661115 ชีวิตที่จบกิจในระบบสาธารณโภคี นี่เป็นตัวตัดสินอรหันต์ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1Cs7mHglTwAGrNP0Ze4YQeU9dIi7t7t-X/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true ดาวน์โหลดเสียงที่ และ https://podcasters.spotify.com/pod/show/dhamaporkru/episodes/661115-108-1-e2bvb57 ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/oknSreOkGf/ และ https://youtu.be/GdWIc4gL34A มีซับ สมณะเดินดิน… วันนี้วันพุธที่ 15 พฤศจิกายน 2566 ขึ้น 3 ค่ำเดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก การจัดงานปีใหม่ปีนี้เรามีการเปลี่ยนชื่อ ซึ่งทุกปีงานปีใหม่เราจะใช้ชื่อว่า งานเพื่อฟ้าดิน และงานตอนเดือนเมษายน เราจะใช้ชื่อว่างานตลาดอาริยะ ซึ่งการเอางานเพื่อฟ้าดินมาไว้ตอนปีใหม่จะไม่ค่อยลงตัวเท่าไร เพราะไม่ใช่ช่วงฤดูกาลที่เกษตรกรทำอาชีพกันเนื่องจากเป็นฤดูหนาว การทำไร่ทำนาเขาทำกันเดือนเมษายน ชื่องานเพื่อฟ้าดิน เราก็ไม่ได้พูดถึงฟ้าดินเท่าไหร่ พูดแต่จะขายของ จึงมีคนเสนอว่าน่าจะจัดย้ายให้ลงตัว ตอนปีใหม่จะใช้ชื่อว่าตลาดอาริยะปีใหม่ ซึ่งแต่เดิมเราก็ใช้ชื่ออย่างนั้น แต่เพราะน้ำท่วมเราก็เลยสลับ ตอนนี้ก็สลับมาอีกที เอาเป็นว่าปีใหม่คือการจัดงานตลาดอาริยะ พอเดือนเมษายนเราจะจัดงานเพื่อฟ้าดิน เป็นงานเพื่อฟ้าดินก็จะมีเป้าหมายชัดเจนมากขึ้นว่า จะได้ช่วยส่งเสริมเกษตรกร เรื่องของปุ๋ย เรื่องของเครื่องมือการเกษตร และเมล็ดพันธุ์ เราเพาะต้นไม้ขายตอนปีใหม่ก็ขายไม่ค่อยออก ถึงจะไปให้น้ำหนักช่วงเดือนเมษายน งานตลาดอาริยะปีใหม่เราจะเริ่มตั้งแต่ 26 ถึง 29 บำเพ็ญคุณ 30 ธันวาคม 2566 – 1 มกราคม 2567 เป็นงานตลาดอาริยะบำเพ็ญธรรม ซึ่งทางจังหวัดเขาก็อยากให้ไปเราร่วมงานกาชาดด้วย เนื่องจากเราเอาเรือไปจอดที่นั่นตั้ง 2 ลำ เขาจะฉลองเรืออู่ข้าวอู่น้ำ ผู้ว่าคนเก่าบอกว่าคนไม่เยอะหรอก แต่ผู้ว่าคนใหม่บอกว่าไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวเอาหมอลำมาเรียกคน ก่อนจะถึงงานปีใหม่เราก็มีงานศิษย์เก่าไหว้ครูบูชาพ่อ รวมตัวกันในวันที่ 9-10 ธันวาคม ใครจะมาให้กำลังใจศิษย์เก่าก็มาร่วมได้ ตอนนี้ฤดูหนาวเข้ามาแล้ว พรุ่งนี้เป็นต้นไปเขาบอกเตรียมเสื้อกันหนาวก็เตรียมได้เลย อุณหภูมิจะลดลง 5 ถึง 7 องศาเซลเซียส งานปีใหม่เราก็จะสอดคล้องเป็นช่วงที่หนาว ปลายธันวาคมถึงต้นมกราคม จะเป็นช่วงฤดูหนาวมากที่สุด เราจะเอาเสื้อกันหนาวมาขายตอนนี้น่าจะขายออก เนื่องจากอากาศจะหนาวกว่า เรามาฟังธรรมพ่อครูก่อนเพื่อจะร้อนขึ้น พ่อครูว่า… เย็นสิจะไปร้อนยังไง อโศก สัมปวังโก บอกว่า นักศึกษาวิชาพุทธศาสนาตามภูมิ ว่างั้น เขียนกวีมา อัตตา ๓ (โปฏฐปาทสูตร) โอฬา-ริกะไซร้ เห็นได้ไม่ ยากเลยหนอ คนสัตว์ สิ่งของบ่ ต้องปั้นหล่อ สร้างขึ้นมา ทิฏฐิ วิปลาส ความเห็นคลาด-เคลื่อนเลยพา ให้ยึด เป็นของข้า แบกอัตตา บนบ่าพลัน มโน-มยะ นา พวกขายค้า บุญสร้างปั้น วิมาน สรวงสวรรค์ บ้านจัดสรร บนนภา อีกภพ ความว่างใส ช่างเหลวไหล ใช่มรรคา ขององค์ พระสัตถา ผู้สอนฆ่า กิเลสแล สุดท้าย อรูปะ นั่นช่างละ-เอียดจริงแท้ อารมณ์ ทั้งหลายแหล่ ยากนักแล จักเห็นนอ กิเลส พาฮำฮอน สุขลวงอ้อนให้เคลียคลอ หากบ่ ล้ำลึกพอ ก็ยังบ่ หยั่งเห็นนา ทั้งสาม นี้โปรดทราบ ว่าคือลาภ อันล้ำค่า อยากเห็น อนัตตา ต้องศึกษา อัตตาเอย อโศก สัมปวังโก (นักศึกษาวิชาพุทธศาสนาตามภูมิ) พ่อครูว่า… อัตตา 3 ก็เป็นกลอนเป็นอะไรผูกไว้ก็อ่านสู่ฟัง ส่วนรายละเอียดอาตมาก็ค่อยๆขยายไปเรื่อยๆ อาตมาก็อธิบายธรรมะพวกนี้แหละ ไม่แตกไม่ต่างไปจากที่ว่า จะอัตตา 3 จะเรื่องอะไรต่างๆนานา ก็อธิบายหยิบมาอธิบาย ก็คิดว่าอธิบายมานี่ 50 กว่าปีแล้ว มัน..แหม ผู้ที่ศึกษาตามเอาไปปฏิบัติ มันก็ควรจะเป็นอรหันต์ได้เยอะแยะแล้ว มันครบถ้วนไม่ใช่น้อยๆ SMS อาตมาก็ใช้เป็นไกด์อธิบายธรรมะก็ดี ก็เป็นความเห็นที่แสดงมา เป็นการถามมาก็ตาม เป็นการยังขัดข้องอะไรก็ตามเราก็ใช้พวกนี้เป็นเรื่องเป็นไกด์ในการอธิบายธรรมะ ก็เป็นประโยชน์ตรงกับร่วมกับผู้ที่ฟังธรรมกันอยู่ ไม่ใช่ว่าเอาแต่อาตมาพูด อาตมาคิดอยากจะอธิบายก็เอาของตัวเอง บางทีผู้ฟังก็คิดตามไม่ถึง คิดตามไม่ทัน ซึ่งหลายทีอาตมาก็รู้สึก แต่มันก็อธิบายไว้บ้าง ก็สงสารก็อธิบายกับ SMS นี่แหละชัดเจนแล้วอาตมาก็จะใช้อันนี้เป็นหลัก SMS วันที่ 13 – 14 พฤศจิกายน 2566 นึกว่าจะบรรลุธรรมฉับพลันแต่ไร้บารมีจึงเป็นแค่คนขี้เกียจ _ศิลป์สร้าง จนทุกชาติ . ตอนนี้มีผู้เผยแพร่บรรลุธรรมแบบฉับพลัน โดยการยกขันธ์ 5 มาพิจารณา ตัดลัดไปสู่การบรรลุธรรม โดยการไม่กำหนดหมายใดๆ เลย แม้แต่ความรู้สึก ว่ารู้เท่าทันสังขารความคิดปรุงแต่ง เขาบอกว่า การกำหนดจิตว่าต้องปฏิบัติตามครูบาอาจารย์ ใดๆ ถือว่าไม่ถูกทางทั้งหมดเพราะยังมีการกำหนดเข้าไปรู้ ไม่มีการเดินมรรคองค์ 8 ใดๆ ทั้งสิ้น พ่อท่านช่วยโปรดกรุณาชี้แนะผู้ขี้เกียจปฏิบัติทั้งหลายเหล่านั้นด้วยเทอญ🙏 พ่อครูว่า…บอกว่ายกขันธ์ 5 มาพิจารณาแต่เอาไปเอามาสุดท้ายก็ไม่พิจารณาแม้แต่ความรู้สึก ไม่กำหนดหมายใดๆเลยแม้แต่ความรู้สึก คุณศิลป์สร้างสรุปได้ว่าเป็นพวกขี้เกียจในการปฏิบัติ พูดภาษาออกมา แสดงออกมามันก็เลยบอกความต้องการ หรือว่าความหมายที่ตัวเองจะใช้คือ คุณก็ไม่ปฏิบัติอะไร คนที่ปฏิบัติธรรมไม่สัมมาทิฏฐินี่ ใช้แต่ตรรกะ ใช้แต่ความนึกคิดด้วยพยัญชนะ โดยสภาวะก็ตามอย่างนั้นบ้าง อย่างนี้บ้าง ที่นี้มันก็มีพยัญชนะบอกว่า อย่าไปยึดมั่น ถือมั่นอะไรก็แล้วแต่ แม้แต่คำว่า “ไม่ควรยึดมั่น ถือมั่น” มันก็ไม่ต้องทำอะไร มันก็ตีความ แบบตีกินง่ายๆ แล้วก็ไม่ต้องทำอะไรมันก็สบายดี สมใจคนขี้เกียจ เพราะฉะนั้นถ้าคนขี้เกียจอย่างนี้แล้วก็ตีความในคำต่างๆเข้าหา บอกให้เห็น กุสีตะโกสัชชะ ของตัวเอง บอกให้เห็นความขี้เกียจของตัวเอง คนนี้ก็ เอาเถอะ เวลาของเขาก็บำเรอการไม่ปฏิบัติอะไรของตัวเอง เราก็พูดโวหารเท่ห์ๆเหมือนกับตัวเองบรรลุก็โก้ไปอย่างหนึ่ง ก็ดูเท่ห์ๆไปอย่างนึง ก็วิจารณ์ให้ฟัง ว่าที่ยกมานี่เป็นเรื่องของผู้ที่ไปปฏิบัติมา สรุปได้ว่า เป็นพวกขี้เกียจ _สู่แดนธรรม… เขาคงคิดว่าเขาเทียบรุ่นกับพระพาหิยะทารุจริยะไหมครับ พ่อครูว่า… ผู้รู้เร็ว เป็นผู้รู้ได้ง่ายๆ รู้แล้ว เข้าใจแล้ว บรรลุแล้ว ก็แล้วแต่ทิฏฐิ ทิฏฐิวิปลาส กำหนดวิปลาส สัญญาวิปลาส จิตวิปลาสมันก็เป็นไป ทำไมบางคนเลือกเป็นอรหันต์แล้วจบไม่เลือกต่อโพธิสัตว์ _Ka Por กะป้อ . เหตุปัจจัยใด ที่ทำให้คนๆหนึ่งเลือกทางไปเป็นพระโพธิสัตว์ มากกว่าหลุดพ้นบรรลุอรหันต์ พ่อครูว่า… คำพูดของผู้ที่ถามมมานี้ ไม่เข้าใจคำว่าโพธิสัตว์กับอรหันต์ดี ซึ่งมันก็ไม่ง่าย ก็เห็นใจอยู่ คนๆหนึ่งเลือกทางเป็นพระโพธิสัตว์มากกว่าหลุดพ้นบรรลุอรหันต์ คำว่าโพธิสัตว์ หมายความ ในความหมายพื้นๆต้นๆก็น่าจะต้องอธิบายหรือแปลความให้ฟังได้ว่า คือเป็นผู้ที่ ปรารถนาโพธิญาณ ปรารถนาโพธิไปจนสุดโพธิ เพราะคำว่าโพธินี่หมายความว่า ตรัสรู้ อรหันต์หมายความว่า เป็นผู้ที่จบสุด อรหันตะ นี่คือเป็นผู้ที่รู้ ตัวจบ ส่วนโพธิเป็นผู้ปรารถนาความรู้ ทีนี้ความรู้ โอ้โห มันมีโพธิสัตว์ 9 ขั้น แต่อรหันต์มี 6 ขั้น ก็เลยแยกแยะอธิบายให้ฟังหมดแล้ว เพราะฉะนั้นผู้ที่ปรารถนาโพธิสัตว์ เลือกทางไปเป็นโพธิสัตว์ ก็เป็นผู้ปรารถนาที่จะไปเป็นโพธิสัตว์ถึง 9 ขั้น ส่วนผู้ที่เลือกทางอรหันต์ ไม่อยากเป็นหรอกพระพุทธเจ้า ขอจบกิจ เพราะฉะนั้นก็จะสั้น ไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องโพธิสัตว์ ก็จะสั้น จะพยายามปฏิบัติ ตั้งแต่ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ให้จบกิจของตัวเองเป็นอรหันต์ นั่นคืออรหันต์โดยเฉพาะ โดยแท้ๆ ไม่ได้คิดจะไปเป็น อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นอรหันต์ขั้นที่ 6 เอาแต่แค่อรหันต์ขั้นที่ 1 ซึ่งมีอรหันต์อีกมากขั้น ก็ได้ เจาะช่องน้อยแต่พอตัว ก็ไม่มีปัญหา ฉะนั้นนัยยะที่ทำให้คนเลือกเป็นผู้โพธิสัตว์มากกว่าเป็นอรหันต์ก็คือผู้ที่รู้ การรู้ความจริงให้มากในการจบอรหันต์ จบอรหันต์ขั้นเดียวแล้วก็ ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็ไม่มีปัญหาเป็นผู้จบช่องน้อยแต่พอตัว ไม่ต้องไปรู้อย่างอื่นเพิ่มเติม ไม่ต้องช่วยใคร ช่วยตัวเองให้รอดได้แล้วก็ไปเลย เพราะฉะนั้นผู้ที่มีความเห็นแก่ความกว้าง เห็นแก่มวลมนุษยชาติ เห็นแก่ผู้อื่นบ้าง ก็เลือกทางโพธิสัตว์ ผู้ที่ไม่คิดเห็นแก่ใคร เห็นแต่แค่ตัวเองเท่านั้น ก็เอาแต่อรหันต์ ที่จริงแล้วมันมีภาวะปฏิสัมพัทธ์ มีปฏิกิริยาๆ มันเกิดนัยยะที่กระทบกันอยู่ ทั้ง 2 ในทั้งโพธิสัตว์และอรหันต์ ถ้าเผื่อคุณเลือกแต่เฉพาะ อรหันต์ มันจะเลยเถิดไปสุดโต่งอยู่คนเดียว ต้องอยู่กับหมู่อยู่กับผู้รู้ จริงๆอรหันต์ต้องอยู่กับโพธิสัตว์คนจะช่วยได้ คุณต่างไปอยู่กับอรหันต์ปลีกเดี่ยว มันก็เลยสุดโต่ง อยู่แต่ผู้เดียว บิณฑบาตแต่ผู้เดียว เดินจงกรมผู้เดียว ฉันผู้เดียว ผู้เดียว เดี๋ยวก็ได้เป็นอรหันต์อะไรอย่างที่เขาพูดกัน ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าพวกนี้เป็นพวกที่ไม่มีเพื่อน 2 หรือเพื่อน 2 คือกิเลสนั่นแหละคือคนจมกับกิเลส ไม่มีใครกระทุ้ง กระแทก เป็นเหตุปัจจัยไม่มีใครสัมผัส เพื่อจะทำให้เกิดการรู้ คนๆเดียวตัวเองก็ไม่รู้เรื่องอะไร ยังไม่ได้บรรลุ ยังไม่ได้จบอะไร ผู้อื่นเขาก็จะมีส่วนที่จะมีความต่าง มีอะไรที่รู้ต่าง นั่นแหละจะทำให้รู้สิ่งที่มีสภาพ 2 เปรียบเทียบ ไม่ใช่แต่จะจมอยู่กับหนึ่ง งมงายอยู่กับหนึ่งอย่างเดียว บรรลุยาก ยิ่งบรรลุยากแล้วหลงว่าจะบรรลุเร็ว มันไม่ใช่ มันยิ่งบรรลุยาก มันยิ่งช้ายิ่งนาน ศึกษาดีๆพวกเราพยายามสรุปให้เห็นทางที่อาตมาพาพวกเราปฏิบัติ มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ดำเนินตามจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่ผิดทาง โดยเฉพาะสิ่งที่ไม่ผิดที่ยืนยันก็คือมี อปัณณกปฏิปทา 3 เป็นความไม่ผิดจากศาสนาพุทธ อันนี้เป็นเครื่องชี้บ่งเลยว่า คนที่ไปปลีกเดี่ยว ไปหลับตา ไปอะไรต่ออะไรพวกนี้ มันโมฆะ มิจฉาทิฐิกัน นี่แหละ อปัณณกปฏิปทา 3 เป็น 3 ข้อหลักที่มันบอกชัดเจนว่า คุณจะต้องมาอยู่กับหมู่ มีสำรวมอินทรีย์ มีการร่วมกัน มีการเปิดตา ลืมตา รู้โลก มีอินทรีย์ 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ปิด นั่นข้อแรกปิดตานี้ไปมันหมดเลยข้อเดียวก็จบแล้ว เปิดตาแล้วท่านสรุปลงไปว่าอาหารนี่แหละทวาร 5 6 กับจิต เป็นตัวก่อกิเลสที่เป็นหนึ่งในโลกเลย เรียนรู้ตรงนี้ นอกนั้นก็ผัสสะเครื่องใช้กับอะไรอื่นๆอีกต่อไป ต้องพยายามรู้ด้วยตื่นๆชาคริยานุโยคะ ไม่ใช่ไม่รู้ด้วยหลบๆรู้ด้วยหลับๆรู้ด้วยหลีกๆ ลี้ๆ ไม่ใช่นี่แค่ 3 ข้อก็ไขความสมบูรณ์แบบแล้ว เพราะฉะนั้นพวกหลับตานี่ อาตมาไม่รู้จะพูดยังไงได้ มิจฉาทิฎฐิกันไปจนกลายเป็นยุคเสื่อม เสื่อมจนไปยึดความผิดเป็นความทุกข์ แล้วยึดมั่นถือมั่นด้วย ยึดมั่นถือมั่นแล้วตัวเองก็โง่ดักดาน ผู้ที่เอาความถูกต้องมาเปิดเผย มายืนยันปฏิบัติใช้เวลาพิสูจน์ให้เห็น ซึ่งไม่ตรงกับตัวเองที่ตัวเองเข้าใจ ว่านี้ปฏิบัติแล้วมีการยืนยันบรรลุได้ทั้งบุคคลทั้งหมู่กลุ่ม เป็นสังคม เป็นวัฒนธรรมถึงขั้นสาธารณโภคี ถึงขั้นสาราณียธรรม 6 มีวรรณะ9 อะไรก็แล้ว แต่มีพุทธพจน์ 7 จะยืนยัน มีพฤติกรรมจริง มีกิริยาจริงของพุทธพจน์ 7 ของวรรณะ 9 จริงๆด้วย คนเลี้ยงง่ายเป็นยังไง คนบำรุงง่ายเป็นยังไง คนมักน้อยเป็นยังไง คนสันโดษเป็นยังไง ปฏิบัติประพฤติขัดเกลาตัวเอง สันเลขะอยู่ตลอดเวลาคือยังไง หลักเกณฑ์มีข้อปฏิบัติที่สูงส่งไปเรื่อยๆ ธูตะ ส่งข้อปฏิบัติที่เจริญไปตามลำดับ จนกระทั่งบรรลุธรรม อปจยะ วิริยารัมภะสูงสุด (พ่อครูไอตัดออกด้วย) สมณะเดินดิน… อาตมาเคยไปสอบนักธรรมตอนบวชใหม่ๆ ไม่อย่างนั้นจะถูกเกณฑ์ทหาร ไปทำข้อสอบได้บัดนั้นจนถึงบัดนี้ เขาถามว่าปฏิบัติธรรมข้อไหนถึงจะถือว่าไม่ผิด อาตมาก็ได้ตั้งแต่ศีลมรรคมีองค์ 8 มันก็ทุกๆข้อ เลยเดาเอาว่ามรรคมีองค์ 8 ก็แล้วกัน แต่ที่ไหนได้คือ อปัณณกปฏิปทา เขาถามง่ายๆแต่เรายังไม่มีไหวพริบปฏิภาณ พ่อครูว่า… อาตมาก็เริ่มต้นอย่างที่ไม่มีปฏิภาณไหวพริบ อย่างที่ท่านเดินดินว่า ก็อย่างนี้แหละบางทีก็ตอบไม่ตรงกับผู้ที่เขารู้ที่เขาลองภูมิเรา เราตอบง่ายๆไม่ถูกต้อง ตามที่เขาว่า เขาก็ถือว่าอย่างนี้ไม่รู้จริง เขาก็ใช้หลักนี้พวกนี้ตัดสิน มันก็เสียประโยชน์เขาเหมือนกัน เอาก็ค่อยๆเป็นไป มาทำงานมาตั้ง 50 กว่าปี จึงเห็นว่าโอ้โห…กอบกู้มาได้ขนาดนี้อาตมาก็พูดแล้วพูดอีกว่า อาตมาภาคภูมิใจ พอได้ _Krathin Sukdee กระถิน สุขดี . กราบนมัสการเจ้าค่ะ พ่อครูเคยบอกว่าผีไม่มีอยู่จริง แต่เมื่อตอนเด็กๆ ดิฉันนอนหลับใกล้รุ่งสาง ในขณะนั้นฝันว่ามีคนเอาศีรษะใส่ถุงปุ๋ย แล้วเอามาทิ้งไว้ที่หน้าวัด แล้วศีรษะนั้นก็ตามดิฉันมาถึงบ้าน ดิฉันตกใจ ความฝันเหมือนจริงมาก จนต้องตื่น และไม่ลืมความฝันนั้นเลย พอตอนสายๆ ดิฉันบังเอิญไปอ่านหนังสือพิมพ์ ปรากฏว่ามีข่าวฆาตกรรมแล้วมีคนเอาศีรษะมาทิ้งไว้ที่หน้าวัด สอบถามพ่อครูว่า นี่คือลางสังหรณ์ ใช่ไหมคะ มันคือพลังงานที่มันมีคลื่นแล้วรับคลื่นถึงกันได้พอดี แบบนี้ใช่ไหมเจ้าคะ พ่อครูว่า…เขาว่างั้นเป็นลางสังหรณ์ ทำไมไม่รู้ ตอบคุณไม่ได้เพราะอาตมาไม่รู้ว่าลางสังหรณ์คืออะไร เขาว่านะ ก็ตอบได้แค่นี้ บอกว่ามันคือพลังงานที่มันมีคลื่นแล้วก็รับคลื่นถึงกัน แหมให้ไปอยู่กับหมอปลาไปด้วยกันเลยพูดอย่างนี้ คลื่นจิตวิญญาณทั้งผีทั้งจิตทั้งอะไรนี่ ทางไม่รู้เรื่องเป็นนามธรรมจิตล่องลอยมีบทบาทอะไรต่ออะไร ซึ่งไม่ใช่หรอก เป็นอุปาทานทั้งนั้น อันนี้ตอบได้ คุณอย่าไปกังวลเลย เดี๋ยวอ่านให้จบก่อนแล้วค่อยอธิบาย _ศีลศร . กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพยิ่งค่ะ เช้าอากาศสดชื่นวันหนึ่ง เด็กชายวัยสามขวบ ขี่จักรยานมาตามทางถนนในชุมชนบ้านราชฯ พลันหนูน้อยหยุดกึกที่กลุ่มดอกผักบุ้งงามตา แล้วยกมือบอกพ่อที่ตามมาใกล้ๆ ว่า “หยุดก่อน” เด็กก้มมองกอผักบุ้งอย่างสนใจ ดูสุขสงบ ดิฉันเห็นภาพแล้วคิดว่า การเรียนรู้ธรรมชาตินอกกล่องอย่างนี้ น่าจะมีส่วนจูงดึงโน้มจิตใจเยาวชนของเราไปในทางอ่อนโยน ไม่หยาบคายต่อกัน เหมือนยิวและฮามาสได้ใช่ไหมคะ พ่อครูว่า…มันไกลเกินไป อยู่กับฮามาสเป็นพวกหน้ามืดตาบอดพวกยังเป็นผีเป็นสาง ขออภัยพูดอย่างแรงๆ คือเขายังไม่รู้เรื่องหรอกฆ่าแกงกันเพราะยังไม่รู้จักชีวะ ไม่รู้จักจิตนิยาม จิตวิญญาณไม่รู้เรื่องเลย ไม่รู้ความเป็นสัตว์ ความเป็นคน ความเป็นพืชอะไรหรอก หลงอำนาจบาตรใหญ่ ฆ่าแกงกันหลงยึดอำนาจ หลงยึดพื้นที่ลงยึดวัตถุ หลงยึดทรัพย์สิน หลงยึดอะไรก็แล้วแต่ แล้วก็ทำไปโดยอวิชชา เพราะฉะนั้นที่คุณมาเทียบกับเด็กอายุ 3 ขวบที่เห็นบรรยากาศของธรรมชาติ เขารู้สึกว่าเขารื่นรมย์กับดอกผักบุ้งอะไรพวกนี้ มันไกลกันคนละฟากโลก เพราะฉะนั้นอาตมาเห็นแล้ว น่าสงสารศาสนาบางศาสนาที่ยังไม่เข้าใจเรื่องของจิตวิญญาณ นั่นแหละก็พาศาสนิกเขาเป็นอย่างที่เป็น ศาสนาพุทธเราสอนให้รู้จักรายละเอียดของสัจจะความจริงต่างๆ มันจึงพูดไปแล้วก็ยากที่จะ..