660927 จุดสำคัญที่สุดในสัจธรรมของพุทธคือสุข-ทุกข์ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1FJFN9p6esRfMQSvTyaKj979CG5Zt4_X8/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1DB2wXgZzRkzIu5iK5Qug9LwtCE1dtNgu/view?usp=sharing
และ
ดูวิดีโอได้ที่ https://www.facebook.com/100078722032092/videos/1027322601914457
และ
มีซับ
สมณะเดินดิน… วันนี้วันพุธที่ 27 กันยายน 2566 ขึ้น 13 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก ช่วงนี้บรรยากาศข่าวสังคม ตอนยุคกำนันนก ดูบิ๊กโจ๊กเขาลุยให้เห็นว่าตำรวจตกเป็นทาสของกำนันนกไม่ใช่น้อย เราดูบิ๊กโจ๊กเป็นวีรบุรุษไม่นาน ตอนนี้บิ๊กโจ๊กกลายเป็นจำเลยไปในตัวแล้ว สํานวนไทยชอบพูดว่าเละเป็นโจ๊ก อาจจะไม่เละก็ได้ เขาก็แฉกันไปแฉกันมา
พ่อครูก็พูดให้พวกเราฟังว่า ตอนนี้เรามีนายกฯ ชื่อ เศรษฐา แปลว่าความเจริญ ความเจริญก็มีทั้งความเจริญจริงและความเจริญปลอม ความเจริญจริงคือ ความเจริญที่สังคมมีความเป็นอยู่กันโดยไม่ได้แย่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ไม่ได้หลงในสิ่งเหล่านี้ แต่ว่าสังคมที่มีความเจริญปลอมก็จะหลงเงิน หลงอำนาจ หลงลาภ ยศ ถ้าเจริญจริงก็ไม่ได้คิดถึงสิ่งเหล่านี้ แต่คิดถึงประโยชน์สุข คิดถึงงานเพื่อประชาชนเป็นหลัก
ยุคนี้เป็นยุคที่เปิดฟ้า เปิดดิน เปิดนรก เปิดสวรรค์ ให้เราเห็นอะไรต่างๆได้ชัดเจน อันนี้ดูเหมือนจริงแต่ก็ไม่จริงอีกแล้ว วันนี้บิ๊กโจ๊กให้สัมภาษณ์ ที่เป็นสำนวนว่า ผมไม่อยากทุบหม้อข้าวตัวเอง ถ้าผมทุบหม้อข้าวตัวเองจะตายกันทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั่นแหละ ตอนนี้เขาถูกแฉเส้นทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับบ่อนการพนัน เขาบอกว่าเขาเองทำงานสืบสวนมาตลอด และเขารู้ว่าเส้นทางการเงินของใครต่อใครมีข้อมูลมากมาย แต่ไม่อยากจะทำเพราะกลัวน้องๆ เขาจะลำบากกัน พวกพิธีกรก็บอกว่าบิ๊กโจ๊กเอาเลย มีอะไรก็เปิดให้หมดแน่จริง
ทำให้เห็นว่า ใหญ่แค่ไหน เก่งแค่ไหน ก็อยู่กับความเจริญจอมปลอมๆ สุดท้ายฟังแล้วก็แยกไม่ออก เอาตำรวจเก่าๆอย่างพลตำรวจเอกเสรีมาสัมภาษณ์ ก็เหมือนกับล้างแค้นกันไปกันมา ประชาชนเลยไม่รู้จะเอาอะไรเป็นที่พึ่งเป็นหลักได้เลย มีแต่แฉกันไปกันมา
ทำให้เห็นว่าสังคมที่ดูเหมือนเจริญ แต่ไม่ได้เจริญจริง ดูเหมือนมีลาภ มียศ มีอะไรยิ่งใหญ่มากๆ แต่ก็ไม่ใช่ความยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ความเจริญที่แท้จริง เพราะว่าเบื้องหลังความเจริญเหล่านี้ มีการต่อสู้ การไล่ล่า การชิงไหวชิงพริบ
เราดูสังคมตำรวจกับทหาร ทหารนี่มีกำลังมากกว่า ตำรวจจะใหญ่กว่าทหารไม่ได้ แต่ดูทหารนิ่งกว่า และดูเป็นหลักให้กับบ้านเมืองได้มากกว่า สิ่งหนึ่งที่เป็นความแตกต่างคือในสังคมทหารจะไม่มีการต่อสู้แย่งชิงไล่ล่า คุณเปลว สีเงินบอกว่า เสือไม่กินเนื้อเสือด้วยกัน แต่วงการตำรวจที่ไล่ล่าหาเงินบ่อนเบี้ย ต้องหาเงินส่งให้เจ้านายกันทั้งนั้น สังคมอย่างนี้จะเห็นได้ว่า เป็นสังคมที่ไม่สามารถสงบได้ ช่วยเหลือประชาชนไม่ได้ ทำให้ได้เห็นที่พ่อครูพูดเอาไว้ชัดเจนว่า สังคมที่เจริญคือสังคมที่ไม่ได้ไปแย่ง ลาภ แย่งยศ เป็นสังคมที่คิดถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก
ซึ่งในวันที่ 13 ตุลาคมที่จะมาถึงนี้ รัฐบาลจะประกาศให้เป็น วันนวมินทรมหาราช พวกเราก็เห็นความสำคัญ ซึ่งวันนี้จะติดกับงานเทศกาลกินเจ ก็จะเปิดขายอาหารเจ จากวันนี้ต่อไปถึงเทศกาลเจเลย
อาหารจากเนื้อสัตว์เป็นบาปมิใช่บุญเลยในชีวกสูตร
พ่อครูว่า… จะเป็นอาหารเจได้ก็ต้องมีพืช พืชพันธุ์ธัญญาหาร มีพืชเป็นวัตถุดิบ เนื้อสัตว์เราไม่เกี่ยว เป็นพืช แม้แต่น้ำเค็ม น้ำหวาน อะไรก็จากพืชทั้งนั้น เค็มก็ไม่มีน้ำเค็มจากบูดู น้ำเค็มจากปลาแดกก็ไม่มี ถ้าปลาแดกของเราก็ปลาแดกถั่ว น้ำเค็มจากปลาแดกถั่ว
คือเราเป็นพวกมังสวิรัติ หรือว่าเจบริสุทธิ์ พืชพันธุ์ธัญญาหารที่เห็นๆ กันนี่ ลองกองมาจากศีรษะอโศก, กล้วยคาเวนดิชมาจาก สวนทำกิน ของพวกเรามี “สวนทำกิน” “สวนไม่ทำ..ไม่ได้กิน” ก็มี “สวนทำกินจึงจะได้กินก็มี” พวกเราตั้งชื่อกันหลายสวนมาก นอกนั้นก็มีชื่อสวนอีกเยอะแยะ ส่วนมันเทศนี้จาก “สวน 204”
ก็มีอย่างนี้แหละ เรามีพืชพันธุ์ธัญญาหารกิน อาตมาว่า ทำให้มันเป็นที่ปรากฏให้ได้ว่าพืชพันธุ์ธัญญาหารนี่ มันจะเป็นธรรมาวุธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก จะเป็นธรรมาวุธที่ยิ่งใหญ่ ใครจะสร้างอาวุธให้เก่งกาจสามารถพิเศษเลิศล้ำมีอำนาจทำลาย ได้ยอดเยี่ยมขนาดไหนก็ให้เขาทำไป มันเป็นเรื่องของกรรมบาป
อาตมาไม่ได้พูดเล่นหรอก อาตมาพูดจริง มันเป็นกรรมอกุศลกรรมบาปที่เขาทำสิ่งเหล่านั้นมาเพื่อประหารชีวิต เพื่อทำลายชีวิต แม้แต่ผู้ที่ไม่ได้ฆ่าโดยตรง แต่เป็นผู้สร้างมาก็เหลือใช้แล้ว คนสร้างอาวุธเพื่อประหารคน เพื่อมาทำลาย มันก็ใช่แล้วบาป ไม่บาปไม่มี การสร้างอาวุธมาประหารคน..ไม่บาปไม่มี เพราะความบาป ความเกิดอกุศล มันเกิดจากเจตนา มโนสัญเจตนา ตั้งแต่ตัวเจตนาที่พระพุทธเจ้า ท่านบอกว่าบาปและบุญนี่ จะเกิดบุญเป็นอันมาก ส่วนมากเป็นบาป ท่านก็อธิบายใน ชีวกสูตร ชัดเจนว่าบาปไม่ใช่บุญเลยเป็นอันมาก ก็คือบาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย ใน 5 ประการ ชีวกสูตร พูดแล้วพูดอีก ย้ำแล้วย้ำอีก ยากที่คนจะเข้าใจ เพราะว่ามันเป็นการอธิบายถึงขั้น เจตภูต ถึงขั้นปาณะ ถึงขั้นชีวะในระดับเจตภูตในระดับปาณะ ยังไม่ถึงขั้นสัตตะ ในมโนสัญเจตนา มันละเอียดลออไปถึงขนาดนั้น
มันจะเพียงจิตเริ่มต้นที่มีแนวโน้มไปในทางที่ โวโรเปตุง หรืออารัมภติ เป็นไปในทางมุ่งร้าย ที่มันมีกระแสว่าจะไปมุ่งร้ายเริ่มต้นแล้ว อย่างชีวกสูตร 5 ข้อ
