661204 ตรวจศีล ตรวจมรรคผลตน ด้วยเจโตปริยญาณ 16 รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #48 ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1ARvk_w7wd6upXMvFaYZglG_OgJ9q4qtZ/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1tBd6WL4xou7snMNALVYG8PoTBgg_GHPX/view?usp=sharing
และ
ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/oJr2cKDGAV/
และ https://youtu.be/QH9ezromUTM
(มีซับ)
พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม 2566 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 7 ค่ำเดือน 12 ปีเถาะ น้ำลดแล้วไม่ใช่น้ำนองตลิ่ง
มีอาจารย์รัฐวิทย์ แสงทอง เขียนกลอนมา
แด่…ชาวอโศก
ขอบคุณพี่น้องกัลยาณมิตร
ที่พร้อมอุทิศทุกสิ่งสร้าง
สองมือว่างเปล่าก้าวเดินทาง
เพื่อสร้างโลกใหม่อันไกลโพ้น
ถักทอหัวใจใยแกร่งกล้า
ขุนเขาเบื้องหน้าจะขุดโค่น
สองมือที่เห็นเอ็นปูดโปน
สายตาอ่อนโยนดุจเดือนดาว
หลุดพ้นจากความทุรนร่าน
เป็นทาสซาตานในโลกเก่า
ฟาดฟันกวัดแกว่งแย่งชิงเอา
ใครล้มก็จมเถ้าธุลีดิน
ขอบคุณพี่น้องกัลยาณมิตร
ที่ยอมอุทิศทุกสิ่งสิ้น
ฝากทางเลือกใหม่ให้แผ่นดิน
ฝ่าคลื่นที่กลืนกิน วิญญาณคน
ขอบูชาท่านมหาสมณะโพธิรักษ์
ผู้มั่งคั่งด้วยจิตวิญญาณ แห่งวิสัยทัศน์ เพื่อมนุษยชาติ
พ่อครูว่า… เพิ่งเคยสัมผัสชื่อรัฐวิทย์ แสงทอง เป็นอาจารย์ที่ไหนนี่ แสดงออกมาในคำกลอนต่างๆ นี่ แสดงว่าเข้าใจชาวอโศก เข้าใจเรื่องของจิตวิญญาณที่อาตมา ที่บอกว่ายกให้อาตมาเป็นท่านมหาสมณะโพธิรักษ์นี่ แล้วบอกว่าเป็นผู้มั่งคั่งทางจิตวิญญาณ เข้าใจว่าอาตมารู้เรื่องรู้ราวของจิตวิญญาณได้อย่างลึกซึ้ง หรืออย่างพอเพียงทีเดียว ท่านก็แสดงความเห็นออกมา
เรื่องนี้เดี๋ยวได้พูดกัน โยงใยกันไปถึงความเป็นจิตวิญญาณเดี๋ยวค่อยๆอธิบาย ที่จริงอธิบายมาตลอดก็เกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณทั้งนั้นพระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องจิตวิญญาณสมบูรณ์แบบ
_สู่แดนธรรม… เขาใช้คำว่ามหาสมณะ น่าจะเป็นท่านสมณะผู้ยิ่งใหญ่นะครับ
พ่อครูว่า… ได้ สมณะผู้ยิ่งใหญ่
SMS วันที่ 1 ธ.ค. – 3 ธ.ค. 2566
_คอยใคร. กราบเคารพพ่อครูครับ
เมื่อวันก่อนผมฟังพ่อครูบอกกับ Dr โมเดลว่า อย่ายึดมั่นถือมั่น เรื่องที่เขาถามว่ามีพระพุทธรูปทุกพุทธสถานแล้วใช่ไหม พ่อครูบอกว่าใช่ พ่อครูว่า… ก็ใช่ ดูเหมือนครบทุกพุทธสถานที่มี
_เรื่องใส่รองเท้าไม่ใส่รองเท้าอีกครับ ผมเลยจะมาเล่าถึงเรื่องอย่ายึดมั่นถือมั่นของคนที่บ้านผมบ้างครับ เมื่อก่อนน้ำยาซักผ้าเขาใช้ต้องของแพงๆหอมๆ ผมพาไปซื้อน้ำยาซักผ้าที่ร้านพลังบุญ 5 ลิตรราคา 100 ต้นๆ ลองเอากลับมาใช้คนที่บ้านบอกว่าใช้ได้นะแต่ไม่หอม เขาเลยเอาของแพงๆหอมๆที่เคยใช้ผสมน้ำยาซักผ้าสันติอโศก ผลที่ได้ทั้งหอมทั้งสะอาดและถูกเงินด้วยครับ
และมีอีกเรื่องหนึ่งครับแชมพูล้างรถผมหมด ผมก็เอาน้ำยาซักผ้าสันติอโศกมาล้างรถแทน ผลที่ได้ก็ล้างสะอาดเหมือนแชมพูล้างรถแพงๆครับ แต่ก็ขาดความหอม แต่ผมไม่คิดมากครับ พอไปเล่าให้คนที่บ้านฟัง เขาก็บอกว่าซื้อของที่หอมๆมาผสมกันซิ แล้วติดยี่ห้อใหม่ลงขายในเฟสบุ๊คเลย รีวิวล้างรถหลายๆคันเพราะที่บ้านมีรถหลายคัน ยังไงก็ขายได้ ราคาก็ขายไม่ต้องแพงเพราะของสันติต้นทุนมาถูก เขาขายกันลิตรหลักร้อยเราขายลิตรหลักสิบพอ ทีนี้ผมก็ว้าวุ่นเลยครับ
ขอถามครับการไม่ยึดมั่นถือมั่นของคนที่บ้านแบบนี้ดีหรือไม่ดีครับ กราบขอบพระคุณพ่อครูครับ
พ่อครูว่า… พอได้ฟังไอเดียกระฉูดก็เลยฟุ้งซ่านมีทางหากินเพิ่มขึ้นมา ตอบว่าดีก็ได้ ไม่ดีก็ได้ ไม่มีปัญหาอะไรแล้วแต่คุณจะทำ ขอเป็นเรื่องของความคิดอ่านในการยังชีพ แล้วก็ทำอะไรต่ออะไรไป ยังชีพของตัวเอง ดำเนินชีวิตตัวเองไปมีเครื่องใช้ประกอบเป็นเครื่องใช้ไม่ใช่เครื่องกิน แล้วก็ใช้ไปเป็นชีวิตที่อยู่ทางเศรษฐกิจเราก็คิดการประเมินแล้ว มันถูกลงมันไม่ได้ต้องเสียเงินอะไรแพงๆมากขึ้น เพราะมีเอี่ยวกับพวกชาวอโศกก็เลยเกิดเศรษฐกิจดีขึ้น มันไม่ต้องไปเสียเงินเสียทองอะไรแพงๆ มีอะไรดีๆด้วย จะมีหอมเข้าผสมกันไปเป็นการเข้าใจในการปรุงแต่ง ก็ดำเนินไป ดีก็ได้ ไม่ดีก็ได้ คุณว่าดีอาตมาก็ไม่ขัดแย้ง คุณว่าไม่ดีก็ไม่ขัดแย้ง มันเป็นความคิดที่พวกคุณคิดกัน
ภาวะรูป นาม กับวิภวตัณหาของพ่อครู
_นาคินทร์ เพียรเดินทาง . รูป กับ นาม ไม่ตรงกัน ขอพ่อท่าน อธิบายด้วยครับ
