661117 นิยามของเศรษฐศาสตร์ฉบับโพธิรักษ์ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1Vw7LiZMlLjmK7tU4rNCB1bgAc0rumzSS/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1U-TjRzcY0MVcC2AQwtWxOAfU0Ga7EFol/view?usp=sharing
และ
ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/on0BTrdIkT/
และ https://youtu.be/auLIy-mZzHI
มีซับ
สมณะฟ้าไท…วันนี้วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน 2566 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ถือว่าเป็นฤดูหนาวจริงๆ
พ่อครูว่า… 19 องศา
สมณะฟ้าไท… แต่ก่อนที่ บ้านราช เรามีกระบวนการแมวบินทำให้เกิดความสะอาดเรียบร้อยตามสถานที่ต่างๆ ตอนนี้ก็ระวังของบิน เพราะว่าลมมันแรงลมมันพัดพา ใครมีของเยอะก็จะเห็นทุกข์ คนอายุมากก็ต้องดูแลสุขภาพให้ดี อย่าปล่อยปละละเลย ลมหนาวทำให้คนอายุมากตายได้เหมือนกัน ร่างกายทนสภาพความเย็นลมแรงไม่ไหว ต้องหาอะไรมาพันกาย
พ่อครูว่า… ถ้าหนาวจริงๆไม้ร่มต้องใส่เสื้อกันหนาว แต่เอาใส่เสื้อมากะแหล่ง
ไม้ร่มว่า…ผมมีภูมิคุ้มกันครับ
สมณะฟ้าไท… บางคนไม่หนาวบางคนก็ร้อนใน
พ่อครูว่า… สงสัยไม้ร่มจะร้อนใน
สมณะฟ้าไท… แต่อย่างไรๆเราก็ไม่เดือดร้อนเท่าชาวฮามาส ปาเลสไตน์ ที่เขาโดนถล่มโรงพยาบาล เพื่อพิสูจน์ว่าเจออาวุธในโรงพยาบาลไหม ปรากฏว่าเจออาวุธ พวกฮามาสก็บอกว่าไม่ใช่ของพวกเขา พวกอิสราเอลเอาไปเอง อิสราเอลก็บอกว่าไม่ใช่ เขาประกาศให้ย้ายภายในครึ่งชั่วโมง แต่ดูแล้วคนป่วยยังหาที่อยู่ไม่เจอ เห็นใจเขามากเขาเดือดร้อนอยู่กับเสียงระเบิดเสียงปืน คนป่วยก็ป่วย ปืนก็ตู้มเอาตู้มเอาจะยังไงตายซะดีกว่าอยู่ไป อกสั่นขวัญแขวนชีวิตก็แสนทรมาน เราก็ไม่รู้ว่าคนไปสร้างวิบากอะไรถึงไปเจอสภาพนั้น
แม้แต่สภาพฤดูหนาวพ่อครูก็ยังมาแสดงธรรมให้พวกเราฟัง ตอนพระพุทธเจ้าลงพ่อครูก็ดูมีแรงดี แต่พอพระพุทธเจ้ากลับไปเมื่อไหร่ พ่อครูก็เปรยนิดหน่อยว่ามันเมื่อย พระพุทธเจ้าน่าจะมาทรงทั้งกลางวันและกลางคืน
พ่อครูว่า… เดี๋ยวอ่าน sms comment ส่งมาก่อน
ของพุทธคือยึดอย่างมีปัญญา ยึดและวางอย่างเป็นลำดับ
SMS วันที่ 15 – 16 พฤศจิกายน 2566
_จากลูกเพื่อ . น้อมกราบนมัสการพ่อด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ ลูกกราบขอโอกาสเล่าประสบการณ์จากการได้มาร่วมทำงาน (เริ่มมาก่อนตั้งแต่อยู่ข้างนอก) และ อยู่บ้านอโศก รวมระยะเวลาประมาณ 9 เดือน ลูกขอกราบขอบพระคุณท่านสมณะ สิกขมาตุ และญาติธรรมที่เมตตาให้โอกาสลูก แม้งานหลายอย่างลูกไม่เคยทำ
