661113 บุญกับฌาน มีพลังงานต่างกันอย่างไร รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #46 ราชธานีอโศก ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1EFMZ41LDbdCy7VUH2HzCCQl0mEScLWfm/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1eMw5jao718NNa53NlpukQp_yKzxASX99/view?usp=sharing และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/661113-167-1—-46-e2bs5jv ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/ohLkur5z9d/ และ https://youtu.be/PQPfo0vUyiQ (มีซับ) พ่อครูว่า…เจริญธรรมทุกคน วันนี้วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน 2566 ขึ้น 1 ค่ำเดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก เราก็มาโอภาปราศรัยกันในเรื่องของธรรมะ ชีวิตไม่มีธรรมะก็ซวยไปทั้งชาติ ชีวิตที่มีธรรมะก็เจริญไปทั้งชาติ ใครจะเอาเจริญหรือจะเอาซวยก็แล้วแต่ เอ๊ะ.. ซวยภาษาไทยหรือภาษาจีน (โยมเข่งว่า ภาษาจีน ) แล้วภาษาไทยว่าไง …ซวยคือเสื่อม ไม่มีโชค โชคไม่ดี เป็นภาษาโลกีย์ซวยกับเฮง ไม่ซวยก็เฮง ซวยก็คือขาดทุนอะไรอย่างนี้ ที่จริงก็ควรจะเอาธรรมะคือ เจริญกับไม่เจริญ อานิสงส์การฟังธรรม อโศกสัมปวังโก อานิสงส์การฟังธรรม ๕ จักรู้ สิ่งที่ยัง มิเคยฟัง มิเคยรู้ สัทธรรม สยัมภู มิอาจรู้ ได้ด้วยตน จักเข้า ใจชัดกว่า ที่ฟังมา อาจสับสน การฟัง ซ้ำหลายหน จักวัดผล ความเข้าใจ ถ้อยความ ที่ขยาย ใหม่จักคลาย ความสงสัย อันความ ลึกล้ำไซร้ ยากที่ใคร จักหยั่งแล จักเห็น ได้ถูกตรง สิ้นความหลง โลกีย์แล้ เหตุแห่ง วิมุติแท้ สัตถาแล ทรงยืนยัน จักเกิด ความเลื่อมใส มั่นคงใน พรหมจรรย์ แฟนคลับ ทุกๆ ท่าน จงขยัน หมั่นฟังธรรม อโศก สัมปวังโก ๑๓ พ.ย.๖๖ พ่อครูว่า…คนชอบกลอนก็เขียน อย่างท่านเพาะพุทธ ท่านเทศน์ที่ใดไม่มีกลอนไม่มี บางทีเทศน์ 30 นาที ท่านก็จะว่ากลอนไปประมาณ 20 นอกนั้นก็จะว่าเนื้อไป 10 อะไรอย่างนี้ ท่านชอบของท่านมันอร่อยก็อร่อยไป แต่คนเข้าใจได้ก็ใช้เป็นเครื่องประกอบในการบรรยาย แล้วคนก็ซาบซึ้งอร่อยไปตามที่ได้รับรส ธรรมรสมันมีรสชาติ ก็ดี อย่าไปหลงผิวเผินไปติดกลอนติดเปลือกติดสนุกสนานเพลิดเพลินไปตามกวีการ มันก็ช้า มันก็ไม่ทะลุทะลวงไปถึงเนื้อหาแก่นแท้ มูลสูตร ๑๐ มีฉัน-ทะ เป็นมูล จึงค้ำคูณ ในมรรคา องค์ธรรม ปฐมพา จิตวิญญาณ์ ให้เป็นไท แดนเกิด คือมน- สิการะ นั้นขานไข สนาม-รบคือใจ ใช่ความใส ยามหลับตา เหตุเกิด นั้นหาใช่ รู้เมื่อไร้ เวทนา แท้คือ ผัสสะห้า กับจิตสา-มัคคีกัน สโม-สรณา ศูนย์ศึกษา เฉพาะขันธ์ อารมณ์ ร้อยแปดนั้น เรียกรวมกัน เวทนา ประมุข นั้นคือส- มาธิพระ-ศาสดา ยืนยัน ว่าต้องมา จากมรรคา เจ็ดประการ สติ นั้นเป็นใหญ่ อำนาจใด บ่เปรียบปาน ทรงความ เป็นปัฏฐาน สี่ประการ ล้วนสำคัญ สุคต ยกปัญญา ยอดศัสตรา เทียมพระขรรค์ เป็นยิ่ง ยุทธภัณฑ์ ใช้ห้ำหั่น กิเลสมาร วิมุติ คือผลลัพธ์ กิเลสดับ ตามต้องการ จึงถือ เป็นแก่นสาร อภิบาล พระสัทธรรม ผู้มี อมตะ เหนือกาละ อำนาจกรรม ที่หยั่ง – ลงสุดล้ำ ลึกเกินพร่ำ พรรณนา อีกป – ริโยสาน คือนิพพาน วิภพพา เวียนเกิด ไปจนกว่า จักได้มา พุทธภูมิ อโศก สัมปวังโก ๑๓ พ.ย.๖๖ พ่อครูว่า… เอาล่ะอาตมาไม่ขยายความ ก็เขียนเป็นกลอนมาก็ดีก็ชัดเจนอยู่ แต่เป็นภาษากวีหน่อย ผู้ที่ไม่เข้าใจภาษากวีไม่เข้าใจธรรมะก็อาจจะต้องตั้งใจฟังแล้วก็ค่อยๆแกะไป แต่เอาหล่ะอาตมาจะไม่ใช้เวลาแกะเรื่องนี้วันนี้ เพราะว่าเนื้อแท้ของธรรมะที่เตรียมไว้อธิบายกันอยู่ประจำก็เป็นเรื่องที่พูดนี่แหละ ปรมัตถธรรมพวกนี้สำคัญ เอา SMS ก่อน อ่านของแจ๊วก่อน _กราบพ่อครูผู้เมตตาเคารพบูชาอย่างสูงยิ่งค่ะ ท่านสอนดิฉันฟังธรรมซ้ำๆเข้าใจถึงรูปนาม กาละ เทศะ ฐานะ ปัจจุบันเขียนรูปติด ไชยาคั่วติดฝาหม้อค่ะ นามอยู่ในหม้อ ธรรมะ 2 รวมเป็นหนึ่ง อาหารหมด 00 กิเลสตัณหาความอยากหมดตัวตน จิตตื่นรู้ควรไม่ควร ไม่ทำตามใจชอบ กาละผ่านแต่เราเป็นผู้ไม่หยุดนิ่ง ดิฉันเป็นนักเรียนนักศึกษากว่าจะเขียนได้ พ่อครูติชมดิฉัน จิตวิตก วิจาร ปิติจบ อุเบกขาไม่สุขไม่ทุกข์ ขอบพระคุณพ่อครูผู้ให้ปัญญาหมดปัญหาแล้วล่ะค่ะ รวมคำถามจิตมี สูญ๐๐ คิดเห็นผิดหรือถูกคะ แจ๊ว น้อมยอดธรรมจะปฏิบัติตามพ่อค่ะและท่านสมณะค่ะ พ่อครูว่า… เอา จะตอบยังไง อาตมาต้องมาทำความเข้าใจกับที่ แจ๊ว เขียนมาแล้วถึงจะตอบ ก็คงจะอธิบายคนอื่นนั่นแหละก็ทั้งหมดที่ถามมา _สู่แดนธรรม… เขาถามถึงจิตเป็นศูนย์ พ่อครูว่า… จิตเป็นศูนย์จะไปคิดเห็นผิดหรือถูกจังเลยล่ะ สภาวะที่เราทำแล้วเราอ่านรูปนาม รูปนามสูญ ก็คือรูปนามมันไม่กิเลสมันสูญกิเลสไม่ใช่ สูญรูป สูญนาม รูปก็ไม่มีนามก็ไม่มีมันก็เป็นแท่งดินน้ำไฟลมเท่านั้น มันต้องมีความรู้รูปก็รู้ นามก็รู้นาม แล้วนามนั้นกิเลสมันสูญ นี่คือเป้าที่แท้ อ่านกิเลสให้ออกเลยกิเลสกาม กิเลสภพ กิเลสกามหมดก็เหลือกิเลสเข้าไปในจิต เรียกว่า รูปภพ อรูปภพ กิเลสรูปภพก็ทำให้มันหมดต่อ กิเลสรูปภพหมดก็เหลือกิเลสอรูปปภพ ก็ทำกิเลสอรูปภพหมดไปอีก เมื่อหมดทั้งกามภพ รูปภพ อรูปภพ 3 ภพนี้ กิเลสก็หมดสิ้นเกลี้ยง เอาไว้แค่นี้ก่อน _แสงอรุณ ถามมา น้อมกราบนมัสการหลวงปู่ด้วยความเคารพอย่างสุดเศียรสุดเกล้าค่ะ จากการความเมตตาที่หลวงปู่ได้ให้ข้อมูลเรื่องการศึกษาและกล่าวถึงหนังสือที่หลวงปู่เขียนไว้ หลานได้เปรยว่า หลวงปู่เขียนหนังสือไว้เยอะจนลูกหลานตามอ่านไม่ทันแล้ว พ่อครูว่า… อาตมาชาตินี้เกิดใหม่เขียนธรรมะขณะตั้งแต่เป็นฆราวาสอยู่ในโลกยังไม่รู้ตัวยังไม่มาทางธรรมะก็เขียน เขียนนวนิยายเขียนเรื่องรักใคร่ ก็ไม่มากเท่าไหร่ เขียนแล้วไม่ฮิตไม่ติดตลาดไม่ดัง นิดๆหน่อย เข้าโรงพิมพ์บ้าง แต่พอมาเขียนธรรมะแล้วนี่โอ้โห เขียนเป็นร้อยๆเรื่อง ร้อยๆเรื่องนะ แต่ชื่อเรื่องแต่ละเรื่องเป็นร้อยกว่าเรื่อง