661104 ครบรอบ 53 ปี โพธิกิจ พ่อครูเทศนาภาคค่ำ งานมหาปวารณา ครั้งที่ 41
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1XNl38siigdOyKLsdJF_n9KEQhtMdT1jN/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1eKyMtfLA16FH3h01vkcQIqFGZWhVJyhk/view?usp=sharing
และ
ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/o5TMMRn-vY/
และ https://youtu.be/iDfBYy0OZF8
มีซับ
ความหมายของคำว่า ปวารณา
พ่อครูว่า…เจริญธรรมทุกคน วันนี้วันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2566 แรม 6 ค่ำเดือน 11 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
วันนี้วันมหาปวารณาวันที่ 2 แล้ว มหาปวารณาครั้งนี้ ครั้งที่ 41 ปีหนึ่งก็ทำครั้งหนึ่ง บางปีก็ไม่ได้ทำ ก็เลยได้ 41 ครั้ง ที่เราได้มีงานรวมกันมา ทั้งชุมนุมกันชาวอโศกเราทั่วประเทศ และก็มีสมณะมีสิกขมาตุทั้งหมดด้วย มารวมกัน ชุมนุมกัน มางานมหาปวารณาสักทีหนึ่ง
คำว่า “ปวารณา” ก็คือคำที่ ท่านหมายความให้ว่ากล่าวตักเตือน หรือถึงขั้นด่าว่า ทักท้วง ตำหนิ ติเตียน กันได้ ใครก็ตาม ทุกคน อย่ามีตัวตน อย่ายึดถือตัวถือตน ไม่แคร์ใคร ใครจะใหญ่กว่าข้าไม่ได้ ข้าใหญ่ที่สุด ใครแตะไม่ได้ ใครตำหนิไม่ได้ ใครว่าไม่ได้ สะกิดนิดสะกิดหน่อยก็ไม่ได้ อะไรอย่างนี้เป็นต้น มันก็ยิ่งไปกันใหญ่
คนที่ทนต่อคำว่ากล่าว ตำหนิติเตียน ยิ่งเป็นความจริง คือตำหนิติเตียน ถูกต้อง ตำหนิถูก ไม่ใช่ตำหนิผิด ตำหนิสิ่งที่ตำหนิ เรื่องที่ตำหนินั้น เป็นการตำหนิเพราะมันไม่ควร ไม่ดี ไม่งาม ไม่ถูกต้อง ควรแก้ไขควรปรับปรุง นี่แหละถือว่าเป็นขุมทรัพย์ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเป็นขุมทรัพย์ เป็นขุมทรัพย์อันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติที่จะเจริญ
ผู้ที่ได้รับการติติงนั้นเป็นคนที่มีกุศล ที่มีคนปรารถนาดี การจะไปตำหนิติเตียนคนอื่นด้วยอารมณ์ ด้วยกิเลส ยิ่งตำหนิติเตียนชนิดที่ด่าสาดเสียเทเสีย ไปกดคนอื่นไปเฉยๆ คนนี้เลวได้แต่โทษ ไม่ได้ประโยชน์คนอื่น ไม่ได้ประโยชน์คุณค่าอะไรเลย ไม่มีอะไรเลยสูญเปล่า ตัวเองเสียอย่างเดียว อารมณ์โกรธ อารมณ์ที่มันไม่ดีเป็นกิเลสโกรธ ครอบงำเอาเสียแล้ว ก็เลวได้เต็มที่ นั่นเป็นจุดเสียของการตำหนิ คือการตำหนิด้วยอารมณ์ ตำหนิด้วยกิเลส ตำหนิไม่ถูกต้องตำหนิบ้าๆบอๆ มีอย่างนี้มีกัน
ในพวกชาวอโศกเรานี่อาตมาเห็นว่า ประเสริฐแล้ว ไม่มีแล้ว ความคิดเช่นนั้น ความเป็นเช่นนั้น ลดละหน่ายคลายไม่อยู่ในตัวเรา ก็ประเสริฐแล้ว ดีแล้ว ก็มีเหลือแต่ตำหนิด้วยเมตตา ตำหนิด้วยปัญญา ตำหนิช่วยกันอย่างแท้จริง อันนี้พากันเจริญ
เดี๋ยวจะเข้าสู่เรื่องราวสำหรับวันนี้ อาตมางานมหาปวารณาเขาทำโปรแกรมให้เทศน์อยู่ 2 คาบ วันนี้คาบหนึ่งและวันอังคารเย็นวันที่ 7 ถ้าเป็นเมื่อก่อนแล้วเทศน์ทุกวัน ในงานมหาปวารณา 7 วันเทศน์ทุกวัน เดี๋ยวนี้นี่มันไม่ใช่แล้ว ไม่ยอมรับก็ไม่ได้ ไม่ยอมรับความจริงก็ไม่ได้ว่ามันเสื่อม สังขารมันเสื่อม พระพุทธเจ้าตรัสชัดเจนในวันปรินิพพานของท่าน ก่อนจะปรินิพพานว่า สมณะทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลาย ทุกอย่าง สังขารทั้งหลายเสื่อมไปเป็นธรรมดา จงยังประโยชน์ตนประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด
การตำหนิคือการเพิ่มผงชูรสให้เรายิ่งต้องพิสูจน์ความจริง
มีโยมเขียนกลอนสี่สุภาพมา แต่งล้อตามเพลงผู้ครองรัก
โคลง บทนี้ แต่งล้อ ตามเพลง ผู้ครองรัก ของพ่อครู ครับ
ขอรักเขา ชั่วฟ้า ดินสลาย
ยืนยั่งปานฉานฉาย เมฆฟ้า
สูงลอยฟ่องเพริศพราย นภาฟาก สง่าเอย
ครองมั่นประทับทรวงข้า เด่นห้วงราตรี ฯ
ทวีรักเขา เช่นผู้ ยิ้มเย็น
ขอรักเช่นผู้เป็น ทาสแพ้
ซื่อตรงยิ่งแม้ลำเค็ญ ต้องถูก โบยเอย
จักไม่หลีกลี้แล้ มอบไว้ร่างพลี ฯ
ไม่ปราณีแม้ชีพ ป่นไป
ปวดเบียดเบียนกายใจ นบสู้
บาปที่สาปเกินไกล ฝืนอด ทนเอย
โถมภักดิ์รักแม้รู้ ชอกช้ำฤดีแด ฯ
แท้ซื่อรักเบิ่งเฝ้า แม้ระกำ
ไม่รักเราดั่งคำ อีกแล้ว
อุตส่าห์ประพฤติธรรม คุณค่า เคียงเอย
เศร้าโศกครองไม่แคล้ว เชิดไว้รักชู ฯ
บูชารักหมดห้วง ดวงฤทัย
บาปบ่งสาปสิงใจ แนบเจ้า
ไผเผลอละเมอไป เป็นเปล่า แน่เอย
จักเชิดชูรักเฝ้า ชอกแม้ระกำทรวง ฯ
ดวงแดโพธิสัตว์แท้ แพ้ยอม
อยู่อย่างเย็นรอมชอม โลกไว้
ให้หล้าสงบไปตรอม ตรมต่ำ ช้าเอย
แต่ชนะกิเลสได้ สะเด็ดสิ้นยินดี ฯ
จึ่งพลีรักเทิดไว้ บูชา
โพธิญาณพุทธา- ภิเษกเกล้า
เมตตากรุณาพา เจริญจิต จรัสเอย
อีกอุเบกขาพ้นเศร้า ใฝ่เฝ้ามุทิตา ฯ
ถักธรรม
พ่อครูว่า… อาตมาเจอมาแล้ว ใช้สำนวนโลกๆว่าเป็นเหมือนเพิ่มผงชูรสให้เรายิ่งต้องพิสูจน์ความจริง แม้เราจะแพ้แต่เราไม่ได้เป็นผู้ผิด ทำให้เป็นกระจกเงาซ้อนไปอีกว่า ผู้ผิดที่มาจัดการกับเรานั่นต่างหาก ที่ควรจะดูตัว ควรจะเห็นตัวเอง ควรจะรู้ตัวเอง ควรจะจัดการกับตัวเอง ไม่ใช่มาเล่นงานเรา ทำผิดนะ อันนี้อาตมาเป็นจริงเลยในชีวิตชาตินี้ในเรื่องนี้
