661027 พ่อครูคือก้อนแห่งสัมมาทิฏฐิที่คนต้องมีฉันทะมาเอา พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1jAvS1Fa_klNtifa3Ek95gvAEuYMdmIrh/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1cZzZegtdlrIfaYbqvn7F4SiZD93DUcX1/view?usp=sharing
และ
ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/nXkMpJ2F51/
และ https://youtu.be/yQIhQzVc74M
มีซับ
สมณะฟ้าไท…วันนี้วันศุกร์ที่ 27 ตุลาคม 2566 ขึ้น 13 ค่ำเดือน 11 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ชาวอโศกจะเข้าสู่ช่วงมหาปวารณา ใครอยากเจริญขึ้นก็บอกปวารณา หาคนที่เรารับได้ดีๆ เอาคนที่พอรับได้ ช่วยให้ขุมทรัพย์ก็จะดีขึ้น
พ่อครู ได้เคยเขียนไว้ในหนังสือสรรค่าสร้างคนว่า ผู้วิจารณ์ที่ดีที่สุดคือ
-
เป็นผู้ชี้จุดเสียได้อย่างที่ดีที่สุด แม่นตรงที่สุด โดยไม่เดือดร้อนทั้งตนและคนที่ถูกชี้
-
เป็นผู้ชี้จุดดีได้อย่างถูกต้องลึกซึ้ง เข้าใจง่าย มีหลักฐานยืนยันได้
-
เป็นผู้ชี้จุดเสีย จุดดีนั้น โดยตนเป็นได้ตามที่วิจารณ์นั้นๆแล้วด้วย โดยเฉพาะเป็นได้แล้วในจุดดี และไม่มีแล้วในจุดเสีย
คุณลักษณ์ของผู้ที่เจริญไม่มีวันตกต่ำ
-
ไม่กลบเกลื่อนเมื่อถูกว่ากล่าวตักเตือน
-
นั่งฟังอย่างเปิดใจ เมื่อถูกติเตียน
-
ไม่เพ่งโทษผู้ว่ากล่าวติเตียนสั่งสอน
-
เอื้อเฟื้อต่อคำสอนและผู้สอน
-
เคารพต่อคำสอนและผู้สอน
-
อ่อนน้อมถ่อมตนอย่างดียิ่ง
-
มีความปิติยินดีต่อคำสอน ต่อคำติเตือนที่ถูกต้องดีงาม
-
ไม่ดื้อรั้น
-
ไม่ยินดีในการขัดคอ
-
มีปกติรับฟังความเห็นต่างอย่างดีเยี่ยม
-
เป็นผู้มีความอดทน
-
อุตสาหะบากบั่นพากเพียร
ใครทำได้ครบก็ถือว่าเป็นคนเจริญแน่นอน ทำได้ครึ่งหนึ่งก็เจริญเยอะแล้ว 12 ข้อครบกระบวนท่าแล้วถือว่าเป็นกระบวนท่าที่เราต้องเอามาคิด มาไตร่ตรองว่าตัวเราขาดข้อไหนบ้าง ทั้งผู้ที่วิจารณ์และผู้ที่รับคำติเตียนคำวิจารณ์ด้วย ก็จะเจริญทั้ง 2 ฝ่าย
ช่วงนี้พ่อครูจะแสดงธรรม แต่ก่อนที่จะแสดงธรรมก็มีอาการไอ แต่พ่อครูบอกว่าถ้าพระพุทธเจ้าเข้าทรงว่าจะไม่ไอ
พ่อครูว่า… ก็ทำไปสังขารจะพอได้ สังขารมันไม่ไหวแล้วก็คงจะหยุดพัก เพราะแต่ละคนในโลกนี้ ในที่สุดคนที่ขยันสุดยอดเลยนะก็ยังต้องรู้สึกว่า ตัวเองควรพัก แต่ถ้าเผื่อว่าคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองควรพัก ทั้งๆที่มันไม่ไหวแล้ว อายุก็ตาม ความเจ็บป่วยได้ไข้ก็ตาม ด้วยเหตุปัจจัยอื่นใดที่มันไม่เหมาะสมที่จะทำงานนั้นๆได้แล้ว ก็ยังฝืนทำอยู่ก็เป็นความดื้อรั้นเท่านั้นเอง ไม่มีอื่นนะ
