661006 จรณะ 15 วิชชา 8 โดยพิสดารลึกซึ้งบริบูรณ์ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/154AJsGCOnLs6CQZF0-lKWnAli4ixb3b2/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1JCP5BgMGKmLeSaJR9rlldp8dqHzrJFu5/view?usp=sharing
และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/661006–15–8-e2a885i
ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/nvETrPJUJO/
และ https://youtu.be/haVZvOz6iQc
มีซับ
สมณะฟ้าไท…วันนี้วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม 2566 แรม 7 ค่ำเดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ถ้าเราดูข่าวคราวของประเทศที่เขานิยมผลิตอาวุธ มีโรงงานผลิตอาวุธเก่ง อย่างอเมริกาเป็นต้น เทียบกับประเทศอินเดียที่นิยมทางศีลธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ไม่เก่งทางเทคโนโลยี ไม่เก่งทางแข่งขันกีฬา ดูเหมือนเป็นประเทศล้าหลัง แต่ตอนนี้ที่อเมริกาจะมีการปล้น คนติดยาเสพติดเหมือนซอมบี้ตัวงอไปงอมา มีภัยพิบัติไฟไหม้รุนแรง น้ำท่วมไม่มีเงินช่วยเหลือประชาชน จะต่างกับอินเดียมีน้ำท่วมอย่างอื่นไม่ค่อยมีอะไรเท่าไร จะมีโรงทานที่เราเห็นออกมาจากคลิปหลายๆ อัน คนก็รออาหารตักให้กินไม่แย่งไม่ชิงกัน ดูแล้วก็อยู่กันอย่างผาสุก แต่อเมริกาอยู่กันเหมือนกับดงโจร อยู่ท่ามกลางกลียุคลักษณะนั้น ไม่น่าอยู่ด้วยประการทั้งปวง
ในประเทศไทยเราอีก 9 วันจะถึงเทศกาลกินเจ ดูปีนี้เหมือนจะเงียบๆ แต่เราน่าจะทำให้คึกคัก เพราะคนได้มากินอาหารมังสวิรัติไม่กินเนื้อสัตว์ 10 วันก็ยังดี อย่างน้อยคนก็ไม่ฆ่าสัตว์ คนไม่กินเนื้อสัตว์อยู่ในศีลธรรม โลกก็จะสงบสุข ประเทศชาติก็สงบขึ้น ถ้าประเทศใดมีคนกินเจทั้งประเทศ ประเทศจะสงบเหมือนอินเดีย ที่กินมังสวิรัติเกือบทั้งประเทศ ประเทศไทยน่าจะเป็นอย่างนั้นได้สมกับเป็น
บุญญาวุธหมายเลข 1 ที่พ่อครูได้กล่าวไว้ เพราะว่าเราไม่ไปแข่งขันสร้างอาวุธเทคโนโลยีอะไร แต่เราหันมาสร้างอาหารเพื่อให้มนุษยชาติได้อยู่รอดปลอดภัยถือว่าดีที่สุดแล้ว เราก็มาฟังพ่อครูกันต่อว่าจะทำอย่างไรให้โลกสงบสุขมากยิ่งขึ้น
พ่อครูสอนอาชีพที่เป็นมิจฉาวณิชชา ที่เป็นอาชีพลามกจกเปรตฟังแล้วเราไม่น่าไปทำ ไม่น่าเข้าใกล้อย่างยิ่ง
พ่อครูว่า… ก็คงจะไปว่ากันต่ออย่างที่ท่านฟ้าไทเกริ่นมาแล้วก็ดีช่วยต่อ มีโอกาสก็ต่อได้เรื่องเกี่ยวกับไปวิจารณ์สังคมโลกีย์ ที่เขาไม่รู้จริงๆ เขาอวิชชาจริงๆ ก็เป็นไปตามสัจธรรม จะเห็นผลช้าหน่อยก็เถอะ ขอเริ่มต้นจาก SMS ก่อน
SMS วันที่ 4 – 5 ตุลาคม 2566