อาตมาก็ไม่มีปัญญาจะอธิบายให้ชัดเจน เข้าใจง่ายโดยไม่ไปกระทบ ไม่ไปเบ่งข่ม ไม่ไปรบกวนหรือว่าไม่ไปพูดมากเข้า มันจะเป็นโอษฐภัย ก็ค่อยๆศึกษากันไป ได้เข้าใจ เด็ก 3 ขวบเจอสิ่งที่สะดุดก็หยุดก่อนเลย ดูดอกผักบุ้งรื่นรมย์ โอ้โห กับเขาฆ่ากันให้ตายลงไปแล้วชนะ มันจิตคนละโลกเลย มันคนละโลกเลย มันไม่รู้สีรู้สาอะไรเลย กับอีกคนอยู่กับธรรมชาติ ที่มีความเย็นรื่นรมย์อะไรพวกนี้ อื้อหือ.. มันเทียบกันไม่ได้เลย การทำสังฆทานที่สัมมาทิฏฐิเป็นเช่นไร _คอยใคร . ที่วัดอโศก ถ้าชาวบ้านหิ้วกระป๋องสังฆทานไปถวายสมณะจะได้ไหมครับ พ่อครูว่า… อาตมาก็ขอยืนยันว่า มันจะต้องรับโดยมารยาท ความจริงแล้วไม่ได้ยินดีด้วยหรอก มันไม่ได้ยินดีด้วยหรอก เพราะว่ามันออกนอกรีต นอกทาง ผิดธรรมะ สังฆทานของพระพุทธเจ้า ก็ผิดไปแล้ว แค่คำว่าสังฆทานนี่ เป็นการทานของสงฆ์ เป็นการทานที่ _สู่แดนธรรม… มีอานิสงส์มากมีผลมาก พ่อครูว่า… สังฆทานเป็นทานที่มีอานิสงส์ไม่ระบุบุคคล สังฆทาน ไม่ระบุบุคคล หมายความว่า คุณมีอะไรจะทาน จะบริจาคให้สงฆ์ ให้ภิกษุ คุณเจอใครจะเป็นเณร เป็นพระ เจอใครก็ให้ โดยที่คุณไม่ต้องไประบุ ไม่ต้องไปกำหนดบุคคล มันมีคู่อะไร ปาฏิปุคคลิกทาน ระบุบุคคล กับสังฆทานไม่ระบุบุคคลหมายความว่า อย่างนั้นสังฆทาน ต้องไประบุบุคคล อันนี้มีอานิสงส์ มีกุศลมากกว่าทานที่เป็นการระบุบุคคล เช่น ถวายแด่พระพุทธเจ้า ถวายแต่สงฆ์ที่เราเคารพนับถือ คือระบุบุคคล ไม่ได้อานิสงส์มาก เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าเป็นภิกษุของพระพุทธเจ้าทุกองค์ ที่คุณเชื่อมั่น แล้วคุณก็เชื่อแล้วว่าเป็นสงฆ์ที่ควรจะได้รับทาน คุณก็ไม่ต้องกำหนดบุคคลใด ไม่ว่าจะเป็นเจ้าคุณ ไม่ว่าจะเป็นไม่มีขั้น ไม่มียศไม่มีอะไร แม้แต่สามเณรก็ตาม คุณก็พบก็ให้เลย อย่างนี้มีอานิสงส์มากกว่า ปาฏิปุคคลิกทาน มีอานิสงส์มากกว่าอย่างนี้เป็นต้น นี่คือลักษณะของการทานที่พระพุทธเจ้าท่านอธิบายเอาไว้ ทีนี้ช่วงที่คุณถามมาว่าเอากระป๋องสังฆทานมามันเป็นเรื่องของพ่อค้า ในกระป๋องสังฆทานมันเป็นขยะ ที่คนขายเขาจัดสรรหลอกคนให้เอาสังฆทาน กระป๋องที่เขาทำจัดขาย เอามาให้พระ พระไม่ได้ใช้อะไรมากมายหรอก หลายอย่างเป็นเศษขยะ ใช้ไม่ได้ ไม่เหมาะสมกับสมณะเลย แต่เพราะความเสื่อมของธรรมะ ทุกวันนี้ก็พ่อค้าพ่อขายก็หากินหรอกมักง่าย ซื้อกระป๋องสังฆทานไปทำสังฆทาน ก็ไม่รู้ว่าสังฆทานคืออะไร ไปทำไปสารพัด นี่คือความเสื่อมชี้บ่งถึงความเสื่อมของศาสนาพุทธมากๆเลย จะเป็นอะไรก็แล้วแต่พิธีกรรม พิธีการจารีตประเพณีต่างๆทุกวันนี้นี่ มันออกนอกรีต นอกทางธรรมะของพระพุทธเจ้าไปไกล เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธกระแสหลักทุกวันนี้ เขรอะไปด้วยพิธีกรรมขยะ มากมายเลย ออกนอกรีตโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวกันเสียเวลา มันเลยกลายเป็นสถานที่ออกนอกรีต นอกทางปฏิบัติหลับหูหลับตาไปเลอะเทอะไปมิจฉาทิฏฐิไป พวกที่ศึกษาอะไรรู้มากก็กลายเป็นมาก จนกระทั่งเป็นขยะก็เก็บขยะมาเป็นเนื้อหาสาระ มันก็เลยเยอะเลอะ เอาล่ะขยายความไว้แค่นี้ก็เมื่อยแล้ว นั่งหลับตาปฏิบัติคือ ปฏิบัติกับผี ก็งมงายอยู่กับผี ทีนี้มาพูดถึงที่ว่าจะพูดเรื่องผี เอาอีกข้อความนึงก่อน เอาข้อความอันนี้อ่านไปแล้ว เอามาพูดเรื่องผี คำว่า ผี เป็นภาษาไทยหมายถึง จิตวิญญาณ แล้วจิตวิญญาณชั้นต่ำ จิตวิญญาณชั่ว ชัดๆก็คือ กิเลสคือผี ที่นี้คนไม่เข้าใจรายละเอียดของสัจธรรม ปรมัตถธรรม จิต เจตสิก รูปนิพพานต่างๆ ก็ไปเข้าใจถึงจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นจิตวิญญาณ ที่ไม่ต้องไปนำพา ไม่ต้องมาเอาใจใส่ คือ จิตวิญญาณสัมภเวสี จิตวิญญาณสัมภเวสีนี่แหละ ไม่รู้จักกัน อย่างหมอปลาที่พูดถึง ไปงมงายอยู่กับจิตวิญญาณสัมภเวสี ต้องอย่างโน้น จะต้องอย่างนี้ ซึ่งมันจะเปล่าดาย มันไม่เกิดผลอะไรเลย นอกจากมาเป็นการบรรเทา บรรเทาคนที่ติดยึด คนที่มิจฉาทิฏฐิ อยู่ใต้อำนาจความอวิชชา ไม่รู้ว่าจิตวิญญาณก็คือ จิตวิญญาณ แล้วจิตวิญญาณบอกว่าจิตวิญญาณ มีผีเข้า มีผีเข้า แล้วมาสิงให้เป็นอย่างนู้น อย่างนี้ อย่างนั้น ตั้งแต่เริ่มต้นเข้า แล้วก็ไม่รู้เรื่องแล้วก็ดิ้นรำบ้าง ทำอะไรบ้าๆ บอๆ แล้วก็บอกว่าผีเข้า ไม่มีผีที่ไหนมาเข้า มีแต่อวิชชาของคนผู้นั้นเองแหละ แล้วไปยึดว่าอย่างนี้มันต้องเป็นอย่างนี้ ต้องมีผีต้องมีวิญญาณ ต้องมีองค์ลง ต้องมีใครทรงอย่างนี้ แล้วก็เป็นไปตามอุปาทานที่ตนเองมีมาตั้งแต่สัญญาเก่า หรือว่าไปได้ใหม่ก็ตาม แล้วก็เชื่อว่าเป็นอย่างนั้น นี้แล้วก็เป็นไป จะเต้นจะดีดอย่างนั้นอย่างนี้ บางทีมีถึงขั้นอิทธิฤทธิ์อิทธิเดช ทนต่อการฟันเข้า ไม่เจ็บไม่ปวดอะไร อย่างที่ภูเก็ต ทำกัน นี่คือพลังงานจิตที่ตัวเองงมงาย ไม่เข้าใจถึงพลังงานจิตตัวเอง มันหลงนะ อาตมาไปพิสูจน์ ไปเล่นไสยศาสตร์ เล่นแทงไม่เข้า ฟันไม่ออกเล่นอะไรต่ออะไรเจ็บนะ แต่ว่าทนได้ เก่งนะมันหลงเก่งมันอุปาทาน มันก็มีอำนาจพิเศษเหมือนกัน แล้วมันก็ไม่ได้เรื่องอะไรเลย ก็เอาพลังงานจิตมาทำอะไรเลอะๆเทอะๆไปสารพัด พระพุทธเจ้าไม่ให้เรียนรู้เรื่อง ไอ้ปลายเหตุที่มันไปเป็นผีแบบนั้นผีแบบนี้ ท่านให้มาเรียนรู้ในปัจจุบันธรรม อย่าไปเรียนรู้จิตวิญญาณที่เป็นสัมภเวสี สัมภเวสีคือ จิตวิญญาณไม่มีที่ตั้ง จิตวิญญาณไม่มีที่เกิด ที่ตั้งที่เกิดของจิตวิญญาณคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ใจมาเกิดที่ตา ใจมาเกิดที่หู ที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย ใจมาร่วมกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่เปิดมีสัมผัสเป็นปัจจัย นี่คือวิญญาณ ไม่ใช่สัมภเวสี ถ้าสัมภเวสีเริ่มต้นจากคุณหลับตา จิตคุณเป็นสัมภเวสีแล้วเพราะคุณไม่มีทวารและคุณปิดทวาร 5 ข้างนอกอีก เพราะฉะนั้น พวกที่นั่งหลับตาปฏิบัติคือ ปฏิบัติกับผี ก็อยู่กับผีแล้วคุณก็งมงายกับผีทั้งหมด เพราะฉะนั้นนั่งหลับตาปฏิบัติจะได้ความเป็นผี ทั้งหมด ไม่ได้ความเป็นสัจจะที่บรรลุทุกข์สุขอะไรเลย เพราะไม่มีเวทนา ที่จะเรียนรู้ฐาน ที่จะเรียนรู้ทุกข์สุข ที่เป็นอริยสัจ ฉะนั้นเดียรถีย์ก็ไปงมงายอยู่กับสัมภเวสี เหมือนหมอปลา ที่ไปงมงายอยู่อย่างนั้นแล้วก็ไป แกก็ช่วยไปขั้นหนึ่งนะ บรรเทาสำหรับคนที่หลงติดยึดแล้วต่างคนต่างก็ไม่รู้ แต่ก็บำบัดตามอาการไปได้ชั่วคราว ช่วยได้บ้าง _สู่แดนธรรม… ดีกว่าหมอปลาขึ้นมาหน่อยก็ไปเห็นเทวดาครับ พระกรรมฐานที่เห็นเทวดา พ่อครูว่า… ก็ไปเข้าใจเทวดาล่องลอยเหมือนอย่างอาจารย์มั่น เห็นเทวดามาฟังธรรมของท่าน มาจากเยอรมันก็มี มาจากทิศนู้นทิศนี้เยอะ ซึ่งเป็นเรื่องงมงาย เป็นเรื่องสร้างนิรมาณกาย เป็นเรื่องสร้างตามอุปาทานจิตของตนเอง ซึ่งมันจริงไม่จริงไม่มีใครพิสูจน์ได้ มันนิรมาณกาย มันสร้างเรื่อง สร้างภพชาติตามที่ตัวเองอวิชชา มันก็มีอยู่สิ ฉะนั้นไม่มีทางแก้ไขที่จะบรรลุอรหันต์ บรรลุนิพพาน บรรลุสุข ก็ไม่ได้มีที่ตั้งที่จะปฏิบัติอย่างแท้จริง ตามพระไตรปิฎกสูตรที่ 1 ในพระไตรปิฎกพระสูตร ใช่พระวินัยนะ พระสูตรสูตรที่ 1 เลยคือพรหมชาลสูตร ไม่มีเวทนาไม่มีที่ตั้งแห่งการปฏิบัติ กรรมฐานของศาสนาพุทธคือเวทนา แค่นี้ก็ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นหลับตาปฏิบัตินี่มันส่อชี้บ่งถึงความเสื่อมของศาสนา อย่าง 50 กว่าปีแล้วอาตมาพูดเรื่องนี้ไม่กระดิกเลย ได้มาส่วนน้อย ทั้งๆที่พุทธศาสนิกชนไทย 95% คิดดูสิ นอกนั้นไปหลงงมงาย ตามมิจฉาทิฏฐิเดียรถีย์ที่หลับตาปฏิบัติกัน อาตมานั้น มันสุดสงสารไม่รู้จะทำยังไงเลย พูดดีๆพูดอย่างเรียบร้อยก็พูด พูดอย่างแรงๆกระทบกระแทกกระทุ้งก็พูด ดูถูกดูแคลนก็พูดหมด จะให้ยกย่องมันก็ยกย่องไม่ได้เพราะมันผิด มันจะยกย่องเรื่องที่มันผิดพากันหลงทิศหลงทาง ออกไปเป็นผีหมดแล้ว เป็นสัมภเวสี วิญญาณล่องลอย ลหุตา มุทุ กัมมัญญา คือ 3 รูปสัมผัสของพระอรหันต์ มันต้องมามีจิตวิญญาณ มีกาย มีจิตเปิด ภายนอก ภายใน รู้จักกาย กายคือมีภายนอกกับภายใน จิตเจตสิก จิต มโน วิญญาณ คือกาย เพราะฉะนั้นผิดเพี้ยนจนภาษาไทยรู้คำว่า กาย แปลว่า ร่าง ยังดีนะในบางแห่งแปลคำว่า กายแปลว่า ร่างกาย คำว่าร่างผิดไปร่างเป็นภาษาไทยภาษาบาลีก็คือ สรีระ ถ้าเอาแต่ร่าง สรีระเฉยๆ กายคือ ร่างเฉยๆผิดไปไกลเละเลย อะไรคือสภาพที่มีจิตกับรูป กายขาดจิตไม่ได้ กายขาดจิตไม่ใช่กาย ไม่มีธาตุรู้สึกด้วย ไม่มีนามธรรมร่วมด้วยไม่ใช่กาย เพราะฉะนั้นนามธรรมที่ร่วมด้วยเราลงไปรายละเอียดทวน ที่พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณาแยกกายแยกจิตให้ได้ ทำความเข้าใจแยกกายแยกจิต แล้วไปเพ่งลงที่เวทนา คือความรู้สึก ท่านให้พิจารณาจาก ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เพราะฉะนั้นเมื่อผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อันใดอัน 1 ก็แล้วแต่ เมื่อเกิดการกระทบสัมผัสแล้วจะเกิด เกิดความรู้สึก ความรู้สึกที่เรียกว่า เวทนา ถ้ามันเกิดความรู้สึกเจ็บปวด หรือไม่เกิดความรู้สึกเจ็บปวด นั่นคือไม่มีเวทนา ไม่มีกาย ผมก็ตามยาวมาส่วนปลายของผม คุณกระทบสัมผัสตัดมันออกกระทบทุบมันแรงๆ มันก็ไม่เจ็บไม่ปวดอะไร เพราะมันไม่มีเวทนา ไอ้นั่นคือสิ่งที่ไม่มีกาย นี่แหละเป็นฐานสำคัญที่จะต้องรู้ ผู้ที่ปฏิบัติธรรมต้องอ่านเวทนาในเวทนา แล้วมนสิการ ทำใจในใจของเราให้เป็นตามนี้ เมื่อเกิดกระทบสัมผัสแล้วทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเราร่วมกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เมื่อตากระทบรูปจิตก็รู้ตามตา เกิดเวทนาก็มีเวทนาจริง ตาก็เห็นรูป หูก็ได้ยินเสียง มันก็มีอย่างนั้น ถ้ามันกระทบแรงมันก็เจ็บ มันก็ปวด หูกระทบแรง หูมันก็จะแตกมันก็เจ็บเหมือนกัน จมูกได้กลิ่นฉุนขนาดหนักๆมันก็ตายเหมือนกันนะ รสทางลิ้นมันร้อนมันเผ็ดจัด มันก็ตายเหมือนกันนะ เป็นธรรมชาติ แต่ทีนี้รสที่มันรู้ รสทางตาคือรูป รสทางหูคือเสียง รสทางจมูกคือกลิ่นรสทางลิ้นก็คือลิ้นคือรสที่ใช้ทับศัพท์ รสทางกายก็คือ โผฏฐัพพะ เราก็เข้าใจอาการต่างๆตามพยัญชนะ ภาษาที่บอกอย่างนั้นให้ได้ คุณก็จะรู้ความจริงตามเสียงมันคืออย่างนี้ มันแรงมันดังขึ้นมาคุณก็ต้องโอ้โห หูจะแตก คุณก็ต้องรู้ หรือตาเห็นรูปจนกระทั่งรูปนี้มันบาดตา รูปแสงมันจัดจนบาดตาไม่ไหว จนตาจะเสีย หรือจมูกได้กลิ่นจนแสบอะไรก็แล้ว แต่มันมีของที่เกินขอบเขตทั้งนั้น เพราะฉะนั้นก็เอาแต่พอดีแล้วก็อยู่กับความพอดีพอเหมาะ อ่านความรู้สึก นอกจากความจริงของความรู้สึกแล้วมันมีตัวความรู้สึกเก๊ อันนี้แหละไม่รู้แล้วไปจมอยู่กับความรู้สึกเก๊นี่ มันก็เลยเกิดสุข เกิดทุกข์ เกิดพอใจ ไม่พอใจ เกิดผลัก เกิดดูด สัมผัสกระทบแล้วก็เกิดผลักเกิดดูด ถ้าคุณสัมผัสแล้วกระทบแล้ว รู้ความจริงตามความเป็นจริง ไม่ผลัก ไม่ดูด ไม่สุข ไม่ทุกข์ แค่นี้ก็เป็นอรหันต์.. ง่ายจะตาย อ้าวจริง คุณกระทบแล้วคุณก็รู้ มันแรงก็รู้แรง มันเบาก็รู้เบา เพราะฉะนั้นคนที่จะรู้ได้ดีที่สุด สรุปแล้วรูปที่เรากระทบแล้วพระพุทธเจ้าท่านแจกไว้ รูปที่มันสำเร็จลงไปถึงขั้นฐานที่ควรจะได้คือ 1 ลหุตา 2 มุทุ 3 กัมมัญญา นี่แหละรูปที่รู้อันนี้ จะออกทางกายวิญญัติว่าวจีวิญญัติอีก 2 อันก็รวมเป็น 5 เรียกว่าวิการรูป 5 เกิดพฤติกรรมของมัน เพราะฉะนั้นคนใดที่สามารถ ที่จะทำจิตให้สิ่งที่ถูกรู้นี่ มันจะแรงมาอย่างไรเราก็เบา ลหุตา แล้วเราก็มีฐาน มุทุตา ฐานจิตองค์รวมของเรา อาตมาว่าที่เขาแปล มุทุว่า อ่อน มันไม่เหมาะ _สู่แดนธรรม… ว่ามันสลวย พ่อครูว่า… ไม่ใช่ จิตมันไหวไว รู้แล้วรู้ไวปรับได้คือปรับตัวกับทุกอย่างที่กระทบได้ มุทุ นี่ จิตมันปรับตัวได้ไวกับทุกสิ่งที่กระทบโดยไม่เกิดทุกข์เลย ไม่เกิดปฏิปักษ์ ไม่เกิดสิ่งที่ไม่ดี ไม่ต่อต้าน รู้ทุกอย่างยืดหยุ่นได้ทัน ยืดหยุ่นได้พอ ทุกอย่างรับได้รู้หมดและรู้ความจริงนะว่ามันมาแรงเว้ย แต่เรารับได้ แล้วก็เอาไปทำงาน กัมมัญญา ไม่เกิดผลเสียหายอะไรเลยนี่คือ ลหุตา มุทุตา กัมมัญญา ฐานเจตสิกใหญ่เป็นสุดยอดของอรหันต์โดยมีฐานมุทุตา ได้หมดเลยมาอย่างเบามาอย่างแรงเท่าไหร่ ถึงมาแรงอย่างไรก็ทำเบาได้ ลหุตา มุทุนี่มีพลังงานพิเศษ มาอย่างแรง อย่างร้าย เอาเป็นเอาตายเลย ก็ยืดหยุ่น รับได้อย่างที่เรียกว่า ไม่เกิดปฏิกิริยาเสียหาย จึงเป็นผู้ที่อยู่กับกัมมัญญา ทุกกรรมกิริยา ทุกการงานที่เกิด เหมาะควรทั้งนั้น เป็นผู้ปรับอยู่กับเหตุปัจจัยที่อยู่ร่วม จะกระทบสัมผัสอย่างไรก็เป็นตัวที่ยืดหยุ่นได้อย่างไม่มีอะไรเดือดร้อน ไม่มีอะไรเสียหาย ไม่มีอะไรเกิดโทษภัยอะไรเลย จึงเป็นตัวสำคัญที่สุด ที่จะอยู่ในสังคม เป็นผู้ที่ปรับสังคมให้อยู่ได้ใน ความสงบบริบูรณ์ ความเจริญ ทุกอย่างความไพบูลย์อะไรครบครัน เหมือนอย่างชาวอโศกเรานี่ มันมีความครบหมดเลย ไม่ว่าจะเดือดร้อนกันในเรื่องที่เขาเดือดร้อนในเรื่องเศรษฐกิจ เขาเดือดร้อนเรื่องรัฐกิจหรือเรื่องการเมือง เขาเดือดร้อนเรื่องสังคม อโศก สบม ทมด ปกต หห จจ ปกต หห จจ มชยลล ยุคนี้เขาชอบใช้ตัวย่อกันเราก็ย่อบ้าง ไม่แปลเอาให้คุณงง คุณนึกว่าคุณแน่ เราก็แน่เหมือนกัน หมดอวิชชาในอัตตา 3 ก็รู้สาระในอัตตาที่ควรมีควรเป็น เพราะฉะนั้นการศึกษาของพระพุทธเจ้า เรามาไล่ตั้งแต่ต้น เรื่องกาย เป็นความโง่ เป็นอวิชชา เป็นอาสวะข้อที่ 1 ที่คนไม่รู้เรื่องกาย เป็นข้อต้นเลย ถ้าเข้าใจกายผิด ฟังอีกซ้ำเป็นครั้งที่ล้าน กายคือสภาพ 2 กายคือ จิต มโน วิญญาณ เอาคำตรัสพระพุทธเจ้ามาตรัสมายืนยันในพระสูตร เพราะฉะนั้นนคนที่ไปเข้าใจว่ากายเป็นสรีระ กายคือ วัตถุกายคือสิ่งเดียว ทั้งๆที่ในบาลีแปลกายว่าคือ หมู่ คือฝูง คือกลุ่ม ไม่ใช่แปลว่าเดียวนะ ในพจนานุกรมบาลีไทยเขาก็แปลอย่างนั้น แต่เขาเข้าใจมิจฉาทิฏฐิว่า กายคือไม่ใช่องค์ประชุม ไม่ใช่หมู่ฝูงแต่เป็นหนึ่งเดียว หนึ่งเดียวนั้นหมายถึงอะไร หมายถึงวัตถุ หมายถึงสรีระภายนอก มันก็มิจฉาทิฏฐิอย่างโอ้โห เก็บไม่ขึ้นเลย มิจฉาทิฏฐิที่ดึงขึ้นมาไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นมันจึงไปผิด ไปนั่งหลับตาทำเพราะมันมิจฉาทิฐิกาย ปฏิบัติไม่มีกายไม่ได้ ศาสนาพระพุทธเจ้าต้องเรียนรู้กายซึ่งจะรู้กาม ถ้าไม่มีกาย ไม่มีกาม เพราะฉะนั้นเบื้องต้นคุณก็ไม่เกิดแล้ว คุณก็ไม่ได้ล้างกิเลสเบื้องต้นตั้งแต่กามที่เกิดจากกายสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสแล้วจิตของคุณก็ร่วมแล้วก็เกิดกิเลส เป็นเบื้องต้น เป็น โอฬาริกอัตตา เป็นกามราคะ หมดกามราคะแล้วจึงจะเหลือ รูปราคะ อรูปราคะ ถึงจะเป็นมโนมยอัตตาแล้วจะถึงอรูปอัตตา อย่างนี้เป็นต้น