เกิดมาเป็นคน ตอนนี้อาตมากำลังเขียนหนังสือเรื่อง คน ไม่ใช่หนังสือคนคืออะไร ทำไมสำคัญนักนะ แต่นี่เขียนเรื่องคนแล้วก็วิจารณ์รอบกว้าง ไม่ใช่เจาะเรื่องคน เข้าหาปรมัตถ์ แต่เรื่องนี้นี่กินกว้างรอบ ออกไปต่างกันคนละมุม แต่เขียนไม่ยาวหรอก นี่เขียนไปยังไม่ถึง 100 หน้า ก็คิดว่าจะไม่มากไม่มาย จะจบ
SMS วันที่ 25-26 ตุลาคม 2566
มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์
_สว่างแสง ขวัญดาว . น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ พ่อครูคะ พ่อครูหายไปหลายวันไม่ได้ออกมาเทศน์ดีแล้วค่ะ ที่พ่อครูได้พักจากการเทศน์ และลูกเชื่อว่าพ่อครูยังคงขวนขวายงานอื่นๆ อีก โดยไม่ย่อหย่อน
ลูกได้มีเวลาทบทวนเทศน์เก่าๆ ที่พ่อครูเทศน์ มีอยู่ประเด็นหนึ่ง ที่ลูกสะดุดใจมาก ตรงที่ลูกได้ฟังพ่อครูกล่าวถึง ว่ามีชาวพุทธที่ปฏิบัติผิดทาง ลูกเห็นว่าพ่อครู ได้นำคำสอนอันเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้ามาเปิดเผย ด้วย ความจริงใจที่สุด และยืนยันด้วยการเกิดผลจริง เกิดปรากฏการณ์จริงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้
เช่น เกิดวรรณะ ๙ เกิดระบบสาธารณะโภคี เป็นต้น
พ่อครูว่า… ดีนะ จับประเด็น ประเด็นอย่างนี้ประเด็นสำคัญๆ เดี๋ยวจะได้พูดถึงอีกเรื่องนี้
_นี้เป็นข้อตัดสินได้ไหมคะ ว่าคำสอนที่พ่อครูนำมาเปิดเผยเป็นธรรมะแท้ของพระพุทธเจ้า
พ่อครูว่า… คนนี้ชัดเจน มีหลักเกณฑ์ที่จะใช้พิจารณาและตัดสิน ตัดสินตามเหตุปัจจัยหลักฐานต่างๆนานา แม้แต่ศาสตร์ วิชาความรู้หลักการ เอามายืนยัน เปรียบเทียบแล้วก็ตัดสินได้
_และจะถือว่าผู้ที่ประกาศตน ว่าเป็นชาวพุทธ แต่ไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
พ่อครูว่า… อาตมาแถมให้อีกนิดหนึ่ง ว่าเขาก็ว่าเขาปฏิบัติตามคำสอนพูดช้าเหมือนกันแต่เขาตีความผิด และปฏิบัติไปผิดๆ อย่างพวกนั่งหลับตานี้เป็นต้นอันนี้ผิด 100% เขาก็ตีความว่านี่แหละหลักการใหญ่พระพุทธเจ้าพาสอนสมาธิ สร้างฌานต้องเข้าฌาน ออกฌานหลับตาอยู่อย่างนั้นแหละ ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ใช่เลย ตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้าเลย อย่างนี้เป็นต้น นี่ยกตัวอย่างชัดๆเลย อย่างอื่นไม่ต้องพูดเลย
_ตามที่พ่อครูมาเปิดเผยนี้เป็นผู้มิจฉาทิฏฐิได้ไหมคะ
พ่อครูว่า… แน่นอน ก็เป็นผู้มิจฉาทิฎฐิแน่นอน
_ลูกพูดบกพร่องอย่างไรขอพ่อครูว่ากล่าวด้วยค่ะ
พ่อครูว่า… คุณพูดถูกแล้ว