ชีวกสูตร 1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น) อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภนฺติ หรือ สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตุง (สญฺจิจฺจ ปาณํ ชีวิตา โวโรเปตา) ไปเอาสัตว์นั้นมาก็มี สัญจิจจะหรืออุทิสสะ มีจิตมุ่งหมาย เจาะจงไปในตัวเหมือนกัน เจาะจงว่าสัตว์ และเมื่อกล่าวชื่อสัตว์ เช่น เอาไก่ตัวนั้น เอาไอ้โต้งตัวนั้น เอาหมูตัวขาวนั้นอะไรอย่างนี้ พอลงไปปั๊บนี่มันบาป เป็นอันมากไม่ใช่บุญเลยทันที ยิ่งคนไปจับมันมา ข้อ 2
-
สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส เป็นการพัฒนาการของจิต เป็นความฉิบหายของจิตหนักขึ้น จับตัวมา ผูกมา มัดมา สัตว์ได้รับทุกข์ สัตว์เป็นทุกข์แล้ว ถูกจับตัวมา แค่พูดยังไม่ได้ไปจับมันมา มันก็ยังไม่ทุกข์หรอกสัตว์ แต่เมื่อมันถูกจับ มันก็ทุกข์แล้ว เสร็จแล้วข้อที่ 3 จงฆ่าสัตว์นี้
-
ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้” ไม่บาปให้มันรู้ไปสิอันนี้ “พูดสั่ง” นี้บาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญแล้ว ฟังให้ละเอียดซ้ำซากให้ดีว่า การไปแตะกับสัตว์นี้ อย่าไปพูดถึงกิน แค่กล่าวชื่อสัตว์ เจตนาจิตไม่ดี คนไปจับมานี่บาปเป็นกระพรวนร่วมกันบาปแล้ว สั่งฆ่า ฆ่าสัตว์ตายในข้อที่ 4
-
สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส มันก็เห็นน้ำหนักของความเลวร้าย ความร้ายกาจของกรรมกิริยาของคน ข้อ 5 นี้มันเหมือนไม่ใหญ่แต่มันใหญ่ที่สุด
-
ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อกปฺปิเยน อสฺสาเทติ อิมินา ปญฺจเมน ฐาเนน พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ)ชีวกสูตร ล.13 ข.60
แล้วก็แค่เอาอาหารเนื้อสัตว์ที่คุณฆ่ามานี่แหละ เอาไปทำอาหาร ทำเป็นอาหารอย่างดี อย่างเอร็ดอร่อย ปรุงแต่งชั้นเลิศ นำมาถวาย ภิกษุหรือพระพุทธเจ้า ข้อ 5 นี่แหละ นี่แหละเรียกว่าเจาะจง
-
เจาะจงฆ่า สัตว์ตายเพราะความเจาะจง ไม่ใช่ไปเจาะจงบุคคล บุคคลนั้นไม่กินเนื้อสัตว์ ถ้าเจาะจงชื่อใครบุคคลใด บุคคลนั้นกินไม่ได้ นอกนั้นเขาไม่ได้เจาะจงชื่อกินได้หมด นี่พวกเจาะร่องให้ตัวเอง เจาะรูให้ตัวเอง เขาไม่ได้ระบุชื่อตัวเราเท่านั้น สัตว์นั้นตายด้วยการถูกฆ่าก็ไม่ถือว่าบาป กินได้หมด นี่พวกนี้เลี่ยงบาลี บาปเข้าตัว ไปช่วยกันโกหกหรือโกหกอย่างไม่รู้ ก็ยังบาปน้อยกว่าโกหกทั้งๆที่รู้นี่ จะบาปตั้งเท่าไหร่
เพราะฉะนั้น ข้อ 5 นี้เอาแต่แค่เอาอาหารเนื้อสัตว์ไปถวายเพื่อให้พระพุทธเจ้าหรือภิกษุ ทั้งหลายนี้ยินดีด้วยเนื้อสัตว์ ยินดีอาหารเนื้อสัตว์แค่นั้นน่ะ ยังไม่ทันได้กินหรอก ถ้ารับมากินเลยนี้ไม่ต้องพูดหรอก กรรมกิริยาจะหนาหนักตั้งเท่าไหร่
ยินดีในเนื้อสัตว์นะที่รับมา เนื้อสัตว์ชั้นดีหรือ โอ้โห! น่าจะอร่อยนะ โอ้โห! ไปใหญ่เลย แค่นี้ก็บาปที่เป็น อกัปปิยะ อันไม่ควรกระทำอย่างยิ่งเลย โดยเฉพาะข้อ 5 กำกับเลยไม่ควรกระทำ
ข้อ 1, 2, 3, 4 ก็ไม่ควรจะทำ มันชัดๆ อยู่แล้ว แม้แต่แค่เอาอาหารเนื้อสัตว์ไปถวายภิกษุ ไปถวายพระพุทธเจ้านี่ ก็บาปเป็นอันมากไม่ใช่บุญเลย อาตมาไม่ได้เลี่ยง ไม่ได้เบี้ยวบาลี ไม่ได้พูดเลี่ยงนะ คุณดูรายละเอียดว่าความละเอียดลออ 5 ข้อที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสนี้ มีนัยสำคัญละเอียดลึกซึ้งขนาดไหน คิดให้ดีเถอะ
อาตมาก็ได้แต่พูดด้วยความเจตนาดี ไม่อยากให้คนมีวิบากบาป มากินพืชพันธุ์ธัญญาหารนี้ มันก็ดี อยู่ได้ อายุยืนด้วย กินเนื้อสัตว์นั้นมันไม่ได้อายุยืน กินมากก็ยิ่งกินเนื้อสัตว์มาก ไม่มีพืชกินก็ยิ่งอายุสั้น เช่น พวกขั้วโลกเหนือ ขั้วโลกใต้ เขาไม่มีพืชจะกินเท่าไหร่ มีแต่เนื้อสัตว์ เนื้อปลาเป็นใหญ่แล้ว นอกนั้นก็เนื้อหมี จะมีสัตว์อะไรบ้างที่โน่น มีเพนกวิน สิงโตทะเล มันก็น้อย เห็นแต่หมีขาวเป็นส่วนใหญ่ ส่วนมากก็กินปลา
ก็มีสถิติอยู่แล้วว่าพวกชาวขั้วโลกเหนือนี้อายุสูงสุด 40 ค่าเฉลี่ยประมาณ 25 อายุ 25 ปีตาย สูงสุด 40 เขาก็มีสถิติ มีการตรวจสอบอะไรต่ออะไรกันมาแล้ว พวกนี้หลักฐานในการยืนยัน
พวกหรรษากินพืชเป็นหลัก อายุยืนเลย 100 พวกนี้พวกอยู่บ้าน อิ๊กลู่บ้านน้ำแข็ง จริงๆตัวไม่อ้วนเท่าไหร่หรอก แต่เสื้อผ้าหน้าแพรหุ้มตัวไว้ เพราะมันหนาว มันก็กินเนื้อกวาง กินเนื้ออะไรที่เขาเลี้ยง ดีไม่ดีเนื้อหมา ที่ใช้ลากรถอะไรอยู่ นี่พวกนี้หลักฐานยืนยันซึ่งพวกเราเลือกได้
พวกหรรษาหรือฮันซ่า แตกต่างจากพวกเผ่าเอสกิโม อายุสั้นอายุยืนกว่ากัน แค่อายุสั้นอายุยืนก็เหลือแหล่แล้วในมนุษยชาติ ใครอยากจะอายุสั้นล่ะ อยากอายุยืนๆกันทั้งนั้นแหละ ใครก็ปรารถนาอายุยาวยืนกัน
ก็ยังไม่ทันถึงวันงานเจเลย อาตมาก็เริ่มต้นเอาก่อนแล้วเพิ่งจะปลายกันยายน เทศกาลกินเจเริ่ม 14-15 ตุลาคม กลางเดือนตุลาคมโน้น
ขอโอภาปราศรัยกับ SMS ก่อน
วันที่ 25 กันยายน 2566 รายการปรับทุกข์ ปลุกธรรม
_Jaitham Sittinawin… ใจธรรม สิทธินาวิน . ดิฉันเห็นด้วยกับคุณใบฟ้า เรื่องทำหนังสืออภิธานศัพท์อโศก เป็นคู่มือศัพท์เล่มเล็กแบบธรรมพุทธสุดลึกค่ะ
พ่อครูว่า… ก็ลองฝากฟังกันไว้ ใครที่คิดจะรวมหัวรวมตัวกันทำ มันก็เป็นประโยชน์ ใครจะคิดอยากจะทำก็ทำ อาตมาก็ไม่มีเชิงจะไป มีออกความคิดความเห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้ใช้บังคับ แล้วแต่ใครจะมีน้ำใจหรือมีกำลังที่จะช่วยทำกัน ผู้ที่ทำกันอยู่แล้วก็ทำๆ กันอยู่บ้างแล้วก็ไปร่วมมือกัน หลายผู้หลายคนทำ ช่วยๆ กันได้มันก็ดี
ความยากหลายชั้นตอนในการทำงานรื้นขนสัตว์ของพ่อครู
_ดิฉันได้รับหนังสือ “อภิธานศัพท์อโศก” แล้วค่ะ กราบขอบพระคุณพ่อครู คณะผู้ร่วมทำทุกท่านทุกคน และขอขอบคุณคุณวิบูลย์ พีรพัฒนโภคิน ซึ่งได้ฟังเทศน์พ่อครู ก็ได้นำหนังสืออภิธานศัพท์อโศกมามอบให้ดิฉัน เล่มใหญ่มาก เนื้อหาดีมาก ดีใจมากค่ะ ขอเล่าเกี่ยวกับหนังสือนิดนึงนะคะ หนังสือนี้มีหัวข้อที่น่าสนใจเยอะค่ะ เช่น 50 ปี สิ่งที่ยากของสมณะโพธิรักษ์ ดิฉันอ่านหัวข้อนี้แล้วรู้สึกว่างานของพระโพธิสัตว์นี่ยากมากๆ ค่ะ งานยากอย่างนี้คนธรรมดาทำไม่ได้แน่ๆ ค่ะ 50 ปี สิ่งที่ยากของสมณะโพธิรักษ์
