661206 ทำทานให้สัมมาอย่าจับไอ้หวังใส่ถัง ควรเพิ่มพลังพากเพียร พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1gXvoSURvrYSS4VRz7W3iSO9Cfik266na/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1QEGru-cYhywVIBabruawkosWYPHvsXD_/view?usp=sharing
และ
ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/oM3JNk0442/
และ https://youtu.be/JVTGO1nX-SQ
มีซับ
สมณะเดินดิน… วันนี้วันพุธที่ 6 ธันวาคม 2566 แรม 9 ค่ำเดือน 12 ปีเถาะ ที่บวรราชธานี วันนี้วันที่ 6 วันที่ 8 มะรืนนี้พวกศิษย์เก่าก็คงเริ่มทยอยเข้ามา วันที่ 9 ก็ถือว่าเป็นวันเริ่มงาน
วันแรกจะรวมตัวทำพิธีต้อนรับศิษย์เก่าตั้งแต่ 14:00 น เข้าสู่ศาลา มีพิธีกล่าวต้อนรับศิษย์เก่า ศิษย์เก่ามีทั้งหมด 10 สถาบัน ตั้งแต่อดีตที่เคยตั้งโรงเรียนกันมา ปัจจุบันมีบางแห่งที่ยุบกันไปแล้ว
วันแรกของงานรายการภาคค่ำจะมีรายการเอื้อไออุ่น พ่อครูก็จะลงมาพบกับศิษย์เก่าที่จะมาร่วมงาน
วันอาทิตย์ที่ 10 จะมีพิธีไหว้ครูบูชาพ่อ มีทำวัตรเช้าตั้งแต่ตี 5 มีใส่บาตรตอนเช้า มีพิธีไหว้ครูบูชาพ่อตั้งแต่ 7 โมง มีอันเชิญต้นโพธิ์ทอง จากสถาบันต่างๆถวายพ่อครู จะเสร็จพิธีประมาณ 10 โมงในวันนั้น
คิดว่าพวกเราคงได้เตรียมใจกัน ลูกหลานที่จากพวกเราไปยาวนานจะได้กลับคืนสู่มาหาพวกเรา ควรตั้งจิตด้วยความยินดีที่ลูกหลานจะได้กลับมากัน
มาช่วงนี้เป็นช่วงฤดูหนาว พืชผักของเราก็กำลังออกดอกออกผล วันนี้ก็มีหัวไชเท้าออกงามมาก มีเยอะมาก มีกะหล่ำปลีปลูกบนภูเขา ปีแรกเลย ซึ่งเป็นภูเขาวัตถุดิบทำปุ๋ย
สรุปแล้วว่า เราอยู่ที่นี่มีเวลาทำกสิกรรมกัน 8 เดือน น้ำ 4 ปฐพี 8 อีก 4 เดือนทำใจให้น้องน้ำเคลื่อนตัวเข้ามา เรามีเวลาจัดการ 8 เดือน แม้จะมี 8 เดือนแต่ก็จะทำได้สมบูรณ์ในช่วงฤดูหนาวเท่านั้นเอง เข้าสู่ฤดูร้อน พืชผักก็จะไม่ค่อยสมบูรณ์ ต้องหาผักวรรณะ 9 เช่นผักโขมผักไชยา ผักปลัง
เขาบอกว่าปีหน้า 2567 จะเป็นปีแห่งการล่มสลายของภูมิอากาศ อุณหภูมิจะสูงขึ้นอย่างน้อย 1.5 องศาเซลเซียส ค่าเฉลี่ยนะกรมอุตุนิยมวิทยาของสหประชาชาติพยากรณ์ไว้ เราเป็นมนุษย์วรรณะ 9 ก็ควรจะซ้อมกินผัก วรรณะ 9 กันไว้
หลังงานวันที่ 10 จะมีงานช่วยกันเทปูน ถ้าใช้แรงงานพวกเราเองจะลดค่าใช้จ่ายลงครึ่งหนึ่งเลย พื้นที่ที่จะเทที่จัตุรัสเทียนอันหมานมีพื้นที่ประมาณ 3,000 ตารางเมตร คำว่าเทียนอันหมาน น่าจะมาจากคำว่าสมัครสมานสามัคคี ของพวกเราที่จะช่วยกันทำงาน ให้เป็นลานโล่ง กว้างๆ พื้นที่ 3,000 ตารางเมตร
วันนี้พ่อครูยังมีพลังที่จะมาแสดงสัจจะโลกุตระให้พวกเราได้ศึกษากัน ขออาราธนาพ่อครูครับ
พ่อครูว่า… ยังมีกำลัง เริ่มต้นที่
SMS วันที่ 4 ธ.ค. – 5 ธ.ค. 2566
อรหันต์โพธิสัตว์ก็ยิ้มได้ด้วยจิต อภิปโมทยังจิตตัง
_ทำใจ . กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพอย่างสุดเศียรสุดเกล้า สิ่งหนึ่งที่ทำให้ลูกศรัทธาพ่อมากๆ ก็คือ ใบหน้าของพ่อมีรอยยิ้มเสมอ (แม้ในขณะที่พ่อพูดว่า พ่อเมื่อยมากๆ แล้ว)
