660925 ประชาธิปไตยโลกุตระที่มีอายะ 3 และ อธิปไตย 3 รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #42 ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1TGTHL3QgqQeKB4sFkSj06nscegzWUqkq/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1GDJPL8JlGZJzNP2iSsEcB4BD1ClXVkej/view?usp=sharing
และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/660925-167-1–3–3-e29ogcu
ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/nh8JG6wETf/
และ https://youtu.be/S8S3kmj2JY4
มีซับ
เพราะโลกุตตรธรรมเป็นเรื่องสำคัญ จึงต้องพยายามเผยแพร่ให้ได้มากทุกทาง
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 25 กันยายน 2566 ขึ้น 11 ค่ำเดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
ทีนี้เราก็มาสู่การฟังธรรม พวกเรานี้เจริญเป็นคนเจริญ รู้จักสาระในสาระ รู้จักความสำคัญในความสำคัญ ที่ถูกต้อง การได้ฟังธรรม โดยเฉพาะเป็นธรรมที่เป็นโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า เหมือนหาอาหารอันประเสริฐ ไม่มีอะไรมาเท่าเทียมที่เราได้ เราเป็นผู้รู้ เราก็รับเอาไป ผู้ที่ไม่รู้เขาก็เฉยเมย ไม่รู้สารู้สีอะไร ไม่ประสีประสาอะไร ทั้งๆ ที่เราส่งออกไปกระจายทางโทรทัศน์ พยายามจะให้ไปทางโทรทัศน์ เป็นทั้งพวกแบบส่งทาง Media ต่างๆ เดี๋ยวนี้เยอะแยะ รับได้ทางอินเตอร์เน็ต ทางอะไรต่ออะไรมากมาย ไม่ต้องไปเอาทางดาวเทียมก็ได้เยอะแยะมากมาย
แต่เราก็พยายามให้มีดาวเทียมด้วยมันจะได้กว้างทั้งโลก หมุนรอบโลกเลย เราก็พยายามให้มันไปถึง ยอมเสียค่าดาวเทียมอยู่เดือนละหลายแสน ก็ต้องเอา เพื่อมนุษยชาติ ได้มากได้น้อยไม่มีปัญหาหรอก ได้น้อยแม้คนหนึ่ง 2 คน 5 คน 10 คนก็ถือว่าได้ ถือว่าประเสริฐ ราคามันเทียบกันไม่ได้เลย โลกุตรธรรม
พยายามจะเรียกว่ายัดเยียด เราก็ยัดเยียด พยายาม แต่เราก็ไม่ไปแดกดันอะไรเขา ยัดเยียดแดกดัน เราก็กระจายออกไปธรรมชาติ ทุกคนมีอิสระเสรีภาพที่จะใช้ปัญญาเต็มใจรับเอา ไม่รับเอาก็ของใครของมันจริงๆ
มาเริ่มต้นที่ SMS :
_จาก ซึ้งซื่อ วิเชียร ครับ ขอกราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรสุดเกล้าครับ เรื่องของฌาน โดยใช้จากอาหาร โดยสัมผัสที่ลิ้นของเราเอง
พ่อครูว่า… การกินอาหารเป็นพฤติกรรมสามัญของมนุษยชาติ บางคนกิน 1 ครั้ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง บางคนกินนับครั้งไม่ถ้วน พวกกินนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ต้องไปพูดถึงเขาหรอกเพราะเขายังไม่สนใจ ขนาดคนที่ตั้งใจจะลดละน้อยครั้งน้อยมื้อลงมาแล้วพยายามพิจารณารายละเอียดยังมีอีกเยอะ
_เรื่องอาหารประจำวัน เรากินอาหารเพื่อเลี้ยงขันธ์ ด้วยการกินอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพไม่ให้เกิดโทษ ระหว่างกินก็อ่านเวทนาว่าตัวอร่อยมันไม่มีจริง แต่ก็รู้รสว่ามีเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เผ็ด ก็คือรสแท้ที่รับรู้ได้ด้วยลิ้น กินเพื่อทำประโยชน์ นี่คือการใช้ปัญญาเพื่อทำฌาน
พ่อครูว่า… ถูกต้อง ทำฌานไม่ใช่เรื่องพิลึกพิลือไปนั่งหลับตาเข้าไปเป็นหนึ่ง เขาก็อาศัยคำว่าความเป็นหนึ่ง แต่มันเป็นหนึ่งชนิดแบบของเขามันผิด ค่อยๆ ศึกษาไป พูดมามากแล้ว
_ลด ละ กิเลสต่อไป ไม่ต้องไปติดรส วางใจให้เป็นกลาง ไม่สุข ไม่ทุกข์ครับ ขอกราบขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงยิ่งครับ