มาถึงตอนนี้ลูกมองดูอาการในจิตตัวเองแล้วมองเห็น “อาการยึด” ที่เกิดขึ้นจากบางงาน และ บางบุคคล ที่ทำให้จิตเหนื่อย หนัก เศร้าหมอง บางทีมีน้อยใจบ้าง แต่ลูกมองเห็นว่า “ความฉลาดอันน้อยนิดของตัวเอง” นี้มันคืบคลานเข้ามาแล้ว อย่างเงียบๆ โดยที่ไม่รู้ตัว
ซึ่งจากช่วงแรกที่เริ่มทำงาน ลูกก็ทำงานอย่างเต็มที่ แต่ทำอย่างปล่อยวางและไม่อยากหวังเรื่องผลของงาน คือ ทำแล้วงานที่ทำมาจะถูกเลือกนำมาใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ (แต่ก็ควรประเมินผลจากการทำงานเป็นระยะด้วยไหมคะ ว่า เรายังมีประโยชน์ในการสร้างงานที่มีคุณค่าต่อกลุ่มงาน) และไม่ต้องการอ้างเป็นเจ้าของผลงาน (เพื่อไม่ให้ยึด)
พ่อครูว่า… ดีอ่านอาการมีลักษณะธรรม ตอนนี้อ่านอาการของไอ้เจ้าตัวยึด ตัวอุปาทาน ตัวยึดนี่ อุปาทายติ กิริยาปัจจุบัน การยึดจับได้เร็วเป็นปัจจุบัน มันยังไม่เป็นตัวอุปาทาน
“อุปาทาน”มันเป็นตัวอดีตแล้ว ยึดตัวตนไว้ ถ้า “อุปาทายติ” มันเป็นตัวปัจจุบันที่ยึดเลย ถ้าโง่หนักก็จะยึดกลายเป็นเชื้อกลายเป็น “อุปาทิ” เชื้อในตัวกิเลสฝังไว้ในอนุสัยเลย อ่านรู้ทันถึงขั้นเป็นตัว “อุปาทายติ” ไปดูปัจจุบันอ่านให้ทัน อันนี้แสดงว่าเราได้ปฏิบัติธรรมะถึงความจริง
คำว่า “ความจริง”คำนี้สำคัญมาก ผู้ปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ไม่ถึงความจริง ไม่ถึงตัว อุปาทายติ ไม่ถึงตัวปัจจุบันชาติปัจจุบันธรรม จับอาการมันเกิดปั๊บไอ้นี่ตัวจริง พอผ่านปัจจุบันไปนี้เป็นจริงไหม ไม่จริง อนาคตยังมาไม่ถึงไม่เป็นจริงตัวจริงคือปัจจุบันตัวนั้นจับทัน
เราก็จะเห็นอาการจริง ยิ่งมีปฏิภาณปัญญา สามารถอ่านรู้ตัวจริงตัวนี้ได้ว่าคืออะไร เราปฏิบัติธรรม ศึกษาในพวกเราอย่าง ดร.เพื่อบรรยายมาตัวนี้ เขาจับตัวปัจจุบันนี้ได้ นี่คือสัจจะตัวจริงตัวแท้ ที่เห็นรู้และอ่านมันออกว่ามันเป็นตัวอุปาทาน มันเป็นตัวอาการยึด มันมีตัวยึดเป็นตัว อุปาทายติ เป็นกิริยา อาการยึดอันนี้สำคัญ
_ช่วงแรกได้จิตใสๆ ทุกอย่างดีงามเลยค่ะ ส่วนการยึดที่ตัวบุคคล ก็เกิดอาการยึดบุคคลที่ลูกได้ร่วมงาน หรือ ท่านที่ลูกได้คบคุ้นสนิทมากขึ้นบ้าง
พ่อครูว่า…
จริงๆแล้วการยึดในตัวบุคคล เราไม่ได้ยึดถึงขั้นเป็นอุปาทาน ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น เป็นแต่เพียงเรายึดอาศัย อย่างเรายึดพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ อันนี้เราก็ใช้ภาษาไทยนี่ว่าความยึด ยึดพระพุทธเจ้าเป็นสรณะเป็นที่พึ่งอันยิ่งใหญ่ หรือยึดครูบาอาจารย์ ยึดแม้แต่คำภาษาธรรมะที่เราใช้เพื่ออาศัยเอามารู้ สื่อเข้าไปถึงสภาวะอย่างนี้เป็นต้น หากจะไม่ยึดอะไรซะเลยมันไม่ได้เลยในโลก เพราะฉะนั้นคำว่า “ยึด”คำนี้ละเอียดลออ ไม่ยึดอะไรเลยก็คือคนบ้าแล้ว แต่ยึดต้องยึดอย่างมีปัญญา
