661002 คนมาด้วยปัญญากับไซโคพาธหลอกมา ต่างกันอย่างไร รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #43 ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1aF6In5BxHW6qpTuOPi10eRIPeK9CLmEq/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1z15-VmwOtXEgLbk2V7ufEwX9fzSayb1y/view?usp=sharing
และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/661002-167-1-_128-kbps-e2a289n
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/B8lbK_0S2RQ
และ (มีซับ) https://fb.watch/nqnmyAZtRQ/
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 2 ตุลาคม 2566 แรม 3 ค่ำ เดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก เราก็มาเริ่มฟังธรรมกัน ฝนอย่าเพิ่งตกเลยเน้อ เสียงมันรบกวนไม่ใช่อะไรหรอก เราไม่รั่วหรอก ไม่รั่วในนี้ถ้าไม่มีลมแรงสาด ถ้าลมแรงสาดจริงๆเข้า 2 ข้าง ใช้คันยูมากั้นกัน รู้จักคันยูไหม ร่ม ภาษาอีสานเขาเรียกว่า คันยู ทางเหนือเรียกว่า จ้อง เอามากั้นมันก็สู้ลมไม่ได้ หลู่ไปหลู่มาอีกซัดหน้าเราได้ สนุกมันมีคราวหนึ่งพายุฤดูฝน
มาเข้าเริ่มต้นจาก SMS
ในอาหารอ่านกามแล้วก็ยังมีมานะให้อ่าน
เขียนรายงานสภาวะตัวเองเรื่องคำข้าวเพื่อโยงเข้าสู่คำถาม
_น้อมกราบนมัสการพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ผู้ให้กำเนิดทางจิตวิญญาณ ด้วยความเคารพสูงสุด เขียนรายงานสภาวะในตนเองเรื่อง“อาหารคำข้าว”เพื่อโยงไปสู่คำถามค่ะ ขั้นที่ 1.เลิกกินอาหารที่เป็นโทษ อาหารที่เป็นโทษ นอกจากจะเป็นเหตุให้ร่างกายเจ็บป่วยแล้ว ยังเป็นการสะสมโรคทางใจอีกด้วย เพราะอาหารที่เป็นโทษส่วนใหญ่ จะคู่กันมากับเครื่องปรุงแต่งในรูป รส กลิ่น สัมผัส ที่ยั่วย้อมให้เกิดความอร่อย
พ่อครูว่า…การปรุงแต่งมันก็ไม่นอกเหนือจากเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม มีสัมผัสแล้วทั้งกรอบก็ดี สัมผัสแล้วร้อนหรือเย็น บางทีก็ต้องเย็นๆ ถึงจะดีอย่างนี้ อย่างนี้ต้องร้อนถึงจะอร่อย มันก็ต้องปรุงแต่งไปอย่างนั้น เพราะงั้นถ้าจะพูดอย่างนี้แล้วต้องกินอาหารรสจืดๆ แล้วก็จะต้องคงที่ มันก็สุดโต่งเกินไป จนเคร่งเกิน จินตนาการไปไกล ให้มันดูละเอียดลออ ดูให้มันสูงส่ง
_การสั่งสมความรู้สึกอร่อยในทุกมื้ออาหาร แม้จะทีละเล็กทีละน้อยนั่นก็คือ การเพิ่มวงรอบความวนในสังสารวัฏที่ซ้อนลึก หรืออีกนัยยะหนึ่ง คือการส่งท่อน้ำเลี้ยงไปเป็นเสบียงอาหารให้กิเลสได้เติบโต
พ่อครูว่า…พูดอย่างนี้อันนี้น่ะถูก แต่ว่าไอ้เรื่องรูปรสกลิ่นเสียงต่างๆ นั้นมันก็คือตัวของธาตุแท้ของมัน ธาตุเค็ม ธาตุเปรี้ยว ธาตุหวาน ธาตุหอม ธาตุเหม็นของมัน ธาตุนุ่ม ธาตุกรอบ ธาตุร้อน ธาตุเย็นอะไรพวกนี้ มันก็เป็นคุณสมบัติของแต่ละอย่างของมัน เพราะฉะนั้น เราก็รู้ความเป็นจริงตามความเป็นจริง ฟังตรงนี้
เราต้องรู้ความจริงตามความเป็นจริงว่า อ๋อ มันเป็นเช่นนี้ เป็นเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเราไปบังคับให้มันไม่เอาอย่างร้อนไม่เอา อย่างหวานไม่เอา อย่างเค็มไม่เอาอย่างเปรี้ยว ไม่ใช่ ไม่ใช่ มันไปกำหนดอย่างนั้นไม่ได้ ยอดเลยสุดโต่งมาก ชีวิตจะคับแคบเหมือนพวกเชน พวกเชนศาสนาเชนไม่ไหว
เราจะต้องรู้ว่าอันนี้เป็นอันนี้อ้าว..มันเค็ม มันเค็มมันหอม มันหอมมันกรอบ มันกรอบมันหวาน มันหวานมันร้อน มันร้อนมันเย็น มันเย็น ธาตุของมันเป็นอย่างนี้ แล้วระหว่างที่ใจของเราพิจารณาตรงที่ว่า อันนี้มันเป็นประโยชน์ เออนี่เป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์ ในร่างกายเอามาใช้ได้ ดี
ไม่ใช่ไปพิจารณาจน ไปดับเกลือไม่ให้มันเค็ม หรือไม่ต้องกินเกลือ ไอ้พวกนี้เราจะกลายเป็นพวกที่จะเลี้ยงยาก ไอ้นั่นมาให้กินก็ไม่ได้ ไอ้นี่มาให้กินก็ไม่ได้ ไอ้นี่มากินก็ไม่ได้ มันจะคับแคบ มันน้อยไปหมด
_เรื่องการกิน…ตอนอายุประมาณ 9 ขวบ ก็พิจารณาแล้วเลิกกินสิ่งที่เป็นโทษ เช่น น้ำอัดลม ลูกชิ้น ขนมกรุบกรอบ ฯลฯ จนไม่กินจุบกินจิบเป็นปกตินิสัย
พ่อครูว่า…พวกนี้เราก็รู้ว่ามันสิ่งที่ปรุงปลอมปนเปมา
_ต่อมาเมื่ออายุ 27 ปี มองเห็นตาของปลาทูที่กำาลังจะต้มให้หมาก็เกิดดวงตาเห็นธรรมในตน จึงเลิกกินเนื้อสัตว์ตั้งแต่วันนั้นมา ต่อมาในปีเดียวกันก็พบลุงไม้ร่ม แล้วพากันมากินอาหารซาคาฮารีที่พระพุทธองค์ทรงฉัน
พ่อครูว่า…ไม่เคยพบนะว่าพระพุทธเจ้าทรงฉันอาหารซาคาฮารี ซาคาฮารีก็มีข้อกำจัดว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นนี้ นอกนั้นจะไม่ฉันเกินกว่าซาคาฮารี ถ้างั้นอาตมาก็ว่าผิด เพราะไม่เคยพบว่าระบุว่าพระพุทธเจ้านั้นฉันซาคาฮารี นอกจากซาคาฮารีไม่ฉัน ไม่เคยเห็น
_ที่ไม่มีของปรุงแต่งรส กลิ่น สี เช่น น้าตาลทราย ซีอิ๊ว เต้าเจี้ยวฯลฯ ให้เกิดเวทนาหลอก
พ่อครูว่า…น้ำตาลมันก็หวาน ซีอิ้วมันก็เค็ม เต้าเจี้ยวมันก็มีรสมีกลิ่นของมันอย่างนั้น
_และอาหารอื่นที่มีส่วนผสมของสิ่งเหล่านี้ก็เลิกได้ทั้งยวงโดยปริยายแบบไม่ฝืน ทำได้จนเป็นปกติชีวิต…ไม่วนกลับ จุดเปลี่ยนของเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อน ที่ตาในได้เห็นความอร่อยเกิดขึ้นในจิตของตัวเอง จนรู้สึกว่ากำลังหลอกตัวเองให้เห็นว่าความอร่อยกำลังพาผิดทิศผิดทาง…พอเห็นความจริงในปัจจุบันนั้นได้ ใจก็คลายความยึดติดรส พ่อครูว่า…ใจคลายความติดรสนี้ดี แต่อย่าไปกำหนดไม่ให้มีรส รู้ความจริงตามความเป็นจริง ว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ต่างหาก ไม่ใช่การกำหนดว่าไปเอาไม่เอาอันนั้นไม่เอาอันนี้ จะกลายเป็นคนเลี้ยงยากกลายเป็นยึดติด
_เลิกกินของมีโทษทุกอย่างได้อัตโนมัติ การใช้ปัญญาพิจารณาเห็นโทษในลักษณะนี้ สาหรับตัวเองได้ผลดีพอสมควร รู้สึกจิตมีกำลัง มีความเด็ดขาด และที่สาคัญได้ผลของการมีสุขภาพดีไม่มีโรคภัยควบคู่กันไปด้วยค่ะ
พ่อครูว่า…ก็ดูดีก็เอาสังเกตไป
_ขั้นที่ 2.แยกแยะว่ากินเพื่ออาศัยหรือกินเพื่อเสพในอาหารที่มีแต่ประโยชน์ การวิจัยรอบนี้ ทำได้เมื่อเกิดความตื่นรู้จริง จนจิตมีความสามารถที่จะรู้ทัน รู้ชัดถึงเจตนา อาการและพลังงานในปัจจุบันนั้นว่า มีความชอบความชัง พ่อครูว่า…อันนี้ดี ให้รู้ว่าอันนี้มีความดูดหรืออาการผลัก
_หรือรู้สึกเฉยๆ หรือไม่อย่างไรแบบละเอียดๆ อีก อาการผลักนั้นรู้สึกได้ง่ายกว่า อาการฝ่ายดูดนี้แนบเนียนมาก พ่อครูว่า…จริง
_คือมาในรูปของความพอใจ,ติดใจ ฯลฯ แล้วต้องแยกความเข้มข้นของอาการนั้นให้ออกอีกด้วยว่า พลังงานนั้น แรง มาก น้อย นิด บางเบา แผ่วเบา ฯลฯ แค่ไหน จิตละเอียดแววไว เพราะฝึกมาดีแล้วเท่านั้น ที่จะแยกความต่างหรือความเป็น 2 ในวงรอบนี้ได้ เหตุคือความขยันตื่นรู้เพื่อพิจารณาให้ถ้วนรอบในรูป รส กลิ่น เสียงเมื่อได้สัมผัสกับคำข้าว ที่ควรเอาใจใส่พิจารณาจริงๆ ชนิดกัดไม่ยอมปล่อย จึงจะเกิดผลสำเร็จได้จริงตามลำดับ…กำลังทำในขั้นนี้ให้ครบให้จบอยู่ค่ะ
พ่อครูว่า…ระวังมันจะเลยเถิด ระวังมันจะสุดโต่ง มันจะคับแคบเฉพาะสำหรับตัวเองเกินไป เราจะกลายเป็นคนเลี้ยงยาก ลำบาก
คำถาม การใช้ปัจจัย 4 ที่มีอาหารเป็นหนึ่งตามอัตภาพ โดยเน้นหลักประโยชน์สูงประหยัดสุด เพื่อการเจริญอาหาร เจริญธรรม และเจริญปัญญาเป็นที่สุด คือการบริโภคสู่ความจบปัจจัย๔ เพื่ออาศัยไม่ใช่เพื่อเสพรสใช่ไหมคะ?