พ่อครูว่า… ดี..พยายามทำไปให้ละเอียดๆ มันมีความหลงผิดแทรกๆแซงๆ อยู่ไม่น้อยนะ พยายามศึกษาให้ละเอียดลออไปตามขั้นตามตอน แล้วเราจะรู้ว่า..โอ้โห แม้แต่ทางที่ถูกต้องนี้ยังมีมารหลอกให้หลงทางอยู่ตลอดเวลา ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เหมือนกัน
อยู่ช่วยทางบ้านหรือมาวัดดีถ้าจะเป็นโพธิสัตว์น้อยๆ
_กราบนมัสการ พ่อท่านที่เคารพสูงยิ่งค่ะ และกราบสมณะ และสิกขมาตุ และญาติธรรมทุกคนค่ะ ดิฉันเข่ง ใจแก้ว จะมาเล่า
สภาวจิตที่มาอยู่นอกวัด
จากบ้านราช มีอาการจิตไม่เหมอนอยู่บ้านราชธานี ตื่นเช้าขึ้นก็ได้ทำกิจวัตรฟังธรรมกับหมู่คนมีศีล มีธรรม ต่างคนต่างสำรวมกรรมของตัวเอง เป็นคนมีวรรณะ 9 อยู่ด้วยกันแล้วอบอุ่นค่ะ ดิฉันตั้งใจจะมาช่วยให้พี่น้อง ลูกหลานเห็นสัจธรรมที่แท้จริงของอโศกบ้าง ครั้งนี้มาอยู่นานหน่อย แต่พออยู่ ดูแล้วจะช่วยคนทางโลกีย์นั้นมันไม่ง่ายเลย เพราะคนทางโลกบูชาเงินทองเป็นพระเจ้า ส่วนคนโลกุตระ บูชาธรรมเป็นที่พี่ง ตื่นเช้ามาก็พูดเรื่อง เงินๆ ทองๆ แต่พวกเราตื่นขึ้นมาก็ไปฟังธรรมให้ลดละกิเลสมาเป็นคนจน คนทางโลกกับคนทางธรรม พูดไปคนละทางค่ะ ดิฉันที่มาครั้งนี้มาศึกษาฝึกช่วยญาติใกล้ตัวก่อน ฝึกมาเป็นโพธิสัตว์น้อยๆ ค่ะ แต่แล้วพอเจอผัสสะไปแตะกิเลสสิ่งที่เขารักเข้า เขาก็โต้ตอบกลับ ถ้าดิฉันไม่อดทนและแล้วต้องให้อภัยเพิ่มเมตตาขึ้น ดิฉันท้อแน่ๆ ดิฉันว่าทำงานกับวัตถุ มันไม่ยากเท่ากับทำงานช่วยคนนั้นแสนจะยากๆ มากๆ ค่ะ ดิฉันเข้าใจชัดเจนพระโพธิสัตว์ใหญ่ พระโพธิสัตว์เล็กก็ต้องถูกด่า ถูกว่า เพราะให้คนลดละกิเลส ไปช่วยเขา แต่คนเขาคิดว่าไปว่าเขาด่าเขาค่ะ
กราบนมัสการพ่อท่านที่เคารพอย่างสูงยิ่งค่ะ
พ่อครูว่า…ตอนนี้ก็ คุณเข่งนี่เขาก็ได้ไปมีประสบการณ์ ประสบการณ์จริง ก็อยากจะช่วยพี่ช่วยน้องนะ พี่น้องแท้ๆเขา..สายโลหิต พี่น้องเขาก็เรียกร้องให้ไปบ้าง ฐานะของพี่น้องเขาก็เป็นเศรษฐีร้านทอง ที่ปาดังเบซาร์ เป็นเศรษฐีร้านทองมานานปีเลยนะ อายุของเข่งเขาก็ 70 กว่าแล้ว พี่เขาทั้งนั้น คิดดูสิอายุเท่าไหร่ พี่เขาก็ตั้งเท่าไหร่ ลูกหลานเขาต่างก็อยู่ที่นั่น เขาก็อยู่กับโลกีย์อย่างเต็มรูป เขาก็พยายามฝึกฝนตัวเขา ฝึกเป็นโพธิสัตว์น้อยๆ อย่างที่ว่า
ตื่นเช้ามาเขาบูชาแต่เงินแต่ทอง ที่นี่ตื่นเช้ามาก็ฟังธรรม เงินทองไม่ได้แยแส ไม่ได้คำนึงอะไร ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บมีคนรักษา ขี้หมามีคนช่วยกวาด ผ้าขาดมีคนช่วยชุน เรื่องบุญก็ศึกษาเอาของใครของมัน มันก็สบายพวกเรานี่นะ ช่วยกันคนละไม้คนละมือ บรรลุธรรมไปตามวรรณะ 9 หรือว่าพุทธพจน์ 7 แท้ๆ จริงๆ ของเรามันก็จริง พิสูจน์อนุสาสนีปาฏิหาริย์ พิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าว่ามันตรง มันจริง มันมีมรรคผลจริงไหม ก็ว่ากันไป
นี่ก็เป็นการรายงานผลที่มีประสบการณ์ของคนพวกเรานี่แหละยังแข็งแรง ยังจะสู้อยู่ จะช่วยพี่น้องตามที่หวัง เมื่อไหร่มันหมดหวังหรือว่า โอ้โห.. หรือว่า พอแล้ว พอแล้ว หวังได้แค่นี้ก็เอาแล้ว เมื่อยแล้วไม่ไหวแล้วก็มา ถ้าเผื่อว่ายังสู้กันอยู่ จะอยู่สู้กัน อยู่ช่วยพี่ช่วยน้องอยู่ก็เอา ลองดูเป็นโพธิสัตว์ในหมู่นั้น