พ่อครูว่า… จริง จริง ยิ้มเสมอจนกระทั่ง ทางพวกที่เขาเคร่งๆพวกพระป่าพระนั่งสมาธิ เขาบอกว่าพระอะไรกัน ยิ้ม หัวเราะเอิ๊กอ๊าก ไม่สำรวมเลย เขาว่าอย่างนั้นนะ อาตมาก็ว่า เออนะ มันก็จริงของเขาสำหรับเขาที่มีความยึดมั่นถือมั่นหรือมีความเห็นว่า ความสงบนั้นแม้แต่ยิ้มก็ไม่ได้ ยิ้มหรือหัวเราะเสียงดังก็ถือว่าไม่สงบ โอ้โห เคร่งจัด ฟังแล้วเคร่งจัด
ทำไมคนยิ้ม คนหัวเราะ นี่มันจะเป็นความ เอาล่ะถ้าพูดเวอร์ๆว่าถ้ามันหัวเราะดังๆ หัวเราะรบกวนคนอื่นก็ว่ากันไป มันโอเวอร์ แต่คนที่มีแต่การยิ้ม มีแต่เสียงหัวเราะกันทั่วไป อาตมามีเพลงอาริยะบทนึง ที่บอกว่าได้ยินเสียงหัวเราะหรือเสียงร้องไห้
มันเป็นยังไง คนมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะมันจะเป็นสังคมที่ไม่น่ายินดีหรือไม่น่ายอมรับหรือยังไง มันก็ดีสิ เจอหน้ากันก็มีแต่ยิ้ม ไม่ใช่บ้านะ ยิ้มอย่างคนบ้าก็อีกเรื่องนึง คือมันสดชื่น มันรื่นเริงเบิกบาน ยิ้มแล้วก็มีเสียงหัวเราะ อาจจะหัวเราะดังๆ หัวเราะเอิ๊กอ๊ากบ้าง มันก็ไม่น่าจะเป็นไร หัวเราะดังๆเอิ๊กอ๊ากๆ
จะไปเคร่งจัดมีสำรวม สงบ จะโต่งไปถึงขนาด อภิปโมทยังจิตตัง ก็ไม่ได้ อาตมาก็ว่า เขาจะสุดโต่งไปยังไงเขาก็ว่ากันไปเถอะ มันสุดโต่งไปหาศูนย์ สุดโต่งไปหาไม่มีอะไรอะไรเลย ไม่ต้องกระดุกกระดิกมันเวอร์เกินไป มันสุดโต่งไปไกล
อาตมาไม่มีความรู้สึกในใจที่ว่าจะขาด อภิปโมทยังจิตตัง จิตไม่ได้ขาด อภิปโมทยังจิตตัง แปลว่า จิตยินดี ปราโมทย์ ยินดี ชื่นใจ อิ่มเอม ปราโมทย์อยู่ มันเป็นอย่างนั้น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล มันเป็นเช่นนั้นจริงๆมันก็เป็นจริง ตามที่มันเป็น มันไม่ใช่เราจะต้องพยายามหรือว่าจะต้องเสแสร้ง มันไม่ใช่ มันสบายๆ มันยิ้มแย้มแจ่มใสสบาย
การร้องไห้ 2 แบบ ทำอย่างไรได้ล้างอุปาทาน
_ลูกอยากถามว่า ทำอย่างไรถึงจะไม่เป็นคนขี้แย (ในขณะที่น้ำตามันซึมออกมาง่ายๆ ลูกจับได้ว่าอาการนี้มันมาจากความรู้สึกเศร้าลึกๆ ในใจ มันเร็วกว่าความคิดและเหตุผลใดๆ เพียงมีผัสสะเล็กๆ มาสะกิดใจเท่านั้นเจ้าค่ะ) ซึ่งมีสาเหตุหนึ่งมาจากคนที่เรารักและผูกพันกันมานานกว่ายี่สิบปีเขาบอกเลิกกัน ในฐานะนักปฏิบัติธรรม แทนที่ลูกจะดีใจ กลับร้องไห้เสียใจเจ้าค่ะ ลูกก็ไม่รู้ว่าจะโง่ร้องไห้ไปอีกนานแค่ไหน จนกว่าจะล้างอุปาทานตัวนี้ได้สิ้นเกลี้ยงใช่มั้ยเจ้าคะ แล้วจะมีวิธีล้างอย่างไรเจ้าคะ กราบขอบพระคุณพ่อครูที่เคารพอย่างสูงเจ้าค่ะ
พ่อครูว่า… การขี้แยที่มีความเศร้า ก็รู้สึกร้องไห้ขี้แย เห็นอะไรที่มันสลดใจ น่าเสียใจ น่าอะไรก็ร้องไห้ ก็เชิงหนึ่ง
ยินดี ซาบซึ้งใจ ก็น้ำตาไหล จะเรียกว่าร้องไห้ก็ใช้ศัพท์เดียวกับคนขี้แย คนร้องไห้เพราะความเศร้า หรือไม่ค่อยจะสบายใจเขาก็ร้องไห้