ไม่รู้ร้อยเท่าไหร่เขาทำสถิตินี้มาให้อยู่ในนี้ก็มีขี้เกียจงัดขึ้นมาดู เขาทำให้รวบรวมให้ ตั้งเป็นร้อยๆเรื่อง แต่ละเรื่องก็พิมพ์เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน บางเรื่องพิมพ์เป็นแสน มีพิมพ์ไม่ถึงล้านหรอก แต่มากถึงหลายแสน พิมพ์กระจายตอนนั้นเกิดเรื่องกันก็พิมพ์ ตอนนั้นเรื่องยูโทเปีย พิมพ์ซ้ำโดยที่ไม่ได้บอกว่าครั้งที่เท่าไหร่เพิ่มขึ้นแต่พิมพ์เป็นหลายแสนเล่ม สรุปแล้วการแจกหนังสืออาตมาก็แจกไปมากมายคนอาจจะไปทิ้งขว้างและไม่เห็นค่า _หลวงปู่ตอบว่า “ตามให้ทันสิ พวกเราตามไม่ทันแล้วใครจะมาตามทัน ไม่ต่อเนื่องแล้วคนอื่นเขาจะมาต่อติดเหรอ” จากคำตอบของหลวงปู่ หลานก็ได้สำนึกและได้สภาวธรรมว่า หลวงปู่เขียนหนังสือให้พวกเราอ่าน ถ้าเราเองไม่ตั้งใจพากเพียรพยายามทำความเข้าใจงานเขียนของหลวงปู่แล้ว เราจะสืบสานงานพระพุทธศาสนาต่อไปได้อย่างไร? ช่วงเข้าพรรษาที่ผ่านมาจึงตั้งตบะอ่านหนังสือปัญญา ๘ เล่ม ๒ ให้จบ และก็ทำได้สำเร็จ ไม่ล้มลุกคลุกคลาน กว่าครั้งก่อนๆ ที่ผ่านมาค่ะ หลานกราบขอโอกาสใช้ปัญญา ๘ ข้อที่ ๒ ถามความสงสัยจากการอ่านค่ะ จำเป็นไหมที่คนต้องรู้ว่าตนเป็นสายปัญญาหรือสายศรัทธา ๑.นักปฏิบัติธรรรมมีความจำเป็นไหม? ที่จะต้องรู้ว่าตนเองอยู่สายปัญญา หรือสายศรัทธา พ่อครูว่า… ก็ไม่จำเป็นเท่าไหร่ อย่างไรๆ คุณก็เป็นอย่างที่คุณเป็น แต่รู้บ้างเข้าใจว่าเออ..เราอยู่สายปัญญา เราอยู่สายศรัทธา ก็ดี มันจะได้มีปฏิภาณไหวพริบว่า เราเป็นศรัทธาเราต้องเพิ่มปัญญาให้มากๆ เราสายปัญญาก็ต้องพยายามสร้างศรัทธาให้มากๆ ศรัทธามันคือตัวหยุด ปัญญามันคือตัวกระจ่าง สว่าง มันมีลักษณะต่างกัน จริงๆแล้วมันจะต้องมีทั้ง 2 อย่าง อุภโตภาควิมุติ ต้องมีชัดเจนได้ทั้ง ศรัทธาคือจิต ปัญญาก็คือปัญญา ความรู้ ความฉลาด จิตกับความรู้ จิตกับความฉลาด มันก็ต้องมีสมบูรณ์แบบทั้งคู่ เพราะฉะนั้นจะต้องรู้ตัวเองไหม รู้ก็ดี ไม่รู้อย่างไรคุณก็เป็นอย่างที่คุณเป็นอยู่แล้ว ที่จริงมันก็พอรู้ตามปฏิภาณไหวพริบของคน ถึงแม้จะเป็นคนซื่อบื้อสายศรัทธาที่ปฏิภาณน้อย มันก็รู้อยู่ว่าให้มีความเฉลียวฉลาด ปัญญามันฉลาดภายนอกด้วย เกี่ยวข้องกับอะไรต่ออะไรต่างๆภายนอกด้วย ได้ละเอียดละออดี ส่วนศรัทธานั้นรู้แล้วมันรู้จบ รู้นิ่ง รู้หยุด รู้เป็นก้อนๆแท่งๆ รู้ไม่คิดมากแล้วก็เบา สบาย มันก็พาหยุดพาจบ มันก็ไม่กว้าง เพราะฉะนั้นกิเลสที่จริงมันคือทวารทั้ง 6 รวมแล้ว ศรัทธาจะไม่ค่อยเก่งทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย มันจะเก่งไปหยุดจิตแบบเดียรถีย์สอน นั่งหลับตา เพราะฉะนั้นนั่งหลับตาสะกดจิตเข้าไปในจิตแล้วดับนิ่งจนกระทั่งหลงผิดว่า ให้การดับนิ่งๆนี่คือนิโรธหมดกิเลส คือไม่ทุกข์แล้วไม่ต้องอะไรแล้ว จนลืมตามาก็ไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุงไม่อะไรทั้งนั้นบื้อ อย่างนั้น แล้วนึกว่านี่คือ การไม่ทุกข์ ไม่สุขแล้ว คือการเป็นอรหันต์ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ มันไม่จริง มันไม่รู้จักกิเลสที่แท้จริง เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าถึงได้สอนตามศีลแต่ละข้อ นี่คือความละเอียดละออทั้งหมด เพราะฉะนั้นนั่งหลับตานี้ไม่เกี่ยวเลย ศีลก็ไม่เกี่ยว ปัญญาก็ไม่เกี่ยว สะกดจิตเป็นสมาธิอย่างเดียว มันง่าย แล้วมันไม่บรรลุธรรมจริงเลย เพราะฉะนั้นตีทิ้งได้ หลับตาสมาธิ อาตมาก็พูดแล้ว ตีทิ้งได้ มันไม่ใช่ศาสนาพุทธ นั่งหลับตาสมาธิ มีอุปการะไหม…มี ไม่ขยายความแล้วขยายความมาหลายทีแล้ว อุปการะในการนั่งหลับตา เพราะฉะนั้นมาศึกษาดีๆไปตามลำดับ ตามแบบจรณะ 15 วิชชา 8 ซึ่งอาตมาก็อธิบาย ก็เมื่อยนะ มันลึกซึ้งธรรมะพระพุทธเจ้า แล้วมันครบครัน บริบูรณ์ ๒. ในหนังสือหลวงปู่เขียนไว้ว่า “ปัญญา” รู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความโลภโกรธหลง สายปัญญาเท่านั้นที่มีโอกาสเรียนรู้ความเป็นโพธิสัตว์ เช่นนั้นก็แสดงว่าชาวอโศกเราอยู่ในเขตสายปัญญา ใช่ไหมคะหลวงปู่ พ่อครูว่า… ใช่ แต่สายศรัทธาก็มีมาอยู่ในนี้ และเจริญด้วยปัญญาไปตามลำดับด้วย โดยเฉพาะอาตมานี่สายปัญญาโดยตรงสายเดียวกันกับพระสมณโคดม สายปัญญา สายพุทธิจริต เรียกว่าสายปัญญา จริตมี 4 อย่าง พุทธิจริต ศรัทธาจริต วิตักกะจริต มีราคะ โทสะ โมหะ อีก รวมเป็น 6 อย่าง _สู่แดนธรรม… พระสารีบุตรเรียบเรียงไว้พระไตรปิฎกเล่ม 29 มี ญาณจริตอีก พ่อครูว่า… ก็เยอะมันละเอียดละออกันไป แยกแยะให้มันละเอียด อาตมาอธิบายละเอียดเข้าไป จนรู้สึกว่าเราเองจะมากไปหรือเปล่า สอุปาทิเสสนิพพาน อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ บุญกับฌาน มีพลังงานต่างกันอย่างไร ๓. “ฌาน” เป็น “พลังงาน” ที่อยู่ในตระกูล “เคลื่อนไหว (dynamic) หรือธรรมมานุสารี เป็นพลังงานที่อยู่ใน “ตระกูลมี” แตกต่างจาก “บุญ” เป็นพลังงานที่ “ไม่มีตระกูล” เมื่อก่อนหลานยังมีความเข้าใจสภาวะของ บุญ กับ อุเบกขา ในความรู้สึกว่าเป็นสภาวะเดียวกัน แต่พอได้มาอ่านหนังสือ รู้สึกว่าพลังงานบุญยิ่งใหญ่กว่าเยอะ ขอสัมมาทิฏฐิ จากหลวงปู่ด้วยค่ะ _คำว่า “สอุปาทิเสสนิพพาน” กับ “อนุปาทิเสสนิพพาน” สองคำนี้ลึกซึ้งมาก ยังไปไม่ถึงขอจดจำไว้ก่อน แล้วอ่านต่อในปัญญา ๘ เล่มที่ ๓ ค่ะหลวงปู่ หลานจะพากเพียรพยายามต่อไปค่ะหลวงปู่ น้อมกราบขอบพระคุณหลวงปู่อย่างสุดเศียรสุดเกล้าค่ะ แสงอรุณ พ่อครูว่า… ก็มาขยายความคำว่า บุญ คำว่า ฌาน คำว่าฌานหรือคำว่าบุญนี่ เป็นพลังงานนั้นถูกแล้ว เป็นพลังงานนะ แต่เป็นพลังงานทางจิต ที่เรากำลังใช้พลังงานนี้ ไม่ใช่พลังงานทางวัตถุ ฌานก็เป็นพลังงาน บุญก็เป็นพลังงาน แต่เป็นพลังงานทางจิต เป็นสังขารจิต เป็นการปรุงแต่ง เป็นการสร้างมนสิการ สร้างจิตให้เกิดพลังงานอันนี้ เราจะต้องเข้าใจสภาพตั้งแต่ 2 ขึ้นมา ทำปฏิกิริยาร่วมกันตั้งแต่เป็นรูปวัตถุ มันก็เกิดพลังงานที่ใช้กันอยู่ทั่วไปทุกวันนี้ เป็นพลังงานทางวัตถุ เป็นพลังงานวิทยาศาสตร์ เป็นพลังงานทางปรมาณูที่ใช้กันอยู่ทำลายฉิบหายวายป่วงกันอยู่ทุกวันนี้เป็นวัตถุ ทีนี้พลังงานของจิต ทำลายได้ด้วย ฌานกับบุญนี่มีนัยยะสำคัญที่แตกต่างกัน ฌานเป็นพลังงานที่ใช้ถ้วนรอบหมด พลังงานฌานคือพลังงานปัญญา ปัญญาคือฌาน ใช้ถ้วนรอบหมด ส่วนบุญนั้นอาศัยฌาน มีความรู้ มีปัญญา แล้วปัญญานั้นไปรู้อะไร ปัญญานั้นไปรู้กิเลส ที่บุญอาศัย บุญมีหน้าที่กำจัดกิเลสอย่างเดียว มีหน้าที่เป็นเพชฌฆาต บุญนี่ คำว่าบุญ คำนี้ยิ่งใหญ่ที่สุด ในความเป็นศาสนา ทุกศาสนาไม่มีบุญ มีบุญอยู่ในศาสนาพุทธเท่านั้น และเขาไม่เข้าใจไปเข้าใจว่าบุญเป็นกุศล บุญไม่ใช่กุศล บุญไม่ใช่ธรรมะ บุญเป็นอธรรมะ ธรรมะเป็นเครื่องทรงไว้ เครื่องทรงอยู่ สภาพที่ทรงอยู่ทรงไว้นี่คือธรรมะ แต่บุญนี้เป็นการทำลายเครื่องอยู่ เครื่องทรงอยู่ มีอยู่ และทำลายอะไร ตอบ… กิเลสอย่างเดียว เข้าใจนิยาม เข้าใจคำจำกัดความ ที่อาตมาพยายามอธิบายให้ฟังดีๆ บุญนี่ทำหน้าที่นี้อย่างเดียว บุญไม่ใช่สิ่งควรสะสม แต่คุณจะต้องทำจิต พลังงานจิต ให้เป็นฌานไปถึงขั้นบุญ ฌานคือปัญญารู้จักกิเลส แล้วก็รู้จักวิธีทำให้กิเลสหมด ฌานนี่ นอกจากทำให้กิเลสหมดจริงๆ ดับแล้ว กิเลสดับสนิท ดับอย่างถาวรนิรันดร ญาณทัศนวิเศษหรือปัญญา หรือฌาน ต้องรู้ความจริงอันนี้ให้ตลอด จึงจบด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ สูงสุด จิตหมดกิเลสแล้ว ใช้วิมุตติญาณทัสนะหรือใช้ญาณทัศนะว่า มันหมดแล้วนะ หลุดพ้นกันที่แท้จริงแล้วนะ หลุดพ้นจากกิเลสที่แท้จริง ถาวร ยั่งยืน ไม่เกิดอีกเป็นธรรมดา ไม่เกิดอีกอย่างไม่เหลือเชื้อ เชื้อที่พาเกิดภาษาบาลีคือ อุปาทิ ไม่ใช่ อุปธิ ถ้าเป็น ธ จะเรียก อุปธิ อุปาทิ แปลว่า เชื้อแล้วเชื้อนี้เป็น ปุงลิงค์ เพศผู้เป็นเพศชาย มีหน้าที่ทำให้เกิด เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดดับ อุปาทิได้ ผู้นั้นจบกิจหมดจึงเรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ธาตุ หมายความว่าเป็นธาตุ อนุปาทิเสสนิพพาน หรือพลังงานจิตนี่ สามารถทำให้กิเลสนี้ดับสิ้นไม่เหลือเลย นี่แหละเป็นตัวธาตุของบุญ อนุปาทิเสสสนิพพานธาตุ นี่คือธาตุของความเป็นบุญ ถ้า สอุปาทิเสสนิพพาน มันยังเหลือกิเลส เขามีเชื้อ สอุปาทิเสสะ เสสะ แปลว่าเหลือ นิพพานที่ยังเหลือกิเลสเพราะฉะนั้นไม่ต้องสับสนหรอก สอุปาทิเสสนิพพาน อันหนึ่งมันเหลือกิเลส อีกอันหนึ่งมันไม่เหลือกิเลส เพราะฉะนั้นคุณจะเป็นพระอรหันต์และอธิบายความหมายว่า คุณเป็นผู้ที่บรรลุธรรมแล้ว เป็นโพธิสัตว์เป็นอรหันต์แล้ว ดับกิเลสที่เป็นเชื้อพาให้เกิดอีก สิ้นแล้ว ดับเชื้อสิ้นหมดแล้ว คุณก็เป็นอรหันต์ คุณก็เป็นผู้ที่ทำ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุได้ ไม่เหลือกิเลสแล้ว เพราะฉะนั้นจะไปอธิบายซ้อนว่า เหลือกิเลส สอุปาทิเสสะคือเหลือ มันก็วนสิ ก็เป็นอรหันต์แล้ว กิเลสไม่เหลือแล้ว ทีนี้ก็ไปสับสนผู้ที่ไม่เข้าใจโพธิสัตว์กับอรหันต์ แยกอรหันต์กับโพธิสัตว์ไม่ขาดจากกัน ก็สับสนไปบอกว่าพระโพธิสัตว์คือผู้ที่ยังมีเชื้อ มีเชื้อเกิด ก็เข้าใจเชื้อเกิดไม่ได้ว่าคือเชื้อเกิดที่ไม่มีกิเลส แต่เกิดขันธ์ 5 เท่านั้น เกิดร่างกายข้ามชาติไปเพื่อที่จะเป็นอรหันต์สูงไปตามลำดับจนสูงสุดเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทำหน้าที่โพธิสัตว์ สั่งสมความรู้เรียกว่าโพธิ ให้ไปถึงสูงสุดเป็นพระพุทธเจ้า แต่ก็ต้องจบกิจเป็นระดับๆ อรหันต์ถึง 6 ขั้น อรหันต์สูงสุดเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็รู้จบรู้จริง เพราะฉะนั้นกิเลสหยาบ กิเลสระดับอรหันต์ ก็รู้จักกิเลสตั้งแต่ สอุตระ อนุตรจิต จิตที่ยังเหลือกิเลส อนุตรจิต จิตที่ทำให้เจริญแล้วแต่ยังไม่จบ ด้วยเจโตด้วยปัญญา อยู่ด้วยสมาธิกับวิมุติ ทำให้จบ จบเพราะมันตั้งมั่น มันไม่เหลือกิเลสเกิดอีก หลุดพ้นจากโลกกาม โลกภพ อรูปภพ หมดจบ คุณก็จะเข้าใจภพ 3 เป็นอรหันต์ได้ ส่วนคุณเป็นโพธิสัตว์ต่อ เอาล่ะ เป็นอนุโพธิสัตว์ ก็ยังไม่ละเอียดละออพอ ก็จะรู้ไปตามลำดับของภพ ที่เรียนรู้ของตน จบของตนแล้ว ก็จะรู้ว่าอันนี้มันไม่เหมือนของตนนะ เราจบของเราแล้วแต่คนนี้มันแตกต่างจากเรา ก็ดู คนอื่น คนนี้เป็นอย่างนี้อย่างนี้ ก็ศึกษาไปก็จะรู้เพิ่มขึ้นว่า อ้อ.. กิเลสลักษณะพวกนี้ยึดแบบนี้แตกต่างกันไป ก็ศึกษาเอา เป็นโพธิสัตว์ อนุโพธิสัตว์ตามพระพุทธเจ้าไปเรื่อยๆจนเป็น อนิยตโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์ที่ มันยังไม่เข้าขั้นที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้า ยังไม่เที่ยง อนิยตแปลว่าไม่เที่ยง ไม่เที่ยงที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ยังไม่เข้ากระแสๆที่จะเป็นมหาวิทยาลัยที่ทำปริญญาสุดท้าย ปริญญาเป็นพระพุทธเจ้า อนิยตะ ก็จะรู้ตัวเองเพราะว่าถึงโพธิสัตว์ระดับนี้ ก็จะรู้จักจิตเจตสิกต่างๆกิเลสต่างๆว่าขีดขั้น ที่จะเข้าเขตเป็น สยังอภิญญา ขึ้นไป นิยตโพธิสัตว์แล้วเกิดเป็น สยังอภิญญาหลายชาติก็จะรู้ตัวเองดี สยังอภิญญา คือความรู้โลกุตรธรรม มีในตัวเองไม่ต้องเอาจากใคร มีในตัวเองแล้วเจริญในตัวเองถึงขั้น สัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็น นิยตโพธิสัตว์จึงไม่ต้องมีอาจารย์อีกแล้วจะเกิดอีกกี่ชาติ ไม่ต้องมีอาจารย์อีกเลย เป็นพระพุทธเจ้าได้ นี่คือการสอบเข้ามหาวิทยาลัยพระพุทธเจ้า เที่ยงนิยตะเที่ยงด้วย นี่อธิบายกันถึงขั้นมหาวิทยาลัยพระพุทธเจ้านะ พวกเราก็ฟังไป ฟังไปประดับบารมี ประดับความรู้ไป ยังไม่ถึงก็ เพราะฉะนั้นยังไม่มาพูดถึงผู้ที่มาเข้าใจสภาวธรรมโลกุตระอย่างพวกเราเข้าใจ เขาจะไม่มีรสชาติ ฟังแล้วไม่เกิดรสชาติเพราะเขาไม่รู้ เหมือนเด็กๆไร้เดียงสา เราไปพูดธรรมะที่เด็กๆรับรู้ไม่ได้ อย่างนี้ไม่รู้เรื่องเดี๋ยวก็หลับไม่รู้เรื่อง ไปบังคับความไม่รู้ในคนที่มันไม่มีทางจะรู้ ไปบังคับไม่ได้ มันไม่รู้เรื่องหรอก มันไม่มีภูมิที่จะรู้จริงๆ เช่น เทวนิยมที่ไม่ได้ใส่ใจศาสนาพุทธเลย ไม่มีทางที่จะรู้โลกุตรธรรม รู้นึกว่าพุทธเป็นเหมือนศาสนาเขาๆก็จะเข้าใจว่าเหมือนกันจะต้องให้ไปอยู่กับพระเจ้า เขาเข้าใจว่าสูงสุดคือพระเจ้า พุทธก็ต้องเหมือนกัน เป็น เจโต พาซื่อ ศรัทธา เขายังไม่เข้าใจว่าศาสนาที่ไม่มีพระเจ้าจะเป็นอย่างไร เพราะเขาเข้าใจพระเจ้าของเขาไม่ได้ พระเจ้าของเขาลึกลับ พระเจ้าของเขาก็คือพระศาสดา ความรู้ที่มี ความจริงที่มี เท่าที่ศาสดาของแต่ละศาสนาเขามี เช่น ศาสนาใหญ่ๆหลายๆศาสนา หรือศาสนาเล็กๆอีกก็แล้วแต่ ความรู้ของเขามันจำกัดอยู่แค่ในศาสดาแต่ละพระองค์ ความจริงของเขาก็เท่ากับที่ศาสดาแต่ละองค์มี เพราะฉะนั้นศาสดาที่เป็นเทวนิยมไม่ใช่พุทธ จึงมีเยอะแยะเลยแข่งกันเพราะต่างคนต่างนึกว่ายอด นึกว่ายอดทุกคน ไม่มีใครจะรู้เหมือนอย่างเขา แต่เขาก็ไม่รู้คนอื่นเท่าไหร่ แต่เขารู้ว่าเขายอดเท่านั้นเองยิ่งพุทธเขาจะไม่รู้เลยแต่พุทธนี้จะรู้จักศาสดา รู้จักเทวนิยมที่มีมาเพราะศึกษามาเป็นขั้นตอน จึงหมดอเทวนิยม อเทวนิยมไม่ใช่ไม่รู้ แต่รู้หมดแล้วไม่มีความสงสัยในเทวนิยม เพราะเข้าใจจิตเจตสิกต่างๆ อย่างละเอียดหมดเลย ละเอียดถึงขั้นที่อาตมาใช้พยัญชนะและเอาพระบาลีที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ มาใช้เท่าที่พอมี มีในพระไตรปิฎก มีในบาลีที่แปลความหมาย แล้วก็เอามาเรียบเรียงให้ฟัง ตามที่ท่านตรัสในพระสูตรบ้าง อาตมาก็ต้องต่อให้ฟัง เช่น พลังงานของธรรมนิยาม 5 พลังงาน 1. เป็นพลังงานขั้นอุตุ ขั้นวัตถุเท่านั้น จะสูงส่งระดับในหน่วยพระอาทิตย์ สูงส่งระดับปรมาณู ไม่ใช่ชีวะ ความหมายที่ชัดเจนก็คือ มันไม่ใช่ชีวะ มันจะแรง จะมาก จะสูงส่งเท่าไหร่ ภูเขาไฟระเบิดพระอาทิตย์ 1 ดวง พลังงานในพระอาทิตย์ไม่มีชีวะ เป็นมหาภูตรูป ดิน น้ำ ไฟ ลม มหาภูตรูปมี 4 แล้ว ทีนี้เริ่มเป็นชีวะ ชีวะก็คือ ความเจริญเรียกว่า ภูตะ หรือภูต คือความเจริญ เจริญมาเป็นชีวะ เริ่มมาเป็นชีวะอันแรกเรียกว่า ภูตคาม คามนี่ ก็เรียกว่าเจริญเป็นพวกบ้านพวกเมือง ไม่ใช่พวกป่าพวกเถื่อน ไม่ใช่คนเถื่อน เป็นคนเมือง คนเจริญ คาม เพราะฉะนั้นพลังงานของธาตุรู้เริ่ม ภูต เป็นชีวะอันแรก อาศัยคำว่า คามะ ก็บอกว่าเจริญเข้าสู่ชีวะแล้วนะ มหาภูตรูป 4 นั้นไม่ใช่ชีวะเลย พอเริ่มมีหน่วยของความเป็นชีวะเรียกว่า ภูตคาม ก็สั่งสมความเป็นชีวะในตัวเอง ก็จะก่ออยู่ในนั้น ก็จะเป็นพวกหัว เป็นพวกเหง้า โตอยู่ในตัวเอง หัวมัน หัวเผือก เหง้ามัน เหง้าเผือก เป็นต้น หรือหัวแห้วหัวหญ้าแห้วหมู อะไรก็แล้วแต่ หัว ก็อยู่ของมันเท่านั้น จนกว่าในหัวของมันงอกพืชงอก พีชะ เป็นใบ เป็นกิ่ง เป็นก้าน เป็นดอกออกมา แรกๆก็จะมีก้านเดียว กิ่งเดียว เป็นลำเดียว หนักเข้าก็มีแยกหลายก้าน หรือก้านนี้ก็มีมาออกอีกหลายก้าน ซึ่งก็ละเอียดละออไปอีก ก็จะเกิดมาเป็น พีชะ มีใบ มีก้าน มีกิ่ง ต่อไปก็เป็นผล เป็นลูก เป็นดอก อะไรต่ออะไรเพิ่มขึ้นเป็น พีชธาตุ เพราะฉะนั้น ภูตคาม เจริญมาเป็น พีชคาม จากพีชคาม เจริญมาเป็นจิต ตัวนี้เรียก เจตะ ก็มาเป็นเจตภูต จากพีชคามมาเป็นเจตภูต เจตภูต เป็นพลังงานที่มันจะเข้ามาหา จิต เพราะฉะนั้นก็จะไม่เป็นอยู่แค่พืช พืชจะเจริญอย่างไร ไอ้เจ้านี่จะออกจากนอกกรอบพืชแล้ว เจตภูต เป็นพลังงานไม่ไปติดไปเกาะอยู่ในต้น ถ้าพืชแล้วเคลื่อนที่จากราก เคลื่อนที่จากที่เกาะของตัวเองไม่ได้ แต่เจตภูต คือ ความเจริญของ เจต มันออกจากตัวนี้ได้ เป็นพลังงานออกไปเป็นผี ที่เขาบอกว่าเป็นผี เจตภูตคือผี เขาก็บอกว่าเป็นแสงวามๆแวบๆวามๆ เป็นผีอะไรต่ออะไรบ้าง มีผีกระสือ มันแล้วแต่จะว่าไป เคลื่อนที่ เป็นพลังงานที่ออกจากต้นไม้ จะมาเป็นชีวะที่เจริญกว่าพลังงานพืชแล้ว เป็นชีวะที่เจริญกว่าพลังงานพืช หลุดออกมา แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไรก็เรียกว่า เจตภูต เขาก็เลยบอกว่ามันเป็นพลังงาน เอาแต่แค่ได้ยินเสียงเขาก็เรียกว่า ผี ได้เห็นรูปเขาก็เรียกว่า ผี ได้แต่กลิ่นเหมือนกลิ่นดอกไม้ เหมือนกลิ่นธูป เหมือนกลิ่นเทียน อะไรก็แล้วแต่เขาก็เรียกว่า ผี ก็เอาจากรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มาขยายความ มันเริ่มเป็นพลังงานที่ประกอบด้วยรูปรส เป็นสิ่งสัมผัสจากตาหูจมูกลิ้นกาย ตาหูจมูกลิ้นกายนี้เป็นสัตว์ เจตภูต ที่เข้ามาหาความเป็นสัตว์ เจตภูต เข้ามาหาเป็น เจตสิก จากเจตสิกก็มาเป็นปาณะ ปาณะนี่แหละ เป็นตัวกลางของการเป็นสัตว์ นี่แหละ ข้ามขีดมาจะเป็นสัตว์แล้ว พระพุทธเจ้าถึงตรัสไว้ว่าถ้ามันเป็นพืชมันไม่มีบาป ถ้ามันเป็นสัตว์มันจะบาป เพราะฉะนั้นอย่าไปทำลายพลังงานระดับ ปาณะ ปาณาติปาตาเวรมณี อย่าไปทำลายพลังงานระดับนี้ โพธิสัตว์จึงจะรู้เรื่องของ ปาณะ หรือ ปาณาติปาตาเวรมณีอย่างที่อาตมาอธิบาย ไม่ใช่โพธิสัตว์ระดับอาตมา ก็อธิบายว่าอย่าฆ่าสัตว์ ก็พูดกันหยาบๆเท่านั้น สัตว์มันยังตัวหยาบ ตัวใหญ่ กว่าปาณะเยอะ ในพลังงานจิต เข้าใจไหม เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าถึงสอนไว้นี้สอนโพธิสัตว์ อย่าทำให้ปาณะตกร่วง อย่าให้ตกต่ำจะให้สูญเสีย เพราะพลังงานมันสร้างขึ้นมา ที่จริงมันก็มาตามธรรมชาติ เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นผู้ที่จะมาเรียนรู้ธรรมะแล้ว จึงจะมาทำลายพลังงานธรรมชาตินี้ดับไปได้ ทำลายจิตนิยามมาเป็น พีชนิยาม มาเป็นปาณะ เป็นเจตสิก จนกระทั่งมาเป็นมหาภูตรูป อาศัยสิ่งเหล่านี้ไปตามลำดับ ควบคุมได้ รู้จักพลังงานไปตามลำดับ เพราะฉะนั้นเมื่อผู้รู้ถึงขั้น อย่างอาตมานี่รู้ถึงขั้นจึงอธิบายสู่ฟัง เพราะอาตมาต้องอธิบายไว้ ศาสนาพุทธไม่มีใครอธิบายได้เท่าอาตมาแล้ว ในศาสนาพระสมณโคดม ในยุคนี้ไม่มี ขออภัยนะไม่ได้คุยตัวเองอะไรแต่พูดความจริง ผู้เข้าใจความจริงแล้วก็ไม่มีปัญหาแต่ผู้ไม่มีความจริงเขาไม่เชื่อ เขาจะอาเจียนก็ต้องขออภัย หมั่นไส้เป็นการพูดคุยตัว ที่ท่านรู้สึกไม่สบาย แต่อาตมาไม่ได้เจตนาจะพูดให้คุณหมั่นไส้จนจะอ้วกก็เรื่องของคุณเอง คุณเองไปสร้างความหมั่นไส้จนจะอ้วกมาเอง แต่อาตมาไม่ได้เจตนาจะให้มันเกิดอาการเหล่านั้น อยากให้คุณเข้าใจ เพราะอาตมาอธิบายนี้เป็นสัจธรรม เพราะฉะนั้นผู้ที่สามารถรู้จักพลังงานทางจิตได้อย่างที่อาตมาอธิบายนี้ ไม่ใช่มีแต่ภาษาเล่นวาทะคารม แต่เป็นสัจธรรมของเนื้อแท้ของปรมัตถธรรมของจิต เจตสิก รูป นิพพานที่แท้จริง เพราะฉะนั้น เมื่อผู้ใดสามารถเข้าใจได้ทุกขนาด จึงสามารถกำหนดรู้จิตนิยาม รู้พีชนิยาม รู้อุตุนิยามได้ แล้วก็จัดการทำคือ มี “กรรม”การกระทำ ให้มันทรงอยู่ตามที่เราต้องการ ธรรมะ ทรงอยู่ตามสภาพที่ได้อธิบายไปแต่ละอย่างให้ได้อยู่อย่างไร จะอยู่อย่างอุตุ อยู่อย่างพืช อยู่อย่างจิตนิยาม นี่เป็น 3 อย่าง ที่เป็นหลัก ที่เหลือเป็นรายละเอียดที่อาตมาอธิบายไป ตั้งแต่เป็นมหาภูตรูปจนถึง ปาณะ สัตตะ จนไปถึงจิตนิยาม คุณก็จะต้องรู้สภาวะพลังงานเหล่านั้นตามลำดับที่ว่านี้ แล้วทำได้ ฌาน กับ บุญ นั้นมีนัยสำคัญที่ต่างกัน ต่างกันตรงที่ว่า คำว่าบุญนั้นมีหน้าที่เป็นพลังงานฌานนั่นแหละ แต่พลังงานฌานที่รู้ว่าหน้าที่ของพลังงานบุญนั้น คือพลังงานในจุดที่มันกำจัดกิเลส ฆ่ากิเลส หมดสิ้นอาสวะ บุญนี่คือ ปัญญามีในบุญด้วย ที่รู้จักอาสวะ แล้วก็กำจัดอาสวะสิ้นได้ เมื่อกำจัดอาสวะสิ้นได้แล้ว ก็จบคำว่า บุญ อาตมาอยากจะแก้ให้แสงอรุณเข้าใจว่า ฌาน กับ บุญ นั้นมีนัยสำคัญที่ต่างกัน ต่างกันตรงที่ว่า คำว่าบุญนั้นมีหน้าที่เป็นพลังงานฌานนั่นแหละ แต่พลังงานฌานที่รู้ว่าหน้าที่ของพลังงานบุญนั้น คือพลังงานในจุดที่มันกำจัดกิเลส ฆ่ากิเลส หมดสิ้นอาสวะ บุญนี่คือ ปัญญามีในบุญด้วย ที่รู้จักอาสวะ แล้วก็กำจัดอาสวะสิ้นได้ เมื่อกำจัดอาสวะสิ้นได้แล้ว ก็จบคำว่า บุญ เพราะฉะนั้น ปัญญาที่สูงกว่าบุญ คือปัญญาที่ไม่มีบุญแล้ว คนที่ไม่มีบุญแล้วคืออรหันต์ขึ้นไปใช่ไหม ใช่ เพราะฉะนั้นปัญญาที่มันสูงกว่าอรหันต์ขึ้นไป นี่แหละปัญญาไม่มีบุญ ฟังต่อตรงนี้เอาไว้ ปัญญาที่ไม่ต้องใช้บุญแล้ว เป็นความรู้ที่เกินกว่าบุญแล้ว บุญมีหน้าที่แค่ตัดกิเลสอาสวะเท่านั้น จบสิ้น เพราะฉะนั้น จิตที่เหลือ จากหมดอาสวะสิ้นแล้ว คือจิตอนุสัย ความแตกต่างจากอาสวะ กับ อนุสัย จึงแตกต่างกันตรงนี้ ตรงที่อนุสัยนั้น อาสวะยังไม่หมด ก็คืออนุสัยยังมีด้วย แต่ผู้ที่ทำอาสวะสิ้นแล้ว ผู้นี้ยังเหลืออนุสัย อาศัยเพราะฉะนั้นโพธิสัตว์จะรู้จักอนุสัยอาสวะ แยกอนุสัยกับอาสวะได้ ผู้จบอาสวะแล้วก็จบกิจในการที่จะทำลายจิตนิยามทั้งหมด แล้วจะเกิดอีกจะเสริมสร้างความรู้ต่อไปอีกเพิ่มโพธิสัตวภูมิอีกก็เชิญสิ คุณจะไปเป็นอนุโพธิสัตว์แล้ว ปรินิพพานเป็นปริโยสาน จะเป็นนิยตโพธิสัตว์แล้วก็ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เอาแค่นี้ได้หมดทุกท่านเป็นมหาโพธิสัตว์ก็ไม่เอาแล้วเป็นอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณหรือเป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วไม่เอา เอาแค่มหาโพธิสัตว์ แล้วคุณก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ได้ทั้งนั้น แต่ถ้าคุณได้ถึงนิยตโพธิสัตว์แล้วนี่ มันเข้ามหาวิทยาลัยพระพุทธเจ้าได้แล้วคุณจะไม่เอาหรือ จะหนักหนาสาหัสเท่าไหร่ก็สู้หน่อยน่ะ มันก็อาจจะใช้เวลาหน่อย ขยันดีๆตั้งใจดีๆมันก็ไม่ใช้เวลาหลายร้อยกัปเท่าไหร่หรอก แต่ถ้าใช้ปัญญาไม่ดีก็หลายร้อยกัปหน่อย อย่าให้เหมือนดอกเตอร์ขวัญดินก็แล้วกัน ใช้เวลานานเหลือเกินกว่าจะจบเป็นด็อกเตอร์ใช้เวลาไปตั้ง 10 ปี ดร.ขวัญดิน สิงห์คำ กว่าจะเป็นด็อกเตอร์ ก็อย่าให้เป็นอย่างนั้น ขออภัย เอาดอกเตอร์ขวัญดินมากล่าวเป็นตัวอย่างในที่นี้ สรุปอีกทีหนึ่ง ฌาน เป็นพลังงานที่จะใช้อยู่ในชีวิต แม้เป็นอรหันต์แล้ว เป็นโพธิสัตว์อยู่ก็ต้องใช้ฌานตลอด แต่บุญนั้นแค่เป็นอรหันต์ก็ไม่มีแล้ว ไม่ต้องใช้แล้วบุญ หมดกิเลสแล้ว เป็นอรหันต์แล้วบุญก็จบ แต่ฌานนั้นพระอรหันต์โพธิสัตว์ต้องใช้ตลอดกาล แม้ที่สุดเป็นพระพุทธเจ้าก็ยังใช้ฌาน เพราะฉะนั้นคำว่า ฌาน จึงเป็นพลังงานอจินไตย ฌานวิสัย ของศาสนาพุทธจึงไม่ใช่เข้าใจได้ง่ายๆเลยมันไม่ต้องไปนั่งเข้านั่งออก มันมีตลอดใช้งานเพราะฌานคือ ปัญญาปัญญาคือฌาน เมื่อบุญฆ่ากิเลสหมดแล้ว อาสวะสิ้นแล้ว ก็จบกิจแล้วนี่ เพราะฉะนั้นพลังงานฌานก็ยังใช้อยู่ อาศัยอยู่ มีนิสัย เป็นวิสัยของฌาน เป็นอนุสัย ฌานอยู่ในอนุสัยของพระอรหันต์หรือของโพธิสัตว์นั่นเอง เป็นพลังงานที่จะต้องใช้ในความฉลาด แล้วต้องใช้เรียนรู้ เมื่อเป็นอรหันต์เป็นโพธิสัตว์ระดับ1 ได้แล้ว จะเป็นโพธิสัตว์ระดับ 2 เป็นอรหันต์ระดับ 2 ไปอีก คุณก็จะต้องเรียนรู้จาก การที่จะใช้ฌานหรือใช้ปัญญา ปัญญากับกิเลส เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วกิเลสมีมั้ย จะมีแต่กิเลสอยู่ที่อื่น กิเลสอยู่ข้างนอก พอกิเลสมันวิ่งมาเจอปัญญา มันวิ่งหนีหูตูบ พระอรหันต์ขึ้นไป จึงไม่จำเป็นต้องไปใช้เรี่ยวแรงอะไรกับกิเลสอีก แต่ถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์ชั้นสูง เป็นอนุโพธิสัตว์ แน่นอนกิเลสมันก็ตอแยกับคุณบ้าง ใช่ไหม คุณยังไม่เก่งจนกระทั่งมีรังสี มีรัศมีให้อาตมาพูดที่บอกว่า กิเลสหรือมารมันมาเจอหน้าปัญญานี่มันวิ่งหนีหูตูบเลยนะ มันหมายความว่า ผู้นี้ต้องมี ภูมิธรรมสูง