พ่อครูว่า… เฉกะ หรือ เฉโก มาจาก ฉ กับ เอก ฉ คือ 6 เอกนี่คือ 1 ทีนี่คนเข้าใจผิด คนมิจฉาทิฏฐิไปเอา 6 รวบเป็น 1 เฉกะหรือ เฉโก ไปรวบ 6 เป็น 1 แยก 6 ไม่ออก แยกความรู้ แจกวิภัตติเป็น 6 ไม่เป็น ไม่มีโลกุตรธรรม ไม่มีความรู้ในโลกุตรธรรม ไม่มีความรู้แบบปัญญาก็เลย ได้แต่ เฉกะหรือ เฉโก อยู่อย่างนี้ ตลอดกาลนาน
เทวนิยมไม่มีความรู้โลกุตรธรรมมีความรู้แต่ เฉโก อย่างนี้ อาตมาไม่ได้ไปหาความไม่ได้ไปหาเรื่องเทวนิยมหรือ เฉโก หรืออย่างที่เขาเป็นเช่นนั้นของเขาจริง ตามพยัญชนะก็ระบุทุกอย่าง มีทั้งตำนาน มีทั้งประวัติ มีทั้งพฤติกรรม มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ส่วนปัญญานั้น มันมารู้รายละเอียดหมดเลย แยกออกมาเป็น ฉฬายตนะ จึงใช้คำว่า ฉลาด มันกร่อนมาจากคำ ฉฬายตนะ มาเป็นภาษาไทยคือคำว่าฉลาด
อาตมาไม่ได้โมเม มันเป็นเรื่องจริง มันเป็นมาอย่างนั้น เพราะฉะนั้น คนฉลาดก็คือปัญญา ถ้าคนเฉโกอยู่มันไม่ใช่ฉลาด คนเฉโก คนมีความรู้แบบนั้นไปทิ้งหมดเลย 6 ไปรวบเป็น 1
-
ตามอะไรก็ตามพระศาสดาหรือตามพระเจ้าของเขา ระบุว่าอย่างไร คัมภีร์ว่าอย่างไร ระบุไว้อย่างไร อย่าไปแยกเป็น 2 ไปกระจายขยายความอีกต่างหาก ไม่ขึ้นกับ กาละ เทศะ ฐานะ ต้องเป็นของพระเจ้าหนึ่งเดียวตลอดกาลนาน เปลี่ยนแปลงออกจากตรงนั้น จะกาละไหน เทศะไหน ฐานะไหน เมื่อใด มีองค์ประกอบแตกต่างเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็ไม่เกี่ยว ต้องหนึ่งเดียวอยู่ตลอดกาลนาน โด่เด่ อยู่หนึ่งเดียวตลอด ไม่ขึ้นกับกาล ไม่ขั้นกับกาละ ไม่ขึ้นกับเทศะ ไม่ขึ้นกับสถานที่ องค์ประกอบอะไรไม่ขึ้น ไม่ขึ้นกับบุคคล ไม่ขึ้นอยู่กับจิตวิญญาณที่จะหลากหลายเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง..ไม่ขึ้น เป็นอย่างเก่า ยึดมั่นถือมั่นอย่างเดียว ตามคัมภีร์อย่าไปเปลี่ยน อย่าไปแก้ อย่าไปทำผิดเพี้ยนเป็นอันขาดอย่างนั้นเลย ก็น่าสงสาร น่าสงสาร
เพราะทุกอย่างไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทุกอย่างไม่เที่ยง คำว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง นี้สุดยอดลึกซึ้ง เอ้า.. ผ่านไปก่อน เดี๋ยวจะขยายความเพิ่มเติมอีก
_คือมีสิ่งที่ยากเป็นไปตามลำดับ คืออยากให้คนมีปัญญาโลกุตระสามารถมองเข้าหาตนเอง เห็นกิเลสตัวเองแล้ว ได้ลดกิเลสในตัวเองได้ถูก
พ่อครูว่า… เพราะไม่เห็นกิเลสตัวเองอย่างถูกตัวถูกตนของกิเลส มันจึงลดกิเลสไม่ถูกต้อง อ่านให้ออก อย่าไปขี้ตู่ อย่าไปเอาจิตของตัวเองร่วมด้วยมา ต้องมี ธัมมวิจัยสัมโภชงค์อย่างละเอียดลออ วิจัยธรรม กาย เวทนา จิต ธรรม วิจัยให้ดีๆ เมื่อได้กิเลสก็ฆ่าแต่กิเลส ปัญญาที่มันรู้แท้ๆ นี่แหละ ธาตุรู้ที่มันรู้เป็นปัญญาอันยิ่ง พอกิเลสมันเห็นหน้าปัญญา อย่างที่อธิบายแล้วในมารสังยุต
พอมันเจอหน้า สรุปง่ายๆ ก็คือ ตัวโง่มันเจอตัวฉลาด หรือตัวโง่มันเจอตัวปัญญา ตัวโง่มันถอย คุณคิดได้ เข้าใจได้ ไอ้โง่มันเจอกับปัญญา คุณจะเอาปัญญาหรือคุณจะเอาโง่ คุณก็เอาปัญญา ไอ้โง่ก็ถอย ไม่มีใครหรอก สามัญสำนึกธรรมดา โง่มันไม่สู้ปัญญา มันเจอปัญญามันวิ่งหนีทันที หายวับไป มันเป็นธรรมชาติเป็นธรรมฤทธิ์อาตมาใช้คำว่า ธรรมฤทธิ์ มันเป็นพลังงานที่เหนือชั้นกว่ากันอย่างชัดเจน
เพราะโง่มันเจอหน้าปัญญามันถอย มันจะไปสู้ได้อย่างไร โง่มันก็ต้องรู้ตัว ก็มีแต่ไอ้ดันทุรังจริงๆ โง่แล้วก็ไม่ยอมรับว่าโง่ เช่น ทักษิณ เป็นต้น ไม่ยอมรับว่าตัวโง่เลย ถ้ายอมรับว่าตัวโง่บ้าง จะเจริญทันที
คนที่รับว่าตัวเองโง่ รู้ว่าเออ เราโง่ก็โง่จริงๆ จริงขนาดไหน เขาก็ยังหลงว่ามันไม่จริง ไม่ได้โง่ไม่ได้ผิด ไม่ได้ด้อยอะไร ฉันต้องถูกฉันต้องจริง นี่เห็นชัดเจนเลยตัวอย่างเห็นไหม ที่เป็นตัวอย่าง แล้วก็หาทาง ยิ่งโง่ซ้อนโง่ซ้อนโง่ลึกซึ้งซับซ้อน ได้พลังงานว่าตัวเองมีอภิสิทธิ์ ตัวเองเก่ง ตัวเองไม่มีการแพ้ มีแต่ชนะๆๆๆ โอ้โห! มันซับซ้อน..เฮ้อ!
ไม่มีตัวอย่างอันใดที่จะเห็นชัดเจนเท่านี้อีกแล้วในประเทศไทย ประเทศอื่นจะมีอย่างนี้ขนาดนี้ไหมหนอไม่เท่าทักษิณ นักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร ต้องอ่านให้เต็มด้วยเขาให้ถูก ตามพระราชกิจจานุเบกษาบันทึกไว้หมดแล้ว นักโทษชายเด็ดขาด ทักษิณ ชินวัตร โอ้โห.. นาย ก็ยังไม่ได้เป็นอย่าว่าเป็นถึงดอกเตอร์เลย นายก็ไม่ได้เป็น พันโทก็ไม่ได้เป็น แต่ได้ article ใหม่ว่า เป็นนักโทษเด็ดขาดชายทักษิณ ชินวัตร
นี่เขาก็ไม่พยายามสำนึก ไอ้คำว่า สำนึก นี้อีกคำ ถ้าใครมีสำนึก สำนึกในความไม่ดีของตนเองได้ชัดเจน คนนี้จะเจริญๆ ไม่มีที่สิ้นสุดเลย สำนึกเพราะว่าจะต้องเป็นความจริงว่าเรานึกถึงอันนี้แล้ว โอ้โห! นี่เราผิดนะ อันนี้อาตมาก็นึกถึงมีคนหนึ่งเป็นดอกเตอร์เหมือนกัน อาตมาตั้งชื่อให้เขาว่า “สำนึก” เขาก็ซัดอาตมาเลยว่า ผมผิดอะไรมาตั้งชื่อผมว่า “สำนึก” โอ้โห! อาตมาก็เลยเปิดก่อนเลยคนนี้ ผมผิดอะไรมาตั้งชื่อให้ผมว่า สำนึก ก็เลยเอาเถอะ อาตมาก็เลยก็จริงๆ แล้วชื่อของเขาก็คือไม่สำนึกนั่นแหละ ชื่อของเขาก็คือมีไม่สำนึก มันก็จริงๆ นี่เป็นสัจจะที่อาตมาพบอยู่
_ปัญญานี้ก็ไม่ง่าย…ยาก… ข้อต่อมาก็ยากยิ่งขึ้น คือการเลื่อนมาเป็นผู้แพ้
พ่อครูว่า… โอ้โห อันนี้ก็เป็นอจินไตยมากเลย ทำไมเพลงผู้แพ้ดังตั้งแต่อาตมายังเด็ก ยังหนุ่ม อายุ 20-21 แต่งเพลงนี้ดังเลย สนั่นหวั่นไหว มันก็ยาก เพราะฉะนั้น ในที่สุดแห่งที่สุดเป็นผู้แพ้นี่แหละคือผู้ชนะทั้งโลก
_เดินบนเส้นความเป็นผู้แพ้มากกว่าจะเอาชนะคะคาน และข้อ 1 ข้อ 2 ก็เดินไปด้วยกัน เมื่อตัวตนเล็กลงน้อยลง ก็จะดำเนินไปเส้นทางผู้แพ้ คนที่ไม่มีตัวตนจะทำตัวให้แพ้ก็ได้ ชนะก็ได้ เป็นผู้ผิดก็ได้ ผู้ถูกก็ได้
พ่อครูว่า… เขาจะว่าเราเป็นผู้ผิดก็ได้ แต่จริงๆ เราต้องยืนยันตัวเองว่าเราไม่เป็นผู้ผิด แต่เป็นผู้แพ้ได้ เขาจะว่าเราผิดก็ได้ แต่เราจะต้องยืนหยัดยืนยันในความถูก
