศัยใช้ 3 ตัวนี้อาตมาเบื่อเต็มทีแล้ว แต่ท่านมหาประยุทธ์ท่านยังเห็นความสำคัญ ท่านยังไม่เบื่อ ท่านยังไม่สรุปรวมลงไปหาเนื้อหา ก็ว่าไป ท่านจะฟังอาตมาพูด ท่านจะเห็นยังไงเข้าใจยังไงก็ไม่รู้ล่ะ อาตมาก็มีความปรารถนาดี อย่างเดียว
เพราะอาตมาเชื่อมั่นว่า ขออภัยนะ ขออภัยท่านประยุทธ์ด้วย อาตมาเชื่อมั่นว่าอาตมาบรรลุธรรม ไม่มีกิเลส แต่อาตมาเชื่อจริงๆอีกว่า ท่านยังไม่บรรลุธรรม ท่านยังมีกิเลสอยู่ นี่อาตมาเห็นอย่างนี้ ผิดถูกอาตมารับผิดชอบคนเดียว อาตมาเห็นอย่างนั้น อาตมาก็เลยปรารถนาดีอยากให้ท่านหมด เพราะท่านมีประโยชน์ ถ้าท่านบรรลุ ถ้าท่านเป็นคนที่รู้ถูกต้องอีก โอ้โห..ลูกศิษย์ท่านเยอะนะ แล้วมีพลังอิทธิพลอยู่ในประเทศอยู่ในศาสนาด้วย มันเป็นประโยชน์ไหมล่ะ เป็น
เห็นไหมอาตมาไม่ได้รังเกียจ ไม่ได้อยากให้ท่านโง่อยู่อย่างเก่า ขออภัย อยากให้ท่านฉลาดท่านเกิดรอบรู้ ฉฬายตนะ เข้าใจสภาวะกิเลสและลดละให้ได้ รู้จักรายละเอียดของสัจธรรมของมันที่มันปรุงแต่งกันอยู่ แหม มันก็อย่างว่ามันสุดวิสัยจริงๆเลย มันก็ได้แค่นี้ เอา ไป ต่อๆไป ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น
_คอยใคร : กราบเคารพพ่อครูครับ เมื่อวานฟังพ่อครูพูดเรื่อง แต่งกาพย์ โคลง กลอน และเพลงที่แต่งแรกๆ ฟังยาก ฟังแล้วต้องมาแปลอีก ฟังยากต้องมาแก้ให้ฟังง่าย แต่ผมฟังเพลง “มาเถอะมา” ของวงฆราวาสที่พี่แป้งร้อง ผมฟังครั้งแรกก็ร้องติดปากง่ายเลยครับ เพลงพ่อครูแรกๆ นี่จำยากจริงๆครับ แต่เพลง “มาเถอะมา” ร้องง่ายจำง่ายมากครับ และก็ตรงกับชีวิตจริงชาวโศกมากครับ ใครได้ฟังจะมองภาพชีวิตชาวอโศกง่ายๆ เลยครับ ที่บอกมาทั้งหมดนี้อยากจะบอกว่า อยากให้เปิดเพลง “มาเถอะมา” บ่อยๆ ครับ หรือไปเล่นในคอนเสิร์ตเพลงพ่อครูด้วยก็จะดีมากครับ ขอมาแสดงความเห็นเท่านี้ครับ ขอให้พ่อครูแข็งแรงๆ ครับ
พ่อครูว่า…เหมือนเพลงนี้ไม่ได้บรรจุลงในคอนเสิร์ต เอาเถอะน่า เราถือว่าเรายังไม่มีวาสนา (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะเดินดิน… เพลงสู่แดนธรรม ค่อนข้างจะยาว เป็นเพลงเชิญชวนคนใหม่ๆมาดูบ้านเราว่ามีอะไรบ้าง ฟังแล้วเข้าใจง่าย แต่เพลงพ่อครูนี้ภาษาต้องตีความยาก เพลง คนใดใครดลข้นใจไร้จนระอาฯ เพลงตะวันทอฟ้า หรือ ขันติต้องไม่จาง
พ่อครูว่า…เพลงแสงธรรมต้องทอบวร ยังเข้าใจได้ง่ายกว่าตะวันทอฟ้า
ทำไมพ่อครูอายุมากแล้วต้องนอนมากด้วย
_ช่อทิพ หนูทอง : หนังสือศัพท์อภิธานอโศก ตัวหนังสือเล็กมาก สมณะ สิกขมาตุ ญาติธรรม ใส่แว่นตาแล้ว ยังมองไม่เห็นเลย เรียนถามพ่อครูว่า จะมีการทำหนังสือส่งเสียงของเล่มนี้ไหมคะ?
พ่อครูว่า…ก็ซื้อแว่นขยายอันนึงสิ ก็ไม่รู้จะทำหนังสือส่งเสียงหรือไม่ อาตมาขออภัยเถอะ อาตมาพูดความจริงว่าอาตมาไม่ได้ตรวจทาน หนังสืออภิธานศัพท์นี้ไม่ได้ตรวจทาน อาตมาถือว่าไปคัดมาจากที่อาตมาพูดไว้ๆ คัดมา ก็คิดว่าไม่มีผิดอะไรมากมาย แต่มันอาจจะไม่สมบูรณ์ ก็เลยไม่ได้ตรวจทาน มันไม่มีเวลาก็เป็นการแก้ตัวพูดว่าไม่มีเวลา เวลานอนมันมากทุกวันนี้ ต้องไปนอนมาก
เคยเล่าแล้วเรื่องนี้คืออาตมานอนมาก อาตมาเคยมองพ่อของท่านซาบซึ้ง สิริเตโช ที่ห้องภาพสุวรรณ อาตมามาเจอตอนบ่ายก็นอนหลับปุ๋ยหลายชั่วโมง ตอนนั้นพ่อของท่านก็คง 80 กว่า ก็นอน ตอนนั้นเราก็เคร่งไม่นอนกลางวันเลย ตอนนั้นยังหนุ่มแน่น จนมาถึงอายุตัวเอง 80 บ้าง โอ้โห มันต้องอาศัยพักผ่อน มันต้องให้มันนะ ต้องพักต้องเพียรอย่างนี้เอง เราต้องมานอนมากไม่ใช่เล่น ตอนอายุ 80 ปี ถึงได้เข้าใจ เรานี่ก็ไม่รู้จักสังขารนะ ก็ไปเพ่งโทษเขาตอนโน้น นี่แหละสิ่งที่เราจะต้องศึกษาเรียนรู้ว่าเราก็เกิดอัตตามานะ ไปดูถูกดูแคลนคนอื่นเขา ไปรู้สึกว่าทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไมเอาแต่นอน ที่แท้มองเหตุปัจจัยของมันเป็นอย่างนั้นแล้ว มันก็ถึงวาระอย่างนั้น
เพราะงั้นทุกวันนี้อาตมา แม้แต่ผู้อยู่ใกล้ต้องบังคับให้นอนด้วยนะ วันๆหนึ่งต้องนอนกลางวัน นอนน้อยก็ว่าทำไมรีบตื่น นอนไม่ครบเกณฑ์ของเขา เขาก็ว่าเอา คนดูแลกันหลายคน ทั้งพยาบาล ทั้งปัจฉาช่วยกัน ก็ขอบคุณนะแต่ละคนแต่ละคนช่วย อาตมาก็พอเป็นพอไปว่ากันไป นี่คือชีวิตจริงๆมันเป็นอย่างนี้ ทีนี้ต่อมาอันนี้ก็คงจะต้องอธิบายกันพอสม
หมดนิวรณ์ 5 ได้ทั้งตอนตื่นตอนหลับก็คืออรหันต์
_มีญาติธรรมท่านหนึ่ง ได้เขียนเล่าสภาวธรรมที่เกิด ในขณะทั้งนั่งหลับตาและลืมตาทำการงานอยู่ จิตก็ไม่มีนิวรณ์ทั้ง 5 ได้
พ่อครูว่า…อันไหนทำง่ายกว่ากัน นั่งหลับตาไม่มีนิวรณ์กับลืมตาทำงานทำการอยู่ อันไหนทำง่ายกว่ากัน … หลับตาทำง่ายกว่า นั่นก็คือความคิดของคน ถ้าคนที่ฝึกมาตามจรณะ 15 วิชชา 8 ลืมตาทำงานนี่แล้วไม่มีนิวรณ์ ง๊ายง่าย ไปหลับตาให้ไม่มีนิวรณ์นั้นยาก เพราะสัญญามันเล่นงาน สัญญามันขึ้นมาเล่นงาน สัญญานี้มันฟุ้งไปในอดีตในอนาคตโดยเฉพาะอดีตมันเล่นงาน เคยมีอย่างนู้นอย่างนี้ก็เผลอเพลินไปเลย
ถ้าทำงานก็เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นปัจจุบัน มันไม่มีนิวรณ์ง่ายนิวรณ์ไม่เกิดง่าย นี่มันสลับกัน คนที่ยังไม่ได้ขั้นนี้ก็จะต้องนั่งก่อน นั่งแล้วก็ค่อยมาทำงานตื่น ตื่นได้เก่งแล้วไม่ได้นั่ง ถ้าเรื้อ อาตมาเคยนั่งได้ง่าย เดี๋ยวนี้มาทำงานอย่างนี้มันเป็นธรรมชาติ เพราะฉะนั้นไปนั่งอยู่ในภพอยู่ในภวังค์ให้มันอยู่นิ่ง มันนิ่งยากกว่า ถ้าเผื่อว่าไปเป็นอย่างนั้นแล้ว ฟุ้งคิดไป ถ้าไม่กำราบให้หยุดให้หลับ มันไม่หลับมันจะคิดไป ปรุงไปเพราะมันเบา ไปได้นาน บางทีไปทั้งคืนแล้วไม่ต้องหลับต้องนอน ก็ยุ่ง
-
ขณะนั่งสมาธิหลับตา แล้วก็ยังรับรู้ลมหายใจ รับรู้เสียงที่กระทบหู รับรู้ร่างกายตนเองว่ามีความปวดเมื่อยหรือไม่อย่างไร และเมื่อรู้สึกเมื่อยอยากขยับขา แต่ก็วางใจมันไป สักพักอาการเมื่อยก็หายไปเอง ก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง แล้วเมื่อเอาจิตไปคิดปรุงเรื่องธรรมะข้อนิวรณ์ทั้ง 5 อันประกอบด้วย กาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา..พบว่าจิตตนเองไม่มีนิวรณ์ทั้ง 5 ข้อเลย
-
และเมื่อลองสังเกตตัวเองตอนทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ตอนขับรถ ก็พบว่าขณะที่ขับรถ เราก็ถือพวงมาลัยรถ เหยียบคันเร่ง เหยียบเบรก ใส่เกียร์ ตามปกติ แล้วเราก็สังเกตว่านิวรณ์ 5 เราก็ไม่มีเช่นกันในขณะลืมตาขับรถอยู่ รู้สึกว่าสังเกตเช่นนี้จิตเราก็ตื่นรู้ดี มีปีติ มีสุข จิตเป็นหนึ่งอยู่ตลอดการทำงานนั้น