สุดเศียรสุดเกล้ากราบขอบพระคุณค่ะ
รุ้งเริงธรรม ธรรมชาติอโศก
2 ตุลาคม 2566
พ่อครูว่า…ถูกต้องอยู่ มีส่วนถูกต้องอยู่ อย่าให้มันเลยเถิด อย่าให้มันเกินไป อันนี้ก็ละเอียดนะ ก็ต้องศึกษาดีๆ
_* ปล. พร้อมกันนี้ลุงไม้ร่มฝากร่วมมากราบพ่อท่านว่า… เจริญอาหาร เจริญธรรม เจริญปัญญา สุดเศียรสุดเกล้า ขอนอบน้อมนะโมโพธิรักษ์ กราบขอบพระคุณพ่อท่านพระโพธิสัตว์ผู้ให้กำเนิดชีวิตใหม่ สู่ความ “อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ” …สู่พระนิพพาน…ทุกชาติไป
ไม้ร่ม ธรรมชาติอโศก
พ่อครูว่า…ก็รับทราบดี ตั้งใจดีๆ ศึกษาดีๆ มันมีอะไรที่มันจะรู้สึกว่ามันมีอะไรเขื่องๆ อยู่ในใจของตนอยู่บ้าง อย่าไปคิด รู้สึกว่าเราจะมีอะไร เขื่องๆ ที่เรารู้นะรู้ยิ่งรู้จริงรู้ละเอียดลอออกว่าใครๆ อยู่นะ อะไรอย่างนี้เป็นต้น เป็นสิ่งที่รู้สึกว่าเราจะสร้างความเขื่องใส่จิตตนเอง มันจะสะสมเป็นอนุสัย เป็นกิเลสระวังตรงนี้ สร้างความเขื่อง ซึ่งดูแล้วมันก็เป็นกิเลสชนิด ชนิดหนึ่ง เป็นมานะ อติมานะ ก็พยายามระวังบ้าง
พวกเราศึกษาธรรมะแล้ว จะมีนัยยะละเอียดลออพวกนี้ขึ้นไปเรื่อยๆ และความละเอียดลออ บางทีมันก็ละเอียดเกิน โต่งเรียกว่าสุดโต่ง มันเกินความพอดี มันเกินความพอเหมาะ ปโหติ เกินความพอเหมาะพอดี มันก็เลยเกิดลักษณะพวกนี้ได้ เพราะฉะนั้นต้องระมัดระวังบ้าง
SMS วันที่ 29-30 กันยายน 2566
_เล็ก ดินเพ็ญไพร : กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างยิ่งเจ้าค่ะ
จากครั้งล่าสุดที่พ่อครูเทศน์ และได้พูดว่า อาจจะต้องงดเทศน์ แล้วไปเขียนหนังสือเป็นงานหลัก ลูกได้ยินก็รู้สึกจิตแกว่งนิดๆ ไม่ได้แกว่งเพราะพ่อครูจะงดเทศน์ แต่แกว่งเพราะอะไรก็บอกไม่ถูกเจ้าค่ะ รู้แต่ว่าตื้นตันในความเมตตาที่มีต่อลูกๆ ในวัยเข้า 90 ปี พ่อครูยังต้องทำกายขันธ์ให้ดำรงอยู่เพื่อเผยแผ่ธรรมะ แก่ผู้ที่ยังไม่รู้ให้ได้รู้ ผู้ที่รู้บ้างก็ได้ต่อยอดตามพ่อไปอีก จะหาใครมาเปรียบได้ในความเมตตาที่ไม่มีประมาณแบบนี้ ยิ่งทำให้ตัวลูกเองรู้สึกว่าเราจะต้องไม่นิ่งนอนใจ จะหยำแหยะ ไปเรื่อยๆ ไม่ได้ มีโอกาสทองขนาดนี้แล้ว ลูกไม่คิดกินลูกท้อเลย
พ่อครูจะงดเทศน์, จะเทศน์ครั้งละ 1 ชม. หรือจะเทศน์ 2 ชม. ลูกไม่มีปัญหาเลย พร้อมปรับพร้อมเปลี่ยนตามพ่อครูเจ้าค่ะ (..) สู้ๆ พ่อครูสู้ๆ พ่อครูไว้ลาย (พระโพธิสัตว์) พ่อครูสู้แค่อยากพอ สู้ๆ ….จบ….กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างยิ่งเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…ยุให้สู้นะ
คนโกหกมีสื่อมากเป็นเรื่องยากของความจริง
_อนันต์ ศิรินุพงศ์ : คนโกหกมีสื่อมาก เป็นเรื่องยากของความจริง
พ่อครูว่า…เออ พูดแค่นี้เนาะ คนโกหกมีสื่อมากเป็นเรื่องยากของความจริง อาตมาฟังแล้วก็เข้าใจ เออ คนโกหกนี่ ทีนี้ ยุคนี้มันมีสื่อมาก คนโกหกยุคนี้มันมีสื่อมาก เพราะฉะนั้นมันก็ใช้สื่อนี่เพิ่มความโกหกของตัวเองด้วยอะไรต่างๆ นานา ในวิธีต่างๆ นานา ก็เป็นเรื่องยากของความจริงก็ถูก ถูก มันเป็นภัยชนิดหนึ่งของสังคมโลก โลกทั้งโลกเลยนะไม่ใช่แค่ในประเทศไทย ประเทศไทยก็เจอหนักเรื่องสื่อนี่ สื่อที่โอ้โห
ยกตัวอย่างอย่างพิธานี่ สายพิธา ลิ้มฯ เขาแซ่ลิ้ม เป็นผู้ที่รู้จักสิ่งที่ได้เปรียบโดยการทำสื่อ เขาเป็นผู้ที่รู้มุมนี้ดีมาก แล้วเขาก็ใช้อันนี้มาตลอด เพราะฉะนั้นเขาจึงได้ ได้มวลที่เชื่อเขา เดี๋ยวนี้เขาก็ได้มากคนยังเชื่อเขาอีกเยอะ ยังเชื่อเขาอีกเยอะด้วยการใช้สื่อ
เพราะฉะนั้นความจริงที่จะปรากฏได้ก็จึงยากที่จะออกมา เขาขยันและสร้างมวลช่วยกันอีก ขยันแล้วก็สร้างมวลช่วยกันทำอันนี้ มันเลยเป็นน้ำหนัก เป็นน้ำหนักที่ทำให้เขาได้ประโยชน์จากอันนี้ เขาเห็นคุณค่าของอันนี้มากเลย นี่เป็นเรื่องของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์
คุณสนธิ ลิ้มทองกุล อาตมานี่ขออภัย ความจำชักไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มันไม่น่าจะจำไม่ได้หรอกนะ มันก็เป็นบ้าง
พิธาเขามองมุมนี้ และได้ประโยชน์จากมุมนี้ เฉกเช่น ทักษิณ ทักษิณได้มุมมากกว่าหลายมุมกว่าพิธา พิธาได้มุมเด่น แต่ทักษิณได้มุมหลายอย่าง เขาจึงเอามุมที่เขาเห็นว่าประชาชนถูกครอบงำ เขาครอบงำประชาชนได้ด้วยอย่างนี้อย่างนี้ นัยยะนี้ มุมนี้ แง่นี้ เขาก็ใช้มาตลอด อาตมาก็ไม่เก่งที่จะระบุลงไปแต่เห็นรู้อยู่ว่าทักษิณนี่มีความสามารถมาก ในการใช้สื่อด้วย เงินทองด้วย อำนาจตำแหน่งยศศักดิ์ด้วย กรรมวิธีในการบริหารด้วย อะไรพวกนี้ โอ้โห
เพราะฉะนั้นจึงเห็นได้ว่า ทักษิณนี่ครอบครองอำนาจ มีอิทธิพลในการบริหารประเทศไทย ทั้งๆที่เขาเป็นนักโทษ ที่ต้องออกไปอยู่นอกประเทศตั้ง 10 กว่าปี ก็ยังใช้อำนาจอิทธิพล ใช้คนของตัวเองให้คนของตัวเองในประเทศไทยบริหาร ตั้งแต่นายกสมัคร นายกสมชาย นายกยิ่งลักษณ์ นี่ก็กำลังจะเอานายก ตอนนี้เอานายกเศรษฐาขึ้น แล้วก็ต่อคิวไว้ ต่อจากนั้นก็คงจะเป็นอุ๊งอิ๊ง อย่างนี้เป็นต้น
เขาใช้ได้ผลอยู่ อาตมามองในแนวลึกเห็นว่าประเทศไทยนี้มีตัวอย่างอันละเอียดลออ ละเอียดลออของเชิงกล วิธีการของการเมือง ที่ทักษิณเขาจะใช้ อื้อหือ สุดยอดแห่งการจบด็อกเตอร์
ทางอาชญวิทยามาจริงเลย จุ๊ๆๆ ยอดจริงๆ
ถ้าว่าแล้วอาตมาเองอาตมาไม่ได้ไปลงโทษตัวเขานะ ว่าตามเนื้อผ้า ว่าตามสัจจะ เขาเกิดมาเป็นตัวอย่างที่จะทำให้เห็นทั้งแง่เชิงของสิ่งที่มันไม่ดีไม่งามนี่ได้ละเอียดซับซ้อนมาก จนทุกวันนี้คนก็ยังเชื่อถือเขา แม้แต่นายกปัจจุบันนี้ก็ยังยกย่องเชิดชู อย่างที่เห็นๆชัดเจน ก็ยังยกย่องเชิดชูกัน
ที่เขาพูดชัดๆ อันหนึ่งก็คือ ที่นายกเศรษฐาเขาพูดว่า ทักษิณนี้เหนือชั้นกว่าพลเอกประยุทธ์ ทำผลงานให้แก่ประเทศอย่างนั้นอย่างนี้เขาก็พูดไป เปลว สีเงินได้ยินเข้าหมั่นไส้ก็เลยซัดเข้าไปเต็มคอลัมน์เลย เมื่อวานนี้หรือไง ซัดเข้าเต็มคอลัมน์เลย มีถุยด้วยนะ ถุยที่เศรษฐาพูดมา แล้วก็ค่อยร่ายละเอียด สอนไปทีละเรื่อง อ้างอิงหลักฐานวันเวลาเรื่องราวอันนั้นอันนี้ แม้แต่แค่เรื่องของสนามบินสุวรรณภูมิ อะไรอย่างนี้เป็นต้น
ซึ่งมันก็ดีนะมีคนรู้เท่ารู้ทันอะไรต่ออะไรพวกนี้ แล้วก็มาบอกความจริงกันยืนยันอะไรต่ออะไรกัน ขนาดนั้นคนก็ยังไม่ค่อยที่จะเชื่อไม่ค่อยจะเห็นด้วย ไม่ค่อยจะฟังไม่เข้าใจอะไร สื่อสารทุกวันนี้มันดีมีหลายมาก หลายมุม หลายเจ้า แล้วก็ยังไม่ปฏิเสธอะไรดูๆ หมดทุกมุม แม้แต่มุมหมอปลา อาตมาก็ดู เขาก็ไปกันใหญ่ Insert มาคอลัมน์ 30 กันยายน มันไม่ใช่เมื่อวาน
ทักษิณทูนหัวของเศรษฐา วันที่ 30 กันยายนไม่ใช่วันที่ 1 วันที่ 1 วันอาทิตย์เขาวรรคเว้นไม่ได้เขียน ธรรมดาเขาเว้นวันอาทิตย์ วันนี้วันจันทร์เขียนเรื่องอะไร มันเย็นแล้ววันจันทร์จะหมดวันแล้ว เขาเขียนเรื่องอะไรอาตมาก็ไม่ได้จำ ดูเหมือนอ่านผ่านไปแล้ว เอาละผ่านไปก่อน ของเปลว
สรุปคนโกหกมีสื่อมากเป็นเรื่องยากของความจริง อาตมาก็ขยายความแล้วนะอย่างพิธาเป็นต้น ใช้สื่อมากทักษิณก็ใช้ก็เป็นเรื่องยากที่จะแก้ไข ทำความจริง
_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม · กราบนมัสการ ท่านสมณะค่ะ ขณะนี้กำลังติดตามรายการอยู่ค่ะ และขอขอบคุณสื่อของบ้านราชที่เสนอข่าว น้องน้ำที่เข้ามาเยี่ยมบ้านราช แต่พวกเราก็ไม่ทุกข์และเตรียมตัวพร้อมเป็นปรกติแล้ว สาธุค่ะ
พ่อครูว่า…ก็ให้กำลังใจมา ขอบคุณ
พ่อครูตั้งชื่อตัวให้ได้แต่ไม่ตั้งชื่อสกุลให้คน
_Kasem Santhong เกษม แสนทอง : จากที่มีญาติธรรมมาขอชื่อกับพ่อครู และระบุว่า ขอชื่อตัว คือ ชื่อมี 2 ชนิด คือ “ชื่อตัว” กับ “ชื่อสกุล” ครับ