_ลูกเข้าใจว่าเขาก็เป็นของเขาแบบนั้น คิดว่าเราไม่ได้สำคัญอะไร ใยใครเขาต้องสนใจเรา
พ่อครูว่า…ภาษานี้อาตมาเข้าใจว่า คิดว่าเราไม่ได้สำคัญอะไร ไยใครเขาจะต้องสนใจเรา ก็หมายความว่า อย่าไปสำคัญตัวเอง ใช่ไหม ความนี้หมายความว่าอย่างนั้น
_มาถึงตอนนี้ ลูกมองเห็นว่า “เจ้าตัวยึด” คือมหันตภัยเงียบจริงๆ ที่มาโดยลูกไม่ได้ตั้งตัว
ลูกพยายามฝืน สู้กับมัน มองเห็นความ “ไม่อยาก” ที่ต้องสลัด “ความยึด” ออกไป หลายครั้งที่ลูกฝืนกระทำสิ่งที่ตรงข้ามกับความยึดนี้ พยายามหาเหตุผลต่างๆ มาหักล้างความยึดนี้ ผลการต่อสู้สลับกันแพ้บ้างชนะบ้าง ทำให้เหนื่อยหน่าย
บางครั้งคิดว่า หากเราทำงานนี้ แล้วทำให้ “เพิ่ม” กิเลส เราสมควร “เลิก” ทำไปเลยหรือไม่ แต่ก็มีความคิดอีกอย่างขึ้นมาว่า เราไม่ควรหนี มันเป็นประโยชน์มาให้เราฝึกลดกิเลส และงานที่ทำล้วนเป็นงานที่เกิดประโยชน์ทั้งสิ้น
พ่อครูว่า…อันนี้อาตมาก็ว่าคิดถูกแล้ว เพราะว่างานที่พวกเราทำนี่ส่วนใหญ่เป็นงานที่มีประโยชน์ไม่เป็นงานที่เป็นโทษ
_ลองมาคิดดูว่าเป้าหมายของเราว่ามาทำงานที่นี่เพื่ออะไร ต้องการ ให้คนรู้จัก? คำชม? ให้คนยอมรับ? หรือ อะไรกันแน่ ลูกรู้ตัวว่า ตน ”โง่” and “absolute โง่!”
แม้อาจมีแวบที่ทำให้เราอยากหนีจากแรงกดดันภายในจิตของเราเอง แต่ลูกมองไม่เห็นว่าจะหนีไปที่ไหนอื่น
พ่อครูว่า…อันนี้ชักจำนนแล้ว อันนี้ดีไหม ดีนะ ความรู้สึกว่าอยู่ที่นี่ไปแล้ว ก็มองไม่เห็นว่าจะไปอยู่ที่อื่นเดี๋ยวนี้ไปที่อื่นทำไม
_เพราะลูกจะหนีมันไปไม่พ้น แม้จะไปข้างนอก หรือที่ไหนๆ หากเบื่อและเหนื่อยหน่ายกับมันยังไม่พอ หากฆ่ามันไม่ตายก่อนตาย แม้ลูกต้องเกิดมาใหม่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ต้องเจอ “มัน” อีก…กราบขอความเมตตาจากพ่อให้สัมมาทิฏฐิ และขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า… เดี๋ยวจะได้ขยายความ ในรายละเอียดที่พูดมานี้ทั้งนั้นแหละครบ เป็นผู้ปฏิบัติธรรมแล้ว อย่างที่บรรยายมานี้เป็นอาการที่ถูกต้องแล้ว เป็นธรรมะที่คนผู้ปฏิบัติธรรมแล้วจะมีอาการที่เข้าใจตนเอง เข้าใจสิ่งแวดล้อม เข้าใจอาการของจิต ที่มันยึด อาการส่วนมากที่พูดมานี้
อาการยึดนี่คือตัว“อุปาทาน”นี้แหละ เป็นอาการที่สุดยอดเลย แม้ที่สุดบรรลุธรรมแล้ว ก็อย่ายึดว่า “เป็นเรา-เป็นของเรา” ขนาดสุดท้ายเป็นพระอรหันต์ มีอรหัตผลแล้ว ก็เป็นตัวตนอยู่เป็นอัตตา แต่เป็นอัตตาที่สิ้นกิเลสแล้ว อาศัยอัตตาอยู่ แต่อย่ายึดว่า อัตตานั้น “เป็นเรา-เป็นของเรา” อย่างนี้ เป็นต้น ซึ่งอันนี้มันละเอียดลออมาก ธรรมะของพระพุทธเจ้า
อันนี้บรรยายบอกผลของการปฏิบัติประพฤติ การได้มาศึกษา ก็ดี เข้าใจแล้วก็มีมรรค มีผลใช้ได้