ที่จริงการช่วยพี่ ช่วยน้อง ช่วยยากเพราะว่าถือว่าเป็นพี่เป็นน้องมันสนิทสนม ยิ่งเป็นพี่ด้วย..โอ้โห..ไม่ง่ายหรอก ช่วยพี่หรือว่าช่วยพ่อช่วยแม่ด้วย..ยาก มาช่วยเพื่อนๆ หรือผู้ที่เคารพนับถือเราเป็นผู้พี่ผู้พ่อผู้แม่อะไรอย่างนี้ ยังจะมีมรรคมีผล มีประโยชน์ ก็ไม่เป็นไร จะได้ทั้งสองด้านกุศลอย่างที่เข่งเขาทำก็ได้ มาฝึกอย่างที่พวกเราอยู่กันที่นี่ก็ได้ ก็ว่าไป ที่นี่ก็ยังกว้างกว่า ที่พี่น้องก็อยู่แคบใช่ไหม ก็ได้อยู่กับพี่กับน้องก็ไม่ได้ หมายความว่าจะพูดอยู่กับแต่พี่แต่น้อง จะพูดจาปราศรัยคบหากันอยู่แต่พี่แต่น้อง ก็ต้องมีเพื่อนฝูงมิตรสหายคนอื่นอยู่บ้าง ก็มีคนที่นั่น อาจจะมีคนสนใจกว่าพี่น้องก็ได้อยู่ จะทำงานอยู่อย่างนั้นก็ได้ แต่ไหวไหมล่ะคนเดียว คนเดียวหัวเดียวกระเทียมลีบไหวหรือเปล่า ถ้าไม่ไหวก็มา ไม่มีปัญหาหรอกที่นี่
รูปกลับเป็นนาม และนามกลับเป็นรูปได้ เช่นใด
_พลัธ รัตนวัชรินทร์ . กราบนมัสการพ่อท่าน รบกวนท่านพ่อ ยกตัวอย่าง “รูปกลายเป็นนาม” ให้ผมเห็นได้ชัดไปหน่อยครับ ขอบคุณครับ
พ่อครูว่า… ฟังดีๆ รูปกลายเป็นนามนี่ อาตมาอธิบายตั้งแต่เขียนหนังสือธรรมะเล่มแรก คือหนังสือที่ชื่อว่า “คนคืออะไร ทำไมสำคัญนัก” หนังสือธรรมะที่บรรจงเขียนเป็นเล่มแรกในชีวิต เป็นธรรมะเล่มแรก แล้วก็อธิบายขยายความประเด็นนี้ คนสงสัยและติดขัดและถึงขั้นไม่เชื่อ ก็รูปก็รูป นามก็นาม คนมันก็จะยึดมั่นถือมั่นอย่างนั้น รูปจะกลายเป็นนามนามและนามจะกลายเป็นรูป แล้วจะไปยังไง มันจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ไง กลับกลอกหรือเปล่า สับสนหรือเปล่า มันเป็นสัจจะ
ฟังอาตมาจะอธิบายสรุปให้ฟังง่ายๆ
รูป คือ สิ่งที่ถูกรู้ หิน นี่มันเป็นรูป มันถูกเราคือใช้จิต ใช้วิญญาณ ใช้นามธรรมของเรา ตัวรู้ ธาตุรู้ของเรามาสัมผัสมัน มันก็เป็นรูป จิตเราก็เป็นนาม
ทีนี้มันลึกซึ้งขึ้น ไอ้นี่มันเป็นรูปภายนอก ภายนอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันกระทบของภายนอก ก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้ภายนอก นั่นก็เป็นขั้นหยาบ ขั้นแรก ขั้นต้น มันไม่มีปัญหา ก็คงเข้าใจได้ อธิบายไปแล้ว และก็คงเข้าใจกันได้ไม่ยากอะไร
ทีนี้เรียกภาษาว่า รูป คือสิ่งที่ถูกรู้ อีกแหละ ทีนี้นามธรรมของเราที่มันรู้ เช่น มันรู้หินก้อนนี้แหละ นามธรรมที่ไปรู้หินตัวนี้ เสร็จแล้วเราก็ไปกระทบนามธรรมของเราข้างใน แล้วเราก็อ่านนามธรรมข้างในของเรา อ๋อ.. นามธรรมของเรามันมารู้ตัวนี้ เราก็รู้แล้วตัวนี้มันเป็นรูป รูปยังไงมันก็คืออย่างนั้น ใครที่ตาไม่เพี้ยนไม่บอดไม่เบี้ยวอะไรก็เห็นตรงกันหมด รูปก็เห็นตรงกันหมด
แต่นามธรรมของเรารับรู้นี่ เราเรียกกันนี้ว่า จิต เป็นนามธรรมคือจิตกระทบรู้ แล้วจิตของเรานี่แหละ แยกย่อยเป็นเจตสิก เป็นเวทนาเจตสิก เป็นต้น มันมีเวทนา สัญญา สังขารก็ตาม
เวทนา คือความรู้สึกเลย ความรู้สึกมันรู้สึก แล้วความรู้สึกมันปรุงแต่งวับเลย ชอบ ไม่ชอบ เฉยๆ มี 3 นัย ชอบ ไม่ชอบ เฉยๆกลางๆ
กลางๆ ประเภทบื้อๆ การปฏิบัติหลับตาก็เรียกว่าเป็นกิเลสเหมือนกัน แต่ยังไม่ต้องอธิบาย อ่านชอบหรือไม่ชอบก่อน
ไอ้ชอบหรือไม่ชอบนี่แหละ เราจะต้องวิจัยตัวนี้ แยกให้ออก เวทนาในเวทนา ศัพท์ของภาษาวิชาการ เวทนา คือความรู้สึก คือธาตุรับรู้สึก รู้สึกว่าสวยหรือไม่สวย ชอบหรือไม่ชอบ คืออาการเวทนาของเรา ชอบก็เป็นสุข ไม่ชอบก็เป็นทุกข์ ไม่ชอบก็ผลัก ชอบก็ดูด ถ้าไปหลับตาเอาไม่ใช่ของจริง
ไม่ว่าจะเป็นพวกหลับตาเข้าป่าหรืออยู่ในเมือง เขาอยากได้นิพพาน อาตมาก็สุดสงสาร อยากจะให้มีปัญญาแต่ก็ไปบังคับเขาไม่ได้พยายามจะเน้นขยาย อธิบายและก็ยืนยัน เชิญให้มาพิสูจน์เข้ามาสิลองดูแต่เพราะไปถูกครอบงำ ….