_ยากกว่านั้นอีกคือ การมาเป็นคนจน มารักชีวิต ความเป็นคนจน ทิ้งความร่ำรวย ความมั่งมี ออกมาสู่เส้นทางของความจน ก็มีแต่พวกชาวอโศกที่ฟังกันรู้เรื่อง
พ่อครูว่า… เป็นคนจนที่อุดมสมบูรณ์ พูดภาษาอะไร ตัวเราเป็นคนจนอุดมสมบูรณ์ไหม เหลือเฟือเลย เหลือเฟือ จ๊กม๊ก เลยนี่ มีตัวตลกคนหนึ่งเขาอยู่คณะจ๊กมก ชื่อเหลือเฟือ พวกเราเหลือเฟือจริงๆ
มารักชีวิตความเป็นคนจน แต่ก็อย่าไปชังคนรวย อย่าไปอคติกับคนรวยเขา
เพราะเราไม่ใช่แค่ฟังกันรู้เรื่องเท่านั้นนะ เอาตัวมาลงให้ลงตัวเลย เอาตัวมาลง นี่สำนวนของท่านเพาะพุทธ เอาตัวมาลงให้ลงตัวเลย..ใช่ไหม ไม่ใช่แต่ฟังรู้เรื่องเท่านั้น มาเป็นคนจนจริงๆ เลย
_แต่สิ่งที่ยากที่สุดในการทำงาน 50 ปี
พ่อครูว่า… มองเห็นความยากของอาตมานี่ชัดเนาะ เป็นชั้นๆๆๆ
_คือ ให้พวกเทวนิยม ไม่ติดสุข-ติดทุกข์
พ่อครูว่า… ถูกไหม..ถูก สุดยอด ขอขยายความตรงนี้
สุข-ทุกข์ นี้เป็นจุดที่สำคัญที่สุดแห่งสัจธรรมพระพุทธเจ้า ผู้ที่ปฏิบัติจิต โดยเฉพาะอ่านเวทนาเป็น แล้วก็ทำเวทนาหรือความรู้สึกให้หมดสุขหมดทุกข์
เวทนามี 3 ในเวทนา 108 นั่นแหละ แต่เวทนาหลัก 1.สุข 2. ทุกข์ 3.ไม่สุขไม่ทุกข์
ไม่สุขไม่ทุกข์แบ่งเป็น 2 1.เป็นของโลกีย์เขาก็ทำได้แต่มันยังมิจฉาทิฏฐิ ต้องสัมมาทิฏฐิ ไม่สุขไม่ทุกข์
เพราะฉะนั้น ผู้ที่สามารถเข้าใจได้อย่างที่อาตมาอธิบายไปว่าสุข-ทุกข์เป็นจอมมายามันไปรวบ 2 มาเป็น 1 มันหลอกนะ มันหลอกแล้วหลอกหน้าเดียวให้หลงหน้าสุข โดยหน้าหลังที่เป็นทุกข์นี้มันไม่บอก หรือไม่รู้เขาไม่รู้ เขาก็เลยมี 2 สุขทุกข์ สลับสับวนอยู่ในชีวิต อยู่ในวัฏฏสงสาร ไม่หมดไปได้
เพราะฉะนั้นถ้าจะดับต้องดับทั้ง 2 ทั้งสุขทั้งทุกข์ ดับไปเลย เหลือ 0
เพราะฉะนั้นผู้ที่ดับเวทนาสุข-ทุกข์ได้หมดแล้วเป็น 0 ตัวเหตุแห่งความสุขทุกข์เพราะกิเลส เพราะกิเลสหมดแล้วเป็น 0 จริงๆ คุณก็กลับมาอาศัยชีวะเป็น 1 ฟังให้ดีนะมากลับอาศัยชีวะ มากลับอาศัยจิตนิยาม เฉพาะจิตนิยามที่มีพลังงาน อธิปไตยอันวิเศษ อำนาจอยู่เหนือ อุตระ อยู่เหนือ อาศัยอยู่กับความเป็นชีวะเท่านั้นเอง
ไม่ได้สั่งสมให้เจตสิกต่างๆ สั่งสมเป็นนิสัย สั่งสมเป็นวิสัย สั่งสมเป็นอนุสัย..ไม่ อาศัยเท่านั้น เพื่อทำงานหรือเพื่อยังชีพไปเฉยๆ เช่น พระอรหันต์ที่จบกิจแล้ว บรรลุธรรมแล้ว ตรัสรู้อรหันต์ อรหัตตผลแล้ว ก็ทำไปไม่ต่อภพภูมิเป็นโพธิสัตว์ ก็ตายด้วย ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ตายไปด้วยนิพพาน 3 ก็สูญเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม แยกธาตุไปเลย นั่นคือสำหรับพระอรหันต์ที่ไม่ต่อภพภูมิจริงๆ เลย
เป็นพระอรหันต์ที่ต่อภพภูมิเป็นพระโพธิสัตว์ขึ้นไปอีก ทำความรู้เพิ่มขึ้นไปอีก อย่างที่ได้อธิบายโพธิสัตว์กี่ชั้น อรหันต์กี่ชั้น อาตมาก็อธิบายไปแล้ว ก็พอแค่นี้ก่อน ไม่ขอขยายความต่อตรงนี้
นี่คือสัจธรรมสิ่งที่ยิ่งใหญ่
ทีนี้สุข-ทุกข์ตรงนี้ ผู้ที่บรรลุตรงนี้ได้แล้ว จิตวิญญาณจะรู้จักหมดเลย เป็นอนัตตา มันจะรู้จักความไม่ใช่ตัวตน ไม่เที่ยง เป็นไตรลักษณ์ อยู่ที่จิตเราจะมีเจตนา ยึดหรือไม่ยึดไว้ ถ้ายึดไว้นี่ ศัพท์เขาเรียกว่า สมาทาน สมะ + อาทาน ฉวยไว้
ส่วนผู้ที่อวิชชาจะยึดอย่างอุปาทาน ไม่ใช่สมาทาน ยึดอย่างอุปาทาน ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ความเป็นจริง ยังไม่บรรลุ
เพราะฉะนั้นผู้ที่บรรลุแล้ว จะยึดอย่างสมาทาน อาศัยอย่างมีปัญญา สงบแล้ว ตัดแล้ว สมะแล้ว เสมอแล้ว สงบแล้ว มีปัญญาชัดเจน
เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถจบตรงนี้เรียกว่า จบกิจ เป็นอรหันต์จบกิจ
-
อรหันต์นี้จะเป็นผู้ที่เที่ยงแท้ชนิดที่หนึ่ง คือ จะเป็นคนไม่ทำความชั่ว ทำแต่ความดี ถ้ายังอยู่ต่อ จะอยู่อีกกี่ชาติก็ตาม จะทำแต่ดี นี้เป็นโลกียะ ไม่ทำชั่วอีกเลย เพราะฉะนั้นจิตจะมีแต่กุศล ไม่มีอกุศล บาปไม่มี อกุศลไม่มีแล้วบุญก็ไม่ต้องทำแล้ว เพราะเป็นอรหันต์แล้วจะไม่ต้องทำบุญอีก เพราะบุญคือความตัดกิเลสสิ้นอาสวะขั้นเรียกว่าอรหันต์
เพราะฉะนั้นกิเลสหมดแล้ว เกิดอีกกี่ชาติอาสวะดับหมดแล้ว ได้แล้ว เที่ยงแท้แล้ว เลือกได้เลย ขึ้นเป็นโพธิสัตว์ต่อมาก็ไม่มีกิเลสเกิดอีก โพธิสัตว์ในระดับต่อ ระดับโพธิสัตว์ระดับ 5 ระดับ 6 ระดับ 7 ขึ้นมาก็ไม่ต้องแล้ว อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นจึงเป็นเครื่องประกันว่าคนผู้นี้ จะยังมีชีวิตเกิดต่ออีกกี่ชาติจะไม่ทำชั่ว ทำแต่ดี
-
เมื่อเป็นอรหันต์แล้ว หมดสุขหมดทุกข์แล้วก็เป็นผู้ไม่สุขไม่ทุกข์ เกิดอีกกี่ชาติก็เป็นผู้ไม่สุขไม่ทุกข์ ทำแต่ประโยชน์
-
นอกจากไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว รู้แล้วว่ามันเป็นอนัตตา จิตวิญญาณ รู้จักเลยว่าการปล่อย สลาย ตายด้วยนิพพาน 3 ตายด้วย สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน ตายจิตว่าง วาง สูญ ไม่ตั้งนิมิต ไม่ยึดนิมิตใด ไม่ตั้งจิตที่จะเกิดต่ออีกเลย ตาย พลังงานจิตนิยามก็สลายเป็นดิน น้ำ ไฟ ลมไปหมดเลย สำเร็จได้เลย
เพราะฉะนั้นจึงเป็นหลักประกันทุกอย่างเลย เป็นอมตบุคคล
การมีจิตนิยาม เกิดแล้ว วนแล้ววนเล่าเป็นโลกียะ ทางเทวนิยมจึงมีทุกข์ มีสุข มีชั่ว มีดี มีอะไรต่ออะไร วนเวียน สมบัติผลัดกันชมอยู่นั่นแหละตลอดกาลนาน ไม่มีจบสิ้น แก้แค้นกันไป ดึงกันมา แก้แค้นกันไป ดึงกันมา ตั้งแต่เบาไปจนกระทั่งถึงหนัก ถึงยาก ถึงทรมานทรกรรมยังไงก็ทำไป
อาตมาเองไม่พยากรณ์ แต่จะขอบอกว่า ทักษิณเขายังอยู่ในภาวะที่เขาได้ เสวยภพที่ไม่เป็นทุกข์เกินไปไม่เป็นนรกเกินไป เขานึกว่าสวรรค์ มันกำลังมายา มันหลอกว่าเป็นสวรรค์กับเขา เขาได้ชนะทุกอย่างเหมือนเขานึกว่าขึ้นสวรรค์เสมอ เขายิ่งชนะ เขามีอภิสิทธิ์ยิ่งใหญ่เท่าไหร่ ก็นึกว่าเป็นสวรรค์แก่เขาตลอด มันซับซ้อนไปอีกแล้วว่าคุณยิ่งโง่ซับซ้อน โง่ยกกำลัง โอ้โห! ยกกำลัง 100 ยกกำลัง 1,000 ขึ้นเรื่อยๆ พูดไหวไหม 1,000 ยกกำลัง 1,000 ขึ้นเรื่อยๆ ให้แก่ตัวเองโดยความฉลาดของเขา ใช่ไหม โดยความมหาอภิมหาฉลาดของเขา นี้เป็นอย่างนี้ ฉลาดเฉโก
