660922 สัทธรรม 7 ที่จะทำให้เกิด ฌานของพุทธ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1ej1kzUuk3qcTS5h_CauSKcLqCD6Myu04/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1HKjKMNC4mW_27POxJTxyyqatjFy2ia27/view?usp=sharing
และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660922-108-1–7-e29l4h6
ดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/100078722032092/videos/1100906457559574
และ https://youtu.be/u4zoknKD5gQ
สมณะฟ้าไท… วันนี้วันศุกร์ที่ 22 กันยายน 2566 ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
ตอนนี้เหตุการณ์ของสังคมของโลกหรือสังคมการเมืองของไทยก็ตาม ตอนที่ลุงตู่จะขึ้นมาเราก็เห็นความเลวร้ายของนักการเมืองคอรัปชั่นต่างๆ นานา เยอะแยะมากมาย คนเราต้องไล่เปิดเปิงไป 4-5 รัฐบาล พอลุงตู่มา 9 ปี ก็เกิดสิ่งที่ดีเยอะแยะมากมาย มียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ดีมากทำให้นักการเมืองดิ้นไม่ออก อย่างเช่นโครงการแลนด์บริดจ์ กระทรวงคมนาคมจะตัดออก ใช้งบประมาณ ประมาณ 500,000 ล้าน เขาจะเอามาใช้กับเงินดิจิตอล ประชาชนก็ไม่ยอมต่อต้านกันในโซเชียล เขาบอกว่าฝ่ายค้านโซเชียลชนะ เป็นข้อเปรียบเทียบสิ่งดีเกิดขึ้น ตอนนี้ก็มีสิ่งไม่ดีมาเปรียบเทียบ ทำให้คนเห็นความดีของลุงตู่ แค่การไปต่างประเทศ ลุงตู่นั่งเครื่องบินไม่เหมาลำ รับประทานอาหารข้าวกล่อง บางคนคิดถึงลุงตู่แล้วน้ำตาไหลเลย แต่เศรษฐา เขาพยายามทำกินข้าวผัดกระเพรา แต่เหมาการเดินทางไปเท่าไหร่ การเดินจากที่พักไปที่ประชุมนั้น ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะหน่วยรักษาความปลอดภัย เขาต้องมีเส้นทางที่กำหนด หากออกนอกเส้นทางจะลำบาก
ข่าวช่อง Top News พอออกทีวีดิจิตอล 18 ก็ Rating สูงลิ่ว
คำผกา เขาโวยวายว่า Rating เขาตก ไปโวยวายก็มีคนบอกว่าเขาไปดูช่อง Top News เพราะรายงานตรงความจริง ทั้งเสื้อแดง เสื้อเหลือง ดู Top News ทำให้เห็นว่าสัจธรรมไม่มีช่องเดียวคนก็มาเชื่อถือ
ปฏิบัติจรณะ 15 ต้องอยู่ในชีวิตประจำวัน
พ่อครูว่า… เราก็ศึกษาธรรมะด้วยการปฏิบัติธรรม ด้วยการประพฤติ ชีวิต อาตมาว่าก็ไม่มีอะไรดีไปกว่า ชีวิตเราจะไปตกอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ จะไปตกอยู่ในสังคมไหนก็ตาม คุณก็ได้ปฏิบัติธรรม โดยมีหลักปฏิบัติของเราชัดเจน มีศีล มีอปัณณกปฏิปทา 3 เป็นต้น
พาปฏิบัติ เกิดสัทธรรม 7 ไป เกิดฌานไป ในชีวิตประจำวันที่ไหนๆๆๆ ก็ปฏิบัติได้ ปฏิบัติให้เกิดฌาน ให้เกิดสั่งสมจิตวิญญาณ เป็นสมาหิโต เป็นสมาธิของพระพุทธเจ้า ถ้าผู้ใดเข้าใจสัมมาทิฏฐิแล้วมีจรณะ 15 วิชชชา 8 ปฏิบัติธรรมไม่ต้องไปเข้าไปออก ไม่ต้องไปจัดสถานที่ ไปเต๊ะท่านั่งตัวตรงดำรงสติคงมั่นอะไร ไม่ต้อง ไม่ต้องเลย
ปฏิบัติตามจรณะ 15 วิชชา 8 นี้ครบแล้ว พระพุทธเจ้าท่านรวมเอาไว้ตรงนี้สมบูรณ์แบบ สรุปไว้เต็มที่แล้ว ขยายออกไปได้เป็นธรรมะทั้งหมด พระพุทธเจ้าท่านทรงประกาศไว้ก็คือ ออกจากพุทธคุณ จรณะ 15 วิชชา 8 นี่เอง ซึ่งพวกเราก็ชัดเจน มีศีลเป็นหัวข้อหลัก มี อปัณณกปฏิปทา 3 เป็นข้อประพฤติปฏิบัติที่ไม่ผิดพุทธ อยู่ประจำตัว สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นผู้ตื่นอยู่ จะกินจะใช้อะไร โภชนะ โภชเน ข้อปฏิบัติธรรมจากการกินการใช้นี่แหละในชีวิต รู้จักกิเลสตัดกิเลส กิเลสลดจนเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เป็น อรหันต์ แล้วสูงกว่าอรหันต์ขึ้นไปอีก จะเป็นอรหันต์ลำดับที่ 2 3 4 5 ก็แล้วแต่ใครบรรลุแล้ว เราจะเข้าใจ ว่า อ้อ! บรรลุคือสามารถที่จะจบกิจ จะตายลงเมื่อใด กายแตกตายแล้ว เราก็ตายอย่าง สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน ตายด้วยนิพพาน 3 เราก็หมดอัตภาพ จิตวิญญาณ จิตนิยามของเราก็สลายแยกธาตุไปเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ไปจบ เลิกเลย เลิกเป็นอวสาน รอบ ปริโยสาน อย่างรอบถ้วน อันเป็นที่ ถูกต้องดีงาม (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
ที่อาตมาเอาพยัญชนะพูดไปแล้วพวกเราก็ตรวจสอบ ตามความเป็นจริงว่าเราฟังแล้วเข้าใจคำนั้นคำนี้แล้ว สภาวธรรมตรงตามแต่ละคำแต่ละคำ ที่อาตมาพูดไป มีสภาวะเป็นคู่ จากพยัญชนะนั้น ก็มีสภาวะเราทำได้หรือไม่ สมบูรณ์แบบหรือไม่ สมบูรณ์แบบ เราก็สามารถบรรลุธรรมแน่นอน โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์
ตอนนี้ก็มาเข้าสู่ SMS ก่อน
วันพุธที่ 20 ก.ย. พุทธศาสนาตามภูมิ
_N N . ดิฉันเคยเขียนกลอนเมื่ออายุประมาณอายุ 20 ปี จากความรู้สึกเหมือนคนอกหักว่า