ตามอาณิสูตร ว่ามันจะเสื่อมแล้วมันก็ถึงยุคเสื่อมจริงๆ ในอนาคต นี่คือยุคเสื่อม เสื่อมให้เห็น เห็นจนไม่มีโลกุตรธรรม อาตมาอธิบายมาหมดแล้วยืนยัน โลกุตรธรรมไม่มี อาตมาต้องบังอาจประกาศตัวเองว่า อาตมานี่แหละนำโลกุตรธรรมมาสถาปนาลงไปในยุคนี้ มาเป็นผู้กอบกู้ศาสนาพุทธ จนสำเร็จ
สำเร็จอย่างไร สำเร็จจนมีผู้รับรู้รับเข้าใจ แล้วมาปฏิบัติตามแล้วก็บรรลุมรรคผลเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ จริง ตามที่อาตมายืนยันว่ามีอรหันต์จริงในชาวอโศก มีโพธิสัตว์ด้วย ขยายความโพธิสัตว์และอรหันต์มีนัยยะสำคัญที่แตกต่างกันยังไง ก็พูดไปแล้ว หลายรอบหลายที ละเอียดลออพอไม่ใช่น้อยแล้ว จนกระทั่งป่านนี้แล้วอายุ 90 ย่างแล้ว มันก็ชะลอความตายอยู่ตอนนี้ ก็ไม่รู้เมื่อไหร่มันจะตายจะหยุด จะลองพยายามดันทุรัง ขออภัย ดันสุรัง ไม่ใช่ดันทุรัง แต่ดันสุรัง อาตมาไม่ได้ดัน ทุ นะ ทุ มันไม่ดี แต่ดัน สุ พยายามดัน
คือพยายามฝืน พยายามที่จะทำ ต่อให้มันได้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ เป็นการพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้า เป็นการช่วยธรรมะของพระพุทธเจ้านี่แหละ เป็นการช่วยมนุษยชาติจริงๆ จังๆ นี่แหละ แล้วเราก็จะมีทักษะจะมีความชำนาญ มีอะไรต่ออะไรเจริญขึ้นด้วย ก็ไม่ได้มีความเสียหายอะไรเลยมีแต่เรื่องดี แม้อาตมาจะถูกด่า ถูกว่า ถูกตำหนิอะไร ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก อาตมาก็ชัดเจนก็เข้าใจอยู่ว่า คนไม่รู้เขาก็ต้องด่า ไม่รู้ประสีประสาเหมือนอย่างเด็กๆ
เด็กๆ ไม่รู้สีรู้สาอะไรเราก็ทำดีให้เขาหวังดีทำให้เขา ดีไม่ดีเขาก็มาทุบมาตีเรา มาว่ามาด่าเราเอาด้วยซ้ำ เด็กๆ มันก็จริงๆ ของเขา เขาไม่รู้เรื่อง คือไม่เดียงสา เขาไม่รู้ไปโกรธเขาไม่ได้
ไม่เดียงสานี่ก็คือยังอ่อนยังเยาว์หรือยังโง่ ยังด้อยยังน้อยเขาเข้าใจไม่ได้ เราไม่มีสิทธิ์ไปโกรธใครๆ ในโลก อย่าว่าแต่เขาไม่เดียงสา แม้แต่เป็นศัตรูจะมาฆ่าเรา เราก็ไม่มีสิทธิ์ไปโกรธเขา ที่อาตมาพูดนี้เป็นการพูดด้วยสัจจะ
แม้คนจะมาฆ่าเราก็ไม่ไปโกรธเพราะเขาไม่รู้ จะไปโกรธได้ยังไง ไปโกรธคนโง่ คนบ้า คนเมา แค่ 3 อย่างนี้ก็เหลือแหล่แล้ว คนโง่ คนบ้า คนเมาไปโกรธเขาได้ยังไง เขาไม่รู้จริงๆ เขาไม่มีสติสตังค์ สติเขาไม่เต็ม ความรู้เขาไม่พอ มันไปโกรธเขาไม่ได้ อันนี้เป็นสัจจะที่รู้จริงๆ แล้วอาตมาว่า
หรือเรารู้แล้วว่าอาการโกรธนี้จะไปทำขึ้นใส่จิตเราแม้น้อย..ทำขึ้นไปทำไม ทำขึ้นไปก็กรรมเป็นอันทำ คนโง่อยู่ก็ทำ เพราะฉะนั้นการทำใจในใจมนสิการ จึงเป็นเรื่องปฏิบัติธรรมแท้ๆ เป็นมูล ในต้นเค้าธรรมะข้อที่ 2 เลย มีความยินดีเป็นฉันทะข้อที่ 1 มีการปฏิบัติกระทำใจในใจ มนสิการ เป็นข้อที่ 2 มนสิการ ข้อที่ 3 มีผัสสะ
