661011 จบกิจทำกาละ 3 ประการ ด้วยฌานของพุทธ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1JDPYcelIqjlymOZhejC3JYZlao0JkAYI/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1UfxeGo5ipwqjwlKWYRGs52n7SLNAiT0W/view?usp=sharing
และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/661011-108-1–3—-_1_1-e2aeft9
ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/fRKN1paO4pE
และ https://fb.watch/nCeLik-d-7/
มีซับ
สมณะเดินดิน…วันนี้วันพุธที่ 11 ตุลาคม 2566 โรงแรม 12 ค่ำเดือน 10 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก อีกไม่กี่วัน เมื่อถึงวันที่ 13 ซึ่งยังไม่ใช่วันเข้าเทศกาลกินเจที่เดียวแต่ถือว่าเป็นวันฤกษ์ดีของเราที่จะนำร่อง วันนี้เรียกว่าวันนวมินทรมหาราช แปลว่าวันระลึกถึงมหาราชรัชกาลที่ 9 ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ก่อนมีวันหยุดแค่วันที่ 5 ธันวาคม ตอนนี้มีวันที่ 13 ตุลาคมถือว่าเป็นวันสำคัญของชาติอีกวันหนึ่ง วันระลึกถึงมหาราชรัชกาลที่ 9 ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นความหมายที่เขาแปล
คิดว่าที่ต่างๆของพวกเราก็คงจะได้ถือฤกษ์เปิดโรงบุญ และต่อด้วยงานเจติดต่อกันไปเลย วันที่ 13 ถือว่าเป็นวันนำร่องก่อน
ปีนี้พ่อครูก็ได้เปิดประเด็นเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องที่สังคมเขาโหดร้ายรุนแรงกัน เขาเรียกร้องกันว่าเป็นการฆ่ากันเกินเลยความเป็นมนุษย์หรือเปล่า คำนึงถึงสิทธิมนุษยชนกันหรือเปล่าที่เข่นฆ่ากันอย่างอำมหิตโหดร้าย มนุษย์ไม่น่าจะถึงขนาดนี้ ก็พยายามเรียกร้องกัน ในการที่มีการรบราฆ่าฟันกัน ดูแล้วน่าสมเพชเวทนาที่มีความรุนแรงเกิดขึ้น
พ่อครูก็เปิดประเด็นขึ้นว่า สิ่งที่พวกเราควรคิดคำนึงนอกจาก Human Right Watch แล้ว ยังมี Animal Right Watch
พ่อครูว่า… Human มีองค์กรไป Watch แต่สัตว์มันไม่มีใครไป Watch
สมณะเดินดิน…Animal ก็มีเฉพาะ Dog พวกสมาคมรักหมา มีการเฝ้าระวังไม่ให้ใครไปทำร้ายหมา เคยดูข่าวว่ามีคนไปตีหมาตายมีกล้องบันทึกเอาไว้ เพราะว่าหมาไปกัดคนในหมู่บ้าน แต่ต่อมาเขาก็ถูกแจ้งจับ เพราะไปทารุณกรรมต่อหมา มีกฎหมายห้ามทำทารุณกรรมต่อหมา แต่มันมีเฉพาะเฝ้าระวัง Dog แต่สัตว์อื่นๆไม่มีการเฝ้าระวังเลย นอกจากไม่เฝ้าระวังแล้วยังทำทารุณแบบสดๆ
อาตมาเคยดูคนคนๆหนึ่งเขากินโชว์ จนมี FC กลายเป็นยูทูปเบอร์ มีวิธีกินทำให้ดูอร่อย ไปหาของแปลกๆมากิน เป็นต้นว่ากินส้มตำก็มีปูตัวเล็กๆไต่ยั้วเยี้ยบนถาดส้มตำ กินส้มตำคำหนึ่งกินปูคำหนึ่งทำท่าอร่อยใหญ่เลย เขาไม่กลัวพยาธิใบไม้ในปอด เคยมีเด็กวัยรุ่นพยาธิเต็มไปหมด หมอก็บอกว่าน่าจะกินปูนี่แหละ
พ่อครูว่า… ผู้ใหญ่กินพ่อปูแม่ปูเลย
สมณะเดินดิน… คิดว่าในเทศกาลกินเจปีนี้ พวกเราน่าจะให้ความตื่นตัวแล้วก็ให้ความสำคัญในสังคมที่นับวันๆยิ่งทวีความโหดร้ายรุนแรงเข่นฆ่ากันอย่างน่าสะพรึงกลัวเกิดขึ้น ทำอย่างไรเราถึงจะเพิ่มค่านิยมของเมตตาธรรมให้มันเกิดขึ้นในสังคม อาตมาว่าคนที่มากินเจ ถ้าดูบุคคลที่จะมารับเข้าใจโลกุตรธรรม คิดว่าคนที่กินเจน่าจะเป็นประชากรกลุ่มแรกที่เข้าใจโลกุตระได้ กลุ่มอื่นน่าจะยาก เคยไปงานศพเพื่อนของพ่อครู ภรรยากับลูกชายเขาสนิทกับพวกเรามากออกมาต้อนรับอย่างดี แต่ก็เหมือนคุยเป็นพิธีเท่านั้นเอง แล้วก็ไป แต่คนที่นั่งคุยตลอดในงานคือลูกเขย ทั้งที่ไม่เคยสนิทกัน แต่ว่าลูกเขยเป็นสมาชิกของชมรมมังสวิรัติ(ชมร.)