ลูกได้ไปช่วยเทศกาลเจที่ชาวบ้านราชไปจัดที่โรงแรมสุนีย์ นำโดย อาปะพรตะวัน และได้ประโยชน์มากที่สุด ที่มากกว่าความเสียสละก็คือ การได้มิตรดี สหายดีค่ะ
พ่อครูว่า… อันนี้เก่ง จับประเด็นกันได้มิตรดีสหายดี มิตรดีสหายดี พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดูเหมือนไม่สำคัญ มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ สำคัญมากนะ การที่ได้รู้สึกว่าคนนี้ถือว่าเป็นมิตรดีสหายดีแก่เรา หรืออาตมาเคยย้ำพระพุทธเจ้าตรัสว่า เรานี่แหละเป็นมิตรดีสหายดีของเธอ ซึ่งมันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่มากเลยคำว่า กัลยาณมิตโต กัลยาณสหาโย กัลยาณสัมปวังโก พระบาลีว่าไว้ แปลว่า มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ เดี๋ยวจะได้ย้ำอีกซึ่งมันเกิดจากหลักธรรมหลายประการ ผู้มีจิตวิญญาณบรรลุธรรมนั้นๆแล้ว มันจึงมาเป็นมิตรดีสหายดีกันจริงๆ ถ้าจิตไม่เป็นจริงนะ มาเป็นมันก็ไม่จริง มาเป็นมันก็ไม่สนิทเนียน ไม่เป็นเอกภาพ ไม่เป็นสามัคคียะ มันจะ
วิวาทะ นี่ หลัก 7 ประการ สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ มันจะไม่เป็น มันจะไม่ลงตัวตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าได้เลย
_เพราะความเป็นมิตรดี ไม่สามารถแลกกับเงินได้
พ่อครูว่า… แน่นอนที่สุด แลกไม่ได้
_ลูกได้ทำงานคบคุ้นกับชาวบ้านราช ลูกเห็นว่าเงินซื้อไม่ได้ เงินแม้มากเท่าไรก็ซื้อความเป็นพี่น้องไม่ได้ค่ะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูสุดเศียรเกล้าค่ะ
พ่อครูว่า…คุณสว่างแสงได้เน้นถึงคำว่า มิตรดีสหายดี มันยิ่งกว่าพี่น้อง
อาตมาได้บอกว่าจะอธิบายเรื่องนี้ เดี๋ยวอ่านของนพพล อีกคนหนึ่งที่เขาเขียนถึงวรรณะ 9
ลักษณะของคนบุญคือคนมีวรรณะ 9
_นพพล จรัสวิกรัยกุล . อาหารมังสวิรัติ คืออาหารที่เข้าวรรณะ 9 คือเป็นผู้เลี้ยงง่าย บำรุงง่าย เพราะพืชผักหาง่ายกว่าสัตว์ จับกินง่ายกว่าสัตว์ จะเห็นได้ชัดว่า ในสงครามอิสราเอลปาเลสไตน์ เด็กและผู้ที่ไม่มีอาหารกิน ก็ยังได้กินหญ้าเป็นอาหาร ยังพอประทังชีวิตได้ ถึงแม้จะไม่ยินดีนักก็ตาม จิตของคนที่ไม่เข้าถึงความรู้สึก ความเจ็บปวดยากลำบากของผู้อื่นหรือสัตว์อื่น คือคนบาป กราบนมัสการพ่อครูครับ
พ่อครูว่า…ถ้าบอกว่าคำว่า คนบาป นี้กินความแล้ว คำว่าคนบาปนี่กินความเข้าไปถึงทุกอย่าง สรุปได้ว่า ถ้าเป็นโลกุตระ ก็มีคนบุญกับคนบาป คนเกิดมาต้องทำหน้าที่บุญให้ได้ คำว่าทำหน้าที่บุญนี้ก็ลึกซึ้ง บุญไม่ใช่สสาร บุญไม่ใช่สมบัติ บุญไม่มีตกค้างอยู่ในที่ไหน บุญเป็นกรรมกิริยาที่เกิดจากจิตวิญญาณมนุษย์ที่มีภูมิปัญญาเท่านั้น แล้วมีธรรมฤทธิ์ถึงขั้นกำจัดกิเลสได้ บุญนี่