สำคัญมากเลยแค่ 3 ข้อนี้ ไม่ยินดี ไม่มีฉันทะปฏิบัติธรรมโลกุตระไม่ได้ ยินดีน้อยๆ ก็ยังไม่พอ ต้องยินดีเกิน 50% ที่จริงต้องเกิน 75% ขึ้นไปแล้วจะปฏิบัติธรรมได้อย่างดีมาก แต่เราบังคับไม่ได้ความยินดีของคน เขาไม่ยินดีแล้วจะทำยังไง มันต้องเกิดจริงในจิตฉันทะคือเป็นตัวแรกของมูลสูตร 10 เลย เห็นไหมสำคัญมาก
ต่อมาก็ต้องทำใจในใจเป็น อาตมาใช้คำว่า ทำใจในใจเป็น ทำใจในใจถูกต้อง ทำใจในใจตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วพวกนี้จะเกิดที่แดนเกิดหรือ สัมภวะหรือปภวะ
ถ้าไม่มีผัสสะก็เลิก ไปหลับตา ปิดตา หู จมูก ลิ้น กายก็โมฆะเลย มันก็จะต้องย้ำปากเปียกปากแฉะเรื่องนี้อีก เอาล่ะ เรื่องมูลสูตรพอ
ต้องมีผัสสะจึงจะปฏิบัติเวทนา 108
เมื่อกี้สรุปหรือยังเรื่องรูปนาม
_สู่แดนธรรม… พ่อท่านเพิ่งอธิบายนามเป็นรูปครับ
พ่อครูว่า… รูปก็คือสิ่งที่ถูกรู้ เมื่อมันถูกรู้ภายนอก อันนี้มันไม่กลับไปเป็นนามได้หรอก วัตถุข้างนอกมันไม่สามารถเป็นนามได้ แม้แต่คน เขาก็มีนามในตัวของเขา เราหยั่งรู้จิตของคนข้างนอก..มันก็เป็นรูป เราหยั่งรู้จิตของคนอื่นมันไม่ง่ายหรอก แต่มันก็สามารถรู้ได้ คุณรู้ได้ในจิตของคนอื่น เราไปรู้จิตของคนอื่น จิตของคนอื่นก็ชื่อว่ารูปที่เราเป็นนาม ธาตุรู้ของเราไปรู้ว่าอันนั้นเป็นรูป จิตของเขานะ
ทีนี้จิตของเรา จิตที่เกี่ยวกับวัตถุภายนอกนี้ เราเรียกว่า กามภพ เราก็เรียนรู้กิเลสที่กามนี้ให้ได้ แล้วเราก็กำจัดกามกิเลสนี้ให้ได้ รูปนี้เราก็ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ไม่มีชอบ ไม่มีชังกับมันแล้ว..เป็นอนาคามีภูมิขึ้นไป
ทีนี้ก็เหลือรูป รูปราคะ อรูปราคะ ข้างในต่อไป เราก็ไปรู้รูป รูปราคะนั่นแหละ มันเป็นนาม แต่เราจะต้องมีปัญญาญานหยั่งรู้ รูปราคะ เขาเรียกว่ารูปอยู่นั่นแหละ รูป รูปราคะ มันเป็นสิ่งที่ถูกรู้โดยญาณปัญญา โดยวิปัสสนาญาณของเราอีกทีหนึ่ง เพราะฉะนั้น รูปราคะ ก็กลายมาเป็นรูปที่มันคือนาม มันเป็นรูปราคะ มันไม่ใช่กามราคะข้างนอกนี่แล้วทางทวาร 5 แต่มันเป็นทวารจิต เป็นรูปราคะเป็นต้น
อรูปราคะ ก็ละเอียดขึ้นไปอีก ก็เหมือนกันนั่นแหละ พ้นรูปราคะได้ คุณหมดกิเลสรูปราคะได้ คุณจึงจะไปถึงขั้น อรูปราคะ มันเป็นขั้นตอนอย่างนี้
และในขณะที่คุณมี รูปราคะ ไม่ได้หมายความว่าคุณหลับตานะ คุณก็ลืมตาเรื่องเก่านี่แหละ เช่น ไอ้หินลูกนี้ คุณพ้นแล้วกามราคะ ไม่มีรักมีชัง ไม่มีผลักมีดูด เฉยๆ แต่ รูปราคะ คุณยังมีน้อยๆ ผลักดูดที่คุณจับรูปได้ชัด จึงเรียกว่า รูปราคะ จับรูปของจิตในจิต