แม้สบายใจ ยินดีปรีดา ซาบซึ้งน้ำตาก็ไหล จะเรียกด้วยศัพท์เดียวกันว่าร้องไห้ ก็ใช้ร้องไห้ ศัพท์เดียวกันเท่านั้นเองเป็นพยัญชนะภาษาไทยคำว่าร้องไห้ น้ำตาซึมออกมาถือว่าร้องไห้
แต่อาการของจิตอาการของความรู้สึกที่มี มันต่างกันอยู่ภายใน นี่เราเป็นนักปฏิบัติธรรม เราละเอียดลออเข้าไปถึงอย่างนี้ ให้เห็นได้ว่า การร้องไห้อย่างเศร้าเสียใจแน่นอนมันก็ไม่ดี ถ้าร้องไห้อย่างซาบซึ้งประทับใจอะไร มันก็เป็นเชิงดี
อย่าไปมิจฉาทิฏฐิแต่ว่ายินดีปรีดาในมิจฉาทิฏฐิ ยินดีปรีดาในเรื่องทุจริต ยินดีปรีดาในเรื่องที่เป็นภัยเป็นพิษต่อมนุษยชาติ สังคม แล้วก็หลงยินดีอย่างนั้น มันมีเยอะ เยอะ
เอาง่ายๆ ยกตัวอย่าง คนที่ชนะ โดยเฉพาะชนะประเภทที่รุนแรงด้วย ฆ่าเขาตาย ชนะ ยินดีโห่ร้อง แม้แต่ชนะเรื่องเกมกีฬาก็ตาม ยินดีปรีดา โห่ร้อง ถือว่าเป็นความชนะ จริงๆแล้วการไปเอาชนะคะคานคนอื่น ด้วยโลกียะซึ่งต้องมีวงเล็บตรงนี้ว่า ด้วยโลกีย ด้วยการชนะ ต้องการได้รับลาภ ต้องการได้รับยศ ชนะการได้รับสรรเสริญเยินยอ ชนะไปแย่งสุขเขา นี่เป็นโลกีย์นัยยะมันซ้อน
ผู้ที่ปฏิบัติธรรมโลกุตรธรรมแล้ว ไม่ไปปฏิบัติอย่างนั้น ไม่ไปเอาชนะใครในเชิงได้ลาภมากกว่าเขา ได้ยศสูงกว่าเขา แล้วก็ใช้ยศเป็นอำนาจเบ่งอะไรไปจนกระทั่งมีอภิสิทธิ์ยิ่งใหญ่เหมือนอย่างทักษิณ มันไม่รู้จบเลยในการทำอกุศล หรือทุจริต หรือชั่ว มันไม่มีที่สุดเลย มันหลงผิดอย่างนี้
แม้แต่จะไปหลงสุข จะได้สุขมากกว่าเขา สุขเป็นโลกีย์ โลกุตระไม่มีสุขไม่มีทุกข์ หรือลดสุขลดทุกข์ที่เป็นรสโลกียะ จิตกลางๆไม่มีสุขไม่มีทุกข์ มีแต่ยินดีปรีดา อิ่มเอมเกษมใส นี่คือ อภิปโมทยังจิตตัง อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันจะสลับซับซ้อน หมุนรอบเชิงซ้อนที่ลึกซึ้ง
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าจึงมีชั้นตอนที่ซับซ้อนลึกซึ้งๆๆ ขึ้นไป แล้วจะมีชีวิตอยู่ในสังคมไม่เป็นภัยไม่เป็นพิษกับผู้ใด มีแต่เป็นคุณค่าเป็นประโยชน์ ช่วยเหลือเกื้อกูลอยู่ในสังคม
นี่เป็นลักษณะของคุณธรรมที่สุดประเสริฐแล้ว ค่อยๆเข้าใจไปเรื่อยๆ อาตมาก็จะค่อยๆขยายความ ซึ่งพวกเราจะเข้าใจดี ทางโลกเขายังไม่ละเอียด โลกียะเขายังหยาบคาย เขายังพูดกันไม่รู้เรื่อง เขายังแย่งชิงอะไรต่ออะไร ยิ่งไปในทางต้องฆ่าแกงกัน ต้องแย่งชิงกันต้องเอาเปรียบเอารัด เอาชนะคะคานกัน
เพราะฉะนั้นคำว่า ผู้แพ้ โดยเฉพาะที่มีจุดอาการที่ คุณจะชนะก็ชนะไป แต่เรานี่ เราไม่ชนะที่ได้เปรียบ เราไม่ได้ชนะที่จะได้มากกว่า เราไม่ชนะที่จะข่มเบ่งหรือมีอำนาจยิ่งใหญ่ ไม่ เราอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคนรับใช้ เสียสละ เป็นผู้สร้างสรรค์ให้แก่ผู้อื่น ไม่ใช่เป็นผู้ที่ไปได้ไปกอบไปโกย ไปขูดรีด ไปเอาเปรียบเอารัดกัน ไม่ใช่