เพราะฉะนั้นคนที่ไม่รู้แล้วก็มา จะเรียกว่าอะไร มันไม่ใช่แค่ตำหนิ อาตมาไม่ใช่แค่ถูกตำหนิ ถูกปราบปรามเลย ถูกจัดการเลย เพราะฉะนั้นยิ่งมาทำถึงขั้นจัดการปราบปรามเลย น้ำหนักของกรรมวิบาก มันจะมากขนาดไหน นี่เป็นสัจจะ ไม่ใช่ไปขู่ อาตมาว่าไม่ได้ไปขู่ ไปข่ม ไปว่าให้ท่านกลัวหรือใครกลัวก็แล้วแต่ ไม่ใช่ นี่คืออธิบายสัจจะความจริงเป็นเช่นนั้น
อยู่อย่างเย็น ถึงแม้ว่าจะถูกทำให้แพ้ ถูกตำหนิ ถูกข่มอย่างไรก็แล้วแต่ ก็อยู่อย่างเย็น รอมชอม เพื่อให้โลกสงบเย็น ถ้าไปทำให้มันไม่ได้สงบ ประเดี๋ยวมันก็จะไปสู่สิ่งที่ไม่ดีไม่งามตรอมตรมต่ำช้า
อย่างเรื่องกิเลสมาทำให้เราหลงผิดไป..ไม่มี ทำให้เราพลาดพลั้งหลงผิด ไปทำผิด ไปทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ก็เป็นผู้ที่สงบเรียบร้อย ไม่สะดุ้งสะเทือน ไม่โต้ตอบในสิ่งที่ไม่ควรโต้ตอบไปเลย สงบ เย็นสบาย ไม่เกิดสิ่งที่ต้องไปทำให้เดือดร้อนวุ่นวายต่ำช้าอะไร ชนะกิเลสได้สะเด็ดสิ้นไปเลย
ถ้าจะอธิบายสลับซับซ้อนหลายชั้น พลีรักไว้เทิดบูชา มันเป็นสุดยอด ซับซ้อน แม้แต่ที่สุดจะเป็นความรักโลกีย์หนุ่มสาวผู้หญิงผู้ชายก็ตาม เป็นความรักที่อาตมาจัดอยู่ในชนิดที่ 1 ต่ำที่สุดแล้วก็ตาม มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ในโลกมี ถ้าเป็นความรักที่ดีบริสุทธิ์ ก็รักทางกามนี่แหละ รักทางที่จะต้องต่อเผ่าต่อพันธุ์ของมนุษย์โลกก็จะต้องมีกาม ก็จะต้องสืบพันธุ์ แค่นี้ก็ตาม ถ้าเป็นความรักที่ดีต่อกัน แล้วก็ทำหน้าที่ตัวเองในมนุษย์ชาติ ในสัตว์โลก ต่อเผ่าต่อพันธุ์มีลูกมีเต้าก็อบรมเลี้ยงดูให้ดี เป็นพลเมืองดีไปให้แก่ประเทศชาติ มันก็ประเสริฐระดับที่ 1
จะพลีรักเทิดไว้บูชา โพธิญาณก็คือความรู้ทางโลกุตระ งานพุทธาภิเษกก็เป็นการให้ความรู้ เป็นการสร้าง อภิเษก สร้าง แต่ในงานนี้เป็นงานมหาปวารณา จะไปเอางานพุทธาภิเษก งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธมาเสริมด้วย ก็เป็นงานชุมนุมของชาวอโศก งานมาเสริมเติมในเรื่องของธรรมะทั้งนั้นทุกงาน
ก็คำนึงถึงเรื่องโคลงกลอน เนื้อหามันก็เลยไม่ต่อกันเท่าไหร่ ก็ไม่เป็นไร แต่เป็นเนื้อแท้ๆเนื้อของสัจจะธรรมะ ภาษาธรรมะ ถึงใช้ไม่ได้ก็ต้องใช้ มันมีคุณมีความหมายถูกต้องดี ก็โคลงกลอนใช้ได้นะ ที่จริง มันดูสะดุดนิดๆหน่อยๆเท่านั้นเอง พากเพียรเข้าถ้าอยากเป็นกวี
ครบรอบ 53 ปี โพธิกิจ งานมหาปวารณาครั้งที่ 41
นี่ก็กวี ครบรอบ 53 ปีโพธิกิจ ของอโศกสัมปวังโก
ในยุคกึ่ง พุทธกัป อัปมรรคผล พุทธชน ช่างออก นอกวิถี
หมู่มิจฉา อาสัตย์ อลัชชี เดียรถีย์ อาธรรม นำสังคม
(พ่อครูว่า..แม้แต่ผู้มีหน้าที่ดูแลสั่งสอนก็ตาม ก็ออกนอกวิถี ผิดพลาดมิจฉาทิฏฐิไปจากธรรมะของพระพุทธเจ้า)
_สิ้นสามัญ- ญผล ทางพ้นทุกข์ ซ้ำหลงสุข ลวงไซร้ ใฝ่เสพสม
ฌานโลกีย์ ลวงจิต ให้ติดจม ทุนนิยม ครอบงำ สัมปทาน
พ่อครูว่า… อันนี้ก็น่าเห็นใจเพราะฌานโลกุตระ ฌานวิสัยของศาสนาพุทธนั้นเป็นอจินไตย เป็นเรื่องไม่ใช่ง่ายๆ อาตมาก็พยายามจะอธิบายให้เข้าใจ อาตมาก็ไม่เก่งกว่านี้ ก็พยายามอยู่ที่จะให้เข้าใจ แต่ก็ฟื้นได้ อาตมากล้าพูดแม้ชาวอโศกเราจะเข้าใจฌานของพระพุทธเจ้าอาตมาก็กล้าพูดได้ว่า ยังไม่ดีพอหรอก ยังรู้จักฌานของพระพุทธเจ้า ฌานวิสัย เป็นลักษณะของฌานพระพุทธเจ้าบริบูรณ์เต็มๆถูกต้อง
เช่น ไม่ได้จากการหลับตา หลับตาไม่เป็นฌาน ไม่ได้สร้างฌานให้ศาสนาพุทธเลย หลับตาเป็นฌานของเดียรถีย์ทุกอัน ไม่ว่าคุณจะไปตีขลุมเอาว่า คุณหลับตาทำฌานเสร็จแล้วคุณก็พิจารณาธรรมะหรือคุณเตวิชโชได้ ในขณะคุณนั่งหลับตาทำเตวิชโชพิจารณาธรรมะได้ แต่มันก็ไม่ใช่วิธีการปฏิบัติ เพื่อให้เกิดฌานที่เป็นเหตุ มันไม่ใช่ เพราะการจะให้เกิดฌานของพุทธนั้น ต้องลืมตาต้องมีศีล มี อปัณณกปฏิปทา 3 เกิดสัทธรรม 7 และเป็นฌาน 1 2 3 4 เจริญไปได้ตามลำดับ
ฌาน 1 ก็เริ่มได้ ฌานที่ 2 ก็เจริญยิ่งขึ้น ฌาน 3 เจริญยิ่งขึ้นฌานที่ 4 เจริญยิ่งขึ้น และก็มีความรู้มีวิชชา 8 มีวิปัสสนาญาณ 8 ที่เป็นตัวสร้างความรู้ให้แก่ผู้ปฏิบัติ เอาไว้ค่อยๆอธิบายเรื่องนี้อีกเพราะว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ ตั้งแต่เรื่องที่อาตมาหยิบมาอธิบายในศาสนาพุทธที่มันเสื่อมแล้วมันผิด เพราะผิดแล้วมันไม่ได้อะไร ตั้งแต่เรื่องคำว่ากาย คำต้นเลยกายมิจฉาทิฏฐิคำแรก หมด เริ่มต้นเดินทางผิดเลย จะปฏิบัติให้ตายอย่างไรก็ไม่มีวันบรรลุธรรมพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น กาย คำแรกจึงเป็นคำต้น ที่ต้องสัมมาทิฏฐิให้ได้ว่าในสังโยชน์ข้อที่ 1 เลย เสร็จแล้วก็ไปพิจารณาปฏิบัติในสติปัฏฐาน 4 กายในกาย ปฏิบัติไปนั่นแหละ แล้วก็ปฏิบัติ เป็นต้นทางแห่งการปฏิบัติ คือต้องเรียนรู้ปฏิบัติทุกกาย ที่คุณมีกายปฏิบัติกาย มีกายนอกกายใน กายต้องมีนอกใน ข้างนอกอย่างเดียวไม่มีใจร่วมด้วย ผิดมิจฉาทิฏฐิ ใจอย่างเดียวไม่มีข้างนอก มิจฉาทิฏฐิ ก็พูดไม่รู้กี่ที่แล้วไม่ง่ายนะแค่นี้
กายต้องมี 2 เสมอ นอกใน ขาดไม่ได้ ขาดอันใดอันหนึ่งไม่ได้ คำว่ากาย นี่คือสัมมาทิฏฐิที่สำคัญ