ก็ไม่รู้ลำดับก่อนหลังพวกนี้ จะกินทุเรียนก็เอาปากสวบไปกับลูกทุเรียนที่มีหนามเลยจะกินเนื้อในมัน ปากคุณก็เยินหมดทั้งหมด คุณต้องค่อยๆหาวิธีเอาหนามแหลมออก มันหยาบนี่ บาดมันเจ็บมันปวดมันทรมานนะ หนามทุเรียนภายนอกนี่แหละคือกาม คือกิเลสหยาบ คุณไม่ทำให้มันหมดมันลดมันบรรเทา มันพ้นไปได้ก่อนจะได้เข้าไปกินเนื้อมั ไม่ได้กินหรอก กี่ชาติก็ไม่ได้กินเนื้อ ฝันเพ้อไปเฉยๆงมงายทำกันอย่างเกิดมรรค เกิดผลไม่ได้ ประเภทที่ตีกิน บันไดขั้นที่ 1 2 3 คุณกระโดดพรวดไปบันไดขั้นที่ 2 3 เลยบันไดขั้นที่ 1 คุณละเลย คุณจะตีกินได้ไง _สู่แดนธรรม… อันนี้จริงครับ อาจารย์ผมก็บอกว่าให้ลดละอัตตาภายในแล้วกามข้างนอกก็จะชนะไปด้วย พ่อครูว่า… เก่งกว่าพระพุทธเจ้านะ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายเข้ามา แล้วเปิดหาข้างนอก ก็พระพุทธเจ้าคนละองค์กับเรา สอนกันไปต่างกันไปตามประสาเขา เพราะฉะนั้น การไม่รู้จักกาย ไม่รู้จักกาม ไม่รู้จักกายบรรลุที่เป็น อุตระ อยู่เหนือ ภาษาไทยว่าอยู่เหนือ มันก็เลยมิจฉาทิฏฐิกันไปหมด ผู้บรรลุธรรมตั้งแต่กาย ก็คือมาล้างกิเลสกาม เมื่อกิเลสกามของคุณไม่มี กิเลสกามของคุณหมด เป็นอนาคามี เป็นต้น คุณก็อยู่กับโลกที่มีกาย กามของโลก มันก็มี แต่เราอยู่เหนือ อุตระ มันไม่ต้องแล้ว มันไม่ต้อง สัมผัสก็เฉยๆ ไม่ต้องผลัก ไม่ต้องดูด ไม่รัก ไม่ชัง ต้องการก็ไม่มี ไม่ต้องการก็ไม่มี นิวตรอนแล้ว กลางๆ อารมณ์กลางๆแล้ว กับสิ่งที่ปฏิบัติภายนอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย กระทบ เพราะฉะนั้น สุขทุกข์กับกามกับ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสเสียดสียังไงก็ไม่สุขไม่ทุกข์ รู้แต่ความจริงตามความเป็นจริง _สู่แดนธรรม… ไปไหนมาไหนก็ยิ่งกว่าเอกราชทั้งปวง พ่อครูว่า… ไปไหนมาไหนก็ยิ่งกว่าเอกราชทั้งปวง ไม่มีลำบากลำบนอะไรเลย เหลือภายในก็ล้างกิเลสแต่อุทธัมภาคิยสังโยชน์ภายในให้มันจบ มันก็จะเป็นอรหันต์สมบูรณ์แบบ หมดภายนอกเป็นอนาคามีแล้ว ภายนอกหมดกาม เพราะฉะนั้นผู้ที่ฝึกเรียนศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าตามลำดับ รู้จักกาย ล้างกิเลสกามที่เกิดจากกายดับได้อยู่เหนือ อุตระ ไม่ได้หนีจากโลกกาม กามาวจร คุณก็ยังอวจรอยู่กับโลกกาม แต่จิตของคุณไม่มีกามแล้ว รู้แต่ความจริงตามความเป็นจริง ตากระทบรูปก็รู้ว่า รูปเป็นอย่างนี้ เขาสมมุติว่าสวย เขาสมมุติว่าอยากได้ ไม่อยากได้อะไร เราก็รู้ควรไม่ควร ควรมีก็เอา ไม่ควรมีก็ไม่ต้อง ต้องใช้ศัพท์ได้แค่นี้ ไม่มีปัญหาอะไรจริงๆ ฉะนั้นความต้องการเพื่อกิเลสกาม ไม่มี มันจึงเบา มันจึงไม่มาก เพราะฉะนั้นของหยาบในโลกที่เป็น โอฬาริกอัตตา หรือเป็นกามภายนอก จะอยู่ในโลกนี้ เราก็เบา เราก็รู้แต่สาระแท้ๆของมันว่า เออ อันนี้ คืออันนี้ เราชอบอย่างนี้แหละ..รูป เราชอบนี้แหละ..เสียง เราชอบอย่างนี้แหละ..กลิ่น อย่างนี้แหละรสเราชอบ ไม่มี รู้แต่ความจริงมันเป็นอย่างนี้ ควรหรือไม่ที่จะใช้ ควรหรือไม่ที่จะเอามาอาศัยในชีวิต ถ้าไม่ต้องอาศัยไม่ต้องใช้ เราก็ไม่ต้องมีไม่ต้องเป็น มันก็ไม่ไปแย่งชิงอะไรใคร เพราะความต้องการหรือการอาศัยใช้ของคนแต่ละคน มันนิดเดียว มันไม่มากเลย มันไม่มาก แต่คนที่ยังไม่ละไม่ลด มันก็มากสิ น้อยลงๆก็ดี สำส่อนมากก็เลอะ แม้คุณยังติดยังยึดอยู่ ในรูปก็ตาม ในเสียงก็ตาม ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสเสียดสี โผฏฐัพพะ ก็ตาม มันก็ต้องมีความจริง ตามความเป็นจริงที่ต้องอาศัยเท่านั้น คนพวกนี้ก็เป็นนักเศรษฐศาสตร์ นักเศรษฐกิจที่ไม่แย่ง ไม่ชิงใคร อาศัยแต่พอตัว นิดเดียว แต่คนมีสมรรถภาพทำงานสร้างเครื่องกินเครื่องใช้ เครื่องอาศัยได้มากกว่าที่ตนเองกินใช้ หรือแม้แต่จะไม่ทำหน้าที่สร้างปัจจัย 4 ไม่สร้างปัจจัยที่กินใช้โดยตรงอาศัยโดยตรง สร้างอื่นๆที่ทดแทนกันเพราะความถนัดมันคนละอย่างก็แบ่งกันไป ถ้ามีความรู้อันนี้ด้วยมันก็ไม่ไปลบหลู่ ไม่ไปรังเกียจผู้สร้างปัจจัย 4 ชาวไร่ ชาวนา สร้างเครื่องของกิน ไม่ลบหลู่จะเห็นคุณค่า จะเห็นว่าชีวิตตลอดเราต้องพึ่งพานี้ คนสร้างลูกระเบิดเก่ง สร้างคอมพิวเตอร์เก่ง สร้างอะไรเก่ง คุณอยู่ไม่รอดหรอก ถ้าคุณไม่มีพืชธัญญาหารกิน แล้วคุณก็ไม่กินแต่พืชพันธุ์ธัญญาหารเท่านั้น คุณกินสัตว์ ให้มันเป็นวิบากเยอะแยะเพราะคุณไม่รู้เรื่อง คุณก็มีกรรมมีวิบากไป แค่ความรู้เรื่องสัตว์ที่มีกรรมมีวิบาก ที่จะต้องเป็นอะไร ฆ่าแกงกันอยู่นี่ เป็นกรรมวิบากทั้งนั้น ในเมืองไทยมีกลุ่มชาวอโศก ที่จะเห็น จะรู้ความจริงในเรื่องของสิ่งที่เขายังไม่หยุดกัน เราหยุดแล้ว แต่เขาสิยังไม่หยุด เราจะเห็นชัดๆเมื่อเราชัดเจนในเรื่องชีวิตมันไม่ได้ไปรบกวน มันไม่ได้ไปต้องการอะไรมากเลย เพราะฉะนั้นคนที่เป็นนักเศรษฐกิจหรือเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้นยอด ชีวิตไม่ได้ต้องการอะไรมาก ชีวิตน้อยๆชีวิตจนๆ ชีวิตถูกๆ แต่มันอุดมสมบูรณ์เพราะเราเอาน้อย แล้วเราขยันมาก เรามีการสร้างสรรค์มาก มันก็อุดมสมบูรณ์ มันก็เหลือเฟือ แล้วยิ่งมีคนรวมกันเยอะแยะ นักเศรษฐกิจชั้น 1 ทั้งนั้นเลยที่นี่ มีวรรณะ 9 กัน มันเลยรวย อโศกรวย แต่อโศกจน จนคือ ไม่ได้สะสม ไม่ได้มีอะไรมาก แต่มันมีเหลือเฟือ มันกินก็เหลือเฟือ ใช้ก็เหลือเฟือ สมบัติของอโศก ท่านหินจริงเหนื่อย เป็นขยะเละเทะเก็บ ขว้างเยอะ ถ้าคุณสมไทยมาเห็นเข้าบอกว่าเงินทั้งนั้น ทำไมอโศกนี่เละเทะจังเลย ท่านหินจริงเก็บอยู่คนเดียว คุณสมไทยเห็นเขาก็บอกว่าเงินทั้งนั้น ไปเก็บไปขายเศษกระดาษ เศษพลาสติก เหล็กผ่า แม้แต่เศษอะไรต่อเศษอะไรต่างๆ ไปแยกขาย อาตมาอธิบายยังไม่เก่งพูด ยังไงก็สรุปไม่ลงสักที แต่พวกคุณนี่แหละเป็นตัวอย่างที่เข้าใจแล้วก็ทำตนให้มาเป็นตัวอย่างได้ขนาดนี้อาตมาก็พอใจ ในชาตินี้ พอใจที่สามารถปฏิบัติให้ทำได้ ชีวิตที่จบกิจในระบบสาธารณโภคี นี่เป็นตัวตัดสินอรหันต์ เอามาเข้าสู่หลักวิชาการกันให้ดีๆ จะเอาจรณะ 15 ศีล อปัณณกปฏิปทา 3 แล้วเกิดสัทธรรม 7 แล้วจะเป็นฌาน ฌานคือทั้ง พลังงาน ศรัทธาและปัญญา ฌานคือพลังงานจิตที่มีทั้งศรัทธาและปัญญา เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ข้อแรกคือสัตว์ ศีลข้อที่ 1 คือสัตว์ คือคนด้วยกัน คนนี้เป็นสัตว์ประเสริฐ ทำยังไงกลายเป็นสัตว์นรกกันไปหมด มันเสื่อม เป็นนักเศรษฐศาสตร์ก็เป็นสัตว์นรก นักบริหารก็เป็นสัตว์นรก เป็นนักรบก็เป็นสัตว์นรก ยิ่งเห็นชัดเลยนักรบนี่สัตว์นรกเห็นชัด ทุกวันนี้ฆ่าแกงกันอย่างไม่รู้สีรู้สาเลยเวรกรรม แล้วไปฆ่าคนที่เขาไม่รู้สีรู้สาอะไรอีก คุณฆ่าคู่ต่อสู้ก็ยังพอว่า แต่นี่ไปฆ่าชีวิตผู้อื่นที่เขาไม่รู้สีรู้สา เด็กเล็กคนแก่คนเฒ่าคนโต คุณจะเบ่งอำนาจของคุณอย่างเดียว นี่มันเกินกว่าฆ่าสัตว์แล้วนี่ มันฆ่าคน คุณไม่เข้าใจหรือว่าคนนี้ไม่ควรฆ่ายิ่งกว่าสัตว์ พระพุทธเจ้าท่านสอนถึงขั้น ปาณะ ไปทำให้ตกร่วง อาตมาก็อธิบายไปแล้ว อันที่พัฒนาไปถึง สัตตะ ปาณะ ให้ตกร่วงเลย อย่าทำร้ายเขาขนาดนี้จิตวิญญาณเขากำลังเกิดสูงแล้ว เพราะฉะนั้น ปาณ เจตสิก เจตภูต พีชคาม ภูตคาม ถึงมหาภูตรูป 4 คือพลังงานที่พระพุทธเจ้าท่านเป็นนักวิทยาศาสตร์ทางจิต นักวิทยาศาสตร์ทางไบโอโลจี นักวิทยาศาสตร์ทางชีววิทยา ที่รู้จักพลังงานที่มันเกิดตั้งแต่เป็นอุตุมาเป็นพืช มาเป็นสัตว์ชั้นต่ำ จนถึงสัตว์ชั้นสูงจนมาถึงขั้นเป็นมนุษย์นักจิตวิทยา เป็นนัก Biology ชีววิทยาทางจิตวิญญาณ นี่สุดยอดหมดแล้ว เทวนิยมเขาวิทยาศาสตร์ยังไงๆเทวนิยมก็ไม่มีทางเรียนรู้ได้เหมือนอย่างของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเขาจะมาทำให้จิตเกิดความสงบ อบอุ่น อิ่มเอมเกษมใส ใจเกื้อกูล เพิ่มพูนการเสียสละ อย่างที่เราเป็นกันนี้ไม่ได้หรอก ที่บอกว่าต้องการสันติภาพเอย สันติภาพเอย ร้องหาสันติภาพกันอยู่ ร้องให้คอแตกคุณก็ฆ่ากันอยู่อย่างนั้น แต่พวกเรานี่มีสันติภาพแล้ว สงบแล้ว สบายแล้ว อบอุ่นสบาย สร้างสรรค์ มีกินมีใช้ เหลือกินเหลือใช้ ทางเศรษฐศาสตร์ทางบริหาร อยู่ด้วยกันอย่าง สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม เศรษฐศาสตร์มีสาธารณโภคี ซึ่งอาตมาอธิบายไปหมดแล้ว เศรษฐศาสตร์ระดับสาธารณโภคีคือ สิ่งที่แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ เศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ สิ่งที่แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ ทุกคนมีกินมีใช้ แบ่งใช้จากกองกลางสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยหรือ คอมมิวนิสต์ก็ตาม ต้องการ ลาภ หรือรายได้ หรือวัตถุหรือเงินทองของคนเอามาใส่กองกลาง มีทองคำอยู่กองกลาง มีธนบัตรอยู่กองกลาง แยกไปเป็นภาษาวิธีการของโลกก็คือ ให้เสียภาษีเข้ากองกลางให้มากที่สุด ไม่ว่าคอมมิวนิสต์ ไม่ว่าประชาธิปไตย เศรษฐศาสตร์ต้องการให้คน เอาเข้ากองกลางหรือเสียภาษีทางตรงทางอ้อมวิธีการอะไรก็แล้วแต่ ให้ได้มากที่สุด เศรษฐศาสตร์พระพุทธเจ้า เสียภาษี 100% ชนะประชาธิปไตยชนะคอมมิวนิสต์ พวกไหนหนอ…ทำได้ (อโศก) ทำสำเร็จ แล้วคนก็ไม่ฉุกคิดว่า พวกอโศกมันทำได้ยังไง มันก็จิตวิญญาณมันก็มีความรู้ หรือมันก็มีจิตวิญญาณที่มาทำอย่างนี้ได้ยังไง มันเอาตัวรู้ตัวไหน มันเอาตัวยอม มันเอาตัวรู้ตัวไหน มันเอาตัวยอม มา ยอมจน มายอมมักน้อย มายอมไม่เอาเปรียบ มายอมเป็นผู้ที่เสียสละให้แก่คนอื่น มันเป็นจิตอย่างนี้ได้ยังไง ให้คนมาเป็นจิตอย่างนี้ได้ยังไง พวกคุณบ้าหรือเปล่า (บ้า) ทำไมมันไม่เหมือนโลกเขา โลกเขาจะต้องไปรวย เขาจะต้องไปแย่ง ไปมีอำนาจบาตรใหญ่ ทำไมพวกคุณทำไมไม่เป็นอย่างที่เขาเป็น _สู่แดนธรรม… พวกเราก็ยอมรับว่าบ้า พ่อครูว่า… ไม่คุณบ้าก็เราบ้าวะ ไม่คุณบ้าก็เรานั่นแหละบ้า ใครคนใดคนหนึ่งก็บ้า ใครคนใดคนหนึ่งก็ดี _สู่แดนธรรม… ข้ามความบ้าไปสู่ความมหัศจรรย์แล้วครับ พ่อครูว่า… ใช่มันสุดยอดแล้วมันเป็นสภาวะ 2 คนจะเอาอันใดจะเห็นอันใดด้วยปัญญาด้วยธาตุรู้ ด้วยความจริงใจที่มันเป็นความเข้าใจ เห็นดี เห็นงาม มาเป็นอย่างนี้เลย ไม่มีใครมาบังคับ อิสระเสรีภาพ มันเป็นความพอใจ เป็นความเห็นดีเห็นงาม เพราะฉะนั้นคนที่จะศึกษาวิชาการในโลก วิชาการเศรษฐศาสตร์ วิชาการบริหารรัฐศาสตร์ วิชาการสังคม วิชาการอะไรก็แล้วแต่เถอะ เพื่อชีวิตที่จะจบกิจ ชีวิตที่สมบูรณ์แล้ว มันไม่ต้องไปดิ้นรนอะไรอีกแล้วชีวิต เพราะฉะนั้นอย่างพวกคุณ หลายผู้หลายคน บางคนก็อายุยังไม่มากเท่าไหร่ ก็ไม่ไปไหนก็อยู่อย่างนี้แหละ ชัดเจนแล้ว ชีวิตมันจบกิจ นี่เป็นตัวตัดสินอรหันต์นะ มันไม่ไปไหนหรอก บางคนอายุไม่มากหรอกอย่างนี้ ชีวิตอย่างนี้ชัดเจนอยู่ แล้วหลายคนมาตั้งแต่อายุ 20 30 เดี๋ยวนี้ปาเข้าไป 70 80 ไป สบาย ยิ่งเห็นยิ่งสบาย ยิ่งแก่ยิ่งสบาย ยิ่งรู้เลยว่าตายที่นี่ดีที่สุดเพราะว่าเผาได้สวย เผาโชว์ได้ไม่สวยหรือ ที่เผาน่าเกลียดเขาโชว์ไม่ได้ เขาเผากันไม่ค่อยเห็นหรอก แต่ของเรานี่เผาโชว์เลย ใช่ไหม เผาโชว์เลยเปิดเผย นอกจากเผาโชว์แล้ว พวกเรานี่ก็ไม่กลัวผี ไม่กลัววิญญาณ ไม่กลัวอะไรต่ออะไรพวกนี้อีก เพราะเข้าใจเรื่องวิญญาณ เรื่องพลังงานพวกนี้ ผีมันไม่มี ผีเข้าร่างนั้นเข้าร่างนี้ อย่างหมอปลาไปพาทำ มันไม่มี มันเป็นอวิชชา มันเป็นความโง่ มันเป็นอุปทาน ที่ยึดว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นผีเข้าแล้วจะต้องตัวแข็งต้องดีดต้องเต้นต้องแสดงท่าอย่างนั้นอย่างนี้ มันเป็นความยึดติดเข้าใจว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ แล้วคนก็มาเป็นอย่างที่คุณยึดว่ามันเป็น แล้วคุณก็ไปนึกว่าผีเผลอเข้า คุณโง่บ้าของคุณอยู่คนเดียวเอง ถ้าเข้าใจได้ว่ามันไม่ต้องไปมีมันก็อยู่สามัญปกติมนุษย์ ไม่ต้องไปเต้นไปดีด ไม่ต้องไปไม่รู้เรื่องรู้ราวก็รู้ตามประสา ตา หู จมูก ลิ้น กาย อยู่กับโลกเขาสามัญตามสมมุติโลกไป มันเป็นธรรมดาธรรมชาติปกติสามัญของ มนุษย์จะไปจะต้องประหลาดพลิกแพลงแปลกประหลาดอะไร บางทีบางคนมีกิเลสลึกๆรู้ว่าทำอย่างนี้มันเท่ห์ มีองค์ลงบ้าง มีอะไรเข้ามาแล้วเราก็ บางคนเขาก็ไม่อยากเป็นนะ ไม่อยากเป็นแต่มันเป็นอุปาทานที่เขาไม่รู้ มันอวิชชาไปติดไปยึดอยู่ โดยที่จิตใต้สำนึก จิตไร้สำนึกของเขายังติดอยู่ แล้วมันก็ออกมาเป็นบทบาทข้างนอก เพราะฉะนั้นอย่างหมอปลารักษาก็บรรเทาไป มันไม่หายหรอก หายก็ต้องมาศึกษาของพระพุทธเจ้าให้ชัดเจน ถ้าไม่ประสาทที่มันแก้ไม่ได้แล้ว ถึงขั้นต้องกินยา หายหมดทุกคน ถ้าประสาทที่มันแก้ไม่ได้ ต้องกินยา พระพุทธเจ้าก็รักษาไม่หาย ไอ้อย่างนั้นมันเป็นคนประสาทเสีย เป็นคนวิปลาสไปส่วนหนึ่งอย่างหนึ่ง ก็รักษายาก เพราะฉะนั้นมาเข้าใจอย่างที่โลกเขามีสมมุติๆอย่างนี้ไปด้วยกันไม่ต้องไปออกนอกทาง ไปมีความคิดประหลาดๆออกนอกหมู่ นอกกลุ่มอะไร อยู่กันอย่างเข้าใจกัน อย่างนี้ก็ใช้ร่วมกัน อาศัยร่วมกัน สนับสนุนกันไป สร้างสรรค์ช่วยกันไป สบาย อาตมาก็ยังพูดไปพูดไปแล้ว อธิบายไปแล้วก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง อธิบายไม่ละเอียดพอ _สู่แดนธรรม… อยากให้พ่อท่านกลับมาอธิบายเรื่องความวิเศษมหัศจรรย์ของระบบสาธารณโภคี ต่อครับ พ่อครูว่า… สาธารณโภคี นี้ โดยศัพท์ สาธารณะโภคี บริโภคคืออาศัยใช้กิน แปลเป็นไทยง่ายๆตามพจนานุกรมโพธิรักษ์คือ ของที่อาศัยใช้กิน แบ่งกันกินกันใช้ที่เป็นของส่วนกลางสาธารณโภคี เพราะฉะนั้น ลาภได้โดยธรรม พวกเราไม่ได้ไปทุจริต ไม่ได้ไปแย่งชิงมา สร้างด้วยน้ำพักน้ำแรง ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ไปเบียดเบียน ไม่ไปทำอะไรที่จะไปละลาบละล้วง เอาของคนอื่นเป็นของเราที่มีสิทธิสร้างแล้ว แล้วก็เอามาใส่กองกลาง ไม่เอาพลังงานกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อะไรไปทำในสิ่งที่เราคิดว่าเราเลิกแล้ว แต่ก่อนเราเห็นว่ามันสำคัญเป็นคุณ เป็นค่า เราก็เลิกมา ทำงานที่เหมาะที่ควร ที่เราพากันทำ อาตมาเน้นพากันทำอะไรมากหนักที่สุด กสิกรรม เพราะฉะนั้นพวกเรานี่ ชาวอโศกถ้าเป็นนักกสิกรรม ด้วยจิตวิญญาณเลยนะ แล้วคนของเราก็เยอะ ชาวอโศกเยอะที่ยังไม่ชอบกสิกรรม รู้สึกสกปรก รู้สึกมันยาก รู้สึกมันต้องร้อน มันต้องลำบากอะไรต่ออะไร แต่มันอาหารเป็นหนึ่งในโลก เพราะฉะนั้นจริตนิสัยสั่งสมมามันถนัดมันไม่ชอบ ก็จะต้องมาเห็นความจริงให้ได้ว่า ไอ้นี่แหละมันเป็นหนึ่งในโลก มันดีที่สุด ถึงยังไงชาวอโศกเรานี้ก็ทำอันนี้เป็นพื้น ชาวอโศกทั้งหมดที่ถนัดและชอบที่ทำกสิกรรมกันจริงๆนี่ คุณก็เห็น ก็คนที่ชอบกสิกรรมเผลอไม่ได้ไปอยู่ในสวนหมด พวกที่ไม่ค่อยชอบ เผลอไม่ได้เหมือนกัน หนีจากสวนขึ้นมาหมด เห็นไหมนี่มันเป็นความจริงที่ชี้ให้เห็น เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าเราเอง เรามีจิตยินดีในกสิกรรม นั่นแหละเป็นคนชั้น 1 กสิกรนี่เป็นคนชั้น 1 เห็นงานกสิกรรมเป็นงานวิเศษเป็นงานประเสริฐ เป็นงานที่มนุษย์ทั้งโลก ให้เก่ง ให้ตายยังไงก็แล้วแต่ คุณขาดผลผลิตทางกสิกรรมไม่ได้ คุณจะไปกินสัตว์ คุณก็ต้องไปไล่จับแล้วก็มีวิบากอะไรไป คุณก็ไม่รู้ คุณก็กินไป เพราะฉะนั้นคนที่รู้แล้วไม่ต้องไปกินแล้วสัตว์ รู้จักกรรมวิบากแล้ว เพราะฉะนั้น ศาสนาที่จะรู้กรรมวิบาก แล้วไม่กินเนื้อสัตว์นี่ มันเป็นศาสนาชั้นสูง ศาสนาที่ยังกินเนื้อสัตว์อยู่ มันเป็นศาสนาที่ยังไม่ๆเจริญอะไร แม้แต่ศาสนาที่ เขายังไม่ค่อยรู้เรื่องสัตว์เท่าไหร่ เขายังละเว้นเนื้อสัตว์เลย อย่างศาสนาอิสลามนี่ เขาละเว้นเนื้อหมูอย่างเดียว (หมาด้วย) จะหมูจะหมาอะไรเขาก็ไม่กินหมู เพราะฉะนั้นถ้ารู้แล้วจะไปกินทำไมล่ะเนื้อสัตว์ ถ้าเข้าใจอจินไตยเรื่องกรรมวิบาก เข้าใจอย่างดีเลยเรื่องกรรมวิบาก ก็ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่กินสัตว์ทั้งหลายแหล่ กินแต่พืชแต่ผัก ผลไม้ ซึ่งอธิบายหมดแล้วว่า มันเป็นพลังงานที่มาเป็นชีวะระดับพืช มันไม่มีจองเวรจองกรรม ไม่มีบาปไม่มีบุญ มันไม่มีทุกข์มีสุขอะไร..