พ่อครูว่า…อาตมาก็ตอบตรงนี้เลยว่า ชื่อสกุล ชื่อนามสกุลนี้อาตมาไม่ตั้งให้ใคร อาตมาตั้งไว้แล้ว เปรยๆ ปรายๆ จำไม่ได้แม่นทีเดียวว่า เช่นว่า อโศกตระกูล อาตมาตั้งหรือพวกเราบัญญัติยังไง ซึ่งก็มีเกล็ดดินเป็นเจ้าของต้นตระกูล นาวาบุญนิยม ก็มีท่านน่านฟ้า เป็นเจ้าของต้นตระกูล อย่างนี้เป็นต้น ส่วน ชาวหินฟ้าคือคุณประโยชน์ ซึ่งตายไปแล้ว ตอนนี้นามสกุลชาวหินฟ้าก็ขออนุญาตจากคุณประโยชน์ไม่ได้แล้วเพราะว่าตายไปแล้ว ก็จะเหลือสืบทอดกันทางสายเลือด หรือลูกเลี้ยงคนที่มีนามสกุลชาวหินฟ้า ลูกเลี้ยงก็สามารถใช้นามสกุลชาวหินฟ้าร่วมได้ ลูกเลี้ยงที่ถูกต้องตามกฎหมาย อย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายเขา
อาตมาไม่ตั้งชื่อนามสกุลให้ใคร ไม่งั้นอาตมาเป็นภาระ ตั้งชื่อเท่านั้นอาตมาก็จะแย่อยู่แล้วทุกวันนี้ ตั้งไปหลายหมื่นชื่อแล้วจะเป็นแสนชื่อหรือยังก็ไม่รู้ ตั้งเสียจนสมุดบันทึก แต่ก่อนบันทึกใส่เครื่องคอมพิวเตอร์ เดี๋ยวนี้ไม่รู้หายไปไหนหมดแล้ว อาตมาก็ไม่ได้ทำแล้วบันทึกแต่ในสมุดบ้าง เล่มนั้นเล่มนี้แล้วก็ไม่รู้เล่มที่บันทึกไว้หายไปไหนบ้าง เอาละอันนี้อาตมามีอยู่ ชื่อตัว อาตมาก็ตั้งให้ไปเรื่อยๆ อยู่แล้ว
วันพระสำคัญอย่างไร เราควรทำสิ่งไหนกัน
_ซึ้งซื่อ วิเชียร : ขอกราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรสุดเกล้าครับ ขอให้พ่อท่านช่วยกรุณาอธิบายวันพระที่อยู่ในทุกครั้งของปัจจุบันเป็นการกำหนดขององค์พระพุทธเจ้าหรือไม่ และวันพระมีความสำคัญอย่างไรแค่ไหนครับ ขอกราบขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงยิ่งครับ
พ่อครูว่า…เช่น วันพระน้อย 8ค่ำ วันพระใหญ่ วันพระใหญ่ก็ 15 ค่ำเป็นวันพระ ทุกครั้งในปัจจุบัน เป็นการกำหนดของพระพุทธเจ้า 8 ค่ำ 15 ค่ำ
วันพระก็เป็นวันที่เรากำหนด พยายามทำความสำคัญในความสำคัญมันลงไป มันเวียนวนมาถึง 8 ค่ำแล้วนะ เวียนวนมาถึง 15 ค่ำแล้วนะ เป็นการกำหนดบัญญัติ เพื่อให้เรานี่รู้สึกว่า เอ๊.. เราเองควรเห็นทำความสำคัญกับความสำคัญให้ยิ่งขึ้น เพื่อปลุกเร้าให้เอาใจใส่กับธรรมะยิ่งขึ้น วันพระใช้สำนวนภาษาไทยเรียกว่า วันพระ ก็คือวันที่จะต้องเอาใจใส่กับธรรมะ หรือพระพุทธเจ้า เอาใจใส่เรื่องของพระพุทธเจ้า คำสอนพระพุทธเจ้า ปฏิบัติตามธรรมะพระพุทธเจ้าอย่างนี้เป็นต้น ให้ความสำคัญสำหรับวัน อย่างน้อยก็เตือนเหมือนกับศาสนาอิสลามเขาละหมาดระลึกถึงพระเจ้า วันหนึ่ง 4 ครั้งอะไรอย่างนี้ คนไทยเราก็ไหว้พระ ก็ระลึกถึงพระพุทธเจ้า นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะไรก็ว่า หรือกราบพระก็ระลึกถึงพระพุทธเจ้า นอกจากพวกมิจฉาทิฏฐิ กราบพระแล้วก็อ้อนวอนขอให้ท่านบันดาลนู่นนี่อะไรให้
ก็ระลึกถึงผู้ที่มีพระคุณ ไม่เสื่อมคลาย ระลึกถึงด้วยใจจริง ถ้ายิ่งระลึกถึงการปฏิบัติหรือระลึกถึงเนื้อธรรมะ ทฤษฎีที่เราจะปฏิบัติธรรมะ ในปัจจุบันนี้ ขณะนี้ เราทำอะไรแค่ไหน ได้ผลหรือไม่ อะไรพวกนี้ มันก็ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อสาระสัจจะของมันยิ่งๆ ขึ้น
เพราะฉะนั้นใส่ใจในเนื้อหาสาระ สรุปแล้ว วันพระคือวันที่ บัญญัติกำหนดเพื่อที่จะให้เรารู้ความสำคัญในความสำคัญ ที่เราควรจะต้องสนใจในเรื่องของธรรมะยิ่งขึ้นๆ
_สู่แดนธรรม… เขากำหนดอย่างนี้ครับ เขาเรียกว่าวันธรรมสวนะ
พ่อครูว่า… นั่นแค่ฟัง ถ้าเราฟังเฉยๆก็แค่ฟัง ยิ่งฟังแล้วยินดีด้วยปฏิบัติธรรมนั่นแหละสำคัญกว่าฟังเฉยๆ ใช่ไหม?
ขยายความปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร
_พิมพ์เพชรรุ้ง…กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งค่ะ….ก่อนที่จะมาพบพ่อครูและชาวอโศก ดิฉันได้อาศัยพระสูตร ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร นี้เป็นเสียงเพลงทำสมถะกรรมฐานให้จิตสงบ แต่ยังไม่เคยเข้าใจ
ตอนนี้ได้มาฟังอีกพอจะเข้าใจขึ้นบ้าง จึงอยากขอกราบนิมนต์พ่อครูได้อธิบายเพิ่มเติมในในส่วนนี้ของพระสูตรค่ะ
พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรผู้ทรงคุณอันประเสริฐ
พระผู้เป็นมหาสัตว์ได้กล่าวตอบพระสารีบุตรว่า
ท่านสารีบุตร! หากกุลบุตรกุลธิดาผู้ใดปรารถนาความรู้แจ้ง
ประสงค์จะบำเพ็ญปรัชญาปารมิตาภาวนาอันลึกซึ้งนี้
เธอผู้นั้นพึงฝึกฝนภาวนาให้เกิดญาณหยั่งเห็นขันธ์ 5
เป็นสภาวะแห่งความหมายอันเป็นศูนย์
ท่านสารีบุตร! รูปนี้มีความหมายเป็นศูนย์ ความเป็นศูนย์นั้นแลปรากฏเป็นรูป
ความเป็นรูปมีค่าไม่ต่างจากความเป็นศูนย์
และความเป็นศูนย์ก็มีความหมายไม่ต่างจากความเป็นรูป
รูปเป็นเช่นไร ศูนย์ก็เป็นเช่นนั้น
ศูนย์มีความหมายอย่างไร รูปก็มีความหมายอย่างนั้น
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เป็นเช่นเดียวกันนั้นแล
ท่านสารีบุตร! สังขตธรรมทั้งปวงมีลักษณะเป็นศูนย์
คือ ไม่มีเกิดขึ้น ไม่มีดับไป ไม่มัวหมอง ไม่ผ่องแผ้ว ไม่พร่อง ไม่เต็ม
ท่านสารีบุตร ! เพราะเป็นเช่นนี้แล
ในศูนยตาวิหารธรรมจึงไม่มีรูป ไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา ไม่มีสังขาร ไม่มีวิญญาณ
พ่อครูว่า… ใครฟังอ่านผ่านไปแล้วนี่ ฟังแล้วพอเข้าใจบ้าง ยกมือ อาจจะ 10 ตรีบั้งหนึ่ง สิบโท 2 บั้ง สิบเอก 3 บั้งถ้า 4 บั้งนี้เป็นจ่า เข้าใจหลายบ้าง
มันก็คงพอเข้าใจได้สำหรับพวกเรา สรุปแล้วก็คือว่าทุกอย่างไม่มี ไม่มีคืออะไร..สูญ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แม้แต่รูปที่ถูกรู้อยู่ในปัจจุบันนี้ มันก็เป็นศูนย์
พระสารีบุตร กับพระอวโลกิเตศวรท่านพูดกัน คุณคือใคร จะมาพูดระดับนี้กันเหมือนอย่างพระสารีบุตรกับพระอวโลกิเตศวร เห็นไหม
เพราะฉะนั้นเราก็ฟัง เรามาเข้าใจก็ดีแล้ว เข้าใจนั้นเป็นการเข้าใจด้วยความเข้าใจ ด้วยความเข้าใจเฉยๆ มันยังไม่ใช่สภาวะที่สูงสุด ที่ท่านพูดนี้เป็นสภาวะที่สูงสุดในระดับ สุดระดับของท่าน ซึ่งท่านจะพูดอย่างไร ท่านก็เข้าใจกันได้โดยทั้งสมมุติและปรมัตถ์ทั้งสภาวะ แต่สำหรับเรานั้นก็เอาให้เป็นศูนย์เท่าที่เป็นศูนย์
เราต้องเข้าใจคำว่าเป็นศูนย์หรือคำว่าไม่มีคืออะไร คำว่าเป็นศูนย์หรือคำว่าไม่มีเป็นไวพจน์กันว่า 0 ก็คือไม่มี ไม่มีก็คือ 0 ว่างๆเป็นคำที่ใช้แทนกันได้ เป็นไวพจน์กันหมด เป็น synonym กัน ก็ฟังแล้วก็ระลึกถึงสภาวะ
คำว่า “ไม่มี” หรือคำว่า “ว่าง” แม้แต่ใช้คำว่า “หลุดพ้น” ก็ได้ แต่คำว่า ไม่มี ว่าง หลุดพ้น ไม่ได้หมายความว่าเราพรากจาก อันนี้เป็นนัยสำคัญ คำว่า ไม่มี ดับสนิท หลุดพ้น แล้วดับความรับรู้ ดับสัญญา ดับเวทนา ดับความรับรู้อะไรไปเลย อันนี้โมฆะ โมฆะความไม่มีแบบนี้ ไม่อยู่ในความหมายสำคัญของพุทธ
ความหมายสำคัญของพุทธนั้นหมายความว่า ไม่เกาะเกี่ยว อยู่เหนือ สิ่งที่เราสัมผัสอยู่ตอนนี้ไม่มีอิทธิพลต่อเราเลย เรารู้มันรู้สิ่งนั้นตามความเป็นจริงของมัน..จบ
รู้ความเป็นจริงของมันแล้วก็มองลึกถึงไปว่า แล้วไอ้ที่เป็นความจริงนี้ ที่มันเป็นเช่นนี้ มันเป็นประโยชน์กับเราไหม เราจะต้องใช้มันเป็นประโยชน์อยู่หรือไม่ หรือเราจะให้ประโยชน์กับมันได้ไหม ถ้ามันเป็นสิ่งที่เป็นสัตว์เป็นอะไร แต่ถ้ามันเป็นวัตถุ มันเป็นพืช ก็ให้อะไรมันไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้นก็มีแต่ว่ามันจะเป็นประโยชน์กับเราไหม เป็นประโยชน์กับเราหรือไม่ ไม่เป็นประโยชน์เราก็ไม่ต้องเอา ไม่รับนั่นก็คือศูนย์ไม่รับ แต่มันก็มีของมันอยู่ในโลก คนอื่นเขาอาจจะเป็นประโยชน์ แต่ของเราไม่เป็นประโยชน์เราก็ไม่ต้อง คนอื่นเขาต้องคนอื่นเขาเหมาะสมของเขา มันถูกกับธาตุของเขา ถูกกับสังขารของเขาเขาต้องใช้อันนั้นปรุงแต่ง แต่ของเราไม่ใช่ เราก็ไม่ต้องใช้ อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นในนัยยะของเราที่จะมองอะไรต่างๆ พวกนี้ มันมีนัยยะที่ละเอียดลึกซึ้งเข้าไปอีกเยอะทีเดียว ค่อยๆ ศึกษาไปตามลำดับๆ ศึกษาไปตามลำดับลำดา แล้วก็ค่อยเข้าใจไปเรื่อยๆ ตามขั้นตามตอน