_ซึ้งซื่อ วิเชียร . ขอกราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรสุดเกล้าครับ ในยุคนี้สังคมไทย คนในสังคมเลว เพราะคนไม่ปฏิบัติธรรมตามศาสนาของตนอย่างจริงจัง ในคนส่วนใหญ่ของประเทศสังคมจึงเลวร้ายขึ้นทุกวัน แต่ปัจจุบันชาวอโศกได้จัดค่ายขึ้นหลายค่ายในแต่ละเดือน เพื่อชวนคนมาปฏิบัติธรรมของพุทธอย่างจริงจังจริงใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ พ่อท่านเห็นว่าผลรับจะเป็นเช่นไรครับผม ขอสัมมาทิฏฐิด้วยครับ ขอกราบขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงยิ่งครับ
พ่อครูว่า…ก็จะเป็นอย่างไรล่ะ พวกเรามีภูมิธรรม มีสัมมาทิฏฐิ มีความถูกต้อง ดีแล้ว แล้วก็ช่วยกันเผยแพร่ ช่วยกันสาธยาย ช่วยกันนำมาพากันปฏิบัติ มาประพฤติกันจริงๆ จังๆ มันก็ดีช่วยกันเถอะทำกันขึ้นมา ให้มากๆ มันก็เป็นผลแน่นอน เพราะว่าพวกเราได้เริ่มต้นสัมมาทิฏฐิ พากัน..แล้วก็ทำให้สัมมาปฏิบัติ เมื่อสัมมาปฏิบัติก็จะเกิดสัมมาปฏิเวธกันจริง
เหตุมันดี เหตุมันถูกต้อง ผลมันก็จะถูกต้อง ต้องพยายามระมัดระวังให้ดี ทบทวน ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม ให้มันได้ของจริง ถ้าได้ของจริงแล้ว มันก็ไม่ออกไปจากของจริงหรอก
_ตุ๊ก อัศวิน . ขอโอกาสเจ้าค่ะ!! ฟังว่า..มีผู้นำวาทะนี้ “สัจจะ” ไปขยายว่า “สัจจะ มี หนึ่งเดียว” !?! ครั้นได้ฟังพ่อครูปรารภธรรม ลงลึกในเรื่อง “สัจจะ”..!! จึงขอโอกาสสรุปว่า ปรมัติสัจจะเท่านั้น จึ่งจักกล่าวได้ว่า “สัจจะ มี หนึ่งเดียว”!! ส่วนสมมุติสัจจะนั้น..มีได้หลากหลาย!! ดังนั้น “สัจจะ มี หนึ่งเดียว” จึงต้องเป็นปรมัติสัจจะ only!! กราบขอบพระคุณในสัมมาทิฎฐิจากพ่อครู..เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…จริง ถูกต้อง สัจจะจะมีหนึ่งเดียว ไม่แย้งไม่เถียงกันตรงกันก็คือสัจจะที่เป็นปรมัตถ์ เป็นปรมัตถธรรม เป็นโลกุตระ ถึงจะเป็นสัจจะเป็นหนึ่งเดียว ถ้าเผื่อว่าเป็นโลกียะ เป็นสมมุติสัจจะทั่วไปเขาโลกๆ เขาก็ว่าสัจจะของเขาเป็นหนึ่งทั้งนั้น ศาสดาทุกองค์ก็ว่าของตัวเองเป็นหนึ่งทั้งนั้น แต่เขามีหลากหลายมากมาย แย้งกันแตกต่างกันมีเยอะแยะ ก็เป็นจริง เอาดีอย่างนี้แหละค่อยๆ เก็บรายละเอียดเข้าไป ชัดๆ คมๆ แม่นๆ เข้าไป
โง่เท่าที่เราฉลาด ฉลาดเท่าที่เราโง่ ในฉฬายตนะ
_จรรยาพร ชมสวรรค์ . ขอน้อมกราบนมัสการพ่อครู ด้วยความเคารพอย่างสูง พ่อช่วยอธิบายคำว่า “โง่เท่าที่เราฉลาด ฉลาดเท่าที่เราโง่” ด้วยค่ะ ลูกยังไม่ชัดเจน เพราะลูกยังฉลาดน้อยอยู่ค่ะ ขอให้พ่อครูมีสุขภาพแข็งแรงตลอดไปนะเจ้าคะ
พ่อครูว่า…ขอบคุณ
โง่เท่าที่เราฉลาด ฉลาดเท่าที่เราโง่ ก็หมายความว่า คนเรานี่ มันมี 2 ลักษณะ ลักษณะโง่กับลักษณะฉลาด คุณจะเข้าใจความโง่ความฉลาดแค่ไหนล่ะ มันก็มี ความโง่คือหมายความว่ามันจะขึ้นต้นโง่แล้วก็โง่ต่อๆ ไปอีก จะยาวนานหรือมากหนักเท่าไหร่ มันก็คือลักษณะนั้นแหละ เราเรียกว่า โง่
ฉลาด เราจะฉลาดแค่ไหน มันก็ฉลาดน้อยหนึ่ง ฉลาดมากขึ้นฉลาดมาก มันก็เป็นลักษณะของ 2 อย่าง ซึ่งมันตรงกันข้ามกัน โง่กับฉลาดที่ตรงกันข้ามกัน