พอกำจัดกิเลสได้แล้วก็หมดเลย หายไปจากคนผู้นั้น คนๆนั้นไม่ต้องไปทำอีกอะไรอย่างนี้ นี่ก็อธิบายมามากแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งที่สุด ไม่ใช่เรื่องเดา ไม่ใช่เรื่องพูดเพ้อเจ้อ ไม่ใช่เรื่องมาค้นคิดเอาเอง ไม่ได้ อาตมาพูดให้พูดมาจากสาระสัจจะที่อาตมาได้มาจริงๆ จากพระพุทธเจ้ามาเป็นโพธิสัตว์ระดับ 7 แล้วก็จับสาระของสิ่งเหล่านี้ได้ ไม่ใช่จับเท่านั้น แต่รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง เพราะเป็นเองมาแล้ว ที่พูดนี่พูดโดยสารัตถะ ซึ่งเป็นปรมัตถสัจจะของความเป็นบุญของมันเองเลย พูดมาเป็นภาษา ขยายความให้ฟังแล้ว มันคืออะไร
เพราะฉะนั้นคนยุคนี้ชาวพุทธ โลกุตรธรรมเสื่อมหมดจริงๆ เขาจะไม่เข้าใจได้ง่ายๆหรอกคำว่า “บุญ”คืออะไร อาตมาเคยอธิบายมาแล้ว เช่น อธิบายว่า “บุญ”นี่ไม่ใช่แค่ความเป็นฌาน 1 2 แค่นั้น แต่เป็นฌานที่เป็นพลังงานชั้นพิเศษ ไปถึงขั้นฌาน 3 ฌาน 4 หรือเป็นมือสุดท้ายของฌาน 4 ก็ได้อธิบายไปแล้วใช่ไหม
“บุญ”เป็นพลังงานที่มีคุณสมบัติหรือคุณวิเศษ ไม่ใช่สมบัติด้วย เป็นคุณฤทธิ์ เป็นธรรมฤทธิ์ที่เป็นคุณฤทธิ์ ใช้ศัพท์นี้ก็แล้วกัน เป็นฤทธิ์ที่เป็นคุณ เป็นประโยชน์ ซึ่งมนุษยชาติที่ศึกษาด้วยปัญญาของโลกุตรธรรมของศาสนาพุทธนี้ได้ ทำได้แล้วผู้นั้นมีสิทธิ์เป็นอรหันต์ ที่ทำพลังงานบุญนี้สำเร็จผล แล้วทำให้กิเลสเราลดได้จริง พอถึงขั้นบุญนี้ประหารคอขาดนะ เคยอธิบายไปแล้วใช่ไหม ถึงขั้นบุญนี่กิเลสถูกประหารคอขาด คนนี้ก็มีสิทธิ์ที่จะได้เป็นพระอรหันต์แน่นอน นี่เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าที่ยิ่งใหญ่
เพราะฉะนั้นคนที่จะมารวมกัน จนเกิดสังคมสาธารณโภคีในวรรณะ 9 ที่ไล่เรียงออกมา แค่เป็นคนเลี้ยงง่าย บำรุงง่าย แล้วไม่ได้ต่อไปอีก 7 ตัว
เลี้ยงง่าย บำรุงง่าย แล้วมักน้อยหรือกล้าจน ใจพอหรือสันโดษ ขัดเกลา สัลเลขะ ขัดเกลากาย วาจา ใจ ตนเอง
“ธูตะ” ข้อปฏิบัติมีหลักเกณฑ์ปฏิบัติ ที่ทำให้เจริญสูง ไปเป็นขั้นเป็นตอน ธูตะ หรือธุดงค์ ธุตังคะ
“ปาสาทิกะ” แล้วก็จะเกิดอาการที่น่าเลื่อมใส ผู้ที่มีดวงตา ผู้ที่มีภูมิปัญญา สัมผัสคนเช่นนี้แล้ว คนที่มีมรรคผลมา เลี้ยงง่าย บำรุงง่ายเป็นคนกล้าจน ใจพอ สันโดษมานี่ หรือว่าขัดเกลาตัวเองมาจนได้ผลจริงๆเลย ตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าคือ “ธูตะ” ขัดเกลาที่ให้ทำลายกิเลสเจริญขึ้นเจริญขึ้น จนมีผล มีอาการที่น่าเลื่อมใส