ภรรยากับลูกชายแม้จะสนิทกับเราแต่ก็ไม่รู้จะพูดคุยต่อกันอย่างไร แต่ลูกเขยเคยกินอาหารที่ชมรมมังสวิรัติเป็นประจำ เป็นวิญญาณที่ต่อเชื่อมกันได้ ในมนุษย์ก็จะมีช่องว่างระหว่างพวกเรากับคนทั่วไปเหมือนกัน คือมันเหมือนกับคนละสปีชีส์ คนละเผ่าพันธุ์ พวกเราน่าจะให้ความสำคัญ ออกมาชูธงบุญญาวุธหมายเลข 1 ทำให้มันอบอุ่น อย่างน้อยในแต่ละชุมชนที่เงียบเหงาก็น่าจะได้ออกมารวมพลังกัน ปลุก ทำให้บรรยากาศคึกคัก ขึ้นมาบ้าง
ได้ฟังที่ท่านลือคมอยู่ที่ศาลีอโศก เคยไปอยู่ที่ศาลีอโศก คนรอบข้างไม่รู้จะมาสัมพันธ์อย่างไรกับเราเพราะเขาเรียกพวกเราว่า พวกป่าช้า ไม่มีวิญญาณจะมาเชื่อมกับเราได้เลย เขาก็ปล่อยให้เราอยู่อย่างนั้น 20-30 ปี แต่พอท่านเปิดอาศัยงานเจ จัดให้กินฟรีเลย ทีนี้มากันคึกคักเลย แล้วก็พวกญาติธรรมเขาบอกว่าไม่ค่อยอยากมาขาย แต่ถ้าตั้งโรงบุญเขาพร้อมจะมาทันทีเลย
วิญญาณสัมพันธ์กับคนภายนอกมันก็เกิดขึ้น ถ้าเราไม่ให้ความสำคัญกับบุญญาวุธหมายเลข 1 เราก็จะกลายเป็นพวกป่าช้ากันไปอีกตลอดกาลนาน
พ่อครูว่า… มาเปิดฉากกับ SMS ก่อน
SMS วันที่ 9-10 ตุลาคม 2566
_ศรีนวล อินปล้อง . น้อมกราบท่านพ่อครู สมณะ สิกขมาตุและญาติธรรมค่ะสาธุ ลูกติดตามทีวีบุญนิยมทางยูทูบและเฟชบุ๊ก ฟังซ้ำหลายครั้ง ชอบและปฏิบัติตาม และติดตามหมอเขียวด้วยค่ะ จนสามีบอก มีช่องรึ ลูกชายก็ชอบฟังและดูแล้วเราก็มาแลกเปลี่ยนกันค่ะ คุยกันปรึกษากันทุกวันเลยค่ะ สุโขทัยค่ะสาธุ
จะอ่านรู้เวทนา สัญญา สังขาร ต้องปฏิบัติฌานลืมตา
_แหวว แหวว . กราบนมัสการพ่อท่านค่ะ ขอเรียนถามค่ะว่า ช่วงระหว่าง จิตเกิดเวทนาสัญญา พอสังขารเสร็จ พึ่งมารู้ตัว จะสังเกตรู้ได้อย่างไรคะ ว่าสัญญาแล้ว กำลังจะข้ามมาสังขาร ตามจิตไม่ทันค่ะพ่อ
พ่อครูว่า…หัดอ่านอย่างนี้แหละ รู้หน้าที่ของมันก่อน คำว่า
“เวทนา”มีหน้าที่อะไร มีอาการอย่างไร อาการของมันจะบอกหน้าที่
อาการของเวทนาคืออาการรับรู้สึก รับรู้สึก สัมผัสและรับรู้สึก ถ้าไม่มีสัมผัส มันไม่มีเวทนา มันไม่รับรู้สึก มันจะมีแต่สัญญาเลย ถ้าไม่มีสัมผัสข้างนอกมีแต่สัญญา
สัญญาคือการกำหนดรู้กับความจำ เพราะฉะนั้นเมื่อไม่มีสัมผัสข้างนอก สัญญามันก็ทำงานรู้ มันก็รู้ได้จากของเก่าหรืออดีตความจำ หรือคิดใหม่ฟุ้งซ่านไปเองอนาคตที่ยังไม่เคยมี มันยังไม่เคยเป็น
เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่มีผัสสะ ไม่มีปัจจุบันธรรม ตากระทบรูป หู กระทบเสียงพวกนี้ จึงเป็นโมฆะในการปฏิบัติธรรมเพราะมันไม่ได้เป็นแปลงสิ่งที่กำลังเกิดจริง มันไปงมอยู่กับอดีตกับอนาคตซึ่งมันไม่มีของจริง อดีตกับอนาคตไม่มีของจริง ของจริงคือปัจจุบันการปัจจุบันธรรม ปัจจุบันชาติที่กำหนดสัมผัสและเกิดอาการนี่เป็นของจริง
