661025 ผู้จบกิจ 4 ประการเป็นผู้อยู่เหนือกาละได้ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1vyIGgCJpOcWBore3PGbekGYrVE4OtQ4W/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1yQaF-X1f0xVz2YSOiUaY-QJCS5GuG1ys/view?usp=sharing
และ
ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/nUHZXYwX_D/
และ https://youtu.be/4Et0VUw5FGI
มีซับ
สมณะเดินดิน…วันนี้วันพุธที่ 25 ตุลาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก เหลือเวลาอีกประมาณ 8 วันก็จะเข้าสู่งานมหาปวารณาครั้งที่ 41 มหาปวารณาปีนี้เราจะประชุมกันในวันที่ 3 พฤศจิกายน เริ่มมีพิธีกรรมปวารณาทางด้านสิกขมาตุ วันที่ 4 ตี 4 สมณะก็เริ่มปวารณา คาดว่าจะเสร็จภายในวันที่ 4 วันที่ 5 ก็จะมีตักบาตรเทโว ลงจากชั้น 4 ถ้าอยู่ปฐมอโศกก็ลงจากศาลาชั้น 2 อยู่บ้านราช เทโวเราอยู่ชั้น 4 ตอนเย็นวันที่ 5 จะมีฉลองคอนเสิร์ตนับถอยหลัง 90 ปีเพลงของพ่อครู บอกว่าดารามากันคับคั่ง นี่ก็ไม่ใช่น้อย ถ้าเอาอายุดารามารวมกันไม่ใช่น้อย แต่ก็จะมีคนหนุ่มสาวคนรุ่นใหม่มาด้วย
กิจวัตรก็คล้ายๆกับงานอโศกรำลึก มีทำวัตรเช้า มีรายการภาคค่ำ งานนี้จะไม่รบกวนพ่อครูมาก พ่อครูจะแสดงธรรมค่ำวันที่ 4 กับค่ำวันที่ 7 วันครบรอบการบวชของพ่อครูคือวันที่ 7 พฤศจิกายน ตอนเย็นจะมีรายการบุญญาวุธหมายเลข 1 รายการกสิกรรม ปีนี้จะมีการนำเสนอรายการกสิกรรมระดับพรีเมี่ยม Premium ก็คือทำแบบประณีต เราจะมีโมเดลของอิสราเอล ที่ทำกสิกรรมนำเทคโนโลยีมาให้ชม ของเขาพื้นที่เป็นทะเลทราย เปลี่ยนน้ำทะเลเป็นน้ำจืด อากาศร้อน แต่เขาสามารถปลูกพืชผักได้อย่างดี ทำแบบกสิกรรมไม่ใช่สารเคมีด้วย และจะมีกสิกรรมอโศกระดับพรีเมี่ยมมาให้ชมเหมือนกัน เราไม่ได้ลงทุนมากอย่างเขา เป็น Premium แบบคนจนๆ
งานมหาปวารณาวัตถุประสงค์ใหญ่คือ การได้มาประเมินผลจากการทำงานทั้งปี สมณะ สิกขมาตุ ประชุมกันหลายรอบเพื่อประเมินผล แก้ไขข้อบกพร่องและเป็นการเตรียมงานปีใหม่ งานเพื่อฟ้าดินไปด้วย จะมี 2 เรื่องที่ได้มาช่วยกันทำ
พ่อครูเคยให้คำจำกัดความของ ปวารณา ไว้ว่า “การปวารณาคือสุดยอดวิชาของพุทธ เพราะมีแต่การรู้ข้อบกพร่อง ข้อไม่ดีในตนเท่านั้น จึงจะทำให้มีโอกาสแก้ไขปรับปรุงตนเป็นคนดี ดีขึ้นได้ทุกขณะ ธรรมดาคนป่วยก็ย่อมมีเชื้อโรค การได้เห็นเชื้อโรคจึงคือความหวังที่จะหายป่วย คนที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ก็เช่นกัน ย่อมมีกิเลสเป็นธรรมดา การได้เห็นกิเลสจึงคือความหวังที่จะหมดกิเลส คนฉลาดจึงไม่คิดเสียใจ แต่พยายามคิดขจัดกิเลสอย่างเบิกบาน”
ท่านถิรจิตโต เคยบอกว่าเหมือนคนไปตลาดแล้วนุ่งกางเกงตูด ขาด คนมาบอกเรามาว่าเรา คุณนุ่งกางเกงตูดขาด เราไม่ใช่จะไปเสียใจว่าแย่จังเลยคนมาบอกเรา แต่จริงๆแล้วคนมาบอกเราทำให้เราได้แก้ไข ปวารณา คือ การยอมตนให้ผู้อื่นว่ากล่าวตักเตือนได้ ให้บอกกล่าวได้ ให้รบกวนได้ ให้ตำหนิติเตียนได้ แม้แต่จะให้ดุด่าได้ โดยที่ผู้ปวารณาจะน้อมรับต่อทุกคำตำหนิอันเปรียบเสมือนขุมทรัพย์ และขอน้อมคารวะต่อผู้ชี้ขุมทรัพย์ด้วยใจจริง ขอบคุณและขอบคุณ
พวกเราลองทบทวนดู คงไม่มีใครไม่เคยเจอคำตำหนิติเตียนอะไรเด็ดๆมาเลย ตั้งหลักดีๆ สิ่งที่เราได้มา มันเป็นโทษหรือเป็นประโยชน์ต่อเรา เราสามารถมองเห็นประโยชน์ได้ นั่นคือเราได้พบขุมทรัพย์แล้ว แต่ถ้าใครเห็นเป็นโทษ คนนั้นก็เหมือนได้พบเหมือนกันคือได้พบนรกแล้ว ดีไม่ดีนรกนี้ยังฝังแค้น สมณะองค์ที่เคยว่าฉันตอนนี้ก็อยู่วัดไม่ได้แล้ว 10 ปีก็ยังไม่หายเลยที่เคยว่าไว้ นรกอันนี้ไม่จางไปง่ายๆ ปวารณาจึงเป็นสุดยอดวิชา ใครไม่เข้าใจจะทำให้จิตวิญญาณเราตกต่ำก็ได้
พ่อครูว่า… หยุดไปตั้ง 10 กว่าวัน จะมีเสียงไหมนี่ หยุดไป 10 กว่าวันเสียงไม่หาย เดี๋ยวยังมี After Shock ของงานเจ
อโศกสัมปวังโก เขาเขียนกวีมา
องค์ของปาณาติบาต 5
ผองสัตว์มีชีวิต คนไร้สิทธิ์จากครอบครอง
ไฉนจึงจำจอง สัตว์นั้นต้องโทษหรือไร
อย่าคิดจักเกี่ยวข้อง ให้สัตว์ต้องเสียนิสัย
รอคนหามาให้ เลี้ยงลำไส้ชั่วชีวี
สัตว์นั้นมีกรรมเก่า เป็นของเขาค้างบัญชี
หรือคนจะใช้หนี้ แทนกรรมที่สัตว์สร้างมา
ผองสัตว์หวงชีวิต อย่าได้คิดฆ่าเลยหนา
สัตว์มีเวทนา แต่บางคราไร้อภัย
เพียงแค่พยายาม ฆ่าก็ทรามแม้สัตว์ไม่
วางวาย มลายไป ก็หาใช่บาปบ่มี
ยิ่งสัตว์สิ้นชีวาตม์ แรงอาฆาตยิ่งทวี
ผู้ฆ่ามิอาจหนี จากเวรีได้เลยนา
หยุดก่อน พุทธชน อย่าเปรอปรน ปลายชิวหา
ด้วยรสของมังสา อันใช่อา-หารคนเอย
อโศก สัมปวังโก
16 ต.ค.2566
พ่อครูว่า… นักกวีเรา ก็มีดีๆมากมายหลายผู้หลายคน โดยเฉพาะท่านเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ วันๆหนึ่งถ้าไม่ได้กล่าวกวีท่านคงจะขาดใจจริงๆ ท่านเพาะพุทธ ท่านต้องกล่าวกวีทุกวัน วันละเช้ากลางวันเย็น เทศน์เมื่อไหร่ พูดเมื่อไหร่จะต้องมีกวีประกอบตลอดเวลา ก็เป็นจริตของท่าน ท่านก็ชื่นชอบ อาตมาก็ชื่นชอบนะ แต่ว่าใช้อันอื่นก็ต้องพูดเยอะ เอาแต่กวีมันก็จะช้าไม่ทันใจ ก็เอาพูดพูดเสียเยอะกว่า
เดี๋ยวขอ sms ก่อน
SMS วันที่ 13-24 ตุลาคม 2566
ช่วยกันคัดค้านนโยบายทำลายชาติของรัฐบาลเลว
_ประไพ ยาสาร . กราบนมัสการท่านสมณะค่ะ “เมื่อผู้นำจะพาประเทศชาติให้วินาศ ประชาชนส่วนใหญ่ออกมาทักท้วงไม่เห็นด้วย เราต้องช่วยกันลงประชามติคัดค้านให้มากที่สุด พวกเราอย่านิ่งเฉยกันนะคะ ทำได้หลายช่องทางค่ะ”
พ่อครูว่า… ก็เป็นการออกความเห็น ก็เชิญ อาตมาก็ว่าไม่น่านิ่งดูดายสำหรับสิ่งที่มันจะเกิดสิ่งที่ไม่ดี ไม่ชอบมาพากลก็ช่วยกันจะคัดค้านก็ทำ หลักประชาธิปไตยพวกเราชาวไทยไม่รุนแรงอยู่แล้วใช้เหตุใช้ผล ใช้หลักฐาน ใช้ความจริงอะไรๆมาสู้กัน ก็เชิญ อาตมาก็อายุ 90 กว่าจะหาว่าแก้ตัว ก็ไม่เชิงหรอก ก็คิดว่าน่าจะให้พวกเราช่วยกันทำ เหลือบ่ากว่าแรงอย่างไรก็ค่อยดูกันในอนาคต ตอนนี้ก็ดำเนินกันไปดูดีอยู่ แต่มันก็ไม่ทันใจคนที่ใจร้อน อยากให้เห็นผลเร็วๆ ให้มันรู้ดำรู้แดงกันสักที อะไรอย่างนี้ พวกชอบดูมวยน็อค แต่พวกชอบดูมวยลีลานี้ โอ้โห เก็บคะแนน ได้ทีละ 1 คะแนน 2 คะแนน 5 คะแนนไปเรื่อยๆ เก็บคะแนนกว่าจะครบ 5 ยกหรือ 12 ยก ชนะคะแนนกันสวย ได้ดูกันเต็มอิ่ม ส่วนมวยน็อคนั้นได้ดูกันเต็มแรง น๊อคขึ้นปั๊บ 5 วินาทีน๊อค เสียดายสตางค์บางทีราคาที่ตั้งหลายพันหลายหมื่น ไม่ถึงกี่วินาทีตายๆๆน็อคแล้ว นอกนั้นได้ดูแต่คู่รอง คู่เอกนอกไม่ถึงกี่วินาทีแย่เลย อ้าว ก็สารพัดอธิบายผสมไป
การทำการเมืองอย่างดาไลลามะกับอย่างพ่อครู
_ช่อทิพ หนูทอง . องค์ดาไลลามะ เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณทั้งทางโลกและทางธรรมของทิเบต ปัจจุบันท่านลี้ภัยอยู่ที่อินเดีย เพราะจีนยึดครอง ทีแบบนี้ไม่มีใครตำหนิ พอพ่อครูและอาจารย์หมอเขียวตั้งพรรคสัมมาธิปไตย คนบางส่วนตำหนิรุนแรงสองมาตรฐานจริงๆ ทั้งที่เป็นพุทธเหมือนกัน..