ผลจบ 2 ข้อสุดท้าย เป็นคนไม่สะสม เป็นคนไม่สะสมนี้แหละจึงเป็นพลเมืองของกลุ่มสาธารณโภคี พลเมืองของชุมชนสังคมสาธารณโภคี คือพลเมืองที่ไม่สะสม นอกจากไม่สะสมแล้วยังสะสางอีก นี่ผ่านการสะสางมาจนกระทั่ง บางทีจะเอาหนังสือที่อาตมาใช้ประจำและมีลายเซ็นของผู้ที่ให้มา เอาออกไปซะอีก เผลอไม่ได้ เพราะมันมี 3 เล่มซ้อนไว้ตรงโน้น จะเอาเล่มสำคัญไว้ก็ไม่ได้ จะเอาเล่มสำคัญออกไปซะด้วยเล่มอื่นๆไม่เอา ไม่ฉลาดเลย สะสางเสียเกินขีดหน่อย สะสาง ไม่ใช่ไม่ดี ไม่สะสม แล้วยังแถม วิริยารัมภะ
อปจยะ วิริยารัมภะ เป็นสุดยอดแห่งมนุษย์แล้วในโลก หมดความขี้เกียจ เป็นคนที่ยอดขยัน ขยันอยู่เสมอ ท่านเรียกว่า ปรารภความเพียร แปลคำสวยๆว่า ปรารภความเพียร สุดยอดขยัน แล้วขยันอย่างรู้จักพักรู้จักเพียรด้วย มีปัญญา แล้วไม่สะสม พิสูจน์ในสังคมสาธารณโภคี เป็นคนที่ไม่สะสม ขยัน สร้างสรร สร้างสรรแล้วไม่ได้ยึดเป็นเราเป็นของเรา ไม่ได้เป็นของตนอะไร สร้างสรรแล้ว ให้กองกลางร่วมกินร่วมใช้
อันนี้เป็นสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์จริงๆ ที่เกิดได้เป็นได้ อย่างชาวพวกเราชาวอโศก ปฏิบัติได้ จริงไหม …จริง โอ้โห.. จริงค่ะ แสดงถึงความมั่นใจ หนักแน่น เห็นจริง ซาบซึ้งเลยนะ สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุล เห็นมั้ย มันมั่นใจและมันเห็นดีเห็นงาม แล้วก็ภาคภูมิใจในตัวเลย จริงด้วยที่มีผลสำเร็จ มีผลสำเร็จที่เป็นมนุษย์อาริยะเป็นมนุษย์เจริญ เป็นอริยกะชนไม่ใช่ มิลักขชน อย่าง ปาเลสไตน์หรืออิสราเอลของเขา พวก มิลักขชน แค่ฆ่าสัตว์ แล้วไม่ใช่แค่สัตว์ด้วย ฆ่ามนุษย์ ไม่รู้สึกรู้สาเลย ฆ่ากันเป็นเบือ ไม่รู้จะอะไรกันนักกันหนา ญาติพี่น้องตระกูลเดียวกับเอง น่าสังเวชใจจริงๆ
ความลึกซึ้งพวกนี้อาตมายิ่งมองเห็นแล้ว ประเทศในโลกที่คนไม่มีภูมิปัญญาเข้าใจ ไปมองประเทศที่มันเสื่อมมากๆ ในทิศทางเห็นแก่ตัว แล้วรุนแรงกับผู้อื่น แค่ 2 ประเด็นนี้ แล้วเขาหลงมองว่าเป็นประเทศเจริญ เขามองเห็นว่าประเทศที่เห็นแก่ตัวแล้วรังแกผู้อื่นเอาชนะผู้อื่นด้วยการรังแก เอาชนะผู้อื่นด้วยการเห็นแก่ตัวได้สำเร็จ แล้วไปยกย่องว่า เป็นคนเจริญเป็นอริยประเทศ นั่นแหละคือประเทศที่พัฒนาแล้ว เจริญแล้ว