ขอขยายความนิดหนึ่งว่า “โง่” ในโลกีย์เขาก็เรียก ว่ามีฉลาด มีโง่ ในโลกุตระก็มีฉลาด มีโง่ มันก็ต่างกัน ฉลาดโง่ของโลกีย์ เขาใช้ภาษาคำว่า “ฉลาด”กับ “โง่”เหมือนกัน ภาษาไทยนี่ไทยเราเอามาใช้ ฉลาดกับโง่เหมือนกัน ภาษาอื่นจะเป็นภาษาอังกฤษภาษาอะไรเขาก็มีคำว่าฉลาดของเขา ซึ่งมันจะไม่เหมือนกับภาษาไทย ภาษาไทยนี่จะอธิบายได้ลึกซึ้ง เพราะมันจะมีคำว่าฉลาดของไทยนี่แหละ ซึ่งมันกร่อนมาจากคำว่า “ฉฬายตนะ” ซึ่งทางด้านภาษาอื่นเขาไม่มี นอกจากบาลีเท่านั้น บาลี สันสกฤตอะไรเขาก็มี
ฉฬายตนะ หรือ ฉ ตัวนี้มันแปลว่า 6 มันเป็นตัวกำกับเลยว่าความฉลาดจะต้องมี 6 แต่เขาเอาไปทำเป็นฉลาด ทั้งๆ ที่เป็น 6 เขาก็เอาเป็นความฉลาด 1 ที่เรียกว่า เฉกะ คือ ฉ กับ เอกะ ก็บอกว่าเฮ้ย! 6 กลายเป็น 1 เห็นไหมว่าทั้งๆ ที่มันมี 6 แต่เขาก็เอาไปเป็น 1
จริงๆ แล้วมันก็คือเป็นภาษาของศาสนาพุทธนั่นแหละบาลี ซึ่งบอกว่าคุณเอา 6 เขาไปทำเป็น 1 เอา ฉฬายตะ ไปหดเป็น ฉ และเอก ก็เป็นเฉกหรือเฉกะ เฉโก มันก็ผิด มันก็เป็นฉลาดของคุณนั่นแหละ พยายามเอาคำว่า “ฉลาด”ขยายความมันเป็นความรู้ก็แล้วกัน เป็นความรู้ที่จะมากจะน้อยอะไรยิ่งขึ้น มากยิ่งขึ้นเขาเรียกว่าความฉลาดอะไรก็แล้วแต่ แต่ว่า มีต้นเหตุความฉลาดของคุณ 1 หรือทวารเดียว หน่วยเดียว แนวเดียว ทางเดียว
แต่ของพุทธนั้นฉลาด 6 ทาง 6 แนว เกิดจาก 6 จุด อย่างนี้เป็นต้น จึงจะเรียกว่า เป็นความจริงครบ
เพราะฉะนั้น ตรงนี้แหละมันจึงยืนยันความจริงที่บอกพูดกันไม่รู้เท่าไหร่แล้วว่า พวกหลับตานี้มันมีแต่ภพเดียว หลับตามันอยู่แต่ข้างในภพภวังค์จิต ตา หู จมูก ลิ้น กาย อีก 5 ทิ้งเลย มันไม่ได้มาเรียนรู้มันไม่ได้มารู้จักอย่างถูกต้อง ละเอียดถูกต้อง มันก็กลายเป็น 1 ก็ไปเหมือนกันกับพวกที่เขามีความรู้แบบเฉกะ มันไม่ใช่ความรู้แบบ ฉฬายตนะหรือฉลาด ที่มันกร่อนมาเป็นภาษาไทยว่าฉลาด
อาตมาไม่ได้โมเมนะ มันเรื่องจริง มันมาอย่างนั้น ไม่ได้มาโมเม ฉลาดมาจาก ฉฬายตนะ นักวิชาการจะแย้งก็แล้วแต่ แต่ใครเห็นว่าเป็นประโยชน์ก็เอาไปใช้ก็แล้วกัน ใครไม่เอา..อาตมาก็บังคับไม่ได้ ไม่ได้ไปมีสิทธิ์ที่จะไปหวงห้าม
เพราะฉะนั้น ความรู้หรือความฉลาดนัยสำคัญที่มันมีนัยสำคัญที่แตกต่างกัน อาตมาก็ขอขยายความไว้เท่านี้
เพราะฉะนั้น คุณโง่หรือมีความฉลาดหรือมีความรู้มากมายหลากหลายมากมายก็เท่าที่คุณมี คุณจะโง่ ใช้ศัพท์ว่าโง่หรือมันไม่รู้ แล้วมันก็ไม่มารู้ รู้เท่าไหร่ มันก็มากเท่าที่เรารู้หรือมันก็โง่เท่าที่เรารู้ฉลาดเท่าที่เรารู้ หรือมันฉลาดเท่าที่เราโง่ ก็เหมือนกันแหละที่จริงบอก 2 ขั้วเท่านั้นเอง บอก 2 ขั้ว ภาษา 2 ขั้ว คุณมีตรงนี้กับเท่านี้นี่แหละคุณมีเท่านี้ จากหัวมาหาง จากหางมาหัว จากต้นมาปลาย โง่แต่ฉลาดเท่านี้ หรือคุณฉลาดเท่านี้มาถึงตรงนี้ ฉลาดมาถึงโง่เท่านี้เท่าที่คุณมีมันก็เท่านี้แหละ ไม่ว่าคุณจะฉลาด โง่ก็เท่าที่คุณฉลาดหรือคุณจะฉลาด เท่าที่คุณโง่มันก็เท่ากัน