ถ้าหากฉันนั้นคือคนที่เธอรัก เธอคงไม่ชักช้าคืนหาฉัน
แต่นี่เธอหมางเมินลืมคืนวัน แล้วให้ฉันเชื่ออย่างไรเธอรักจริง
เธอคงมีคนอื่นอยู่แนบชิด จึงเบือนบิดความสัจเผื่อเลือกหญิง
สารพัดแสร้งทำคนหลงชิง หวังได้อิงเทวดาแท้ซาตาน
กราบเรียนถามพ่อท่านว่า กลอนของดิฉันเป็นกลอนประตูใช่ไหมคะ? เมื่อวันจันทร์ฟังพ่อท่านวิจารณ์เรื่องโคลงกลอน สนุกและขำมากค่ะ กราบเท้าขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า…ใช่ มันก็เป็นเชิงนั่นแหละ มันยังไม่ชัดเจนในภาษากวี หรือว่าสัมผัสถูกแล้ว มันจะมีสัมผัสนอกจากจะสัมผัสพยัญชนะ มันจะยังสัมผัสเสียง สัมผัสสำเนียง สัมผัสรับ สัมผัสส่ง เป็นสำเนียงสัมผัสรับ สัมผัสส่ง มันไพเราะนะ มีขึ้นมีลง ถ้ากลอนดีๆ คนที่เขาขับเสภา หรือขับทำนองใส่กลอน มันก็จะร้องได้ไพเราะ คำมันมีวรรณยุกต์เสียงอยู่ในที แต่ถ้าเป็นกลอนประตู คนร้องจะลำบากมากเลย ก็เป็นเรื่องของคน ก็มีความรู้เรื่องฉันทลักษณ์อะไรก็ว่ากันไป
_Krathin Sukdee กระถิน สุขดี . กราบนมัสการพ่อครูเจ้าค่ะ ลูกมีเรื่องอยากจะเล่า และมีคำถามค่ะ เลิกกินเนื้อสัตว์ได้ (ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับดิฉัน) แต่ตอนนี้ติดเรื่องกินจุบจิบ ติดกินของหวาน ติดจนรู้สึกมันพอกหนามากๆๆๆๆ ก็พยายามจะฟังธรรมเพื่อให้มีสำนึกขึ้นมาบ้าง วันก่อนก็อยากกินของหวานอีก อดไม่ได้ก็เลยซื้อทุกอย่างที่อยากกิน (พฤติกรรมมันจะวนๆ ไปอย่างนี้) ครั้งล่าสุดเลยลองใช้วิธีนี้ค่ะ คือซื้อของหวานมาเลย พอตอนกินเคี้ยวช้าๆ ได้รับรู้ถึงความหวาน ใจก็นึกว่าสงสัยเราคงติดรสหวาน ทุกคำที่เคี้ยว พอเคี้ยวเสร็จคายออกมาใส่ชาม ก็ทำแบบนี้จนหมด แล้วก็ตั้งทิ้งไว้ นานๆ ไปมองทีนึง ก็เห็นว่ามันเหมือนอ้วก ก็ถามใจตัวเองว่า อยากกินอีกไหม (ทั้งๆที่มันคือของที่เราอยากกินนะ) ใจมันไม่อยากกินแล้ว เพราะรูปมันเหมือนอ้วก มันไม่สวยน่ากินเหมือนตอนแรก คำถามเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…อาตมาก็เคยพูดถึงเรื่องอย่างนี้ กินแล้วคายออกมาดูพอทิ้งไว้พักหนึ่ง ก็ใส่เข้าไปแล้วก็คายออกมาดูเรื่อยๆ เราก็จะเห็นว่ามันก็ บางอันที่เวลากินมีอะไรต่ออะไรผสมผเสเข้าไป มันจะออกมาเหมือนขี้ หลายๆอย่างเมื่อเคี้ยวปนกัน เป็นขี้แหลกๆ เหลวๆ
-
ลูกทำแบบนี้ เพื่อให้ใจมันคลายจากการติดกิน ลูกใช้วิธีนี้ถูกไหมคะ?
พ่อครูว่า…ก็ได้ แล้วก็พิจารณาด้วย พยายามนึกถึงว่ามันเกิดการเข้าใจ มันเกิดปัญญา มันเกิดการเข้าใจ มันเข้าใจ มันเห็นความจริงชัดเจนว่าอย่างนั้นเป็นอย่างนั้น อย่างนี้เป็นอย่างนี้ โดยเฉพาะบำเรอกิเลส รู้ว่ากิเลสที่มันอยากหรือมันอร่อยมันเป็นตัวข้างเคียง มันเป็นตัวที่มันยังมีตัวข้างเคียง เราเห็นให้ชัดๆ
-
ผู้ที่อยู่ในชุมชน อยู่ใกล้ๆ พ่อ แต่ทำตนเหมือนทัพพี ไม่รู้รสแกง
กับคนที่อยู่ข้างนอก แต่ตั้งใจปฏิบัติ ถือศีลเคร่งครัด (ตาม
แนวทางอโศก) พ่อว่าอันไหนจะดีกว่ากันคะ?
พ่อครูว่า…เอ๊..ใครหนอ? เปรียบเทียบคนที่อยู่ข้างในนี้แล้วทำตัวเหมือนทัพพีไม่รับรู้รสแกง เปรียบเทียบกับคนข้างนอก ที่เขารู้รสแกงตั้งใจปฏิบัติ อยู่ข้างนอก
คำว่า “เคร่ง” คำนี้หมายความว่า ปฏิบัติแบบอโศก ไม่ใช่เคร่งแบบเคร่งจารีตประเพณี แต่ถือศีลแล้วมี อปัณณกปฏิปทา 3 เกิดสัทธรรม 7 เกิดฌาน 4
ยังไงดีกว่า ก็อย่างแบบอโศกนั้นดีกว่า
_แก้วตะวัน พวงบุบผา .
อันน้ำท่วมรวมความรักสามัคคี ราชธานีชี้วิกฤตนิมิตหมาย
ความไม่เที่ยงเพียงยอมรับกลับสบาย ช่วงท้าทายคลายหรือเครียดเกลียดหรือกลัว
พ่อครูสอนให้อ่อนน้อมพร้อมฝึกฝน ล้างตัวตนคนจะงามละความชั่ว
แม้น้ำท่วมจิตมีธรรมประจำตัว ดุจดอกบัวพ้นน้ำเร่งทำดี
พ่อครูว่า…ชักไม่ใช่กลอนประตูแล้วนะ ก็ไม่ต้องแปล
_วาส ทองจันทร์ . ผมก็เป็นคน ใกล้จะเป็นโลกเงียบเช่นกัน ลำบากมากเดี๋ยวนี้ ก็ใช้วิธีต่อเครื่องขยายมาไว้ใกล้ๆ จึงพอได้ยินครับ
พ่อครูว่า…โลกเงียบหมายความว่าหูมันจะบอดแล้ว อาตมาอายุย่าง 89 – 90 หูก็ยังพอใช้ คนอายุมากแล้วต้องพูดดังๆ ต้องพูดใกล้ๆแต่อาตมาก็ยังพอเป็นพอไป ยังไม่ถึงขั้นนั้น แล้วแต่สรีระใคร สรีระมัน จะว่าวิบากดี – ไม่ดี ก็ของใครของคนนั้น แก้ไม่ได้ก็รับมันไป
_สว่างแสง ขวัญดาว . น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ
พ่อครูคะวันที่ 6 สิงหาคม 2518 เป็นวันที่พ่อครูและสงฆ์ชาวอโศก ลาออกจากการปกครองของคณะสงฆ์ไทย ไปอยู่ในปกติของพระธรรมวินัยใช่ไหมคะ และต่อมา พ.ศ.2532 พ่อครูกลับถูกคณะสงฆ์ไทย ฟ้องร้องคดีขึ้นสู่ศาลให้ศาลตัดสินตามกฎหมาย แต่ไม่ใช่ตัดสินตามธรรมวินัยใช่ไหมคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ
พ่อครูว่า…ลาออกมา 2518 ก็อยู่กันอย่างผาสุกดี แต่พอ 2532 ท่านสมเด็จมหาประยุทธ์ก็คึกอะไรขึ้นมาไม่รู้ เขียนหนังสือว่า เราออกนอกรีตนอกทาง อย่างโน้นอย่างนี้ มาทำให้สงฆ์ไม่ลงรอยกัน ทั้งๆที่มันไม่ได้ผิดเลยตามพระธรรมวินัย ก็เป็นความจริงว่าเมื่อศีลไม่เสมอกัน ศีลเข้าใจต่างกัน ปฏิบัติก็ต่างกัน อุเทศ การขยายความอธิบายธรรมะต่างกัน เช่น คำว่า “สมาธิ” คำว่า “ฌาน” คำว่า “บุญ” ก็ขยายความกันคนละอย่าง คำเดียวกัน แต่แปลไปคนละอย่าง ขยายคนละอย่าง อันนี้เป็นต้น มันแยกกันอย่างนี้ แล้วมันห้ามไม่ได้ ก็ให้ประกาศนานาสังวาส ไม่ประกาศ มันก็เป็นโดยธรรม แต่ถ้าประกาศก็เป็นชัดเจน เราก็ได้ทำ เราก็ได้ประกาศ
แต่ท่านประยุทธ์ท่านไม่รู้ ท่านสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ท่านไม่รู้ความจริง ขอยืนยันว่าท่านไม่รู้ความจริง ถ้าท่านรู้ความจริง จะไม่กล้าทำ เพราะท่านเป็นคนรักธรรมะ ท่านมหาประยุทธ์ ท่านพุทธโฆษาจารย์นี่ ท่านเป็นคนรักธรรมะ ถ้าท่านรู้ ท่านเข้าใจถูกต้องตามพระธรรมวินัย ท่านจะไม่ทำ แต่ท่านไม่รู้ ก็เลยน่าสงสาร ไม่รู้จะทำไง ก็เลยมาเล่นงานเรา เราก็พยายามพูดไปเถอะ อธิบายยังไง ท่านก็ไม่เข้าใจ เพราะท่านได้ทำไปแล้ว ท่านได้แย้งว่า มันไม่ถูกต้อง ท่านก็ต้องทำอยู่ อันนี้เป็นเรื่องของกิเลสอัตตามานะ มันยอมไม่ได้แสดงออกให้เห็นว่าให้เราผิดให้ได้ ก็เลยเป็นเรื่องยาวมา นี่แหละคือสัจจะ ที่มันไม่มีการสำนึก ไม่มีการเข้าใจสัจจะและก็ยอมให้กิเลสมันกินตัว กิเลสมันยิ่งถล่ม กิเลสมันยิ่งครอบงำ มันก็ยิ่งไปกันใหญ่
แล้วก็ขึ้นเอาไปฟ้องฆราวาส ให้ฆราวาสตัดสินอีก ท่านก็ยืนยันว่าอาตมาไม่เป็นพระ ก็ให้ฆราวาสเขาตัดสิน ซึ่งมันเป็นการผิดพระธรรมวินัย แล้วมันก็ทำไม่ได้ด้วย
_ช่อทิพ หนูทอง . ดิฉันป่วยหลายโรค ฟังพ่อครูตอบคำถามญาติธรรมประจำ ได้ปัญญา จิตสงบ ปล่อยวาง นอนหลับสบาย ตื่นเช้าขึ้นมาความดันโลหิตที่เคยสูงปริ๊ด ทั้งๆ ที่กินยาประจำ ความดันลดลงฮวบเลยค่ะ เรียนถามพ่อครูว่าอาการแบบนี้ เป็นส่วนหนึ่งของอนุสาสนีปาฏิหาริย์หรือไม่คะ?
พ่อครูว่า…บางคนเป็นวันละโรค แต่คนนี้เป็นหลายโรค ทักษิณก็เป็นหลายโรคน่าสงสาร
แน่นอนเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ตามเป็นจริงที่คุณว่าก็ใช่แน่นอน ดี
วันพฤหัสบดีที่ 21 ก.ย. ภาคทบทวน
_แก้วตะวัน พวงบุบผา .
อ้างดูงานแต่ผลาญเงินไม่เขินขวย ไทยร่ำรวยเพราะฝีมือคนซื่อสัตย์
แต่ถึงยุคคนพาลสันดานชัด ความวิบัติจึงเบิกบานเพราะพาลชน
เป็นเวรกรรม อันใด หนอไทยนี้ นายกดีมีให้เห็นเป็นมรรคผล
แต่คนไทยไยติดกับหลงเล่ห์กล ไปเชื่อคนไม่ทำงานผลาญเงินทอง
กบเลือกนายนั้นหนาน่าวิตก เลือกได้นกกระสาน่าสยอง
ยอมละทิ้งขอนไม้ไม่ไตร่ตรอง เก้าปีทองมองว่านานรำคาญใจ
จึงเลือกคนไม่ดีมีอำนาจ ชาญฉลาดแต่หลงเลวทำเหลวไหล
อยากให้ลุงอย่าไปลับกลับไวไว เราคนไทยไม่ลืมเลือนรักเหมือนเดิม
พ่อครูว่า…ชักเป็นกวีขึ้นมาได้ความดีทีเดียว
ๆ
_จรรยา ประเสริฐ . ฟังท่านเทศน์แล้ว สู้กับการกินค่ะ ขณะนี้กินข้าวกล้อง กับซีอิ๊ว ผสมน้ำมันงา น้ำมะนาว กระเทียมสด กระเทียมดอง แอปเปิ้ล อินทผาลัม ลำใยอบแห้ง ได้ถ้วยใหญ่ เอามาผสมคลุกเคล้า กินกับผักต้มสุก เท่านี้กินมาได้ 3 ถึง 4 วัน เพื่อลดความอร่อย แต่ทำไมยังอร่อยอยู่ กินไปคำแรก อุ๊ยอร่อย ถามตัวเอง ไม่ปรุงมาก ยังอร่อย ไม่เห็นทุกข์ แล้วจะถอนออกยังไง??? ตักคำใหม่ ถ้าจิตบอกอร่อย (อารมณ์เคหสิตะ) เราจะห้ามมัน และทำใจให้เห็นทุกข์สุข ดูดผลัก สู้ไปกินไป ดูใจตัวเองไป จะสู้เพื่อให้ได้อารมณ์เนกขัมมะ ปรากฎว่า เห็นตัวเอง เราติดเรื่องกาม คือการกิน เป็นอย่างมาก จะสู้ต่อไปค่ะ ไม่ถามอะไรค่ะ นอกจากเห็นการสู้กับกิเลส แบบกดข่ม เพื่อให้ชนะ (แล้วเราก็ได้ตัวใหญ่ ถ้าชนะมันได้) เราต้องสู้อย่างไม่กดข่ม สู้อย่างรู้ตามจริง สู้อย่างสบายๆ จะได้เมื่อไร ยังไม่รู้เลยค่ะ กราบสาธุค่ะ
พ่อครูว่า…ก็เลือกมาทีละอย่าง คุณกินทีละคู่หรือเปล่า อ้าว..ไม่ถามอาตมาก็ค้างสิ ว่าจะอธิบายอยู่
เข้าใจรู้ว่าจะสู้อย่างไม่กดข่ม
เอ้าอธิบายตรงนี้ อธิบายตัวกิน ตัวโภชเนมัตตัญญุตาตัวที่กินอาหารนี่แหละ มันเป็นข้อปฏิบัติที่เยี่ยมยอดแล้ว เอาตัวนี้ตัวเดียวก็ปฏิบัติบรรลุอรหันต์ได้
การกิน ด้วยคำข้าวที่เรากินนี้ เมื่อเราเอาคำข้าวเข้าปากกิน เรามีสติสัมปชัญญะ แล้วก็กำหนดรู้ด้วยสัญญากำหนด กำหนดรู้ตั้งแต่มันแตะนำเข้าไปในปาก เรามีอาการจิตมันชอบมันชัง ตั้งแต่เอาเข้าปาก อาหารอันนี้บางอย่างชอบ บางอย่างไม่ชอบ หรือกลางๆ ไม่มีชอบ – ชัง แต่ดูแล้วก่อนจะเอาไปกินว่ามันเป็นอาหารชนิดหนึ่ง มันจะมีธาตุนั้น ธาตุนี้ ที่มันเป็นธาตุควรกินเราก็ต้องกิน ธาตุที่มันควรกิน ก็เอาเข้ามา