อย่างไรคือใช้ปัญญาแทนเจโต
_สว่างแสง ขวัญดาว . น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ กราบนมัสการท่านสมณะฟ้าไท ท่านสมณะด่วนดี ท่านสิกขมาตุกล้าข้ามฝันด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ลูกได้ฟังพ่อครูเทศน์เรื่องวิญญาณฐีติ๗ อยู่หลายรอบ ลูกเกิดข้อสงสัยว่า วิญญาณฐีติข้อ ๔ เป็นอุเบกขา และข้อ ๕-๖เป็นการตรวจสอบอุเบกขา จนมาเกิดบุญเผากิเลสจบสิ้นในข้อ ๗ ใช่ไหมคะ
พ่อครูคะการประหารกิเลสจะมีได้ก็เฉพาะขณะปฏิบัติลืมตา
พ่อครูว่า…เข้าใจได้ถูกต้องทีเดียว ไปปฏิบัติหลับตาไม่มีการประหารกิเลส เพราะไอ้การปฏิบัติหลับตามีแต่อดีตกับอนาคต มันเป็นสัญญากำหนดระลึก เอาความจำหรือไปคิดฟุ้งซ่านไปในอนาคตมาคิดก็ได้ มันไม่มีตัวจริงของกิเลส แหม พวกหลับตานี้สุดสงสารสุดสาคร สุดสินสมุทรจริงๆ สุดจริงๆเลยนะ พูดไม่รู้จะพูดยังไง ก็น่าจะฟังอาตมาบ้าง แล้วให้เข้าใจให้ได้ว่า อย่าไปทำสูญเปล่าเลย ยิ่งทำตัวเองก็ยิ่งจมเป็นเดียรถีย์ ก็ไปได้มรรคผลที่เป็นมิจฉามรรค มิจฉาผล แล้วก็ไปหลง แล้วก็มีพรรคพวกเยอะด้วยมันสุดสงสาร สุดสินสมุทรสุดสาครจริงๆเลยนะ จริงๆ โอ้
จะทำยังไงให้เขากระเตื้อง มี ปรโตโฆษะ อย่าไปฟังผู้ที่ดูถูกดูแคลนอาตมามากนักเลย ลองฟังบ้างไม่เสียหลายหรอกนะ ฟังอาตมาตั้งใจฟัง ฟังด้วยดีนะ อย่ามีอคติ จะได้ปัญญา สุตสูสังลภเตปัญญัง ฟังด้วยดี อย่ามีอคติ มันจะสะดุดได้คิดได้อะไรขึ้นมาจริงๆ
_แต่การสั่งสมกิเลสสามารถทำได้ทั้งปฏิบัติลืมตาและหลับตาใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า…เห็นไหมโง่ไหม บางทีคิดไปถึงเรื่องทะเลาะไม่ชอบใจ พอถึงเรื่องนี้ในอดีตมันก็แค้นเคืองไม่ชอบใจ ดีไม่ดีลุกขึ้นจะไปฆ่าเขาเลย บ้าเอาเลยยังงั้นก็ได้ อย่างนี้ก็มีนะอย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมนี่ขอสรุป ตีหัวย้ำตะปูอีกไม่รู้กี่ร้อยทีว่า ลืมตามาปฏิบัติ อย่าไปหลับตาปฏิบัติเลย หลับตาปฏิบัติไม่มีผลที่จะลดละกิเลส แต่ซวยตรงที่มันจะเสริมน้ำหนักของอุปาทาน เสริมน้ำหนักกิเลสใส่เข้าไปด้วยซ้ำ
_พ่อครูคะลูกเป็นคนโง่มาก หลายครั้งที่ลูกคิดว่าคิดดีแล้ว แต่ว่าภายหลังมารู้ชัดจากพ่อครูว่าลูกโง่มาก และเป็นความโง่แบบที่ออกมาจากกิเลสอีกด้วยค่ะ ลูกกราบขออภัยพ่อครูค่ะ ที่แสดงความโง่แบบนี้ออกมา
ลูกมีคำถามค่ะ ลูกเข้าใจว่าเจโต มีไว้หยุดกิเลส เวลาที่เราโกรธ หากเราใช้อำนาจจิตหยุดกิเลสดื้อๆ แบบนี้เรียกว่าใช้เจโตใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า…ใช่
_และหากเราเกิดปัญญาจนเข้าใจและหยุดกิเลสได้ แบบนี้เรียกว่าใช้ปัญญาเป็นเจโตใช่ไหมคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูสุดเศียรสุดเกล้าค่ะ