_สู่แดนธรรม… ถ้าสมมุติว่าความเต็มเปี่ยมของมันร้อยหนึ่งเพราะมีความโง่อยู่ 25 เท่ากับว่าเราฉลาด 75 ได้ไหมครับ เพราะเราฉลาดได้ไม่ถึง 100 มีความโง่คาอยู่
_ดุลเพชรว่า… เขาอาจจะกลับเอาเลข 6 กลับหัวกลายเป็นเลข 1 ครับ
พ่อครูว่า… เลข 1 ของไทยมันกลมๆ ของฝรั่งมันไม่กลม
_สู่แดนธรรม… ถ้าฉลาดเต็มที่ 75 ก็หมายความว่าเราโง่อยู่ 25 ได้ไหมครับ
พ่อครูว่า…ได้อธิบายอย่างนี้ก็ได้ แต่อาตมาว่าอธิบายอย่างนี้มันครบ คุณมีความฉลาด เท่าที่คุณโง่ หรือคุณมีความโง่ เท่าที่คุณฉลาด มันรวมลักษณะเต็มๆ ของคุณ โง่และฉลาดของคุณเต็มหน่วยมันจะมีเท่านี้ แต่คุณไปพูดของคุณอย่างนั้น มันเท่ากับไปแบ่งความฉลาดมันไม่เท่ากันแล้ว แต่นี่โง่กับฉลาดนี่เท่ากันนะ โง่เท่าที่คุณมีฉลาด คุณฉลาดเท่าที่คุณโง่ แต่คุณไปแยกอย่างนั้น คุณแยกโง่กับฉลาดไม่เท่ากันแล้ว ถ้าเผื่อว่าโง่ 50 ฉลาด 50 เออ อันนี้คุณโง่กับฉลาดเท่ากัน ถ้าจะอธิบายอย่างคุณ
มันต้องอธิบายว่าอย่างงั้น มันก็ขยายความอะไรไม่ออกเลย แล้วอะไรจะต่อไปยังไง มันไปไม่ออก
_สู่แดนธรรม… ผมนึกว่า คนเราความฉลาดไม่เท่ากันเพราะมีความโง่คาไว้อยู่
พ่อครูว่า… ไม่ใช่ อันนี้เราไม่ได้เทียบใคร เทียบกับความฉลาดของเรา โง่ของเราเท่านั้น เราไม่ได้ไปเทียบกับใครนี่อันนี้
_สู่แดนธรรม… ถ้าเราไม่เหลือความโง่ซักหน่อย แสดงว่าเราก็ฉลาดเต็มที่ใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… มันก็ฉลาดเปรียบเทียบกับใคร เดี๋ยวจะกลายเป็นฟุ้งซ่าน มันเยอะไป
จะใช้ภาษาว่าเราโง่เท่าที่เราฉลาด ก็คือจากต้นเป็นปลาย ถ้าเราฉลาดเท่าที่เราโง่ก็คือบอกปลายกับต้น เท่านั้นเอง
สัจจะมีหนึ่งเดียวในโลก ของ เจโตปริยญาณ 16
_สื่อฟ้าศิลป์ ภูวนาถ . พ่อครูกำลังสอนสภาวะต่าง ๆ ของจิต? จิตที่เรียนรู้ทุกอาการโลกียสุข-ทุกข์? ที่เต็มไปด้วยราคะ โทสะ โมหะ หดหู่ ซึมเศร้า ดีขึ้น-เลวลง? ในกายคือจิตที่รอบรู้ด้วยธรรมเจโตปริยญาณ ขัดจิต เกลาใจ เข้าถึงเจโตวิมุติ หลุดพ้นทุกข์-สุข โลกียธรรมทั้งมวลสาธุ🙏😤😞🙇😊😇🙏
พ่อครูว่า… เข้าใจตามนี้ก็ไม่มีปัญหา บอกว่าอาตมากำลังสอนให้เข้าใจสภาวะต่างๆ ของจิต เรียนรู้ความสุขความทุกข์โลกีย์ โดยรู้ในกายคือจิต หรือกายกับจิต รู้แยกกายแยกจิต มันซ้อนอันนี้แหละมันเป็นธรรมะที่เป็นโลกุตระที่ละเอียดลออมากนะ ไม่ใช่แยกขาดกายกับจิต ถ้าเข้าใจกายเป็นหนึ่งตัดขาดคือข้างนอกเท่านั้น จิตก็คือจิตเดียว จิตก็คือข้างใน คุณตัดขาดอย่างงั้นคนนี้มิจฉาทิฏฐิตั้งแต่ต้นทาง เพราะว่าจะพิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิตธรรมในธรรม ไปไม่ต่อ กายมันไม่ต่อหาเวทนา กายมันไม่ต่อหาจิตใช่ไหม กายเวทนาจิตธรรม กายไม่ไปต่อไม่เชื่อมโยงไม่มีสมรรถภาพ คุณก็จะหายไปด้วย กายคุณก็ไม่มีข้างนอกไปเรื่อยๆ