เข้าไปแล้วก็แตะลิ้น แตะรส เราก็พิจารณาอีก แตะรส แล้วตรงนี้แหละ แตะรสแล้วเราก็รู้รสของมัน แยกให้ออกว่ารสจริงๆ ของอันนี้นี่ เราก็จะพอรู้ เช่น รสมะนาว มันก็หวาน รสเกลือมันก็เปรี้ยว อะไรอย่างนี้ …อ้าวผิดหรือ เราก็ต้องรู้ความจริงว่า อ๋อ.. มันไม่ใช่นี่ รสมะนาวมันก็ต้องเปรี้ยว รสเกลือมันก็ต้องเค็ม รสน้ำตาลมันก็ต้องหวาน ตามความจริงของมัน นั่นคือรสแท้ๆ
แล้วแยกให้ออกเชียวว่า รสหวาน หรือรสเปรี้ยว หรือรสเค็ม เราแตะเข้าไปแล้วชอบ แหม..หวานดี กำลังพอเหมาะ แหม..เค็มดีกำลังพอเหมาะ เปรี้ยวดีกำลังพอเหมาะ เผ็ดดีกำลังพอเหมาะ หรือว่าถ้าเผ็ดกว่านี้ได้ยิ่งดี ก็อ่านรู้ นั่นแหละตัวที่บ่งว่ามัน
นอกจากรสจริง มันมีรสเก๊ รสหลอก รสปลอม รสชอบไม่ชอบ รสชื่นใจ ไม่ชื่นใจ นั่นแหละคืออร่อยหรือไม่อร่อย กิเลสตัวนี้แหละ
ผู้ที่ปฏิบัติได้แล้วเรียบร้อย ลด ละ เลิกรสอร่อยได้แล้ว ก็จะรู้แต่ความจริง รสตามจริง ไม่มีหรอกรสอร่อย ไม่มี
เพราะฉะนั้นจะกินไม่ตะกละตะกลาม จะกินไม่เร็ว จะกินไป ยิ่งหัดใหม่ฝึกหัด ก็จะยิ่งกินช้า เมื่อเราเองเราไม่ให้เกิดรสอร่อยหรือว่าเรารู้ว่าเราจะมีรสอร่อย ก็รู้มันว่ามันมีกิเลสนะ ก็ให้เกิดพลังรู้ด้วยว่าปัญญา เรียกว่าเข้าใจ เห็นว่าธาตุมันมีตัวรู้ ที่เก่งเป็นธรรมฤทธิ์ ให้มันมีฤทธิ์
มีฤทธิ์ที่จะสามารถไม่ให้กิเลสอร่อย ไม่ให้กิเลสมันตะกละ หรือผลัก ดูดหรือผลัก ต้องอ่านอาการซ้อนๆพวกนี้ ละเอียดลออหน่อย จะรู้
คนปฏิบัติการกินนี่แหละสำคัญ เป็นอรหันต์ได้ตรงการกิน เป็นหลัก อย่างอื่นก็นัยะเดียวกัน แต่มันคนละรส รสทางตาก็เป็นรูป รสทางหูก็เป็นเสียง รสทางจมูกก็เป็นกลิ่น แต่รสทางลิ้นนี่ โอ้โห!ทำไมมันซับซาบหลายอย่างเหลือเกิน เรียนรู้แล้วจะเกิดปัญญาฉลาดขึ้น ฉลาดขึ้น ฉลาดก็คือ ฉฬายตนะ ทางทวาร ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส (โผฏฐัพพะ) มันก็จะชัดเจนขึ้นชัดเจนขึ้น มันจะเข้าใจยิ่ง เห็นจริงๆ ขึ้น
แล้วก็จะเกิดการเข้าใจ อาการที่มันไปดูดดึงหรือผลักอะไรก็จะลดลงๆๆ อาการที่มันผลักหรือดูดลดลงๆๆ นั่นแหละคือเราเจริญทางธรรม ปัญญามันมีธรรมฤทธิ์ ที่ทำให้กิเลสมันไม่ไปหลงปรุงแต่งแล้วก็ชอบหรือไม่ชอบ ผลักหรือดูด เป็นกามหรือเป็นปฏิฆะ มันลดลงๆเป็นอิฎฐารมณ์ หรืออนิฏฐารมณ์
นี่คือเป้าหมายเรียกว่าทำที่เวทนา เป้าหมายในการปฏิบัติธรรม คนที่ไปหลับตาปฏิบัติไม่รู้เรื่องอะไร นั่นแหละเป็นโมฆะ ไปหลับตาปฏิบัติ มันไม่ใช่พุทธศาสนา อาตมาก็ต้องย้ำหัวตะปู สัจจะพวกนี้อยู่ตลอดเวลา
ปฏิบัติธรรมต้องมี อปัณณกปฏิปทา 3 โดยมีศีลเป็นหลัก ศีล ข้อที่ 2 เกี่ยวกับการสัมผัสก็จะเกิดกาม เกิดปฏิฆะเหมือนกัน 2. ปฏิบัติต่อข้าวของไม่ว่าวัตถุหรือพืชพันธุ์ธัญญาหาร ที่มันมีวิญญาณที่จะมาเกิด มันก็จะเกิดทุจริตหรือสุจริตกัน ก็เรียนรู้อันนี้อีก ในแง่เชิงทุจริตสุจริตเกิดจากความโกรธ ความโลภ ลดลง
ศีลข้อ 3 เรียนรู้ละเอียด รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส (โผฏฐัพพะ) เป็นอารมณ์ เป็นเวทนา ตัวนี้แหละเป็นตัวรวมที่จะไปสู่ความเป็นสุขเป็นทุกข์ ศาสนาพุทธเรียนรู้ความสุข-ความทุกข์สมบูรณ์แบบ เมื่อเรียนรู้ความสุข-ความทุกข์สมบูรณ์แบบแล้ว ไม่สุขไม่ทุกข์ได้
ไม่สุขไม่ทุกข์มี 2 แบบ วิธีของฤาษีเดียรถีย์ เขาก็ทำให้ไม่สุขไม่ทุกข์ได้ คือสะกดจิต หลับ ดับ ดับสัญญา อสัญญี เขาก็ไม่รู้สึกไม่รู้ทุกข์ ไอ้อย่างนั้นมันไม่ถูกต้องของพุทธ มันไม่เลิก ก็จะไปเป็น อสัญญีสัตว์
เพราะฉะนั้นปฏิบัติ ฌาน 1 2 3 4 ในสัตตาวาส 9 ก็เป็นฌานที่ผิด แต่ถ้าปฏิบัติฌานที่ถูกเป็นฌาน 1 2 3 4 ที่สัมมาทิฏฐิแบบพุทธ มันก็
จะไม่เกิด อสัญญีสัตว์ กิเลสมันก็จะหมดที่ ฌาน 4
และกิเลสในระดับละเอียด อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ มันก็จะไม่ต้องปฏิบัติ อากาศก็รู้ว่าอากาศวิญญาณก็รู้ว่าวิญญาณ ไม่มีแล้วกิเลส อากิญจัญญายตนะ นิดหนึ่งก็ไม่มี ก็จะรู้ความจริงทั้ง 3 สภาพ
เพราะฉะนั้น สภาพของอากาศ อากาสานัญจายตนะ หรือ สภาพวิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ ที่เหลือของวิญญาณฐิติ 3 ข้อหลัง
4 ข้อแรกก็ ตรงกันกับ สัตตาวาส 4 แต่ สัตตาวาส 4 เป็นมิจฉาทิฏฐิ วิญญาณฐิติเป็นสัมมาทิฏฐิก็เป็นฌาน 1 2 3 4
เพราะฉะนั้น พอปฏิบัติธรรมเป็นวิญญาณฐิติที่ชัดเจน สัมมาทิฏฐิครบ ตรวจสอบสภาพ ใช้สัญญากำหนดรู้ความเป็นจริง ที่เป็นอยู่ภายนอกภายในเป็นกาย สะอาดหมดจดหมด ไม่มีผิดเพี้ยน ไม่มีวิปลาส คุณก็บรรลุสูงสุดบริบูรณ์ หมดความเป็นสัตว์ เลิกความเป็นสัตว์