ในระดับอย่างน้อยก็ระดับนิยตโพธิสัตว์ขึ้นไป ถ้ายังไม่ถึงนิยตโพธิสัตว์กิเลสมันก็ตอแยกับคุณบ้าง เป็นอนุโพธิสัตว์ก็ตอแยมากหน่อย เพราะเป็น อนิยตโพธิสัตว์กิเลสก็ไม่ค่อยกล้า ยิ่งเป็นนิยตโพธิสัตว์กิเลสก็ยิ่งน้อย ไม่กล้าตอแย มหาโพธิสัตว์ก็ยิ่ง โอ้โหไม่เข้าใกล้เลย ยิ่งเป็นพระพุทธเจ้าอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สุดยอด สรุปอีกทีหนึ่งว่า บุญมีวันหมด แต่ฌานไม่มีวันหมด เห็นไหม ฌานวิสัยเป็นอจินไตยที่เข้าใจยาก บุญมีวันหมด แต่ฌานไม่มีวันหมด เป็นพลังงานจิตทั้งคู่ แต่บุญนี้เป็นพลังงานจิตที่เป็นเพชฌฆาต ส่วนบุญนั้นเป็นเพชฌฆาตด้วย แล้วเป็นเทวดาด้วย ฌานเป็นเพชฌฆาตและเป็นเทวดาด้วย แต่พอเป็นเพชฌฆาตมาถึงฌานที่ 4 ยกหน้าที่ให้บุญ คุณเป็นผู้รับหน้าไปว่าไอ้ที่ไปฆ่าเขาตายนั้นฌานไม่เกี่ยวนะจ๊ะ บุญเป็นคนฆ่านะจ๊ะ เหมาให้บุญรับไป เห็นไหมนี่มันมีความลึกซึ้งซับซ้อนอย่างนี้ เพราะฉะนั้นฌานจึงเป็นตัวดี ดูดี แต่บุญไม่ดี บุญดูแล้วเป็นนักฆ่าอำมหิต แต่ไม่อำมหิตระรานอะไรใครหรอก กิเลสตัวมารตัวเดียวผีตัวเดียว กิเลสเท่านั้น บุญฆ่าแต่กิเลสไม่ฆ่าอย่างอื่น เพราะฉะนั้นบุญจึงจะต้องมีความฉลาดมากว่าอย่าไปฆ่ากิเลสผิดนะ ถ้าฆ่ากิเลสผิดกิเลสคือตัวโง่ คุณก็โง่วนเข้าไปคุณฆ่ากิเลสคุณไปโง่ คุณไปฆ่าโง่เข้าไปอีกไม่ใช่คนฉลาดขึ้นนะ คุณไปฆ่าโง่ของคุณอีก คุณฉลาดขึ้นหรือคุณโง่มากขึ้น เห็นไหมความซับซ้อนของสิริมหามายา คุณไปฆ่าโง่ ไม่ใช่คุณฆ่าโง่ที่มันโง่ มันไม่รู้กิเลสไม่รู้อะไร แล้วคุณไปฆ่าไอ้ตัวนี้อีกมันไม่มีปัญญาแล้วคุณก็ไปฆ่าเอง คุณก็ยิ่งอับปัญญา คุณก็ยิ่งไม่มีปัญญาซับซ้อน อันนี้ไม่มีพยัญชนะจะอธิบายแล้วภาษาอธิบายได้แค่นี้มันซับซ้อนจน มันเป็นอะไรกันแน่ _สู่แดนธรรม… เสียเศรษฐกิจครับ พ่อครูว่า… เสียพลังงานเศรษฐกิจเสียการเปล่าๆไปทำทำไม ก็จะชัดเจนนะว่า ฌานกับบุญ มีหน้าที่ต่างกันบุญมีหน้าที่ฆ่าอย่างเดียวส่วนฌานนั้นฆ่าด้วย แต่พอเวลาฆ่าสุดท้ายก็จะใช้ฆ่าอาสวะสิ้นจริงๆนั้นโยนไปให้บุญ จัดการไปก็แล้วกันเป็นเพชฌฆาตมือสุดท้าย _สู่แดนธรรม… สรุปว่า บุญมีวันปลดเกษียณใช่ไหมครับ พ่อครูว่า… เออ อธิบายอย่างนี้ก็เข้าใจง่ายขึ้น บุญมีวันปลดเกษียณ แต่ฌานไม่มีวันปลดเกษียณจนกว่าจะสลายร่างไปเป็นดินน้ำ ไฟ ลม ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ฌาน ถึงจะหมดไปด้วย แต่ถ้าเผื่อว่าบุญนั้นเป็นพระอรหันต์ก็หมดแล้ว ปลดเกษียณแล้วเป็นพระอรหันต์แล้ว ขยายความ BFF Vลึกซึ้งเข้าไปสับสนไหม.. ไม่สับสน เราอธิบายเก่งหรือคุณเป็นคนฉลาดนะ นี้ก็มาต่ออีกคำตรงที่ว่าสรุปแล้วนี่นะ สอุปาทิเสสนิพพานกับ อนุปาทิเสสนิพพาน ผู้ที่ยังวน ยังสับสนก็จะบอกว่า สอุปาทิเสสนิพพานคือ เสขบุคคล ยังดับกิเลสหมดสิ้นอุปาทิไม่ได้ ส่วน อนุปาทิเสสนิพพาน คือ ผู้ที่ดับเชื้อที่จะพาเกิดได้แล้ว เป็นอรหันต์แล้ว นี่เขาก็สับสนตรงที่ว่า เมื่อเป็นอรหันต์แล้ว มาเกิดต่อภพภูมิเป็นโพธิสัตว์อีก อ้าว แล้วไหนว่าเชื้อพาเกิดตายแล้ว ทำไมเกิดเป็นโพธิสัตว์อีก คนที่เรียนรู้แต่อรหันต์ไม่เรียนรู้โพธิสัตว์จึงบื้อตรงนี้ บื้อ แปลว่าอะไรไม่เข้าใจเอง อาตมาไม่ได้ว่าเขาโง่นะ ไม่ได้ว่าเขาไม่รู้ เขาสับสนตรงนี้ ตรงที่ว่า สอุปาทิเสสนิพพานคือ ยังเหลือกิเลส อนุปาทิเสสนิพพานคือไม่เหลือเชื้อเกิดแล้ว แต่จะเกิดอีกก็ต่อภพภูมิเป็นโพธิสัตว์ที่สูงขึ้นๆ จากอรหันต์ที่ 1 แล้ว ที่ 2 ก็ดับ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ได้ทั้งนั้น สับสนอะไร เพราะฉะนั้นคนที่ยังไม่จริงจึงไปเข้าใจว่า เป็นเสขะคือ เป็นผู้ที่ยังไม่หมดเชื้อ ท่านหมดแล้วสิ แต่เชื้อที่จะพาเกิด แต่ท่านเกิดได้มันเป็นภาษาสิริมหามายา ท่านพาเกิดเป็นโพธิสัตว์ที่จะสูงขึ้นไปอีกแต่ละภพภูมิ แต่ท่านก็ไม่ต้องมีภพภูมิได้แล้ว เป็นแต่เพียงว่าท่านจะทำหรือไม่ทำ มันเป็นเรื่องอิสรเสรีภาพของบุคคลผู้นั้น นี่คืออิสรเสรีภาพที่สูงสุด พระเจ้าอย่ามายุ่งกับฉัน ฉันจะเกิด จะตายอย่างไร อย่ามายุ่ง จะบอกว่าตายแล้วต้องไปอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าเป็นเจ้าของจิตวิญญาณไม่ใช่ จิตวิญญาณเป็นของฉัน ไม่ใช่ของพระเจ้า จิตวิญญาณเป็นของเราเอง ไม่ใช่ของพระเจ้า ตายแล้วต้องไปอยู่กับพระเจ้าไม่ใช่ เราทำแล้วสลายเป็นดิน น้ำไฟ ลม ไปหมดเลย พระเจ้าเด๋อเลย ตรวจบัญชี ทำไมคนนี้ตายแล้วไม่มา พระเจ้ารู้หรือเปล่าว่า เราไม่ได้อยู่ในบัญชีของพระเจ้า แต่เราก็เป็นจิตวิญญาณนะ แสดงว่าเราเป็นจิตวิญญาณที่นอกบัญชีพระเจ้าตกจากบัญชี พระเจ้าไปถามสุวรรณ สุวาน ดูว่าคนนี้ตกบัญชีหรือไม่ ทางโน้นเขาจะไม่รู้เรื่องสุวรรณสุวานอะไรหรอก ทางเทวนิยมไม่รู้เรื่อง เขาก็เชื่อมั่นอยู่ว่า จิตวิญญาณเป็นของพระเจ้าทั้งหมด พระเจ้าของเราทั้งนั้นจะเกิดจะตาย และไม่ตาย ถ้าไม่มีการตายสูญ พระเจ้าไม่มีการหมด จะต้องอยู่สูงสุดอยู่กับพระเจ้า จริงๆแล้วเขาอธิบายสูงสุดไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว แล้วจะต้องเวียนตายเวียนเกิดอีกไหม เขาก็จะไม่ค่อยรู้เรื่อง มีศาสนาบางศาสนาที่ศึกษาว่ามีการเวียนตายเวียนเกิดอีก แต่สุดท้ายก็ต้องไปอยู่กับพระเจ้า พวกเทวนิยมที่ยังไม่รอบถ้วน ก็รู้ว่าตายเกิดก็มี ตายไม่เกิดก็มีอะไรอย่างนี้ ตายสูญก็มี ตายไม่สูญก็มีอะไรอย่างนี้เป็นพวกที่ยังไม่สมบูรณ์ เราก็จะเข้าใจอย่างนั้นจริงเข้าใจยังไม่ครบ เพราะฉะนั้นที่ถูกต้องที่สุดแล้ว อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ กับ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ คือจบแล้วไม่มีเชื้อไม่มีเชื้อ แม้มีเชื้อก็สามารถควบคุมให้ไม่เกิดอีกได้ ไม่ต้องสับสน จะเป็นก็ได้จะตายก็ได้ ผู้ที่ชัดเจนไม่ต้องไปสับสนว่า จะต้องเป็นไปวนเป็นผู้ที่เป็นเสขบุคคล เป็นอรหันต์แล้วเป็นเสขบุคคล