แต่ของพระพุทธเจ้าไม่นะไม่ขาดจากข้างนอก ข้างนอกนี้จะมีเสมอตลอดเวลาที่ปฏิบัติธรรม กายข้างนอกจะเรียกว่าโลกก็ได้ กายข้างนอกคือการเกี่ยวข้องหมุนวนของปฏิสัมพันธ์ของโลก เกี่ยวข้องกับอะไรๆต่างๆ เกี่ยวข้องกับสัตว์ก็โลกอย่างหนึ่ง เกี่ยวข้องกับของเกี่ยวข้องกับวัตถุหรือพืช นั่นก็อย่างหนึ่ง อันนี้ไม่มีจิตวิญญาณเข้าเกี่ยวข้อง ส่วนสัตว์มีจิตวิญญาณเข้าเกี่ยวข้อง พระพุทธเจ้าก็แยกเป็นศีลข้อ 1 ข้อ 2 ส่วนข้อ 3 นั้นละเอียด เกี่ยวกับรูป รส กลิ่น เสียงสัมผัส เป็นกิเลสที่จะเกิดไปนี่แหละ จะเป็นเรื่องไปยาวยืดเลย ศีล 3 ข้อนี้เป็นตัวหลักที่จะขยายเหตุปัจจัย ขยายมรรคผล ขยายสาระธรรมกันเต็มที่ จนกระทั่งสามารถเรียนรู้โดยยึดหลัก เจโตปริยญาณ 16 เป็นตัวตรวจสอบ ตั้งแต่กิเลสหลัก ราคะ โทสะ โมหะ แล้วทำให้มันลด ราคะ โทสะ โมหะ ลง เรียกว่า วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ 3 คู่
อันหนึ่งมีกิเลสเรียกว่า สราคะ ทำให้กิเลสมันไม่มีไปเรียกว่า วีตะ แล้วปฏิบัติที่นี้ปฏิบัติก็จะเกิดผลไปตามลำดับ ตั้งแต่ทีละคู่ ทีละคู่ บอกลักษณะ ลักษณะที่เราจะปฏิบัติแล้ว เราจะเจริญหรือไม่เจริญ ตั้งแต่แยกตระกูล สังขิตฺตํจิตตํ กับ วิกขิตฺตํจิตตํ
สังขิตฺตํจิตตํ ก็เป็นสายศรัทธา วิกขิตฺตํจิตตํ ก็เป็นสายปัญญา สายเปิดกับสายปิด สังขิตฺตํจิตตํ เป็นสายปิด สายเกาะ สายติด วิกขิตฺตํจิตตํ เป็นสายเปิด สายสว่าง ออกไปไกล ฟุ้งซ่านได้ ก็เป็นสายศรัทธากับสายพุทธิจริต
คุณแยกออกคุณเข้าใจได้ว่ามันได้ผล ได้ผล รู้ลักษณะของกิเลส จัดการกับกิเลส นั่นแหละคุณจะเป็นสายศรัทธาหรือจะเป็นสายปัญญาก็ตาม ก็รู้ของตัวเองแล้วทำให้ได้ แยกกิเลสออกมา ไม่ว่าศรัทธากับปัญญามันก็มีกิเลส แยกให้ได้ แยกได้แล้วก็ต้องมีวิธีที่ปฏิบัติให้เกิดพลังงานฌาน หรือ พลังงานปัญญา หรือ พลังงานบุญ
ฌาน กับ ปัญญาก็คืออันเดียวกัน ฌานอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น ปัญญาอยู่ที่ไหนฌานอยู่ที่นั่น
จะเรียกว่า ฌาน ด้วยภาษาไทย มาจากรากบาลีก็ตาม ฌาน สภาวธรรมแท้ๆก็คือปัญญา ปัญญาหรือฌานนี่แหละ เป็นอาวุธหรือธัมมาวุธ ฆ่ากิเลสได้ ฆ่ากิเลสได้ ก็เรียกว่าฌาน ฆ่าได้เป็นสุดท้าย อาตมาก็อธิบายซ้ำซาก
บุญ คือเพชฌฆาตมือสุดท้าย มือที่ตัดสินเด็ดขาดเลยว่า ถ้าบุญได้ลงมือแล้ว ตายเรียบร้อย ตายแน่นอน ตายเด็ดขาด ตายไม่มีฟื้น ตายอย่างเที่ยงแท้ตลอดกาลนาน แล้วบุญก็หมดหน้าที่