รู้ความเป็นจริงในตัวเรากับปัจจุบันธรรมนี้ เราเกี่ยวข้องกับอะไร แล้วเรายังตกเป็นทาสมัน เราก็ทำอันนี้แหละให้มันหลุดพ้น ไอ้ที่มันหลุดพ้นได้แล้วไม่มีปัญหา มันมีอยู่ในโลกอยู่ในสังคม บางทีเราก็สัมผัสมัน เราห่างมันมา มันก็ห่างไกลๆ บางอย่างบางสิ่งเราก็ไม่ต้องไปใกล้มันหรอก มันอยู่ไกลๆ โน่น ทุกวันนี้อยู่ในโทรทัศน์ อยู่ในเครื่องพวกนี้มันมีเยอะแยะ แล้วมันไม่รู้เรื่องกับเรา เราก็ดูนี่ หรือเราเห็นอยู่นี่ เราไม่ได้ไปสัมผัสกับมันจริงๆ มันก็ผ่านให้เราได้ ได้ศึกษาเป็นเหตุปัจจัย เราได้กำไรนะ มันเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราสัมผัสศึกษาอยู่นี่ เราก็อ่านจิตเราว่าเราเองยังเกี่ยวเกาะ ยังมีผูกพัน ยังมีอาลัยอาวรณ์ ยังมีรสมีชาติ เป็นอัสสาทะอยู่หรือไม่ ถ้าไม่แล้วก็เออ
ละอบายมุข ละกาม ละโลกธรรม จึงมารวมกันทำสาธารณโภคี
อย่างทุกวันนี้นี่มันถ่ายทอดแข่งขันเอเชียนเกมส์ ก็เปิดกันดูก็มีโทรทัศน์หลายช่อง ก็ดูเขาแข่งขันกัน ก็ส่งไป ไทยก็ส่งแข่งไปกับเขาชนะบ้างไม่ชนะบ้าง เราก็ดู คนนั้นมันเก่งอย่างนี้ คนนี้เก่งอย่างโน้น คนนั้นทำลายสถิติ แล้วก็ดูอย่างนี้ความจริงตามความเป็นจริง เขาก็ว่ากันไปเราก็ดู
เราเองเราไม่ได้อยู่ในวงการนั้นแล้ว เราไม่ไปใช้แรงงาน เวลาทุนรอนที่จะไปทำกับสิ่งนั้นแล้ว เพราะว่าเราเห็นว่า จริงๆ อาตมาก็เคยพูดว่ามันเป็นอบายมุข เรื่องการแข่งขันกีฬา การละเล่น ภาษาบาลีท่านเรียกว่า กีฬา แปลว่าการละเล่น ไม่ใช่การละจริง มันเป็นอบายมุข ละครละเม็ง เป็นต้น การละเล่น เป็นต้น กีฬาหรือการละเล่น ละเม็งละคร มันไม่ใช่เรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นเรื่องครอบงำมอมเมาด้วย มันก็จัดจ้านไปอย่างหนึ่ง ผูกดึงมนุษย์ให้ติดยึดอยู่อย่างหนึ่ง ใช้เวลา แรงงาน ทุนรอนกับมันไปทั้งชาติ เยอะ พวกที่ไปหลงกีฬา หลงการละเล่น หรือหลงละเม็งละครก็อยู่กับมันไป เลี้ยงชีวิตตัวเองด้วยอันนั้นไป ก็จมงมงายอยู่กับมันนั่นแหละ ถ้าไม่ศึกษาแล้วก็ติดอยู่กับมัน
ขนาดหลุดพ้นมา หลุดพ้นออกมาจากไอ้พวกนี้ ละเม็งละคร กีฬาการละเล่นพวกนี้ได้ สาระที่เราจะเอาเวลา แรงงาน ทุนรอน ที่เราจะใช้เอามาทำงานกับมัน มันมีตั้งเยอะตั้งแยะมากมาย สาระตั้งแต่ระดับโลกีย์ จนกระทั่งถึงระดับโลกุตระ
สาระระดับโลกีย์ก็คือใช้อาศัยยังขันธ์ไป ยังการเป็นอยู่ให้ชีวิตเราตั้งอยู่ได้ เป็นโลกียะ
ส่วนเรื่องโลกุตระนั้นเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ จิตนิยาม ซึ่งไม่ใช่มาบำเรอ ไม่ได้มาบำเรอรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ไม่ได้บำเรอ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ไม่ได้บำเรอ เราก็ค่อยๆรู้ว่าเรายังเหลืออะไรบ้าง เรายังติด ลาภ ติดยศ ติดสรรเสริญ หรือสุขเพราะได้ลาภ สุขเพราะได้ยศ สุขเพราะได้สรรเสริญ อันนั้นหยาบกว่า รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) กายภายนอก อันนี้ละเอียดกว่า ลาภ ยศสรรเสริญนั้นหยาบกว่า
เพราะฉะนั้นคนยังติดลาภ ยศ สรรเสริญ อยู่จะเห็นได้ว่าพวกเรานี้ ลาภยศสรรเสริญ มันก็มีระดับ ลาภหยาบกว่าเพื่อน ยศก็เด่นลงมาสรรเสริญก็ละเอียดกว่าเพื่อน สุขก็มีสุขจากลาภ สุขจากยศ สุขจากสรรเสริญซ้อนไปอีก
เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าอย่าง ลาภ นี่ง่ายขึ้นมาแล้ว ยศก็ง่าย รองลงมา สรรเสริญยังมีอยู่บ้าง ละเอียดขึ้นไปอีก แต่สรรเสริญก็หมดแล้ว จะถูกตำหนิ ถูกว่าถูกตำหนิหรือถูกสรรเสริญยกย่อง เราก็เข้าใจ เอามาเป็นประโยชน์มาศึกษา จริงไหม เขาสรรเสริญเรานี้จริงไหม ตำหนิเรา เขาตำหนิเรา จริงไหม ต้องเอาเนื้อแท้ของคำตำหนิ หมายถึงอะไร คำสรรเสริญหมายถึงอะไร เอาเนื้อแท้ จริงไหม
อย่างอาตมาถูกตำหนิ อาตมาก็ดูว่าเออเขาตำหนิผิดถูกอย่างไร วันนี้หยิบหนังสือ ประนีประนอมกันด้วยนานาสังวาส อาตมาอ่านทวนดู มีอะไรหลายๆอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา ที่ต่อสู้ เผชิญ ไม่ต่อสู้อะไรกัน ไม่รบราฆ่าฟันแต่เผชิญเป็นกรรมวิบาก กับฝ่ายที่มาเห็นต่างกับเรา
ก็ยิ่งเห็นละเอียดลออลงไปว่าเออเนาะ อาตมาเกิดมาชาตินี้มาทำงาน ก็มาเพื่อที่จะจัดการเรื่องพวกนี้ สิ่งที่ผิด นำสิ่งที่ถูกเข้ามาใส่ไปแทน เพราะศาสนาพุทธมันเสื่อม ขออภัย ไม่ใช่ศาสนาพุทธเสื่อม ชาวพุทธ ชาวพุทธคนชาวพุทธนี่มันเสื่อม ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อาณิสูตร เสื่อมก็คือไม่มีโลกุตระ เข้าใจโลกุตรธรรมผิด ที่จริงไม่เข้าใจโลกุตระด้วยซ้ำ มันเสื่อมจนกระทั่งโลกุตระหายไป
ก็มี มันมีในพยัญชนะ ในพระไตรปิฎก แต่น้อย ในพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ คำว่าโลกุตระ น้อย ในมหายานเขาจะมีมากกว่า เพราะว่า เป็นของฉบับพระกัสสปะ พระมหากัสสปะนี้เป็น เจโต เป็นสายศรัทธา ไม่ใช่ปัญญา ก็เลยยิ่งแคบ ในเรื่องของโลกุตระ จึงน้อย
อาตมาเป็นสายปัญญา ตรงกันข้ามกับพระมหากัสสปะคนละขั้วกัน คนหนึ่งขั้วบวก คนหนึ่งขั้วลบเลย ทีนี้พระพุทธเจ้าคือปัญญาโดยแท้ คือโลกุตระเต็มรูป อาตมาเป็นสายตรงจากพระพุทธเจ้าด้วย แล้วก็เป็นหน้าที่ที่พูดไปแล้ว ใครจะหมั่นไส้ ใครจะไม่เชื่อก็ขออภัยอาตมาพูดความจริง อาตมาอายุขัยก็ชักแย่แล้วก็ขอพูดหมดๆ ชัดๆ มันจะยังไงก็..ที่จริงอาตมาพูดง่ายแต่ก็ต้องระวังเท่านั้นเอง เพราะคนมันจะไปทำให้เขารู้สึกหมั่นไส้มากๆ มันก็ทิ้งเลย มันก็เสียหาย ก็ไม่อยากให้เขารู้สึกอย่างนั้น แต่ก็หลายอย่างก็ยาก อาตมาก็ต้องประมาณ ลำบาก
สรุปแล้วในชาตินี้ เกิดมาปางนี้ โอ้โห! เจ้าประคุณเอ๋ย มันหมดจริงๆโลกุตระมันไม่มีเหลือเชื้อเลย อาตมาต้องมาทำค่อยๆดูไป ตั้งแต่ระดับเบื้องต้น ค่อยๆ หยั่งลงมาเป็นลำดับๆๆ จนมาถึงวันนี้ทำงานมา 50 กว่าปี ก็พอใจอยู่ ได้มาขนาดนี้ สามารถที่จะฟังรู้เรื่องเข้าใจจนกระทั่งปฏิบัติได้ กอบกู้ขึ้นมา จนสำเร็จผลเป็นสังคม สาราณียธรรม 6 และมี สาธารณโภคี สำเร็จ เป็นรูปธรรม เป็นปึกแผ่นด้วย
เป็นรูปธรรมเป็นปึกแผ่นมาตั้งแต่ต้นเลยที่รวมคนเข้ามาเป็นชุมชน ตั้งชุมชนขึ้นมา ก็ สาธารณโภคี มาตั้งแต่ชุมชนแรกจนถึงบัดนี้ ถ้าเราจะนับว่าชุมชนที่เราตั้ง เอาล่ะ ยังไม่รวมตั้งแต่มันเกิดศีรษะอโศก ศาลีอโศกและมารวมเป็นชุมชนสันติอโศกก็ยังไม่นับเป็นต้นราก ไปนับเอาปฐมอโศกเป็นที่ 1 ก็ได้ เป็นชุมชนแรกชื่อว่า ปฐม ปฐมอโศกเป็นชุมชนแรกที่เป็น สาธารณโภคี เกิดพ.ศ. 2527 ก็กี่ปีแล้วล่ะ 39 ปี ยังไม่ถึง 40 ดี ก็ 39 ปีมา
พวกคุณคิดจะออกไปจากสาธารณโภคีไหม? …ไม่ เสียงดังๆ ทำเป็นเสียงดัง คำพูดพูดแล้วเป็นนายตัวเองนะ ระวัง ไม่ แต่หายไปไหนหว่าคนนี้ ไม่เคยเห็นหน้า ยังอยู่ในชุมชนหรือเปล่า ก็ไปๆมาๆ ไปนานกว่ามา นานๆมาที ไอ้พวกนี้เป็นความจริงทั้งนั้น ลักษณะจริงของมันตามเป็นจริง ก็พูดไป เอาละ ไม่ต้องต่อ
สรุปแล้วอาตมาทำงานโลกุตรธรรม ได้สถาปนาโลกุตรธรรมลงไปในสังคมมนุษย์ใช้ชาติในยุคนี้ที่คนชาวพุทธได้เสื่อมไปจากโลกุตรธรรมจริงๆ แล้วอาตมาก็ทำได้สำเร็จมีคนจริง ซึ่งไม่ใช่เกิดเฉพาะรูปธรรม เป็นรูปโก้ๆเฉยๆ ไม่ใช่ อาตมาว่าเข้าถึงจิตเจตสิก เข้าถึงปรมัตถ์ เข้าถึงธาตุแท้ของฐานรากของจิต ว่าเรามีมูลกาแท้ มีความยินดี มีฉันทะจริงๆ แล้วก็มาปฏิบัติจนเกิดมนสิการเป็นโยนิโส เกิดปฏิบัติจนถ่องแท้ โยนิโส ถ่องแท้แยบคายเข้าไปถึงที่เกิด เข้าไปเปลี่ยนแปลงจิตที่ต้นรากของโอปปาติกโยนิ ต้นรากของจิต โดยแยกกิเลสออก แล้วก็สร้างปัญญาสร้างฌาน ฌาน ที่เป็นโลกุตระ สลายละลาย เผากิเลสถึงฌาน 4 เป็นบุญ มันก็กิเลสก็ดับไปหมดไปจริง