พ่อครูว่า… คำว่าไม่ตรงกัน อาตมาก็ยังเข้าใจที่คุณหมายไม่ได้ รูปมันก็อย่างหนึ่ง นามมันก็อย่างหนึ่ง แล้วบอกว่าไม่ตรงกัน
_สู่แดนธรรม… คือ เขาจะเพ่งไปคำว่ารูปที่เป็นรูปธรรม สมมุติว่าคนๆนั้นเป็นฆราวาสแล้วเขาอธิบายธรรมะ ซึ่งเขาก็จะถูกตำหนิว่าคุณไม่มีรูปธรรมเป็นนักบวช คุณมาแสดงธรรมะได้อย่างไรประมาณนี้นะครับ
สมณะดินไท… เขาบอกว่าที่รูปธรรมของท่านแข็งแรง ร่างกายแข็งแรงแต่ทำไมจิตใจท้อถอย
พ่อครูว่า… อ๋อ รูปเบ่งกล้าม แต่จิตใจไม่แข็งแรง หยิบเอาประเด็นนี้มา ละเอียดดีนะ เข้าใจแล้วคำว่าไม่ตรงกันของคุณ คุณวิจารณ์การแสดงออกของอาตมา ทั้งแสดงกายกรรม วจีกรรมแล้วก็ไปถามถึงนามธรรม ถึงมโนกรรม นามธรรมว่ามันเป็นยังไงรูปกับนามไม่ตรงกัน อธิบายบอกว่าแข็งแรงภายนอกเบ่งกล้าม แต่บอกว่านามธรรมไม่ตรงกัน
เออ นามธรรมของอาตมาที่ว่าไม่ตรงกันตามความหมายที่คุณพูดที่อาตมาพูดไป แล้วคุณก็ไม่เข้าใจดีพอก็ถามมา
ก็คือคำว่าอาตมา จะไม่ พูดไปแล้วคงพอฟังรู้ว่าอาตมาเหมือนจะไม่ค่อยสู้ ไม่ค่อยแข็งแรง เหมือนกับรูปธรรม รูปธรรมแข็งแรงแต่ทำไมนามธรรมไม่แข็งแรง มันเป็นความตั้งใจของอาตมาซึ่งอธิบายไม่ง่าย มันซับซ้อน คืออาตมานี่นะ ได้พยายามอธิบายไปบ้าง แต่มันก็ไม่ง่าย เพราะอาตมานี้ฝืนอายุขัย ลากสังขารร่างกาย พยายามที่จะปรุงแต่งร่างกายให้มันมีอายุยืนยาวต่อมาๆ ลากสังขารร่างกายมา เพราะพูดกันมานานแล้วว่าอาตมานี้มันหมดอายุขัยแล้ว เคยพูดว่าอายุขัยของอาตมานั้น 72 ปี ลากมาจนกระทั่งถึง 84 ปี ลากมาได้ 1 นักษัตร อีก 12 ปีพยายามพากเพียรหน่อย ทีนี้ก็ลากต่อมาถึง 90 มันก็เพิ่มมาอีก จาก 84 มา 90 ก็ได้อีก 6 ปี ครึ่งหนึ่งของหนึ่งนักษัตร การพยายามลากมานี่มันฝืน มันไม่ใช่ของจริง พยายาม
ซึ่งอาตมาก็พูดก็อธิบายเสมอว่า มันเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ ที่พยายามจะปรุงแต่งพวกนี้ ให้เป็นพลังเข้าไปเสริมสร้างให้มันเกิดสภาพขึ้นมาจนกระทั่งไปทำให้ทางรูปหรือทางร่างสรีระมันสามารถที่จะสังขารกันปรุงแต่งกันขึ้นมาให้สด มันสดตรงที่อาตมาพูดแล้วก็แสดงความจริงตรงที่ว่าดูของจริงยกแขนขึ้นยังไม่ห้อยโตงเตงนะเคยโชว์แล้วด้วยภาพเก่าๆถ้ามีอยู่ เหมือนคนมีกล้ามเลยเห็นไหมนี่มันเป็นเครื่องยืนยันพิสูจน์ได้ว่านามธรรมนี้มันช่วยรูปธรรมได้
ดังนั้นที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเราจะมีอายุยืนยาวก็คือลากขันธ์ให้ไปเท่านั้นเท่านี้ เท่านี้เท่านั้น อะไรต่ออะไรอีกอันนี้เอาภาพเก่าที่มาโชว์เห็นซี่โครงขึ้นเป็นซี่ๆ แต่ที่จริงไม่ใช่ซี่โครงนะเป็นกล้ามเนื้อนะ ท่านี้มันจะเป็นอย่างนี้แต่ของอาตมามันไม่สวย อาตมานี้กล้ามเนื้อหน้าอกไม่มาก พยายามแต่ไม่เหมือนเขา มันแบนมันไม่เป็นตันเป็นตั้งเหมือนคนอื่นเขาแม้แต่ไบเซ็ปส์ต่างๆนานาก็ตาม มันไม่ค่อยขึ้นอันนี้ไม่ได้แบ่งแซ่บเลยนี่ยืนอยู่หน้าห้องครัวตอนอยู่บ้านพี่ล้วนที่หน้าห้องครัว อันนี้อยู่หน้าหอพักบุษบา อันนี้อยู่บนยอดตึกเลยชั้น 1 ที่ดาดฟ้าตึก 3 ชั้นที่วังบางขุนพรหมแต่ก่อนนี้หอพักบุตร ทบ.อยู่ตรงนั้น
เป็นหนุ่มๆก็ออกกำลังกายก็เพาะกล้ามบ้าง ไม่ได้เพาะจริงจังอะไรหรอกตอนเย็นๆก็ไปเล่น ตอนนั้นอายุประมาณ16- 17 ปี ตอนนั้น อยู่ในครัวอาตมาก็เป็นพ่อครัวแม่ครัวอยู่ในนั้น เมียพี่ล้วนเขาไม่อยู่ อาตมาก็เป็นแม่บ้านเรียนรู้ ซักผ้าซักผ่อน ทำกับข้าว จ่ายตลาดอะไรทำหมด
_สู่แดนธรรม… เมื่อกี้พ่อท่านพูดค้างไว้ว่านามธรรมมันสามารถช่วยรูปธรรมได้
พ่อครูว่า… ก็ช่วยได้ประมาณหนึ่งแต่ไปลากสุดเกินไม่ได้ มันก็ต้องมีระยะเวลา จะมาก็พยายามบอกตรงๆว่าพยายามอยู่เหมือนกัน ก็อาศัยการผ่อนการเพียร การพักการเพียร ลากก็ต้องรู้จักพักรู้จักเพียรด้วย ถ้ามันเพียรเกินพักไม่นานมันก็หมดแรง ถ้าเพียรกับพักให้ได้สัดส่วนมันก็จะลากไปได้พอสมควร มันได้สัดส่วนกันทำให้เกิดพลังงานเป็นไปได้พอสมควร
สิ่งนั้นจะว่าไม่เป็นธรรมะไม่ได้ มันเป็นธรรมะ เพราะชีวิตคนต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้อยู่ เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่ามีความรู้จริงนำมาใช้ไปพอสมควรเป็นประโยชน์ อย่างชีวิตอาตมานี้ ถ้าอาตมาพยายามจะมีชีวิตต่อไปอยู่ในโลก มันก็ไม่เสียหลายอะไร มันเป็นประโยชน์มันไม่ได้เป็นโทษเพราะอาตมาไม่ได้เป็นคนขี้โกง มาเป็นคนมีพลังงานทุจริตอยู่ในสังคม มาเป็นพลังงานตัวอย่างตัวแบบที่เลวร้ายเหมือนอย่างคนบางคน มาเป็นตัวอย่างที่เลวร้าย น่าจะตายทิ้งไปซะแต่ก็ยังไม่ยอมตาย ส่วนอาตมาถึงยังไงๆไม่ยอมตายก็ไม่ได้เป็นโทษเป็นภัยต่อการมีชีวิตอยู่ เป็นตัวอย่างให้แก่สังคมมนุษย์โลก เป็นตัวอย่างที่ดี