แต่ยังเหลือพลังงานฌาน บุญหมดหน้าที่แต่ฌาน 1 2 3 4 ยังเป็นพลังงานที่ ผู้ที่ได้สร้างความเป็นฌานให้แก่ตัวเอง ได้ใช้งาน ได้อาศัยใช้งาน มันก็เป็นคุณสมบัติที่ติดตัว คำว่า “ฌาน” มันมีนัยยะสำคัญแยกกับคำว่า “บุญ” ตรงที่ว่า บุญเพชฌฆาตมีฆ่าอย่างเดียว คือประหารตายอย่างเดียว แต่ฌาน ยังไปใช้ประโยชน์อื่นได้อีก ไปสร้างกุศลก็ได้ แต่ บุญ จะเรียกว่ามันเป็นกุศล ก็ไม่เชิง มันเป็นนักฆ่า แต่จะว่าเป็นกุศล มันดีอยู่อย่างเดียวที่มันฆ่ากิเลส ฆ่าผีร้ายของคน
สัตว์เดรัจฉานมันทำไม่เป็นหรอก มีแต่คนนี่แหละ คนที่เป็นอาริยะที่สัมมาทิฏฐิแบบพุทธเท่านั้นที่จะทำได้ ถ้าจะถึงขั้น ธรรมาวุธ ที่เรียกว่าบุญล่ะก็ต้องพุทธเท่านั้น ต้องโลกุตระเท่านั้น ศาสนาอื่นไม่มี
เพราะฉะนั้นศาสนาอื่นไม่มีบุญเลย หรือมิจฉาทิฏฐิเอาบุญไปเรียกเป็นแต่กุศลเท่านั้น มันไม่ใช่บุญ ศาสนาอื่นเอาคำว่าบุญไปเรียกหมายถึงกุศลทั้งนั้น ไม่เป็นบุญหรอก บุญมีในศาสนาพุทธศาสนาเดียว อันนี้แหละเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก
เรียนรู้ดีๆแล้วเรามาปฏิบัติจนกระทั่งเราบรรลุธรรมด้วยสิ่งที่อาตมาพาทำพวกนี้ เป็นพลังงานทางจิต คุณทำเสร็จแล้วมันจึงจะรู้ได้ด้วยตน ปัจจัตตัง มันเป็นอจินไตยอย่างยิ่งเลย มานั่งคิดนั่งเดานั่งประมาณเอาไม่ได้ ต้องมาทำอย่าง ปัจจัตตัง ทำได้ของตัวเองจริงเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นเวลาอธิบายมันจะเป็นสิริมหามายา เป็นสภาพไดอะแลกติก มันจะเข้าใจยากนะ มันจะเป็น Dialectic เพราะฉะนั้นในศาสนาเทวนิยมเป็น Dialectic เขากำหนดไม่ได้เลยว่าอะไรถูกต้องแท้ เขายังจะเปลี่ยนแปลงเขายังไม่มีที่จบ สัจจะเป็นหนึ่งเดียวไม่ได้ของเทวนิยม ของโลกียะ มีโลกุตระเท่านั้นจึงจะสัจจะมีหนึ่งเดียวได้
ในสูตรที่บอกว่าสัจจะมีหนึ่งเดียวนี้ จูฬวิยูหสูตร คุณไปอ่านเถอะจะปวดหัว จูฬวิยูหสูตร จะมีหนึ่งเดียว คุณไปอ่านเถอะสูตรนี้สัจจะมีหนึ่งเดียวคุณจะปวดหัวได้ดีมาก
เพราะว่าถ้าคุณไม่มีสภาวะ คุณภูมิไม่ถึงจริง คุณไปอ่านเถอะคุณสับสน คุณจะวุ่นอยู่นั่นแหละ และท่านจะสรุปตรงที่ว่า สัญญายนิจจานิ ตัวพยัญชนะบาลีตัวนี้แหละโอ้โห มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยที่จะรู้ได้ง่ายๆ สัญญายนิจจานิ สัญญาว่าเที่ยง สัญญาย มันเป็นคำกริยา สัญญาย นิจจา มันจะเที่ยง
เพราะฉะนั้นคุณจะไปสัญญาว่าเที่ยงตามที่คุณทำตามความเห็นแต่ละคน มันก็จะเถียงกัน เถียงกันแย้งกัน พระพุทธเจ้าก็อธิบายใน จูฬวิยูหสูตร ว่าคนไหนมีความเห็นว่าเที่ยง คนไหนว่าของจริง มันจะมีอะไร มันก็เถียงกันเท่านั้นแหละ มันต้องปฏิบัติ ต้องไปอ่านดู คนไหนไม่เชื่อ ถ้าไม่ปวดหัวก็ลองดูเถอะ นอกจากคุณจะบรรลุธรรมได้มรรคผลจริงคุณจะเข้าใจ โอ้โห ทะลุ โล่งเลย อ้าว ผ่าน
_Ka Por กะ ป้อ (ภาษาจีน แต้จิ๋ว =คางคอ หรือ อีปิ ลูกคนแรก พ่อแม่รักมาก). ถ้าไม่พบพ่อครูฯ คงไม่รู้ศีล 3 คือ ข้อ1.สัตว์ 2.สิ่งของ 3.ทวาร 6 เป็นข้อปฏิบัติขัดเกลากิเลสของเราให้เบาบางลดลงจึงเกิดบุญ ถ้าละเมิดก็บาป