พ่อครูว่า…อ้าว..เราจะไปบังคับให้เขาเข้าใจเหมือนอย่างเราไม่ได้หรอก คนเข้าใจก็แตกต่างกันไป ประเด็นของผู้ที่มองแง่ของดาไลลามะกับอาตมานี่ก็คือ อาตมาทำให้เกิดความหายวุ่น อาตมามาทำงานการเมือง ไม่ใช่ทำงานการเมือง แต่อาตมาออกไปช่วยเรื่องการเมืองนี่นะ เพื่อให้มันหายวุ่น ให้มันหายยุ่ง ซึ่งก็ได้ทำกันมาหลายยุคแล้วในชีวิตนี้ เริ่มตั้งแต่พ.ศ 2549 ออกไปแสดงตัวตนมาจนถึงกระทั่งขณะนี้ ขณะนี้ก็ยังมีพวกเราตอนนี้ก็ถึงขั้นอาตมาให้ไปตั้งพรรค สัมมาธิปไตย ซึ่งก็ไปตามประสาของเรา เพราะเราจะดำเนินการเมืองแบบโลกุตระ ซึ่งมันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ เป็นเรื่องที่ใช้จิตวิญญาณ ใช้คุณธรรม ใช้ปัญญาที่สงบ อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ อย่างนี้จริงๆเลย เป็นเรื่องที่พิสูจน์กันไป
เราจะทำ เราทำได้มาแล้วนะ ที่เราไปทำงานโลกุตระทางด้านการเมือง ซึ่งใช้ภาษาได้เลยว่าเราออกปฏิวัติ ทำรัฐประหาร คือ ประหารรัฐบาล ได้ไปหลายรัฐบาลเลยก็ช่วยทำ ด้วยธรรมาวุธ หรือเรียกให้ชัดจริงๆก็คือด้วย โลกุตตราวุธ อาวุธโลกุตระ ไม่ใช่ธรรมดา ไม่มีตัวอย่างในประเทศไหนๆ..ไม่มี ที่ทำได้หลายรัฐบาลเป็นการพิสูจน์ยืนยัน ยืนยันให้เห็นว่าไม่ใช่ความฟลุ๊ค ไม่ใช่ความบังเอิญ ไม่ใช่เรื่องที่ไร้น้ำยา ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
มันเป็นการยืนยันรัฐบาลที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 เริ่มตั้งแต่รัฐบาลทักษิณเอาเถอะ จะมีพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน มาช่วย ก็เป็นการเปิดทาง มันเป็นรอยเชื่อมต่อ มันเป็นแบบนั้นจะมีโลกีย์มาเชื่อม เป็นลิงลมอมข้าวพอง เป็นตัวเชื่อมโอเวอร์แล็ปที่มีอะไรเชื่อมต่อไม่ขาด มันก็มี
แม้แต่ของเรายังมีเลย สุดท้ายของเราเสร็จเรียบร้อยถึงขั้นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ พลเอกประยุทธ์เข้ามา บอกว่าขอยึดอำนาจ มันเหมือนกับเป็นลิงลมอมข้าวพองหรือว่าเป็นโอเวอร์แล็ป ที่มันเหมือนโลกีย์ปฏิวัติ ซึ่งจริงๆไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้ใช้เรี่ยวแรง ไม่ได้ใช้กำลัง มันเบ็ดเสร็จเด็ดขาดหมดแล้ว อำนาจของผู้บริหารตอนนั้นก็หมดไม่เหลืออำนาจอะไรแล้ว แต่ไปทำตามรูปแบบ ไปทำตามนัยยะ
ซึ่งมันก็ยากที่จะเข้าใจว่า มันเป็นการแสดงความเป็นประชาธิปไตยที่สะอาด ขาวมาก ประชาชนปฏิวัติ แต่เสร็จแล้วประชาชนไม่รับตำแหน่งหน้าที่จากการปฏิวัติเลย ทีนี้ในหน้าที่ของพลเอกประยุทธ์เป็นหัวหน้า คสช.อยู่ ก็เข้ามารับหน้าที่ ไม่เช่นนั้นจะทำยังไง ไม่มีใครที่จะต่อเชื่อม ผู้มีอำนาจเต็ม มันก็จะเสียหายประเทศชาติ ก็เข้ามาทำงาน
อาตมาว่ามันไม่มีอะไรจะสวยที่สุดเท่านี้อีกแล้วในประเทศไทย เรื่องการปฏิวัตินี้ ที่อาตมาพูดนี้ไม่ได้หมายความว่าอาตมาจะเอาดีใส่ตัวเองนะ ไม่ได้พูดเป็นอย่างนั้น แต่อยากจะให้เข้าใจถึงลักษณะของประชาธิปไตย ที่มีคุณสมบัติและมีคุณธรรม ที่เป็นคุณธรรมคุณสมบัติระดับโลกุตระที่มันเป็นประสิทธิภาพที่เยี่ยมยอดอย่างขนาดไหน เพราะฉะนั้นนักรัฐศาสตร์จะต้องมาศึกษาดีๆ ศึกษาให้เห็นตัวอย่าง ให้เข้าใจสัจธรรมตรงนี้
อาตมานี่อายุขนาดนี้แล้ว แต่ต่อไปก็คงจะไม่ได้ออกไปแสดงตัวอะไรมากมายนัก ตอนนี้ก็มาให้เด็กๆร้องเพลงกล่อมไป ไม่ใช่เด็กๆนะคนอายุมากก็อยากจะมาร้องเพลงกล่อมด้วยก็เอา เด็กๆด้วยก็ร่วมมาก็ขอขอบคุณทุกคนที่มีน้ำใจที่อยากจะมาร่วม เป็นหมู่ เป็นคณะ เป็นผู้ที่ร่วมกัน เป็นสังคมกลุ่มเดียวกัน
ทีนี้ประเด็นของดาไลลามะ ในโลกเขาเข้าใจ ดาไลลามะ จริงๆมันมีนัยยะที่ซับซ้อนหลายชั้น ดาไลลามะ เป็นพุทธที่ถ้าจะพูดไปแล้ว มันออกนอกโลกุตระไปแล้ว ดาไลลามะไม่ได้เป็นโลกุตระแต่เป็นโลกียะ แต่เป็นโลกียะ ที่ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว แล้วก็ท่านองค์เดียวแสดงสภาพ ประชาชนไม่ได้ไปแสดงสภาพอะไรด้วย ประชาชนก็อยู่ ถูกประเทศจีนเขาครอบครองครอบงำไป ท่านก็แสดงความสงบของท่านไป ท่านก็ไม่รุนแรง ไม่ไปยุแหย่ ไม่ไปทำอะไรให้มันเกิดกระด้างกระเดื่องขึ้นมา อย่างนี้เป็นต้น โลกก็เข้าใจ มันก็ดีแล้วล่ะ มันก็ไม่ผิดอะไร ความงามงดงามของโลกียะก็ได้
ส่วนอาตมานั้น อาตมาไม่มีปัญหาอะไรเลย มันไม่เหมือนกับ แต่มีส่วนดี ที่โลกียะเขามี ทางเรามี เป็นความสงบสยบความเคลื่อนไหว ที่อธิบายไปแล้วถึงใช้ความสงบปฏิวัติด้วย ดาไลลามะไม่ได้ใช้ความสงบปฏิวัตินะ แต่โพธิรักษ์นี้ใช้ความสงบปฏิวัตินะ ทำสงครามกัน สงครามล้างกบฏ ปฏิวัติ เอาความสงบไปทำสงครามคว่ำกบฏ กบฏคือผู้ที่ทรยศต่อประเทศชาติ ได้สำเร็จดังนี้ เป็นต้น
นี่เป็นเรื่องที่ค่อยๆพูด ค่อยๆใช้ภาษาสื่อสภาวะออกไป จะเข้าใจในความยึดถือเพิ่มขึ้น วันนี้เอาไว้แค่นี้ก่อน วันต่อไปอาจจะมีอะไรดีกว่านี้ให้ อาตมาว่าไม่มีปัญหา เรากำลังทำสิ่งที่เป็นตัวอย่างของโลกดำเนินไป ทางสมณะก็ร่วมด้วย ทางฆราวาส หมอเขียวไปเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง ซึ่งเป็นรูปแบบของพรรคการเมืองโลกุตระ ก็มีคนเข้าใจอยู่บ้าง ก็จะมีคนมาร่วมบ้าง เราอาจจะไม่เป็นพรรคโดดเดี่ยวเสียจนพรรคอื่นๆ เห็นว่าพวกเราเป็นหมาหัวเน่า หรือนึกว่าเราเป็นพวกแกะดำ คงจะไม่ อันนี้ก็พูดนำหน้าไปไม่ค่อยได้ ก็ต้องดูว่าอารมณ์ของประชาชนคนไทยนี่ หรือจริตหรือแม้แต่ภูมิปัญญาของประชาชนคนไทยจะเข้าใจอันนี้ได้มากน้อยแค่ใด ก็ค่อยๆดูไป พวกเราไม่ใช่พวกดูไบ พวกเราดูไป ความจริงมันจะค่อยๆปรากฎเกิดขึ้นไปตามลำดับ
เรื่องการตำหนิ คนบางส่วนก็ตำหนิรุนแรง 2 มาตรฐาน ถ้ามีรุนแรง เขาตำหนิรุนแรง เขาก็เข้าใจเขา อาตมาก็ว่ายังไม่มากเท่าไหร่ เขาจะตำหนิรุนแรง อาตมาว่าก็เป็นส่วนบุคคล อาตมาวัดตามมิเตอร์ของอาตมานะว่า คนไทยเข้าใจมากกว่าคนที่มีปฏิกิริยาบอกว่า เขาว่าพวกเรามารุนแรง มีปฏิกิริยาบ้าง อาตมาก็ว่าเป็นส่วนน้อย ส่วนใหญ่เข้าใจดีขึ้นแล้ว
เห็นยุงบินก็เมตตาได้เพราะรู้สิทธิสัตวชีพ
_Kanpai ST SC แก่นไพร . น้อมกราบนมัสการท่านสมณะค่ะ ตั้งแต่กินมังสวิรัตินั้นมีสติขึ้น เมื่อก่อนหากเจอยุงยังไม่ทันมากัดเราก็ตบแล้ว แต่เดี๋ยวนี้กลับมองเค้าบินไปมาได้อย่างเฉยๆ น่าจะเป็นที่เรามองเค้าเป็นเพื่อนมากขึ้นนะคะ
พ่อครูว่า…ดูเป็นธรรมชาติดูสวยงามนะ ดูยุงบิน เอามาเปรียบเทียบกับผีเสื้อบิน ยุงบิน อันไหนจะสวยงามกว่ากัน ยุงตัวไหนจะบินได้งามกว่ากัน ประกวด ใช่ ที่เรามองเขาเป็นเพื่อนมากขึ้น ได้เข้าใจเรื่องสิทธิสัตวชีพ สัตวชน จะเข้าใจ Animal Rights Watch
อาตมาเคยตั้งข้อสังเกตคำว่า Rights คำนี้จะแปลว่าสิทธิก็ได้ Human Rights คือ สิทธิมนุษย์ Animal Rights คือ สิทธิสัตว์ มันมีสิทธิของมันจริงๆ