เรียนรู้ของจริงว่ามันเกิดปรุงแต่งกันอย่างไร มีกิเลส วิจัยวิจารกันอย่างไร จึงจะกำจัดตัวจริง มีของจริงก็ได้กำจัดตัวจริง แต่เมื่อไม่มีตัวจริง ไม่มีปัจจุบันธรรม มันก็มีแต่ของก๊ มีแเต่ของอดีตกับอนาคต เพราะฉะนั้นการไปหลับตาปฏิบัติธรรมจึงโมฆะ มันไม่มี มีแต่อดีต 18 กับอนาคต 44 ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้เลยในพระไตรปิฎกพระสูตรเล่มแรกเลย พรหมชาลสูตร มิจฉาทิฏฐิ 64 อย่าไปทำเลย แต่เขาเข้าใจไม่ได้เพราะชาวพุทธนั้นเสื่อม เสื่อมจนจำไม่ได้ว่าของพระพุทธเจ้าคืออย่างไรก็เลยมิจฉาหลงตามอาจารย์รุ่นก่อนๆ มิจฉาทิฏฐิอยู่จนทุกวันนี้
อาตมาก็ปลุกแล้วปลุกอีก เตือนแล้วเตือนอีก ยืนยันแล้วอ้างอิงอธิบายพามาปฏิบัติ เพื่อยืนยันของจริงเพื่อให้เทียบเคียงเลยว่าอะไรมันจะถูกต้องตามธรรมะพระพุทธเจ้าที่แท้ ไม่เขาก็ยังไม่กระดิกหู ไม่กระเตื้องอะไรเลยก็น่าสงสาร
เราเรียนรู้ก็เรียนรู้ที่เวทนา สัญญา สังขาร นี่เป็นเจตสิก 3 ของวิญญาณที่เป็นธาตุรู้องค์รวม มีรูปด้วยคือสิ่งที่ถูกรู้ เพราะฉะนั้นเมื่อเวทนาสามารถที่เรามีสัญญากำหนดรู้ หรือมันกำหนดรู้แล้ว สัญญานี่แหละใช้กำหนดรู้ กำหนดรู้เวทนา กำหนดรู้สังขาร
สังขารคือการปรุงแต่ง พอเวทนากระทบปั๊บ มันก็ปรุงแต่งด้วย ยิ่งมีกิเลสร่วมอยู่ด้วยกับจิต มันมีบทบาทจริงเลย มันมีอยู่ในเรา มันจะปรุงแต่งปุ๊บเลย มันจะสังขารทันที เราจึงต้องอ่านเวทนาที่มันสังขาร
โดยตัวสัญญาเป็นตัวทำงาน กำหนดรู้ตัวนี้ จึงจะกำหนดรู้ที่มีสัมผัสและมีของจริงหรือความจริง เป็นปัจจุบันธรรม ถ้าไปหลับตามันไม่มีของจริง ไปทำยังไงก็แก้ไขไม่ได้ เพราะมันไม่มีของจริง มันมีแต่ในอดีตอนาคต ไม่รู้ว่าเราเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง นี่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร อธิบายสู่ฟังว่า หลับตานั้นเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไปเอาอย่างเดียรถีย์ทำไม มาลืมตาปฏิบัติธรรมตามจรณะ 15 วิชชา 8 นี่
ตั้งแต่ศีลแต่ละข้อเดี๋ยวก็จะได้อธิบายจรณะ 15 วิชชา 8 ให้ดีๆ ตั้งใจอธิบายต่ออยู่ คนก็ยังอยากจะฟัง ค่อยๆว่าไป
ทีนี้ที่ถามมาก็ต้องศึกษาไป แล้วรู้หน้าที่มันให้ชัด แล้วจะรู้ว่าอะไรมันก่อนมันหลังอาการมันยังไง ซึ่งมันไม่ใช่ง่ายๆ มันเป็นอภิธรรมจริงๆ มันเป็นเรื่องอจินไตย เป็นเรื่องสุดวิสัยที่ไม่ใช่รู้ง่ายๆ ขออภัยไม่ใช่เรื่องสุดวิสัยแต่เป็นวิสัยของอาริยะ เป็นวิสัยของคนเจริญที่แท้จริงจึงจะสามารถเรียนรู้ได้ ถ้าไม่ใช่อาริยบุคคลไม่รู้ความจริง จะรู้ผิดๆ ต้องมาศึกษาจริงๆ
_ใบยอม กันธะ . น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง ธรรมะที่พ่อครูนำมาสอนลูก ๆ ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกลึกซึ้ง จรณะ 15 วิชชา 8 เป็นสุดยอดแห่งการสอน และลูกได้ฟัง แล้วนำมาปฏิบัติ ซึ่งลูกทำได้ระดับหนึ่ง ส่วนใหญ่เป็นข้อสำรวมอินทรีย์ ข้อนี้ลูกยังทำไม่ค่อยได้ แต่ก็ไม่ละความพยายามจะฝึกไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะสำเร็จ รายงานมาให้ทราบค่ะ ด้วยความเคารพพ่อครูสุดหัวใจ