พูดภาษาไทยง่ายๆ อธิบายขยายความฟังแล้วจะเข้าใจลึกซึ้งในความลึกซึ้งของความเป็นจริงของมนุษย์ เพราะฉะนั้นก็ขอจบด้วยตรงที่ว่า ชาวอโศกเรานี่ได้ปฏิบัติธรรมะโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า เข้าถึงโลกุตรธรรมจริงๆ จึงมาเป็นคนโลกุตระที่มีธรรมะที่อยู่อย่าง สงบ
แล้ว อาตมาขึ้นต้นด้วยคำว่า อิสระ พวกคุณไม่ได้ถูกล่อลวง ไม่ได้ถูกสร้างภาพ แต่คุณเห็นภาพเอง รู้เอง มาเอง มาเองนะที่อาตมาบอกว่า ความอิสระนี่ อาตมาพูดไม่รู้กี่ที เราไม่ได้ไปล่อลวง เราไม่ได้ไป propaganda ไม่ได้หว่านล้อมให้มาเอา แต่คุณใช้ปัญญาของคุณตัดสินเอง แต่ละคนมีอิสรเสรีภาพส่วนตัว มาเอาอันนี้
หลายคนเข้าใจๆว่าดีแต่เอาไม่ได้ก็หลุดไป คนที่ได้ก็ได้มาอยู่ที่นี่จึงเป็นความไม่แปลกปลอม สนิทเนียนกันอยู่ที่นี่
ที่คุณทำใจถามว่า แล้วทำอย่างไรจะล้างอุปาทานนี้ได้ คำว่าอุปทานมี หยาบ กลาง ละเอียด ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ถึง 4 สภาพ ก็ขอตอบสรุปๆไว้ว่า ก็ต้องมาปฏิบัติธรรมไป อย่างที่เราพากันทำนี้มันเป็นลำดับดีอยู่แล้ว มีลำดับ สำคัญนะลำดับนี้ ถ้าไม่เป็นลำดับ มันจะวกวน มันจะซับซ้อนกลับไปกลับมา เสียเวลาหลายเที่ยว ถ้าเป็นลำดับดี มันจะเที่ยวเดียวๆๆๆ แล้วไปเรียบ ไม่สะดุดเลย มันสวยที่สุด ก็ค่อยๆมาปฏิบัติแล้วค่อยๆรู้ตัวเอง ไม่ง่ายหรอก แต่มันทำได้ดีแล้วของพวกเรา
การช่วยเหลือคนหรือสัตว์ที่กำลังได้รับวิบากมี 2 ระดับ
_เปิ้ล บ้านไผ่ . ขอกราบนมัสการด้วยความเคารพ กราบนิมนต์พ่อท่านอธิบายด้วยค่ะ
1.ได้ยินมาจากที่อื่นว่า การที่เราไปช่วยเหลือ บุคคลใดที่เขากำลังได้รับวิบากกรรม แล้วเจ้ากรรมนายเวรของเขา จะมาเล่นงานเราด้วย จริงหรือไม่คะพ่อท่าน
พ่อครูว่า… จริงในระดับหนึ่ง แต่ไม่จริงในระดับหนึ่ง
จริงในระดับหนึ่งคือในระดับของคนที่มีความรู้โลกุตระยังไม่ได้เลย มีแต่ความรู้ยึดตัวตน เห็นแก่ตัวเห็นแก่ตน
เช่น สัตว์เดรัจฉานมันๆเห็นแก่ตัว ใครไปแย่งที่อาตมาเคยอธิบายมาแล้ว เช่น งูมันจะกินเขียด คุณก็โอ้โห เป็นคนที่มีจิตวิญญาณ มีธรรมะสูงแล้วนะ งูนี่มันรังแกเขียดได้ยังไง มากินเขียด มันเป็นบาปนะ อันนี้ก็เคยยกตัวอย่างมาหลายทีแล้ว ก็ตีงูตายเอาเขียดออกจากปากงู นี่แหละมันไปละลาบละล้วงวิบากกรรมของเขา งูมันก็ต้องกินเขียดเป็นอาหาร มันกินสัตว์เล็กสัตว์น้อยสัตว์ที่มันกินได้เป็นอาหาร มันกินสัตว์ งูเป็นสัตว์กินสัตว์ แล้วคุณก็จะไปแย่งอาหารมันออกจากปาก คุณก็ต้องไปหัดให้งูมันไปกินเจสิ.. คุณทำได้ไหมล่ะ ก็ต้องมาฝึกงูให้มันกินเจ ซึ่งพวกเลี้ยงงูทั้งหลายแหล่เขาก็ไม่มีใครเลี้ยงงูด้วยการกินเจ ก็ต้องเอาสัตว์ตายหรือสัตว์ตาย ตามใจเขาเถอะ เราไม่พูดไปยาวเพราะเขาไม่รู้เรื่องพวกนี้ มันผิดมันไปทำอย่างนั้นไม่ได้
ทีนี้พวกอีกพวกหนึ่งคือพวกที่มีความรู้แล้ว อันนี้ไปละลาบละล้วงวิบากเขาไม่ได้ ว่าไปมันก็ไปอยู่ในระดับของเดรัจฉาน ทีนี้คนนี้แหละที่ยังเป็นเดรัจฉานอยู่ก็นัยยะเดียวกันกับสัตว์ที่เป็นเดรัจฉานที่มีตัวกูของกู ไปแย่งเขียดจากปากงูก็ไม่ควรทำ ก็ใช่ แต่คนอีกระดับหนึ่งพอเข้าใจแล้วว่า ไอ้นี่อย่าไปรังแกกัน นี่มันชีวิต มันเป็นสัตว์เหมือนกันอย่างนี้ เป็นต้น เราก็เตือนกันช่วยกันให้เขาอย่าไปสร้างวิบากอีก คนที่มีภูมิธรรมระดับนี้ช่วยกันได้ เตือนกันได้ บอกกันได้