เพราะฉะนั้นผู้ที่ไปนั่งหลับตาไม่มีกายข้างนอก ก็เข้าป่าไปแล้ว เลอะเทอะไปเลย ออกนอกรีตนอกทางเดียรถีย์ไปหมด พูดขนาดนี้แล้วยังเต็มอยู่เลยในวงการศาสนาพุทธ ท่านจะฟังอาตมาบ้างไหม แล้วเอาไปพิจารณาไตร่ตรอง อาตมาไม่ได้ลงโทษไม่ได้ด่าไม่ได้ว่าหรือจะบอกว่าไม่ได้ตำหนิก็ไม่ได้ตำหนินะ แต่บอกสิ่งผิดให้รู้ตัว ท่านเป็นเช่นนี้ไหม ถ้าท่านไม่ได้เป็นอย่างที่อาตมาว่า ท่านไม่ได้ไปยึดอย่างที่ว่าเอาการหลับตาเป็นการปฏิบัติ ท่านเข้าใจปฏิบัติฌานของศาสนาพุทธต้องมีศีล อปัณณกปฏิปทา 3 มีสัทธรรม 7 และสัทธรรม 7 ไม่ใช่เข้าใจได้ง่ายๆ
เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าไม่เกิดตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า ตาม พระอนุสาสนี แล้วมันจะไปถูกยังไง เอาสิก็ดันทุรังไป ไม่ถูกก็ไม่ฟังล่ะ โพธิรักษ์เป็นใคร อะไรจะเอาอะไรมา ทำให้เชื่อถือก็ช่วยไม่ได้นะ เขาไม่เชื่อ เขาไม่ได้ยอมรับอะไรเลย ไม่มีปรโตโฆษะเลย ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ได้แต่สงสารกันเท่านั้นเอง
อาตมาก็ไม่ได้สมน้ำหน้าหรอก อาตมาสงสาร ไม่มีนะจิตที่จะไปสมน้ำหน้าอะไรอย่างนี้ ไม่ ขออภัยเถอะ อาตมาเคยพูดคำว่าสมน้ำหน้าอยู่บ้าง แต่พูดว่าใครหนอ จำไม่ได้ เคยพูดกับพวกเราแต่ไม่ได้พูดกับคนข้างนอก
_สู่แดนธรรม… ถ้าพวกเรานี้ไม่แปลกครับ หลายคนที่ผมเคยได้ยิน
พ่อครูว่า… ใช่ ไม่แปลกให้พวกเรา เป็นคำกระแทกให้กระเทือนให้เข้าใจ แต่ข้างนอกนี่ดูเหมือนไม่ได้ว่าใคร อ้าวต่อ เดี๋ยวจะไม่จบ
ทุนนิยมเป็นภาษาใหญ่อาตมาก็ใช้เป็นคำคู่กับบุญนิยม ทุนนิยมไม่รู้ใครเป็นคนตั้ง แล้วเขาก็รู้แล้วว่าหมายถึงอะไรทุนนิยมก็เป็นภาษาองค์รวมมีความหมายถึง สภาพไหน อะไรอย่างไร เขาก็รู้กันหมด เป็นคำนิยามของทุนนิยม นิยามลักษณะนั้น ยึดกันเลยครอบงำกันไป ยึดเป็นสัมปทานไปเลย
_จึงนั่งคู้- บัลลังก์ คลั่งดับจิต จึงเสพติด ภวังค์ ช่างวิตถาร
จึงคลั่งบ้า อาถรรพ์ อันธการ จนเป็นมาร ศาสนา ค้าเครื่องราง
พ่อครูว่า…ใช้คำว่าคลั่งใส่เข้าไปเลย ให้รู้ถึงความแรง คลั่งอะไร คลั่งดับจิต เข้าใจคำว่าดับจิต ดับจิตคือดับจิตไม่ให้รับรู้แต่ไม่ได้ดับกิเลสให้จิตหมดหน้าที่ ให้จิตไม่ทำงาน จิตมันก็หยุด ก็ดับจิตดับสัญญา ดับเวทนา ดับเจตสิกของมันต่างๆ ให้ไม่คิดไม่นึกไม่ทำอะไร บื้อ นี่แหละมันไร้สาระ ไร้ประโยชน์จริงๆ ออกนอกศาสนาพุทธ แล้วก็ไม่ใช่ง่ายเหมือนกันนะ ทำให้มันดับได้นานๆ โอ้โห มีสำนักที่ร่ำรวยเพราะสอนสมาธิสมถะ สมาธิแบบสำนัก มีเยอะเลย คนตะวันตกคนทางที่ยังไม่เข้าใจศาสนาดีนัก มันวุ่นวายฟุ้งซ่านแบบโลกีย์ แบบทุนนิยม พอมาให้พักดับจิตนี่ โอ้โหสบาย ติดใจชอบใจ โอ้โห ร่ำรวยกันใหญ่ มีเท่าไหร่ทำทานบริจาคช่วย อู้ฟู่ๆๆ เลย สำนักแต่ละสำนัก ได้รับทั้งชื่อเสียง ได้รับทั้งเงินทอง ได้รับทั้งบริวารเยอะ มีมากมายสำนัก เดี๋ยวนี้ก็ยังเยอะอยู่ นี่เราไม่ได้มีเลย ชาวอโศกเราไม่ได้ทำสำนักแบบนี้เลย
เอาภาษาแต่ละคำมาต่อได้เนื้อความ เสพติดภวังค์ก็คืออยู่ในภพภวังค์ของจิตไม่ได้ออกมาข้างนอกไม่มีกาย ก็ไปเสพไปติดฌานหลับตาฌานในภวังค์ เป็นเรื่องวิตถาร คำว่า “ช่าง”คำนี้หมายความว่า คุณมากมายเป็นในเรื่องนั้น ช่างเป็นอย่างนี้ประจำเลย ทำไมช่างทำอย่างนี้จังเลย หมายความว่าสิ่งนั้นมากมายอะไรมากมาย วิตถาร ช่างวิตถาร ก็เลยกลายเป็นวิตถารหนักหนาสาหัสไปเรื่อยๆ
คลั่งคือมันไม่ดี มันปั่นป่วน มันเป็นอาถรรพ์ มันไม่ใช่เรื่องเจริญ ไม่เข้าท่า มากมายในความมืดมน จนเป็นมารศาสนาค้าเครื่องราง
อาตมาก็คิดตอนนี้มีในสังคม คุณเปลว สีเงิน กำลังโปรโมทเรื่องสร้างหลวงพ่อทวดองค์ใหญ่ อาตมาก็นึกไม่ออกว่าจะมีคนสร้างหลวงพ่อทวดองค์เล็กไหม ไม่ได้ดูอาตมาไม่รู้ นึกไม่ออกว่าเขาจะมีสร้างองค์เล็กไหม ถ้าพวกที่มีไหวพริบในการจะแสวงประโยชน์คงมี คงแอบสร้าง แล้วก็เอามาจำหน่ายกันในงานนี้ รวยเละเลย
ขออภัยเถอะขอพูดอย่างตรงๆเลย พระเครื่องนี่คืออุปาทานธรรมด๊าธรรมดา อุปาทานมีผลไหม มี เช่น คุณเล่นไสยศาสตร์ มีอุปาทาน หนังเหนียว คุณเหนียวจริงๆ ลุยไฟได้ไม่ร้อน คุณลุยไฟได้ไม่ร้อนจริงๆ อย่างนี้ เป็นต้น แล้วมีอีกมากกว่านี้ อุปาทานนี้ ทำให้เกิดเหมือนอิทธิฤทธิ์ อิทธิเดชอะไร ไม่ใช่เหมือนหรอก เขาเรียกว่าเป็นอิทธิฤทธิ์และเป็นจริงด้วยนะ ซึ่งมันเป็นเดรัจฉานวิชา เป็นวิชาที่ขวางทางนิพพาน พระพุทธเจ้าไม่เอา
ก็ไม่ได้ไปว่าของเขาไม่จริง ไม่เกิดผลแต่ก็เกิดผล อาตมาก็เคยเล่นมาทั้งนั้น ไสยศาสตร์พวกนี้ในชาตินี้ ปางนี้ เป็นโพธิรักษ์นี่แหละ ตั้งแต่เป็นรัก รักพงษ์โน่น เล่นมาปฏิบัติ เล่นไสยศาสตร์มาก่อนมาบวชตั้ง 8 ปี ก็ทำ ไสยศาสตร์ก็เป็นวิชาการเดรัจฉานวิชาพวกนี้
เพราะฉะนั้น ใครไปติดใจไปจมอยู่ก็อยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นในเรื่องที่จะเป็นอิทธิฤทธิ์อิทธิเดช ถ้าไม่ใช่ไปแฝงเรื่องอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชก็แล้วไป ควรจะนึกถึงหลวงพ่อทวด ก็นึกถึงว่า คำสอนอะไร ของท่าน ที่ตรงสอดคล้องเป็นไปเพื่อนิพพาน ตามพระพุทธเจ้าสอน ไม่ใช่เพื่อโลกีย์ง่ายๆ เช่น ร่ำรวย หรูหรา เจริญทางลาภยศ สรรเสริญโลกียสุขอยู่แค่นั้น แล้วก็มีอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชว่า ขลัง หลวงพ่อทวดขลัง ระวังแฝง หลวงพ่อไหนก็ตาม แม้แต่ไปหลงพระพุทธรูป