ที่พูดพยัญชนะพวกนี้ สภาวะ พวกเราฟังแล้วก็นึกตาม ว่า สภาวะมันมีไหมที่อาตมาพูดไป “บุญ” คือการกำจัดกิเลสเรียบร้อยแล้วสำเร็จแล้วคือเพชฌฆาตมือสุดท้าย ตัดหัวแล้วเด็ดขาดตายสนิทแน่ ไม่มีทางฟื้น นี่เป็นสัจจะ เป็นอย่างนั้น
เราก็ดูซิว่ากิเลสของเราที่มันตายไม่ฟื้น เราก็จะรู้จริงๆเลยว่า กิเลสหยาบคืออะไรที่เราเลิกละไปก่อนมาถึงวันนี้ มีกี่อย่างกี่อัน จนกระทั่งมาเป็นอย่างนี้ได้ เป็นรูปธรรมรวมกันสมบูรณ์แบบ อาตมาถึงบอกว่าสังคมชาวอโศกนี้มันเป็นสังคมที่ในระดับอนาคามีขึ้นไป มันไม่ใช่เป็นสังคมที่โสดาบันเท่านั้น ไม่ใช่ สกิทาคามีเท่านั้นก็ไม่ใช่ แต่เป็นอนาคามีขึ้นไป คือหมดกามทางรูปธรรมข้างนอกชัดๆ มันเป็นรูปภพ อรูปภพในๆข้างใน
เพราะฉะนั้นในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสจะเห็นได้ว่ามันไม่จี๋จ๋าแล้วพวกเรา เข้ามาอย่างไรก็ไม่ ใครยังมีนิดๆหน่อยๆ รอยๆไรๆ แต่มันไม่กล้าทำออกมาข้างนอก..จี๋จ๋าแล้ว นั่นคือมันเข้าไปในเกณฑ์ของอนาคามี อนาคามี แปลว่า ไม่กลับ ไม่เวียนกลับ ไม่กลับมาอีกแล้ว ยิ่งไปถึงอรหัตผลก็ไม่ต้องอธิบายต่อ อรหัตผลก็ยิ่งเป็นเรื่องจริง มันก็สุดจบ ไม่ลึกลับ เป็นที่สุด อรหะ กับ อันตะแปลว่าที่สุด อรหะแปลว่าไม่ลึกลับแล้ว จบกิจ สว่างชัด บริบูรณ์ สัมบูรณ์
ความพากเพียรอยู่ต่อและลักษณะการตายที่พ่อครูกำหนดไว้
แต่อาตมาทำงานมาถึงขนาดนี้ เนื้อหาของโลกุตระขนาดนี้ มันจะมีเป็นหัวเชื้อที่จะต่อไปอีก 2,000 กว่าปี กว่าจะหมดพุทธกัปของสมณโคดม มันหัวเชื้อนี้จะมีพอไปถึงไหม อันนี้แหละอาตมาต้องเผื่อพอ เข้าใจไหมคำว่า “เผื่อพอ” ต้องทำให้เผื่อพอ ต้องทำให้มันจนมั่นใจจนแน่ชัด เผื่อไว้เลยว่าถึงแน่
เพราะฉะนั้นในอนาคตข้างหน้า ถ้าอาตมารีบตายลงตอนนี้ ซึ่งขันธ์มันก็แย่แล้วจริงๆแล้วด้วย อาตมาว่าขันธ์มันฝืน ขันธ์มันลากมาจริงๆแล้ว ที่อธิบายมาบ่อยๆแล้ว ตอนหลังๆนี้ยิ่งอธิบายบ่อยพูดถึงบ่อย แต่เพราะความจำเป็น จำนน จำต้อง จำใจ ที่จะต้องต่อเนื่อง สืบทอด ต่อยอดไป
ถ้าอาตมาตาย อันนี้มันไม่พอแน่ เนื้อหาของมัน เนื้อหาโลกุตระไม่พอ เชื้อนี้ไม่พอไปถึง 2,000 กว่าปีที่จะไปถึง 5,000 ไม่พอนะอาตมาก็ต้องมาเกิดอีก กว่าอาตมาจะโต พอที่จะพูดธรรมะคนเชื่อ อาตมาก็ไม่รู้ได้ว่าอาตมาเกิดมาอีก มันก็จะต้องมีวัยเด็กวัยอะไรมาแล้วก็มีฤทธิ์มีอำนาจพอ จนกระทั่งพวกคุณเห็น แล้วก็เชื่อว่านี่แหละพระโพธิสัตว์พ่อท่านมาเกิดอะไรต่ออะไร แล้วจะเชื่อมันก็ไม่ง่ายใช่ไหม มันไม่ง่าย มันก็จะเสียเวลา
ถ้าอาตมายังอยู่นี่มันง่ายกว่าไหม มันชัดเจนอยู่แล้ว มันเชื่อไม่มีปัญหา ถ้าไปเกิดมาอีกจะปัญหา จะเกิดความเชื่อความต่อเนื่อง มันก็ไม่ต่อเนื่องไม่สมูท มันก็กระฉึกกระฉัก มันก็จะมีความลังเลไม่เข้าท่า
เพราะฉะนั้นก็ไม่คิดอยากจะทำอันนั้นก็ต้องพยายามทำอันนี้ต่อถูๆไถๆไป จนกว่าจะสิ้นฤทธิ์เองของมัน เพราะฉะนั้นอาตมานี่มานึกถึงตัวเองแล้วว่า เอ๊..อาตมาคงไม่ได้ตายประเภทที่เรียกว่า ค่อยๆผ่อน ค่อยๆผ่อนตาย มันคงจะต้องตายแบบ ตายคาสนามรบ หรือตายประเภทที่เรียกว่านอนคืนนี้แล้ว พอรุ่งเช้าไม่ตื่นแล้ว มันสุดฤทธิ์แล้วพักผ่อน แล้วพักไปเลย ตายหายไปเลย มันคงจะตาย 2 ประเภท นี่ตายตอนบรรยายธรรมะอย่างหมันเขี้ยว ง่อก ตายตรงนี้ไปเลย
หรือไปนอนหลับพักไปเลยไม่ตื่นรุ่งเช้าขึ้นมา เอ๊.. พ่อท่านทำไมไม่ตื่นสักทีไปดูอีกที ผู้ที่รู้แล้วก็อ้าว นี้เรียบร้อยแล้วนี่ ตายแล้วนี่ อาจจะเป็นอย่างนั้น
แต่อาตมาก็เห็นว่า การพากเพียรที่จะเติมพลังงาน พลังงานทดพลังงานปฏิภาคทวี Coefficient มันได้อยู่ มันมีอยู่ มีผล ก็พยายามไม่ให้มันโอเวอร์โหลด ไม่ให้มันเกินเลย ถ้าเลยมันจะเสื่อมต้องทำให้พอดีแล้วมันจะเกิดพัฒนา ปฏิภาคทวีไปเรื่อยๆ ก็ศึกษาพวกนี้แล้วก็ทำตนเองจริง
เพราะฉะนั้นทุกวันนี้อาตมาจึงนอนมาก พักมาก แล้วก็ลดงานอื่นเยอะ เหลือแต่เขียนกับเทศน์ นอกนั้นไม่อะไรเลย ไม่เอาใจใส่เลยวันนี้ขี้หรือยัง จะอะไรหรือยังต่างๆนานาไม่เอาใจใส่ ไม่จำ ไม่ใช้พลังงานไปเสียเวลากับมันเลย ให้ทุกคนช่วยจำ ช่วยดูแล ว่า เดี๋ยวมันไม่ดีมันไม่เหมาะ วันนี้ยังไม่ขี้นะ อะไรว่าไป ยังไม่ขี้ มันยังไม่ปวด เสร็จแล้วเราก็ไปดูว่า เฮ้ย ขี้นะ สักประเดี๋ยวมันก็จะขี้ ไอ้พวกนี้มันอยู่ที่จิตจริงๆ จิตมันเป็นไปมันก็ทำได้ แต่โดยธรรมชาติอัตโนมัติมันลึกซึ้งจริงๆเลย มันสังขารสังเคราะห์ปรุงแต่งกันอยู่ต่างๆ โอ้โห มันละเอียดลออจริงๆ
เพราะฉะนั้นเราก็ศึกษาพวกนี้ไปด้วย จนสามารถที่จะเข้าไปร่วม ไปร่วมจัดการกับธรรมชาติพวกนั้นได้เก่งขึ้นเก่งขึ้น เราสามารถทำอย่างนี้ได้จริงๆ นั่นคือความพากเพียรที่อาตมาเล่าให้ฟัง พวกเราก็ฟังประดับ เป็นการประดับความรู้ เป็นการฟังประดับความรู้ไป
เออ อาตมาเอาของบ้านเล็กเมืองน้อยเขามาอ่านยังไม่จบสักทีนึง 3-4 หน้า ของบ้านเล็กเมืองน้อยเขาเขียนเรื่องไซโคพาธ ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 25 โน่น (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
_สู่แดนธรรม… นิมนต์พ่อท่านจิบน้ำสักนิดครับ ผมเองก็ได้เข้ามารับรู้การทำงานศาสนาของพ่อท่าน ในปีที่หมู่บ้านปฐมอโศกกำลังขึ้นมาฉลองเลย มันเป็นปลายปี 2527 ผมมาพบครั้งแรกก็ อื้อหือ มันเกิดภาพที่ประทับใจมากว่า ทุกคนทำไมเท่าเทียมกันหมด เราดูไม่ออกเลยว่า คนที่เจริญธรรมเขาก่อนเป็นชาวนาหรือเป็นนายทหาร มีลักษณะเท่าเทียมกัน ทำให้นึกถึงว่าผู้นำทำมาได้อย่างไร ผมก็เลยติดตามมาตลอด เลยปักหลักในใจเอาไว้ว่า ถ้าผมเรียนจบแล้วจะมาขออยู่กับชาวอโศกนี่แหละ
แต่พอผมมาอยู่จริงๆปีแรกๆชักจะทนไม่ไหว อยู่ได้ 5 ปีแล้วผมก็กราบขอลาพ่อท่านไปเป็นแบบคนโลกๆดีกว่า ไปไม่นานก็ถูกธรรมะดึงกลับอีก เป็นอยู่ 2 ครั้งนะครับ ได้รับความเจริญมาจนถึงบัดนี้ก็เพราะพ่อท่านมีคุณสมบัติที่เป็นหัวเชื้อ ที่เอาโลกุตระมาหยั่งลงแล้วเชื้อก็ตกมาถึงผมด้วย ผมก็ขอกราบขอบคุณพ่อท่านเป็นอันมากครับ
พ่อครูว่า… มิเป็นไร มิได้
คนมาด้วยปัญญากับไซโคพาธหลอกมา ต่างกันอย่างไร
คุณบ้านเล็กเมืองน้อยเขาเท้าความถึงว่า ความก้าวร้าว หยาบคาย ละเมิดสิทธิผู้อื่น
ความโกหก เสแสร้ง หลงสีหิวแสง ego สูง
ความไร้สำนึก ใจดำ ขาดความรับผิดชอบ
ความไร้คุณธรรม แยกแยะผิดชอบชั่วดีไม่ได้ เหล่านี้เป็นอาการซ้ำซาก ของ โรคไซโคพาธ (Psychopaths) พ่อครูว่า… เรียกง่ายๆว่าโรคจิต ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และกำลังลุกลามในสังคมไทยปัจจุบัน
ความสามานย์ต่อเนื่องไม่หยุดของระบบทุนนิยม ได้สุมวิกฤติทางเศรษฐกิจรอบแล้วรอบเล่า ปั่นการเมืองฉ้อฉล ให้ยิ่งยอกย้อน ป่วนรากฐานสังคมจนบอบช้ำ สะสมเกินขีดจำกัดของคนรุ่นก่อนๆจะแบกรับไหว
…… ผลกระทบอันเลวร้ายจึงส่งต่อถึงลูกหลาน ทำให้เป็น “โรคไซโคพาธ” ในปัจจุบัน
ความแตกแยกในครอบครัว การถูกเลี้ยงดูแบบละเลยเพิกเฉย การถูกทารุณกรรมในวัยเด็ก การศึกษาที่ขาดจิตวิญญาณ การที่ต้องเติบโตมาในสภาพสังคมที่โหดร้าย ฯลฯ… ล้วนเป็นสาเหตุของโรค
เมื่อผลไม้พิษสุกงอมในสภาพสังคมที่แร้นแค้น…สิ้นหวัง ผู้คนยังถูกใช้เป็นเครื่องมืออเนกประสงค์ ที่สะดวกซื้อราคาถูก
เหมาะเจาะกับการเข้ามาเก็บเกี่ยวผลผลิต ที่ได้หว่านเมล็ดพันธุ์พิษเอาไว้ (จากการส่งออกประชาธิปไตย)
พ่อครูว่า…การส่งออกประชาธิปไตยตรงนี้คือประชาธิปไตยขาเดียวบ้าง ประชาธิปไตยเก๊ๆบ้าง แต่ละประเทศต่างส่งออกให้คนนับถือความเป็นระบอบระบบปกครองบริหารที่เรียกมันว่าประชาธิปไตยของตนของตน ของประเทศตนเพื่อที่จะไปล่าบริวารประเทศอื่นๆ หรือไปแพร่ลัทธิ ไปแพร่ประชาธิปไตย เป็นสินค้าส่งออกของตัวเองกับประเทศอื่นๆต่างๆ เพื่อจะได้บริวารเพิ่มขึ้น มันเป็นวิธีการหาบริวารทั้งนั้น