ขออภัยนะ ที่อาตมาต้องยืมพฤติกรรมของคุณทักษิณมาขยายความทางสัจธรรม มันเป็นตัวอย่างที่หยิบมาเห็นๆ พวกเรารับรู้ระลึกได้เช่น อาตมาอธิบายถึงกรรมกิริยาที่เขาละเอียดลออในการที่จะเอาชนะคะคาน ที่ไม่ยอมแพ้ ที่เขาได้เปรียบ ได้เปรียบ ได้เปรียบ อาตมาหยิบมาพูดไม่ไหว ใช่ไหม เขาทำมากเกินละเอียดซับซ้อน สมกับที่เป็น ด็อกเตอร์ทางอาชญวิทยา บิ๊กโจ๊กนี่ไม่ติดเลย บิ๊กโจ๊กนี่ยังไกลห่างมาก เขาแค่พันโทนะนี่ เขาแค่พันตำรวจโท พลตำรวจเอกอย่างบิ๊กโจ๊กสู้ไม่ได้ความฉลาด เฉโก สู้ไม่ได้ ไม่ได้เทียบครึ่งหนึ่ง นี่ก็ยังไม่รู้เลยว่าเขาจะออกหัวออกก้อยอย่างไรสำหรับบิ๊กโจ๊ก
นี่ก็ขออาศัยสิ่งที่มีจริงในสังคมเอามาอธิบายธรรมะ ขอบคุณทุกคนที่อาตมากล่าวนามพาดพิงถึง ขอบคุณจริงๆ ด้วยใจจริง คุณเป็นตัวอย่างให้อาตมาเอามาอาศัยสอนธรรมะ คุณได้กุศลนะ
ได้กุศลตรงที่อาตมาเอาคุณมาใช้เป็นตัวอย่างขยายความให้คนอื่นเขาได้รู้จักสัจธรรม แต่แน่นอนคุณอาจจะถือสา ถ้าคุณถือสาคุณก็พยาบาทอาตมา ลูกหลานของคุณทักษิณก็คงแค้นอาตมา โกรธอาตมาไม่ใช่น้อย ซึ่งมันก็ซวยของเขา เขายิ่งโกรธ เขายิ่งอาฆาตอาตมา เขายิ่งซวย นี่เป็นสัจจะ เขาจะฟังออกไหม เขาจะรู้เรื่องไหม ถึงรู้เรื่องเขาจะทำได้ไหม ให้จิตไม่อาฆาตพยาบาท ไม่โกรธ แต่อาตมายอม ยอมให้วิบากมันเกิด เพื่อจะได้ประโยชน์จากผู้ที่ได้รับฟังสัจธรรม อาตมาเห็นว่า อันนี้ราคาแพงกว่า ราคาของธรรมะแพงกว่า อาตมาก็ยอมเอาตัวเองเป็นผู้ที่ขาดทุน พวกคุณได้กำไรมากขึ้นอาตมาก็ต้องยอมใช่ไหม นี่อาตมาไม่ได้พูดเอาดีใส่ตัวนะ สัจจะมันเป็นอย่างนั้น..ใช่ไหม เอ้านี่ขยายความลึกซึ้งขึ้นไปแล้ว
สรุปตรงที่ว่า 1.เมื่อผู้ใดปฏิบัติธรรมพ้นสุขพ้นทุกข์ได้จริง..จบเลยจบทุกอย่าง ทั้งเป็นคนเกิดอีกก็ทำดี 2. ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ 3. คนจะ ปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ได้ หรือคุณจะเกิดอีกก็ได้ มาทำประโยชน์อีกเท่าไรก็ได้ มันจบแล้วนี่ ในการจะเวียนว่ายตายเกิดใช่ไหม เรากำหนดได้เองด้วย ไม่มีพระเจ้าที่ไหนมากำหนด เรานี่แหละกำหนดเองด้วย เราเป็นตัวของตัวเองกำหนดได้หมดเลย เราจะเอาอะไรยังไงได้หมด
แต่ถ้าคุณตาย ปรินิพพานเป็นปริโยสาน คุณจะกลับมาเกิดอีกไม่ได้นะ ตัดสินให้ดีๆตรงนั้นน่ะ แล้วคุณจะรู้เองว่าคุณจะตัดสินหรือไม่ตัดสิน ถ้าคุณเป็นโพธิสัตว์คุณก็เอียงไปทางตัดสินเป็นอรหันต์ คุณก็ไปสิ แต่ถ้าคุณเป็นโพธิสัตว์จะเข้าใจ มีปัญญาเข้าใจว่าจะต้องต่อก็ต้องต่อ อาตมานี่เป็นโพธิสัตว์มาหลายชาติได้หรือไม่ได้ก็ขั้น 7 แล้วถึงขั้นมีความรู้อันนี้เอามาพูดอย่างมั่นใจ ไม่ได้ไปพูดเล่นๆ ไม่ได้ไปพูดให้มันผิด พูดถูกทุกอย่าง ขอยืนยัน เป็นความถูก
ต่อมา คุณใจธรรมบอกว่า
_ล้างความยึดติดในสุข-ทุกข์ให้หมดไป ล้างเทวนิยม หมดสวรรค์ คิดว่าในศาสนาพุทธที่จะเข้าถึงตรงจุดนี้ได้ คิดว่ายากยิ่งขึ้นไปอีก
พ่อครูว่า… ไม่ต้องเอาสวรรค์เลย หมดสวรรค์แม้แต่ชาวพุทธก็ยังยาก
_งานโพธิกิจที่ทำมามีแต่เรื่องยากทั้งนั้นเลยที่จะพาผู้คนพ้นได้ ทางศาสนาเทวนิยมบอกว่าพาคนลงเรือโนอาห์แต่ของศาสนาพุทธก็พาขึ้น นาวาบุญนิยม มาล้างความสุข-ความทุกข์ให้หมดไป
ขอกราบขอบพระคุณพ่อครูด้วยความเคารพสุดเศียรสุดเกล้าค่ะ
พ่อครูว่า…คุณใจธรรมก็เข้าใจ ขยายความไปต่อก็ได้แต่เอาล่ะพอก่อนเอาแค่นี้ก็แล้วกัน
_Bongkot Harnrob บงกช หาญรบ . น้อมกราบนมัสการพ่อครูและหมู่สงฆ์ ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ดิฉันรับฟังที่ชัยภูมิชัดเจนดีค่ะ
แปลกใจว่าทำไมบางคนจึงยังคิดจะพึ่งความคิดทักษิณในการบริหารประเทศ
ก็เขาเป็นนักโทษที่หนีคดีในเรื่องต่างๆ ที่ทำชาติเสียหายมากมายหลายคดี ที่เขาทำเพื่อประโยชน์ตระกูลเขามายาวนานแล้ว และยังรับโทษอยู่ ยังจะพึ่งสมองขี้โกงเขาให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกหรือ ?
รัฐบาลนี้ควรพึ่งความคิดอดีตนายกฯลุงตู่ ขอคำแนะนำปรึกษาท่าน เคารพอ่อนน้อมเหมือนวันแรกที่เข้าไปพบท่านจะดีกว่าไหม? ประเทศไทยคงจะมีความปรองดองเจริญรุ่งเรืองยาวนานไปอีกแน่นอน กราบนมัสการค่ะ
พ่อครูว่า…นี่ก็คุณเข้าใจแต่คนที่ไม่เข้าใจจะบังคับให้เข้าใจได้ยังไง คนโง่ก็โง่ที่ตัวเองฉลาด คนที่ฉลาดก็ฉลาดเท่าที่ตัวเองโง่ นี่ก็สรุปแล้วอาตมาไม่มีภาษาอีกที่จะสรุปมากกว่านี้ มันบังคับกันไม่ได้ ก็ตามยถากรรม
ที่พูดมานี้ถูกต้องหมด ออกความเห็นมานี้ถูกต้องหมด อาตมาจะไม่ขยายความต่อเดี๋ยวจะไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่นเลย
_ภัทรมน ทองม แม่น้องแป้ง . กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ที่ทะเลธรรมติดโปสเตอร์ใช้คำว่า!! “พุทธจวน!!” แต่ที่อื่นเขาใช้คำว่า!! “พุทธวจน!!” ไม่ทราบว่าต่างกันอย่างไรคะ (สงสัยมานานแล้วค่ะ)
พ่อครูว่า…ก็ต่างกันตรงพิมพ์ผิดกัน เขียนผิดกัน คนหนึ่งเขียนว่าพุทธจวน ต้องอ่านว่า จะวะนะหรือจวน อีกอันอ่านว่า พุทธ วะ จะ นะ
ก็ต้องเอาคำว่า พุทธวจน จะเอาคำว่า พุทธจวน คงไม่ได้ ให้ไปแก้ซะ เอาละดี คนเราช่วยกันดู เห็นผิดก็แก้ไขให้มันถูก มันผิดคนที่พอรู้ว่าผิด มีปฏิภาณ รู้ว่าอันนี้ผิดไปก็อย่าติดใจถือสากันมากนัก ผิดได้คนเราผิดได้ คนเราจะเจริญได้ก็เพราะรู้ว่าเราผิดนั่นแหละ แล้วก็แก้ไขให้มันถูกไป
ควรสนใจช่วยพ่อครูทำงานดีกว่าไปสนใจมนุษย์ต่างดาว UFO
_Krathin Sukdee กระถิน สุขดี . กราบนมัสการพ่อครูเจ้าค่ะ สอบปัญหาว่า ในจักรวาลอันแสนกว้างใหญ่นี้ มีโลกใบนี้มีมนุษย์อาศัยอยู่ นั่นอาจเป็นไปได้ว่า ดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ ในจักรวาลนี้ก็อาจมีมนุษย์อยู่ใช่ไหมคะ?