พระพุทธรูปคือ ตัวแทนพระพุทธเจ้า แล้วหลงว่าพระพุทธเจ้าจะช่วยแบบนั้น จะช่วยให้ขลัง ให้ร่ำให้รวย ให้เจริญด้วยโลกียะอะไรต่ออะไรพวกนี้ ไม่มี
แม้คำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนไว้แล้วนี่ คุณไม่ทำความเข้าใจแล้วเอามาปฏิบัติ ให้ตรงตามคำสอน แล้วมรรคผลถึงจะเกิด คุณก็ผิดแล้ว คำสอนพระพุทธเจ้านี่แหละ เพราะฉะนั้น ต้องศึกษาให้ตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าและปฏิบัติให้ตรง ทำความเข้าใจให้ถูกต้องสัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติให้เป็นสัมมาปฏิบัติ จึงจะเกิดสัมมาปฏิเวท จึงจะเกิดมรรคผลที่ถูกต้องแทงทะลุเลย บรรลุรู้สุดยอดจบได้
ไม่ใช่ความขลังของพระพุทธเจ้า ที่มาปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าแล้วศรัทธาเต็มที่เข้าใจปฏิบัติแต่ผิด ผิดอย่างไรก็ไม่บรรลุ ก็ได้ผลไปออกนอกรีตนอกทาง ไม่ใช่ทางบรรลุนิพพาน นี่คือนัยยะที่ลึกซึ้ง ไม่ง่าย
ฉะนั้นจะเป็นฌาน นิยามตัวหนึ่งของฌานคือพลังงานจิต ที่กำจัดกิเลส พลังงานจิตคุณต้องทำพลังงานจิต พลังงานจิตตัวนี้ประกอบไปด้วยปัญญาเป็นหลัก ฌานคือปัญญา ปัญญานี่แหละคือธรรมฤทธิ์ ที่อาตมาพูดย้ำอธิบาย กิเลสเจอหน้าปัญญา มันวิ่งหนีหูตูบ นี่ก็พูดมาใช้สำนวนเก่า พูดซ้ำพูดซากหลายที มันมีฤทธิ์เป็นเช่นนั้นจริง ขอให้มันเกิดธาตุปัญญาที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า
ที่อาตมา ขออภัยอันนี้เป็นหนังสือคนจนที่มีแบบเล่ม 2 นึกว่าหนังสือปัญญา 8 ถือโอกาสโฆษณาตรงนี้เลย หนังสือคนจนที่มีแบบเล่มใหม่ออกวางตลาด อาตมาเพิ่งได้รับ ยังไม่ว่างพอจะอ่านทวน ใครต้องการหนังสือคนจนที่มีแบบก็ติดต่อหาเอาไปอ่านได้ ถ้าคิดว่ามันเป็นหนังสือที่ควรอ่านก็เชิญ ถ้าใครไม่สนใจก็ไม่มีปัญหาอะไร ไม่สนใจก็ไม่ควรขวายหาหรอก ยังไม่มีมาก
_สู่แดนธรรม… หนังสือคนจนที่มีแบบที่พ่อท่านเขียน ก็เป็นผลของปัญญา พ่อท่านกำลังอธิบายเรื่องปัญญาที่ชำระกิเลสได้ต้องมีคุณภาพขนาดไหน
พ่อครูว่า… ก็ถูกต้องออกจากปัญญา ถ้ายังไม่อธิบายตอนนี้ ปัญญาทำให้เกิดคนจน ปัญญาของพระพุทธเจ้า ทำให้เกิดความจนทำให้เป็นคนจน ไม่ใช่ให้ไปเกิดเป็นคนรวย ปัญญาของพระพุทธเจ้านี่เป็นความรู้ที่ทำให้คนมาจน คนมาจนเป็นคนประเสริฐ คนไปรวยนี่คือคนซวย คนมาจนคือคนประเสริฐ อันนี้เป็นสัจจะที่ยากจะเข้าใจเป็นอจินไตย ฟังแล้วก็ไม่รู้ว่าเขาฟังแล้วไม่เข้าใจหรือไม่ เอ็งอย่ามาหลอกให้ยากเลย ข้าก็จะรวยของข้า ข้าไม่เชื่อเอ็งหลอกเขาจะไม่เชื่อเราเลยเขาจะไม่เห็นคุณค่า ของการมาจนเลย
เพราะฉะนั้นเศรษฐศาสตร์ที่สอนอย่างนี้มีนักเศรษฐศาสตร์ที่สอนอย่างนี้ในโลก ดูเหมือนจะมี ถ้าไม่ใช่อาตมาก็มีในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่สอนให้มาจน ซึ่งคำนี้ออกมาก็ทวนอีกทีพูดหลายทีแล้วและมีหลักฐานยืนยันด้วย
มีรัฐมนตรีของประเทศเกาหลี เขาเป็นเพื่อนกับนายกรัฐมนตรีฝากมาถาม ว่าจะบริหารประเทศบริหารมนุษย์ บริหารแบบไหนดี ท่านก็ไม่อยากจะตอบ เขาก็ถามหลายที ท่านก็บอกว่าให้ตอบก็ตอบได้ บริหารแบบคนจน ไอ้คำว่าคนจนเขาก็ต้องรู้แล้วความหมายตามภาษาที่เป็นอังกฤษ แบบคนจน เขาก็เข้าใจกันแหละ เขาก็งง ต้องการทราบอีก ท่านก็อธิบายให้ทราบอีก แต่ว่าผู้รับคงไม่ง่ายที่จะรับความรู้รายละเอียดอันนี้ แม้ในหลวงท่านก็เป็นสายเจโต ถ้าเป็นโพธิรักษ์ก็คงจะใส่ให้นิ่งอยู่ตรงนั้น นั่งไม่มืดก็สว่างอยู่ตรงนั้น ก็คงจะอธิบาย เพราะคนอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ที่ควรอธิบายให้รัฐมนตรี เขาก็จะไปอธิบายสู่เพื่อนที่เป็นนายกรัฐมนตรีฟังอีกที มันก็จะได้ประโยชน์ในการให้มนุษยชาติได้รับความรู้ที่น่ารับไปอันนี้
เรื่องนี้จะต้องพิสูจน์กันต่อไปวรรคไว้ก่อนเรื่องความจน
พ่อครูว่า… พูดถึงพระเครื่องราง ขออภัยขออาตมาพูดนิดนึง อาตมามีพระที่เขาไปหล่อเป็นเหรียญ เหรียญโพธิรักษ์มีนะ หล่อโลหะมา กลุ่มสัจจะออมทรัพย์เขาเป็นเจ้ามือ หล่อขึ้นมาในตอนนั้น ฉลองตอนกี่ปีไม่รู้เขาก็เลยหล่อออกมา กี่ร้อยกี่พันเหรียญไม่รู้ เขาก็ให้อาตมามาอยู่ อาตมาก็ไม่อยากแจก เขาสร้างมาเลย 10 กว่าปีมาแล้วจะถึง 20 ปีแล้วมั้ง เขาสร้าง สร้างมาอย่างเก่งก็พันเหรียญคงไม่ใช่หมื่นเหรียญ คงเป็นขั้นต่ำของโรงงานเขา เป็นเหรียญโลหะ ยังอยู่ที่อาตมายังเหลืออยู่เลย ไม่ค่อยอยากแจก แล้วก็มีคนอยากได้แม้แต่พวกเราก็หลงความขลัง แต่พวกที่เข้าใจไม่หลง
ในภาพที่ insert มาเป็นที่ล็อกเก็ต เป็นภาพถ่ายแล้วพิมพ์ลงไปใน วัสดุ พ.ศ 2554 มีบางอันชุบทองคำด้วย ไม่ใช่ทองคำแท้ แต่เป็นทองคำแท้ก็มี แต่ที่พูดถึงนี้มันเป็นเหรียญเป็นโลหะหล่อ พิมพ์ออกมาเป็นแบบ เป็นเหรียญกลมๆ เป็นบาซิลิส เป็นนูนๆ ไม่เต็มรูปไม่เป็นราว Live ปั้นขึ้นมาแบบแบนๆ