พ่อครูว่า…ใช่ ใช้ปัญญาแทนเจโต แทนกดมันดื้อๆ แต่ต้องใช้เกื้อกูลกันอยู่บ้าง จิตมันเร็ว มันเร็วก็ใช้เจโตกดข่มก่อนแล้วก็อ่านถ้ามันไม่ทัน ถ้าปัญญาทันไม่ต้องใช้เจโตกดข่ม รู้จริงๆเลยว่า ขณะนี้เราก็กำลังสัมผัสอะไรมา กำลังเกี่ยวข้องแตะต้องกับสิ่งนี้อยู่ แล้วทำให้เกิดอาการจิตที่เราจับได้ว่ามันเป็นกิเลส อาการกิเลสเกิดเราก็พยายามรู้จักหน้ากิเลส ปัญญา รู้จักหน้ากิเลส ถ้ากิเลสมันแรง ก็แน่นอนมันจะต้องกดข่ม ใช้ศรัทธา ใช้เจโต ให้พลังสมถะหยุดมันไว้ แล้วก็พอรู้ เราก็จะรู้ว่า อาการกิเลสอย่างไร ขณะที่คุณปฏิบัติอยู่นี่มันไม่ขาดมันก็ติดต่ออยู่ ดูอาการมันก็จะรู้ ก็จะใช้ธรรมวิจัย ใช้การวิจัยวิจาร
กิเลสเอ็งเกิดอาการอย่างนี้ มันดีหรือยังไง มันไม่รักก็ชัง แทนที่จะรู้ความจริงตามความเป็นจริง มันก็เกิดอาการไม่ปกติ ถือว่านั่นแหละไม่ปกติ ปกติก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง ควรหรือไม่ควร อารมณ์ที่มันไม่เป็นอารมณ์สะอาด มันไม่เป็นเวทนาที่สะอาด มันเป็นเวทนาที่มีผลัก มีดูด มีชอบ มีชัง มันไม่เป็นเวทนาที่เห็นความจริงตามความเป็นจริงเท่านั้น เราเรียนรู้ความจริงของจิตเราอย่างนี้กิเลสผสมมากหรือน้อยก็แล้วแต่ ก็ดี นี่แหละเรียนรู้ธรรมะแบบนี้แหละ
ที่อาตมาพาทำนี่ พวกเราดี เรียนแล้วก็มีโพชฌงค์ 7 มีสติ มีธรรมวิจัย มีวิริยะ ตื่น ยิ่งตื่นเต็ม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มันเกิดอาการแล้วก็เกิดสัมผัสอะไรขึ้นมา คุณก็มีธรรมวิจัย อย่างที่คุณเขียนมาตั้งหลายนี่แหละ ไม่ว่าใครพวกเรานี่แต่ละคนเขียนมาดี ตามภาษาของแต่ละคนไม่มีปัญหา สว่างแสง และ เพื่อ เขียนมา อย่างสว่างแสงเขียนมา ก็บอกอาการที่ตัวเองศึกษาปฏิบัติ ถูกต้อง
นี่คือการเรียนรู้ธรรมะ ไม่ใช่ไปนั่งสะกดจิตหลับตาแล้วก็คิดว่านี่แหละจะดับกิเลส ไม่มีทางได้ดับกิเลส โมฆะ ไม่รู้จะย้ำขนาดไหนอย่างนี้แหละต้องเห็นความจริงตามความเป็นจริง แล้วก็ประพฤติเต็มรูป มี อปัณณกปฏิปทา 3 มันมี สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา รู้จักว่า เกี่ยวข้องกับของกินของใช้ ชีวิตก็อยู่กับของกินของใช้ทั้งนั้น กินก็ไม่ใช่ตลอดเวลา แต่ใช้สัมผัสกับอะไรก็ใช้สิ่งเหล่านั้นต่างๆนานา ใช้ในความกว้างทำงาน ทำกับสิ่งนั้น ทำกับสิ่งนี้ ทำกับสิ่งโน้น แล้วเราก็อ่านจิตของเราที่ต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์ เกิดอาการของกิเลสอย่างไรแค่ไหน อย่างนี้คือ การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องตามจรณะ 15 มี อปัณณกปฏิปทา 3
การเผาศพชาวอโศกไม่มีการสวดอภิธรรม ไม่มีกรวดน้ำ