ข้างนอกนี่คุณเองเฉยแล้ว ได้ไม่ได้ ถ้าเป็นประโยชน์จะได้ก็เอา ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่ได้ทุกข์ได้สุขอะไรกับไอ้สิ่งข้างนอก แต่ อารมณ์หรืออาการข้างในจิตของเรา รูปราคะของเรา มันยังมีอยู่
เพราะฉะนั้น รูปกลายเป็นนามก็อย่างนี้ รูปข้างนอกหมดไปแล้ว เหลือเป็นรูปข้างในที่เรารู้มันได้ มันก็เป็นรูป รูปกลายเป็นนาม นามมันกลายเป็นรูป มันก็รู้ซ้อนขึ้น ที่ถูกรู้เรียกว่า รูป ความรู้สึกเรียกว่านาม ที่ถูกรู้หรือที่เรารู้สัญญา เวทนา สัญญาก็คือตัวกำหนดรู้ เวทนาก็คือความรู้สึก ตัวรู้สึกเอง อันนั้นเป็นนาม ที่ถูกรู้
เพราะฉะนั้น เวทนาที่เป็นของแท้ กับ เวทนาที่เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ของแท้กับสุข ทุกข์ ต่างกันใช่ไหม เวทนารู้อันนี้หินกลมๆ อันนี้คือหินกลมๆ ของแท้ ชอบหรือไม่ชอบ เป็นของเก๊ หรือเป็นตัวที่จะถูกรู้อาการชอบหรือไม่ชอบ ไอ้ของเก๊นี้
ที่ถูกรู้เพราะมันเป็นนาม แต่ มันถูกรู้เข้า มันเป็นรูป มันถูกญานปัญญาตั้งแต่สัญญากำหนดรู้ จนกระทั่งถึงความฉลาดปัญญาว่า อ๋อ.. ไอ้นี่คือผี มาร เอง ไอ้นี่ตัวเก๊ ตัวปลอมไม่ใช่ตัวจริง ตัวจริงมันก็คือของจริงเท่านี้ แขก ฝรั่ง จีน ไทย เขมร กระทบรู้สึกเดียวกันหมด แปลภาษาจะต่างกันเท่านั้น ภาษาต่างกันไปแต่ความรู้สึกเดียวกันตรงกันหมด เวทนาตรงกันหมด
เพราะฉะนั้น เมื่อเรารู้ตัวเก๊ อาการเก๊กับอาการของแท้ได้ เราทำของเก๊ด้วยปัญญานี่ เฮ้ย! เอ็งเก๊ อาตมาอธิบายมาแล้ว ปัญญามีธรรมฤทธิ์ ไอ้ตัวโง่..มันเจอกับปัญญาเป็นธรรมฤทธิ์ก็บอกว่า..เฮ้ย! ปัญญาเห็นหน้าเราแล้ว รู้จักเราแล้ว มันวิ่งตูดแป้น อาตมาพูดไม่รู้กี่ทีแล้ว ในมารสังยุต มารวิ่งหนีไป จะใช้คำว่า ตถาคตเห็นเราแล้ว มารวิ่งหนีมารก็หายไป หรือไง มารหายวับไปเลย นี่แหละคือตัวปัญญา ตถาคตคือปัญญา เห็นไอ้สิ่งที่มันเป็นของเก๊ มันเป็นตัวหลอก มันหายไปเลย
นี่อธิบายเป็นภาษาไทย อธิบายเป็นสภาวะ ขยายโดยภาษาที่อาตมาใช้ ไม่ใช่ภาษาตามพระไตรปิฎกคำต่อคำเท่านั้น อย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นสัจจะ
เพราะฉะนั้น รูปกลายเป็นนาม นามกลายเป็นรูปนั้นก็คือเป็นเรื่องของ ภาวะสภาวธรรมที่มันกลับไปกลับมาได้ แต่ตัวญานปัญญาตัวธาตุรู้ที่รู้ชัดรู้เจนนี่แหละ ที่อาตมาอธิบายความไม่คงที่เหมือนกลับไปกลับมา เดี๋ยวนามเป็นรูป เดี๋ยวรูปเป็นนาม ถูกเป็นผิด ผิดเป็นถูก มีเป็นไม่มี ไม่มีเป็นมี อะไรสลับกันอยู่นี่มันเป็นพยัญชนะที่แทนสภาวะ ที่ต้องศึกษาดีๆ แล้วเราจะเข้าใจว่า อ๋อ เมื่อไหร่มันเป็นตัวจริง เมื่อไหร่มันเป็นตัวเก๊
เพราะฉะนั้น จิตผู้ใดที่สามารถจับความเกิด ความดับ หรือความเก๊ ความจริงนี้ได้ 2 สภาวะ จิตนั่นแหละ เรารู้ทันมายา เรียกด้วยศัพท์ว่า “สิริมหามายา” รู้ทันมายา
คำว่าเป็นมายาคือ สัจจะชนิดที่ครองโลกคือความหลอก มายาคือความหลอก เป็นสัจจะครองโลกถือว่าเป็นความหลอกที่เป็นความจริงที่เก๊ ความจริงครองโลก
เพราะฉะนั้น ผู้ที่รู้ความจริง จริงๆ แล้ว มันคือสิ่งที่กลับไปกลับมาอยู่ 2 อัน เพราะฉะนั้นยึดมั่นถือมั่นมันไม่ได้ เมื่อใดมันมีประโยชน์ก็ใช้มัน เมื่อใดมันไม่มีประโยชน์ก็ไม่ต้องไปใช้มัน แม้มันมีประโยชน์ใช้มันก็อย่าไปเชื่อมันอีก มันจะหลอกเราอีกได้ กลับกลอกได้อีก ก็แค่อาศัย อย่าไปสั่งสมลงใส่จิตให้เป็นนิสัย เป็นวิสัย เป็นอนุสัย ขยายความ อาศัย นิสัย วิสัย อนุสัย มาหลายทีแล้ว สยะ
ตั้งแต่ อาสยะ นิสยะ วิสยะ และก็อนุสยะ วันนี้ไม่ลงรายละเอียดอันนี้ ไปค้นหาอ่าน ฟังก็ได้ เดี๋ยวนี้เขามีเสียงอะไรกันเยอะ
สรุปแล้ว ตัวอย่างรูปกลายเป็นนาม หรือนามกลายเป็นรูป พอเข้าใจไหม คุณพลัธ นี่ ยกตัวอย่างให้ฟัง
เพราะฉะนั้น คนที่มาเข้าใจธรรมะอย่างที่ว่านี้ มันเป็นอัตตาอนัตตา มันเป็นตัวสิริมหามายาหรือเป็นมายา เรามีปัญญาญาณที่จะรู้ได้ว่า อะไรเป็นสิ่งที่เราจะอาศัย ถือว่าความจริงก็เป็นความจริงลำลอง เป็นความจริงที่เราใช้อาศัย บางอย่างอาศัยนาน บางอย่างอาศัยชั่วคราว อาศัยสั้น อาศัยยาวไปเป็นธรรมชาติธรรมดาตลอดกาล เอ้า..ศึกษาดีๆ ผู้ที่เริ่มมาศึกษาอาตมาก็ยินดีต้อนรับ เริ่มเข้าใจ ผู้ที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ เป็นคุณค่าก็อนุโมทนาสาธุ ยินดีด้วยอย่างมาก
_นพดล ทองโคตร สร้างชุมชน บนเทือกเขา ให้มีป่าอุดมสมบูรณ์ มีสาธารณโภคีแบบบ้านราชได้มั้ยขอรับพ่อครู คล้ายๆ ชนเผ่าหรรษา แต่มีโลกุตระ มีศีลบังเกิดในสังคม อย่างแจ้งชัด
พ่อครูว่า…ในเมืองก็สร้างได้ไปทำทำไมบนเทือกเขา บนเทือกเขาก็คนน้อย ไม่มากหรอกคน ไปทำบนเทือกเขาทำไม ไปทำก็ทำได้ ข้างล่างก็มีงานเยอะแยะให้ทำ
ทำได้แต่ว่าจะไปทำทำไม มันมีผลน้อย เรามาทำอยู่ที่นี่ ผลมีมากมีใหญ่เยอะแยะ อย่างภูเขาอาตมาก็สร้างขึ้น มีเขาน้อยๆ ก็สร้างธรรมชาติก็จะพากันสร้าง แต่ที่อยู่อาศัยก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเขาขึ้นให้เมื่อยทำไม เอาละก็เป็นความคิด เป็นความเห็นของคนนพดล
ตำรวจทหารต้องฆ่าโจรจะมีวิบากไหม
_ช่อทิพ หนูทอง . ตำรวจที่ ไม่ทุจริต ต้องฆ่าโจรเมื่อจำเป็น เรียนถามพ่อครูว่า
-
เขาต้องรับวิบากจากการผิดศีลข้อ 1 หรือไม่
พ่อครูว่า…ตอบ รับ มีกรรมมีวิบาก เดี๋ยวอธิบายได้ ขยายต่อไป
2.ในเมื่อพระพุทธเจ้ายังโปรดทุกคนให้เป็นอรหันต์ไม่ได้ ถ้าไม่ปราบโจรรุนแรง คนดีจะถูกทำร้ายเรื่อยไป ถ้ากลัววิบากจากผิดศีลข้อ 1 สังคมจะสงบสุขได้อย่างไรคะ?