_สู่แดนธรรม… เดี๋ยวคนไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อท่านให้ทำเหรียญ
พ่อครูว่า… อาตมาไม่ได้เป็นคนให้ทำเหรียญ ดีแล้วทักมา อาตมาไม่ได้เป็นคนคิดอ่านอยากจะให้เป็นอยากจะให้เกิด อาตมากลัวมันจะกลายเป็นของขลังด้วยซ้ำ เสร็จแล้วไปค้าขายไปตีราคากันอีก อาตมาเสียหายหมดเลย ไม่อยากให้ทำ ให้มาขลังให้มานับถือแล้วค้าขายกัน โอ้โห หลงนิยมกันไป มันก็งมงายกลายเป็นเทวนิยมกลายเป็นเรื่องไสยศาสตร์กลายเป็นเรื่อง มันง่ายนะที่จะเป็นไสยศาสตร์ จะให้มาเป็นเครื่องที่อย่างเคารพบูชา
อาตมายังภูมิใจตัวเอง หลวงพ่อพุทธโต หลวงพ่อพุทธาภิธรรมนิมิตของพวกเราสูงใหญ่ที่บ้านราช ไม่ได้รกไปด้วยคนหลงบูชา จุดธูปเทียนบูชา เอาอะไรมาสังเวย ไม่มีเลย เราทำได้สะอาดบริสุทธิ์หมดเลย ไม่เกิดเรื่องไสยศาสตร์ เดรัจฉานวิชาอะไรเลย อันนี้อาตมาก็ภาคภูมิใจ เพราะฉะนั้นคนมาที่นี่ไม่กล้าทำอะไร ไม่มีใครนำทำ นอกจากไม่นำแล้วยังจะโดนอีก ไม่ให้ทำ เราอุตส่าห์ทำป้ายใหญ่ วิธีการเคารพนับถือบูชา จะกราบไหว้บูชาอย่างไร ทำเป็นแผ่นหินแกรนิตใหญ่เบ้อเร่อติด ตอนนี้ก็ชักจะมาอยู่ข้างหลัง ไปอยู่ในอาคารบวร แผ่นเบ้อเร่อเลย อันนั้นตั้งหลายแสนนะ แผ่นนั้น ทำแล้วก็สลักกันออกมา เพื่อให้รู้ว่าการบูชาเคารพพระพุทธรูปหรือพระพุทธเจ้าแบบพระพุทธรูปนี่แหละ เคารพอย่างไร ถึงจะถูกต้อง ตามสัมมาทิฏฐิ
Insert เหรียญรูปอาตมา ไม่ค่อยเหมือนอาตมาเท่าไหร่อาตมาตัวจริงหล่อกว่านี้เยอะ เป็นที่ระลึก พ.ศ 2557 9 ปีมาแล้ว เอาล่ะประเดี๋ยวจะเกิดราคาขึ้นอีก ไม่เข้าท่า
_อันว่าทาน การให้ ก็ไร้ผล ศีลก็ปน จารีต สิ่งกีดขวาง
ภาวนา วิปริต ผิดแนวทาง บุญต้องสร้าง ด้วยทรัพย์ ช่างอับปรีย์
พ่อครูว่า…เมื่อไม่สัมมาทิฏฐิแล้ว เรื่องทานเป็นเรื่องแรกคุณธรรมของมนุษยชาติเป็นเบื้องต้นสำคัญ เพราะฉะนั้นเพราะมิจฉาทิฏฐิในเรื่องทาน ก็ไม่มีมรรคผล ทุกวันนี้ก็ไปหมดเลอะเทอะ ทำทานก็ทำเพื่อภพเพื่อชาติ ทำเพื่อการค้าการขาย ทำเพื่อการหลอกล่อกันเรื่องทานนี่ มันก็เลยยิ่งเสียหายใหญ่เลย ก็ไร้ผล
ศีล ก็ปนจารีตสิ่งกีดขวาง เพราะฉะนั้นปฏิบัติศีลก็กลายเป็น สีลพตุปาทาน กลายเป็นสิ่งที่เป็นเรื่องปัจจัยที่ประเพณี ไปเข้าวัดก็วันนี้มาบำเพ็ญถือศีลกินเจ แล้วก็ถือศีลจามจารีตที่เขาทำเคร่งถือศีล 5 ส่วนมากไปวัด ก็จะเป็นการถือศีล 8 ถือศีล 8 เคร่ง ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ผิดผัวเขาเมียใคร ไม่พูดปด ไม่ดื่มน้ำเมา โอ้บริสุทธิ์ศีล 5 เป๊ะก็ดี ดีอยู่แต่มันนิดเดียวได้ผิวเผินได้แค่นั้น ค่อยๆว่ากัน เพราะอาตมาจะเอาศีล สมาธิ ปัญญา นี่แหละเป็นหัวใจศาสนา การศึกษาของศาสนาพุทธเรียกว่าไตรสิกขา มาขยายให้ครบ จบกิจ 1, 2, 3, 4 แถมจบกิจที่ 5 จะขยายความให้ฟัง
อาตมาขยายความมาแล้วนะจบกิจข้อที่ 1 ,2 ,3 คืออะไรพูดมาบ้างแล้วเอาล่ะผ่านไปก่อน
ศีลก็เป็นจารีตประเพณีกลายเป็นสิ่งกีดขวางทางนิพพานด้วย ไปหลงแบบจารีตประเพณี
ภาวนาคือการทำให้เกิดผล ปฏิบัติเพื่อให้เกิดผล ก็ไปปฏิบัติผิดภาวนาผิดไปปฏิบัติเป็นคนละเรื่องคนละราว วิปริตไปผิดแนวทางไป
บุญต้องสร้างด้วยทรัพย์ช่างอัปรีย์ ที่จริงภาษาบาลีไม่ได้หยาบอะไรเลย อัปปรีย์ ปรียะ แปลว่าอันเป็นที่รัก ซึ่งอัปรีย์มันไม่ได้เป็นที่รักเลย แต่พอมาเป็นภาษาไทยแล้ว เจ็บแสบ คนอัปรีย์ ก็จริงอยู่เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นที่จะทำ ก็มันผิดทางแล้ว บุญก็ไปสอนกันผิด บุญก็ต้องใช้ทรัพย์ใช้เงิน คุณทำทานจะเกิดบุญหรือไม่เกิดบุญ ก็อธิบายได้และก็จริงด้วยสัจธรรมของพระเจ้าก็ต้องปฏิบัติ ทานเป็นพฤติกรรมทางกาย วาจา ส่วนใจคุณจะทานหรือไม่ จะให้ทานแปลว่าให้ ดีไม่ดีเป็นเครื่องติดสินบน เป็นเครื่องต่อรอง เป็นอำนาจบาตรใหญ่ เป็นสิ่งที่คุณจะได้สิ่งตอบแทนกลับคืนมายิ่งใหญ่กว่าทาน 5 บาท ใส่บาตร 1 ทัพพี โอ้โห นั่งพนมมือ ขอให้ได้นู่นได้นี่ จะเอาหมดบ้านหมดเมืองเลยนะ เสร็จแล้วค่อยตักข้าวทัพพี 1 ใส่บาตร พระยืนรอตั้งนานกว่าจะได้ใส่ข้าว 1 ทัพพี ขอ
นี่แหละเป็นเรื่องที่ออกนอกรีตนอกทาง เป็นทางที่ยิ่งทำให้ทำให้กิเลสยิ่งหนา กิเลสยิ่งหนักยิ่งหยาบ ต้องการผลประโยชน์ตอบแทนทับถมหนาหนักเข้าไปเป็นกิเลสหนา ปุถุชน
_คฤธรราช อาจอง ทรงวิภพ กู้ขนบ ชินวร ย้อนวิถี
จรณะ สิบห้า พาให้มี สังคมศรี อาริยะ ธรรมบาล
พ่อครูว่า… คฤธร แปลว่าแร้ง ก็เป็นตัวแทนอาตมา อาตมาใช้แร้งเป็นสัญลักษณ์ วิภพ คืออาตมาไม่มีภพชาติแล้ว กลับมากอบกู้ธรรมะพระพุทธเจ้า แล้วมันก็ย้อนวิถีกับการปฏิบัติของชาวพุทธส่วนใหญ่ที่ปฏิบัติผิดไป เอาจรณะ 15 มาให้มันมีจรณะ 15 กัน ก็เป็นสังคมของพระศรีอาริยะ เอาธรรมะมาอภิบาล มาบริหารปกครองดูแลอุ้มชู
_ห้าสิบสาม ปีผ่าน สู้งานหนัก กอบกู้ศักดิ์ ศรีศาสน์ อย่างอาจหาญ
สร้างคนจน จริงใจ ใฝ่ศีลทาน เพื่อสืบสาน สัทธรรม นำสู่ไท