พ่อครูว่า…อันนี้อาตมาก็ว่ายุคนี้ไม่มีใครมาอธิบายจรณะ 15 วิชชา8 มากเท่าอาตมาหรอก เอาจริงเอาจังด้วย สอนอย่างเอาจริงเอาจังด้วย เพราะจรณะ 15 วิชชา 8 คือสมบัติที่เป็นของพระพุทธเจ้า เรียกเต็มๆว่า จรณะ วิชชาจรณะสมบัติ เป็นสาระแท้ เป็นทรัพย์จริงของพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น คนที่ไม่อยู่ในร่องรอยของจรณะ 15 วิชชา 8 จึงไม่ได้อยู่ในกองสมบัติพระพุทธเจ้า อยู่นอกกองสมบัติ พวกนี้พวกนอกตระกูลพระพุทธเจ้า พวกไม่อยู่ในสมบัติของพระพุทธเจ้า พวกนอกตระกูลพระพุทธเจ้า ไม่มีมรดก ไม่ได้รับมรดกแท้ เพราะมรดกของพระพุทธเจ้าคือจรณะ 15 วิชชา 8 คือสมบัติเป็นสุดยอด
ดี ทำไปแต่ละระดับ การสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ถูกแล้ว เอ้า..ดีมาก ตรงนี้ไม่ผิดเป้าแล้ว
จบกิจทำกาละ 3 ประการ ด้วยจรณะ 15 วิชชา 8
_แก้วตะวัน พวงบุบผา . น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพบูชาอย่างสูงยิ่งค่ะ…
แสร้งอ้างว่าประชาธิปไตย เหล่าคนไทยหลงคารมชมเศรษฐี
ว่าแจกเงินหนึ่งหมื่นชื่นชีวี แม้เขามีเล่ห์กลไม่สนใจ
เราจะทำอย่างไรไทยตื่นรู้ กราบพ่อครูช่วยชี้ทางสว่างให้
สร้างปัญญาให้ปวงชนพ้นเภทภัย ศิวิไลซ์ไทยยืนยงไม่หลงกล
พ่อครูว่า…อาตมาก็พากเพียรอยู่ พยายามอยู่ ที่พยายามเตือนสติ พยายามบอกให้เห็นเล่ห์กลต่างๆในการแจก เอาเงินของรัฐบาลมาแจกด้วยเอาเงินของส่วนกลางมาแจกประชาชน ไม่ใช่เงินตัวเอง แล้วก็หาเสียงให้แก่ตัวเอง อันนี้เป็นวิธีการ เป็นกลยุทธของนักการเมือง ที่เมื่อได้ตำแหน่งหน้าที่ใช้พวกนี้ได้เขาก็จะทำ ทำกันมาตลอดเวลาไม่รู้กี่ยุคกี่ยุค กี่สมัยก็เป็นอย่างนี้กันมา
ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ ก็บอกว่า หากรัฐบาลใหม่แจกเงิน 10,000 บาทผ่าน Digital Wallet จะต้องใช้งบสูงกว่า 5 แสนล้านบาท ต้องกู้เงินก่อหนี้สาธารณะเพิ่ม มิฉะนั้นต้องเก็บภาษีเพิ่ม
พ่อครูว่า… ที่จริงมันน่าจะเอาเงินของนายกเองรวยจะตายมีเงินเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน เขาตระกูลแสนสิริ ไม่รู้นะน่าจะถึงแสนล้านหรือเปล่าแต่หมื่นล้านน่าจะถึง พวกเศรษฐีใหญ่ เอ้า ก็ฟังไป ดูพฤติกรรมคนไป
กว่าคนจะมารู้ธรรมะเป็นโลกุตระ หรืออาริยบุคคลของพระพุทธเจ้า เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านเป็นมาก่อน ท่านเป็นผู้ที่มีสมบัติพัสถาน มีเวียงมีวัง สุดท้ายท่านก็พอรู้ตัวแล้วท่านไม่เอาเลย โยนทิ้ง ไม่เอาไม่รับผิดชอบ ไม่เอาเป็นสมบัติตนเลย ออกมาเลย มาทำงานสอนให้คนมาเป็นอย่างที่ท่านเป็นทันที
มันเป็นสุดยอดแห่งความเป็นมนุษย์ จะเกิดมาอีกกี่ชาติกี่ชาติ มันต้องได้คุณธรรมอันนี้ ถ้าได้คุณธรรมอันนี้แล้วมันมีหลักประกันที่อาตมาไล่เรียงอธิบายให้ฟังแล้ว
ตั้งแต่กิจ กิจข้อที่ 1 กิจข้อที่ 2 กิจข้อที่ 3 พยายามกำหนดหัวข้อหลักเกณฑ์ต่างๆเอามาขยายความให้พวกเราฟังเห็นความสำคัญ