ธรรมะเหล่านี้เป็นของพระพุทธเจ้าตรัสไว้ทั้งนั้น แต่ทุกวันนี้มันเสื่อม มันไม่พูดกัน อะไรก็ไม่รู้ เรียนความรู้ทางเปรียญก็ดี ทางวิชาการก็ดี จบปริญญาตรี โท เอก ทางพุทธศาสนาก็ดี ก็ไม่ได้เข้าหากรรมฐาน มาหาตัวปฏิบัติพวกนี้ ต้องพูดสิ่งเหล่านี้กันให้มากๆ เขาไม่พูด กลับไปพูดภายนอกเรื่องสังคม เรื่องรอบรู้สารพัด อะไรต่ออะไรต่างๆ นานา เรื่องโลก โลกายตศาสตร์ ความรู้ของโลกๆ มากไปเรื่องนั้น มันก็เลยไม่ได้มรรคได้ผล ไม่เข้าเป้าอะไร
ตำราพิชัยสงคราม พรหมชาลสูตร ตอน 2
อาตมาเอาของคุณ ทำมาด้วยใจใต้ร่มโพธิ์ อ่านมาได้หน่อยหนึ่งแล้วหลายหน้า
ซึ่งได้วิเคราะห์วิจัย พรหมชาลสูตร จนมาถึงข้อ 4 รอฟังผ่านไปถ้าไม่ถึงภูมิก็ผ่านไป
(4) หมวดพูดซัดส่ายไม่ตายตัวแบบปลาไหล (อมราวิกเขปิกทิฏฐิ 4)
-
เกรงว่าจะพูดปด //จึงพูดปฏิเสธว่า อย่างนี้ก็ไม่ใช่ อย่างนั้นก็ไม่ใช่ อย่างอื่นก็ไม่ใช่ มิใช่ (อะไร) ก็ไม่ใช่
-
เกรงว่าจะยึดถือ จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ 1
-
เกรงว่าจะถูกซักถาม จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ 1 ไม่รู้ชัดว่านี่กุศลหรืออกุศล ถ้าพยากรณ์ชำนาญการโต้ ถ้าหากมีบัณฑิตผู้เข้าใจวาทะ โต้เหมือนกับลูกธนู เราก็จะตอบโต้ไม่ได้ ก็เลยพูดปฏิเสธ
-
เพราะโง่เขลา จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ 1 และไม่ยอมรับหรือยืนยันอะไรเลย ใครมีความเห็นอย่างไรก็ว่าไปตามเขาอย่างนั้น จึงมีความเห็นดิ้นได้ ไม่ตายตัว
ทั้งหมด 4 ประการเป็นความเห็นแบบปลาไหลใส่สเก็ตทาจารบีวิ่งบนลานน้ำแข็งลื่นและไม่หกล้มด้วยนะ
(5) หมวดเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ มีขึ้นเอง ไม่มีเหตุ (อธิจจสมุปปันนิกทิฏฐิ) มี 2 อย่าง เห็นว่าอัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ
-
เห็นว่าสิ่งต่างๆ มีขึ้นเอง โดยไม่มีเหตุ เพราะเคยเกิดเป็นอสัญญีสัตว์ พวกเทวดาชื่อว่า อสัญญีสัตว์ ได้จุติ(เคลื่อน)เข้ามา หรือเคลื่อนออกไป จุติ เพื่อออกจากชั้นนั้น เพราะความเกิดออกจากสัญญา พวกเทวดาชื่อว่า อสัญญีสัตว์ เพราะฉะนั้นดับเป็น อสัญญีสัตว์ ได้แล้ว
พ่อครูว่า…คุณก็จุติใหม่ก็เคลื่อน ออกจากชั้นนั้น เพราะความเกิดของสัญญา สัญญาคุณไม่ดับหรอก ไม่หมดหรอก แต่คุณดับสัญญาแต่มันก็มีสัญญาอยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้นสัญญาเมื่อบรรลุเจโตสมาธิ เมื่อจิตมันตั้งมั่น สะกดแน่แน่นเข้าไปแล้ว สัญญาตามระลึกความเกิดแห่งสัญญา สัญญาก็จะทำงานตามระลึกถึงความเกิดของสัญญา มันเป็นความจำ มันเป็นความกำหนดรู้ นี่คือหน้าที่ของสัญญามันทำได้
เพราะฉะนั้นมันมีความจำใช่ไหม อีกเยอะแยะเลยที่มันจะไปกำหนดรู้ได้อีก จึงกล่าวว่าอัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ เพราะเหตุอะไร เพราะข้าพเจ้าเมื่อก่อนไม่ได้มีแล้ว เพราะ อสัญญีสัตว์ ดับไปไม่มีความรับรู้ แต่สัญญามันก็มีอยู่มันก็ปรุงแต่งขึ้นมาว่า โอ๊ ไม่มีนี่ อสัญญีสัตว์ โลกก็ไม่มี อัตตาก็ไม่มี
แต่เพราะเหตุอะไร เพราะข้าพเจ้าก่อนนี้ก็ไม่มี ก็เดา แต่ตอนนี้เราก็ไม่มี (ระลึกตามสัญญาลงไปแล้วไม่เจออะไร ไม่มีสัญญาใดๆ เป็น อสัญญี คือความดับดำมืด ระลึกได้ เท่าที่สามารถจะตามกำลังของจิต ต่อจากนั้นไประลึกไม่ได้ เหมือน อาฬารดาบสก็ดี อุทกดาบส ก็ดี ทำหยุดได้แล้ว คือนั่งหลับตาสะกดจิต สุดท้ายมันจะไปจบ อสัญญีสัตว์ ทั้งนั้น เช่น สัตตาวาส 9
ฌาน 1 2 3 4 เป็นมิจฉาฌาน พอไปถึงขั้นดับ อสัญญีสัตว์ เขาก็หลงว่า อสัญญีสัตว์ เป็นนิโรธดับความรู้ ดับความนึกคิดตามจำ มันกลายเป็นไม่ปรุงแต่ง แต่สัญญามันยังมีอยู่มันก็ทำงานพิเศษ
เพราะฉะนั้น อรูปฌานอีก 4 ของ สัตตาวาส 9 จาก อสัญญีสัตว์ ก็ไปอีก 4 อย่างรวมเป็น 9 อันนี้จะมี อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ แล้ว วันนี้จะมี เนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นตัวโง่ที่สุด อันนี้จะใช่ก็ไม่ใช่ จะไม่ใช่ก็ไม่ใช่ จะรู้ก็ไม่รู้ จะไม่รู้ก็ไม่รู้อันนี้มันเคลิ้มๆ สารพัด สัญญาทำงานสารพัดก็คือ เนวสัญญา สัญญากำหนดไปได้สารพัดเละเทะ แต่ไม่รู้เรื่องสักอย่าง พวกนี้เป็นพวก โง่สำมะปี๋ โง่มะลำมะลอย โง่ทั่วทิศทั่วแดน โง่สมบูรณ์แบบ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เป็น สัตตาวาส ข้อที่ 9
เพราะฉะนั้นพวกระลึกได้อย่างนี้ก็นึกว่ามันเกิดอย่างลอยๆ
แต่เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ามีเห็นไหมมันก็ยังมีตัวตน (เมื่อหมดพลังกดข่ม สัญญาที่ดับไม่ถูกวิธี ) เมื่อรู้ตัว ก็คลี่คลายขยายตัว เกิดมีขึ้นเพราะไม่ได้น้อมไป เพื่อเป็นผู้สงบแล้ว (ไม่ได้ ทำสมถะต่อเนื่อง หมดฤทธิ์การกดข่ม )