ส่วนประเทศที่ไม่ไปรังแกใคร ไม่มีตัวตนถึงขั้นนั้นด้วย กลับมองไม่ออกว่านี่คืออาริยะแท้ๆ เห็นไหมว่าโลกุตรธรรมนี่มันทวนกระแส มันคนละทิศทางที่มนุษย์สามัญจะเข้าใจได้ว่า ที่เป็นอาริยะจริงๆมันคืออย่างนี้หรือ
สรุปชัดๆก็คืออย่างชาวอโศกนี่เป็นมนุษย์อาริยะจริงๆ โอ้โห! เห็นไหม..คนเรามันเข้าใจไม่ได้ มันเกิดถึงขั้นนั้น
เพราะฉะนั้นกว่าจะเข้าใจได้ว่า เกิดมาเป็นมนุษย์นี่ จะเป็นคนเจริญได้จริงๆมันไม่ง่าย ประเทศไทยมีคนที่ชัดเจนในเรื่องนี้ ชัดเจนว่าคนเจริญจริงๆคืออย่างไร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านตรัสชัดแล้ว นี่ลูกพระพุทธเจ้า= ในหลวงรัชกาลที่ 9 ลูกพระพุทธเจ้า เขาเรียกว่าโอรสพระพุทธเจ้าที่แท้จริง
ก็ได้ออกมาทรงงานไป เพื่อสืบทอดความเป็นอาริยะในโลก เป็นรูปธรรม คนสัมผัสได้เห็นได้ แม้แต่คนในเทวนิยม คนต่างประเทศก็ยอมรับ ก็สัมผัสได้เห็นได้
อีกคนหนึ่งคนนี้ต้องเรียกว่าลูกพระพุทธเจ้า เรียกโอรสไม่ได้คือโพธิรักษ์ ลูกพระพุทธเจ้าอีกคนหนึ่ง มาทำทางนามธรรม มาเอาทางนามธรรมของธรรมะพระพุทธเจ้ามาเปิดเผย มาแสดง มาอธิบาย มาขยายความ คนก็ยังเข้าใจยาก ยังไม่รู้ถึงคุณค่าด้วย มีคนตาดี มีคนมีภูมิปัญญา มีดวงตาแห่งธรรม จึงมองออกแล้วก็เห็นได้ แล้วก็เอาไปปฏิบัติตามมีมรรค มีผล ก็มีผลสำเร็จอยู่ ไม่ได้ไม่มีผลประโยชน์ แต่ก็ได้ผลแล้ว มีผลสำเร็จ ไม่สูญเปล่า
แต่ได้ขนาดนี้อาตมาก็ภูมิใจ ก็พูดหลายทีแล้ว แม้ได้แค่นี้ก็ภูมิใจแล้ว เห็นคำตรัสพระพุทธเจ้าที่บอกว่า โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้านั้น คัมภีรา (ลึกซึ้งจริงจริง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)
สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่)คำนี้เราชินหูกับคำว่า “สันติ สันตา”ก็คือรากเหง้าของสันติ เป็นความสงบชนิดที่เรียกว่า สันตา หรือสันติ สงบแบบพิเศษ สงบอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย สงบอยู่อย่างช่วยคนอื่นเขา ได้เลย เป็นความสงบอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งต่างจากความสงบที่คนยังไม่มีภูมิปัญญาเป็นโลกียภูมิ ก็เข้าใจความสงบได้แบบนั้น แต่ความสงบอีก 1 อย่างในปัญญาข้อที่ 3 นี่แหละ “สันตา” ความสงบอีกอย่างหนึ่งเป็นโลกุตระ เป็นความสงบท่ามกลางความวุ่นวายแล้วก็ช่วยเขา โดยตัวเองไม่มีผลสะดุ้งสะเทือนอะไร สบาย อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ อยู่อย่างเป็นคนมีประโยชน์อย่างนี้จริงๆเลย อยู่อย่างสบายอย่างนี้จริงๆเลย สันตา เพราะมันเป็นเรื่องปณีตา
ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น) แล้วการสุขุมประณีตละเอียดมันเรียกว่าราบลุ่มเรียบราบอย่างไม่มีอะไรสะดุดขรุขระเลยอย่างน่าอัศจรรย์ ปานฝั่งทะเลที่มีฝั่งทรายถูกน้ำทะเลซัดราบเรียบ น้ำซัดมาอีกทีก็เรียบอีกทีก็เรียบ เข้าที่ยังดีขึ้นไปเรื่อยๆ เม็ดทรายถูกน้ำซัดมันจะเรียงเข้าไป แทรกตัวเข้าไป แน่นเข้าแน่นเข้าแน่นเข้า เรียงละเอียดเข้าไปอย่างนั้น ปณีตา
อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) เกินกว่าที่จะคิดขบคิดเดาไม่ได้ เป็นสัจจะที่เป็นอจินไตยเดาเอาไม่ได้ ปฏิบัติไปจะได้ไปตามบารมี มีบารมีสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ก็จะรู้ได้ไปตามลำดับ นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน) เพราะฉะนั้นจึงเป็นบัณฑิตจริง บัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 34)
ผู้ที่เป็นบัณฑิตแท้ๆไม่ใช่เป็นบัณฑิตที่สอบวัดจากมหาวิทยาลัยที่เรียกว่า บัณฑิต หรือว่าเป็นบัณฑิตที่ตั้งกันโก้เก๋เฉยๆไม่ใช่ แต่ผู้ที่เป็นบัณฑิตจริงนี้เป็นด้วยตัวท่านเองที่เป็นด้วยปัญญาที่มีความรู้นั้นๆในตัวท่านเอง เป็นบัณฑิต เป็นสัตบุรุษ เป็นอริยบุคคลที่แท้จริง เป็นผู้เป็นบัณฑิตที่แท้จริง
เพราะฉะนั้นผู้นั้นจึงจะรู้ในตัวเองหรือผู้ที่มีดวงตา มีภูมิปัญญาที่จะสัมผัสได้เองรู้ได้เอง สัมผัสแล้วจะรู้ว่าคนนี้เป็นบัณฑิต คนนี้เป็นปราชญ์ คนนี้เป็นผู้รู้ที่แท้จริง จะเข้าใจอย่างนั้นเลย
ทีนี้ ย้อนมาถึงเศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียงนี้ ในหลวงใช้ภาษาคำนี้ ซึ่งเป็นภาษาที่อนุโลมกับภูมิปัญญามนุษย์ ภูมิปัญญาของประชาชน ท่านใช้คำว่าพอเพียง
จริงๆแล้วแปลมาจากรากศัพท์ คำว่า สันโดษ หรือ สันตุฏฐิ หรือสันโตสะ มันหมายถึง ความพอ ใจพอ ใจมันมีความพอ เพียงนี้ แค่นี้พอ อาตมาเคยขยายความให้ฟัง เช่น เราเองเราไม่มีภูมิปัญญาในเรื่องสันโดษ กินทุกอย่างที่ขวางหน้า เคยเป็นมาแล้วบ้างหรือยัง อาตมาว่าถ้วนหน้า แม้แต่อาตมาก็เคยมาแล้ว กินทุกอย่างที่ขวางหน้า ยังไม่เคยมีภูมิปัญญาเลย ไม่มีความสำนึก ไม่มีความรู้เลยแม้แต่เพียงแค่นี้
พอมีปัญญาเห็นแล้ว เห็นแล้วว่าอย่างนี้ไม่ควร
-
ไม่ควรเพิ่มปริมาณ เรากินแค่นี้พอ
-
กินอย่างมีปัญญารู้จักคุณภาพ ว่าควรกิน อย่างนี้ไม่ควรกินไม่เอาแล้ว แต่ก่อนเราเคยกินอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ว่าจะคำนึงถึงสุขภาพหรือว่าคำนึงถึงบุญบาป คำนึงถึงกรรมวิบากอะไรก็แล้วแต่ ไม่คิดไม่รู้กินแหลก ทุกอย่างที่ขวางหน้า