กิจข้อที่ 1 ทำดี ละชั่วประพฤติดี ซึ่งโลกทั้งหลายแหล่ ศาสนาทุกศาสนาเขาสอน สอนเรื่องนี้และเรื่องนี้เท่านั้น ในศาสนาทุกศาสนา สอนเรื่องทำดีอย่าทำชั่ว และเขาสอนแล้วก็ทำดีกันพอได้ตามที่เขาพยายามสอนกัน อบรมฝึกฝนให้เป็นคนทำดีอย่าทำชั่ว แต่ไม่เข้าถึงปรมัตถ์ ไม่เข้าถึงจิต เจตสิก รูป นิพพาน จึงไม่มีนิยตะ จึงไม่เที่ยง ได้แต่แค่นิจจัง นิจจจังนี่คือเที่ยงเหมือนกัน แต่เที่ยงชั่วครั้งชั่วคราวแล้ววนกลับ ไม่เหมือนนิยตะ นิยตะนี่คือเที่ยงไม่มีวนกลับ นี่คือต่างกันระหว่างของโลกีย์เทวนิยมกับโลกุตระของพระพุทธเจ้า
ของพระพุทธเจ้าประพฤติกิจทำดี ไม่ทำชั่ว ละชั่ว เที่ยงนิยตะ ได้แล้วได้เลยไม่วนไปช่วยอีกเกิดชาติหน้าเกิดชาติต่อๆไปก็ไม่ชั่วอย่างนี้เป็นต้น อันนี้เป็นกิจที่ 1
กิจที่ 2 เรียนรู้สุขทุกข์ เรียนรู้สุขทุกข์นี้เทวนิยมไม่มีไม่รู้เรื่องเลย มีศาสนาพุทธเท่านั้นรู้และเรียนสำเร็จ ล้างสุขทุกข์ออกจากจิตเป็นอรหันต์ เป็นคนไม่มีสุขไม่มีทุกข์ เป็นกิจสำคัญ เพราะฉะนั้นจบกิจนี้ก็ถือว่าจบแล้วหน้าที่ของคน ที่ควรได้ ควรมี ควรเป็น
กิจที่ 3 ลึกซึ้งขึ้นไป เรียนรู้กาละ กาลเวลา อยู่ในกาลเวลา เพราะฉะนั้นพระอรหันต์จะปรินิพพานได้แล้วชาติใด แต่ยังไม่ทำกาละ เพราะฉะนั้นการทำกาละ เขาแปลว่าตาย คนทำกาละนี่คือคนตาย ทำกาละคือ ทำไม่ให้กาละมันต่อ ตัดตัวเองออกจากกาละ แยกธาตุเป็นดิน น้ำ ไฟ ลมไป ก็ไม่มีตนอยู่ในกาละ กาละมันมีอยู่ตลอดกาลนาน ตราบใดที่มีวัฏจักร มีมหาจักรวาล ยังมีโลก ยังมีสัตว์โลก แม้ไม่มีสัตว์โลก โลกมันก็มีและมันก็เคลื่อนเป็นกาละของมันอยู่ แต่สัตว์ๆมันก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก เวลากับกาละ แต่คนนี้แหละมารู้จักรับความเดินทางเวลากาละ มากำหนดพวกนี้รู้กัน
เพราะฉะนั้นตัวกิจที่ 3 นี้จึงเป็นกิจที่สูงสุด ในกิจ 3 กิจ ที่อาตมาแยกมาอธิบายให้ฟัง ชัดๆ ง่ายๆ
พวกเราชาวอโศกสามารถรู้จักกาละและพ้นกาละ สามารถศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า ให้จบกิจข้อที่ 1 กิจข้อที่ 2 กิจข้อที่ 3 มาได้ เป็นจริงอาตมาไม่ได้พูดเล่น ไม่ได้ขี้ตู่ แต่ที่อื่นเขาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ได้ เขามิจฉาทิฏฐิ ไม่รู้เรื่องแล้ว มันเสื่อมจริงๆตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อาณิสูตรว่า ศาสนาพุทธจะมาเรียนรู้โลกุตระได้ โลกียะเขาก็ไม่รู้ที่เรื่อง เขาก็หลง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข จารีตประเพณีอะไร เละเทะเละเทะกันไปอยู่อย่างนั้น
_ชาญณรงค์ จินดาธรรม . น้อมกราบนมัสการแทบเท้าพ่อท่าน ผู้มีเหล่าอกุศลธรรมอันให้เศร้าหมอง นำให้เกิดในภพใหม่ อันท่านนั้นรู้แจ้งแล้ว (เวทคู)
พ่อครูว่า…ใช่ อาตมาเป็นเวทคู รู้แจ้งแล้วไม่เกิดในภพใหม่ คำว่าไม่เกิดในภพใหม่ไม่ได้หมายความว่า พอผู้ที่เป็นอรหันต์แล้ว ภพใหม่คือชาติต่อไป มันเป็นภพที่เป็นภพ สัมปรายิกภพ ที่วิเศษขึ้นไปอีก เป็นภพที่เราไม่ได้อยู่ใต้อำนาจความเป็นภพแล้ว เป็นภพที่เราอยู่เหนือภพ เพื่อที่จะช่วยผู้อื่นให้พ้นการติดอยู่ในภพได้ต่อๆไป มาทำงานต่อ อันนี้แหละมันลึกซึ้งซับซ้อนไม่ค่อยรู้กัน