-
นักเดา เดาเอาตามความคิดคาดคะเนว่า สิ่งต่างๆ มีขึ้นเองโดยไม่มี เป็นนักตรึกนักค้นคิดอันนี้แหละเป็นพวกฟุ้งซ่าน แสดงปฏิภาณตามที่ตรึกได้ พวกสญชัยเวลัฏฐบุตร แล้วมีทิฏฐิบัญญัติว่าอัตตาและโลกเกิดขึ้นลอยๆ
อปรันตกัปปิกวาท ผู้ปรารภเบื้องปลาย แบ่งย่อยออกเป็น 44 สำนัก (อนาคตอีก 44)
พ่อครูว่า…อาตมาว่าใครที่สนใจส่วนตัว ก็ไปอ่านจากพระไตรปิฎกนะ แล้วก็ทำความเข้าใจเท่าที่ทำได้ สงสัยก็มาถามเอาแต่ละคนก็แล้วกัน
เพราะว่า ถ้าอธิบายไปอีก อ่านไปอีก จะเข้าใจยาก อาตมาก็อธิบายไม่ง่าย ยากเหมือนกัน ต้องพยายามที่จะอธิบาย ก็จะเสียเวลาไปมาก เพราะมันเกินฐานปฏิบัติจริงของพวกเรา ผู้ที่จะรู้ทิฏฐิทั้งหมดครบ 62 อดีต 18 อนาคต 44 ก็พระอรหันต์ที่เป็นพระพุทธเจ้าอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อรหันต์ระดับที่ 6
ขนาดอาตมาอรหันต์ลำดับที่ 4 ยังไม่ถึงอรหันต์ลำดับที่ 6 ไม่สับสนนะ อรหันต์ระดับที่ 1 2 3 4 5 6 ไม่สับสนนะ ดีแล้วพวกเราเรียนรู้ชัดเจนกำหนดบัญญัติ กำหนดสภาวะ แม้เราจะยังไม่ถึงแต่เราก็เข้าใจแล้วว่า อ๋อ มันมีขั้นชั้น เพราะฉะนั้น กล่าวคำว่าอรหันต์ มันจึงมีการหมุนรอบเชิงซ้อน
ก็มีกับไม่มี เป็นหรือไม่เป็น กลับไปกลับมา อรหันต์แล้วทำไมจะต้องมามีเมีย ต้องมาแต่งงาน เป็นโพธิสัตว์ระดับสูงแล้ว จนกระทั่งเป็นพระพุทธเจ้าเกิดมาเป็นพระพุทธเจ้าชาติที่เป็นพระพุทธเจ้ายังต้องแต่งงานมีเมียมีลูกอีกเล่า นี่มันก็งงใช่ไหมก็สับสน เป็นไปได้ยังไง
เป็นไปแล้วก็ต้องไม่มีสิ แต่เป็นได้สำหรับบางองค์ อย่างอาตมานี่เคยพูด ว่าอาตมาจะพยายามบำเพ็ญตน ให้ปางสุดท้ายที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าจะไม่มีการแต่งงาน จะไม่มีเมีย ไม่มีพวกนี้ ตั้งจิตไว้อย่างนั้นเลย จะเป็นพระพุทธเจ้าที่ปางสุดท้าย มันทำให้คนงง แต่ที่จริงที่มีเมียนั้นสูงกว่า ที่ไม่มีเมียนะ สูงกว่า ไม่มีเมียนี่มันง่าย มีเมียแล้ว ไปมีเมียแล้วก็มีเหตุปัจจัย ที่จะต้องบริหารเนี่ย ยากกว่าที่ไม่มีเมีย ไม่มีเมียนี่บริหารง่าย คนเดียว มีเมียนี่ เราคนเดียวบริหารตนเองก็ยังไม่ง่าย แล้วไปเอาอีกคนมาเป็นคู่ชีวิตบริหาร เอาเถอะ ใครไม่รู้ก็มีก็แล้วกัน
อ้าว อาตมาก็ขอผ่านอันนี้ไว้ อนาคต 44 นี้มันก็จะเยอะแยะไม่ใช่น้อยๆ ก็ขอผ่านไปก็แล้วกัน
นี่เขาก็วิจัยอะไรมาอีกแผ่นหนึ่ง ที่เป็นความคิดไปมากๆ เข้ามันจะกลายเป็น โลกยตศาสตร์ จะเป็น โลกจินตามากนะ
สามเส้าของวงวนโลกและธรรม
_เมื่อได้ยินว่าพ่อท่านจะเทศน์เรื่อง 7899 ทำให้นึกถึงพลังงาน
ในมหาจักรวาลนี้เวิ้งว้าง ว่างเปล่าด้วยอากาศ ด้วยพลังงาน ด้วยอุณหภูมิ เมื่ออณูบางเบาเกิดขึ้น 1 อณู เวลาผ่านไปนานมากนับเป็นกัปๆ ก็เกาะตัวกันแน่นหนาขึ้น จนนับเป็น 1 ได้ ด้วยองค์ประกอบของธาตุลม ธาตุไฟ (อุณหธาตุ) เป็นเหตุให้เคลื่อนออกจากจุดเริ่มต้นในแนวระนาบ ก็เกิดจุดที่ 2 เคลื่อนกลับไปกลับมา ด้วยความไม่เที่ยง จากเส้นตรงก็เบี่ยงไปเกิดองศา ออกมานิดหน่อยก็เกิดจุดที่ 3 ครบ 1 รอบวงกลม cyclic เป็นวงรีก่อน
พอนานเข้าก็รอบจัดขึ้น มากขึ้น กลมเป็นวงกลม 1 2 3 วงกลม 1 2 3 นี่ ถ้ามี 1 2 3 มันจะเป็นวง พอได้ 3 เส้า 3 อณูก็จะเป็นวงกลม 1 อณู
1 อณูก็เคลื่อนตัวจากจุดเริ่มต้น เป็นอิสระในตัวเอง ออกไปเป็นแนวตรง เข้าไปสู่ศูนย์ตัวใหม่ คือเกิดจุดที่ 2 อย่างที่มันเกิดจุดที่ 1 มา เป็นจุดที่ 2 แล้วมันก็จะเวียนกลับไปอีก ไปเติมเต็มอีกรอบ ก็กลับมาอีกเกิดเป็น 3 พอเกิด 3 มีองศานิดหน่อยก็เป็นวงรี ขึ้นมา
รอบมากขึ้น วงรีก็จะเป็นวงกลมมากขึ้น นานเข้าก็เป็นวงกลม มันมีหลายๆ อณูขึ้นมา หลายๆ เส้า หลายๆ cyclic มันก็จะเกิดต่อกันเป็นวงกลมขึ้นมา จาก 3 เป็น 4 จาก 4 เป็น 6 จาก 6 เป็น 9 ก็จะเกิดเป็นวงกลม
จากธาตุลม + ธาตุไฟอุณหภูมิ ก็เกิด 3 เกิดเป็นของเหลว ลมกับไฟแล้วก็เกิดเป็นน้ำ แล้วก็เกิดเป็นของแข็งคือดิน เกิดเป็นพลังงาน 1 หน่วยขึ้นมา 1 2 3 วิ่งวนรอบ 1 เป็นวงกลมอยู่
เป็นความรู้ละเอียดลออ ที่เมื่อศึกษาธรรมะแล้ว จะเข้าใจไปเอง แล้วมันก็ไม่มีมรรคมีผล ไม่ได้เกิดอะไรกับตัวเราหรอก มันรู้ไปอีกเพิ่มเติมเป็นความรู้ ที่มันรู้ความจริง ในความเป็นจริงละเอียดลออเพิ่มขึ้นเท่านั้น อย่าไปหลงเก่ง ถ้าไปหลงเก่งกับมัน ก็จะเสียเวลา เอาเวลานั้นแทนที่จะไปใช้เวลากับสิ่งนั้นเอามารู้ตัวจบ เราเป็นอรหันต์จริง เป็นโพธิสัตว์ก็ทำงานกับมนุษย์ต่อไป สิ่งเดียวนี้เราก็จะรู้อยู่นั่นแหละ มันจะรู้ละเอียดขึ้นไปอีก โดยไม่ต้องไปอธิบาย