เพราะฉะนั้นไอ้คนที่คอยจะจับจ้อง รักษาสิทธิคนนั้นคนนี้ อย่างพวกองค์กร Human Rights Watch มันชอบวุ่นๆกับเขา แต่เอาเถอะว่าจริงๆมันก็มีประโยชน์บ้าง แต่ดูๆก็รู้สึกว่าจะไม่เข้าใจรอบถ้วน ถ้าเข้าใจเป็นโลกุตรธรรมจะเข้าใจดีๆ จนกระทั่งเราเสนอแนะถึงขั้น Animal Rights ขึ้นมา สิทธิของสัตว์ มันก็เป็นเจ้าของสัตว์ เจ้าของชีวิตของมันเหมือนกัน แล้วคุณจะไปละลาบละล้วงชีวิตของมันอย่างนี้เป็นต้น นี่ก็เป็นความเจริญทางความรู้เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น
_บุญสูง สาดา . ภาพประกอบดีมากครับ เพลงคนโลกเก่า ทำให้คนร้อง นักดนตรี มีสีสันสมบูรณ์ครับ
พ่อครูว่า…เอาละ ตุ้มคงกำลังใจมาเป็นกองนะ ดีก็ชมเชยมาแนะนำมา comment มาก็ว่าไป
สติสัมโพชฌงค์ส่งผลให้เกิดฌาน
_Took Aswin ตุ๊ก อัศวิน . รู้เท่า และรู้ทันกิเลสได้ด้วยสติ เพราะสติและ กิเลส เหมือนคู่ชกที่มีความเร็วทัดเทียมกัน
พ่อครูว่า… ส่วนมากกิเลสมันจะเร็วกว่านะ (เปรียบเป็นมวย Heavy weight ด้วยกัน) พ่อครูว่า… อาตมาว่ามวย Heavyweight ไม่เร็วหรอก ต้องมวย Bantamweight ถึงจะเร็วตัวจิ๋วตัวเล็กโช๊คเร็ว ไอ้นั่นมันใหญ่มันหนักมันเทอะทะ Heavyweight ถ้าจะเปรียบมวย Bantamweight อะไรก็จะตรงกว่า
_สติ (สัมโพชฌงค์) จักปรารถนาในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… สติเป็นความตื่น เป็นความนำหน้า เป็นความเผชิญเป็นตัวหน้า เป็นตัวนำหน้าของสิ่งที่คุณจะตกลง ถ้าคุณไม่มีสติคุณจะตกหล่น แต่ถ้าคุณมีสติเต็ม มันจะรู้ทันเลย เพราะฉะนั้น สติจึงเป็นตัวแรกของสัมโพชฌงค์ เป็นตัวยิ่งใหญ่
พ่อครูว่า…ใช้โพชฌงค์ 7 3 ข้อแรก เป็นงานปฏิบัติธรรมหลักของพระพุทธเจ้า แล้วก็ใช้ 3 ข้อ 3 ตัวนี้ สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ ปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 อ่านให้เข้าใจเป็นสภาพตั้งแต่มีกาย เวทนา มีจิต มีธรรมะ แล้วเข้าใจสภาวะของกายคืออะไรแค่ไหน เวทนาคืออะไรแค่ไหน จิตคืออะไรแค่ไหน แล้วจัดการลงไปถึงขั้นธรรมะได้ แค่ไหน อย่างนี้เป็นต้น
_เมื่อ รู้ เท่า และ ทัน กิเลส ก็จักสำรวมอินทรีย์ ได้ด้วย ตบะ คือ ศีล พิจารณาบ่อยๆ (เสพคุ้น)..จักพัฒนาเป็นเกิดปัญญา
พ่อครูว่า… ก็ใช่มันจะรู้จะเห็น จะรู้จะเห็นความเป็นจริงตามความเป็นจริงไปเลย
_(ฌาน=พลังในการฆ่ากิเลส)
พ่อครูว่า… พลังงานฌานคือพลังงานเผากิเลสเป็นฌาน 1 2 3 4 พลังงานฌานที่ 4 คือพลังงานบุญเป็นเพชฌฆาตมือสุดท้าย ถ้าถึงมือบุญประหารมือสุดท้ายแล้ว แล้วก็กิเลสตายสนิท
แล้วฌานก็คือปัญญา เมื่อเข้าใจสภาวะธรรมแล้ว ฌานก็คือปัญญา เพราะฉะนั้นอาวุธคืออะไร อาวุธก็คือปัญญา อาวุธฆ่าคืออะไรฆ่ากิเลสปัญญา เอาอื่นฆ่าไม่มีเอาอื่นฆ่าไม่ได้ กดข่มให้ตาย กดข่ม คุณจะใช้วิธีกดข่มก็ได้แค่ อาฬารดาบส อุทกดาบส ไม่ตาย ฟื้น อาจจะข่มได้นาน นานๆๆ เท่าที่คุณจำไม่ได้แล้ว จำไม่ได้ก็ไม่รู้เมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นมันไม่สำเร็จ สรุปง่ายๆคือไม่สำเร็จต้องใช้ระบบของพระพุทธเจ้า ใช้คำภาษาต่างๆพวกนี้
ฌาน คือ พลังงานในการฆ่ากิเลส
_จนสามารถ ลด ละ เลิก กิเลสเรื่องนั้นๆ เป็นที่สุด จึงเกิด นิพพาน เฉพาะเรื่องนั้นๆ..ดังนี้แล น้อมกราบขอ “สัมมาทิฎฐิ” เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… ขยายความไปตลอดแล้วก็คือสัมมาทิฏฐิที่ให้ไป
ทำสงฆ์ให้แตกนิกายเป็นอนันตริยกรรม
_อาภรณ์ จองเจริญกุลชัย . น้อมกราบนมัสการ ด้วยความเคารพอย่างสูง การที่เข้ามาปฏิบัติธรรมในกลุ่มอโศก โยมก็ได้รับรู้ ความจริงในความเป็นจริง มีผัสสะนำมาเป็นปัจจัย ได้ฝึกการมองตน เคร่งครัดที่ตน ผ่อนปรนผู้อื่น ผิดก็เป็นครู ถูกก็เป็นครู ผิดๆ ถูกๆ ก็มีครูหลายคน ต้องขอบคุณกับหมู่มิตรดี ที่เป็นครูให้ได้ฝึกปฏิบัติ ได้เห็นกิเลส และอัตตาในตนเอง ช่วยปรับเปลี่ยนแก้ไข คือมีปรโตโฆสะ มีสัมมาทิฏฐิ ชัดเจนกับตนเอง ให้เจริญยิ่งขึ้น น้อมกราบสาธุค่ะ
พ่อครูว่า…ประเด็นสำคัญของคุณอาภรณ์ก็คือ ประเด็นขอบคุณกับหมู่มิตรดี ที่คอยชี้ผิดก็มี ชี้ถูกก็มี ได้ประโยชน์ทั้งนั้น ผู้ที่เข้าใจแล้ว แล้วเรื่องมิตรหมู่ที่ดี มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ คำนี้ยิ่งใหญ่มากที่พระพุทธเจ้าสอนเราไว้ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาหมู่กลุ่ม แปลกปลีกแยกออกไปจากหมู่กลุ่ม ผู้ที่ทำให้หมู่กลุ่มแตกหรือหมู่กลุ่มแยก แม้แต่ตัวเราเองแยก ถ้าเราแยกไปเป็นนิกาย อนันตริยกรรม แต่ถ้าเราแยกเป็นนานาสังวาส อันนี้ลึกซึ้งมาก
แต่การแยกกับการแตกแยก แตกแยกนั้นคือนิกาย ทำให้ไม่ร่วมกัน แต่นานาสังวาสนี่ร่วมกัน เข้าใจกัน เชื่อมโยงกัน มีอะไรที่จะค่อยแก้ไขกัน แต่แหม.. มันลึกซึ้งมาก นัยยะนี้เป็นที่สุดแห่งที่สุดของความเห็นแตกต่างกัน เมื่อความเห็นสองฝ่ายแตกต่างกันเราก็อยู่กันอย่างนานาสังวาส
ทีนี้การจะแยกเป็นนานาสังวาส บอกแล้วว่า “สังวาส”คือการร่วมกัน สังวาสคือ สงฆ์ สงฆ์ คือหมู่คณะ ศาสนาพุทธไม่มีเดี่ยว ปลีกเดี่ยวไม่มี เหมือนอย่างเชนนี้ไปตัวเดียวคนเดียวไป คอยอยู่แต่ผู้เดียว ประเดี๋ยวก็จะบรรลุอรหันต์นั้น..ไม่มี อยู่แต่ผู้เดียวเดี่ยวๆเดี๋ยวก็ได้บรรลุอรหันต์ไม่มี ต้องอยู่กับหมู่มีผัสสะ เป็นปัจจัยแล้วก็ได้คิดได้เหตุปัจจัยกายเวทนาจิตธรรม หรือว่าพร้อมหมดและองค์ประกอบที่จะเกิด
แม้แต่ที่สุดจะเกิดองค์ธรรมของสัทธรรม 7 ตัวสำคัญก็ หิริโอตตัปปะ ละอายต่อบาป ไม่ใช่หยิ่งผยองหรือโง่ต่อ ฉลาดที่จะละอาย คนที่เกิดสำนึก เกิดละอายต่อ สิ่งนี้เราไม่น่าประพฤติอย่างนี้เราไม่น่าปฏิบัติอย่างนี้ มันผิด คนที่ละอายต่อสิ่งผิด ละอายต่อบาปหรือละอายว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แล้วเราได้ทำไปแล้ว แล้วก็มาสำนึกทีหลังมารู้ว่า โอ้โห เราไม่น่าทำเราละอาย คนนี้แหละเจริญ
เพราะฉะนั้น องค์ธรรมในสัทธรรม 7 ละอายนี้จึงเป็นความสำคัญท่านจึงเรียกว่าเป็น เทวธรรม ธรรมะแห่งความเจริญ เทวธรรม หิริโอตตัปปะ นี่ยิ่งกลัวเลย สำนึกยิ่งสูง เราโง่หนัก รู้ว่าโง่หนักเลย เราทำผิดพลาดมาก
เพราะฉะนั้นท่านถึงใช้คำอธิบายว่า ละอายอย่างแรงกล้า โอตตัปปะ อย่างแรงกล้า เสร็จแล้วกลับตัว เคารพอย่างแรงกล้า รักอย่างแรงกล้า ก็คือศรัทธาอย่างแรงกล้า คนก็เจริญด้วยลักษณะพวกนี้ อ้าว อยู่กับหมู่ดี ก็สรุปแค่นี้ก่อน
ตายแล้วจะยังมีสติรู้ตัวไหม
_สราวุธ บุญญโก. เมื่อตายไปแล้วเราจะมีสติรู้ตัวไหมครับ
พ่อครูว่า…คำว่า สติ นั้น ไม่ได้อยู่ในภพ สติต้องเต็มทั้งกาย วาจา ใจ สติ แปลว่า ร้อย มาจากคำว่าร้อย เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจนิยามของคำว่า สติ คือความรู้ รู้ตัวทั่วพร้อม บางทีท่านก็ใช้โบราณาจารย์ท่านก็ใช้คำว่า รู้ตัวทั่วพร้อม ทั่วพร้อม ทั่วคือการตื่น ทั้งในทั้งนอก สัมพันธ์กันหมดเลย ตื่นร่วมกัน คุณฝึกสติดีๆแล้วคุณจะรู้สึกว่าข้างนอกข้างในมันเหมือนอันเดียวกัน มันรู้ร่วมกัน สติ เป็นธาตุรู้ที่เต็ม