_อันท่านล้างเสียแล้ว (นหาตกะ) อันท่านให้หลับไปแล้ว (โสตติยะ) อันท่านกำจัดเสียแล้ว (อรหันตะ) ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ด้วยความรักอย่างยิ่ง ด้วยความศรัทธาอย่างยิ่งครับ
พ่อครูว่า…สำหรับผู้รู้ พวกไม่รู้เขาก็ว่าอาตมา เขาด่าด้วยนะบริภาษด้วย บริภาษแปลว่าด่า บริภาษเอาด้วย ไม่ใช่ว่าแค่ไม่รับอาตมา แถมบริภาษเสียอีก
_ศรินทร์ ทองธรรมชาติ . ร่วมกันชมที่มหาสารคามชัดเจนดีค่ะ กราบนมัสการพ่อครูท่านสมณะและท่านสิกขมาตุทุกรูปด้วยความเคารพยิ่งคะ อนุโมทนาสาธุค่ะ ชอบมากได้รับสัมมาทิฏฐิทุกๆๆ ครั้งที่รับชมค่ะ อยากให้เพลงมาร์ช “ประเทศคือชีวิต” MV ที่ชาวอโศกร้อง ออกแสดงคอนเสิร์ต 90 ปีพ่อครูด้วยนะคะ
พ่อครูว่า…ดูเหมือนเพลงนี้จะไม่มี ก็เป็นการเสนอความเห็น
ความเป็นมาของหมู่บ้านราชธานีอโศก
_เสียง อิสระ . กราบนมัสการครับพ่อท่าน ผมเห็นพ่อท่านกล่าวถึงภาษาของบทกวี ทำให้ผมนึกถึงย้อนไปเมื่อประมาณ ปี 2539 ผมจึงได้ลองแต่งกลอน กาพย์ฉบัง 16 และเพลงมาร์ช ขึ้นมา โดยอาศัยการสังเกตเพลงของพ่อท่านหลาย ๆ เพลง ที่มีการต่อคำแบบแปลก ๆ ซึ่งต่างจากเนื้อเพลงทั่วไป ผมไม่รู้ว่าเนื้อกาพย์กลอนจะเข้าข่ายกวีหรือเปล่าครับ
เนื้อกาพย์มีว่า แสงระวี สุรียาตร์ พรรณราย ทาบทามกำจาย
ทหัยชื่นมื่น ครื้นเครง แลมูลพู้นรดา อ่าเอง เอื้อนเสียงเพียงเพลง บรรเลงลำค่ำลง จงใจทวีพลบ คบคอน ฟอนไฟ ระยุค ล้ำ กร้ำกราย มาดหมายชายเมียง เวียงพง โอ้โพธิสัตว์จ้าว เนาณรงค์ ราชธานีดาวดง ก่อกงธงธรรม ส่ำเมือง
โดยเนื้อหาแปลว่า แสงจากดวงอาทิตย์ยามเช้าช่างเปล่งประกายสวยงามมากชวนให้จิตใจร่าเริงแจ่มใส ครั้นยามเย็น แม่มูลก็ยังคงความงดงาม ให้ครื้มใจ จึ่งร้องเพลงออกมาด้วยมีความสุขมาจากใจ ค่ำแล้ว จึงจุดฟืนไฟ เพื่อให้ความสว่าง กาลเวลา และความมืดคืบคลานเข้ามา ทั่วทั้งพื้นที่โดยรอบ ซึ่งเป็นทั้งสภาพที่อยู่อาศัยและเป็นป่า ณ.ที่นี้เป็นดินแดนของพระโพธิสัตว์ โดยมีกลุ่มดาวเป็นผู้บุกเบิกในยุคแรก จากนั้นจึงเริ่มมีมวลกลุ่มมามากขึ้น และร่วมกันก่อร่างสร้างเมือง จนเป็นราชธานีของการเผยแพร่ศาสนาพุทธอันยิ่งใหญ่ กราบนมัสการพ่อท่านครับ
พ่อครูว่า…ดี พอแปลออกมาก็ฟังดูดี แต่ละคนมีความรู้มีความชำนาญมีความสามารถในภาษา ในอะไรหลายๆอย่าง นี่เขาพูดพาดพิงไปถึง 7 ดาวผู้บุกเบิกราชธานีอโศกตอนแรกๆ ในยุคแรก เดี๋ยวนี้เหลืออยู่เห็นหน้าอยู่กี่ดาว มีดาวเพ็ญ ดาวนา ดาวพร ดาวเย็นก็ไม่รู้ไปรวยอยู่ที่ไหน ดินดาวอยู่ ดาวดินไปไหนก็ไม่รู้ ไม่ใช่แล้ว นี่เขาดาวผู้หญิง นี่ก็ตำนานชาวอโศก บุกเบิกจนกลายเป็นราชธานีอโศกทุกวันนี้
จริงๆแล้วอาตมาว่าอาตมาประสบผลสำเร็จนะ หมู่บ้านนี้นี่ อาตมาว่าอาตมาเป็นผู้นำพาเกิดหมู่บ้านขึ้นมาเป็นหมู่บ้าน หมู่บ้านหนึ่งในตำบลในอำเภอวาริน เป็นหมู่บ้านไม่เล็กนะ หมู่บ้านมีตั้ง 400-500 หลังคาเรือนไม่เล็ก มีตั้ง 2 3 เฟสหมู่บ้าน กลางหมู่กลางก็คือเฟสหลวง เฟส 1 เฟส 2 เฟส 3 มีตั้งหลายเฟส รวมกันอยู่ มีวัฒนธรรม มีการสร้างบ้านแปลงเมือง หลายๆอย่างที่พวกเราอยู่