คนอื่นที่เรียนจบอรหันต์ก็จะรู้อย่างนี้ไปเรื่อยๆ เอง มันจะรู้ความจริงตามความเป็นจริง ที่ถูกต้องด้วย ไม่ใช่ไปนั่งเข้าใจความหมาย ของที่มีพยัญชนะ แล้วก็มีสภาวะปรุงแต่งเพิ่มขึ้นไป มันก็จะเกิดความรู้เหมือนกัน แต่เป็นความรู้ที่เกินจะใช้ แต่มันเป็นความรู้เป็นโลกยศาสตร์ โลกจินตา ความรู้ที่มันปรุงแต่งกันขึ้นมา จนเป็นสภาพเป็น cyclic เยอะแยะ เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องไปกังวลกับมันมาก นี่ก็จะไปเสียเวลากับมันเยอะแยะเลย
อันนี้เขาเขียนจากรวบรวมจากที่พ่อครูสอนไว้ ต่างกรรม ต่างวาระ
พ่อครูว่า…ขยายมาก็เยอะ มาสรุปตรงที่ว่า มันถ้าเกิดไตรลักษณ์เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ก็สามเส้านั่นแหละสุดท้ายพระพุทธเจ้าก็สรุปให้ อย่างสุดสมบูรณ์ รู้ความสมบูรณ์ด้วยแล้วก็ไม่ต้องไปขยายอีก
นี่ก็พูดถึงผู้ที่ร่วมโอภาปราศรัยกับผู้ที่ร่วมศึกษา ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรเพิ่ม หรือไม่มีอะไรหยุด เพราะฉะนั้น ควรจะหยุดในสิ่งที่พอแล้ว ไม่ต้องเพิ่มก็ได้ แล้วมาศึกษาสิ่งที่เราเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันและกัน
สัทธรรม 7 ที่จะทำให้เกิด ฌานของพุทธ
ในสังคมของชาวอโศกเรานี่ อาตมาบอกได้ พูดได้ว่า พวกเราปฏิบัติศีล เกิดผลที่สัมมาทิฏฐิ จึงเกิดจิตที่เป็นสัทธรรม 7 หรือมันเกิด “ฌาน”
“ฌาน” นี้ไม่ต้องไปคำนึงมาก มันจะเป็นสภาวธรรมที่เกิดจากจิต แล้วมันก็ทำปฏิกิริยาการรู้ ฌานจะมีปัญญา รู้กิเลสแล้วมันก็จะเผากิเลส มันเป็นผลของการปฏิบัติที่สัมมาทิฏฐิ
เพราะฉะนั้นศีล อปัณณกปฏิปทา สัมผัสเถอะ แล้วมันจะเกิด สัทธานุสารี เกิดพหูสูตคือ ผลของศรัทธากับหิริโอตตัปปะ
หิริ คือละอาย โอตตัปปะ คือพลังที่ละอายแรง มันแรงจนกลัวเลย ไม่เอาแล้ว ไม่เอาอะไร ไม่เอาตัวที่เกิดแล้วรู้ มีปัญญามาเติมให้ตัวศรัทธา
ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ ซึ่งมันจะเกิดเพิ่มเติมขึ้นจาก วิริยะ สติปัญญา อีก 3 ตัวท้ายของสัทธรรม 7 วิริยะ สติ ปัญญา มันจะเพียรแล้วมันก็จะเพิ่มสติ แล้วมันก็จะได้ปัญญา แล้วมันก็จะเพียร มันจะเพิ่มสติแล้วได้ปัญญา มันก็จะเพียรวิริยะและเพิ่มสติ เป็นธาตุรู้ที่ตื่นรู้ชัดเจนขึ้นอีก เป็นความจริง เป็นปัญญา รู้ความจริงตามความเป็นจริง ขึ้นเรื่อยๆ
ศรัทธาที่มีองค์ 3 นี้ วิริยะ สติ ปัญญา ศรัทธานั้นก็เจริญขึ้น เจริญขึ้น เจริญขึ้น เพราะเราละอายที่แต่ก่อนเรายึดสิ่งที่อวิชชา สิ่งที่เรายึดผิดๆ สิ่งที่เราโง่ มันจะรู้ตัวโง่ของเราเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น แล้วอายตัวเอง ปัดโธ่เอ๊ย! เรา ทำไมโง่ไม่เสร็จสักทีอย่างนี้วะ มันจะละอายเมื่อมันเห็นความโง่อันนี้ จนถึงขั้นละอายอย่างแรงกล้า หรือ กลัวเลย เฮ้ย!ไม่เอาแล้ว
ไอ้คำว่า โอตตัปปะ กลัวนี่แหละคือธรรมฤทธิ์ของปัญญา ธรรมฤทธิ์ของธาตุรู้ ที่เป็นธรรมฤทธิ์ยิ่งใหญ่ เจอกับหน้าโง่ที่อาตมาอธิบายเป็นภาษาธรรมดาๆ มาหลายครั้ง พอปัญญา เกิดขึ้นจริง ไอ้ตัวโง่เจอปัญญา มันจะไปเลย หนีหูตูบเลย ใช่ไหม เราพูดมาไม่รู้กี่ทีแล้วมันมีธรรมฤทธิ์ มีสัจจะอย่างนั้น
ปัญญาเกิดไอ้โง่หาย มันเป็นตัวจริงหรือเปล่า เป็นปัญญาตัวจริงหรือเปล่า ถ้าปัญญาตัวจริงเกิด ไอ้โง่มันอยู่ไม่ได้ อยู่ไม่ได้ สัจจะมีหนึ่งเดียว มันไม่อยู่เป็น 2 หรอก โง่กับปัญญา มันอยู่เป็น 2 ก็คือยังไม่จบ ยังไม่ใช่สัจจะ ยังไม่สมบูรณ์แบบ
นี่คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ คุณชัดเจน คุณเกิดศรัทธา สัทธินทรีย์ ศรัทธาพละ สูงสมบูรณ์แบบขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วสั่งสมเป็นพหูสูตเป็นผู้รู้ยิ่ง รู้จริงขึ้นไปมากๆ พหูสูต ก็รู้สัจจะยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น
สัทธรรม 7 จึงเป็น กระบวนการ เป็น process ของ จิต เจตสิกมันทำงานทั้งหมด
เพราะฉะนั้น ความเป็นฌาน สรุปง่ายๆ “ฌาน” ก็คือ ธาตุรู้และเผา เพราะฉะนั้น มันรู้ก็คือตัวปัญญา มันเผาก็คือกิเลสมันวิ่งหนีหูตูบ หายวับไปกับตา ถูกเผาก็ได้ ใช้โวหารภาษา ฌาน
มันคือผลของการปฏิบัติธรรมที่สัมมาทิฏฐิถูกต้อง ไม่ต้องไปประดิษฐ์อยากได้ฌาน ก็ไปเข้าฌาน ออกฌานมา แล้วออกทำไมเมื่อได้แล้วฌาน เข้าฌาน เมื่อเข้าไปได้แล้วใช่ไหมและออกมาทำไมฌานได้ฌานแล้วออกมาทำไม ไอ้โง่! ก็เข้าไปในฌานและออกมาจากฌานทำไม ก็ฌานมันดีแล้ว จิตเป็นฌานก็ดีแล้ว จิตเป็นปัญญา แล้วฌานนี่ คือเผากิเลส ฌานสมบูรณ์แบบ ก็คือเผากิเลสเกลี้ยงเลย ตายไม่ฟื้น