ถ้าเป็นตัวอย่างที่เลว เช่น ใช้อภิสิทธิ์เกินการ ใช้อภิสิทธิ์ทางเลวร้ายด้วยอย่างที่เคยอธิบายมา อภิสิทธิ์ทางดีก็มี อภิสิทธิ์ทางดีนั้นคนอื่นเขาให้เรา คนอื่นเขายกอภิสิทธิ์ให้เรา โดยเฉพาะประชาชนเขาให้เรา แต่เราพยายามสร้างอภิสิทธิ์ให้กับตัวเองนี่เลวร้าย ใครทำเลวร้ายทุกคน ยิ่งเบ่งสร้างอภิสิทธิ์เหนือกว่าอันนั้นอันนี้เกินกว่าคนนั้นเกินกว่าคนนี้ เกินกว่ากฎเกณฑ์ เกินกว่าสิ่งที่มีสูงก็จะเกินสูงกว่าเขา มีอภิสิทธิ์เหนือเขาไปอีก ผู้มีพฤติกรรมอย่างนี้ทั้งมีความคิดและได้ประพฤติอย่างนี้นี่คือคนเลว คนไหนเป็นตัวอย่างก็เห็นได้ ในสิ่งที่เป็นอภิสิทธิ์ที่เลว
_สู่แดนธรรม… ความรู้ที่พ่อท่านสอนมา ผมเอาความรู้สึกของนักธรรมะในประเทศไทยเอามาจับดู เขาก็จะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ ว่าทำไมยังมีความคิดแบบนี้ ทำไมดูเหมือนมีตัณหา การที่ยังต้องต่ออายุต่อสังขารไป ทำไมศาสนาพุทธเรามีคำสอนตรงนี้ด้วยหรือ
พ่อครูว่า… ผู้ที่มีตัณหา เขามีอยู่ 3 ตัณหา อันแรกคือ กามตัณหา 2.ภวตัณหา 3.วิภวตัณหา
ตัณหาอันเป็นกามตัณหานั้น แน่นอนเลวสุด เลวทราม ผู้มีกามตัณหาเลวทราม นี่ฟังให้ดีเลยใครมีอยู่ยังทรามอยู่ทั้งนั้น
ภาวะตัณหาก็เลวอยู่ แต่ลดความทรามลงไปได้ เพราะว่ากามนี้ ทรามกว่าเพื่อนหยาบกว่าเพื่อน เป็นภายนอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย มีความใคร่อยากในกามเป็นเรื่องที่หยาบตั้งแต่ภายนอก ถ้ายังไม่เรียนรู้ ยังไม่ลด ไปนั่งหลับตา ดับตัณหาดับกิเลส มันไม่มีของจริง
ไม่มีของจริง ไอ้ตรงนี้เข้าใจกันยากเลย หลับตาเข้าไปมีแต่จิตสัมภเวสี จิตไม่มีความเป็นคนครบความจริง ไม่มีปัจจุบันชาติ ไม่มี ทิฏฐธรรม เพราะฉะนั้นตาหูจมูก ลิ้น กาย ดับไปแล้วเหลือแต่จิต มันเหมือนคนตาย จิตสัมภเวสีมันจะไปดับตัณหา ดับกิเลสมันไม่ใช่กิเลสตัณหาเป็นปัจจุบัน มันไม่ใช่ของที่มีแต่สัญญา มันมีแต่ความจำความกำหนดอยู่ในจิตตัวเอง มันไม่มีกิเลสที่มันเกิดขณะ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น อันนั้นคือกิเลสจริง ตัณหาจริง
ตัณหาที่เป็นการลดได้ก็จะเหลือข้างใน และไม่ได้หมายความว่าคุณเหลือข้างในนี่ คุณหลับตา ปิดหู ปิดจมูก ไม่ใช่ กายคุณ ตาคุณก็จะมีการกระทบ ตา หู จมูก ทั้งนั้น แต่กิเลสข้างนอกมันไม่มี มันเหลือแต่กิเลสข้างใน กระทบข้างนอกแล้วกิเลสมันไม่เกิด มันเหลือแต่ข้างใน เต๊ะท่าเหมือนพระอรหันต์ เหมือนกับผู้ไม่มีกิเลส ทำเก่งๆ ไม่ให้มันออกมารู้จักกิริยาท่าทางทางภายนอก เต๊ะท่าเหมือนอย่างกับพระอรหันต์เลยนะ เพราะข้างนอกไม่มีสภาพของกิเลสแล้วนี่ เขาทำได้ แล้วคนก็พยายามทำอยู่ ดีไม่ดีหลอกคนด้วยว่าไม่มี แท้แท้จริงนี่ตัวเองยังไม่ได้ล้างไม่ได้ละเลย แล้วมันก็ ลิ้มเลีย กินนานกินลึก ไม่มีใครรู้ แต่ตัวเองนั่นแหละรู้ มันเป็นนามธรรม หลอกตัวเองหลอกผู้อื่น หลอกทั้งตัวเอง หลอกทั้งผู้อื่น ยิ่งหลงเข้าใจผิดด้วยว่าตัวเองไม่มี เหมือนอย่างมหาบัว หลอกตัวเองว่าไม่มีกิเลสกาม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ทั้งๆที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เคี้ยวจั๊บๆๆ กินไม่ได้ขาดปากเลย
ถ้าอย่างนี้ไม่รู้ก็เรียกว่าโง่ดักดาน ถ้ารู้ว่าเป็นกิเลสอยู่แต่หลอกคนอื่นด้วย คนนี้ไม่มีอะไรที่จะทำชั่วไม่ได้ อย่างที่ว่าโกหกคนอื่นทั้งๆที่ตัวเองรู้ นี่ก็พูดไปหมดแล้ว เคยอธิบายผ่านไป
เพราะฉะนั้นในกามตัณหากับภวตัณหา กิเลสในกามาวจรหมดแล้ว เหลือกิเลสในรูปาวจรกับอรูปาวจรคือภายใน คุณก็ล้างต่ออีกล้างจนกระทั่งกิเลสในขั้น 2 รูปาวจร หมดภวตัณหา หมดรูปตัณหาในรูปาวจรข้างใน เหลืออรูปเป็นขั้นสุดท้าย คุณก็ล้างอรูปหมด คุณก็หมดแล้วตัณหาทั้งภายนอก กามภพ รูปภพ อรูปภพ
เป็นผู้มีวิภวตัณหา คือ ตัณหาไม่มีภพ เช่น พระอรหันต์ขึ้นไปหรือพระพุทธเจ้า เป็นตัณหาอุดมการณ์ อาตมาก็เคยใช้คำนี้ด้วย เป็นตัณหาไม่มีตัวตน ไม่ได้เพื่อตัวตน เป็นการทำงานเพื่อผู้อื่น เพื่อประโยชน์คุณค่าของโลกของมนุษยชาติ เป็นผู้เสียสละอยู่อย่างเต็มรูป วิภวตัณหา
ตัณหา 3 . . ความต้องการ-ความอยาก
-
กามตัณหา (ใคร่อยากในกามภพอันอาศัยรูปภายนอก)
-
ภวตัณหา (ความใคร่อยากได้รูปภพภายใน และอรูปภพ).