_เชวง กิจจะบรรณ์ . การเผาศพของชาวอโศก คือไม่มีการสวดพระอภิธรรมและกรวดน้ำแบบคนนอกอโศกใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า…ใช่ การเผาศพของชาวอโศกเรา ไม่มีการสวดอภิธรรม สวดอภิธรรมงานศพนั้นเป็นเรื่อง ของมะเร็งนอกศาสนาพุทธ เป็นพิธีกรรมมะเร็ง เรียกว่า เป็นพิธีกรรมเนื้องอก มันไม่ใช่กิจของสงฆ์เลย อาบัติด้วย อภิธรรมเอามาสวด ตั้งแต่ 2 องค์ร่วมกันสวดพร้อมกัน ดีไม่ดีใส่ทำนองอีกอาบัติทั้งนั้น คือมันเป็นความเสื่อมที่อาตมาไม่รู้จะพูดอย่างไร เสื่อมจนต้องยอมรับความเสื่อมแล้วก็อยู่กับความเสื่อมนั้น ที่ผิดธรรมผิดวินัยของพระพุทธเจ้าเป็นอาบัติด้วยนะ
เพราะฉะนั้นสวดเอาธรรมะที่เรียกว่าอภิธรรมเรียกว่า ธรรมบท ของพระพุทธเจ้ามาสวดต่อหน้า ฆราวาส ตั้งแต่ 2 องค์พร้อมกันขึ้นไปเป็นอาบัติปาจิตตีย์ ที่อาตมาพูดแล้วพูดเล่า แต่มันเสื่อมจนกระทั่งเขาไม่เข้าใจกัน แม้แต่ปราชญ์เขาก็ไม่เข้าใจว่า มันผิดยังไง อาตมาก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง อธิบายเยอะแล้ว
มันผิดเพราะว่ามันเป็นปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้าที่กันเอาไว้ คนศาสนาอื่นเขาทำกัน มีศาสนาอิสลาม สวดไม่อาบัติ ก็สวดเหมือนกันร้องโหยหวนลากเสียงยาวเป็นอาบัติเหมือนกัน แต่สวด 2 คนพร้อมกันพระพุทธเจ้ากันไว้ ถ้าคุณสวดคนเดียวอย่างที่อิสลามเขาสวด เอาล่ะถือว่าไม่อาบัติอย่างนี้ แต่อาบัติอย่างที่โหยหวนก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ไม่อาบัติที่ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
ทีนี้ของพุทธนี่ ท่านห้ามไว้ตั้งแต่ 2 คน จะสวดกัน 4 คน 8 คนสวดกัน อย่างธรรมกายอุตริใช้ภาษาจะเรียกว่า มาสวดมนต์ล้านคนนั่นแหละอะไรอย่างนี้พร้อมกัน ยิ่งอาบาด อาบัติ โอ้โห อาบัติ เสร็จไม่ใช่กระบุงแต่ใส่คอนเทนเนอร์ อาบัติกันด้วยความไม่รู้
การสวดพร้อมกันนั้นอาตมาก็เคยอธิบายไปแล้ว ถ้าสวดเป็นประนามกถาสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ ไม่ใช่ธรรมบทของพระพุทธเจ้า แต่เป็นคำแต่งสรรเสริญคุณของพระพุทธ สรรเสริญคุณพระธรรม สรรเสริญคุณพระสงฆ์ เป็นการแต่งของคนสมัยใหม่ คนผู้รู้เอาภาษามาแต่งเป็นบทสวดสรรเสริญคุณ อย่างนี้ไม่มีปัญหาคุณจะสวดกี่คนก็ไม่เป็นไร สวดกันทั้งประเทศก็ดีสรรเสริญคุณพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ อย่างนี้มันไม่ได้ผิดอะไร