เพราะฉะนั้น เวลาตายไปแล้วจะมีสติรู้ตัวไหม คุณเหลือธาตุรู้อยู่ในภพเดียวคือจิต อีก 5 ทวาร ตา หู จมูก ลิ้น กาย ตายไปแล้วคุณไม่มีใช่ไหม ตอบแค่นี้ก็แล้วกัน ก็คงเข้าใจได้แล้ว ตายไปแล้วจะมีสติรู้ตัวไหม มันไม่มีรู้ตัว จะเรียกว่าสติก็มีติ่งนิดนึง หรือพวกเหลืองแดงส้มเขาเรียกว่า ด้อมสติ เป็นติ่งสติ มีนิดเดียวไม่เต็มรูป มันก็รู้อยู่ในตัวเองเท่านั้นเอง ตายไปแล้วก็มีอยู่ในภพของตัวเอง ไม่ออกมา คุณตายคุณไม่มี 5 ทวารภายนอก อันนี้พยายามอธิบายให้ฟัง โดยพยายามเข้าใจในตอนคุณนอนหลับ นอนหลับสติความระลึกรู้ก็จะอยู่ในภพของเรา ส่วนมากสัญญาก็เป็นใหญ่ สัญญากับสตินั้นมันก็จะพาคุณไปของเก่าของใหม่ฟุ้งซ่านไป ตามประสากิเลสนำพาไปด้วย มันเป็นอย่างนั้น เรานอนหลับ หรือเมื่อคุณตาย คุณก็จะเป็นอย่างนี้ แต่ทีนี้ตายมันยิ่งชัดกว่าคุณนอนหลับ เพราะมันตัดขาดจากทวาร 5 เด็ดขาดเลย เพราะฉะนั้นก็ไปเดี่ยวๆไม่มีอะไรดึงไว้เลย ดิ่งเลยทีนี้คุณอะไรที่จัดจ้านไปทางนรกมันจะนรกหนัก สวรรค์ก็สวรรค์บ้าๆบอๆงมงายไม่นานหรอก ตามเหตุปัจจัย นรกมีแต่จิตของตัวเองโง่ ส่วนสวรรค์นั้นมีเหตุปัจจัยตลอดเวลา สวรรค์ต้องมีปัจจัยทางตา หู จมูกลิ้น กาย ถ้าไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย มีแต่สวรรค์ คิดฟุ้งซ่านไปเองไม่นานหรอก แต่นรกมันจะนาน คิดอยู่แต่ในตัวเองคนเดียว เพราะฉะนั้นตายไปจึงตกนรกนาน ตกนรกแรง ตกนรกใหญ่
_สู่แดนธรรม… คือว่าหลังตายมีแต่เวทนาใช่ไหมครับ ถ้ารู้ตัวเมื่อไหร่มันก็ต้อง
พ่อครูว่า… ใช่ มีแต่เวทนา มีแต่ความรู้สึกเป็นหลัก แล้วก็เป็นไปตามสัญญาที่ตัวเองมีเจตนา แล้วเจตนาของตัวเองถ้าอวิชชา คุณคิดดูสิ ถ้าเจตนา คนที่มีวิชชาแล้ว เจตนาคุณก็ไม่มีปัญหาอะไร มันก็ไม่ทุกข์ไม่อะไร แต่คนที่ยังอวิชชาไม่หมด ยังไม่เป็นวิชชา เจตนาของคุณเป็นอกุศลเจตนาหรือบาปเจตนา มันก็พาคุณไปทุกข์ทวี โดยไม่รู้ตัว มันหลงผิด
อัตตา 3 ต้องลดไปตามลำดับ จากนอกไปในจึงทำได้จริง
_ลูกสาว ใจดี . กราบเรียนถามพ่อครูฯ ช่วยอธิบายคำถามดังนี้ค่ะ
1.ความหมายและสภาวะ เรื่อง อัตตา 3 โดยละเอียด
พ่อครูว่า…ขออภัยคงไม่ได้ละเอียดนะ ในเวลาเท่านี้ ก็ค่อยๆฟังตามไปเรื่อยๆ โดยละเอียดคงไม่ไหว
อัตตา 3 มี โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา
โอฬาริกอัตตา คือ หยาบใหญ่ โอฬาร อัตตาใหญ่
มโนมยอัตตา คือ อัตตาที่เชื่อมต่อ มยัง เป็นของตัวเอง แล้วก็มีจิตเป็นตัวเชื่อมระหว่างภายนอกภายใน ที่จริง โอฬาริกอัตตา ไม่ได้หมายความว่าตัวตนอย่างเดียว มันหมายถึงเหตุปัจจัยประกอบภายนอกทุกอย่างเลย มันก็ต้องมีจิตตัวเองด้วยไปยึด
คุณลด ต้องใช้คำว่า คุณลดอัตตา โอฬารใหญ่หยาบไปได้นี้มันจึงจะเหลือมโนมยอัตตา เพราะฉะนั้นอย่าเข้าใจสับสนไม่เป็นลำดับ อย่าทำมโนมยอัตตาโดยที่คุณยังไม่ได้ลด โอฬาริกอัตตา คุณไม่มีสิทธิ์จะไปทำอะไรกับมโนมยอัตตา ยิ่งอรูปอัตตาคุณยิ่งไม่มีสิทธิ์ คุณยังไม่มีอยู่ในฐานะที่จะไปจัดการกับกิเลสที่เหลือ มัน 3 ขั้น หยาบ กลาง ละเอียด
เพราะฉะนั้นคุณอย่าไปทำสับสน ไปฆ่ากิเลสมโนมัยอัตตาก่อน คุณจะกินเนื้อทุเรียนก่อนที่คุณจะปอกเปลือกเอาปากขย้ำเข้าไปเลย จะกินเนื้อทุเรียนโดยคุณไม่ปอกเปลือก เอาเลย กินได้ก็เก่ง เอาปากกระซวบเข้าไปเลย อาตมาอยากจะดูนัก เหวอะเลยล่ะ มันจะไปได้ยังไง
อาตมาก็ต้องพยายามอธิบายให้เห็นรูปธรรมชัดๆน่ะนะ เพราะฉะนั้นต้องขจัดกิเลส หยาบ ข้างนอกออกไปก่อน มันจึงจะเหลือกิเลสที่เหลือเข้าไปเรื่อยๆ จึงเรียกว่ามโนมยะ คือกิเลสที่เหลือในจิตที่ต่อเนื่องออกมาจากจิต มันไม่ใช่ข้างนอก มันผูกพันข้างนอกลดลงๆ เดินเข้าไปในจิต เหลือ มโนมยัง ก็ดับกิเลสข้างในให้ลดลงๆ จนดับข้างนอกหมด ก็แล้วแต่ มโนมยะใน ก็เป็น รูปภพ อรูปภพ ก็ลด อรูปภพหมด ก็เหลืออรูปภพ ก็เป็น อรูปอัตตา
พอสังเขปแล้วนะ โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา อธิบายให้เห็นความเชื่อมต่อมา จนกระทั่งมันเหลือเป็นอรูปอัตตา 3 อัตตาแล้ว ถ้ายังไม่เข้าใจก็ถามมาใหม่ เอาแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน ขนาดนี้ก็คิดว่าละเอียดพอสมควรแล้ว
ความต่อเนื่องระหว่าง อุตุ พีชะ จิตนิยาม
2.ความรู้สึกที่ว่า มีคนมาดูถูกดูหมิ่นตนเอง เช่น บางคนก็รู้สึกมีความขุ่นเคืองเล็กน้อย บางคนรู้สึกมาก บางคน แสดงออกภายนอก โต้เถียง หรือบางคนถึงกับทำร้ายทำลายกันให้ถึงแก่ชีวิต ดังกล่าวมานี้ กินความหมายในอัตตา 3 อย่างไรคะ
พ่อครูว่า…สรุปแล้วก็คือการกระทบสัมผัส มีความขุ่นเคือง เล็กน้อยจนถึงมาก แล้วคุณก็ไปเน้นมากสิ จนกระทั่งถึงโต้เถียงถึงขั้นทำลายถึงแก่ชีวิตกัน ความหมายในอัตตา 3 อาตมาอธิบายอัตตา 3 ให้ฟังแล้วเมื่อกี้ ก็คงจะพอเข้าใจแล้ว
ถ้ามันรุนแรงอย่างที่คุณพูดถึงขั้นทำร้ายกัน คนพวกนี้ไม่รู้จักไม่รู้จักจิตเจตสิกตัวเอง ไม่รู้จักถึงกรรมกิริยาของจิตเจตสิกที่โหดเหี้ยม ที่ไม่รู้จักว่าสัตว์นี่เป็นเพื่อนทุกข์ ทุกชีวิตเป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น จะไม่มีความรู้เลยเหมือนกันกับทางเทวนิยม
ศาสนาที่ไม่ได้สอนอย่างพระพุทธเจ้า ไม่ได้สอนอย่างศาสนาพุทธนี่จะเห็นทั่วไป เขาฆ่ากันทำสงครามกัน เขาห้ำหั่นกัน อย่างที่เป็นกันอยู่ เขาไม่ได้มีความรู้เลยว่าเขาจะไปฆ่ากันทำไม ห่างไกลคำว่ากรรมวิบาก เขาไม่มีความรู้ในกรรมวิบากเลย ว่าทำกรรมที่โหดที่ร้ายต่อกันนี่ มันจะต้องอาฆาตมาดร้าย มีการทดแทนกัน เขาไม่มีความรู้เลย
แล้วพูดก็พูดเถอะ ศาสดาของเขา เขาไม่ได้สอน เรื่องกรรมวิบาก เรื่องฆ่าเขาแล้วนี่ เขาจะต้องได้รับวิบากที่จะต้องทดแทนกัน กลับศาสดาสอนว่า ฆ่านี้เพื่อพระเจ้าไม่บาป หรืออธิบายดีขึ้นหน่อย ฆ่าเพื่อมวลมนุษยชาติ ฆ่าเพื่อผู้อื่นไม่บาป ศาสนาพระพุทธเจ้าไม่เคยละเว้นไม่เคยอนุโลม ฆ่าเพื่อผู้อื่นไม่บาป ถ้าไปฆ่าสัตว์ใดตั้งแต่สัตว์เล็กสัตว์น้อย จนกระทั่งทำชีวิต ชีวิตหรือชีวะในระดับ ปาณะ ปาณาติปาตา ปาตะ แปลว่า ตกร่วง ยังไม่ใช่ตายทีเดียวนะ ตกร่วงแค่ตกต่ำมาจาก ธาตุวิญญาณหรือธาตุจิตในระดับขั้นปาณะ ขั้นปาณะ ซึ่งเป็นธาตุจิตที่ถือบาป เป็นบาปเป็นบุญแล้ว ขั้นปาณะ
ถ้าจิตที่มันจะต่ำกว่านั้นลงไป ขั้นเจตสิกอย่างกลางๆ อัพยากฤต หยั่งบาปหยั่งบุญ ยังบอกไม่ได้ ต้องตัดสินด้วยเหตุปัจจัย ถ้าลงไปถึงเจตภูต ตอนนี้ยังไม่ถือว่าบาป เจตภูต บางทีก็ถือว่าเป็นผี เป็นวิญญาณผี ซึ่งที่จริงเป็นพลังงานที่เริ่มเป็นชีวะ เป็นชีวะต่อ จาก พีชคาม ต่อจากภูตคาม
ภูตะ เป็นตัวเชื่อมของพลังที่จะเริ่มมาเป็นชีวะมา คามะ แปลว่า ชีวิตสัตว์หรือชีวิตมนุษย์ชีวิต หรือชีวิตที่เขาเกิดเป็นพวกที่มาอยู่รวมกันแล้ว คามะ