พืช เพราะฉะนั้นมันก็สบายปลอดโปร่ง ไม่มีปฏิกิริยาที่จะกระทบกระทั่ง ระดับไหนเลย และก็เป็นอาหารมนุษย์ มนุษย์เป็นสัตว์ที่กินพืช มันไปถูกหลอกมาแต่ชาติไหนก็ไม่รู้ไปกินเนื้อสัตว์ หรือมันมีอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีอะไรจะกิน เช่น อยู่ขั้วโลกเหนือ อยู่อะไรก็ต้องกินปูกินปลากินอะไรต่ออะไรไป ก็ต้องกินสัตว์ กินเนื้อหมีก็คงไม่กินกัน ปลากันเป็นหลัก ซึ่งไม่ต้องกินสัตว์ แล้วยิ่งเข้าใจกรรมวิบากเป็นพลังงานชีววิทยาที่ละเอียดละออ ชีววิทยาทางจิตวิญญาณทั้งชีวะ พืชก็เป็นชีวะเหมือนกัน นี่เป็นความลึกซึ้งทางวิทยาศาสตร์ของพระพุทธเจ้า สาธารณโภคีนี่ที่อาตมาพูดไปแล้วก็วนแล้ว ก็เลอะๆเทอะๆไม่ค่อยเข้าแบบนักวิชาการเขาเลย ขึ้นต้นแล้วก็ไม่ต่อ คอมมิวนิสต์เขาก็ต้องการส่วนกลางที่ได้มากมีอุดมสมบูรณ์ในส่วนกลาง คอมมิวนิสต์ก็ตาม ประชาธิปไตยก็ตามต้องการส่วนกลางมากพอที่จะสะพัด แล้วการสะพัดให้แก่คนไปกิน ไปใช้ ไปใช้อาศัย คนผู้รับจากส่วนกลางก็เป็นคนมีจิตวิญญาณเจริญ คือ ไม่มักมาก ไม่ติดยึดเยอะ ใช้น้อย กินน้อย อาศัยน้อย เครื่องกินก็น้อย เครื่องใช้ก็น้อย ไม่ไปเป็นแฟชั่น ไม่ไปติดยึดอย่างที่โลกเขามอมเมาครอบงำ เข้ามาหาปัจจัยสำคัญของชีวิตได้ น้อยลงๆๆ ก็อยู่ง่ายเรียกว่า อยู่ง่ายกินง่าย สุภระ คนเลี้ยงง่ายอยู่ง่ายกินง่าย เพราะไม่ติดไม่ยึดอะไรมาก นี่เป็นเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ สุภระ ข้อแรก อยู่ง่าย กินง่าย เลี้ยงง่าย แล้วจิตก็ไม่ต้องฝืนไม่ต้องกดข่ม อยากนะ แต่มันจำนน แต่ที่จริงได้มากฉันก็จะเอา แต่ไม่ให้มีมากเท่านี้ก็พอ จิตสันโดษนอกจากมักน้อยแล้ว พอแค่นี้ก็พอ น้อยไม่ต้องไปมีมากหรอก เขามีฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยมอมเมา เป็นแฟชั่นหลอกครอบงำทางความคิดกันให้ไปหลงติดอะไรมากมาย เราไม่แล้ว มีปัญญาพอ ไม่โง่ไปตามแฟชั่น ไม่โง่ไปตามโลก ที่หลอกให้ฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย หรูหรา ฟรุ้งฟริ้ง เป็นภาระเยอะแยะหนักทรมาน รู้จักปัจจัยสำคัญของชีวิต รู้จักสาระแก่นสาร ที่น้อยที่เล็กลง ที่มันไม่ต้องไปเที่ยวแบกหามต้องมาบำเรอตัวเองมากกว่านี้ แต่สร้างสรรค์ได้มาก วิริยารัมภะ มีความขยันหมั่นเพียร มีความรู้ความสามารถสร้าง และมีปัญญารู้ว่า ควรสร้างอะไรไม่ควรสร้างอะไร เช่นที่อาตมาสรุปว่า “คนฉลาดสร้างอาหาร คนชั่วช้าสามานย์สร้างอาวุธ” อย่างนี้ เป็นต้น ซึ่งแรงนะ พูดชัดอย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สมบูรณ์แบบแล้ว เพราะฉะนั้นกว่าคนจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ แล้วก็ลดตัวตน ไม่ต้องไปทำอย่างนั้น อย่างที่เขาเป็นกันอยู่ อาตมาก็สรุปว่า ประเทศที่ไม่ต้องมีอาวุธ ประเทศที่ไม่ต้องทำสงครามกับชาติไหนๆเลย เป็นชาติที่เจริญที่สุด เป็นชาติที่สงบที่สุด เป็นชาติที่มีสันติหรือเป็นชาติที่สันติภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ต้องรบกับใคร ใครจะรบกับเราก็หน้าไม่อายก็มารบเถอะเราไม่รบด้วยหรอกเขาจะมาตบเราก็ตบไปเถอะเราไม่ตบด้วย เขาจะฆ่าเราก็ฆ่าไปเถอะเราไม่ฆ่าคุณเลย คนสงบเพราะมีปัญญารู้ว่า มีกรรมมีวิบาก มีจิตรุกรานหรือจิตช่วยเหลือ จิตรุกรานกับจิตช่วยเหลือเสียสละ จิตรุกรานกับเสียสละช่วยเหลือ มันเป็นจิตที่คนมี เพราะฉะนั้นเมื่อมีพลเมืองของชาติใดสังคมใดที่เป็นจิตแบบนี้ มันก็แสดงออกถึงความจริงที่เป็นแบบนี้ จะอยู่ในโลกนี้แหละ อยู่ในสังคมโลก ก็บรรเทาโลกให้สู่สันติภาพ ที่เรามีเพลงสันติภาพ ใครอยากได้สันติภาพ ๆเป็นยังไงเขายังไม่รู้เรื่องเลย แล้วทำยังไงจะได้สันติภาพ พวกเรานี้ได้สันติภาพไหม (ได้) รู้จักวิธีทำให้ได้สันติภาพอย่างนี้แล้ว และบรรลุผลสำเร็จความเป็นสันติภาพ จะมีสังคมไหนที่มีสันติภาพได้ดีกว่าชาวอโศก พูดแล้วก็เหมือนยกตัวยกตนเหมือนหลงตัวหลงตน ที่เราได้สันติภาพแบบนี้เพราะเรามี สาราณียธรรม 6 เรามีใจกลางคือ ลาภที่ได้โดยธรรม แล้วมาเอาเข้าส่วนกลาง สาธารณโภคี แล้วก็กินใช้กันอย่างเป็นคนมีวรรณะ 9 เป็นคนพออยู่พอกิน สบายมีกินมีใช้เท่านี้ ก็สบายเลี้ยงง่าย พัฒนาให้เจริญ พวกคุณเป็นอาริยะ เป็นผู้เจริญ เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้เข้าใจสัจธรรมในโลก ไม่ต้องไปเรียนวิชา เดี๋ยวนี้มันตั้งเท่าไหร่ สมัยพระพุทธเจ้ามีตั้ง 18 วิชา สมัยนี้มีร้อยแปดร้อยพันวิชา ไม่ต้องไปอย่างนั้นเลย เอาวิชาพระพุทธเจ้าวิชาเดียว แล้วจะเข้าใจเลย วิชาเหล่านั้นเป็นวิชาที่อวดดีหลงตัวทั้งนั้น วิชาของพระพุทธเจ้านี่มันครบหมดทั้งในเรื่องของเศรษฐกิจ เรื่องรัฐกิจ รัฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ ซึ่งเขาก็พอรู้นะเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ เป็นวิชาการรวม ที่มนุษยชาติจัดสรรให้ลงตัวได้แล้ว ก็ถือว่าเป็นมนุษย์สันติภาพ เป็นมนุษย์อิสระ เป็นมนุษย์สันติภาพ เป็นอิสระภาพสันติภาพ บูรณภาพ สมรรถภาพ สมบูรณ์แบบแล้ว ครบ 5 ภาพ อิสระเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ ครบหมดแล้ว เป็นบรมภาวะสุดประเสริฐทั้ง 5 ภาพ 5 ภาวะนี้ ที่อาตมาเองอาตมา นี่เป็นอาตมาคิดนะ อาตมาสรุปรวมสิ่งเหล่านี้มาเป็นภาษาสมัยใหม่ สมัยนี้อิสระเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ ยังแถม สุนทรียภาพ กับ สุญภาพ อีก มันเป็นเรื่องลึกภายในเลย จิตเป็นสุนทรีย์ จิตเป็น สูญ นี่เป็นจิตของบุคคลที่สมบูรณ์แบบ จิตเป็นสุนทรีย์ จิตงดงามสุนทรีย์ เบิกบานร่าเริง เห็นทุกอย่างงดงาม สิ่งไหนเขาหนักเขาร้ายก็รู้เขาอยู่ ก็ได้แต่สงสารเขาจะทำยังไงจะช่วยเขาได้ ก็รู้ว่าเขาเองเขายังไม่รู้ เขายังโง่งมงายยังหลงอย่างนั้นอย่างนั้นอยู่ ก็เข้าใจก็ช่วยกัน ผู้ที่ถึงสูญภาพ แม้อยู่กับหมู่ จิตเราก็เป็นสูญ เราก็ไม่ยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา เราไม่เอาเปรียบ เรารู้ว่าถ้าเราขยัน เราสามารถ เราก็สร้างสรรค์สิ่งที่ควร กัมมัญญา ทำสิ่งที่ควรกระทำด้วยความไม่เหยาะแหยะ รู้พัก รู้เพียร สร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้อยู่กับสังคม คนคนหนึ่งจะไม่เก่งอย่างไร ก็มีสมรรถภาพ มีสมรรถนะที่จะทำงาน คุมตัวเอง เหลือกินเหลือใช้เกิน เผื่อแผ่ผู้อื่นไว้ จะเป็นคนแก่ก็จะรู้ตัวว่าเราแก่ แต่ทำได้อยู่ ถ้าทำไม่ได้ก็จะรู้สึกว่าเราเป็นภาระหนอ มันเป็นเรื่องของปัญญา เป็นเรื่องของความเข้าใจ เอ๋อ เราไม่ควรเป็นภาระใคร แต่มันถึงเวลาที่จะต้องเป็นภาระ เราก็ต้องจำนนเราก็ต้องจำเป็น ถึงเวลาแก่แล้ว ป่วยเจ็บแล้ว ถึงขีดที่เรา ถ้ามากกว่านี้ไปก็ไม่สมควร ไม่ดีแล้ว ถ้ายังทำได้อยู่ มันก็จะสำนึก ก็จะรู้ตัวว่าเราไม่ควรเป็นภาระใคร จะมีปัญญา จะมีศรัทธา ศรัทธามีทั้งความรู้ มีทั้งความเชื่อมั่น มีทั้งธัมมวิจัยอยู่ในศรัทธา เพราะฉะนั้นจะวิจัยแยกแยะอะไรออกได้ อะไรดี ดีที่สุด ไม่งมงาย ไม่หลงผิด เข้าใจในสิ่งที่ถูก เพราะฉะนั้นผู้ที่เกิดปัญญารู้ว่าสิ่งอะไรดี เช่น รู้จักคนดี รู้จักคนที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ขออภัยยกตัวอย่างอย่างอาตมานี้ คนที่รู้ว่าอาตมานี่มีสิ่งที่รู้ตามพระพุทธเจ้า ถูกต้องจริง แล้วคนที่รู้เห็นว่า โอ้โห คนนี้นี่เอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาเปิดเผย เอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาอธิบาย ใช่นะนี่ ใช่ ถ้ายิ่งเราแต่ก่อนนี้เรายังไม่เข้าใจ หรือเข้าใจผิดว่า โพธิรักษ์นี่มามีความเห็นอย่างนี้ ความเข้าใจอย่างนี้ แล้วก็มาแสดงออกอย่างนี้ มันผิดนะ มันไม่ใช่ คนนั้นตอนแรกเห็นอย่างนี้ พอตอนนี้มาก็เกิดเข้าใจโอ้โห ที่แท้โพธิรักษ์นี่คือตัวแท้นะโอ้โห เราเข้าใจผิด คนนี้จะสำนึกและละอายอย่างแรงกล้า นี่เป็นสัจจะที่พระพุทธเจ้าสอนไว้เป็นสัทธรรม 7 พอเกิดศรัทธาเกิดปัญญา เกิดรู้จริง จะเกิดหิริโอตตัปปะ เพราะรู้ว่า โอ้โห เรานี่โง่มาแล้ว เราแสดงความโง่ออกไปอย่างน่าละอาย มันน่าละอายจะละอายอย่างแรงกล้า ถ้ายิ่งกล้ายอมปลงอาบัติเลย สารภาพเลยว่า แต่ก่อนนี้เข้าใจท่านผิดจริงๆ คนนี้เจริญแน่นอน ปลงอาบัติแล้วเจริญเด็ดขาด ตามธรรมะพระพุทธเจ้า พระรูปนี้กล้าปลงอาบัติ รู้ว่าตัวเองผิดแล้วจะเจริญยิ่งๆขึ้น แต่ถึงแม้ว่าไม่ปลงอาบัติเพราะว่าคนนี้ไม่มีความกล้าเพียงพอเข้าใจแล้วสำนึกแล้วก็ยังดี ถ้ายังเข้าใจผิดอยู่ เรายังเห็นสิ่งที่เป็นสัมมาทิฏฐิเป็นมิจฉาทิฏฐิ จะซวยหรือจะเฮง ใช้ภาษาจีน จะซวยไม่ใช่เฮง ซวยแน่ เสื่อมแน่ ไม่เจริญแน่ ที่พูดนี่ไม่ได้ไปเบ่ง ไปข่ม ไม่ได้ไปยกตัวอะไรหรอก พวกคุณนี้เชื่ออาตมา อาตมาเชื่อว่าพวกคุณเชื่อเพราะอาตมานี้เป็นตัวจริง เป็นตัวจริงของความจริงที่อาตมาบอกว่าอาตมาเป็น สยังอภิญญา เป็นผู้ที่มีอภิญญา มีความรู้ยิ่ง มีความรู้สัจธรรมโลกุตระของพระพุทธเจ้า เอง สยัง มีเองในตนเอง เป็นเองแล้ว ยังไม่ถึง อภิภู ยังไม่ถึงสยัมภูหรอก แต่เป็น สยังอภิญญา แล้ว ก็บอกความจริงนี้ตั้งแต่ต้นมาจนกระทั่งบัดนี้ก็ขยายความพิสูจน์ตัวเอง อธิบายธรรมะพาทำพาเป็น จนกระทั่งพวกคุณมาได้ธรรมะมากน้อยตามความเป็นจริงที่แต่ละบุคคลได้ ซึ่งยุคนี้มันเสื่อมมาก แต่ก็ยังกู้ขึ้น ยังกู้ได้สำเร็จ เก็บคืนมาได้ ยังมีรูปธรรมของสัจธรรมที่ยืนยันได้ พิสูจน์ได้ เป็นปรากฏการณ์จริง ไม่ใช่พูดไปแล้วไหนล่ะผลงาน ไหนล่ะสิ่งที่ยืนยัน ตรวจสอบได้ไหม อาตมายินดีให้ตรวจสอบตามคำสอน โชคยังดีที่ยังมีพระไตรปิฎก ยังมีคำสอนพระพุทธเจ้าที่ดี แม้ว่าคุณจะแปลเพี้ยนไปอย่างอื่น เราก็แปลไปอย่างเรา แล้วมันเป็นยังไงล่ะที่เราแปลกับคุณแปล ใครมันเหมาะควรกว่ากัน มันจะเข้ากันสอดคล้องกัน ตรงกันกับคำสอนพระพุทธเจ้าอันนู้นอันนี้ ไม่ขัดแย้งกัน มากกว่ากันอะไรอันไหน อาตมาที่พูดอย่างนี้เพราะอาตมาทำงานมามีผลงานพวกคุณก็ได้จนกระทั่งมาเป็นตัวจริง เป็นตัวอย่างให้อาตมายืนยันกับคนอื่น แม้ชาวพุทธด้วยกันได้ขนาดนี้ ซึ่งอาตมาก็ได้ขอบคุณพวกเราแล้ว ก็ขอบคุณที่มาเป็นตัวอย่าง มาเป็นตัวจริง ให้อาตมาได้ยืนยันกับผู้คนเขา อาตมาอยากจะอธิบาย แต่มันจะหมดเวลาแล้วมันจะ 20:00 น อาตมาอยากจะขยายความ กิจกับกาละกับกรรม เรื่องกิจก็ขยับความว่าพวกเราต้องมาเรียนรู้กิจที่ควรทำ คิดที่ควรทำให้สำเร็จก็คือคุณพ้นทุกข์พ้นสุขให้ได้ แล้วเมื่อทำสำเร็จแล้วก็จบกิจ วันศุกร์พ้นทุกข์ ที่พ้นสุขพลทุกข์จบกิจแล้วเป็นคนรู้จักจิตเจตสิกรูปนิพพาน เป็นคนรู้ว่าโอ้โหเกิดมามีอัตราหรือว่ามีจิตวิญญาณ มันก็ไปหลงสุขลงทุกข์อยู่แค่นี้เอง เพราะฉะนั้นพวกที่หมดสุขหมดทุกข์แล้วก็จะรู้พลังงานที่เป็นจิตวิญญาณ ว่าเป็นพนักงานที่เป็นอนัตตา มันไม่ได้เป็นตัวตนหรอกเขาอะไรหรอกมันเป็นฐานพลังงานอาศัย เพราะฉะนั้นพลังงานนี้ยอดที่สุดก็วรรณะก้าว ยอดสุดเป็นพลังงานวันนักข่าว เป็นพลังงานที่อยู่สบายอยู่กับที่ไหนก็อยู่ง่ายกินง่ายเลี้ยงง่าย อยู่ที่ไหนก็เจริญพัฒนาเป็นอริยะได้ง่าย อาริยะนี่ ไม่ได้เหมือนกับที่เขาเข้าใจแล้วว่าอาริยะคนเจริญ ก็บอกว่าประเทศไทยยังเป็นประเทศด้อยพัฒนา ยังไม่เป็นประเทศอารยะ อย่างพวกสร้างระเบิด สร้างอาวุธฆ่าคนได้มาก อำนาจบาตรใหญ่ได้เป็นเจ้าโลกพวกนั้นต่างหากเป็นพวก อารยะ ประเทศไทยนี้ยังด้อยพัฒนา เขาก็ว่า ซึ่งมันกลับกัน คุณต่างหากที่ยังเป็นผีเป็นสางอยู่เลย นี่เรายิ่งกว่าเทวดาแล้ว สงบสะดวกสบายมีแดนดุสิตอยู่สบาย เมืองโพธิสัตว์ มันก็ยากที่จะเข้าใจนะ จริงๆแล้วจะจบกิจ ผู้จบกิจก็จะรู้จัก กาล รู้กาละ กาละนี่ มีอดีต มีอนาคต อดีตก็ไม่เที่ยง อนาคตก็ไม่เที่ยง แต่อดีตก็ 0 อนาคตก็ 0 ทีนี้อดีตกับอนาคตนี่ มันจะ 0 มันก็ต้องมา 0 ที่ปัจจุบันชาติ คือปัจจุบัน จิตวิญญาณของผู้ที่สามารถอยู่กับทุกอย่างเป็น 0 ปัจจุบันอยู่กับทุกอย่าง อะไรร้ายแรง อะไรดีงาม อะไรๆก็ 0 ไม่หลงระเริงกับดีงามไม่หลงระเริงร้ายแรงกับที่มันร้ายกับเขา ก็เข้าใจว่าที่เขาเป็นแต่เราไม่ได้เป็นอย่างเขาเรา 0 ผู้นี้ ทั้งอดีตทั้งอนาคตก็หมายความว่าเป็นผู้มีกรรม เป็นผู้มีการกระทำ ที่สามารถอะไรมาผ่านปัจจุบัน 0 ได้หมด ผ่านปัจจุบันนี้ อดีตจะตกไปอีก สะสมอดีตต่อไปก็มีแต่ 0 กับ 0 กับ 0 อนาคตจะมาอีกเท่าไหร่เท่าไหร่ก็ 000 เป็นผู้ที่มีกรรมอันสามารถ กรรมที่จะสำเร็จประโยชน์ก็คือ ปฏิจจสมุปบาท ถ้าคุณยังอวิชชา คุณก็จะเกิดวนโง่ไปตามกระแส ชาติที่เกิดแล้ว ก็เกิดวนตามกระแสไป ตามกระแสคือ จากซ้ายไปขวา มหาจักรวาล เอกภพ ดวงดาว ธรรมชาติ เดินซ้ายวนขวา พระพุทธเจ้าค้นพบว่าถ้าไปตามกระแสก็อยู่กับมันนิรันดร หมุนอยู่อย่างนี้ไม่เคยหยุดเคยพักเคยจบอะไร แล้วไม่รู้กรรมวิบากก็ยิ่งต้องทุกข์ต้องสุข ต้องลงนรกขึ้นสวรรค์อะไรบ้าๆบอๆ พระพุทธเจ้าจึงทวนกระแส ไปทวนกระแสวัตถุ ทวนกระแสอวกาศ ดวงดาวเอกภพไม่ได้ อันนี้มันเป็นธรรมชาติ แต่ของพระพุทธเจ้านั้นเหนือธรรมชาติคือ ทำที่จิตวิญญาณของตนเองและของตนเองด้วย คุณไปทำให้ใครก็ไม่ได้ ทวนกระแสให้ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อรู้จักตัวทวนกระแสแล้ว ทวนกระแสสำเร็จ ล้มล้างการเกิดชาติ 2 ชั่วโมงเวลาหมดเต็ม 2 ชั่วโมงแล้ว ไว้ต่อทีหลัง มาถึงชาติแล้ว เดี๋ยวจะขึ้นต้นชาติแล้วก็ทวนกระแสมาหาปฏิจจสมุปบาท อธิบายกันมาแล้วก็อธิบายอนุโลมปฏิโลมทวนไป ทวนมา ผู้ที่ทวนไปทวนมาได้ถึงกรรมของตัวเองและทำได้สำเร็จ ผู้นี้จบทุกอย่าง เอาวันนี้พักก่อน สมณะเดินดิน… สรุปจบ Categories: ธรรมะพ่อครู, ศาสนาBy Samanasandin15 พฤศจิกายน 2023 Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:ฉบับที่ ๕๖๑(๕๘๓) นสพ.ข่าวอโศกปักษ์แรก พฤศจิกายน ๒๕๖๖NextNext post:661117 นิยามของเศรษฐศาสตร์ฉบับโพธิรักษ์ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศกRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024