-
วิภวตัณหา (อยากได้ความไม่มีภพ หรืออยากพ้นไปจากภพ, หรือปรารถนาสิ่งที่ไม่ใช่ภพเพื่อตน เป็นตัณหาแห่งอุดมการณ์ที่อาศัยไว้เพื่อดำเนินความดีไปเช่นนั้นเอง) ศึกษาเป็นไปเพื่ออาศัยวิเวก วิราคะ นิโรธ อันน้อมนำไปเพื่อความปลดปล่อย (วิเวกนิสสิตัง วิราคนิสสิตัง นิโรธนิสสิตัง โวสสัคคปริณามิง)
(พตปฎ. เล่ม 22 ข้อ 377)
พ่อครูว่า… วิภาวตัณหาเป็นตัณหาแห่งอุดมการณ์ ก็เหลือความปรารถนาดี ความต้องการที่ดี อาศัยเพื่อดำเนินความดีไปเช่นนั้นเอง นี่เป็นพระบาลีที่เขาแปล
นี่ก็เป็นเรื่องของความรู้ความจริงที่ปฏิบัติแล้วจะเข้าใจอาการของตัณหา ที่เป็นตัณหา กามตัณหา ที่เหลือ ภวตัณหา จนหมดแล้วก็ไม่ได้หมายความว่า กลายเป็นคนเด๋อเฉย ไม่อยากอะไร ไม่ปรารถนาอะไรไม่คิดจะทำอะไร อยู่ลอยๆ เป็นแท่งหินแท่งไม้เป็นแท่งก้อนดินเฉยๆ นั่นก็เป็นการเดาของคนที่ไม่รู้เรื่อง
จิตมันเป็นธาตุรู้ที่วิเศษ เมื่อหมดกิเลสหมดแล้วก็เป็นจิตวิเศษที่เป็นประโยชน์ เป็นมนุษย์สุดยอด เป็นมนุษย์ประเสริฐ เป็นมนุษย์ที่มีคุณค่าอยู่ในโลก พระพุทธเจ้าจึงสอนให้คนหมดกิเลสเป็นอรหันต์ เมื่อคุณเป็นอรหันต์แล้วถือว่าจบกิจ ปลดปล่อย จะเกิดอีกกี่ชาติก็เป็นอรหันต์อีก ก็เกิดไปสิ เป็นมนุษย์ที่ไม่มีโทษไม่มีภัยต่ออะไรอีกเลย มีแต่คุณค่าประโยชน์เพื่อผู้อื่นไปอีก แล้วคุณอยากจะเกิดอีกกี่ชาติๆๆๆ อยู่ เชิญนิมนต์พระอรหันต์ เพราะไม่เสียหลายอะไรเลย
นี่คือพระพุทธเจ้าค้นพบความเป็นมนุษย์ที่สุดยอด จบกิจหมายความว่าเป็นมนุษย์ที่จะทำกิจ ทำการ ทำงาน มีกรรมกิริยาอะไรต่อไปเมื่อเป็นผู้จบอรหันต์แล้วจบกิจแล้ว คุณจะอยู่จะตายก็สามารถทำตายทำเกิดได้โดยเกิดอีกอย่างไรๆ ก็ไม่มีกิเลสอีกเลย นี่เป็น โอ้โห.. วิทยาศาสตร์ทางจิตที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบยิ่งใหญ่ที่สุดในความเป็นมนุษยชาติ ในความเป็นสัตว์ประเสริฐที่ยิ่งใหญ่
ซึ่งทางเทวนิยมนี่ ประเทศที่ยังไม่มีความรู้ของพุทธศาสนาโลกุตรธรรมอันนี้นี่ ทั้งนั้นแหละ ยังไม่มีไม่รู้ จึงรบราฆ่าฟันอะไรต่ออะไร แม้แต่พุทธศาสนิกชนคนไทยนับถือพุทธแล้วไม่มีโลกุตรธรรมอันสูงพอ ก็ยังหาเรื่องตีกัน ฆ่ากัน รบกันอยู่ ก็ยังมีอยู่เลย มันไม่ง่าย
อย่างชาวอโศกนี้ไม่ไปรบราฆ่าฟันใครหรอก มีแต่จะไปช่วยให้สงบระงับ ให้อยู่เย็นเป็นสุข ช่วยกัน จะไปช่วยเสริมหนุนเข้าข้างนั้นข้างนี้ รบราฆ่าฟันกันจะไม่ทำ ชาวอโศกไม่ทำ ไม่ทำแม้แต่พวกคุณจะมาฆ่าเราตาย เราก็ตายไม่ตอบโต้ เพราะเรารู้แล้วการเกิดการตายไม่ใช่เรื่องยิ่งเรื่องใหญ่อะไร ถ้ายิ่งเป็นอรหันต์แล้ว เขาฆ่าตายก็ตายสิ เราจะเกิดอีกไม่เกิดอีกก็เรื่องของเรา พระอรหันต์แล้ว อธิบายไปหมดแล้ว
นี่เป็นเรื่องที่อาตมาว่ามันเป็นเรื่องที่จบ ในการเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
สภาพลิงลมอมข้าวพอง มีกิเลสหรือไม่ มีวิบากอย่างไร
_ไม้ร่ม… เวลาเกิดมาเป็นลิงลมอมข้าวพอง มีกิเลสไหมครับ
พ่อครูว่า… ศัพท์คำว่า ลิงลมอมข้าวพอง เป็นศัพท์ที่อาตมานำมาใช้ อธิบายจากการละเล่นของไทยชนิดหนึ่งเรียกว่า ลิงลมอมข้าวพอง คือเอาผ้าปิดตา แล้วคุกเข่า แล้วก็หมอบ แล้วก็ให้เพื่อนเขย่าให้เมาให้มึน เมื่อลุกขึ้นมาก็จะไม่ค่อยรู้ตัวเต็มที่ แล้วก็ไล่จับเพื่อน มีสติสัมปชัญญะ แล้วก็เหมือนคนมืดบอด เอาผ้าปิดตา ที่เล่น ลิงลมอมข้าวพอง เขาก็ไปหลบเอาผ้าปิดตาด้วย เพื่อนเขาจะส่งเสียงว่าอยู่นี่ เขาก็ได้ยินแต่เสียงก็ตามเสียงไป ดีไม่ดีไปชนเอาเสาด้วย ก็เฮๆกันสนุกสนาน
สรุปแล้ว ลิงลมอมข้าวพองก็คือมันเป็นความยังมึนๆงงๆอยู่ อะไรมึนงง เช่น พระพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ช่วงชีวิตที่ท่าน 29 ปี 35 ปี
29 ปีก็ยังเป็น ลิงลมอมข้าวพอง เหมือนกับเป็นคนโลกีย์ เสพสุขอยู่แบบโลกีย์ แต่ว่าจริงๆแล้วมันมีความซับซ้อน ไม่ได้ไปจัดจ้านอะไร คนพูดไปอย่างนั้นเอง แต่ท่านเป็นผู้ที่มีพรั่งพร้อม ตัวท่านเองไม่ได้จัดจ้าน แต่คนจะมาบำเรอที่จะยกให้ จะต้องมีมาก มันก็เลยซับซ้อนกัน แต่ท่านไม่มีมาก เพราะว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์มาจนกระทั่งถึงขั้นเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แต่มันก็เหมือนกับคนโลกๆ เพราะฉะนั้นอันนี้แยกยาก
เมาเหมือนกับคนโลกๆ เป็นผู้ที่อยู่ในฐานะพรั่งพร้อมไปด้วยสนม ไปด้วยมเหสี มีทรัพย์สฤงคาร มีชั้นยศอะไรต่างๆนานา ก็เป็น เหมือนโลกๆ คนมองไม่ออก ท่านก็เป็นเศษของวิบาก มันจะต้องเป็นเช่นนั้น อีก 6 ปี ก็ไปถูกพวกนักปฏิบัติธรรมมอมเมาเอาไว้แบบเดียรถีย์ ก็ไปอยู่ป่าอีก 6 ปี รวมแล้ว 35 ปี ลิงลมอมข้าวพอง อยู่ 35 ปี จึงระลึกได้ในวันเพ็ญเดือน 6 ขึ้น 15 ค่ำ ระลึกได้ว่า