ไปเอาพระอภิธรรมมาสวดเพราะอาจจะเอาไปสวดหากิน แล้วเป็นไหม ทุกวันนี้เขาเป็นกันนะ ศาสนาพุทธไม่มีการไปสวด นี่แหละพระเป็นหมู่ไปสวดอย่างนี้ไปสวดตั้งแต่ 2 รูป 3 รูป ส่วนมากก็มากกว่า 3 รูป แต่เขาก็ถือว่า 4 รูปขึ้นไปเป็นสวดกัน 5 รูป 8 รูป 100 รูปอะไรก็แล้วแต่ สวดนั้นเป็นอาบัติทั้งสิ้นเลย นี่มันเป็นความเสื่อมที่อาตมาไม่รู้จะพูดยังไง ชาวอโศกไม่ได้ทำ ไม่ได้อาบัติพวกนี้เลย เอาพระอภิธรรมมาสวดก็ไม่ แต่อาตมานี่แหละนักสวดอภิธรรม ทุกคำที่พูดนี่ อาตมายืนยันว่าเป็นอภิธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมะอันยิ่ง ใหญ่ที่เกี่ยวกับปรมัตถ์เป็นส่วนใหญ่เลย เข้าหาเนื้ออภิธรรมทั้งนั้นนี่แหละเป็นการสวด ไม่อาบัติสวดคนเดียว ไม่ได้สวดที่ใส่ทำนองหรือร้องยาวไม่มี นอกจากจะยกตัวอย่างประกอบให้รู้ว่ามีอะไรต่ออะไรเสริมหนุนเท่านั้น
พ่อครูว่า… อย่าว่าแต่งานศพเลย ใส่บาตรก็ไปกรวดน้ำ โดยใช้น้ำเป็นสื่อนั้นเป็นของศาสนาเทวนิยม เป็นของเดียรถีย์เขา ศาสนาพุทธไม่มีการกรวดน้ำไม่มีเลย ขออภัยไม่ใช่ตรวจน้ำแต่เป็นกรวดน้ำ
การกรวดน้ำ ตรวจน้ำ บางทีก็กรวด ในศาสนาพุทธไม่มี แล้วก็มีผู้สู่รู้ไปอ้างว่า พระเจ้าปเสนทิโกศล กรวดน้ำต่อหน้าพระพุทธเจ้าให้ผีเปรต ซึ่งท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินใหญ่ด้วย ท่านก็ติดยึดในประเพณีเดิมท่านกระทำ พระพุทธเจ้าท่านจะทำยังไง ก็ต้องปล่อยให้ท่านทำ แล้วก็ค่อยๆสอน ค่อยๆมีอะไรไป จะให้ท่านไปห้ามมันไม่ได้ ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดินใหญ่ด้วย เป็นมหาราชาท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระพุทธเจ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดินแคว้นเล็กนะ พระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นพระเจ้าแผ่นดินแคว้นใหญ่ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นรายละเอียดที่ผู้รู้เขาก็พูดกันไปหากินกันไป เพื่อที่จะทำ
สิญจนยันต์ที่ใช้น้ำเป็นสื่อ รดน้ำมูก น้ำมนต์ ทำน้ำมนต์ มันเป็นเรื่อง แสดงถึงความเสื่อมของศาสนาพุทธทั้งสิ้น ศาสนาพุทธไม่ใช่ไม่มี ใช้คำสอนอนุศาสนีปาฏิหาริย์ ใช้คำสอนของพระพุทธเจ้ามาเป็นสื่อ ไม่ใช้น้ำไม่ใช้ไฟ อัคคียันต์ สิญจนยันต์ สิญจน แปลว่าน้ำ อัคคีแปลว่า ไฟ ไม่ใช้ ใช้คำสอนเป็นยันต์พิธี อย่างที่เราทำกันอยู่ชาวอโศกเราทำ
เพราะฉะนั้นยิ่งพูดไปยิ่งเห็นว่า ศาสนาพุทธทุกวันนี้ จับเข้าไปที่ไหนๆเลย มันเป็นความเสื่อม ความผิดเป็นความผิดพลาดของศาสนาพุทธทั้งนั้นเลย ไม่รู้จะพูดยังไง พูดแล้วก็เห็นใจเขานะ แต่มันก็ต้องพูด เห็นใจยังไงมันก็ต้องพูด เพราะว่าก็ต้องบอกความจริงกัน ไม่ใช่ไปข่ม ไปเบ่ง ไปยกตนข่มอะไรเลย ไม่อยากให้มันเกินมันผิดมันไม่ถูก ให้มาศึกษาใหม่แล้วเปลี่ยนแปลงเสียบ้าง ไม่ต้องเอามากหรอกเอาทีละบั้งสองบั้งไม่ต้องเอาถึงนายร้อย สิบเอก สิบโทก็ได้ สามบั้งก็ยังดี เอกเป็นบ้างนี่ไม่ขยับเลย สิบโทอยู่นั่นแหละ