แต่ ศึกษาภูมิโพธิสัตว์ไม่ใช่ศึกษาแค่หมดกิเลส กิเลสตนเองรู้หมดแล้ว แต่เหลือกิเลสที่คนอื่นเป็นที่ต้องศึกษา เช่นว่า เราเกิดมาใช้ขันธ์ 5 ตอนนี้ขันธ์ 5 เรามีอย่างนี้ เราก็ใช้ขันธ์ 5 ของเราอย่างนี้ เป็นสัตว์ เป็นคน คนแต่ละคนขันธ์ 5 ของแต่ละคนกิเลสก็ไม่เหมือนกัน ยึดติดไม่เท่ากัน บางคนก็ยึดอันนั้นบางคนก็ไม่ยึดอันนั้นไม่เท่ากันไม่เหมือนกัน ยิ่งไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน ฉะนั้นพระโพธิสัตว์ บางทีจะต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพื่อให้รู้จริงว่า แล้วจริงๆมันติดยึดหรือมันไม่ติดยึด มันโง่ยังไง ก็จะต้องไปเป็นตามจริง แต่ก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องต่ำ เดรัจฉานเป็นเรื่องต่ำ แต่ถ้ายังสงสัยก็ต้องไปเกิด เพราะฉะนั้นโพธิสัตว์จึงมีไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง แต่ไม่ได้เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานชั้นต่ำอะไร แต่เป็นสัตว์เดรัจฉานชั้นสูง อันนี้เป็นรายละเอียดที่ค่อนข้างจะมากจะเยอะนะ โพธิสัตวภูมิ เป็นภูมิของโพธิสัตว์ ที่อาตมามีก็อธิบายไว้ เพราะว่าอย่างไรก็อธิบายไว้ในมหาจักรวาลนี้ ในมนุษยชาตินี้ ในจิตวิญญาณของพวกคุณแต่ละคนๆ ก็จะได้สืบสานกันต่อไป ใครจะสืบสานอีกคุณก็ต้องมีความรู้ที่อาตมาให้ไว้นี้ คุณคิดเองอย่างที่อาตมาพูดยังไม่ได้หรอก เพราะคนต้องสั่งสมความรู้จากต้นตอจริงๆคือพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่รู้จักเรื่องจิตวิญญาณครบที่สุด ไม่มีใครรู้มากเรื่องจิตวิญญาณมากที่สุดเท่าพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง พระพุทธเจ้าที่เป็นพระพุทธเจ้า มีสัพพัญญุตญาณสูงสุดแล้ว ที่เป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ประกาศตนเป็นพระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งเท่านั้น แต่ท่านก็มีภูมิเท่ากับพระพุทธเจ้า เคยอธิบายไปแล้วและท่านก็ปรินิพพานไป ไม่สร้างศาสนาของตัวเอง จึงไม่มีทำเนียบของความเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งชื่อว่าอันนี้ๆไม่มีใครรู้จักท่าน ท่านปรินิพพานปริโยสานของท่านไปเองหายไปจบนี่ก็เคยอธิบายไว้แล้ว เพราะฉะนั้นที่เรียกกันอยู่ว่าพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง มันหมายความว่าอะไรก็คือหมายความว่าอย่างนี้ เข้าใจชัดเจนไหม มันไม่ได้มีอะไรที่สับสนยาก เป็นพระพุทธเจ้าที่ไม่ได้ไปสร้างศาสนาให้ตัวเอง เอามาประกาศให้คำสอนของตัวเองต่อคนในยุคของท่าน ในกัป พุทธกัปของท่านก็จะต้องมีศาสนาของท่าน ก็ต้องประกาศในยุคที่เหมาะ แต่ท่านไม่ประกาศ ท่านก็ปรินิพพานของท่านไป ท่านไม่ได้ไปเข้าตำแหน่งประกาศตนประกาศตัว สมัครเป็นประธานาธิบดี สมัครเป็นนายกอะไรอย่างนี้ ไม่เอา แต่ท่านมีความรู้เท่ากันกับนายกยิ่งกว่าด้วยก็ได้ ก็เท่ากับพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง แต่ท่านไม่เอาท่านก็ปรินิพพานส่วนตัวไป อันนี้ไม่ใช่เรื่องเดา ที่อธิบายสู่ฟังนี้เป็นเรื่องลึกซึ้งละเอียด เอาแล้วพอวันนี้เอา SMS อันอื่นบ้าง แสงอรุณก็ไปเรียบเรียงเอาเองพูดไว้ให้เยอะแล้ว SMS วันที่ 10 – 12 พฤศจิกายน 2566 คนโลกุตระจะถูกกดขี่ได้หรือไม่อย่างไร _สว่างแสง ขวัญดาว . น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ พ่อครูคะ สงครามโลกียะของคนที่โลกยกย่องว่าฉลาดที่สุดอยู่ที่ประเทศอิสราเอล สงครามโลกุตระของคนอาริยะที่ยอมให้กดขี่อยู่ที่ประเทศอโศก ประเทศไทยได้ไหมคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูสุดเศียรสุดเกล้าค่ะ พ่อครูว่า… เอาประเทศอโศก พวกเราอโศก คุณยอมให้กดขี่ไหม …เขาใช้ภาษานี้มา อาริยะที่ยอมให้กดขี่ ถ้าเขาจะกดขี่คุณ ถามตรงนี้ เขากดขี่คุณได้ไหม … ทำไมไม่ได้ ไม่เกี่ยวกับว่ายอมหรือไม่ยอม มันเกี่ยวกับว่าคุณเอาชีวิตคุณเข้าไปสู่วงการของโลกียะไหม คุณเอาตัวคุณ จิตวิญญาณคุณ ไปสู่วงการโลกียะไหม โลกียะมีลาภยศสรรเสริญสุขที่เขาแย่งกัน คุณไปแย่งกับเขาอยู่ไหม ก็ไม่ได้ไปแย่ง แล้วใครจะมากดขี่คุณได้ คุณจะเอาไปก็เอาสิ เรามีไหม เรามีลาภยศสรรเสริญสุขไหม มี มีแต่เราไม่เอา เรามีไม่มากเราพอกินพอใช้ เรามีลาภนิดหน่อย มียศนิดหน่อย มีสรรเสริญนิดหน่อยแล้ว ก็พอแล้วไม่ได้ตะกละตะกลามอะไร แค่นี้ก็พอ พวกเรามีสันโดษ มีใจพอ จนกระทั่งไม่มีเลย เราไม่มีลาภเลย ลาภ แปลว่ารายได้ รายได้ที่มาจากคนอื่น 2 รายได้ที่ตนเองผลิตเองโดยทำ เราเป็นผู้ลงแรงงานเป็นผู้ที่ใช้ความรู้สร้าง ปลูกกล้วยขึ้นมาได้เครือนึงเป็นลาภด้วยธรรม แล้วเราก็กิน ลาภโดยธรรมของเราเองใช้ลาภโดยธรรม แล้วพวกเราก็ฉลาด เราปลูกเผือกไม่เป็น เราก็ไปอยู่กับคนปลูกเผือกเป็น คนนี้ทำอันนี้ไม่เป็น แบ่งกันกิน แต่เป็นความจำเป็นความสำคัญที่เราจะต้องอาศัยเช่น เราทำ คอมพิวเตอร์ไม่เป็น เราทำที่จะสื่อสารสัมพันธ์กับโลกไม่เป็น แต่คนนี้เป็น แต่คนนี้เขาไม่ปลูกกล้วย แต่เขาทำสื่อสารนี้เพราะว่าต้องอาศัยในโลกสื่อสารกับเขาอยู่ ก็อาศัยซึ่งกันและกันอยู่ไป เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราอาศัยจำเป็นเราก็มีได้อาศัยครบครัน อุดมสมบูรณ์อยู่ เกินกว่านี้เราไม่เอานี่ เรามีกรอบของโลกที่เราไม่แย่งของเขาเราไม่เอาแล้วเราอยู่ในนี้ แม้แต่นี้เรายังไม่แย่งกันเลยคุณปลูกกล้วยเก่งเราก็ไม่แย่งกล้วยกับคุณ คุณทำคอมพิวเตอร์เก่งเราก็ไม่ได้แย่งคุณทำ มีอะไรก็ช่วยกัน เราปลูกกล้วยให้คุณกินคุณทำคอมพิวเตอร์ให้เรา เราทำคอมพิวเตอร์ให้คุณเราก็ขอกล้วยคุณกินนะ ก็พอแล้ว อยู่แล้วกินเกินพุงเราเอง ใช้เกินที่เราอาศัยอยู่ ก็ไม่ต้องอาศัยมากกว่านี้ แม้ที่สุดขนาดธนบัตรก็ไม่ต้องไปแย่งชิงสะสมอะไรๆเลย จริงๆแล้วไม่ใช้ธนบัตรเลยนี่ลองดูสิ ชีวิตเรานี่ปีนี้ทั้งปีเราจะไม่ใช้เลยธนบัตร เราจะอาศัยสิ่งที่อาศัยจำเป็นแค่นี้พอ นอกนั้นอะไรที่จะต้องใช้ธนบัตร ใช้เงินซื้อเราไม่เอา ลองดูซิมันจะตายไหม จะอยู่รอดไหม ลองดูสิ ได้ไหม ได้ มีปัจจัย 4 ก็รอดแล้ว ปัจจัย 4 ของเรามีครบอยู่แล้วที่นี่ สบาย ปัจจัย 4 ของเราพอเพียงอยู่แล้ว บริขารเล็กๆน้อยๆ แว่นตามีได้บ้าง ปากกาจำเป็น ไม่ต้องปากกาก็ได้ เดี๋ยวนี้ไม่ต้องใช้ปากกาเคาะอย่างเดียวก็ได้แล้ว ค่าไฟฟ้า ค่าอินเตอร์เน็ตอะไรเขาก็จ่ายไป สบาย ยิ่งอธิบายไป ยิ่งเห็นความรอด ความอยู่สบาย สงครามโลกุตระที่ยอมให้กดขี่อยู่ในประเทศอโศกไหม เขาอยากกดขี่เราเขาก็มากดขี่ไปแต่เราเองไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้คุณก็เอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นอำนาจกดขี่เราไม่ได้ คุณจะเอาเงินมาเป็นอำนาจกดขี่เราก็ไม่ได้เอาลาภ เอายศ เอาสรรเสริญมากดขี่ก็ไม่ได้ _สู่แดนธรรม… ผมอ่านแล้วผมก็ตีความไปอีกแบบนึงครับ คือการกดขี่ มันต้องมีอยู่ในชาวอโศกด้วยกันนี่แหละครับที่เขาก็จะยอมให้ พ่อครูว่า… อัตตาคุณ ไม่ยอมให้ คุณยอมให้กดขี่แม้แต่พวกเราเองคุณจะกดขี่ก็ยอมไปสิ _สู่แดนธรรม… ยอมให้ขัดเกลา พ่อครูว่า… ขัดเกลาหรือเอาเปรียบ คุณจะเอาเปรียบก็เอาไปสิ คุณเอาเปรียบกับคนเสียสละ เราก็เป็นคนเสียสละคุณจะเอาก็เอาไป คุณจะเอาเปรียบอะไรล่ะเราก็ไม่ว่า คุณเอาเปรียบเขา เขาก็ให้เกินกว่าที่คุณจะกินจะใช้อีก ไม่ต้องห่วงหรอกคุณจะเอาเปรียบอะไร คุณจะเอาเปรียบเราเพราะว่าเราเองเราติดลิปสติก เราเองติดลิปสติกคุณเอาเปรียบเรา เราก็เลยไม่มีลิปสติกใช้ ก็แน่นอนคุณก็เดือดร้อน แต่บอกว่าลิปสติกแล้วไม่ใช้แล้วนี่ คุณเอาเปรียบเราก็เอาไปสิ อะไรที่เราจะมีใช้มีกิน มันก็ต่างคนต่างทำช่วยเผื่อแผ่กันนี่เหลือเฟืออยู่นี่แล้ว ไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไร มันจบได้แล้ว มันห่างไกลเลยจะเอาสงครามอิสราเอลมาเทียบกับชาวอโศกมันไกลกันมาก พวกนั้นเขายังแบกโลก ยังแบกอำนาจ ยังแบกวัตถุมโหฬาร ของเรานี้ไม่แบกอะไรแล้ว มันเทียบกันไม่ติดหรอก มันไกลกัน เปรียบเทียบกันไม่รู้จะเปรียบยังไง _ศศิธร โลมะบุตร . ขอน้อมก้มกราบพ่อครู และท่านสมณะทุกๆ รูป คณะสิกขมาตุทุกๆ รูป เจ้าค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ เจ้าค่ะ นอกจากทางอโศกจะแจกจ่ายอาหารแก่มวลมนุษยชาติแล้ว ทางโลกนั้นแล้งน้ำใจหลาย % ทางอโศก หากสะสมอาหารเอาไว้ให้มาก เผื่ออนาคตทางโลกจะเป็นพลังลบมาก หรือภัยพิบัติมาก หากสะสมอาหารเอาไว้มาก ก็จะเป็นการเตรียมสะสมที่ไม่ลำบาก หากวันนั้นมาถึงเจ้าค่ะ พ่อครูว่า…ไม่ต้องสะสมหรอกเราสร้างทุกวัน จะสะสมทำไมเดี๋ยวเน่านะ อาหารจะมีปัญหาอะไรมากมาย อาหารแห้งก็เน่าได้ ไม่ต้องสะสมหรอก เรามีกินของเราเรื่อยๆ เราไม่ต้องไปกินอาหารแห้งมากมายด้วยซ้ำไป เรามีอาหารสดเยอะแยะไม่ต้องสะสม _พรายเพียร . มีเรื่องกราบเรียนเล่าถวายพ่อครูค่ะ ๑. ตอนเด็กๆ ดิฉันมีดวง (ตอนนั้นคิดว่าดี) ดีถูกหวยใต้ดินบ่อยกว่าเด็กอื่นๆ จนผู้ใหญ่มาถามเลขเด็ดจากดิฉันเสมอ เงินที่ได้มาง่ายก็ใช้ง่าย นิสัยเสียไม่รู้ตัวค่ะ ใกล้ๆ จะพบอโศกก็ยังถูกล๊อตเตอรี่บ่อยอีก วันหนึ่งเกิดเอะใจขึ้นมาว่า “เราเป็นพี่สาวคนโต ถ้าเราติดอบายมุขตัวร้ายนี้ ต่อไปเราจะเตือนน้อง หรือลูกหลานได้หรือ? ….อย่างนี้เรียกว่าเห็นทุกข์อริยสัจโดยธรรมชาติใช่ไหมคะ” พ่อครูว่า… ใช่ ไปหลงว่า เป็นสุขเดี๋ยวตอนหลังมันออกฤทธิ์มาเล่นงานคุณนะ ๒. เด็กอีกคนค่ะ อยู่ในบ้านราชนี่เอง เมื่อก่อนหลายคนตามฟัง ดญ.น้ำมนต์ ถามปัญหาหลวงปู่ ได้น่ารัก น่าคิด น่าฟังบ่อยๆ เมื่อวานดิฉันถามเขาว่า “ทำไมไม่เขียนประเด็นถามหลวงปู่อีกล่ะคะ” น้ำมนต์ตอบว่า “เดี๋ยวนี้หนูฉลาดแล้วค่ะ” พ่อครูว่า… จริงไหม จริง พึ่งตัวเองได้แล้ว ไม่ต้องถามหลวงปู่มาก รู้จักอันนี้ของตัวเองอันนี้ใช้ไป แล้วเขาก็ไม่จำเป็นจะต้องมาถามหลวงปู่ พึ่งตนเองได้แล้ว (พ่อครูไอตัดออกด้วย) _สู่แดนธรรม… วันนี้เป็นวันดีอย่างยิ่งเลยครับ เหมือนติวความรู้โพธิสัตว์ พ่อครูว่า…ต่อ ๓. (แถมอีกเรื่องค่ะ)…เคยฟังอาใบแพรเล่าเรื่อง งูๆ ยุงๆ กับงานกสิกรรม ดิฉันนึกถึงตอนทำกสิกรรมที่ปฐมอโศกใหม่ๆ ไม่รู้ว่ามีงูเขียวหางไหม้ และงูเห่าชุกชุม วันหนึ่งตัดผักเป็นหอบๆ กองไว้ข้างแปลงได้มากๆ พอแล้วก็หอบเข้าร่ม มีงูเขียวหางไหม้ตัวหนึ่งเลี้อยดุ๊กดิ๊กออกจากหอบผักที่เพิ่งวางออกจากแขนดิฉันแม๊บๆ เห็นแล้วเฉยๆ ค่ะ ไม่เกรงกลัวอะไรเลย ต่อมาวันหนึ่งถอนหญ้าสูงๆ กอหนึ่ง ถูกลูกงูเขียวหางไหม้ตัวเท่านิ้วก้อยกัด ทีนี้วางทุกสิ่งทุกอย่างเดินดุ่มๆ ไปหาหมอปากทาง ระหว่างเดินก็ทบทวนสิ่งดีๆ ที่เราทำมา และเห็น “ความตาย” อยู่ใกล้ๆ เจ็บมากเหมือนมีดโกนคมๆ บาดเข้าไปในเนื้อค่ะ ตั้งแต่นั้นมาดิฉันจะระวังตัวขึ้น เวลาเข้าสวนหาไม้ตบๆ ไล่งู่ก่อน รวมถึงกล้าจับงูไปปล่อยเพื่อระวังภัยให้เด็กๆ ด้วยค่ะ พ่อครูว่า… ระมัดระวัง พระพุทธเจ้าสอนไว้อย่าประมาทแม้งูตัวเล็ก ๔. มีสิกขมาตุท่านหนึ่งแนะดิฉันว่า ถ้าเราทำผักได้มากพอ แจกผักในงานศพก็ดีนะ ดิฉันทดลองแจกได้หลายครั้งแล้วค่ะ ดีมากเลยค่ะ แม้แต่ญาติธรรมในชุมชนก็ได้ประโยชน์ด้วย (พ่อครูไอตัดออกด้วย) พ่อครูว่า… เอาเท่านี้ก็แล้วกัน _สู่แดนธรรม… ขอความเจริญในธรรมจงมีแก่ทุกๆท่านครับ Categories: ธรรมะพ่อครู, ศาสนาBy Samanasandin14 พฤศจิกายน 2023 Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:661110 คณะสงฆ์เมืองไทย ใครได้ดอกไม้พลาสติก ใครได้มูลสูตร 10 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศกNextNext post:ฉบับที่ ๕๖๑(๕๘๓) นสพ.ข่าวอโศกปักษ์แรก พฤศจิกายน ๒๕๖๖Related Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024