พ่อครูว่า…เออ..สรุปสั้นดี ชัดเจน คุณเข้าใจได้ถูกต้องดี
วิปลาส 3 วิปลา 4 วิปลาส 7
_สว่างแสง ขวัญดาว . น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ กราบนมัสการท่านสมณะฟ้าไท ท่านสมณะด่วนดี และท่านสิกขมาตุด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ พ่อครูคะ ลูกได้ดูคลิปโลกเราวันนี้ (อยัง โลโก) ที่ท่านฟ้าไทนำเสนอ ลูกเห็นว่าโลกนี้เต็มไปด้วยภาวะคนวิปลาส 4 ที่ประกอบมิจฉาวณิชชา 5 ลูกพอจะพูดว่า “ไม่มีหมู่กลุ่มใดเลยในโลก นอกจากชาวอโศก” ที่พ่อครูนำธรรมะของพระพุทธเจ้ามาสอนให้ปฏิบัติ ที่พ้นภาวะที่โลกเป็นอยู่ได้ไหมคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยเศียรเกล้าค่ะ
พ่อครูว่า…อาตมาว่าได้นะ พูดไปก็แม้ยกตัวยกตน แต่ที่จริงมันเป็นความจริงที่จะต้องยืนยัน เพราะฉะนั้นเราจะเข้าใจจริงๆมันเป็นความรู้สึกเป็นความเห็นเป็นปัญญาที่มันชัดเจนว่า อ๋อ มันเป็นอย่างนี้เอง เพราะฉะนั้น จริงๆแล้วมันไม่ได้ยกตัวยกตนอะไร มันมีอย่างนี้จริงๆ ขอยืนยันนะที่ยืนยันอย่างนี้มี มันไม่มีที่อื่นดอกมีแต่ชาวอโศกนี่แหละ
จริงๆนะอาตมาก็อยากจะให้ที่อื่นที่ใดก็แล้วแต่สำนักอื่นสำนักใด มามีอย่างนี้บ้าง มันไม่มีนอกจากชาวอโศกหรือเครือแหของชาวอโศก ใช่ไหม ชาวอโศกเคยเห็นของชาวอโศก
แล้วก็ยอมรับว่าขออภัยต้นต่อมาจากอาตมาในยุคนี้ ยุคนี้อาตมานำ ผู้ที่รู้จักโลกุตรธรรมสมบูรณ์แบบกว่าใครเพื่อน ขณะนี้ ในโลกยุคนี้ โอ้โห..พูดอย่างนี้นี่ใหญ่ยิ่งเลยนะ แต่มันเป็นความจริงที่เลี่ยงไม่ได้อาตมาพูดความจริงเท่านั้น ก็ต้องขออภัยพูดความจริง แม้โลกทุกวันนี้พูดความจริงต้องขออภัยนะ อาตมามันน่าสังเวชใจจริงๆ ก็พูดยืนยันอย่างนั้น คุณสว่างแสงยืนยัน มันไม่มีหมู่กลุ่มใดในโลกเลยนอกจากชาวอโศกที่จะรู้
วิปลาส 4 มันมีวิปลาส 7
กิริยาที่ถือโดยอาการวิปริตผิดจากความเป็นจริง, ความเห็นหรือความเข้าใจคลาดเคลื่อนจากสภาพที่เป็นจริง มีดังนี้ :
ก. วิปลาสด้วยอำนาจจิต และเจตสิก ๓ ประการ คือ
-
วิปลาสด้วยอำนาจสำคัญผิด เรียกว่า สัญญาวิปลาส
-
วิปลาสด้วยอำนาจคิดผิด เรียกว่า จิตตวิปลาส
-
วิปลาสด้วยอำนาจเห็นผิด เรียกว่า ทิฏฐิวิปลาส
พ่อครูว่า… ถ้าผู้ใด มีทิฐิวิปลาส คุณก็จะกำหนดสัญญาของคุณเป็นตัวกำหนดนั่น กำหนดนี่ กำหนดโน่น ไปตามทิฏฐิของคุณที่วิปลาส เพราะสัญญามันตามทิฏฐิที่คุณมี แล้วสัญญาก็จะกำหนดตามทิฏฐิที่คุณมี แล้วที่คุณมีเช่นนั้นแสดงว่าในอนุสัยของจิต หรือตัวทิฏฐิของจิตนี่ ตัวทิฏฐิของจิตนี่แหละ พูดตัวข้างนอกว่าทิฏฐิ พูดตัวแกนหลักก็คือจิต จิตของคุณวิปลาส เพราะฉะนั้นคนที่จิตวิปลาสแล้ว โอ้โห..แก้ไขยากมาก จะให้สัมมาทิฏฐิ จะให้เปลี่ยนทิฏฐิ เป็นสัมมายากมาก เพราะว่าจิตของคุณวิปลาสไปแล้ว ถึงขั้นทั้งจิตทั้งประสาทต้องเอาเข้าโรงพยาบาลบำบัด จิตวิปลาสต้องเอาเข้าโรงพยาบาล
เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าจิตของคุณไม่ถึงขั้นวิปลาส คุณวิปลาสทิฏฐิเท่านั้น ความเห็นมันผิดก็แก้ได้ ก็สามารถทำให้ถูก เมื่อถูกแล้วคุณก็ไปสัญญาถูก แต่ถ้าทิฏฐิของคุณยังผิด คุณก็ไปสัญญาไปกำหนด สัญญาเป็นตัวทำงาน ทิฏฐิเป็นตัวแกนของจิต นี่คือทิฏฐิ 3
เพราะฉะนั้นคนที่วิปลาส 3 นี่แล้ว คุณจะทิฏฐิวิปลาส คุณจะจิตวิปลาสหรือคุณจะสัญญาวิปลาส คุณก็จะกำหนดวิปลาส 4 นี้ผิด
เพราะฉะนั้นถ้าจิตของคุณไม่วิปลาส ทิฏฐิคุณวิปลาสคุณก็ไปสัญญาผิด เพราะฉะนั้นทำให้ทิฏฐิของคุณถูกซะ เป็นสัมมาทิฏฐิซะคุณก็จะไปสัญญาได้ถูก แต่ถ้าเผื่อว่ามันไม่ถูกที่ทิฏฐิ สัญญาของคุณไปทำ ไปใช้งานหรือทำงาน ไปกำหนดรู้ แล้วตกผลึกลงเป็นความจำ สัญญามันก็มี 2 หน้าที่หลัก กำหนดรู้ กับ จำสัญญา ซึ่งมันมีหน้าที่ของมันจริงเลย คุณทำได้แล้วคุณก็ โอ้โห มันอย่างนี้ชัดเลยก็ยิ่งจำได้ดี อันนี้ยังไม่ชัดก็จำได้บ้างไม่ได้บ้างหรือจำได้แล้วมันก็ลืมได้เลือนได้
ทีนี้เมื่อคุณสมบูรณ์ไม่วิปลาส 3 นั่นแล้ว คุณจึงจะไปกำหนดความเที่ยงความไม่เที่ยง กำหนดว่าทุกข์ว่าสุข กำหนดความมีตนหรือไม่มีตน และกำหนดความควรหรือไม่ควร ดีงามหรือไม่ดีงาม น่าได้ น่ามีหรือไม่น่าได้ ไม่น่ามี น่าได้หรือไม่น่าได้ สุภะอสุภะ ก็จะไปกำหนดอันนี้ได้ชัด เพราะฉะนั้นวิปลาส 3 จึงเป็นตัวการ ถ้าไม่มีวิปลาส 3 ถูกต้องหมดวิปลาส 3 ไม่มี ถูกต้องหมด คุณก็มากำหนด 4 มาเรียนอีก 4 โดยเรียนรู้ตั้งแต่ความไม่เที่ยงหรือเที่ยง ถ้ามันเรียนรู้คุณไปกำหนดผิดอยู่ คุณก็ผิด จะไปกำหนดความไม่เที่ยงว่าเที่ยง หรือไปกำหนดความเที่ยงว่าไม่เที่ยง
ที่จริงก็คือไปกำหนดสิ่งต่างๆมันไม่เที่ยง แต่คุณไปยึดไปกำหนดว่ามันเที่ยง นี่แหละมันจะผิดตรงนี้ หรือสิ่งต่างๆมันเป็นทุกข์แต่คุณก็ไปกำหนดว่ามันเป็นสุข มันก็วิปลาสสิ จริงๆตัวตนมันไม่ใช่ตัวตน มันอาศัยอยู่เท่านั้น แต่คุณไปกำหนดว่ามันเป็นตัวตน มันก็วิปลาส
เพราะฉะนั้นไปยึดสิ่งที่ว่าไอ้นี่มันไม่ควร ไม่ควรได้ ไม่ควรมี ไม่ควรเป็น คุณก็ไปยึดว่ามันควรมี ควรได้ ควรเป็น ไอ้ตัวท้ายนี้เป็นตัวเปิด ปลายเปิด
คำว่า สุภะ เขาชอบไปแปลว่า งาม ความงามมันก็ขยายไม่ค่อยออก ถ้าแปลว่าควรได้ ควรมี ควรเป็น มันก็จะชัดกว่า ถ้าไปบอกว่างามคือคุณติดใจแล้วจึงเห็นว่างาม มันเป็นกิเลสแล้ว ว่างามหรือไม่งามมันเป็นกิเลสแล้วที่จริงมันไม่ใช่กิเลส มันก็เลยแปลว่างามหรือไม่งาม แต่ไปแปล สุภะ อสุภะ มันก็แปลได้ในลักษณะหนึ่งในสภาวะหนึ่ง
ข. วิปลาสด้วยยึดเอาวัตถุเป็นที่ตั้ง 4 ประการ คือ
-
วิปลาสในของที่ไม่เที่ยง ว่าเที่ยง
-
วิปลาสในของที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นสุข
-
วิปลาสในของที่ไม่ใช่ตน ว่าเป็นตน
-
วิปลาสในของที่ไม่งาม ว่างาม(น่าได้น่ามีน่าเป็น)