พ่อครูว่า…ก็จริงของคุณอีก ตำรวจต้องฆ่าคน เป็นวิบากของตำรวจ แต่ผลดีเป็นกุศล กุศลคือผลดี ผลดีของตำรวจคือช่วยสังคม ให้อยู่เย็นเป็นสุขด้วยการปราบคนร้าย ปราบคนทุจริต มันก็มีกุศล กุศลมีทั้งดีทั้งชั่วคู่กัน ดี-ชั่วคู่กันนี้ แตกต่างจากสุขกับทุกข์ สุข-ทุกข์เป็นโลกุตระ ดีชั่วเป็นโลกียะ โลกียะเป็นสิ่งอาศัย สุข-ทุกข์เป็นของไม่ต้องอาศัยเลย พระอรหันต์ไม่มีสุข-ไม่มีทุกข์ ไม่ต้องไปอาศัยสุขทุกข์ จิตกลางๆ แล้วก็จบกิจเลย
เพราะฉะนั้น ตรงสุข-ทุกข์นี้ จึงเป็นโลกุตระยิ่งยอดที่บรรลุได้แล้ว จบกิจ จบทุกอย่างเลยในการที่จะจัดการกับจิตวิญญาณหรืออัตตา
เพราะคนมันโง่กับสุขนี่แหละ จึงเรียกว่า สุขนิยม เทวนิยมไม่ได้เรียนรู้โลกุตระนี้จึงติดสุข สุขมากสุขน้อยอะไรก็แล้วแต่ ถ้าไม่รู้แจ้งรู้จริงรู้จบจริงๆ แล้วล่ะก็ มันไม่หยุดหรอก มันไม่เกิดปัญญาทะลุโลกเลย มันจะต้องมาศึกษา
ถ้าศึกษาสุข-ทุกข์แล้ว ล้างสุข-ทุกข์ออกไปจากจิตได้เลย นี่แหละคือตัวจบสำคัญ ที่เราจะสลายกิเลส แล้วก็สลายอัตตา สลายจิตนิยามจิตวิญญาณของเราเป็นดินน้ำไฟลม ไม่ต้องมาเกิดวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารนี้อีกเลยได้
หรือคุณจะเกิดอยู่ก็เกิดได้ แต่ปัญญาญาณที่มันรู้แล้วว่า ดีชั่วคืออะไร ไม่ทำชั่วเลย สัพพะปาปัสสะ อกรณัง(ไม่ทำบาปทั้งปวง) กุสะลัสสูปสัมปะทา(ทำกุศลให้ถึงพร้อม) ทำแต่ดีเป็นสัจจะของศาสนาพุทธ ที่ทำดีเที่ยง เกิดอีกกี่ชาติก็ทำแต่ดีไม่ทำชั่วอีกแล้ว แต่โลกียะนั้นจะเกิดวนเวียนแล้วทำดี-ทำชั่วสลับกันไป โง่แล้วก็ฉลาดอย่างโลกีย์ไม่เที่ยง เป็นสมบัติผลัดกันชม ดีแล้วก็ชั่ว ชั่วแล้วมาดี ไม่เที่ยงแท้ ไม่มีปัญญาญานรู้จักชัดเจนในเรื่องดีแท้เป็นอย่างไร ชั่วแท้เป็นอย่างไร ซึ่งเป็นสมมุติ กลับไปกลับมาตามสังคมแต่ละกลุ่ม แล้วแต่กาละ เทศะ ฐานะ ของแต่ละกลุ่ม สมมุติไม่เท่ากัน สมมุติไม่เหมือนกัน
อันนั้นก็เรียนรู้ได้ แล้วทำดีตามสมมุติของโลกเขา ก็คือรู้โลก รู้อัตตา รู้ชัดเจนครบ จึงไม่สับสน ยืนยันเป็นคนมีหลักประกันว่า เกิดอีกกี่ชาติก็มีแต่ดี
ส่วนสุข-ทุกข์นั้น คุณบรรลุธรรม บรรลุอรหันต์แล้วดับสุขดับทุกข์ได้แล้ว คุณจะอยู่ช่วยโลกเขา จะอยู่สอนคนอื่น จะอยู่ช่วยคนอื่นให้รับรู้ตาม จะทำประโยชน์ หรือบำเพ็ญธรรมให้มันเจริญขึ้นไปเป็นพระพุทธเจ้า ที่จะมีขั้น มีตอน อย่างที่อาตมาก็ขยายไปหมดแล้ว โพธิสัตว์กี่ชั้น อรหันต์กี่ชั้น ก็ขยายความไว้มากมายแล้ว
เพราะฉะนั้น คุณจะอยู่ ทำประโยชน์อยู่ ก็ทำไป แม้แต่ที่สุดไปถึงขั้นเป็นพระพุทธเจ้า อาตมายังไม่ถึงพระพุทธเจ้าแต่รู้พิมพ์เขียว รู้แผนที่ไปถึงพระพุทธเจ้าแล้ว ก็เป็นสิทธิของอาตมา พระพุทธเจ้าทุกพระองค์สร้างศาสนาขึ้นมาในโลก 1 ครั้งแล้วก็พอแล้ว ไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ไหนเป็นพระพุทธเจ้า 2 สมัย..ไม่มี.. เพราะรู้ความจริงแล้วว่า ท่านก็ผ่านโพธิสัตว์มา สอนคนมา รื้อขนสัตว์มาเหน็ดเหนื่อย เหนื่อย
อย่างอาตมานี่เป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 ก็เหนื่อย ถ้าอาตมาไม่ตั้งปณิธานจะเป็นพระพุทธเจ้านะ อาตมาก็ปรินิพพานไปแล้ว ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ไปแล้ว
แต่นี่อาตมาก็
1.เป็นภาระที่ต้องต่อภพต่อศาสนาพระพุทธเจ้าไปให้ถึง 5,000 ปี
-
อาตมาก็ตั้งปณิธานไปเป็นพระพุทธเจ้า อะไรอย่างนี้เป็นต้น อาตมาจึงจำนนอยู่ ทุกวันนี้พยายามพิสูจน์แล้วพิสูจน์อีก การฝืนสังขารขันธ์ ฝืนการลากสังขาร ที่พูดหลายทีแล้ว พยายาม..เป็นได้พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ ผู้ที่จะให้อายุยืนยาวกว่ากัป ก็ทำได้