จะว่าไปแล้วพุทธของเรา ศาสนาพุทธของเราหรือชาวอโศก ของเราก็เป็นประชาธิปไตยแบบพระพุทธเจ้า อาตมาพาทำนี่ก็แพร่ไปที่จะเพื่อให้คนอื่นเขาได้เหมือนกัน ให้คนอื่นเขาเห็นเขารู้ แต่ว่าเราไม่ใช้ประเภทยัดเยียด ประเภทหว่านล้อม แต่เราใช้ประเภทที่ให้คนอื่นเขาเห็นความจริงเอง เข้าใจเอง อิสรเสรีภาพ มาสัมผัสแล้ว อ๋อ.. อันนี้น่าสนใจน่าสนใจ เอออันนี้ใช่ๆ แล้วเขาจะมาโดยบริสุทธิ์เอง เราจะได้คนเหล่านั้นมาจากความจริงของเขา พาตัวเขามา ไม่ใช่เราไปดูดเอาเขามา ไม่ใช่เราไปหว่านล้อมเขามาหรือไปใช้อำนาจพิเศษมอมเมาครอบงำอะไร ไม่ใช่ เราไม่ต้องการ อาตมาไม่ต้องการคนที่ยังไม่มีปัญญาพอที่รู้ความจริงเข้ามา
ถ้าคนที่ไม่มีปัญญาจริง ถูกหว่านล้อม ถูกล่อ ถูกซื้ออะไรมาก็แล้วแต่ ก็มา ป่วน อย่างนี้เรายากที่จะต่อภพภูมิให้อีก ขนาดที่ไม่หว่านล้อมยังไม่ง่ายใช่ไหม ให้เจริญด้วยสัจจะของมันนี่เป็นฐานต่อฐานต่อฐานขึ้นไปมันยังยากเลย ความซับซ้อนของสัจธรรมถึงขนาดนั้น โฆษณา อาตมาไม่ได้ไปแข่งดีแข่งเด่นไปแย่งประชาชน ไม่ ทุกคนมาเอ อิสรเสรีภาพด้วยภูมิปัญญาและต้องการให้คุณเห็นด้วยภูมิปัญญาจริงของแต่ละคน เข้ามา
เพราะฉะนั้นพวกเราจึงเป็นคนที่จะมามีวรรณะ 9 พวกเรานี่เข้ามาจึงเป็นคนมีน้ำหนักพอเป็น The Classic เป็นคนมีคลาสสิค เป็นคนชั้น 1 เพราะถูกคัดเลือกมามีวรรณะ 9 เข้ามาก็ไม่ยาก เป็นอยู่ก็เลี้ยงไป สุภระ ง่าย แต่สอนการช่วยเหลือการพัฒนาต่อไปก็ สุโปสะ เจริญง่าย พัฒนาง่าย แล้วก็เข้าถึงความมักน้อยหรือกล้าจนได้ง่าย จนได้ง่าย ไม่ยาก
เพราะว่ามันชัดเจน มันมีฐาน คนที่จะมาเห็นความจนดีกว่าความรวยนี่ มันหักเลยนะ มันหักมุมใช่ไหม มันทวนกระแสคนละเรื่องเลย ธรรมชาติธรรมดาคนก็ต้องให้ความสำคัญกับความรวย ต้องการความมักมาก แต่จะมามักน้อย มาเอาความจนนี่ กล้าที่จะมาเป็นคนจน มันเป็นจุดแบ่งหรือจุดหัก จุดหักเหที่ยิ่งใหญ่ เป็นจุดหักเหที่ยิ่งใหญ่
เสแสร้งมา คุณเสแสร้งไม่ได้นาน เสแสร้งเป็นอย่างนี้ได้บ้าง ไม่นานถ้าเชื้อแท้คุณไม่จริง มาประเดี๋ยวเดียวคุณก็ออกไป เพราะฉะนั้นเราได้เชื้อแท้มา พอมารู้จักน้อย รู้จักจน มันก็จะถึงขั้นพอ ใจพอสันโดษ สันตุฏฐิ มันพอ น้อยนี่มันพอ น้อยลงไปอีกได้ไหม น้อยลงไปอีกก็พอ แต่ก่อนนี้อาตมาเคยอธิบาย แต่ก่อนเคยใช้เดือนละหมื่น สมัยก่อนอธิบายยกตัวอย่าง ต่อมาเราลดลงมาเหลือสัก 8,000 เออได้พอแฮะ ลดลงมาอีกไอ้ที่มันไม่จำเป็น ที่มันฟุ้งเฟ้อกลสุรุ่ยสุร่ายก็ลดลงมาอีก 8,000 บาทก็พอ ลดลงมาเหลือ 5,000 เหลือ 5,000 บาทก็พอ
หนักเข้าเหลือ 3,000 2,000 ก็พอ 1,000 บาทก็พอเออ 500 ก็พอ หนักเข้า 200 และ 0 บาทก็พอ อยู่กับหมู่กลุ่มได้ช่วยกันสร้างสรรค์ที่มาเข้าใจใหญ่เลย อย่างนี้แล้วด้วย ทำไมอยู่ได้ ทำไมมีเหลือเฟือที่จะเผื่อแผ่เขา คนจนแท้ๆ และก็ไม่ไปเอาแบบก้าวหน้าอย่างมากเหมือนกับทางโลกเขาทำอย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านตรัส ไม่เอาก้าวหน้าอย่างมาก อย่างโลกีย์เขาเป็นอย่างนั้น อย่างนั้นมันมีแต่ถอยหลังแล้วถอยหลังมันมีแต่น่ากลัว พระเจ้าอยู่หัวท่านก็ เจโต ท่าน ก็ตรัสอย่างนั้นสั้นๆ คนก็ไม่เข้าใจอีกก็มาอธิบาย อธิบายแล้วเขาก็ถามอีก มันก็ไม่ง่ายจริงๆ
เพราะฉะนั้นความเป็นจริงที่เป็นโลกุตรธรรมที่เรากำลังพยายามที่จะให้คนได้ ไม่ได้ยัดเยียด ไม่ได้หว่านล้อม เสนอสัจธรรม เสนอความจริงออกไป ให้คนสนใจให้คนสัมผัส เห็นจริงแล้วก็พอใจที่จะเอาตาม
คิดดูซิ คนที่จบด็อกเตอร์ทางเศรษฐศาสตร์ คนที่จบด็อกเตอร์ทางบริหาร เยอะแยะ ข้าราชบริพารในหลวงรัชกาลที่ 9 ไม่มีกระเตื้องอะไรกันเท่าไหร่ นักเศรษฐศาสตร์ นักบริหารอะไรก็แล้วแต่ ยังรับลูกของในหลวง ร.9 คงเข้าใจนะคำว่า รับลูก รับลูกต่อยังไม่ค่อยได้กัน เราก็ไปบังคับกันไม่ได้ ่บอกแล้วอาตมาไม่หว่านล้อม ไม่ไปเที่ยวได้หาทางบังคับให้คนเข้าใจ หรือล่อให้คนเข้าใจ แต่จะให้เห็นจริงแล้วเกิดความเข้าใจ ให้เกิดปฏิภาณปัญญาว่า โอ้โห.. อย่างนี้เป็นสัจจะที่น่าสนใจนะ ให้เขาเกิดอาการอย่างนี้ ให้เขาเกิดสภาพอย่างนี้เอง แล้วเขาจะมาได้
โดยเฉพาะยิ่งเป็นผู้ที่มีตำแหน่งหน้าที่ มีฐานะทางสังคม ที่เป็นที่ยอมรับนับถือ อย่างอาตมาเกิดมาชาตินี้มันไม่มีฐานะทางสังคมเลย ไม่มีใครจะเชื่อน้ำมนต์ เพราะว่าอาตมาไม่มีฐานะทางสังคมอะไรก็ไม่มี รูปไม่หล่อ พ่อไม่รวย แล้วความรู้อะไรทางโลกก็ไม่มี ไม่มีอะไรรับรองมาเลย แม้แต่รางวัลกิตติมศักดิ์ ปริญญาตรีกิตติมศักดิ์ยังไม่ได้เลย อย่าไปพูดถึงปริญญาเอกเลย ไม่ได้นะ ปริญญาตรี อาตมายังไม่ได้ถึงปริญญาตรี ชาตินี้ไม่ได้เรียนจบปริญญาตรี เรียนจบแค่ปวส. ยังไม่ได้ ไม่ได้รับปริญญาตรีกิตติมศักดิ์ก็ยังไม่ได้ ไม่ต้องไปพูดถึงปริญญาเอก
แต่อาตมาไม่ได้ไปกังวลไม่ได้ไปน้อยใจไม่ได้ไปท้อ กลับยิ่งเห็นความจริงเลยว่า เราต้องทำงานหนักเนาะ ยิ่งเห็นความจริง คนเขายังไม่ค่อยเข้าใจ ยังไม่ค่อยรู้จักสัจจะที่เราพยายามเสนอนี่
เพราะฉะนั้นการส่งออกประชาธิปไตย ที่เป็นประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้าที่อาตมาพยายามจะขยายความว่าไม่ง่ายเลย ยังเขียนยังไม่จบ นี่เพิ่งจะจบ จบวันที่ 1 วันที่ 2 นี้แหละ หนังสือเรื่องเกิดมาชาตินี้ หนังสือเล่มนี้จะแจกในวันที่ 9 มิถุนายน 2567 แต่คงจะพิมพ์ออกมาก่อนให้พวกเราอ่านก่อน แต่แจกเป็นทางการ 9 มิถุนายน 2567 ก็นี่แหละหนังสือ เกิดมาชาตินี้เขียนจบไปแล้วเพิ่งจบไป แล้วค่อยไปทำหนา 200 กว่าหน้า ก็ไม่น้อยนะ ก็ไม่มากเท่าไหร่หรอก 200 กว่าหน้า คิดว่าอาตมาจะนำเอามาอ่านขยายความให้พวกเราฟังก่อน ล่อเป็นออเดิร์ฟหน่อย ให้น้ำลายไหล
_…การส่งออกประชาธิปไตย ด้วยกลยุทธ ปลุกปั่น-แบ่งแยก-ล้มล้าง-เปลี่ยนแปลง…ของชาติมหาอำนาจตะวันตก เจ้าลัทธิทุนนิยมสามานย์ ที่ยังคงล่าอาณานิคม กวาดต้อนบริวารอย่างแข็งขัน โดยปั่นการเลือกตั้งเปลี่ยนตัวผู้นำ ให้หุ่นเชิดตะวันตกได้เข้าสู่อำนาจ… เพื่อ ครอบครองโลก โดยไม่ปกครอง (ครอบงำ บงการ)
พ่อครูว่า… เลือกตั้งเปลี่ยนตัวผู้นำก็อย่างที่ทักษิณเขาทำ ตอนนี้ก็เกิดเห็นแล้วว่ามันไม่จริงหรอก พวกเดียวกัน ประชาธิปไตยทักษิณกับประชาธิปไตยพิธา ชักแย่แล้วตอนนี้ เห็นไหม ประชาธิปไตยของทักษิณกับของพิธา ดูง่ายๆเศรษฐากับพิธา ชักแย่ๆกันแล้ว เขาก็อาศัยมวลอาศัยอิทธิพลของตะวันตก
เขาซ้อนลึก บริหารโดยไม่บริหาร ปกครองโดยไม่ปกครอง เขาก็จะพยายามทำอย่างนั้น แต่แท้จริงแล้วมันมีอะไรอยู่อันนึงก็คือว่า ในเรื่องของทุนทุกวันนี้ เขาว่าเป็นทุนที่ครอบงำโลกอยู่ตอนนี้ เป็นทุนของพวกยิว ได้ยินกันไหม ดูออกกันไหม ซ้อนลึกอยู่ไม่ค่อยรู้ตัวกัน เป็นทุนอำนาจทุนของพวกยิว อย่างนี้เป็นต้น ไอ้นี่เราพูดถึงประชาธิปไตยลัทธิบริหาร ไอ้นั่นเรื่องทุน ซึ่งมันก็ไม่แยกกันเท่าไหร่มันก็อาศัยกัน ที่จะล่ามวลชนเหมือนกัน
_ทุกวันนี้….เพียงส่งข่าวสารทาง social media ต่อตรงถึงลูกหลาน“ไซโคพาธ” ให้รับข้อมูลด้านเดียวกัน เชื่อแบบเดียวกันด้วย อัลกอริ..ทึ่ม ! แล้ว….เชื้อ“ไซโคพาธ” ก็จะทำงาน
…ใส่อารมณ์ ทั้งLike .. ทั้งShare ..เม้าท์ ..เม้นท์.. จนเกิด viral โดยไม่เช็คความถูกต้อง ข้อจริงเท็จของข้อมูล หรือแหล่งที่มา และพร้อม bully พาทัวร์ลง ผู้มีความเห็นต่าง….. บีบคั้นความคิดเห็นของสังคม ให้จำต้องอนุโลม ไปตามทิศทางที่ถูกกำหนด
ในช่วงกลางยุค 90 นักจิตวิทยา Joseph Overton รองประธาน Michigan Mackinac Center ศูนย์นโยบายสาธารณะที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา อธิบายว่า ….