โดยเฉพาะคนที่มาอยู่ในที่นี้ เป็นสัปปายะ สถานที่เราก็ทำให้เป็นสัปปายะ สัปปายะคือ ที่เจริญ ที่สบาย สถานที่ก็สัปปายะ บุคคลอันนี้สิยืนยันชัดเจน บุคคลสัปปายะ บุคคลเจริญ อยู่กันอย่างสลาย นี่มาอยู่กันอย่างเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม อยู่กันอย่างสาธารณโภคี มีทิฎฐิสามัญญตา ศีลสามัญญตา ตรงตามสาราณียธรรม 6 ของพระพุทธเจ้า พิสูจน์ยืนยันว่าพวกเราประสบผลสำเร็จปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าแล้วมาเป็นสังคมสาราณียธรรม 6 ได้จริง อันนี้เป็นการยืนยันเลย ก็เป็นอยู่กันไป
แม้จะอายุเราทำได้ไม่กี่ปี ที่นี่เริ่มปี 2537 ดาวทั้งหลายมาปักลง อาตมาอายุ 60 ปีพอดี ปักหลักลงที่นี่ มาถึงปีนี้ 66 พ.ศ 2566
สมณะเดินดิน… ปีหน้า 2567 ก็ครบ 30 ปีราชธานีอโศก
พ่อครูว่า… ปีหน้าครบ 30 ปี ฉลองกันดีไหมปีหน้า ฉลองไม่ใช่ถองนะ อาตมา 90 พอดี 2567 บ้านราชก็ 30 ปี น่าฉลองเนาะ 30 ฉลอง เอาละผ่านไป ก็เป็นไป คนเราก็มีความคิดจะฟุ้งซ่านก็ได้ จะเรียกว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์ก็ได้
จิตอรหันต์สายปัญญาจะปรุงแต่งได้แม้ในยามหลับ
_บัวดาว พรมเลิศ . น้อมกราบนมัสการพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ด้วยความเคารพบูชาสุดเศียรเกล้า ลูกอโศกทั้งหลายน้อมกราบ ขออาราธนาพ่อครูอยู่เป็นร่มโพธิ์ให้ ลูกหลานเหลนโหลน ได้เห็นหลวงปู่ นั่งยิ้มก็เป็นขวัญกำลังจิตวิญญาณแล้ว เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…อาตมาแน่นอน ถ้าอาตมาอยู่ อาตมาไม่หน้าบึ้งหรอก อาตมายิ้ม ทุกคนจะเห็นได้ว่าอาตมาเป็นคนมีสีหน้าบึ้งบูดอะไรไม่เคย มีแต่ยิ้ม หัวเราะเอิ๊กอ๊ากด้วยซ้ำไป ยิ้มแย้ม ซึ่งมันก็ไม่รู้จะไปบูดทำไมโง่ๆ หน้าบูดมันจะดียังไง หรืออาตมาเคยพูดว่า ไอ้ใจเรานี่นะ ใจจะเศร้าก็เราโง่เอง ใจจะน้อยเราก็โง่เอง ใจจะเสียเราก็โง่เอง ใจจะเสียเรียกว่าเสียใจ ใจจะน้อยเรียกว่าน้อยใจ เว้าใจแหว่งใจ เราเป็นเองหมด อาตมาอธิบายไปหมดแล้ว เราเป็นเจ้าของใจ ทำไมมันโง่ได้โง่ดี ทำใจของตัวเองทำให้มันไม่อยู่สุข ให้มันไม่สุขสำราญเบิกบานใจ แล้วทำให้จิตใจตัวเองเศร้าสร้อยเหงาหงอยหรือเป็นเดือดเป็นแค้น เป็นโน่นเป็นนี่ เอ๊ ก็พูดไป ที่จริงมันไม่ง่าย
มันต้องอยู่เหนือและเข้าใจมีพลังพลังฤทธิ์ของปัญญาที่รู้ความจริง ใจเรานี่เราฝึกมาดีแล้วมันก็เป็นได้ (มีเสียงประกาศ)
_สู่แดนธรรม… ผมอยากถามว่า ถ้าจิตของคนที่ไม่มีกิเลสแล้วอยู่เฉยๆไม่คิดอะไร มันก็แจ่มใสของมันเองใช่ไหมครับ ไม่ได้ปรุงแต่งอะไร ธรรมดาๆของมัน มันก็แจ่มใสอยู่เป็นธรรมชาติใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า… ใช่ แจ่มใส แต่ธาตุจิตมันไม่ใช่ธาตุที่อยู่นิ่งๆ มันเป็นธาตุเคลื่อนไหว นอกจากจะหยุดมันจริงๆ ถ้าไม่ฝึกกำหนดนะ สายปัญญาที่ไม่ได้กำหนดหยุดเลย มันไม่หยุดหรอก แต่มันไม่ปรุงชั่ว มันไม่ปรุงเป็นอกุศล มันไม่ปรุงเป็นบาป ยิ่งเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็จะทำงานมีแต่อภิสังขาร มีแต่ปรุงไปในทางเจริญ สร้างสรรค์มีสิ่งที่ดีงาม