พ่อครูว่า… ทำมา 53 ปีแล้วผ่านมาสู้งานหนัก พยายามที่กอบกู้ศักดิ์ศรีของศาสนาพุทธขึ้นมาอย่างอาจหาญ มาสร้างคนจนจริงๆไม่ได้พูดเล่ห์เหลี่ยมไม่ได้พูดเอาโก้ ไม่ได้พูดมีอะไรแฝง พากันมาจนจริงๆ จนหมายความง่ายๆคือ ที่มีสตางค์มาก ก็ให้สตางค์เอาสตางค์ออกแจกให้คนอื่นให้ตัวเองมีน้อยลง สูงสุดคนจนสูงสุดก็คือ 0 ไม่นับนะว่าคนจนคือมีหนี้ไม่เอา คนจนนี่คือคนมีหนี้มันออกนอกทางพระพุทธเจ้าสอนแล้ว คนจนที่สูงสุดบริบูรณ์สุดคือ ศูนย์ ไม่สะสมเงินทอง อปจยะ ไม่ต้องมีสักบาท แล้วอยู่ได้ยังไง พิลึกพิสดารประหลาดมาก ไม่มีเงินสักบาทอยู่ได้ยังไง มีชีวิตอยู่ได้อย่างไร มาสิมาดู เอาชีวิตคุณนั่นแหละ ไม่ต้องมีสักบาท คุณมาอยู่ที่นี่ คุณจะอยู่ได้ไหมมาดูสิ แต่อย่ามาเกเรก็แล้วกัน อย่ามากวนก็แล้วกัน มาสิ มาพิสูจน์สัจจะความจริงอันนี้ อยู่ได้ไหม
ซึ่งมันสุดยอด และมันจริงใจนะไม่ใช่ทำเท่ห์ ไม่ใช่ทำโก้ ไม่ใช่ทำอย่างบริสุทธิ์ใจมาอยู่ด้วยกันอยู่ด้วย สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา เสร็จแล้วก็ปฎิบัติกันไป อยู่กันอย่างนี้ มีสาธารณโภคีอย่างนี้สุดยอด
อาตมาภาคภูมิใจที่พิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้ามาถึงวันนี้แล้วทำได้สำเร็จ ซึ่งยืนยงมา
อาตมาไม่ได้คิดถึงท่านสาธารณโภคีตั้งแต่แรกตั้งแต่เริ่มทำงานมา ออกมาสร้างชุมชนปั๊บ มันเป็นสาธารณโภคีเลย เริ่มต้นตั้งแต่แดนอโศกยังไม่มีคฤหัสถ์ ยังไม่มีญาติโยมอะไรมากมาย มีซิ้มอ้วน เป็นญาติโยม หาบไปหาบมาไกลนะทางเข้า ซิมอ้วนเป็นอุปัฎฐาก นึกถึงแกนะ พยายามมา
ก็เริ่มต้นด้วยสาธารณโภคี โภคีแต่ว่ามันยังไม่ขยายผล จนกระทั่งมันมีองค์ประกอบที่มาเป็นองค์รวมที่มีทั้งรูปนามมีทั้งพฤติกรรมมีทั้งวัตถุมีทั้งอะไรต่ออะไร สถานที่เป็นสัปปายะ 4 ขึ้นมา มันก็กลายเป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบตามคำสอนพระพุทธเจ้า สัปปายะ 4 ก็สมบูรณ์แบบ แต่ก่อนนี้อยู่แดนอโศกอาหาร 1 ในสัปปายะ 4 ต้องเอาต้นมะละกอนะไม่ใช่ลูกมันนะ เอาต้นมะละกอมาดองเค็มกิน โอ้โห สิกขมาตุกล้าข้ามฝันเป็นตัวการดีนัก เอาต้นมะละกอมาดองกินกัน โอ้..เจ้าพระคุณ ไม่ต้องไปพูดถึงความอุดมสมบูรณ์เลยตอนนั้น
สิกขมาตุกล้าข้ามฝันว่า… ภันเตจิตราพาทำ
พ่อครูว่า… สิกขมาตุจิตราพาทำ พูดถึงอดีตจนกระทั่งเรามาอยู่เป็นสังคม จนกระทั่งทรัพย์สินเงินทองกองทรัพย์ที่เป็นวัตถุที่เรียกว่าเงินธนบัตร แบงค์โน้ต ก็เอามาใช้ ก็มีพอสมควร แต่ก็ยัง เศรษฐศาสตร์แบบบุญนิยม ไม่กักตุนไม่สะสมไว้เป็นอันมาก คงคลังก็จะมีไม่มาก สะพัดได้มากเท่าไหร่ดี
แล้วการสะพัดนั้นเป็นการสะพัด ไม่ใช่เป็นการสะพัดออก เพื่อจะได้สิ่งตอบแทนกลับคืนมามากกว่าเก่า นะ สะพัดออกเพื่อที่จะสละให้คุณได้เลยแล้วเราก็อยู่รอด ยิ่งสะพัดได้มากเท่าไหร่นั่นล่ะ คือ GDP ของชาวอโศก พูดให้ชัดขึ้นก็คือ ขาดทุนได้ออกไปให้แก่ผู้อื่นได้มากเท่าไหร่นั่นแหละคือ ความเจริญของ GDP ของเศรษฐศาสตร์อโศก เศรษฐศาสตร์โลกุตระ ซึ่งมันเป็นความย้อนแย้งทวนกระแสกันกับโลกเขา ทวนกระแสจริงๆ จริงใจนะที่ทำที่พูด ไม่ได้หมายความว่าที่ทำโก้ เราทำได้แค่ใดเราก็ทำ ไม่เป็นหนี้ ไม่ลำบากเราก็ทำอยู่ทุกวันนี้
ขณะนี้อาตมากำลังเขียนหนังสือเรื่องคน คน ตัวเดียว ตั้งใจจะไม่ให้ยาวเกิน 100 หน้า แต่ดูเหมือนจะถึง 100 หน้าแล้ว จะหยุดได้เท่าไหร่ก็ยังไม่รู้ คิดว่า กำลังขยายความมาถึงจุดสำคัญของชาวโลกโลกียะ กับโลกุตระ ตรงไหน ฟังดีๆตรงนี้ จะพอเข้าใจกันไหม
คือธรรมชาติโลก ธรรมชาติของจักรวาล ธรรมชาติของเอกภพ มันเป็นธรรมชาติที่หมุนจากซ้ายไปขวา ใช่ไหม ทั้งนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นหมอดูก็ใช้ซ้ายไปขวา คุณจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ คุณก็ใช้ซ้ายไปขวา จะเป็นนักดาราศาสตร์ คุณก็ใช้ซ้ายไปขวา คุณจะเป็นนักปราชญ์ยอดรู้เป็นศาสดา คุณก็ซ้ายไปขวาทั้งนั้น อย่างนี้ทั้งนั้นหนึ่งเดียว มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นมาทำทวนกระแส ถึงกระนั้นท่านก็ทวนกระแสวัตถุไม่ได้ ท่านไปพาโลกหมุนกลับไม่ได้ โลกจักรวาลเอกภพไม่ได้ ท่านทำได้ที่จิตวิญญาณ ทวนกระแส เขาไปรวย ท่านพาจนนี่ยกตัวอย่างง่ายๆ
เขาพากันสร้างอำนาจบาตรใหญ่ ท่านบอกให้มาลดตัวลดตนให้น้อยไม่เหลือตัวตน อะไรอย่างนี้ ยกตัวอย่างง่ายๆตื้นๆ อาตมากำลังอธิบายถึงสัจจะตรงนี้ สัจจะตรงที่ว่าพระพุทธเจ้าท่านพาเราทวนกระแส ตรงนี้
เพราะฉะนั้นชาวโลกทั้งโลกทุกวันนี้ ฆ่าแกงกันเดือดร้อนกันอยู่ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นทุนนิยมหรือนักสร้างอำนาจ จะเป็นเจ้าโลก เป็นผู้มีอำนาจบาตรใหญ่ในโลกทุกวันนี้ ไม่ว่าจะแบบไหน แบบใช้เงินทอง แบบใช้อำนาจ แบบใช้อาวุธ แบบใช้อะไรก็ไม่รู้ที่เขาจะใช้สารพัด ใช้เทคโนโลยี ใช้อะไรต่ออะไรก็แล้วแต่ สารพัด ก็ล้วนแล้วแต่ตามกระแสโลกีย์ทั้งนั้น