คนเรามี “ขอบเขตของความเห็นที่รับได้”พ่อครูว่า… มันก็คือเหมือนกับคนเราโง่เท่าที่เราฉลาด เราฉลาดเท่าที่เราโง่นั่นแหละ เสมือนช่องหน้าต่างหรือ window ถ้าเลยขอบ window นี้แล้ว ก็จะยอมรับไม่ได้
แต่เมื่อได้ยินได้ฟัง “เรื่องเล่า” ที่ “สุดโต่ง” บ่อยๆ ถึงแม้ในช่วงแรกจะไม่เห็นด้วยเลยก็ตาม …แต่ในที่สุดก็จะถือว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องปกติไป และเริ่มมองว่าไม่ได้มีความ “สุดโต่ง” เหมือนที่รู้สึกแต่แรก
ทฤษฎี “Overton window” (หน้าต่างของโอเวอร์ตัน) หรือ หน้าต่างแห่ง “วาทกรรม” จึงถูกพัฒนาเป็น “เทคนิคการเปลี่ยนทัศนคติของสังคม” ให้ยอมรับต่อประเด็นสุดโต่ง คาดไม่ถึง ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็น “เรื่องต้องห้ามอย่างเด็ดขาด”
โดยใช้ความแม่นยำของ digital คำนวนแบบจำลองในทุกๆมิติ สามารถคาดการณ์พฤติกรรมของมวลชนได้ล่วงหน้า…. เพื่อจะได้ค่อยๆเลื่อน กรอบหน้าต่างแห่งวาทกรรมออกไปอย่างช้าๆ ให้ครอบคลุม“เรื่องต้องห้าม”เหล่านั้น โดยที่จิตสำนึกของมนุษย์มิอาจสังเกตได้
ในขณะเดียวกัน ก็ค่อยๆ เหยาะสิ่งปรุงแต่งลงไปทีละนิด… นำเสนอ “narrative” (เรื่องเล่า) โดยการบิดเบือนข้อมูล …..ใช้ “วาทกรรม” ที่ส่งผลต่อจิตใจ
และเพื่อให้เนียน ….ขั้นตอนนี้จะเปิดโอกาสให้มีการออกความเห็น ถกเถียงกัน กระตุ้นให้มีการวิพากษ์วิจารณ์และไม่เห็นด้วย ทั้งในสื่อกระแสหลัก และโลก social… ให้ผู้คนรู้สึกว่าตนมีอิสระทางความคิด !
ในขณะที่ ระบบจะคาดการณ์ล่วงหน้า และเพิ่มขีดจำกัดไปตลอด ตามที่กำหนดไว้ในแต่ละช่วง… ล่อลวงให้ สาธารณชน หลอกลวงตนเอง ให้คน หวาดกลัว กระทั่ง……ยอมละทิ้งความเชื่อเดิมของตน…จนเกิดความคาดหวัง ต่อสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดว่า จะยอมรับเป็น “แนวคิด” ได้
…เพราะยังดีกว่าความน่ากลัวในจินตนาการ ที่ถูกปลุกเร้า-ปรุงแต่ง…ให้ข้ออ้าง มาเป็นเหตุผลซะเอง
เมื่อเวลาผ่านไป “แนวคิด” ที่ไม่เคยคิดจะยอมรับ ถูกส่งเสริมอย่างบ้าคลั่ง …สถิติถูกนำมาใช้ …เซเลบ/อินฟลู ทั้งหลาย พากันแสดงตัวให้เห็นว่าอยู่ในกระแส ….จน กระบวนการคิดถูกแทนที่ด้วยการเลียนแบบ !!!กระแสสังคมจึงเปลี่ยนจาก “รับไม่ได้เลย”…. กลายเป็น “…ก็….พอรับได้…”……
พ่อครูว่า… เรื่องเหล่านี้อาตมาว่าคล้ายๆกันกับที่เราเองต้องการให้เขามารับพวกเราได้ แต่เราไม่ได้ใช้วิธีการหลอกล่อ แต่ให้คุณเองเป็นผู้ที่รู้ เป็นผู้ที่เห็น เป็นผู้ที่เข้าใจ แล้วตัดสินใจที่จะเชื่อปัญญาตนเอง คุณตัดสินใจเชื่อปัญญาตนเอง อ๋อ.. เราเข้ามาของเราเองอิสระ ไม่มีอะไรล่อหลอก ไม่มีอะไรมาบังคับ ไม่มีอะไรหนุนหลังอะไรเลย
_แม้ว่าจะยังไม่เห็นด้วยอยู่ แต่เท่ากับว่ามวลชนเลิกต่อ
ต้านเรื่องนั้นๆไปแล้ว และยอมจำนนต่อสิ่งที่จะถูกนำเสนอ ในท้ายที่สุด….
พ่อครูว่า… เพราะฉะนั้นอย่าไปเที่ยวได้หยุดการต่อต้านอย่าง
ง่ายๆนะกับสิ่งที่ควรจะต่อต้าน
_ความเห็นชอบของสังคมจึงได้แปรเปลี่ยนเป็นไป ตามที่ต้องการอย่างแนบเนียน โดยมวลชนไม่รู้ตัวว่าถูกชี้นำด้วยเจตนา และบงการด้วยเล่ห์เพทุบาย อย่างเป็นระบบมีขั้นตอน ..ในทางการเมืองจะถึงขั้นทำโพล ขึ้นมารองรับ เพื่อออกเป็นกฎหมาย บังคับใช้ในที่สุด
เล่ห์เพทุบายที่หล่อเลี้ยงความกลัว-ต่อเติมความหวัง(อันหลอกลวง) จึงถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในทุกมิติทั่วทั้งโลก โดยเฉพาะปลุกปั่นการเมืองในระบอบเสรีนิยมประชาธิปไตย (ควบคุมการเลือกตั้ง บงการความเสรี)
นักเลือกตั้ง…จึงเป็นเพียงพนักงานบริษัท ที่ถูกปั้นให้เป็นนักแสดงส่งเข้าประกวดเพื่อชิงตำแหน่งขวัญใจมวลชน“ไซโคพาธ” โดยใช้หน้าต่าง Overton เลื่อนกรอบไปมา ปลุกปั่นโลกโซเชียล บีบคั้นสังคมให้จำนนต่อความสามานย์ เพราะกลัวความชั่วช้า ….. ที่คิดว่าร้ายกว่า ….
“ไซโคพาธ” + “Overton window” จึงคือ“อาวุธชีวภาพ” สำหรับทุนสามานย์ตะวันตก ใช้ยึดอำนาจเปลี่ยนตัวผู้นำ ควบรวมบริษัท …เพื่อเป็น “เจ้าโลก”
การปลุกปั่น ล้างสมอง จึงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป !
กระแสแห่แหนแดดดี๊พิธา ไปจนถึง…ปรากฏการณ์กายแก้ว ก็ใช้เทคนิคเดียวกัน ….ไม่ว่าจะ แก้ไข หรือ ยกเลิก ม.112… จะสลายขั้ว หรือ สลับข้าง voteนายกฯ … จะกลับมา “แสร้งติดคุก” หรือกลับมา “เรืองอำนาจ” …จะอ้างตนเป็นประชาธิปไตย หรือ ถูกใส่ร้ายเป็นเผด็จการ… สุดท้ายแล้วก็สัตว์ในคอก(คูหาเลือกตั้ง)เดียวกัน
จะหน้าเก่า หน้าใหม่ ล้วนตอแหลการเมือง …แหลไปแหลมา แย้มเจตนาจะเขียนรัฐธรรมนูญกันใหม่ทั้งฉบับ…. กรอบหน้าต่าง Overton เลื่อนไปมาอยู่ตลอด เพื่อเช็คอารมณ์มวลชน ตรวจสอบปฏิกิริยาสังคม
ดังนั้นห้ามเผลอ ห้ามเหวอเด็ดขาด …เพราะมี “เอกราชของชาติบ้านเมือง” เป็นเดิมพัน
“สติ” เป็น “อธิปไตย” ….. “ปัญญา” เป็น “อุตระ”
…นะพี่น้องเอ๊ย.ย.ย… !!!