เพราะมันเป็นธาตุทำงาน มันทำงานถ้ายิ่งเป็นปัญญา สายปัญญาไม่ได้ฝึกหยุดไม่ได้ฝึกพัก นอนหลับมันก็ปรุง แต่มันปรุงเป็นธรรมะ คนหมดกิเลสแล้วมันก็ไม่มีกิเลสไปปรุงแน่นอน แต่มันตรงจะเรียกปรุงนั้นว่าเป็นฝัน จะเรียกการปรุงนั้นว่าเป็นนิมิต มันก็เป็นนิมิตเป็นฝัน
ซึ่งเขาไม่เข้าใจ ทางโลกบอกว่าพระอรหันต์จะไม่ฝัน สายหลับตาเขาไม่รู้ เขาดับสัญญา เขาก็ดับไม่รู้เรื่อง ตื่นเช้ามาให้ฝันเขาก็ถือว่าอย่างนั้นเป็นอรหันต์ อย่างนั้นยิ่งยืนยันเลยว่าคุณไม่ใช่อรหันต์ นอกจากคุณจะฝึกไม่ให้มันคิดมันนึก
แม้ไม่คิดไม่นึก นอนหลับ สายปัญญาไม่ได้ฝึกดับ ไม่ทำงาน อสัญญี เจตสิกของตัวเองสัญญาไม่มากำหนดรู้จิตตัวเองเลย มันก็จะถ้ามันไม่ได้ฝึก ไม่ฝึกมันหยุดเลย ไม่ได้ฝึกให้มันหยุด มันก็จะรู้ว่าตัวเองปรุง ใส
นอกจากเวลาจะพัก หยุดจริงๆเลย มันเมื่อย หรือมันเพลีย หรือมันอยากจะหยุด ถ้าไม่งั้นอยู่ได้ทั้งคืนไม่กินพลังงานเท่าไหร่หรอก ก็จะปรุงธรรมะไปอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่า คุยกับเทวดา นั่นแหละ
พระพุทธเจ้านี่คุยกับเทวดา ตอนกลางคืนท่านพักแค่ 4 ชั่วโมง 12 ชั่วโมงกลางคืน ท่านก็พักแค่ 4 ชั่วโมง นอกนั้นก็คุยกับเทวดาแล้วไม่ได้กินแรงอะไร ฝึก ยิ่งเป็นผู้ที่ไม่มีกิเลสแล้วมันก็เป็นธรรมชาติ นี่ก็อธิบายตามที่อาตมามีความจริงอธิบายได้เท่านี้ ผิดถูกอาตมารับผิดชอบ ส่วนใครเขาเป็นอะไรอย่างไรจะแย้งก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะคนเรามีฐานแห่งความรู้ความจริงที่ไม่เหมือนกัน ว่ากันไปต่างกันไป ของใครของมัน พูดความจริงของแต่ละคนของตัวเองออกมาบ้างคุณก็ฟัง หรือไม่ก็เดาๆด้นๆเอาเรื่องเดาๆด้นๆยังไม่รู้จริงด้วยเอามาพูด ไอ้นี่ก็เยอะ
ทำอย่างไรจะถึงเป้าหมายได้เร็วในการปฏิบัติธรรม
_กระถิน สุขดี . กราบนมัสการพ่อครูเจ้าค่ะ อุปมาว่า ในทะเลอันเวิ้งว้าง และยาวไกลจนมองหาที่เริ่มต้น และที่สิ้นสุดไม่พบ ได้มีชายผู้หนึ่งบอกว่า
เราเคยผ่านทางสายนี้มาแล้ว เราจักบอกทางแก่เจ้า เราทำได้เพียงบอก แต่เจ้าต้องเป็นคนเดินเอง เราเดินแทนเจ้ามิได้ และในทะเลแห่งนั้น บางคนเดินข้ามได้ง่าย บางคนเดินข้ามได้ยาก ยังคงหลงวนอยู่ใน กิน กาม เกียรติ หลงอยู่ชาติแล้ว ชาติเล่า คนทั้งสองประเภทนี้ ไปถึงเป้าหมายช้าเร็วต่างกัน (เป้าหมาย ในที่นี้ หมายถึง พ้นทุกข์ ไม่กลับมาวนซ้ำๆ เช่น บางคนยังกินเนื้อสัตว์อยู่ ก็กลับไปกินอยู่อย่างนั้น เลิกไม่ได้สักที รู้ทั้งรู้ว่าเบียดเบียนชีวิตเขา บางคนเลิกทีเดียวได้เลย) คำถามมีว่า
-
คนสองประเภทมีปัจจัยอะไรที่ทำให้ถึงเป้าหมาย ช้า เร็ว ต่างกัน
-
แล้วทำอย่างไร ถึงจะไปให้ถึงเป้าหมาย ได้เร็ว ไม่เนิ่นช้า กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