เจ้าประคุณเอ๋ยแทงด้วยหอกร้อยเล่มเช้า แทงด้วยหอก 100 เล่มตอนกลางวันแทงด้วยหอก 100 เล่มตอนเย็นเหนื่อยจริงๆหอกก็หักหมด เอ้าทำ อย่างไรก็ต้องทำ
นิยามของเศรษฐศาสตร์ฉบับโพธิรักษ์
_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ . เรียนถามพ่อครู รัฐจะแจกเงิน 1 หมื่น ทั้งที่ต้องไปกู้มาให้ ทำแบบนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจหรือซ้ำเติมให้แย่ลงครับ คนที่เคร่งศาสนาแถบตะวันออกกลาง สอนจนทำให้เกิดสงคราม สอนแบบนี้คนสอนศาสนา สอนผิดหรือสอนถูกครับ
พ่อครูว่า…อาตมาไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ไม่ใช่คนบริหารเศรษฐกิจ โดยเฉพาะไม่ใช่เป็นนักเศรษฐศาสตร์ แม้ว่าอาตมาจะเคยเป็นนักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์นะ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นะ แต่ไม่ได้เรียน ไม่ได้ปริญญากับเขา เป็นนักศึกษาแต่ไม่ได้ไปเอาใจใส่การเรียนอะไร จนสอบได้
เพราะฉะนั้นอาตมาก็คงบอกได้ตามประสา ที่อาตมาจะรู้เรื่องเศรษฐกิจเศรษฐศาสตร์ตามประสาของอาตมา แบบอาตมา จะว่าอาตมาไม่มีความรู้ในความหมายคำว่า เศรษฐศาสตร์ของเขาที่ใช้กันอยู่ในโลก เศรษฐศาสตร์คืออะไร เศรษฐกิจคืออะไร
เพราะฉะนั้นที่เขาจะทำกันนี่ เขาก็เป็นนักเศรษฐศาสตร์เขาเป็นปริญญาโทนะ นายกเศรษฐานี่ ปริญญาโททางเศรษฐศาสตร์นะ แล้วเขาทำเศรษฐกิจส่วนตัวของเขา โอ้โห ร่ำรวยส่วนตัว เพราะอะไร.. วิจัยเรื่องเศรษฐศาสตร์ให้ฟัง
นี่เป็นเศรษฐศาสตร์ฉบับโพธิรักษ์ เศรษฐศาสตร์โดยเศรษฐกิจโดยความหมายง่ายๆพื้นๆประสาลูกทุ่ง หมายความว่า การทำงานอาชีพ ที่อยู่กับสังคมเขาได้ ชนิดที่เป็น 1.เป็นประโยชน์คุณค่าต่อชีวิตคนทุกคนในโลก ใหญ่อย่างนั้นเลย
งานที่เราทำลงไปอยู่ในสังคม เป็นเศรษฐศาสตร์เป็นเศรษฐกิจ ทำลงไป
นิยามความเป็นเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจฉบับโพธิรักษ์
-
เป็นประโยชน์คุณค่าต่อชีวิตคนทุกคนในโลก
-
ไม่เป็นโทษ ไม่เป็นภัยต่อใครๆต่ออะไรเลย
-
ไม่ยึดบุญยึดคุณกับใครเลย
-
มีแต่คุณลักษณะของการให้ การเสียสละ การทำเพื่อผู้อื่น
-
จึงเท่ากับมีพลังงานที่เกิดอยู่ ที่สร้างสรรค์ให้แก่ทุกสรรพสิ่งอยู่ในโลก ไม่ปรากฏตัวเจ้าของ
-
คนผู้สร้างเอง ทำเองก็ทำชนิดไม่มีตัวตน ไม่ถือว่าของตน
-
ฉะนี้ล่ะคือ ปัญญาของผู้ไม่มีตัวตน
-
และคือความจริงที่เป็นปรากฏการณ์จริง เกิดอยู่ในโลกให้แก่โลกให้แก่มนุษยชาติ แก่ธรรมชาติ
-
สิ่งดีพิเศษพิเศษสุดนี้ ไม่ลึกลับ อยู่แต่ในห้วงจินตนาการหรืออยู่ในห้วงความคิดเท่านั้น แต่มีจริงแท้สัมผัสได้ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จริงๆ