แต่ถ้าไปเตือนกันบอกกันเหมือนคนที่ไม่มีภูมิความรู้เหมือนกับเดรัจฉาน ขออภัยต้องยกตัวอย่าง อย่างชาวตะวันตก ชาวตะวันออกกลาง ชาวเทวนิยม ที่เขาไม่ได้ซาบซึ้งถึงเรื่องของกรรมวิบาก อาจจะฆ่ากันไปฆ่ากันมา เขาก็ไม่กลัววิบากกรรมที่จะย้อนไปอีกกี่ชาติต่อกี่ชาติเขาไม่รู้ เขาก็จะบอกว่าเหมือนงู มาฆ่าข้ามาแย่งเขียด จะฆ่าข้าก็จะต้องอาฆาตมาดร้ายให้เรา ยิ่งเป็นคนที่มีความอาฆาตมาดร้ายซับซ้อนจัดจ้านกว่าเดรัจฉาน เดรัจฉานมันแรงเท่านั้นความจัดจ้าน มันจองเวรจองกรรมแรง แต่มันไม่ซับซ้อนลึกซึ้งเหมือนคน คนมันฆ่ากันได้อย่างเลือดเย็น เป็นต้น มันมีกลเม็ดอะไรอีกเยอะอันนี้ก็ละเอียดลออก็ไม่ขอขยายความต่อ
เพราะฉะนั้นในเรื่องของกรรมวิบากจึงเป็นเรื่อง อจินไตยที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ เป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากมาย อธิบายกันไม่หวาดไม่ไหว
นี่ก็ถามว่าเจ้ากรรมนายเวรของเขาจะมาเล่นงานไหม คำว่า “เจ้ากรรมนายเวร”ก็คือ ระหว่างคู่ของผู้ที่ทำวิบากแก่กันและกัน เรารู้เราก็เลิก เพราะฉะนั้นเขาไม่รู้ก็เหลือเขาปรบมือข้างเดียว ก็ไม่มีอะไรนาน ไม่มีอะไรมาก แต่ถ้าเขาก็รู้ด้วยเราก็ให้เขารู้ด้วย ก็ต่างคนต่างรู้ อย่าไปสร้างกรรมสร้างวิบากกัน เป็นคู่กรรมคู่วิบากกันไปอีกกี่ชาติต่อกี่ชาติก็ไม่หมด โดยเฉพาะตั้งแต่การฆ่ากัน หรือแม้แต่การรักกันก็ตาม
มาเป็นผู้ที่เกื้อกูลกัน ช่วยเหลือกัน เป็นพี่เป็นน้องเป็นญาติ เป็นผู้ที่มีประโยชน์แก่กันและกัน อย่างนี้สูงส่งกว่าที่จะไปทั้งรักทั้งชัง มันก็อยู่ที่แค่ สุรพล สมบัติเจริญ เท่านั้นเอง 16 ปีแห่งความหลังเท่านั้น ทั้งรักทั้งชัง ไม่รู้จักจบจักสิ้น จะได้เรื่องอะไร ฉะนั้นก็เลิกเสียพยายามเรียนรู้สภาพพวกนี้ที่มันลึกซึ้ง
ทำทานให้สัมมาอย่าจับไอ้หวังใส่ถัง
-
มีบางท่านสำนักอื่น พูดว่า การที่เราทำทานโดยหวังว่าทำแล้วเราจะได้บุญ ตลอดจนได้โภคทรัพย์ต่างๆ นั้น เมื่อทำแล้วตายไปเราจะได้ขึ้นสวรรค์ แต่พอหมดบุญแล้วจะต้องตกนรก เนื่องด้วยเพราะบาปจากการทำบุญแล้วหวังผล ดิฉันเกรงว่า ถ้าเช่นนั้น ชาวพุทธที่มีความรู้ว่าทำทานแล้วมีอานิสงส์ จึงทำทาน ในที่สุดคงจะต้องตกนรก ขอกราบนมัสการด้วยความเคารพค่ะ
พ่อครูว่า…ที่ถามประเด็นนี้ลึกซึ้งมาก อาตมาก็อธิบายไปหลายทีแล้ว มันคือการรู้เรื่องจิตเจตสิกรูปนิพพาน คนที่รู้จักอาการของจิตอาการของเจตสิก ที่ยังมีสภาพที่จะต้องได้รับผลตอบแทน จิตที่จะต้องได้รับผลตอบแทน มันเป็นพวกทุนนิยม ลงทุนไปแล้วก็จะต้องได้ทุนคืน ดีไม่ดีได้เกินทุนเรียกเกินทุนนั้นว่ากำไร มันเป็นความคิดแบบทุนนิยม