เพราะฉะนั้นจากมหาภูต ภูตะ เป็นพลังงาน จากภูตะแล้ว พัฒนาเจริญขึ้นมา ภูตะ มีคามะ แล้วเจริญเป็นพีชะ คามะ แล้วจึงเจริญเป็น เจตภูต จากเจตภูต จึงเจริญมาเป็นเจตสิก จากเจตสิกจึงเจริญเป็น ปาณะ จาก ปาณะ ขึ้นมาเป็น สัตตะ
สัตตะ ก็มาเป็นจิตนิยาม ครบ 7 ก็ไปเป็นจิตนิยามเต็มรูป จะมีจิตนิยามหรือจิตวิญญาณเต็มรูป แล้วเป็นสัตว์เต็มตัว เป็นสัตว์เต็มที่ แล้วก็เข้ามาหา สัตตะ แล้วก็ไปปาณะ แล้วก็ไปหาเจตสิก แล้วก็ไปหาเจตภูติ แล้วจึงเข้าไปหา พีชคาม ภูตคาม จึงจะเชื่อมกับมหาภูต ดิน น้ำ ลม ไฟ
ฉะนั้นพลังงานในดินน้ำยังไม่เป็นชีวะ แต่จะต้องมีพลังงานร่วมกันกับไฟ กับลม ลมไฟ ช่องว่างกับไฟ พลังงาน 2 อย่าง ช่องว่างกับพลังงาน อุณหธาตุ จึงจะกลายมาเป็น ภูตคาม เป็นพืชที่เป็นหัว เป็นพืชที่เป็นก้อน ต่างจากดิน เพราะดิน ปฐพี นั้นไม่มีชีวะ แต่ภูตคาม หัว หัวอะไรก็แล้วแต่หัวพืช หัวพืช หัวมัน หัวเผือก ยังไม่ใช่รากทีเดียวนะ หัว ถ้ารากนี้มันจะออกไป ถ้าหัวมันจะโตๆๆๆขึ้นมาในตัวมันเอง นี่ก็อธิบายละเอียดๆๆขึ้นไป พวกชีววิทยาฟังแล้วจะสนุก อาตมาก็ไม่ได้ไปเรียกว่าชำนาญทางด้านโน้นทีเดียว แต่ก็พอรู้ก็อธิบายไปบ้างถึงเวลาวาระก็อธิบายบ้าง ความรู้จริงๆจะไปดิ่งไปทางโน้นอาตมาก็ได้ แต่ว่าอาตมาไม่อยู่ในฐานะที่จะอธิบายแค่นั้นแล้ว มันมีหน้าที่ยิ่งกว่านี้ อันนี้ก็ปล่อยให้คนอื่นเขาศึกษา
สรุปแล้วจาก ภูตคาม มามีเป็นพืชหรือเป็นราก เป็นพีชะ เป็นกิ่งเป็นใบ ออกมาๆๆ มันก็ค่อยๆพัฒนาการ ค่อยๆเจริญพัฒนาการมา
เพราะจาก พีชคาม มาเป็นเจตภูต ภูต ก็ยังเนื่องมาจาก มหาภูตอยู่นะ ก็ยังเป็นเชื้อพวกนี้ ยังไม่มีชีวะปะปนชัดเจน แม้เป็นพืชมันก็ยังไม่เป็นบาปบุญอะไร แต่เริ่มแล้ว พีชคาม มาหาเจตภูต มันชักจะเริ่มมีอัตตาตัวตนขึ้นมา พอเจตภูต มาเป็นเจตสิก ตอนนี้ก็เป็นอัตตาตัวตน เพราะเป็นเจตสิกก็เป็น ปาณะ
จากปาณะ ก็เป็นสัตตะ
_สู่แดนธรรม… ผมขอถามซ้อนนะครับ ผมพยายามพิจารณาว่า ปาณาติปาตาท่านแปลว่า การทำให้สัตว์ตกร่วงจาก ปาณะ
พ่อครูว่า… ชีวะระดับปาณะ ยังไม่ถึงสัตตะ
_สู่แดนธรรม… พอผม ฟังพ่อท่านอธิบายยังไม่ถึง สัตตะ ทำให้ผม แปล ปาณะ ว่าขวัญ ทำให้สัตว์เสียขวัญก็บาปแล้วไม่ต้องถึงขั้นทำให้มันตายลง
พ่อครูว่า… ดี ดี ละเอียดดี ได้ใช้ได้ เสียขวัญก็ได้ ก็ขยายความไปพวกนี้พวกเราฟังแล้วก็จะเข้าใจ พวกเทวนิยม พวกชีววิทยาทางด้านตะวันตก ชีววิทยาทางด้านไบโอโลยีโลกีย์เขานั้นยัง พวกนั้นเขาเรื่องของรูป ถ้าเรื่องของนามธรรมด้วยของจิตวิญญาณเขายังห่างยังไกลอยู่ ขยายไปแค่นั้นก่อน
มโนมยอัตตาภายนอก ภายใน ต้องลดละไปตามลำดับ
3.มโนมยอัตตาภายนอก ต่างกับ มโนมยอัตตาภายในอย่างไร?
ลูกสงสัยและอยากให้พ่อครูให้ความเข้าใจที่สัมมาทิฏฐิด้วยค่ะ
กราบนมัสการด้วยความเคารพค่ะ
พ่อครูว่า… มโนมยะ มันหมายความว่าจิตของเรา มโน มยะ อันเป็นเรา มโน ก็จิตของเรา
มันไม่ขาดจากกันหรอกภายนอกกับภายใน ไม่ขาด ถ้าคุณสามารถปฏิบัติตนแล้ว จิตของคุณมีพลังงานอยู่เหนือภายนอก คุณไม่ได้ขาดจากภายนอกนะ คุณยังรู้จักภายนอก คุณยังกระทบสัมผัสๆเกี่ยวข้องทำงานร่วมกันกับภายนอกอยู่นะ แต่พลังงานจิตของคุณนี่เก่ง สามารถที่จะอยู่เหนืออุตระอยู่เหนือพวกนี้แล้ว พวกนี้ทำอะไรไม่ได้ พลังของภายนอก อิทธิฤทธิ์ภายนอกทำอะไรเราไม่ได้เราอยู่เหนือ
และจริงๆแล้ว ถ้าเป็นธาตุรู้ภายนอกจะกลัวธาตุรู้ภายในที่เป็นพลังเหนือ พลังปัญญา พลังตัวที่เป็นอุตระ พลังภายนอกจึงกลัว เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าบอกว่ามารเจอกับตถาคต พระพุทธเจ้า มารจึงบอกว่าตถาคตเห็นเราแล้ว วิ่งหนีหูตูบเลย ที่เคยอธิบาย
เรียกว่ามันมีอำนาจหรือมีฤทธิ์อย่างนั้นกันจริงๆเลย มันอธิบายด้วยพยัญชนะก็ได้แค่นี้ โดยสภาวะมันเป็นอย่างที่อธิบาย อย่างที่พูดนั้นจริงๆ ของตัวเองมีแล้ว คุณจะรู้อย่างที่อาตมาอธิบาย อาตมาเอาของตัวเองมาอธิบาย
เพราะฉะนั้นจะบอกว่า มโนมยอัตตาภายนอกต่างจากมโนมยอัตตาภายในยังไง อาตมาก็เห็นใจคุณถามมาอย่างภาษาที่คุณยังไม่มีความรู้ ในเรื่องมโนมยอัตตาหมายถึงขนาดไหน อย่างไรแค่ไหน ภายนอกแค่ไหน ภายในแค่ไหนโดยที่ถามมา อ้าว ก็ค่อยๆศึกษาไป ค่อยๆเรียนรู้ไป พยัญชนะก็อย่าไปติด อย่าเพิ่งไปบางทีมันยังไม่ถึงภูมิของเรา เราอยากจะรู้เกินภูมิของเรา มันรู้ยากและดีไม่ดีจะรู้ผิดเอา เอาหัวเป็นหางเอาหางเป็นหัวมันจะยุ่ง ค่อยๆศึกษาไปแล้วอ่านจากของจริงของเรานี่แหละ แล้วเราจะรู้ว่ามโนอัตตามันคืออะไร
ภายนอกก็คือมันเกี่ยวกับภายนอก แล้วเราเหนือภายนอกหรือยัง ภายในก็คือธาตุรู้ที่อันเดียวกันนั่นแหละ แต่มันจะมีอำนาจเลิกจากหรืออยู่เหนือกิเลสได้หรือไม่ ถ้าได้ก็บรรลุธรรม ถ้ายังไม่ได้ก็ยังไม่บรรลุธรรม จบเอาแค่นี้ก็แล้วกัน
ยุทธศาสตร์ประเทศไทยให้มีเป็นกลางเป็นผู้ประสานสิบทิศ และปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร
_ขวัญ เขตบุญ . น้อมกราบนมัสการพ่อครู ด้วยความเคารพบูชายิ่งค่ะ กราบนมัสการ ท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุ ทุกรูป ทุกบวรฯ ด้วยความเคารพค่ะ เจริญธรรมญาติธรรมทุกท่านค่ะ งานเจปีนี้ทุกบวรฯ ดูคึกคักมากเลยค่ะ นอกจากแจกอาหารเจแล้ว ยังมีการสอนทำอาหารเจ และอาหารสุขภาพ เป็นการต่อยอดด้วยดีเลยค่ะ กราบนมัสการค่ะ
พ่อครูว่า…ดี สังเกตการณ์แล้วก็แสดงความเห็นมา ดีอันนี้ก็เป็นความพัฒนาก้าวหน้าในพวกเรา ทั้งประชาชนและทั้งพวกเรา ทั้งพวกชาวอโศกหรือว่าชาวที่มาร่วมงานกับพวกเรานี่แหละ เครือแหต่างๆก็ตาม มันก็พัฒนาไปเรื่อยๆ
อาตมาก็ขอย้ำเลยนะว่า อาหารนี้เป็นหนึ่งในโลก โดยเฉพาะอาหารที่อย่าไปเกี่ยวข้องเอาสัตว์มาเป็นอาหาร สัตว์เล็กสัตว์น้อยสัตว์ใหญ่อะไรก็อย่าไปเอามาเป็นอาหาร อยู่รอด อยู่ได้ เจริญดีด้วย อายุยืนด้วย พิสูจน์ได้จริงๆ
เพราะฉะนั้นที่เราทำพากันทำ นำสังคม มันไม่ได้หมายความว่าเราโดดเดี่ยวนะ เรื่องอาหารพืช อาหารวีแกน อาหาร Vegetarian มันไม่ใช่ว่าเราโดดเดี่ยวนะมันทั่วโลก เขาเข้าใจกันมาแล้วเราไม่ได้เพิ่งเริ่ม แต่เราเห็นสำคัญ เรานำกันอย่างจริงจัง อาตมาเอามาเป็นบุญญาวุธหมายเลข 1 ซึ่งไม่ประสีประสากันเท่าไหร่เลยในคนไทย มีคนจีนที่มีการกินเจกันบ้างกุ๊กๆกิ๊กๆอยู่อย่างนั้นแล้ว ก็ตามโรงเจ งานเจ เกาอ๊วงเจทีนึงก็นิดๆหน่อยๆไม่ได้ฮือฮาอะไร
จนกระทั่งอาตมามาตีปี๊บเป็นมังสวิรัติขึ้นมา จนกระทั่งเรามาพูดไปแล้วก็เถอะ เรามาฮุบเอาใจเข้ามาร่วมด้วย จริงๆมังสวิรัติของเรามันมีนัยยะที่ต่างกันด้วย เจมันก็ไปแบบของเขา ตาม Concept ของเขา Concept ชาวเจก็ว่ากันไป ของเรามังสวิรัติ Concept ของเราก็ต่างกันไปบ้าง มันไม่มุ่งแบบของเขามาก แต่มุมของเขาก็ดีเหมือนกันนะ เขาก็มองว่า เจ นี่เขาไม่เอาอะไร ให้มันละเอียดเลยไม่เกี่ยวเลย ทุกภาชนะก็จะต้องสะอาด ไม่เคยใช้เกี่ยวข้องกับเนื้อสัตว์มาเลย อย่างนี้เป็นต้น รักษาความสะอาดให้ยิ่งไม่ให้มันต่อเชื่อมอะไรเลย ก็ดูดี แต่มันจะละเลียดเกินไปหรือเปล่า หรือมันจะมีรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสนะ มันมีกลิ่นยั่วยวน มันเป็นรสยั่วยวนในผักพืชอีก 5-6 ชนิด ห้ามกินห้ามอะไรพวกนี้ เขาก็อธิบายกันไป