พ่อครูว่า…ใครคิดว่าไง ในจักรวาลอีกเป็นล้านๆ โลกล้านๆ ดวง จะมีไหม..มี เราเดาได้ ไม่ผิดหรอก เพราะทุกอย่างมันก็อยู่ในธรรมชาติพวกนี้ ดาวดวงไหนที่มีเหตุปัจจัยถึงขั้นมีน้ำ มีชีวะ บางดวงก็ยังไม่ถึงขั้นมีมนุษย์ คือชีวะที่มันถึงขั้นจิตนิยาม ถึงขั้นเป็นสัตว์โลกชนิดที่เรียกว่า มนุษย์ จึงมีการเดากันว่า มนุษย์ในโลกพระอังคารนั้นจะเป็นตัวเหมือนที่เขาเคยเขียนกันแขนยาวๆ ขาลีบๆ แล้วก็มีหัวโตๆ เขาว่าคนพวกนั้นคงจะฉลาด เขาก็เลยเขียนหัวโตๆ สมองโตๆ แขนขาลีบๆ ตามจินตนาการของเขา ไม่รู้..เราก็ไม่รู้ อาตมาก็บอกได้ตรงๆว่าอาตมาไม่รู้แต่ก็พอเดา พอคาดได้อย่างที่คาดๆกัน
ซึ่งจริงๆ แล้วเราก็ไม่จำเป็นต้องไปนึก เราไม่จำเป็นจะต้องไปนึกให้เสียสมอง เสียพลังงานอะไรเลย ก็เพราะทุกอย่างเป็นไปตามกรรม มนุษย์จะเป็นมนุษย์ในดวงดาวดวงไหนก็ตาม กรรมยิ่งใหญ่กว่าก็อด กรรมนี่แหละ กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ จบแล้ว
กัมมังสัตเตวิภัชติ กัมมุนาวัตตติโลโก สัตว์โลกเกิดมาตาม กรรม ก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น นี่เป็นความรู้ของพุทธเจ้าที่สุดจบสุดยอดแล้ว เราศึกษาดีๆ แล้วจะเห็นจะจบ เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ต้องไปคิดต่อ คุณจะอยู่ต่อ คุณก็ไปโลกอื่นไม่ได้ ไปโลกอื่นคุณก็ทำอะไรไม่ได้
เพราะโลกลูกที่จะมีดวงดาว ดวงไหนที่จะมีมนุษย์อย่างที่พอจะพูดกันได้ โดยเขากำลังสงสัยว่าจะมี UFO จะมีจานบิน จากโลกลูกดวงต่างๆ ที่มันมีความฉลาดจนกระทั่ง สร้างพาหนะ เหาะจากโลกโน้นมาลงที่นี่ได้ จนป่านนี้ก็ยังจับไม่มั่นคั้นไม่ตายว่า ยังมีจานบินจริงหรือเปล่า ได้แต่เดาว่ามันมี UFO UFO ว่ากันไปเรื่อย นานแล้วนะใช่ไหม เดากันอย่างนี้งงหรือว่าใช่แล้วมันนานแล้ว UFO นี่ อย่าไปคิดเลย มันนอกความคิด มันเกินความคิด มันจะมีมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา เราก็ทำหน้าที่ จะอยู่มีชีวิตก็ทำสิ่งที่ดีแก่กันและกันไป
มนุษย์ต่างดาวมา UFO มา เราก็ทำสิ่งที่ดีให้เขาได้ ก็ทำสิ ทำไม่ได้พูดกันไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จะทำยังไง ก็ปล่อยให้คนที่เขาอยากจะสัมผัสสัมพันธ์กัน อยากจะสังสรรค์กันเขาก็ว่ากันไป เราไม่ต้องไปทำ แบ่งกัน เขาสนใจ เราไม่ต้องเอาอย่างนั้น เอาแต่แค่พวกเราก็เหลืองานแล้ว งานที่พวกเราจะทำเป็นโพธิสัตว์จะช่วยกันอีกนี่ มาทำแบ่งช่วยอาตมาบ้างสิ…โอ้ยเยอะแยะเลย… อาตมาถ้าไม่มีข้อผูกพันก็ ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปแล้ว นี่มีข้อผูกพันกับพระพุทธเจ้าสมณะโคดม และอาตมาก็จะต้องมีวิบากของอาตมาเอง ตั้งจิตว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งให้ได้ด้วย นี่คือข้อผูกพัน สิ่งที่อาตมาทำไว้เองที่จะต้องทำเท่านั้นเอง ก็ยังไม่ท้อแท้ โดยเฉพาะที่รับปากจากพระพุทธเจ้ามาโดยตรง ว่าจะต้องมากอบกู้ต่อศาสนาพุทธนี่ให้ไปถึง 5,000 ปี ตามของพระพุทธเจ้า
เพราะถ้าอาตมาไม่ต่อนี้ไม่ถึงนะ มาถึงวันนี้มันเสื่อมจริงๆ แล้ว ไม่ต้องเอาอะไรมาก 2,500 ปี ถ้าอาตมาไม่อุบัติขึ้นมานี่ จะมีโลกุตระต่อไหม..ไม่มี อยู่ที่ลังกา พม่า ลาว เป็นพุทธทั้งนั้นไม่มีหรือ ทำไม คุณไปรู้ได้ยังไงไม่มี? คุณไปสอบทานมาแล้วหรือ ลังกา พม่า ที่ไหนที่เมืองลาว ญี่ปุ่น จีน อะไร ผู้ที่ไปก็ลองสอบทานดูว่ามีโลกุตรภูมิตรงไหน มีภูมิไปสอบเขาไหมล่ะ ถ้าไม่มีภูมิไปสอบเขาก็ไม่ได้
Pattern อันนี้ที่ขึ้นมาให้เห็นอาตมาก็มีมาตั้งนานแล้ว ก็ทำความเข้าใจทุกอย่างที่ทำ Pattern อันนี้เอาไว้ ว่าศาสนาพุทธจะต้องครบ 5,000 ปี จะต้องมีพลังงานสร้าง ตั้งแต่ 36 ปี 72 ปี 108 ปี 144 ปี 151 ปี ถ้าอาตมาทำได้ถึงขั้นพีคสุดถึงยอดของสามเหลี่ยมนี้ได้ อาตมาก็ไม่ต้องมาเกิดอีก เพราะอาตมาถ้าจะเกิดก็มีประเด็นเดียว ประเด็นที่รับผิดชอบ ถ้าถึง 5,000 ปี อาตมาก็เสร็จอันนั้น ก็เหลือแต่อาตมาจะไปเป็นพระพุทธเจ้า ใช่ไหม ที่ปณิธานของตัวเองจะเป็นพระพุทธเจ้า ส่วนงานรับว่าจะต่อพุทธศาสนานี้ให้มีเนื้อโลกุตระไปถึงหมด 5,000 ปีของพระพุทธเจ้า ถ้าอาตมาทำสำเร็จ อาตมาก็จะเป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่เป็นพระพุทธเจ้าก็เรื่องของอาตมาอาตมาอาจจะรีไทร์ (retire) กลางทางก็ได้ แต่ยังไงๆมันก็ใกล้ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จากนี้ไปปั๊บ ถ้าอาตมาเป็นไปอีกก็เริ่มๆเข้าไปหามหาโพธิสัตว์เรื่อยๆแล้ว ก็เหลืออีกนิดเดียวเท่านั้นเอง โอย..อาตมา ทำมาหนักหนาสาหัสอยู่ตั้งนาน จะถึงอยู่แล้วรอมร่อจะไม่เอาก็กระไรอยู่หนอ
_สู่แดนธรรม… มีท่านปัจฉาสมณะช่วยตอบให้พ่อท่านว่า ที่ประเทศอื่นไม่มีโลกุตรธรรมนั้น ตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ลัทธิใดไม่มีมรรคมีองค์ 8 ลัทธินั้นไม่มีอาริยะ
พ่อครูว่า… ถูกต้องอีก เขาอธิบายไม่ได้หรอก ไม่มีมรรคมีองค์ 8 เขาก็อธิบายไม่ค่อยถูก มรรคมีองค์ 8 โพชฌงค์ 7 หรือโพธิปักขิยธรรม 37 ขยายความไม่ได้อย่างที่อาตมาขยายความใช่ไหม เพราะฉะนั้นมันก็ไม่เข้าใจรอบ ไม่เข้าใจถ้วน ไม่เข้าใจสมบูรณ์แบบ มันก็ปฏิบัติได้ยาก
แต่อาตมาว่า อาตมาขยายสมบูรณ์แบบแล้วนะพูดมาหมด พูดไปแล้วก็เหมือนกับยกย่องตัวเอง พูดแต่ถูกต้อง พูดแต่ดีๆ ดีๆ แต่ที่จริงมันเป็นการยืนยัน มันเป็นการอธิบายสัจธรรม เกิดความยินดีแล้วเขาจะได้ปัญญารู้ด้วยดี สุสูสังลภเตปัญญัง ถ้าใครเพ่งโทษก็ไม่ได้อะไรเท่าไหร่ แต่ถ้าใครไม่เพ่งโทษฟังด้วยดีจะได้ปัญญาจริงๆ เอ้า..ผ่านอันนี้ก่อน
วิโมกข์กับวิมุติต่างกันอย่างไร
_ลูกดิน . ขอกราบเรียนถามพ่อครูค่ะ วิโมกข์ & วิมุตติ หลุดพ้นต่างกันมั้ยคะ
พ่อครูว่า…เอ้อ..เอาละเอียดลออขึ้นไป เอาพยัญชนะมาค่อยๆขยายความกัน วิโมกข์กับวิมุติ 2 คำนี้ วิโมกข์กับวิมุตใช้แทนกันได้สำหรับนัยยะที่ยังไม่ละเอียดพอ ถ้านัยยะที่ละเอียดขึ้นไปแล้ว มันก็มีนัยสำคัญที่ต่าง