แต่ความคิดแบบบุญนิยมนั้น เราให้ใครแล้วไม่เอาคืน ไม่ต้องการอะไรคืน ทำใจในใจให้ไปแล้วศูนย์ เรียกว่า ทาน ในทานสูตร ไม่มี สาเปกโข นี่จึงจะเป็นปัจจัยให้เกิดนิพพาน
ถ้าคุณยังมี สาเปกโข คุณก็ยังมีภพชาติ ต่อเนื่องอยู่ ยิ่งไม่รู้ยิ่งอวิชชามากขึ้น เป็น ปฏิพัทธจิตโต ผูกพันกับจิต ผูกพันเป็นภพชาติเข้าไปอีก
สาเปกโข เริ่มมีสภาพรูปร่างหวังว่าจะได้คืน มีอะไรเป็นภพชาติอีก อันนี้มีความโง่เพิ่มขึ้น จะต้องได้ต้องมี ต้องเป็น เป็นภพเป็นชาติเพิ่มขึ้นเป็นระดับที่ 2
ระดับที่ 3 นี้สะสมเลย เป็นคลัง สันนิธิเปกโข เรียกว่า คลัง คลังสะสม เอาที่จะต้องมีความหวัง เอาไอ้หวังใส่ถัง เอาไอ้หวังใส่ถัง ไม่รู้จักเต็ม คือ สันนิธิเปกโข ทานังเทติ แปลว่า
การปฏิบัติการทาน ที่จะเอาไอ้หวังใส่ถังไม่รู้จักเต็ม นี่แหละ เป็นความคิดที่มิจฉาทิฏฐิหนัก ไม่มีการหมดภพจบชาติได้
ถ้าคนมีความคิดระดับ 3 นี้หมดทางที่ไปนิพพาน เพราะว่าเป็นความคิดที่เพิ่มภพ สั่งสมภพ สั่งสมชาติ
ยิ่งตายไปแล้วจะต้องเอาไปไว้เป็นของฉัน เป็นของให้พ่อให้แม่ให้ใครต่อใครได้อาศัยกินใช้ หมดความเว่าเลยอันนี้ ไม่ต้องอธิบายต่อเลย คนนี้นี่อีกนานนนนนน.. กว่าจะรู้เหตุปัจจัยในการทำใจในใจที่จะไปนิพพาน
เพราะฉะนั้นสอนกันพวกสวรรค์ที่จะต้องมีแต่สวรรค์ สวรรค์ก็คือที่มีภพมีชาติ แล้วก็สร้าง นิรมาณกาย เป็นภพชาติที่แดนที่แสนสุขสมนั่งชมวิหคไป คุณจะชอบรูปแบบไหนก็ขยายความ สร้างภาพ สร้างรูปเป็นศิลปิน สร้างรูปสร้างร่างเหมือนอย่างธรรมกาย หลอกกันไปหมด มันสร้างอะไรก็ได้ คิดอะไรก็ได้ที่จะเป็นสวรรค์ สดสวยงดงาม อย่างโน้นอย่างนี้ มันจะได้สารพัดความคิดของพวกนี้ จะต้องเป็นสวรรค์ฟรุ้งฟริ้งแบบไหน พิลึกพิลั่นยังไง ซับซ้อนอย่างไร งาม งดงามยิ่งใหญ่มโหฬารพันลึกอย่างไรมันก็ได้
เพราะฉะนั้น การทำจิตในจิตที่ไม่รู้ มันก็คิดเป็นบ้าๆบอๆ แบบจิตในจิตที่เป็นอะไรที่เลอะเทอะไปอย่างนั้นได้ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นการที่จะมาเรียนรู้ธรรมะ ไปนิพพานยุคนี้เป็นยุคเสื่อมมาก โลกุตระ เพราะฉะนั้นจึงพูดแล้วพูดอีก ขยายความแล้วขยายความอีก กว่าจะล้างความโง่ ความไม่เข้าใจ ความไปติดยึดในภพในชาติ ที่มีซับซ้อนมากมายหลากหลายชนิด และซับซ้อนหนาเปรอะอะไรพวกนี้ ยังยากมาก
เพราะฉะนั้นผู้ที่มาศึกษาแล้วสามารถรู้ เข้าใจได้ อย่างพวกเรานี่มาได้ นี่ก็เหลือส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ก็จะมีผู้แสวงหา ผู้ที่มีอคติน้อย ก็ค่อยๆศึกษา ก็ค่อยๆตามมา ตอนนี้ก็เป็นแก่นเป็นแกนไป พวกเราก็เป็นแก่นเป็นแกน ช่วยเป็นหลักให้แก่มนุษยชาติที่จะต้องการนิพพาน ต้องการธรรมะพระพุทธเจ้า ก็ค่อยๆมากันไป
เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ก็จะเห็นได้เต็มไปหมด สอนทานมีแต่ภพชาติ แปลอีกทีก็คือ มีแต่นรก แล้วหลงนรกว่าเป็นสวรรค์ นี่ขยายความนะ คือคนเป็นภพชาติ นรกสวรรค์คืออันเดียวกัน คุณไปติดยึดว่าจะต้องได้ต้องมีต้องเป็น เป็นภพเป็นชาติ นั่นแหละ คือการสั่งสมนรก การสั่งสมสิ่งที่ควรจะเลิกล้างไป ไม่มี