อาตมาว่าก็ดี แต่ว่ามันจะละเลียดกันไปหรือเปล่า มันจะกระเบียดกระเสียนตัวเองมากเกินไปหรือเปล่า ก็เราเรียนรู้สิ่งที่เป็นรูป รส กลิ่นก็เราเรียนรู้สิ่งที่เป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสแล้วก็เรียนรู้อยู่แล้วกินเจก็จะเอาถึง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่มันอยู่ในพืชอีก ก็ได้แต่มันจำกัดจำเขี่ยมากไปบ้างหรือเปล่า นี่ก็อธิบายพอสมควร
ก็ขออธิบายเพิ่มเติมขึ้นว่า พืชพันธุ์ธัญญาหารนี่แหละ ให้เราตื่นตัวกันเถิด เมืองไทยนี่เป็นเมืองที่อยู่ในศูนย์สูตรนี้ บรรยากาศที่ปลูกผักปลูกพืชได้ ถ้าไม่ใช่ที่น้ำท่วมเหมือนบ้านราชก็จะปลูกได้ตลอดปี 12 เดือน นอกจากบ้านราชนี่น้ำท่วม ก็อาจจะไม่ได้ตลอด 12 เดือนเท่านั้น นอกจากไม่ได้ตลอดแล้ว พอถึงน้ำท่วม ไอ้ที่ปลูกไว้ก็ตายไป ต้องมากอบกู้กันใหม่อีกอันนั้นก็แล้วไปเถอะ เราเป็นพวกขยันเราก็ทำ คนขี้เกียจเขาไม่มาทำหรอก ที่จริงๆไม่ใช่อะไรหรอก บารมีเรามันได้แค่นี้ ไอ้ที่ดีๆที่ไม่ต้องมาเสียเวล่ำเวลาที่จะต้องมาน้ำท่วมตายมันก็ไม่ได้ บารมีเรามีแค่นี้ ก็เอาแค่นี้ ก็รับเอาไปแล้วกัน ก็ไม่เสียหลายอะไรหรอก
อาตมาย้ำแล้วย้ำอีกว่า อยากจะให้เมืองไทยเป็นเมืองพืชพรรณธัญญาหาร ประเทศแห่งพืชพันธุ์ธัญญาหาร ดีไม่ดีจะแพ้ตะวันออกกลางเขานะ ส่งพืชพันธุ์ธัญญาหารขายตีตลาดไทย ขายขี้หน้าเขาตายเลย จริง แผ่นดินเขาเยอะ เงินเขาเยอะ เขาเนรมิตอะไรต่ออะไรได้เยอะก็จริงอยู่ แต่อย่าให้เสียท่าตรงนี้เลย อาตมาว่า
เอาเถอะเขาจะชนะหรือไม่ชนะก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก เพราะว่าประเทศเราประเทศเล็ก คนน้อย พื้นที่น้อยกว่าเขาเยอะ ทุนรอนก็น้อยกว่าเขาเยอะ แต่เราทำให้เต็มที่ของเราเถอะ อาตมาว่าอันนี้ อาตมาไม่อยากจะใช้คำว่า อำนาจ อำนาจใหญ่ ที่จะคุ้มตัวเราเองไปสู่สังคมโลก ก็คือเรามีพืชพันธุ์ธัญญาหารเป็นอำนาจหรือเป็นพลัง ไม่ใช่ปืนผาหน้าไม้ อาวุธฆ่าคน ไม่ใช่ หรือแม้แต่ไอทีต่างๆ หรือไอ้พวกเทคโนโลยีต่างๆเราเก่งก็ไม่ใช่ เราจะเก่งพืชพันธุ์ธัญญาหารนี่แหละ อาตมาสรุปมาหลายทีแล้ว
-
ประเทศไทยขอให้รักษาความเป็นกลางให้ดี อย่าไปหาเรื่องที่จะไปรบราฆ่าฟัน ไปรบราฆ่าฟันกับใคร ประสานให้ทั่วสิบทิศเลย ไม่ใช่ผู้ชนะ 10 ทิศหรอก แต่เป็นผู้ประสาน 10 ทิศ เป็นผู้ประสานสิบทิศให้ได้ เป็นกลางและประสาน 10 ทิศ
-
ทำพืชพันธุ์ธัญญาหาร ให้เป็น มันยังคิดคำไม่ออกที่เกินกว่าพลังอำนาจ เป็นคุณก็ได้ เป็นพลังอำนาจ เป็นธรรมฤทธิ์ ที่จะเข้าไปกอบกู้อะไรทุกอย่าง จะใช้คำว่า ประเทศมหาอำนาจ มันก็ดูรุนแรง ใช้คำว่า ประเทศมหากรุณา จะดีกว่า เป็นมหาเมตตา
สรุปแล้ว อาตมาเคยเน้นมาหลายทีว่า1.เป็นกลาง 2.สร้างพืชพันธุ์ธัญญาหาร แล้วเคยพูดอีกเรื่องหนึ่งก็คือไม่อยากย้ำเท่าไหร่เพราะว่าเห็นใเหมือนกันมันยาก คืออย่าไปหลงเศรษฐกิจในเรื่องของการท่องเที่ยว เรื่องการท่องเที่ยว เศรษฐกิจในการท่องเที่ยวหรือสรุปง่ายๆก็คือ ได้เงินจากการท่องเที่ยวมาเป็นรายได้หลัก รายได้สำคัญอะไร อย่าเลย
อาตมาเคยอธิบายว่า มีแขกมาเยี่ยม มาสู่เรือนชาน ต้อนรับเขา ให้เขา ดีไม่ดีเลี้ยงดูเขา แล้ว ให้ของใส่กระเช้า ใส่ชะลอมกลับบ้านไปอีก อย่างนี้ต่างหากเล่า แค่นี้แหละแขกมาหรือว่านักท่องเที่ยวมาคุณขูดรีด ขูดเลือดขูดเนื้อเอาเปรียบเขา อาตมาพูดแค่นี้ก็น่าจะมีปฏิภาณเข้าใจได้แล้วนะว่า มันไม่งามเลย ใช่ไหม มันไม่งามเลย ไปขูดรีดรายได้จากแขกอาคันตุกะ จากผู้มาเยี่ยมเยียน จากมิตรสหายชาวโลก ชาวต่างบ้าน ต่างเรือน ต่างเมือง ต่างประเทศมา เราน่าจะต้องมีน้ำใจให้แก่เขาให้มากๆ แทนที่จะไปดูดเลือด ฉวยโอกาส เห็นไหมว่านี่คือในความอาริยธรรมหรืออาริยกะ อารยธรรมอย่างนี้ เข้าใจให้ดีๆเถอะ แล้วเมืองไทยทำให้ได้
เศรษฐศาสตร์พุทธนี่เข้าใจถึงสาระ เข้าใจถึงปัจจัยสำคัญ เน้นเข้าหาปัจจัย 4 ที่พระพุทธเจ้าท่านเน้นแล้ว นอกนั้นก็เป็นความสำคัญด้อย น้อยลง น้อยลงทั้งนั้น ความสำคัญหลักก็คือปัจจัย 4
อาหารสำคัญที่หนึ่ง ต่อจากนั้นก็เป็นที่พัก เสื้อผ้าหน้าแพร ยารักษาโรค ยารักษาโรคนี้เป็นอันที่ 4 เลย เพราะถ้าเราแข็งแรงดี ไม่ต้องใช้ยารักษาโรคเลยตลอดชีวิต แต่คนก็ต้องนุ่งผ้าบ้างอันที่ 3 แล้วคนต้องมีที่อยู่เป็นอันที่ 2 อันที่ 1 ก็คืออาหารหรือคำข้าว เห็นไหมลำดับความสำคัญของมัน อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าเราเองมีที่หนึ่งคืออาหารได้แล้ว แม้ที่อยู่เราจะไม่เก่ง เสื้อผ้าหน้าแพรเราจะไม่เก่ง ยารักษาโรคเราก็จะไม่เก่ง อาหารคำข้าวพืชพันธุ์ธัญญาหารเก่งที่1 นี้ให้ได้ เน้นจุดนี้เป็นเลิศเป็นหนึ่ง เท่าที่เราทำได้ แล้วถ้าเราทำได้ แม้คนเราจะน้อย พื้นที่เราจะน้อย กำลังงานเราจะน้อย เราทำเต็มที่มันก็ได้เต็มที่ เรากินเราใช้ไม่ได้หลงโลกมามอมเมา รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) มอมเมาด้วยค่านิยม อวดโอ่อะไรมากมาย เราก็กินน้อยใช้น้อยกินอย่างถูกๆไม่แพงไม่อะไร แต่ได้เนื้อหาสาระเพราะเรามีปัญญาในเรื่องโภชนาการเต็มที่แล้ว
เพราะฉะนั้นเราสร้างพืชพันธุ์ธัญญาหารแล้วก็เอาแจกจ่าย ในความซับซ้อน ไดอะแลกติกของความเห็นที่ย้อนแย้งกันนี่ แม้แต่รายได้ที่เราจะแลกกลับคืนมา เศรษฐศาสตร์ที่เจริญของศาสนาพุทธโลกุตระได้คืนมาน้อยที่สุดหรือไม่เอาคืนมาเลยต่างหากคือความเจริญ คุณให้เขาไป 100%เลยเอากลับมา 0 นั่นคือความเจริญ แลกเอาคืนมาน้อยที่สุดนั่นคือความเจริญ ถ้าเอามากขึ้นมากขึ้นคือความเสื่อม
แต่ทิศทางของคนกลับจะแลกกลับมาให้ได้มากๆนี่คือความคิดเศรษฐศาสตร์ของเทวนิยม เศรษฐศาสตร์โลกียะ เศรษฐศาสตร์ของผู้ที่ไม่เข้าใจชัดเจนเลยในโลกุตรธรรม ก็ค่อยๆเข้าใจไปมันไม่ใช่ง่าย พูดแล้วดูเหมือนง่าย พวกเราเข้าใจได้ เพราะพวกเราศึกษามาแล้วก็ปฏิบัติประพฤติแล้ว ก็เห็นจริงแล้วมันมีของแท้ มันมีของแท้ของจริงในตัวเอง เพราะฉะนั้นมันจึงไม่ยากไม่เย็นอะไร แต่ผู้ที่ยังไม่ เข้าใจยังยาก
_ซึ้งซื่อ วิเชียร . ขอกราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรสุดเกล้าครับ ในเทศกาลอาหารเจ ฟ้าได้ประทาน (อาหารเจ อาหารมังสวิรัติ) เพื่อให้แก่มวลมนุษยชาติได้ลิ้มลองเป็นธรรมรส แล้วทุกท่านจะปฏิเสธได้หรือ การรับประทานอาหารที่ไม่ฆ่า ไม่เบียดเบียน มันดีต่อสุขภาพทั้งกาย-ใจ ในศีลข้อ ๑ แห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ให้ทางสว่างให้มนุษยชาติได้ปฏิบัติจริง ซึ่งหามิได้ในพระเมตตาเช่นนี้อีกแล้ว คือ “เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก”จริงๆ ครับ กราบขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงยิ่งครับ