แต่ของพระพุทธเจ้านั้นย้อนเลย ย้อนทวนเลย ทวนกระแสโลกีย์เลย แล้วทวนกระแสโลกีย์นี่มันชนะตรงไหนรู้ไหม มันชนะตรงที่ว่า เขาไม่สู้ คุณจะรวย เราเอาจน คุณก็เอาไปสิ จบแล้ว แม้ที่สุด คุณจะอำนาจบาตรใหญ่จะฆ่า คุณก็ฆ่าสิ คุณฆ่าเราก็ตาย คุณก็อยู่ไปสิ ไม่โกรธด้วย ไม่พยาบาทด้วย ฆ่าเราตาย อโหสิ เราจะทำดีกับคุณแล้วคุณจะฆ่าเราลงไหม ต้องการพิสูจน์อันนี้ เราจะไม่ตอบโต้คุณด้วยความโกรธแค้น ถือสาพยาบาท ไม่มี มีแต่จะช่วยคุณ แล้วก็จะเตือนสติคุณด้วยว่า อย่าทำเลยอันนั้น มันชั่ว ทำอย่างนั้นมันบาปมันไม่ดี เอาล่ะคุณไม่เข้าใจกรรมวิบาก คุณไม่กลัวบาปก็ไม่เป็นไร แต่มันเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีหรอกไปฆ่าคน ช่วยคนอื่น เขาจะตายแล้วช่วยเขาให้มีชีวิตอยู่สิ ดีกว่าไหม เข้าใจไหมแค่นี้ แทนที่คุณจะไปทำให้เขาตาย คุณช่วยให้เขามีชีวิตขึ้นมารอดชีวิตสิ มันประเสริฐกว่านะ ถ้าแค่นี้คุณเข้าใจไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร คุณก็ต่างคนต่างอยู่กับเราก็แล้วกันเพราะต้องพูดกันไม่รู้เรื่อง แค่นี้คุณก็ไม่รู้ว่าไอ้ช่วยเขานี่ดีกว่าไปฆ่าเขา แค่นี้ก็พูดกันไม่รู้เรื่องแล้ว ก็นานาสังวาสก็แล้วกัน ต่างคนต่างอยู่ เราก็ไม่รู้จะทำยังไงได้
เพราะอะไร เพราะศาสนาพระพุทธเจ้านั้น ไม่ได้กลัวตาย กลัวเกิด เพราะถ้าคุณยังไม่ทิ้งเชื้ออุปาทิ เรียกว่าเชื้อเกิด เชื้อพาเกิด เชื้ออุปาทิเป็น ปุงลิงค์นะ อุปาทานเป็น นปุงสกลิงค์ อุปาทายติ เป็นกิริยา เป็นตัวปฏิบัติในปัจจุบัน อุปทานเป็นตัวยึดเป็นอดีต อุปาทิ มันยังมีเชื้อ เชื้อความยึดถือ เชื้อพาเกิด มันก็ไม่ทั้งยึดทีเดียว เจริญกว่าอุปาทานคืออุปาทิ เป็นผู้ที่ยึดถือเชื้อนี้อยู่ เชื้อพาเกิด พาเกิดดีก็ได้ พาเกิดเลวก็ได้ อุปาทิ
เพราะฉะนั้นผู้ที่เหลือเชื้อ โพธิสัตว์จะรู้ ยังมีเชื้อที่จะพาเกิดอีกตลอดแล้วก็ทำปัจจุบันก็คือ อุปาทายติ เป็นกิริยา เป็นตัวกิจที่กำลังทำเป็นการกระทำอยู่ในปัจจุบันนั้น ทำขึ้นเมื่อใดก็เป็นอันนั้นเป็นกรรมกิริยาอันนั้นอย่างนี้ เป็นต้น
นี่เป็นสัจจะที่อาตมาหยิบมาอธิบายให้ฟัง ถ้าเข้าใจพยัญชนะเข้าใจสภาวะพวกนี้แล้วคุณทำให้ลึกซึ้ง ถูกต้องตามธรรมพระพุทธเจ้าแล้วละก็ รับรองว่าชีวิตของเราเจริญขึ้นไปเป็น เป็นอรหันต์ เป็นโพธิสัตว์ เป็นผู้เจริญ แล้วมีประโยชน์แก่โลก มีประโยชน์แก่มนุษยชาติ มีประโยชน์แก่ผู้อื่น ตนก็ได้ประโยชน์ เพราะตนก็เป็นคนหมดตัวตน เป็นคนเจริญ เป็นคนที่ไม่มีกิเลสได้ แล้วมีพลังสร้างสรรค์ (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
_สู่แดนธรรม… วันนี้ตอนเริ่มแรกรายการ ผมสังเกตดู เริ่มต้นก็จะค่อยๆเอื่อยๆเรื่อยๆ บางทีบางคนก็ผิดหวังเลยว่าวันนี้เป็นวันสำคัญทั้งที กะว่าจะได้ฟังธรรมะได้ที่รสชาติแซ่บๆ
พ่อครูว่า… อ่าวไม่แซ่บหรือวันนี้ (โยมว่าแซ่บ)
_สู่แดนธรรม… ผมหมายถึงว่า ตอนแรก คือเรื่อยๆเนือยๆจากการอ่านกลอนอ่านเพลงที่ไม่เข้ากับธรรมะเลย แต่ที่ไหนได้เพราะท่านเป็นนักปรุงศิลปินนักปรุงแต่งรสชาติของธรรมะ เราได้เห็นความสามารถของพ่อท่านว่า ไม่ว่าจะเป็นคำไหน พ่อท่านก็เอามาแจกแจงเป็นสภาวะให้ทราบทุกคำได้
พ่อครูว่า… อาตมาถ้าเป็นนักโต้วาที ถ้าว่า ขี้ดีกว่าข้าว ถ้าหากอาตมาอยู่ฝ่ายขี้นี่รับรอง เป็นการตั้งญัตติ โต้วาทีขี้ดีกว่าข้าว อาตมาอยู่ฝ่ายขี้ นี่รับรองโต้วาทีกัน เอาชนะข้าวได้ ขี้ดีกว่าข้าวได้
ฝ่ายที่บอกว่าข้าวดีกว่าขี้ เขาก็จะโต้แย้ง อาตมาก็จะใช้คารม วาทีที่เหตุผลหลักฐานต่างๆมาอธิบายว่าขี้ดีกว่าข้าว ได้จริงๆด้วยจนกระทั่งกรรมการต้องให้ชนะได้ เพราะว่าขี้ดีกว่าข้าวนี่ยากกว่า ไก่เกิดก่อนไข่หรือไข่เกิดก่อนไก่ ใช่ไม๊ เพราะว่าขี้ดีกว่าข้าวมันจะจริงยังไงเล่า ข้าวมันต้องดีกว่าขี้สิ มันเข้าใจง่ายใช่ไหม แต่ว่าไก่เกิดก่อนไข่หรือไข่เกิดก่อนไก่นี่ ใครตอบได้ (โยมว่าไก่) แล้วถ้าไม่มีไก่มันจะเอาไข่มาจากที่ไหน ต้องมีไก่มาก่อนมันถึงจะเป็นตัวไข่
_สู่แดนธรรม… ตอนที่ไก่เกิดมาพระเจ้าก็ให้เลือกว่าคุณจะออกลูกทางไหน
พ่อครูว่า… ไม่ๆๆ พระเจ้าไม่ได้มีไข่ พระเจ้านี่สร้างคนด้วยเสกขึ้นมาเฉยๆด้วย สร้างอดัมขึ้นมา เสร็จแล้วก็เอาซี่โครงซี่ที่ 7 ของ Adam มาเสกขึ้นมาเป็นอีฟ ให้คู่กับอดัม นี่เป็นประวัติของเขา
อันนี้อาตมาเคยไปแย้งพวกชาวคริสต์ เขาบอกว่าต้องเสมอภาค เขาบอกว่าผู้หญิงผู้ชายต้องเสมอภาค อาตมาก็บอกว่ามันจะเสมอภาคได้ยังไงเล่า ก็ในเมื่ออดัมนี่เป็นต้นตระกูลผู้ชายใช่ไหม กับอีฟเป็นต้นตระกูลผู้หญิง พระเจ้ายังสร้างผู้ชายขึ้นมาก่อน แล้วก็เอากระดูกซี่โครงของอดัมซี่ที่ 7 มาเสกเป็นอีฟให้เป็นคู่ของอดัม ใช่ไหมล่ะ ประวัติของศาสนาของคุณมันเป็นอย่างนี้ใช่ไหม เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วคุณก็จะไปสร้าง ไปทำให้อีฟนี้เท่ากันกับอดัมสิ ก็อีฟเป็นส่วนหนึ่งของอดัมเป็นซี่โครงซี่ที่ 7 ของอดัมเท่านั้นเอง นัยยะของตัวเลขที่ 7 นี่ก็เป็นอจินไตย ทางด้านเทวนิยมก็ขยายไม่ออกหรอก แต่ของพุทธนี่ขยายออก 1 2 3 เป็นไซคลิกออเดอร์ 4 พลังเพิ่ม 5เป็นกึ่งหนึ่งของ 9 แล้ว 7 ไม่มีอะไรห้ามแล้ว ถ้า 7 ก็เป็นปลายเปิดที่จะไปได้นับไม่ถ้วนแล้ว เป็นพลังรอบ 333 ที่จะเกิด 333 เป็น 9 แล้วก็ขยายผลไปอีก Infinity เลย
_สู่แดนธรรม… ตอนนี้พ่อท่านอธิบายอยู่ในเรื่องของ กวี
พ่อครูว่า… ดีแล้วล่ะดึงกลับมั้ง เดี๋ยวมันจะออกนอก
_เสกขชน พลรบ ขอนบน้อม พ่อผู้ยอม ยังชนม์ พ้นเลยขัย
อิทธิบาท จงช่วย อำนวยชัย โรคาไซร้ อย่ามี ชั่วชีวัน
พ่อครูว่า… ก็หมายความว่า ยอมให้อาตมาฝืนอายุขัย ยังไม่ยอมตาย มันควรตายแล้ว นี่ยังไม่ยอมตาย อันนี้ก็พูดไป คนก็ยังเข้าใจยากอยู่ แหมไปทำเก่งฝืนอายุขัย อาตมาก็ว่าอาตมาทำจริงๆนะแล้วมันจะได้ผลจริงๆ ไม่งั้นอาตมาก็ตายไปก่อนนี้จริงๆ
ใครเขาจะมาคบโพธิรักษ์นะ พวกคุณมาที่นี่ได้ไม่โง่ตายหรือ มาเลย ไม่ได้พูดหลอกนะ พามาจนจริงๆ จนคืออะไร (โยมว่ารวยคุณธรรม
พ่อครูว่า… ไปรวยอีกเรามีคุณธรรมมาก เราก็ไม่ยึดถือว่าเป็นของเรา มันเป็น dialactic มันเป็นภาษาสองคำที่ย้อนแย้งคนเข้าใจไม่ได้ แล้วก็ไม่รู้ว่า จุดจริง จุดจบ จุดที่ถูกต้องคือ อะไร dialactic แต่ศาสนาพุทธนั้นชัดเจนใน
1 ใน 2 อันใดที่ควร ใช้มหาประเทศ ใช้สัปปะริสธรรม 7 ชี้ยืนยันได้ว่า อันนี้ควร อันนี้ถูกต้อง ควรเป็นเช่นนี้ ควรใช้อันนี้ ตามกาละ เทศะ ฐานะ แม่นของพุทธนี้มีองค์ประกอบที่ชี้ชัด แม้ปัจจุบันนั้นจะน้อยหรือไปเร็ว อันนี้ก็ถูกต้อง เป็น status quo ที่แม่น ถูกต้อง เป็นสถานะที่ใช้กับ status qup กาละนั้น ขณะนั้น ที่มันอยู่ในวาระนั้นขณะนั้นชั่วระยะนั้น อย่างถูกต้องได้ มันจะผ่านไปอีกเปลี่ยนไป ก็ไม่เป็นไรแต่อันนั้นถูกแล้ว จึงเป็นความถูกต้องในความจริงที่ถูกต้องได้ทั้งเร็ว ทั้งเร็วทั้งแม่น ทั้งจริงที่สุด นี่คือสัจจะของพระพุทธเจ้า
_โพธิกิจ เกริกไกร ไปทั่วหล้า ชาวประชา มาจน พ้นโมหันธ์
บุญนิยม เป็นเยี่ยม ไร้เทียมทัน ค้ำประกัน ศาสนา ห้าพันปี
อโศก สัมปวังโก
4 พ.ย.2566
ทุนนิยมเอาบุญนิยมให้ จึงไม่ขัดแย้งกัน
พ่อครูว่า…ใช้ได้ ใช้ไม่ได้ก็ใช้ไปแล้วใช้ไปจนจบแล้ว ได้ใช้ดี
_สู่แดนธรรม… อยากให้พ่อท่านอธิบายรายละเอียดอีก 1 ว่า ตอนนั้นนักข่าวญี่ปุ่นมาทำพ่อท่านว่า ทำไม ทุนนิยมกับบุญนิยมเป็นคนละค่ายกัน ทำไมท่านถึงบอกว่าบุญนิยมไม่เป็นศัตรูของทุนนิยม
พ่อครูว่า… ใช่ ประเด็นว่า ทำไมบุญนิยมไม่เป็นศัตรูของทุนนิยม? อธิบายง่ายๆพูดไปไม่รู้กี่ทีแล้ว ..ทุนนิยมเขาต้องการเอา บุญนิยมต้องการให้.. อ้าว มันไม่ได้ขัดแย้งกันนี่ คนละค่าย แต่ว่าการเอากับการให้นี่ 2 อย่างใช่ไหมขัดแย้งกันใช่ไหม แต่บุญนิยมนี่เต็มใจให้ แน่นอนคุณเต็มใจเอาแน่นอน คุณก็ได้ไปสมใจทุกอย่าง เราก็ไม่ติดใจ เราให้แล้วเราก็ไม่ได้ติดใจเพราะเราเต็มใจให้ เขาก็เต็มใจเอา แล้วมันจะไปขัดแย้งกันตรงไหน นอกจากคุณจะมีแฝงฝังอะไรอีกว่าให้ไปยังมีนัยแฝง เอาเถอะเดี๋ยวข้าจะคิดคืนเดี๋ยวมันไปออกดอกเดี๋ยวมันจะไปพยาบาท พวกเอ็งคืนมาให้ข้า ไม่มีไม่มีความทุจริตอะไรใดในจิตใจพวกนี้ให้อย่างบริสุทธิ์ใจ
เพราะฉะนั้นต้องไปอ่าน ทานสูตรของพระพุทธเจ้า ล.23 ข.49 ทานสูตร เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา(ท้าวกุเวร ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์) คือ ทำทานแล้ว
- ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ
- มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ
- มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ
- ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ อันที่ 2 ดาวดึงส์ คือ ทำทานเพราะว่าเห็นว่าเป็นความดี อันที่ 3 ยามา คือ ทำทานเพราะเพื่อเป็นประเพณี อันที่ 4 ดุสิต คือทำทานเพราะเห็นว่า สมณะหุงหาอาหารเองไม่ได้ อันที่ 5 นิมมานรดี คือทำทานเพราะทำตามฤาษีใหญ่ๆ อันที่ 6 ปรนิมมิตวสวัตตี ทำทานเพราะว่า อยากได้ปลื้มใจ(อตฺตมนตาโสมนสฺสํ) อันที่ 7 สหายแห่งพรหม คือทำทานอย่างมี จิตฺตาลงฺการ จิตฺตปริกฺขารํ (ต้องทำปุญญาภิสังขาร ทำทานเพื่อลดกิเลส)
เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจเรื่องทาน 4 ลักษณะนี้ได้ สาเปกโข สูงสุดถ้าคุณมีเยื่อใยคุณก็ ปฏิพัทจิตโต คุณยังมีแฝงติดยึดอยู่ยังมีอะไรจะต้องเป็นเรา เป็นของเรา เป็นของกูอยู่เป็นกูอยู่บ้าง แต่ที่นี้ สันนิธิเปกโข คุณตั้งกองคลังเลยว่าต้องเป็นของฉัน ต้องมาใส่ให้ฉัน ตอบแทนฉันนะตั้งกองคลังเก็บคืนเลย
อันที่ 4 นี้ ไปอีกชาติหน้าเกิดชาติหน้าเลย นี่แหละเป็นของฉันข้ามชาติเลยไปกี่ชาติกี่ชาติก็ของฉัน ฉันจะทำให้ได้กินชาติหน้า พวกนี้นี่พวกมิจฉาทิฏฐิ ในคำสอนในศาสนาธรรมะพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นที่สอนกันอยู่ทุกวันนี้ ในเถรสมาคม พวกศาสนากระแสหลัก มามีการทำบุญแล้วก็มาอนุโมทนาสาธุ แล้วก็ขอให้เป็นอะไรชาติหน้า รวยยิ่งขึ้นอะไรต่างๆนาๆ นอกรีตศาสนาพุทธเลย เป็นการตั้งจิตไว้ผิด เรียกว่า ตั้งจิตไว้ผิดยิ่งกว่าโจรฆ่าโจร นี่พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ เพราะฉะนั้น ตั้งจิตไว้ผิดนี่ ยิ่งกว่าโจรฆ่าโจรมันจะบานปลายไป กลายเป็นกรรมวิบากเป็นสิ่งที่เลอะเทอะเยอะแยะ นี่คือ ธรรมะพระพุทธเจ้าที่สุดยอด
เอาละยังมีวันอื่นแม้ในงานนี้อาตมาก็ยังมีอีกคาบหนึ่งที่จะมาอธิบายสำหรับวันนี้ก็พอเหมาะสมควรตามประสาแค่นี้ก่อน สำหรับวันนี้เจริญธรรมทุกคน …จบ