เพราะฉะนั้น ศาสนาพุทธไม่มีภพไม่มีชาติ ไม่มีสวรรค์ ไม่มีนรก ไม่มีตั้งแต่จตุมหาราชที่ห่ำหั่นกัน เหมือนอย่างที่เทวนิยมเขายังฆ่าแกงกันอยู่ อื้อหือ! เขี้ยวยาว หอกดาบ นั่นเป็นอาวุธสมัยโบราณ สมัยนี้มันยิ่งกว่าปรมาณูแล้ว มันฆ่ากันอย่างชนิดที่เรียกว่า มันเหมือนยิ่งกว่าพืช ยิ่งกว่าสัตว์ที่มันฆ่ากันเฉย
ฆ่ากันในชาติตัวเองไม่พอ รับใครจะสมัครมาเป็นทหารจ้าง แล้วมันออกกระดาษเปื้อนหมึก กระดาษชำระหนี้ได้ตามกฎหมายมาจ้างพวกนี้ก็เอา เห็นแก่กระดาษชำระ ก็มาสมัคร แล้วก็ตายไป อะไรต่างๆ พวกตายไปก็ไม่ต้องจ่าย ไอ้พวกไม่ตายก็ พวกนี้ก็เลยบอกว่าเอ็งไปฆ่ากันเลย เอ็งตายแล้วข้าจะได้ไม่ต้องจ่ายกระดาษชำระ เห็นไหมซับซ้อนไหมจริงๆแล้วใจดำอำมหิต เห็นคนเป็นผักเป็นปลาเป็นสัตว์เป็นพืช จะทำร้าย จะฆ่าแกงอะไรกันก็เฉย
คือ เขาไม่รู้ประสีประสาในเรื่องของกรรมวิบาก ไม่รู้จักชีวะ โดยเฉพาะชีวะในจิตนิยามที่จองเวรจองกรรมกัน มีกรรม มีวิบากอะไรกันเขาไม่รู้เรื่องเลย เพราะฉะนั้นคนส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้น ยุคเสื่อมในยุคนี้เป็นยุคใกล้กลียุคยิ่งเห็นชัดเจน
เพราะฉะนั้นเมืองไทยจึงเป็นเมืองตัวอย่างของโลกุตรธรรมที่มีจิตวิญญาณ อาตมาว่าอีกสัก 100 ปี ความรู้โลกุตรธรรมนี้จะเฟื่องขึ้นไปถึงขั้นระดับสากลได้เยอะ แต่เดี๋ยวนี้ยังหรอก ยัง จะพูดยังไงๆก็ยังยากที่เขาจะเข้าใจว่ามันเป็นคุณค่าอันสุดยอดแล้ว ในเรื่องของจิตนิยาม หรือในเรื่องของจิตนิยาม ในเรื่องความเป็นสัตว์หรือว่าเป็นมนุษย์ เขายัง
มันจะไปบังคับกันก็ไม่ได้แน่นอน เพราะฉะนั้นแม้แต่จะสอนกันจะแนะนำกัน ก็ยังยากมากเลย ก็ต้องเป็นไปตามสัจจะ เพราะฉะนั้นเราก็ทำสิ่งที่ดีแหละเป็นสิ่งที่เป็นแก่นแกน เป็นสิ่งที่ประเสริฐ เป็นแก่นแกนที่จะยืนยัน พิสูจน์ให้คนมาพิสูจน์
เพราะว่าศาสนาพุทธนั้นเข้าใจเรื่อง ความตาย ความเกิด เรื่องของการวนเวียน มีชีวะ อยู่ในระดับเป็นโพธิสัตว์ รู้จักอะไรต่ออะไร มันเป็นเรื่องลึกซึ้งซับซ้อนมาก ก็ช่วยกันเท่าที่ช่วยกันได้ เอาแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน
สภาวะ ลิงลมอมข้าวพอง มีในคนระดับใดได้บ้าง
_สินพุทธ สุขพูล . คำว่าลิงลมอมข้าวพอง ใช้กับฆราวาสได้ไหมครับ หรือ ว่าต้องใช้ กับพระโพธิสัตว์เท่านั้นครับ
พ่อครูว่า…ดีอันนี้ดีถามดี ตอบ ลิงลมอมข้าวพอง ปุถุชน คนทั่วไปนี่ยังเป็น ลิงลมที่มัวเมาโลกียะอยู่ ปุถุชนคนทั่วไป ยังเป็นคนที่มัวเมาอยู่ในโลกียะอยู่ตลอดไป ยังไม่ได้โลกุตรภูมิเลย
เพราะฉะนั้น แค่โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เอาแค่ โสดาฯกับสกิทาฯก่อน ยังมีภูมิโลกุตระเข้ากระแสมา ยังไม่ถึงขั้น นิยตะ โสดาฯ สกิทาฯ ยังไม่ถึงขั้นนิยตะ ที่จะสูงขึ้นไปสู่ที่สุดที่สูง ไม่มีอะไรขีดคั่นยังหมุนเวียนลงต่ำขึ้นสูงอีกเยอะ แต่ไม่ตกออกจากกระแสที่จะเป็นอาริยะเท่านั้น โสดาฯ สกิทาฯ แต่จะซับซ้อน ตกต่ำตกสูงๆ อีกเยอะกว่าจะถึงขั้นที่ 3 นิยตะ
โสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยตะ สัมโพธิปรายนะ เพราะฉะนั้นกว่าที่จะถึงขั้นที่ 3 นิยตะไปถึงขั้นที่ 4 สัมโพธิปรายนะ ก็ยังต้องวนซับซ้อนอยู่อีกเยอะเป็น อวินิปาตธรรม เป็นแต่เพียงไม่ตกออกจากกระแส ถ้ามีโลกุตรธรรมจริง แต่ถ้าไม่มีโลกุตระธรรมจริงก็จะหลุดออกจากกระแส กระแสโลกุตรธรรม ก็ไปนรกสวรรค์วนเวียนอีกกี่ชาติต่อกี่ชาติ พวกที่ได้เข้ากระแสแล้วชาติจะสั้นลง การเกิดการตายในชาติของที่เราจะมีจิตนิยามจะสั้นลงๆ
เพราะว่าคนที่เป็นแค่ โสดาฯหรือสกิทาฯ ยังไม่มีนิยตะก็จะไม่มีภูมิ เทวภูมิหรือธรรมะ 2 ที่เจโตกับปัญญา ที่จะรู้เทวภูมิหรือธรรมะ 2 ที่เจโตกับปัญญา ซึ่งเป็น 2 ที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง ยิ่งสายเจโต ก็ยิ่งจะยากและช้ากว่าปัญญา จะรู้รายละเอียดพวกนี้ได้น้อยกว่า
เพราะฉะนั้น จึงจะเป็นวิมุติ จนกระทั่งถึงวิมุตติญาณทัสนะ หรือวิมุตติธรรม ที่เป็นวิชาธรรมะพระพุทธเจ้าอีก นาน จะช้าจะนานกว่า
ทีนี้คำว่า ลิงลมอมข้าวพอง ประเด็นที่คุณสินพุทธถามมาว่าฆราวาสเป็นได้ไหม ตอบว่า ไม่ได้ ลิงลมอมข้าวพอง ไม่ได้เพราะว่าคุณไม่มีกรอบ ไม่มีรอบของการที่จะหลุดพ้นอะไรเลย คุณยังไม่รู้เลยว่าจะต้องไป บางคนก็ยังหนักหน้าอยู่กับการแย่งลาภ แย่งยศ เห็นว่าเป็นความสุข เป็นลาภเป็นยศ หรือสูงขึ้นไป ลาภหยาบๆไม่แล้ว ยศก็ไม่ค่อยแล้ว จะหลงสรรเสริญหลงสุขไปอีก
แต่คนที่ยังติดยศ แบกยศอยู่อะไรต่ออะไรอยู่ อาจจะลาภลดบ้างแล้ว แต่ยังอีกนาน ก็ได้บ้าง ลาภก็ได้บ้าง แต่ไม่เที่ยง เพราะ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มันก็เป็นอีกกรอบนึง ลาภยศ ก็เป็นกรอบหนึ่ง ส่วนสรรเสริญและสุขก็อีกกรอบหนึ่ง เพราะฉะนั้นคนที่ยังแบก ยศเบิ้มๆอยู่ก็ยังอีกนาน ดูเหมือนจะไม่มีลาภแต่ซับซ้อน
อย่างมหาบัวดูเหมือนไม่ติดในลาภ แต่ไม่รู้จิตของตนเอง มีรูปาวจร อรูปาวจร รูปจิต อรูปจิต ที่หยาบหนักกว่ากาม ดีๆนะมันซับซ้อนหนา ที่อาตมาอธิบายมหาบัว ทุกวันนี้ไม่ใช่ลงโทษ ไม่ใช่ใส่ความนะ ยังเป็นจิ้งจกตุ๊กแกเฝ้า นี่อธิบายเป็นรูปธรรมให้ฟัง คือยังเป็นจิตเดรัจฉาน ยังเป็นจิตตกต่ำ ยังนึกเป็นตัวกูของกูๆอยู่ ไม่ได้ผุดได้เกิดหรอก ยังเฝ้าสมบัติอันไม่มี
แล้วป่านนี้ไอ้ทองคำ ดอลลาร์ที่ไปเรี่ยไรไว้
-
การเรี่ยไรไม่ใช่กิจสงฆ์ มหาบัวที่ทำกัน
-
เอาสถาบันทั้งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นเครื่องประกอบของตนเองไปโฆษณาเรี่ยไร ให้แก่ประเทศชาติอะไรต่างๆนานา
1.ไม่รู้จักกิจของสงฆ์ เที่ยวได้เรี่ยไร
-
ไม่รู้จักสภาพของสิ่งที่ไปดึงลงมาต่ำ เอามาเป็นเครื่องมือของตน เพื่อล่า ลาภ ยศ สรรเสริญ แล้วก็อ้างว่ามาช่วยชาติ ซ้อนอีก เอาชาติเป็นตัวประกัน