พ่อครูว่า…คุณมีภูมิธรรมที่เห็นจริงไปในทางนี้แล้ว มันจะยิ่งเห็นจริงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
_ตุ๊ก อัศวิน . กราบขอโอกาสเจ้าค่ะ ได้พิสูจน์ทราบเห็นด้วย ตา ของตัวเอง แล้วเจ้าค่ะ..ว่า งานเจของชาวอโศก อุทยานบุญนิยม เป็นกิจกรรมอันยิ่งใหญ่ เพราะระดมพลมาทั่วทั้งหมู่บ้าน ตั้งแต่ระดับ หนูน้อย(อนุบาลตุ๊กติ้ว)..วัยวุ่นขึ้นมาหน่อย (สัมมาสิกขา) ..วัยวุ่นขึ้นมามาก (อาชีวะ) สาวมาก..จนถึงสาวน้อย กำลังพลที่รักษาหมู่บ้าน ก็ระดมเก็บ_ทำ_ส่ง วัตถุดิบเข้าอุทยานฯ ฝ่ายอุทยานฯ ก็เป็นหน่วยผลิต รับวัตถุดิบมา จัดการ ล้าง_หั่น_โช๊ะเช๊ะ ควงมีดหั่นดังสนั่น ข้างพ่อครัว/แม่ครัว ก็ไม่น้อยหน้า เอาตะหลิวยังกะไม้พาย จ้วงคลุกในกระทะยักษ์ แปรรูปลงถาด ประมาณว่า เต็มออกๆๆๆ…ทั้งส่งเสียง.เพรียกหา ‘นา_ยก’ เป็นระยะๆ ข้างฝ่ายรับหน้าที่ packing ก็ตวงอาหารใส่แล้วมัดถุง ราวกะมืออาชีพ..มีหน่วย QC (Quantity Control) ตักน้อยไปไม่ผ่าน นะเจ้าค่ะ เพราะคติธรรมของอโศก คือ ขาดทุนของเรา คือ กำไรของเรา!! อาหารทั้งเป็นถุง และเป็นถาด ก็พร้อมให้บริการทุกระดับ ประทับใจ ด้วยเมนู ม้ากกก..มาก ทั้งของคาว_หวาน เบเกอรี่ ของยำ เตี๋ยว ฯลฯ เหมือนเหวี่ยงแหใส่ลูกค้า เข้ามาในร้านแล้ว..ม่ายร็อด..ม่ายรอด!! ต้องจัดการสำเร็จโทษ เมนูใด..เมนูหนึ่ง แน่นอน..เจ้าค่ะ
ฟังพรรณนา..รายงาน..มาทั้งหมดนี้..เว่อร์ไปป่าววว!! ไม่เว่อร์..เจ้าคะ เพราะได้มาพิสูจน์ทราบด้วยตนเอง..เจ้าค่ะ ทั้งเป็นมือหั่น..ควงมีดหั่นผัก ฐานอาน้อย เป็นแม่ทัพ (เอตทัคคะด้านลาบและน้ำพริก) เจ้าค่ะ พอสายหน่อย..แปลงกายเป็นลูกค้าค่ะ หม่ำทุกวัน วันละ 4-5 เมนู จนล่วงมาวันที่ 5 ของงานเจ ยังหม่ำอาหารตามเมนูยังไม่ครบ..เรยยเจ้าค่ะ พุงยิ้ม..จนจะปริ อยู่แล้วค่ะ!! ยามกลับบ้าน นน.ขึ้น คงกลมกลิ้งขึ้นเครื่องบิน จะบินไหวไหมน้อ!! ขอกราบขอบพระคุณ ทุกๆ ท่านทั้งเบื้องหน้า และเบื้องหลัง “พุงยิ้ม” ทำให้การทานเจ ปีนี้ สิดวก สิบาย อิ่มอุ่น..อบอวลด้วยเมตตาธรรมต่อสรรพสัตว์เจ้าค่ะ
พ่อครูว่า…มีฮีวเมอร์มากนะ คุณตุ๊ก อัศวินนี่มากมายไปด้วยฮีวเมอร์มาก สนุกสนาน
_เพียรผ่องพุทธ กล้าจน . น้อมกราบพ่อครูและสมณะทุกรูปค่ะ ตอนอายุ 20 ปีกว่าๆ เทศกาลกินเจเป็นแรงเหนี่ยวนำให้รู้จัก การ ละ เลิกกินเนื้อสัตว์ได้ในแต่ละปี ต่อมาก็เลิกกินเนื้อสัตว์ใหญ่ เช่น วัว ไก่ ตลอดชีวิต และค่อยๆ เลิกกินเนื้อสัตว์ได้มาหลายชนิด จนเหลือ เนื้อหมู และปลาเล็ก ปลาน้อย ปี 2549 เป็นความใฝ่ฝันที่ตั้งใจให้เลิกได้ทั้งหมด แต่พอได้มาเจอกองทัพธรรม ก็ได้กินอาหารมังสวิรัติ ที่กินง่ายกว่าอาหารเจ ที่จะเหมาะกับชีวิตเรา มา 8 ปี การกินเนื้อสัตว์น้อยลงๆๆ แม้จะเป็นคนแปลกประหลาดในหมู่คนทำงาน แต่ก็ภูมิใจ มีความสุขที่เราได้มีโอกาสไม่เบียดเบียนสัตว์ ปี 2559 ได้มาเข้าค่ายแพทย์วิถีธรรมวันแรก อายุ 46 ปีได้พบเจอหมู่มิตรดี คนดี วันแรกก็ตั้งจิตเลิกกินเนื้อสัตว์ทุกชนิดตลอดชีวิตได้ค่ะ มีผลสุขภาพแข็งแรงดี อาการที่ป่วยไม่สบาย หายหมด ไม่เคยต้องกลับไปหาหมออีกเลย ตลอดเกือบ 7 ปี จนถึงปัจจุบันค่ะ สัตว์ทุกชีวิตต้องการมีชีวิตอยู่เหมือนคน เป็นเพื่อนร่วมโลกที่มี สิทธิสัตว์ชีพค่ะ กราบขอบพระคุณพ่อครู และชุมชนชาวอโศก ต้นแบบที่อาศัยของสัตว์โลกเป็นอย่างยิ่งค่ะ
_จรรยา ประเสริฐ . กราบนมัสการค่ะ ฟังท่านสิริ ท่านลานศิลป์ ท่านสัจฉิกตาแล้ว นึกถึงตัวเองค่ะ ความโง่ พาเราไปสู่ทางต่ำ (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สมณะเดินดิน… พ่อครูพูดถึงว่าคนทั่วไปที่มาเที่ยวเมืองเราอย่าไปเอาเปรียบเขา นึกถึงคุณคำนึง นวลมณี เขาทำสวนแล้วจะมีที่จอดรถให้คนมาดูงานด้วย มีให้ชิมฟรีด้วย แต่พอกินติดใจแล้วเขาจะมาขอซื้อกิ่งพันธุ์ พูดถึงว่าให้แค่นี้ เขาก็ประทับใจแล้ว แต่พอได้ชิมได้กินแล้วติดใจมาก ได้ขายกิ่งพันธุ์ทีหลัง ถ้าคิดแบบชาวอโศกเราไม่ได้คิดจะเอาอะไรเลย อย่างประเทศไทยเราทำเราไม่ต้องไปซื้ออาวุธอะไรหมื่นล้านแสนล้านเลย เป็นผู้ประสานงานอย่างที่พ่อครูว่าจะได้เกิดธรรมฤทธิ์คุ้มครองตัวเองในตัว เหมือนชาวอโศกเถ้าแก่ในวารินบอกว่าที่นี่เป็นวัดแต่เป็นวัดแบบชาวอโศก แต่ถ้าวัดอย่างในเมืองนี้บางทีขโมยเขาขโมยพัดลมไปหมดเลย แต่วัดอย่างเรานี่ขโมยไม่มายุ่ง เพราะเราช่วยชาวบ้าน
การรายงานมรรคผลการปฏิบัติธรรมของลูกทำให้พ่อครูต่ออายุขัย
_จรรยา ประเสริฐ . กราบนมัสการค่ะ ฟังท่านสิริ ท่านลานศิลป์ ท่านสัจฉิกตาแล้ว นึกถึงตัวเองค่ะ ความโง่ พาเราไปสู่ทางต่ำ…เคยฟังพ่อนี่แหละค่ะ เรื่องการเกิด การตาย จึงเข้าใจว่าการเกิด การตาย ของชีวิตเราคืออะไร การเกิด ดูการเกิดกิเลสเรา ประกอบไปด้วยกาม หยาบ กลาง ละเอียด (ตัวร้ายเลยค่ะ) พอเกิดแล้ว ตามไม่ทัน ไม่สมใจ (ก็เศร้าหมอง หรือ เกิดโทสะ เพราะไม่สมใจ) อัตตาก็ตามมา จะหนา จะบางแค่ไหน??? ตัวเราเท่านั้นที่รู้ ซึ่งเมื่อก่อนไม่รู้ ดูไม่เห็น ตามไม่ทัน พอสมใจกิเลส สมใจกาม ก็มีความสุขสมใจ ได้ความหยาบ หนา มากขึ้น แต่เมื่อไม่ได้ อัตตาก็ตามมา หลายรูปแบบ เช่น ความพยาบาท แสบสันที่สุด ทำลายจิตวิญญาณเราแทบตายทางกายหยาบมาแล้ว (เห็นอีโก้ คือความใหญ่ หรือความเป็นตัวเองของตัวเองสูง นี่แหละ ตัวอัตตาที่แสนร้ายกาจทีเดียว) เมื่อก่อนเวลาทำอะไรไม่สมใจ ก็เศร้า พยาบาท แล้วอยากตาย แต่ไม่เคยคิดฆ่าตัวตาย พอมาเจออโศก ตายทางกายรู้แล้วไม่มีปัญหา แต่ตายทางใจ กิเลส ที่เห็น นี่สิสำคัญ จะเอาตัวนี้ให้ตาย ไปทีละตัว ทีละตัว ก่อน ผลออกมาเห็นความสบาย ในการเกิด มีแต่ความว่าง เกิดขึ้นไปเรื่อยๆ จะทำจนกว่า ตายกายหยาบ เกิดใหม่ในจิตวิญญาณโลกุตระ และจะไม่เกิด และ ไม่ตาย อีกต่อไป กราบสาธุค่ะ
พ่อครูว่า…เอาละก็เข้าใจไปเรื่อยๆ
เราเรียนรู้ธรรมะแล้ว ที่รายงานมา พูดมาพวกนี้ มันเป็นเรื่องชัดเจน เป็นเรื่องที่ทำให้เห็นจริงว่า การศึกษาพวกเรามีผล ผลที่เป็นความถูกต้องด้วยนะ เป็นผลที่ทำให้เกิดรู้จิตเจตสิก รูปนิพพาน เป็นโลกุตรธรรม เป็นการเห็นจริง อย่างแท้ๆจริงๆ
อาตมาเองมีกำลังใจก็จากอันนี้แหละ จากพวกเราเรียนรู้โลกุตรธรรม เรียนรู้จักปรมัตถธรรม จิตเจตสิกรูปนิพพานต่างๆแล้วเข้าใจแล้วทำได้ บรรลุธรรมจริงๆ ได้ผลจริงๆขึ้นมา ทำให้อาตมามีกำลังใจและมีอิทธิบาท มี Co-efficient ทำให้ต่ออายุขัยตัวเองได้ อายุขัยมาทุกวันนี้ ถ้าไม่มีวิบาก โอ้โห อาตมาสบายเลยนะ ถ้าไม่มีวิบากอาตมาคงเหนื่อยน้อยกว่านี้ ไม่เหนื่อยมากเท่านี้ มันเหนื่อยมากเพราะว่ามันไอ มันกินแรงมากๆไอนี่ กินแรงมาก แต่มันห้ามมันไม่ได้เหตุมันมีอยู่ มันเป็นวิบากอะไรก็แล้วแต่ เราก็ไม่รู้จะทำยังไงก็ต้องรับมันไป