วิโมกข์นั่นคือ ภาวะที่ปฏิบัติเพื่อหลุดพ้น วิโมกข์ 8 เป็นต้น วิโมกข์ 8 สัมผัสด้วยกาย..ใช่ไหม วิโมกข์ 8 เป็นต้น เป็นตัวหลัก บ่งชี้ว่าให้ปฏิบัติตามนี้ มี 8 หลัก 8 ข้อนี่แหละ แล้วก็จะบรรลุธรรมอย่างนี้เป็นต้น เป็นหลักปฏิบัติ
ส่วนวิมุตินั้นหลุดพ้นแล้ว วิโมกข์นั้นเป็นตัวปฏิบัติเพื่อหลุดพ้น ส่วนวิมุตินั้นคือหลุดพ้นแล้ว เช่น วิมุติ 3 สุญญตวิมุติ อนิมิตวิมุติ อปนิหิตวิมุติ อย่างนี้เป็นต้น เอาสั้นๆแค่นี้ก็พอ ไม่อย่างนั้นจะฟั่นเฝืออีก วนไปวนมา ก็ต่างกันอย่างนั้นอย่างนี้นัยยะละเอียด
แต่นัยยะพูดที่ยังไม่มีภูมิละเอียดถึงขนาดนี้ก็ใช้แทนกันก่อน วิโมกข์ วิมุติ อย่าไปถึงขั้นปฏิบัติ ข้อปฏิบัติเพื่อจะให้หลุดพ้นยังไม่ถึง แล้วจะไปพูดถึงวิมุติทำไม วิโมกข์ก็ยังไม่ถึง เอาให้ถึงวิโมกข์ก่อน
คนโง่ก็จะกินอาหารประดุจกินเนื้อบุตรอยู่นั่นเอง
_สว่างแสง ขวัญดาว . น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ พ่อครูคะ ใน “ปุตตมังสสูตร”ที่ว่าพ่อแม่ร่วมมือฆ่าลูกเพื่อกินเนื้อลูก แล้วยังทำเนื้อเค็มไว้กินมื้อหน้า แล้วยังบ่นรำพันว่า “ลูกรักฉันหายไปไหน” ตัวของลูกเองเป็นแม่ลูกสอง ฟังเรื่องนี้ทีไรมันทุกข์ในหัวใจทุกครั้ง พ่อครูคะทำไมจิตคนเป็นได้ขนาดนี้คะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ
พ่อครูว่า…อุทาหรณ์ของพระพุทธเจ้านี้จริงๆ เลย จิตใจของคนมันโง่ มันลืม มันเลือน ก็ฆ่าด้วยมือ ฆ่าลูกตัวเองด้วยมือ แล้วก็ทำเป็นเนื้อเค็มเอาไว้ พกเอาไว้กินเพื่อจะเดินทางไปสู่นิพพานว่างั้นเถอะ ไปในทางทุรกันดาร ไปเรื่อย ก็ยังไม่รู้ทิศรู้ทางนะ ไปอยู่ในทางกันดาร ยังไม่รู้ทางจะไปจริงๆ เลย เสร็จแล้วก็จะไปๆ จนกระทั่งไป โอ้โห! อุทาหรณ์พระพุทธเจ้านี้สุดลึกซึ้งที่สุด ครบบริบูรณ์จริงๆ เลยว่าคนมันโง่ได้ระดับจริงๆ คนมันโง่มันโง่จริงๆ นะ ขออภัยอย่างทักษิณนี้เขาไม่รู้จะฉลาดขึ้นมาบ้างหรือยัง มันคิดไม่ออกเลยอะไรนิดอะไรหน่อย
แม้แต่ โถ..คุณจะไปอภิสิทธิ์ทำไม ไปเอาอภิสิทธิ์ คุณนึกว่าคุณได้ แต่ที่แท้คุณยิ่งฉิบหาย คุณยิ่งเติมสิ่งที่โง่หนักเข้าไปอีก คุณยิ่งเติมนรกให้ตัวเองซ้ำเข้าไปอีกเป็นวิบากซ้ำซ้อนเข้าไปอีก แล้วก็นึกว่าฉันได้เสวยสวรรค์ สวรรค์นั่นแหละนรกสวรรค์ยิ่งซ้อนเท่าไหร่ลึกเท่าไหร่นึกว่าสวรรค์สูง สวรรค์เก่งหลงสวรรค์ว่า ชั้นวิเศษเท่าไหร่ มันยิ่งเป็นนรกที่.. ฟังดีๆ นะ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ พูดแล้วก็น่าสงสารจริงๆ อีกด้วยซ้ำไป
อาตมาก็ได้แต่พูดสัจธรรมนี้ไปจะพอไปถึงเขา มีใครขยายอธิบายให้ฟังบ้าง พอจะแง้มใจออกมาได้สักน้อยไหมนี่ นะเอา
เพราะฉะนั้นคุณสว่างแสง ก็มีลูกคงจะสะท้อนใจพอเห็นสูตรนี้แล้ว ว่างๆ มาพูดทวนอีกในอาหาร 4 โดยเฉพาะอาหารที่ข้อแรกกินแล้วก็หลงในกาม จนกินเนื้อลูก ฆ่าลูกกินอะไรนี่ โอ้โห! สุดยอด
_Palatt Rattanawachirin พลัฏฐ์ รัตนวชิรินทร์
พ่อครูว่า… ชื่ออ่านยาก อาตมาเป็นนักตั้งชื่อ แต่ต่างกับคุณเสถียรพงษ์ วรรณปก เขาก็เป็นนักตั้งชื่อเหมือนกันนะ ตั้งชื่อให้คนมาเยอะเหมือนกันนะ แต่ตั้งเป็นภาษาบาลี ภาษาสันสกฤตเยอะทั้งนั้นเลย แบบนี้ อ่านแล้วก็ต้องมาแปล ต้องมาอ่านยังไงก็ยังยาก ส่วนอาตมานั้นเห็นคุณค่า ภาษาไทยเรามีเยอะ มีคุณค่า จะมาตั้งชื่อให้พวกเรา แต่ละคนๆได้ชื่อไปเพราะๆ กันทั้งนั้นเลย ใช่ไหม ไม่ต้องกล่าวถึงใครเดี๋ยวจะว่าลำเอียง กล่าวชื่อใครก็เพราะทั้งนั้น ทั้งคำเดียวไปจนกระทั่งไม่รู้กี่คำ 3 พยางค์ 4 พยางค์ แต่พยายามไม่ให้เกิน 4 พยางค์ ก็จะยาวก็ยังมีบางคนบางชื่อ แต่ก็ยังใช้ได้เยอะ ตั้งไปก็ไม่รู้เท่าไหร่แล้ว เป็นหมื่นแล้ว จะเป็นถึงแสนหรือเปล่าไม่รู้ที่อาตมาตั้ง
_สู่แดนธรรม… ที่ผมชอบที่สุดก็คือ พ่อท่านตั้งชื่อให้ตามสถานะของเขา เช่น บางคนเขาเกิดในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ พ่อท่านตั้งชื่อว่า คืนฟ้านวล น้องสาวเขาก็ชื่อ ชวนฟ้าชม
พ่อครูว่า… มันมีนัยสำคัญลึกซึ้งบางคนก็มี อจินไตย มี คืนฟ้าเพ็ญ ก็มี เอาละ
ตัวที่ถูกรู้คือรูป และตัวรู้คือนาม เขาจะให้อธิบายตัวที่ถูกรู้กลายเป็นรูปอย่างไร
นามเป็นรูป รูปเป็นนาม เจโตปริยญาณ 16
_ตัวอย่างยังไม่ชัดกรุณาอธิบายตัวที่ถูกรู้ กลายเป็นตัวรู้อย่างไรครับ เช่น จิตที่ท่านพ่อยกตัวอย่างในคนคืออะไร ที่คิดถึงการพรอดรักกับคนรักแล้วเป็นตัวถูกรู้ โดยธรรมารมณ์จะกลายเป็นตัวรู้อีกทีอย่างไรครับ ขอบคุณครับ
พ่อครูว่า… ไม่ต้องใช้ศัพท์พวกนั้น เดี๋ยวอธิบายง่ายๆ
รูปกับนาม มันจะเป็นคู่ ที่ตัวถูกรู้กับตัวผู้รู้เป็นคู่กันแยกไม่ออก มันต้องทำงานร่วมกันไปตลอด เพราะฉะนั้นมันจะเริ่มต้นจาก รูป ที่เป็นอื่นไม่ใช่เรา แล้วเราก็ไปเกี่ยวข้องเข้า เกี่ยวข้องสัมผัส อย่างน้อยที่ยังไม่สัมผัสมันไม่เกี่ยวกับเรา ต้องสัมผัส พอสัมผัสก็จะเกิดตัวที่ถูกรู้ขึ้นเป็นรูป แล้วก็ตัวเราผู้รู้อีกอันหนึ่งเป็นนาม
เมื่อยังไม่ได้ศึกษาธรรมะตัวนาม ตัวถูกรู้นี่ก็จะมีชอบหรือชัง ผลักหรือดูด มันก็จะเกิด 2 เหมือนกัน โลภหรือโกรธอะไรพวกนี้ มันเป็นผลักหรือดูด 2 อันเสมอ เราก็มารู้จิตของเราว่ามันเกิด 2 เราไปยึดอย่างหนึ่ง..ชอบ หรือไปยึดไม่ชอบ มันเป็นสภาพคู่ ชอบ-ไม่ชอบ
เพราะฉะนั้นสิ่งที่มันมาเกิดอาการว่าชอบ-ไม่ชอบนี้ มันเป็นเวทนา ตัวที่อยู่ข้างนอกที่เราสัมผัสแล้ว ก็เรียกว่า กาย สิ่งที่นอกตัวเราสัมผัสกับภายนอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสเข้าก็เกิด จิต เจตสิกของเราข้างในอีกตัวหนึ่งเกิดรู้