พ่อครูว่า… สติเป็นอธิปไตยนี่ของพระพุทธเจ้าแท้ๆ ในมูลสูตรเลย ปัญญาเป็นอุตระนี่ของพระพุทธเจ้าชัดเจน
มันก็เป็นการพัฒนานะ จะว่าไป มันเป็นพัฒนาการของสังคมมนุษยชาติ ที่พูดกันอธิบายและที่กำลังประพฤติกันอยู่ จะว่าต่อสู้กันก็ตาม มันก็เป็นเรื่องของพัฒนาการของมนุษยชาติ นี่พัฒนาการไป ใครรู้เท่าทันก็ได้ดี หรือมีปัญญาเหนือ มีความรู้ความเข้าใจที่เหนือกว่ามันก็ไม่มีปัญหา คนที่ไม่มีปัญญาเหนือ ถูกครอบงำก็เป็นบริวารตรงเป็นการหาบริวารกันได้เป็นธรรมดาธรรมชาติ
จริงๆแล้วมันไม่ใช่เรื่องง่ายมันเรื่องยาก แต่ยาก อาตมาก็ยังเห็นว่าพวกเราเป็นไปได้อยู่ ยากก็ยังเป็นไปได้ แม้น้อยแม้กลุ่มเล็ก แต่มีอิทธิพลนะ
-
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ยั่งยืน ตีไม่แตก 2. เราก็พยายามพัฒนาตัวเรา ไม่ได้ไปครอบงำคนอื่น แต่ให้คนอื่นเห็นพัฒนาการของเรา แต่ละคนสร้างคุณสมบัติ สร้างคุณธรรม สร้างสิ่งที่มันเจริญให้ได้ขึ้นมาขึ้นมามันก็รวมเป็นรูปธรรมเป็นมวลใช่ไหม จนคนอื่นสามารถเห็นได้ ที่อาตมาใช้สำนวนว่า ทำจนคนตาบอดเห็นได้ ทำจนคนตาบอดเห็นได้ เราพยายามทำให้ไปถึงขนาดนั้นล่ะ
เพราะมันเห็นยาก เห็นยากจริงๆ แต่มันต้องให้เห็น เพราะมันของดีจริงๆ มันไม่ใช่ของหลอก
ผู้ที่ได้แล้วที่เราทำอยู่นี่ เราสร้างอิสรเสรีภาพนะ เราไม่ไปครอบงำ เราไม่ไปล่อลวง เราไม่ไปพยายามหาเสียง หรือว่าทำให้เขามาเห็นด้วยวิธีหว่านล้อมอะไรต่างๆ ให้เขาเกิดปัญญาญาณของเขาเองจริงๆ มาเห็นแล้วมาเอา มันจึงมีอิสรสรีภาพ
คนเหล่านี้เข้ามาโดยอิสรเสรีภาพของเขานี่แหละ มันจึงเป็นปัญญาของเขานำเขาเข้ามา เพียงพอ จึงต่อไปมาร่วมทำต่อไปมันก็ง่ายมันก็สบาย มันไม่ยาก อิสระ สบาย ไม่เกิดเรื่องก็สงบ เพราะมานี่มันมาของแท้ มาก็มาร่วมมาผสมผสาน มาช่วยกันทำ มันก็เรียบร้อย มันไม่เกิดเรื่องราวอะไร มันก็สบาย อิสระ สบาย สงบก็ยิ่งอบอุ่น
อบอุ่นคือ มีพลังงาน ถ้าเย็นมันก็เกาะตัวลงไป ถ้าอบอุ่นขึ้นมามันมีพลังงานร้อนขึ้นมา มันก็เกิดพัฒนาการ สงบ อบอุ่น อิ่มเอม ก็สร้างประโยชน์ ชื่นใจอิ่มเอมใจ สร้างสรรค์มีการก้าวหน้าพัฒนา ขึ้นไป
อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส เกษมคือความสมบูรณ์แบบ เขมัง เป็นตัวสุดท้ายของมงคล 38 เขมัง ตัวปลายสุด เป็นตัวสุดท้ายเลย จุดสุดยอดของมงคล มงคลทั้งปวง มงคล 38 ตัวสุดท้ายของมงคลคือ เขมัง จบสุดเลย สูงสุด สุดยอด แล้วก็ไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ
เกษมใส มันมีแต่รุ่งเรืองเกษมใส ใสสว่าง รุ่งเรืองไป จบด้วยความหมายอันสำคัญ เป็นปลายเปิด คือ เพิ่มพูนการเสียสละ นี่คือ สุดยอดของมนุษย์ มนุษย์ที่มีแต่ความเสียสละไม่มีตัวตน มีสมรรถนะ มีความสามารถ มีจิตใจ มีน้ำใจที่จะเสียสละ ที่จะให้ ให้แก่ผู้อื่นได้สละให้แก่ผู้อื่นได้ ให้สิ่งที่ดีที่สุด ประเสริฐสุดของเราที่จะมีให้ ไม่หวงแหน อยากให้ได้เหมือนเรา หรือยิ่งกว่าเรายิ่งดี ถ้าคุณทำได้ ให้ไปแล้วคุณเอาไปทำได้ดีกว่าเราอีกยิ่งประเสริฐ ไม่ได้ไปริษยาเลย ขอให้มันถูกต้องสัจธรรมก็แล้วกัน นี่คือสุดยอดแห่งสุดยอดจริงๆ
สิ่งที่อาตมายิ่งพูด ยิ่งอธิบาย แล้วก็มีผู้เสริมผู้ที่เข้าใจ ไม่ใช่อาตมาโดดเดี่ยวพูดไปแล้วไม่มีใครรู้เรื่องด้วย รับลูกไม่ได้เลย พวกคุณพอเข้าใจไหม…(พวกเราตอบ…เข้าใจ)… ดี อาตมาไม่อยู่โดดเดี่ยว พูดไปไม่รู้เรื่องใครก็ไม่รู้ แต่ว่าดีครับนาย ๆๆ แต่ไม่รู้เรื่องอะไรหรอกไม่ใช่ อาตมาไม่ต้องการนะ คนอย่างนั้นไม่ต้องการ แบบดีครับนาย ดีครับนาย แต่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แบบนั้นก็แย่
ไม้ร่มบอกว่า… จริงๆแล้วประชาธิปไตยเรามาแปลผิดเอง คนไทยแปลผิดเอง เพราะว่า ประชาธิปไตยเขียนว่า Thief ทีฟ แปลว่าขโมยหรือโจร ของเราไม่มีประชาธิปไตยมีแต่ราชาธิปไตยกับธัมมาธิปไตยแบบพ่อกับแม่
พ่อครูว่า… ปนไปเรื่อย นั่นก็เป็นความเห็นของคุณ ถ้าเผื่อว่าจะอธิบายแปลคำใดๆไปสู่สาระ มันเป็นสาระที่ดีก็ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าแปลมันได้สาระที่มันดีจริง มันเข้าเรื่องเข้าราวก็ไม่มีปัญหา เหมือนกับที่พระท่านสอน นะโมตัสสะ แล้วก็บอกว่า ตัดสาๆ ภาษาอีสาน นะโมตัสสะก็ไป ตัดสา ก็ใช้ได้ จะแสลงไป แต่ว่า มันเข้าเรื่อง มันถูกตัวสาระที่แท้จริงเป็นประโยชน์ ก็ไม่ได้น่ารังเกียจอะไร มันก็ควรจะทำ
เพราะฉะนั้นอาตมาก็ยังมีเรี่ยวมีแรง ยังพอเป็นไป ก็พยายามสงวนท่าทีอยู่นะ เอ๊ อาตมาพูดมานี่ไอหรือยัง (ไอแล้ว 1 ทียาวๆ ) แต่ตอนนี้มันยังไม่ไอก็พอเป็นไปได้ เอาเถอะจะหยุดตอนนี้ก็ได้หรือจะต่อไปถึง 20:00 น ก็ได้ ก็พูดไป
พวกเรา อาตมาว่า คุณอ่านใจตัวเองของแต่ละคน ชีวิตเป็นของคุณเองใช่ไหม คุณมาอยู่ขณะนี้อายุมาก หนุ่มๆสาวๆอายุ 20-30 น้อย นี่พวกเรา ใครอายุ 20 บ้างยกมือ มีอยู่ 2-3 คนเอง คนเป็นร้อยหลายร้อย นอกนั้นโอ้โห แก่แล้วทั้งนั้นเลย เลย 30 ไปแล้ว
เพราะฉะนั้นจะต้องเอาให้ดีๆนะ เลย 30 ไปแล้วนี่มันถึง 40 นี่ เขาถือว่าชักจะไม่ค่อยจะ ถ้า 40 นี่ถือว่ามันกึ่งหนึ่งของ 80 แล้วนะ ค่าเฉลี่ยคนประมาณ 80 ปีใช่ไหม ค่าเฉลี่ยอย่างสูง เลย 80 ปีไปนี้ก็น้อยแล้วอย่าไปพูดถึง 100 เลย เพราะฉะนั้น 40 ปีนี่ครึ่งหนึ่งของอายุขัยที่เราจะพัฒนาการ
เพราะฉะนั้นอย่าประมาทพวกเรา พวกเราจะมีสิ่งพิเศษอยู่มัน ไม่เหมือนสามัญคนทั่วไปเขาอยู่ มันเป็นของพิเศษ มันมีลักษณะพิเศษ มันมีคุณสมบัติพิเศษ ซึ่งมันจะว่าสูงก็สูงกว่าคนสามัญธรรมดาโลกๆ
เพราะอะไร มันมีเหตุมีผลของมัน พวกเรานี่ไม่ได้เอาพลังงานไปฟุ่มเฟือย ไปวุ่นวาย ไปปนอยู่กับไอ้เรื่องโลกๆ โลกๆนี่มันเป็น โรคด้วยนะ ฟังเข้าใจไหม โลกๆนี่มันเป็นโรคด้วยนะ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเราไม่ได้ไปยุ่ง ไม่ได้ไปทำอย่างโลกๆเขาเป็น ไอ้โรคๆมันก็ไม่มีเพราะฉะนั้นมันจึงแข็งแรงกว่าปกติอยู่ นี่เป็นสัจจะอธิบายง่ายๆไม่ใช่เป็นเรื่องไม่มีเหตุไม่มีผล มันมีเหตุมีผลของมันแท้จริง
เพราะฉะนั้นเราจึงสามารถที่จะ อาตมาถึงบอกว่าพวกเรา ชาวอโศกนี่ต่อไปในอนาคตจะเป็นคนที่มีอายุยืน เหมือนชาวหรรษา จะเป็นคนอายุยืนต่อไปในอนาคตแล้ว อยากจะเห็นคนอายุ 100 อายุยาวยืนให้มาดูที่ชาวอโศก เพราะฉะนั้นเด็กรุ่นหลังๆที่เกิดมาเขาจะอายุยาวกว่านี้ ถ้าเขาไม่ออกไปจากวงสายสิญจน์ของชาวอโศก เด็กๆรุ่นหลัง ถ้าเขายังอยู่ในสายศีลของชาวอโศก เขาจะอายุยืน เขาจะรักษาเขาจะเป็นลูกหม้อ เขาจะเป็นตัวต่อเชื้อ ตัวที่เสริมสานขึ้นไปอย่างแท้จริง
อาตมาว่านี้ อาตมาพูดนี้โมเมไหมที่อธิบายไป โมเมไหม มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะคนเราจะมีปฏิภาณปัญญารู้ค่า ว่าคุณค่าของอันนี้ว่าจริงหรือเปล่า ใช่ไหม จะรู้คุณค่าจริง
เพราะฉะนั้นเราก็ต้องทำจริง ชาวหรรษานี่เขาเป็นโดยธรรมชาติ เขาไม่ได้มีความรู้ทางพระพุทธเจ้าตรงๆเหมือนอย่างพวกเรา เขาเป็นโดยธรรมชาติของเขา มันก็เข้าล็อคเดียวกันกับที่พวกเรา พาเป็นไม่หลงโลก ไม่เอาโรคจากชาวโลกๆมา เขาก็อายุยืนแค่นี้ ก็พิสูจน์ยืนยันสัจจะแล้ว
เพราะฉะนั้นยิ่งพวกเราก็เข้าใจชัดเจน รู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง ยาวเพราะฉะนั้นมันจะต้องอายุยาวยืนกว่าชาวหรรษาด้วย นอกจากพวกคุณนี่แต่ละคนมีวิบากมา เพราะฉะนั้นจะมีวิบากตัดรอนบ้าง ก็ไม่ต้องเสียใจหรอกแต่ละคน มีวิบากตัดรอนบ้างก็อาจจะไม่ถึง แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนี้ เราเติม เราได้เติมนะ ยังไงๆคุณก็ได้เติม
-
เราปิดประตูที่จะเอาเชื้อโรคจากทางโลกีย์เข้ามา
-
เราเข้ามาอยู่ในนี้เพื่อเติมเชื้อของโลกุตระ เติมเชื้อของ