เออ..เราก็ยังมาหลงเลอะอยู่กับวิบากอยู่นะ 29 ปีกับอีก 6 ปี เป็น 35 ปี ระลึกความจริงได้ว่าท่านเป็นผู้ที่ได้ผ่านภพ ผ่านภูมิมาหมดแล้ว มีพระสัพพัญญุตญาณมาแล้ว พระพุทธเจ้าในชาติที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะไม่ได้ปฏิบัติธรรมอะไร มีแต่วิบากเป็น ลิงลมอมข้าวพอง ที่อธิบายให้ฟัง
พอระลึกได้แล้ว ท่านก็ชัดเจนในตัวเอง แล้วก็ไปทบทวนตัวเองอีก 49 วัน ที่เขาใช้คำว่าเสวยวิมุติอีก 49 วัน ท่านก็ระลึกถึงทุกอย่าง ถึงภูมิธรรม ถึงสัจธรรม ถึงสัพพัญญุตญาณต่างๆที่เป็นโลกุตรธรรม ที่ได้ศึกษาฝึกฝนตรัสรู้มาจนสมบูรณ์แบบ เพื่อนำสัจธรรมนั้นมาประกาศลงไป จากนั้นก็ออกเผยแพร่ ไปโปรดปัญจวัคคีย์ก่อน แล้วก็ไปโปรดผู้อื่น เปิดศาสนาตั้งแต่บัดนั้นไป
นี่ก็เป็นที่พูดนี้ไม่ได้พูดเดา ไม่ได้เอามาจากตำรา อาตมาเป็นโพธิสัตว์ระดับนี้ รู้หมดแล้วพิมพ์เขียวระดับอย่างนี้ พิมพ์เขียวอย่างนี้อาตมามีหมดแล้ว มีแต่จะเดินตาม GPS อาตมามีหมดแล้ว มีแต่จะเดินตามทางไปให้ถึงจุดหมายเท่านั้นเอง
_สู่แดนธรรม… ที่ลุงไม้ร่มถามว่าตอนที่เป็น ลิงลมอมข้าวพอง ถือว่ามีกิเลสไหม
พ่อครูว่า… ถามตรงนี้ดี มันไม่ได้เป็นกิเลสของตัวเองหรอก มันหลงไปตามโลกเขา อ๋อ.. คนโลกเป็นอย่างนี้หรือ คือเป็นไปตามเขา ก็ไม่กี่ปีมันไม่ใช่ เหมือนอาตมานี้ก็ ลิงลมอมข้าวพอง ตั้งอายุ 36 จึงออกมา
_สู่แดนธรรม… เหมือนเด็กเล่นขี้โคลนแล้วขี้โคลนพอกผิวหนังไว้ มันไม่ได้ซึมเข้าไปในเนื้อ
พ่อครูว่า… ไม่ มันถูกฉาบพอกจากโลกีย์มันหลอก Insert ตอนสวมชุดเรียนอยู่เพาะช่าง แล้วตอนตีแบต เป็นไปตามโลกเขา มันก็มีได้ บางทีก็เก่งบางทีก็ไม่เก่ง อย่างอาตมาไม่ค่อยเก่งทางโลก เล่นไปได้ตามประสา ไม่ค่อยเก่ง
_สม.กล้าข้ามฝันว่า… พ่อท่านไม่มีกิเลสแล้ว วิบากแรงไหมคะ
พ่อครูว่า… ไม่แรง หรอก ถ้า 2 คนวิบากผูกพันอาฆาตแรงทั้งคู่วิบากมันก็แรง แต่อาฆาตข้างเดียวถ้าใครจะอาฆาตอาตมามันก็ข้างเดียว จริงๆแล้วมันมีอจินไตยความลึกซึ้งของวิบากคู่วิบากนี่ก็มีแต่เบาลงเบาลง ไม่ว่าจะเป็นคู่อาฆาตหรือคู่รักมันก็จะยิ่งนานยิ่งมาก คู่วิบากก็จะมีภาวะที่เกิดบ้าง มาพบกันชาตินั้นชาตินี้อีกตามที่เศษวิบากเหลือมันก็ไม่จัดจ้านอะไร มันก็ไม่ยาก อย่างอาตมานี้ไม่มีอะไรยาก โดยเฉพาะทางด้านร้าย ด้านเลวร้ายรุนแรงไม่มีเลย ชาตินี้อาตมาไม่มีคู่อาฆาต ไปเข่นฆ่า จะปองร้ายอะไรไม่มี มีแต่เรื่องผูกพันทาง รัก มีรัก มีบ้าง แต่ก็ไม่ได้มีมากจัดจ้านอะไรเหมือนกับคนทั่วไปในโลก
เสร็จแล้วมันก็เป็นธรรมดาธรรมชาติที่มันจะต้องเป็นอย่างนี้ แม้แต่เป็นพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่หลุดพ้นทีเดียว ก็ต้องมามี ลิงลมอมข้าวพองอย่างนี้ เดี๋ยวพวกเราจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ที่อาตมาหยิบมาอธิบายให้ฟัง ซึ่งมันไม่ง่าย อย่างในรูปนี้ใครก็เห็นว่าคาบบุหรี่แบบนี้มันเป็นคนสูบบุหรี่ไม่เป็น ใครเขาก็บอกแว่นตาก็ไม่ใช่แว่นสายตา ทำเป็นเต๊ะท่า เหมือนกับเป็นผู้คงแก่เรียนหรือเป็นนักประพันธ์ หรือเป็นอะไรต่ออะไร ตอนนั้นหายจากเป็นโรคไทฟอยด์มั้ง ผอม นี่เขาแต่งหน้านะ แต่งฟิล์มเวลาไปถ่ายรูป ทำเต๊ะทำโก้ เอาละ มากมาย เป็นเรื่องโบราณสนิมรัก
_กระถิน สุขดี . กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูง กราบเรียนถามพ่อครูว่า อธิศีล อธิจิต อธิปัญญาเป็นอย่างไรคะ
พ่อครูว่า… เอาละ เข้าเป้า ตอบวันนี้จนหมดเวลา เรื่องสั้นๆอย่างนี้อาตมาตอบได้ยาวๆ มันเป็นทุกอย่าง มันเป็นไตรสิกขาของศาสนาพุทธทั้งหมดในพุทธศาสนาเลย อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิมุติ เป็นอย่างไรคะ
อ้อ เดี๋ยวมีเศษอีก 2-3 เจ้า
ทำไมพ่อครูตั้งโรงเรียนสัมมาสิกขา และตั้ง บวร
_กราบนมัสการหลวงปู่ที่เคารพยิ่ง หนูมีคำถามที่สงสัยค่ะ ทำไมถึงสร้างโรงเรียนสัมมาสิกขาขึ้นมาคะ ทำไมโรงเรียนสัมมาสิกขาจึงเป็นหนึ่งในบวรล่ะคะ
พ่อครูว่า… โอ้โห.. คำถามปัญหาใหญ่เลยนะ มี 2 ประเด็น ทำไมเป็นหนึ่งในบวร แล้วทำไมถึงสร้างขึ้นมา
เอ้าตอบ การศึกษา การศึกษาที่ไม่มีโลกุตรธรรมเขาก็มีกันขึ้นมา เป็นการศึกษาแบบเทวนิยมไม่มีโลกุตรธรรมเลย เป็นโลกียธรรม สอนให้รู้ในแบบโลกๆโลกีย์ สอนไปแล้วมีความรู้ก็ได้ความรู้ แล้วก็เอาความรู้ไปใช้ ล่าลาภ ล่ายศ ล่าสรรเสริญ โลกียสุข แบกลาภ แบกยศ แบกสรรเสริญ หลงว่าอันนี้คือความสุขที่ควรได้ ควรมี ควรเป็น ไม่รู้ว่านี่คือสุขหลอก จมอยู่ในสุขนิยม เพราะฉะนั้นผู้ใดที่ยังแบกลาภแบกยศ ยังไงเถรสมาคม บางคนอาจจะลดลาภบ้าง แต่ยังแบกสรรเสริญ ยังเป็นโลกีย์หยำฉ่าอยู่
อาตมาเคยยกตัวอย่าง พระพุทธเจ้าก็เป็นคนเหมือนกันกับพวกเราทุกคน พอท่านรู้ว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้าท่านทิ้งหมดเลย ลาภท่านมีไหม ยศท่านมีไหม สรรเสริญท่านมีไหม สรรเสริญแบบโลกีย์ท่านมีหมด ท่านไม่ได้หลงความสุข ท่านทิ้งทันทีเลย