แต่เรายังไม่รู้แยกกิเลสไม่ออก มันก็ปรุงเป็นชอบหรือไม่ชอบชอบหรือชังทันที มันก็ปรุง ไอ้ตัวไม่ชอบหรือชอบนี่แหละที่ปรุงปั๊บ มันเป็นนาม..ใช่ไหม เป็นเวทนา ทุกขเวทนาหรือสุขเวทนาหรือไม่ทุกข์ไม่สุขก็ได้สัมผัสแล้วก็เฉยๆ ไม่ชอบก็ได้ ชอบก็ได้ ไม่มีทั้งชอบไม่มีทั้งไม่ชอบก็เฉยๆ ก็ได้ก็เยอะแยะ สัมผัสแล้วก็เฉยๆ ชอบก็ไม่ไม่ชอบก็ไม่เยอะใช่ไหม ชอบก็ไม่ชอบมันเยอะกว่าเฉยๆ คุณจะทำไง หยิบอะไรขึ้นมาก็ชอบก็ชังมันก็เมื่อยตายเลย วันๆ หนึ่งสัมผัสกับอีกตั้งเท่าไหร่กี่ล้านๆ อย่าง วันๆ หนึ่งสัมผัสเป็นล้านๆ อย่างนะ นอกจากคุณจะเบลอๆ เมาๆ ไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าคุณสังเกตุสังเกตสัมผัสแล้วเรา โอ้โห!! คุณนับเป็นวินาทีไหมมันเร็วกว่าวินาที ใช่ไหมสัมผัสนี้ จิตมันเร็วกว่าวินาที คูณไปสิ วันหนึ่งอย่างน้อย 12 ชั่วโมง ไม่ต้องนับกลางคืนก็ได้เท่าไหร่ มันไม่ไหว เอ้าต่อ
เพราะฉะนั้นเมื่อคุณไปเข้าใจไอ้รูปกับนามตั้งแต่หยาบข้างนอกแล้ว พอเข้ามาข้างใน มันเป็นนาม คุณก็วิเคราะห์วิจัยอันนี้ด้วยความวิเคราะห์วิจัย กายในกาย ให้ไปถึงเวทนา วิเคราะห์วิจัยคำว่ากายในกายมันก็คือเวทนา ตัวกายในกายที่ยังไม่วิเคราะห์วิจัยมันก็ยังร่วมปนๆเป็นสังขารธรรม ทุกข์สุขอยู่ หรือชอบชังอยู่ คุณก็มาดูตัวนี้อีกทีหนึ่ง ตัวนี้เป็นนามใช่ไหม ชอบชัง ไม่ชอบไม่ชัง มันเป็นเวทนาเป็นนามใช่ไหม คุณก็สัมผัสตรงนาม
พอคุณสัมผัสลงไปตรงนี้ปั๊บ อาการนี้เป็นเวทนา ไม่ใช่กายตัวนั้นแล้ว มันเอาแต่เฉพาะนามข้างในแล้ว แต่สัมผัสๆ จริงมันไม่ได้ขาดกันกับข้างนอกอยู่ แต่เราไม่เอาไม่เกี่ยว เรามาเพ่งที่นาม แล้วคุณก็วิจัยนามให้ออก มันเป็นของจริงกับของเก๊ เวทนาเก๊ ขอใช้ศัพท์นี้
เวทนาคืออารมณ์จริง หรือตัวรู้แท้กับตัวรู้เก๊ รู้เก๊ นี่มันเป็นกิเลสปรุงแต่งผสม เป็นเวทนา ก็มาแยกตัวนี้ให้ได้อีก
เพราะฉะนั้น ตัวที่มันถูกรู้ตัวนี้ก็กลายเป็นรูป ตัวคุณมาวิจัยอีกทีหนึ่งนี่ก็เป็นตัววิจัย วิจัย วิตก วิจาร ธัมมวิจัยสัมโภชงค์อีกทีหนึ่งเป็นเจตสิกร่วม เจตสิกของคุณไปทำงานเป็นธัมมวิจัยสัมโภชงค์ทำงานเป็นวิจัย มันก็เป็นนาม
ไอ้ตัวจิตเจตสิกที่เป็นเวทนา ที่มันทุกข์สุขหรือมันผลักดูดอยู่นี่ ก็กลายเป็นรูป ใช่ไหม ไม่สับสนใช่ไหม
เพราะฉะนั้นเมื่อคุณวิจัยตัวนี้ คุณจะต้องมีความรู้ใน เจโตปริยญาณ 16 คือจิตในจิต 1. สราคจิต (จิตมีราคะ) 2. วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ) 3. สโทสจิต (จิตมีโทสะ) 4. วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ) 5. สโมหจิต (จิตมีโมหะ) 6. วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ)
3 คู่ คุณก็ทำต่อไปอีก วิจัยแล้ว คุณก็รู้ว่ามันมีกิเลสร่วม คุณต้องลดกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ ให้ได้ คุณก็ทำต่อไป มันได้หรือไม่ได้ มันก็อยู่ที่ฐาน 2 คือฐานเจโตกับฐานสายพุทธิ สาย Static กับสาย Dynamic
-
สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) สาย Static เป็นก้อนตีไม่แตก 8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด) Dynamic
คุณก็รู้อาการว่าคุณก็ต้องทำแล้วคุณทำยังไม่สำเร็จ มันยังเป็น สังขิตฺตํจิตตํ วิกขิตฺตํจิตตํ อยู่ตามตระกูลจิตของคุณ คุณก็ต้องแยกให้ออก ทำให้มันรู้เพิ่มขึ้น เจริญขึ้น วิจัยเอากิเลสออกให้ได้ ยังไม่ได้ ก็เป็น อมหัคตะ
มหะคือมาก อัคคะคือเลิศยอด ทำได้ก็ มหัคคตจิต
-
มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น) 10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น) ทำได้จิตก็เจริญขึ้นเรียกว่าเป็น 11. สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ) ดีแบบอุตระ ดีแบบเหนือโลกียะแล้ว จับกิเลสลดกิเลสได้ แต่ดีกว่านี้ยังมีอีก ยังไม่จบ
-
อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) .
คุณทำต่อไปจนกระทั่งแยกได้ว่า อ้อ..จบจริงๆแล้ว วิมุติจริงๆ จนกระทั่งสั่งสมวิมุติ เช่น อภิสังขาร 3 มี ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร
ปุญญาภิสังขาร คุณทำจนกำจัดกิเลสได้เด็ดขาดแล้วเป็น อปุญญาภิสังขาร แล้วไม่ต้องใช้ปุญญะแล้ว
ฉะนั้นจิตที่พ้นจาก ปุญญาภิสังขาร ไม่ต้องทำบุญอีก คุณก็อภิสังขารต่อไปอีก มันก็มีแต่กุศล มีแต่ความรู้ที่เพิ่มขึ้น มีแต่ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เจริญต่อไปเรื่อยๆ คุณก็ทำต่อไปอีก
ปริสุทธาก็คือสะอาด มันก็สะอาดยิ่งขึ้น ปริโยทาตา แล้วก็สั่งสมลงไปในจิตตัวเองเรียกว่า จิตมุทุภูตธาตุ มุทุภูตธาตุ จิตที่สั่งสมคุณสมบัติอันวิเศษของจิตที่เจริญ แล้วมันก็เจริญขึ้น ก็ไปทำงานเป็น กัมมัญญา ทำงานก็เจริญสูงขึ้นไปอีกเรื่อย เหมาะควรแก่การงานมีความเฉลียวฉลาดมีความสามารถมีสมรรถนะสูงไปเรื่อยๆ เป็น กัมมัญญา งานมีแต่ถูกต้องไม่บกพร่องไปเรื่อยๆ แต่ทำงานยังไง จิตก็ประภัสสร ไม่มีหมอง ไม่มีหม่น ไม่มีลดคุณภาพ มีแต่แสงสว่างเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นประภัสสร นี่คือคุณสมบัติ 5 ประการของ โลกุตรจิต เรียกว่าอุเบกขา 5
ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก (ธาตุวิภังคสูตร พตปฎ. เล่ม 14 ข้อ 690) อาตมาก็เอามาใช้อธิบายธรรมะมานานแล้ว มาก นี่เป็นความเจริญของความจบ ทีนี้พอคุณไม่ต้องใช้ อปุญญะ ก็ทำให้เจริญเป็น ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
จิตของคุณก็ตกผลึกเป็น อเนญชา สั่งสมความตั้งมั่นเรียกว่า สมาหิโต เป็นคู่สุดท้าย จิตตั้งมั่นเป็นสมาหิตะ และทบทวนอีก 2 คู่สุดท้าย
-
สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว) 14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์) 15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) . . . 16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) . (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 135)