แล้วพลังงานฌานนั่นแหละเป็นธาตุอาศัย เป็นปกติสามัญของจิต จิตเป็นฌาน เอามาใช้เมื่อไหร่ จะใช้เป็นฌาน 1 ก็คือการจะต้องพิจารณาให้ครบ พิจารณาได้แล้วก็รู้ว่าสิ่งไหนที่เรากำลังพิจารณาได้ก็เกิดปิติ แล้วก็เกิดพอ แล้วก็เป็นสุขลดลงจากปิติ สุขสงบ ลดแล้วก็สะอาดเป็น เอกัคคตา หรือ ก็เลิกแล้วอุเบกขาก็จบ ทำให้เกิดบริสุทธิ์ของสิ่งที่จะต้องทำ ทำความบริสุทธิ์ได้ก็สมบูรณ์แบบแล้ว อะไรอย่างนี้เป็นต้น
นี่อาตมาเอาสภาวะต่างๆ มาอธิบาย พวกเรานี่เรียนรู้อภิธรรม เรียนรู้สัจจะที่อธิบายด้วยภาษาง่ายๆ ภาษาไทย ซึ่งผู้ที่จะเป็นนักรู้บาลีเอามาแปลที่อาตมาอธิบายภาษาไทย เอาไปแปลเป็นบาลีคืนไปอีกคงยากไม่ใช่เล่น เพราะว่านี้เป็นภาษาที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ให้สอนด้วยภาษาพื้นของแต่ละคน นี่แหละภาษาไทย อาตมาก็อธิบายด้วยภาษาพื้นของพวกเราที่เป็นคนไทย ด้วยพยัญชนะด้วยสำนวนภาษาที่ออกมาเป็นคำความ ที่สื่อสภาวะเข้าไปหาสภาวะ แล้วพวกเราก็ฟังเข้าใจ เข้าใจแล้วปฏิบัติได้ตามนั้นก็จบแล้วนี่ มันเป็นมรรคเป็นผลที่ได้ความ แล้วก็ดีแล้ว
ส่วนหนึ่งในผลงานพ่อครูสู่นาวาบุญนิยม
อาตมาก็ทำงานมาจนถึงวันนี้ ก็เห็นผลงานของตนเอง ก็กำลังจะสรุปผลงานของตัวเอง เกิดมาชาตินี้ นี่กำลังเขียนหนังสือเกิดมาชาตินี้ เขียนว่าจะไม่มาก นี่ปาเข้าไปตั้ง เกือบ 200 หน้าแล้ว แต่ถึงแน่แหละ 200 หน้า ยิ่งยังไม่ได้เอาตารางงานที่ได้ทำมารวบรวม เกิดชาตินี้ทำอะไรบ้าง
งานเขียนเป็นต้น อาตมาเขียนหนังสือมาเป็นร้อยๆ เรื่องแล้ว ไม่นึกว่าตัวเองจะเขียนได้ขนาดนี้ ทั้งเล่มเล็กเล่มใหญ่ ไม่ต้องไปนับบทความ ถ้าไปนับบทความก็เป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น นับไปเป็นเล่มๆ เป็นร้อยๆ เล่ม หลายร้อยเล่ม พิมพ์ออกมารวมแล้ว เป็นหลายล้าน เขียนออกมาชาตินี้ แล้วพิมพ์ออกไปกระจายออกไป แต่คนอ่านน้อย เพราะว่าคนอ่านไม่ค่อยรู้เรื่อง เขาไม่สนุก มันไม่มีธรรมรส มันไม่มีวิมุติรสพอ
คนที่อ่านธรรมะอาตมาเขียนนี่ แล้วเกิดธรรมรสนั้น จงรู้ตัวเถิดว่า คุณมีภูมิธรรมทางโลกุตรธรรม เพราะธรรมะของอาตมาเป็นโลกุตรธรรม คนที่ไม่รู้เรื่องเป็นโลกุตรธรรม มันก็ไม่รู้เรื่อง ก็ไปโทษเขาไม่ได้ เพราะว่าเขายังไม่มีภูมิถึง มันเรื่องจริง
มันเป็นเรื่องจริง จนอาตมาพูดมาหมดแล้ว ว่าทุกวันนี้ศาสนาพระพุทธเจ้าที่มีโลกุตรธรรมนี่แหละ เป็นความวิเศษ เป็นความพิเศษของพระพุทธเจ้าที่ไม่มีศาสดาใดในโลก มีหนึ่งเดียวพระพุทธเจ้าไม่มีศาสดาใดในโลกที่มีโลกุตรธรรม มีพระพุทธเจ้า นอกนั้นก็โลกียะ เป็นเทวนิยมอยู่ทั้งหมด มีศาสนาพุทธที่สัมมาทิฏฐิ (สัมมาทิฏฐิ) เพราะแม้แต่คนไทยชาวพุทธก็ยังไม่เป็นโลกุตรธรรมยังไม่เป็นพุทธหรอก มีพวกเรานี่แหละ
จึงมาพิสูจน์ พิสูจน์ผล เกิดผล เกิดเป็นสังคม สาราณียธรรม 6 อันนี้เป็นจุดอ้างอิง ยืนยันได้ว่า นี่คือผลสำเร็จของศาสนาพระพุทธเจ้า ก็ต้องเข้าใจจริงๆ เลยว่า คุณธรรม สาราณียธรรม 6 มีอะไร
มีเมตตากายกรรม ก็ต้องรู้อาการเมตตาของคน ดูได้ทางกายกรรม เมตตากันหรือเปล่า เมตตากันคืออะไร? อ๋อ.. อยู่กันอย่างเมตตา
เมตตาวจีกรรม ก็มาจากมโนกรรม เกิดขึ้นมาจริง มีพฤติกรรมจริง มีอาการทางกาย ทางวาจา มาจากมโนเป็นประธานมา ออกมาเป็นพฤติการณ์มนุษย์ แล้วมาอยู่รวมกัน
เพราะจิตมีพุทธพจน์ 7 จิตมี สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ มีจิตระลึกถึงกัน สัมพันธ์กันดี รักกันเคารพกัน รู้ภูมิธรรม รู้จักผู้สูงผู้ต่ำ ผู้มีผู้ไม่มี ผู้เจริญ ผู้ยังไม่เจริญ ด้วยสัจจะ ด้วยความเป็นจริง ไม่ใช่ไปตั้งศักดิ์ฐานะให้ ก็รู้กันตามความเป็นจริง แล้วจะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ไม่วิวาทกัน อวิวาทะ สามัคคียะ อยู่กันอย่างพร้อมเพรียงสามัคคีเป็นปึกแผ่น เอกีภาวะ
นี่พวกเราเป็นปึกแผ่น ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้กับกษัตริย์ลิจฉวีแคว้นวัชชีว่า ทำอย่างนี้จะไม่มีอะไรตีแตก คือธรรมะอปริหานิยธรรมทั้ง 7
-
หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์
-
เมื่อประชุมก็พร้อมเพรียงกันประชุม เมื่อเลิกประชุม ก็พร้อมเพรียงกันเลิก และพร้อมเพรียงกันทำกิจที่ หมู่จะต้องทำ
-
จักไม่บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ
จักไม่เพิกถอนสิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ แล้วจักประพฤติมั่นในสิกขาบทตามที่พระองค์ ทรงบัญญัติไว้
-
สักการะเคารพนับถือบูชาท่านผู้เป็นเถระ ผู้เป็น..รัตตัญญู ผู้บวชมานานเป็นสังฆบิดร เป็นสังฆปริณายก และจักสำคัญถ้อยคำแห่งท่านเหล่านั้นว่า เป็นถ้อยคำอันตนพึงเชื่อฟัง
-
ไม่ตกอยู่ในอำนาจตัณหาที่เกิดขึ้นแล้ว อันเป็นเหตุให้เกิดเป็นภพต่อไป
-
จักพอใจอยู่ในเสนาสนะป่า (ป่า คือ สภาพความสงบ สงัดจากกิเลส)
-
จักเข้าไปตั้งความระลึกถึงเฉพาะตนไว้ว่า..