เจ้าชายสิทธัตถะซึ่งจะต้องขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ ทิ้งเลยออกมา พระบาทเปล่า มีศักดิ์เท่ากันกับคนทุกคน ชุดมุรธาภิเษกอะไรถอดทิ้งหมด ไม่เอาเลย
เพราะฉะนั้นผู้ที่มาอวดอ้างว่าตัวเองไม่ได้ติดลาภติดยศ แต่ตัวเองยังแบกยศ แบกสรรเสริญ ยังเสพอะไรอยู่ ยังอีกนานยังอีกไกล ยังไม่รู้เรื่องหรอก แม้แต่บอกว่าฉันไม่ได้เอาลาภแล้ว แบกยศอยู่อย่างเดียวก็เถียงไม่ออกเรื่องยศ แม้แต่ลาภก็ยังมีอยู่นะ แต่มันซับซ้อน ไม่เอาลาภซับซ้อน มันเป็นภวตัณหา วิภวตัณหาซับซ้อนเหมือนมหาบัว
มหาบัวนี่มีลาภ ขนาดฝากคลังไว้เป็นเงินคงคลัง ฝากไว้จนกระทั่งบอกว่า เอาไว้เป็นเงินคงคลังนะ ตายไปแล้วยังมาเฝ้าอยู่เลย ทุกวันนี้ยังเฝ้าอยู่ ของกู ของกู ของกู ไม่ได้เรียนรู้เรื่องกิเลสในกามภพ รูปภพ อรูปภพเลย ทำไมยืนยันอธิบายอย่างเป็นรูปธรรมจะเห็นชัดเจนเลย แต่คุณไม่รู้ว่ามหาบัวตายไปแล้วจิตวิญญาณยังมาเฝ้าทรัพย์สมบัติเป็นของกูของกูอยู่ ทั้งๆที่มาให้รัฐบาลให้ประเทศได้อาศัยใช้ป่านนี้หมุนเวียนไปกี่ตลบแล้วก็ไม่รู้ ไม่เหลือส่วนที่มหาบัวไปเรี่ยไรมาแล้วเอามากองตัวเลขไว้ ก็จำตัวเลขว่าเป็นของกูของกูส่วนจริงๆนั้นเขาสะพัด ไม่รู้ว่าทักษิณเอาไปเท่าไหร่ หรือว่าคนนั้นคนนี้เขาเอาไปเท่าไหร่ ที่ผ่านมาตั้งเท่าไหร่ ไม่รู้เรื่องหรอกใช่ไหม
นี่ก็วิจัยวิจารณ์เรื่องภพชาติเรื่องอะไรต่ออะไร
_สู่แดนธรรม… ถามว่า ทำไมโรงเรียนสร้างขึ้นมา
พ่อครูว่า… โรงเรียนสร้างขึ้นมาเพื่อให้การศึกษามีคุณธรรม มีโลกุตรธรรม ไม่ได้ให้ไปหลง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อยู่
ขนาดเราทำขนาดนี้ใช้เวลา 6 ปีม. 1-6 หรืออาจจะมีชั้นประถมก็รวมเป็น 10 ปีก็ได้หรือ 12 ปีก็ได้ เอาอนุบาลอีกก็ได้ 18 ปีก็ได้ แล้วมันจะออกไปได้ง่ายๆหรือ ขนาดจบไปแล้วก็ยังโอ้โห นั่นน่ะ
เดี๋ยวนี้จะรวมศิษย์เก่ากันมา แต่ละคนแต่ละคน บางคนขี่รถเบนซ์มา เด็กสัมมาสิกขานะ ทำเป็นเล่นไป แต่พวกเขาก็พอได้ส่วนหนึ่ง ถ้าไม่ทำซะเลย จะไปเหลืออะไร โลกก็จะมีแต่ความแก่งแย่งกันทั้งหมด
เพราะฉะนั้นแม้แต่จะได้เท่าธุลีละออง อาตมาก็จะต้องทำ แต่มันไม่น้อยถึงขนาดนั้นหรอก มันไม่ได้น้อยถึงขนาดธุลีละออง มันก็มีมรรคผลเห็นๆอยู่บ้าง ช่วยเศรษฐกิจประเทศไทย จนกระทั่งอาตมาทำได้ถึงสาธารณโภคี เป็นชุมชน มีวัฒนธรรม มีบุคคลเป็นมวลเป็นหมู่บ้าน ชุมชนต่างๆของชาวอโศกนี้คือหมู่บ้าน เป็นในระบบ ก็มีราชธานีอโศกกับศีรษะอโศก หมู่บ้านที่ไม่ได้อยู่ในระบบราชการก็มีปฐมอโศกก็ดี สันติอโศกก็ดี ไม่ได้จดทะเบียน แต่ก็เป็นหมู่บ้านมีวัฒนธรรม มีวิถีชีวิตดำเนินอยู่ในสังคม มีการสะพัด นี่เขาบอกว่าไปซื้อน้ำยาซักผ้าที่สันติอโศก นี่แหละก็คือเป็นผู้ดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมประเทศไทย ช่วยเศรษฐกิจประเทศไทยอยู่แท้จริง ไม่ได้ไปช่วยเศรษฐกิจแบบที่เขาเรียนมาจากเมืองนอก ขณะนี้กำลังจะทำอะไรกันนี่ แจกจ่ายหรือสะพัดอย่างที่รัฐบาลเขาจะทำอยู่ เขาก็ใช้วิธีการความรู้ ผู้บริหารที่เขาจะพยายามสร้าง เขาไม่ได้มาเอาความรู้ของพระพุทธเจ้าอย่างที่อาตมาเอามาทำ
อาตมาก็เป็นข้า ขออภัย เป็นข้าราษฎรการ ไม่ใช่ข้าราชการ อาตมาไม่เคยไปรับราชการ แต่ทำงานกับราษฎรมาตลอด นี่ก็เป็นงานที่ทำกับราษฎร ช่วยสร้างเศรษฐกิจ สังคม แม้แต่การเมืองด้วย นี่อาตมาก็พาทำ
จึงเป็นแบบพุทธ แบบโลกุตระ แบบอโศก นี่แหละ อโศกแบบพุทธที่เรียกว่าโลกุตระ เพราะฉะนั้นจึงสร้างคนที่มาเรียนกันเป็นโรงเรียนแล้ว ตั้งโดยเป็นระบบเลย ทางการเลยจดทะเบียนเป็นโรงเรียนมัธยมประถม จนวิทยาลัย ปวส.อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็ทำ ก็เกิดคนสร้างคนขึ้นมาให้แก่สังคม
โดยที่อาตมาก็คือโรงเรียนเอกชน โรงเรียนเอกชนไม่ใช่โรงเรียนรัฐบาล ก็ทำมาตั้งนานแล้วสัมมาสิกขา นี่คือทำไมต้องสร้างโรงเรียนสัมมาสิกขาให้เป็นแบบของพุทธ ไม่แบบเทวนิยม ไม่แบบตะวันตกหรือว่าอเมริกา เป็นแบบพุทธที่มีโลกุตระ อาตมายืนยันว่าทำจนถึงแกนของจิต ให้ได้รับการขัดเกลากิเลสออกจริงๆ แล้วจะเป็นพลเมืองของสังคมที่มีคุณภาพประเสริฐแท้ นี่คือโรงเรียนสัมมสิกขาทำขึ้นมา
อีกประเด็นหนึ่งว่าทำไมถึงเป็นหนึ่งในบวร
คำว่า บวร คือ บ้าน วัด โรงเรียน จึงเป็นโรงเรียนที่ไม่ใช่เป็นโรงเรียนแบบไปอยู่ในกล่องล่อง อาตมาก็เคยอธิบายเรื่องนี้แยกให้ฟังแล้ว โรงเรียนที่เขาเรียนแบบตะวันตกก็ดี แบบที่เรียนกันอยู่ทั่วไปเป็นโรงเรียนเรียนอยู่ในกล่องล่อง มันไม่ได้เป็นโรงเรียนที่เรียนอย่างธรรมชาติ เขาเรียนอย่างธรรมชาติ บวรนี่คือ มีบ้าน วัด โรงเรียน รวมกันอยู่ ไม่ได้แยกส่วนของบ้าน ไม่ได้แยกส่วนของวัด นี่คนมาในราชธานีอโศกจะถามว่าวัดอยู่ที่ไหน หาวัดไม่เจอ ดีไม่ดีถ้าไม่มีกฎหมายจะไม่รู้ว่าโรงเรียนอยู่ที่ไหน เพราะเรียนกันไปหมด นั่งเรียนในห้องเรียน นอกห้องเรียน ก็คืออยู่ในสนามกสิกรรมก็เรียน ปีนบนเสาไฟฟ้าก็เรียน อยู่ในที่ไหนก็เรียน เรียนตัวหนังสือเนื้อหาก็เรียน ไม่ได้ขาดหกตกหล่น