ทุกวันนี้ก็รู้สึกว่า ไอ้ตัวเหตุปัจจัยที่มันทำให้อาตมาต้องลำบากเนี่ยเหตุปัจจัยมันร้ายแรงขึ้นเรื่อย แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกเราก็ต้องยอมรับมันแล้วก็ต้องพยายามที่จะผ่อนปรน ผ่อนหนัก ผ่อนเบาไปตามที่เราคิดว่าจะต้องทำให้มันได้เท่าที่ควร เท่าที่เป็นไป รู้จักพักรู้จักเพียร เราไม่พักอยู่ (อัปปติฏฐัง) เท่ากับยังเพียรต่อไป เราไม่เพียรอยู่ (อนายูหัง) เท่ากับพักหรือไม่ต่ออายุอิทธิบาท เราเป็นผู้ข้ามโอฆสงสารได้แล้ว (โอฆมตรินติ)
เพราะฉะนั้นการที่จะยืดอายุก็ดี เพื่อที่จะอยู่ทำงานต่อไป ให้เป็นประโยชน์ ทั้งเป็นการต่อการบำเพ็ญพุทธภูมิของอาตมาด้วย ของตนเอง ได้รับอะไรที่เป็นรายละเอียด ได้รู้ ได้เห็น ได้เกิดภูมิปัญญา รู้รายละเอียดอะไรต่ออะไรของสัจธรรมขึ้นเยอะเลย อย่างที่อาตมาก็ถ่ายทอดต่อไปเรื่อยๆ พวกเราก็คงจะเห็นว่า มีรายละเอียดที่ละเอียดลึกซึ้งเข้าไปเรื่อยๆ พวกเรายิ่งเข้าใจ ยิ่งได้รับ ใช่ไหม ยิ่งได้เห็นว่ามันละเอียดลึกซึ้งเข้าไป เข้าไป
มันมีที่เชื่อมที่ต่อ มันมีที่เป็นที่ไป แล้วอาตมาก็ยิ่งเห็นว่าอาตมายังอธิบายไม่หมดไม่ครบ ยังน่าจะอธิบายประสานเชื่อมต่อตรงนั้นตรงนี้กัน ขยายผล มันยิ่งรู้สึกว่า โอ้โห มันวิจิตรพิสดารเหลือเกินสัจธรรมของสัจจะทุกสรรพสิ่งนี่ มันสุดยอดจริงๆ
คนที่ทำดีไม่ทำชั่วนี่แหละ ไม่กลัวตาย
_แก้วตะวัน พวงบุบผา . น้อมกราบนมัสการท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
หลังความตายวายชีวาช่างน่ากลัว วิบากชั่วก่อเวรกรรมสัมภเวสี
หากเราสร้างกุศลธรรมก่อกรรมดี ก็จะมีแต่สุขเย็นไม่เป็นทุกข์
แต่กิเลสเภทภัยมันร้ายเหลือ หลอกให้เชื่อว่าเลิศล้ำทำให้สุข
ต้องหักห้ามหัดพรากออกจากคุก ได้เกิดยุคพระศรีอาริย์พ้นพาลชน
พ่อครูว่า…ก็ไม่ต้องแปลก็ไม่ยากเท่ากับของอโศก สัมปวังโก อันนี้ง่ายเข้าใจง่าย
“หลังความตายวายชีวาช่างน่ากลัว” คนที่ทำไม่ดีรู้ตัวเองว่าเราทำไม่ดีเยอะแล้วเราเข้าใจยอมรับตัวเองว่าตัวเองทำไม่ดี ทำชั่วเยอะ คนรู้ความจริงอย่างนี้ รู้จักกรรมวิบากก็จะกลัวตายไม่อยากตาย เพราะว่าตายไปแล้ววิบากมันตามเรา อย่างน้อยมันไปใช้วิบากแต่ในภพสัมภเวสีหรือมาเกิดใหม่ก็ตาม หลังไปรับนรกในสัมภเวสีหรือเกิดมาใหม่เป็นนรกใหม่ก็หมายถึงนรกในร่างคนหรือในร่างสัตว์
บางทีวิบากบาปของเราเราตาย เอาละ สัมภเวสีก็ไม่ต้องอธิบายคือวิญญาณ ก็เป็นวิญญาณในจิต คือยังไม่ออกมา ยังไม่เกิดมามีกายมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ยังไม่เกิดมาเป็นสัตว์โลก
การเกิดมาเป็นสัตว์มันก็ไม่อาจจะไม่เกิดมาเป็นคน เพราะวิบากบาปมันเยอะ กลับมาเกิดอีกทีมันไม่เป็นคนแล้วทีนี้ มันต้องมาใช้วิบากไปเป็นสัตว์ ดีไม่ดีก็ไปเป็นสัตว์ที่มันรับทุกข์ทรมาน
ไอ้จริงๆแล้วสัตว์ที่ไปรับทุกข์ทรมาน มันก็จะรู้สึกว่า แหม ชีวิตนี้ ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นดับไป สัตว์มันไม่รู้เหมือนที่อาตมาพูดหรอก แต่มันก็จะรู้สึกในตัวว่ามันทุกข์ๆๆ ตามสัจธรรม
เพราะฉะนั้นสัตว์ที่มันได้เกิดมาเป็นสัตว์ เอาล่ะ คุณเวียนกลับมาเกิดเป็นสัตว์ แต่คุณไม่ได้ไปรับทุกข์หรอก คุณได้ไปรับถูกประคบประหงม กำไรหรือขาดทุน เป็นการขาดทุน พวกเราชัดเจนดีนะ เกิดมาเป็นสัตว์แล้วได้ถูกประคบประหงมเอาไปเลี้ยงดู ไปทำอะไรให้เหลิงติดความเป็นสัตว์ ชื่นใจชอบใจในความเป็นอยู่อย่างนี้ บำเรอกิเลส ติด คุณสัตว์นี้จะตายไปแล้วเกิดมาอีก ดีไม่ดีจะมาเกิดเป็นหมาตัวนี้อีกหรือดีไม่ดีเป็นสัตว์เลี้ยงอีก แต่ทีนี้วิบากบาปของตัวเองจะได้เกิดมาสบายเหมือนอย่างนี้อีกหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย นี่คือรายละเอียดของเรื่องกรรมวิบากที่อธิบายไม่หวาดไม่ไหว อจินไตย ต่างๆนานา
สรุปแล้ว คนที่ทำดีไม่ทำชั่วนี่แหละ ไม่กลัวตาย แต่ถ้าคนทำชั่วจะกลัวตาย อาตมาก็ขอบอกว่าเอาเถอะ คุณจะทำชั่วทำดีคุณจะตั้งใจปฏิบัติดี ละชั่วให้ได้มากๆ เท่าที่เราทำได้ อย่าไปกังวล อย่าไปกลัวในการที่ตายแล้วจะต้องไปรับวิบากอีก เพราะยังไงๆคุณก็จะต้องไปตามวิบาก ไม่มีอะไรที่จะไปกบฏหรือจะไปผิดเพี้ยนจากกรรมวิบากที่คุณทำ ได้เท่านี้ผลสรุปออกมาได้เท่านี้หน่วย แล้วใครจะมาเปลี่ยนแปลงใครจะมาโกงอะไรต่อสัจธรรม ทำได้มั้ย ทำไม่ได้ มันบวกลบคูณหารได้เท่าไหร่ คุณก็ต้องรับกรรมนั้นเท่านั้น ไม่มีใครที่จะไปกบฏต่อสัจธรรมได้เลยในโลก
เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปกังวล คุณทำเหตุให้เต็มที่ ผลออกมาจริงตามที่เราทำเหตุบริบูรณ์ เราพากันทำแทบทุกมิติ ทุกนัยยะ ให้มันเป็นสัจธรรม เป็นกุศล เป็นบุญ บุญคือชำระกิเลส เป็นกุศลคือคุณงามความดี เราพากันทำทั้งสองด้าน 2 อย่าง ทั้งคุณธรรม เราก็ทำทั้งบุญ
การทำบุญนั้นมันไม่ใช่สมบัติ มันเป็นวิบัติ นี่ก็อธิบายยาก แต่พวกเราเข้าใจกันหรือยัง เข้าใจแล้ว บุญมันเป็นวิบัติไม่ใช่สมบัติ กุศลมันเป็นสมบัติ เราได้ทั้งกุศล สมบัติเราก็ได้ วิบัติเราก็ได้ บุญเราก็ได้ฆ่ากิเลสไปในตัวได้จริงๆจึงเป็นอรหันต์ นี่เป็นสัจธรรมที่พูดในพวกเรา พวกเรามีความรู้ สามารถรับความรู้ที่อาตมาสาธยายพวกนี้ได้ แต่ข้างนอกเขายังห่างยังไกลมากเลย
ผู้จบกิจ 4 ประการเป็นผู้อยู่เหนือกาละได้
สรุปแล้ว ในการปฏิบัติธรรมนี่ ไม่ต้องกลัวความตาย แม้ที่สุดแล้วอาตมาได้สรุปการจบกิจ จนกระทั่งถึง 4 ขั้น 4 แบบ
-
จบกิจโลกีย์ธรรมดา คือ ความดี ความชั่ว ละชั่ว ประพฤติดี ให้เป็นนิยตะ ให้เที่ยง ไม่ใช่เที่ยงอย่างนิจจะหรือนิจจัง แต่นี่ เที่ยงอย่างนิยตัง หรือนิยตะ เที่ยงอย่างไม่แปรเปลี่ยนเป็นอื่นแล้ว เที่ยงแท้แน่นอน ยังไงๆ คุณก็ได้ ดีตลอด เกิดชาติต่อๆไปก็ดีต่อเนื่องไปไม่มีตกต่ำเป็นธรรมดา อวิปริณามธัมมัง นิยตะ เที่ยง มีแต่ สัมโพธิปรายนะ ขึ้นไปสู่ที่สุดที่สูงได้ตลอดไป นี่คือสัจจะ จบกิจข้อที่ 1 ในโลกีย์ ดีชั่วเท่านั้น
-
จบกิจขั้นโลกุตระจบกิจขั้นสุขทุกข์ คุณหมดสุขหมดทุกข์ คุณดับกิเลสไม่สุขไม่ทุกข์เป็นอรหันต์ได้ คุณก็จบกิจในข้อที่ 2
-
จบกิจต่อภพภูมิของอรหันต์และโพธิสัตว์ คุณจบกิจข้อที่ 2 แล้วคุณไม่เกิดอีก ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ได้เลย ทีนี้การต่อภพภูมิ เป็นข้อที่ 3 จบกิจแล้วต่อภพภูมิเป็น โพธิสัตว์ เพิ่มอรหันต์ขั้นต่อๆขึ้นไปอีก อาตมาก็ขยายความไปแล้วว่า อรหันต์จริงๆมันมีตั้ง 6ขั้น 6 ระดับ ตั้งแต่ 1 จนกระทั่งถึง 6 เป็นพระพุทธเจ้าอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังไม่ขยายความมากนัก ก็เป็นจบกิจขั้นที่ 3 คุณก็เรียนรู้โพธิสัตว์และอรหันต์ที่จะเพิ่มอรหันต์ต่อไปอีก
-
ก็คือทำกาละ ในมหาจักรวาลนี้ กาละใหญ่ที่สุด มีกาละ เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดไม่มีใครจะเหนือกาละได้ ผู้จบกิจขั้นที่ 3 ขึ้นมาขั้นที่ 4 จึงเป็นคนอยู่เหนือกาละ เด็ดขาด เหนือกว่า