มาตรวัดระดับความรู้ตามอย่างทั้งโลกเขา เขาไม่ได้เอาอย่างที่เราทำเพิ่มมานะ ซึ่งเป็นศีลเด่น เป็นงาน ทั้งประพฤติศีล ปฏิบัติศีลทั้งเป็นงานการต่างๆ ส่วนวิชาการ ชาญวิชา ก็อยู่ในมาตรฐานของกระทรวง เราก็สอบข้อสอบเดียวกันกับของกระทรวงเขานี่แหละ หรือที่เขาอนุญาตให้สอบของเรา แล้วพอถึงเกณฑ์ก็ไปสอบตามของเขาตามกระทรวง เราก็ถึงเกณฑ์ไม่ได้ต่ำกว่าเกณฑ์ของกระทรวง เด็กสัมมาสิกขาก็เข้าอยู่ในสังคมเขาได้ จบปริญญาตรีโทเอก ของเราไม่ได้มีปริญญาตรีโทเอกแบบวิทยาลัยของเขา เด็กเราก็เข้าไปเรียนได้ตรีโทเอกอะไรก็เรียนไปได้ ไม่เห็นมีปัญหา
เพราะฉะนั้นในการศึกษา บ้าน วัด โรงเรียน ของเราจึงเป็นการศึกษาที่ไม่มีรั้วไม่มีกรอบ ที่อาตมาก็เคยบอกว่าเป็นโรงเรียนในกล่อง แล้วของเราบอกว่าของพวกเราเป็นโรงเรียนนอกกล่อง ไม่ได้อยู่ในกล่อง ไม่อยู่ในกรอบวัดไว้เท่านั้น แต่อยู่กับชีวิตปกติสามัญ วิชาการก็เรียนรู้ตามหลักสูตรเขา ส่วนความเป็นสังคมมนุษยชาติ รู้จักสังคม รู้จักความ จะจัดสรร จะจัดการ จะสัมพันธ์กับสังคมอยู่อย่างไร เป็นเรื่องรู้พร้อมกันเลย
เพราะฉะนั้น บ้าน วัดและโรงเรียน จึงมีหมดพร้อม ทั้งศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา ซึ่งชาญวิชาก็คือความรู้ตามโลกเขา ไม่ได้ต่ำกว่าเกณฑ์ ได้แถมมาอีกทั้งศีลเด่น เป็นงาน
เป็นงานนี่แหละสำคัญ เดี๋ยวนี้กระทรวงศึกษาธิการเขาก็ระลึกรู้แล้วแต่เขาก็ยังไม่ยอม เพราะผู้ที่เป็นหัวหน้าใหญ่อยู่ชำนาญแต่ทางวิชาการ ไม่ชำนาญภาคปฏิบัติ แต่ก็เคยแว่วๆว่า มันสู้อาชีวะไม่ได้เพราะอาชีวะมันได้ลงมือฝึกฝนนะ แว่วๆมาเหมือนกันแต่ผู้ที่อยู่หัวเขาก็ยังเอาวิชาการเป็นหลักเป็นนายอยู่ เพราะฉะนั้นจะดึงอาชีวะขึ้นไม่ได้อีก
_สู่แดนธรรม… มีตัวอย่างเมื่อหลายปีมาแล้ว ด็อกเตอร์เจิมศักดิ์เขาไปทำรายการสัมภาษณ์ที่ศีรษะอโศก เขาถามนักเรียนว่า ผู้ใหญ่หายไปไหนหมด ซึ่งผู้ใหญ่น่าจะไปต่างประเทศหรืออะไรนี่แหละ เขาก็ถามว่า สมมุติว่าผู้ใหญ่ในหมู่บ้านตายหมดพวกหนูอยู่กันได้ไหมเขาก็บอกว่าอยู่กันได้สบายมากค่ะ เลี้ยงน้องก็เป็น ทำงานก็เป็น
พ่อครูว่า… ใช่คือพึ่งตัวเองได้รอด ไม่ได้งอมืองอเท้า ไม่ได้ทำอะไรไม่เป็น ไม่ได้เป็นแต่พูดชี้นิ้ว มันเป็นเรื่องของมนุษยชาติที่เต็มที่มีสภาพอยู่ได้เต็ม ตอบไปแล้วว่าทำไมบวร โรงเรียน บ้าน วัด เพราะฉะนั้นจึงมีครบพร้อม บ้าน วัด โรงเรียน อยู่ในนี้ เป็นไปตามธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบ ไม่ใช่ปากเปล่านะ บวรไม่ใช่ปากเปล่า กระทรวงศึกษาควรจะต้องมาศึกษาดีๆอันนี้ มันเหนือชั้นกว่าการเรียนการสอนตามหลักสูตรแบบตะวันตกหรือแบบที่เขาเรียนกันมาแต่ไหนแต่ไรที่เป็นในกล่อง เป็นการเรียนนอกกล่อง บวร ยิ่งใหญ่กว่ากัน
_แจ๊ว น้อมยอดธรรม · เมืองราชธานีอโศกเป็นเมืองโพธิสัตว์ พ่อท่านตั้งเมืองมาอย่างมีเมตตาจริงๆค่ะ คนมีศีล 5 ศีล 8 อย่างของพระพุทธเจ้าแท้ๆ เป็นคนวรรณะ 9
พ่อครูว่า… แจ๊ว นี่ เป็นคนไม่ได้เรียนหนังสือเลยนะ จนเขียนหนังสือเป็นตัวเป็นตนแล้วก็เขียนมาสวยด้วยสะกดได้ อันนี้เขียนเองหรือว่าคนอื่นเขียนให้ก็ไม่รู้นะ แต่น่าจะเป็นลายมือเขา เขาไม่ได้เรียนหนังสือมา
_พ่อบอก ขอยืมชื่อ อาริยะมาใช้
คำถาม พ่อครูพระโพธิสัตว์พระอาริยะอยู่ในเมืองเดียวกันใช่ไหมคะ
พ่อครูว่า… ใช่ๆ แจ๊วก็ชัดเจนแล้ว รู้เรื่องดีแล้ว พ่อครูก็คืออาตมา พระโพธิสัตว์ก็ส่วนหนึ่งของอาตมา เป็นลักษณะธรรม พระอาริยะ ก็อันหนึ่งของลักษณะธรรม มีครบ พระโพธิสัตว์ พระอาริยะและพ่อครูคือตัวอาตมาทั้งหมดในตัวคนเดียว ถูกต้อง ตอบหมด
ตรวจศีล ตรวจมรรคผลตน ด้วยเจโตปริยญาณ 16
_ทีนี้ ฟังฝน ฟังฝน กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
ดิฉันเคยคุยกับนักบวชท่านหนึ่งถึงวาระที่พ่อครูไม่อยู่ว่า … ดิฉันพยายามเตรียมความพร้อมรับการจากไปด้วยการฝึกยืนด้วยลำแข้งของตัวเอง …. พยายามพึ่งตัวเองให้ได้แม้ไม่มีพ่อครู
ทำอย่างไรที่ศรัทธาจะยังคงเต็มที่ เต็มเปี่ยม มั่นคง ในการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ไปสู่จุดหมายสูงสุดตามคำสอนของพ่อครู
ดิฉันได้ฝึกปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 ด้วยการตรวจศีลต่อเนื่องเกือบทุกวัน (ร้อยละ 99) มาเป็นเวลาเกือบ 2 ปี (ส่งบันทึกตรวจศีลที่ท่านสิริเตโช)
ศีลส่งผลให้เกิดการจัดระเบียบชีวิต ไม่ออกนอกเส้นทางมรรค 8 ส่งผลให้เกิดความผาสุก ได้สัมผัสใจที่เป็นฌาน และส่งผลดีในด้านต่างๆ อีกมากมาย
เห็นโทษภัยมากมายที่ใจตนเองถูกนิวรณ์ครอบงำ …. จึงทำให้เต็มใจและเห็นประโยชน์มากๆๆๆๆ ถึงมากที่สุด …. ในความจำเป็นที่ต้องตรวจศีลทุกวัน …
ดิฉันพบว่า การสรุปมรรคผลของตน … ไม่ใช่ ใช้วิธีกะหรือคาดคะเน
แต่ต้องใช้วิธีตรวจสอบด้วยเจโตปริยญาณ หรือวิชชา8 ขณะกระทบผัสสะ หากไม่มีการปฏิบัติศีล ตรวจกรรม3 ของตน ว่าอยู่ในกรอบของศีลหรือมรรค8 หรือไม่อย่างต่อเนื่อง เราจะไม่มีทางรู้เลยว่าตนเองอยู่ตรงไหน อะไรคือสักกายทิฏฐิ ขณะนี้มีกิเลสอะไรเหลืออยู่ เรื่องใดที่สอบผ่านแล้ว …. ต้องตรวจสอบ ทบทวน ให้แน่ใจว่าสอบผ่านจริง
พ่อครูว่า… ที่พูดมานี้ คงไม่หมายถึงฌานหลับตา ไปนั่งหลับตาสะกดจิตให้จิตหยุดนิ่งอยู่กับจุดใดจุดหนึ่ง ไม่ใช่ ปัจจัยที่เป็นฌานคงเป็นฌานที่ลืมตา สถานที่ลืมตาสัมผัสกับอะไรต่างๆนานา เราก็รู้ทันกิเลสแล้วก็ลดกิเลสได้เผากิเลสได้ฆ่ากิเลสได้จริง เป็นของจริงเลยเป็นปัจจุบันชาติกิเลสแท้ แล้วก็ลดกิเลสลดด้วยปัญญา มันมีฤทธิ์มีธรรมฤทธิ์เป็นปัญญาทำให้กิเลสหาย นี่คือของจริงฌานจะเผากิเลสจริงๆอย่างนี้
เรียนปฏิบัติธรรม จรณะ 15 วิชชา 8 จะเห็นนิวรณ์ 5 อย่างที่เป็นนิวรณ์จริงๆเป็น กาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา วิจิกิจฉาคืออะไรที่งงๆงวยๆไม่รู้
เป็นประโยชน์เลยว่า ถ้าคุณได้รู้ว่าคุณได้มีสัทธรรม 7 จิตมันได้ละกิเลสเป็นฌาน ก็เท่ากับคุณตรวจศีล ไม่ต้องเอามาก เอาศีล 3 ข้อ
ข้อ 4 ก็ได้เอา วาจาด้วย
ศีลข้อที่ 1 หมายถึงสัตว์ หมายถึงมนุษยชาติ สัมผัสสัมพันธ์กันอยู่
ศีลข้อ 2 หมายถึงทุกอย่าง วัตถุ พืช ทุกอย่างที่กินที่ใช้ ทุกอย่างที่สัมผัสเกี่ยวข้องแล้วเกิดจิตกิเลส ทุจริต ก็ลดกิเลส ลดความทุจริตต่างๆ
ศีลข้อ 3 รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นนัยยะละเอียดขึ้นมาว่าเป็นทางมาแห่งกิเลส ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เดินทางมาแห่งกิเลส ตัวปัจจุบันชาติจริงๆ ก็ปฏิบัติครบ มีกิเลสจริงๆรู้จักทุจริตหรือกิเลส ข้อ 2 แล้วเกี่ยวข้องกับสัตว์และเกี่ยวข้องกับวัตถุเกี่ยวข้องกับทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็ได้ลดกิเลสจริงๆไม่ใช่ไปนั่งเพ้อ ไม่ได้ไปนั่งหลับตาสะกดจิตแล้วก็หลับตาแล้วก็ออกนอก ทิ้ง ไม่มีผัสสะ ไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตจริงของความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ นี่ทำได้จริงเลย ตรวจศีลทุกวัน
การตรวจมรรคผลของตัวเองไม่ใช่กะไม่ใช่เดา แต่ต้องใช้วิธีตรวจสอบด้วย เจโตปริยญาณ 16
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
_สู่แดนธรรม… ชาวอโศกหลายคน อาจจะมีพฤติกรรมคล้ายกับคุรุฟังฝน ผมเองก็เหมือนกัน ผมก็ได้รับอิทธิพลจากท่านสมณะสิริเตโช ท่านพาตรวจศีล มันมีการตรวจศีลในลักษณะ 3 มิติ ไม่ใช่ตรวจแค่กายกรรม แต่ท่านให้ตรวจไปถึงว่า ต้นเหตุของการที่จะเกิดจิตที่จะคิดที่จะปรุงแต่ง ชักนำให้เกิดการพูดที่ผิดศีล แล้วก็ไปทำให้พฤติกรรมผิดศีล เราต้องรู้ตัวให้อย่างไว แล้วพยายามระงับให้มันตัดลงถึงขั้นมโนกรรมเลย ทำให้มโนกรรมไม่ผิด ผมก็ทำอย่างนี้อยู่บ่อยๆ จนกระทั่ง 2 เดือนติดต่อกัน ก็เลยทำให้รู้ผลสำเร็จที่เรียกว่าฌานมันเป็นอย่างนี้
พ่อครูว่า… พวกเราก็เข้าใจไปเรื่อยๆเหมือนที่ สู่แดนธรรม พูดมานี่แหละ ตั้งใจศึกษาก็จะได้รายละเอียดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้น เมื่อตรวจสอบด้วย เจโตปริยญาณ 16 เป็นมาตรการสำหรับวัด อ่านรู้กิเลส ราคะ โทสะ โมหะ เราก็ตั้งใจพยายามทำให้มันลด ไม่มีราคะ โทสะ โมหะ ให้เป็น
-
สราคจิต (จิตมีราคะ) 2. วีตราคจิต (จิตไม่มีราคะ) 3. สโทสจิต (จิตมีโทสะ) 4. วีตโทสจิต (จิตไม่มีโทสะ) 5. สโมหจิต (จิตมีโมหะ) 6. วีตโมหจิต (จิตไม่มีโมหะ) 7. สังขิตฺตํจิตตํ. (จิตเกร็ง-จับตัวแน่น หด คุมเคร่งอยู่) . 8. วิกขิตฺตํจิตตํ . (จิตกระจาย-ดิ้นไป ฟุ้ง จับไม่ติด)
เมื่อลดได้จริง เราก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าเราทำได้ เรียกว่า 9. มหัคคตจิต (จิตเจริญยิ่งใหญ่ขึ้น) ทำได้ เจริญขึ้นทั้งได้ปริมาณและได้คุณภาพ มหะ คือปริมาณ อัคคะ คือคุณภาพ 10. อมหัคคตจิต (จิตไม่เจริญขึ้น) 11. สอุตตรจิต (จิตมีดีแต่ยังมีดียิ่งกว่านี้-ยังไม่จบ) 12. อนุตตรจิต (จิตไม่มีจิตอื่นสูงยิ่งกว่า) แต่จะมีปฏิภาณรู้เองว่าจิตยังไม่ถึงที่สุด จิตยังไม่จบ ก็ทำต่อ ตรวจสอบทั้งให้ได้เจโตและปัญญา ทั้งสมาธิและวิมุติ
-
สมาหิตจิต (จิตตั้งมั่นเป็นประโยชน์ดีแล้ว) 14. อสมาหิตจิต (จิตยังไม่ตั้งมั่นไม่เป็นประโยชน์) 15. วิมุตตจิต (จิตหลุดพ้น) 16. อวิมุตตจิต (จิตยังไม่หลุดพ้นสิ้นเกลี้ยง) . (พตปฎ. เล่ม 9 ข้อ 135)