661213 ฌานโลกีย์กับฌานโลกุตระ สภาวะต่างกันเช่นไร พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1xRlCBkQgvmwpef1S-V7s9I0Q48Cxygzg/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1FgihXGICm17665JXhtfaDfu-Hi96wjRs/view?usp=sharing
และ
ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/oVie_btAWg/
และ
มีซับ
สมณะเดินดิน… วันนี้วันพุธที่ 13 ธันวาคม 2566 ขึ้น 1 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก ธันวา รู้สึกผ่านมาแป๊บเดียวก็ครึ่งเดือนแล้ว อีกแป๊บเดียวก็สิ้นแล้วปีเก่า ยังไม่ถึงกับสิ้นชีวิตเรา ปีเก่าก็จะหมดไป คนดูรายการต่างๆบอกว่าปีใหม่จะฉลองอะไร ของเราก็ฉลองอิสระ สงบอบอุ่น เราก็มีเรื่องจะฉลองเหมือนกัน
ปีหน้าเป็นปีสำคัญของพวกเราที่พ่อครูจะครบ 90 ปี และ 30 ปีของราชธานีอโศก วาระที่เราดำเนินการมาปีหน้าจะมีฉลองเพลงพ่อครูอายุ 90 ปี ดูเรื่องราวกระบวนการต่างๆ มีอะไรที่ลงตัวไปเรื่อยๆ จริงๆจำไม่ได้เหมือนกันว่า 1 ปีที่ผ่านมามีงานอะไรบ้าง ทุกปีก็มีล็อคตายตัว งานปลุก พุทธาภิเษก สงสารแต่ญาติธรรมแถวเชียงใหม่แถวสงขลา แถวตรัง มางานที่ผ่านมานี้ งานมหาปวารณา งานศิษย์เก่า กลับไปวันที่ 10 อีก 10 วันก็เดินทางกลับมาอีก เดินทางใช้เวลา 2-3 วัน
ในการประชุมคณะเอาภาระสงฆ์ยังชื่นชมอาจารย์หนึ่ง และอาจารย์ 2 ทั้งคู่อยู่ที่ภูผาและทะเลธรรม งานนี้ดีแล้วล่ะอาจารย์ไม่มา ก็มาแป๊บเดียวก็ต้องกลับไปอีก สุขภาพก็คงจะลำบาก
ปีที่แล้วก็มีงาน 88 ปีของพ่อครู และมีงานศิษย์เก่าที่ไม่ได้อยู่ในตารางปกติ รู้สึกว่าพวกเราเดินทางไปสู่ความลงตัวมากขึ้น มีการยอมให้กัน ยังไงก็ได้ ขอให้เรื่องราวศาสนาดำเนินไปได้ เราได้ลดตัวลดตน จะถูกกว่าถูกตำหนิเราก็ยอมได้ไม่ว่ากัน ให้ทุกอย่างขับเคลื่อนไปได้ ทิศทางดำเนินไปของพวกเรา มองทางโลกเขายอมหักไม่ยอมงอ ตายเสียดีกว่าให้เขาดูถูก พวกเราก็พร้อมที่จะร่วมมือประสานกันเพื่อให้ทุกอย่างไปได้ ทุกอย่างหากมีการยอมกันได้ลดตัวตนลงไปได้ เกิดภาวะ อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนการเสียสละ ทฤษฎีนี้ก็จะดำเนินก้าวหน้าไปเรื่อยๆ
สังเกตดูว่าทุกวันนี้ที่เขาทำสงครามระดับโลก อิสราเอลกับฮามาส ตอนนี้เหมือนอิสราเอลได้เปรียบ ตามไล่ฆ่าๆๆ ประกาศว่าต้องฆ่าพวกฮามาสให้หมด รัฐมนตรีกลาโหมของอเมริกันบอกว่ายุทธศาสตร์อย่างนี้เริ่มคิดก็แพ้แล้วล่ะ ไปฆ่าฮามาสหมดได้อย่างไร คิดอย่างนี้พวกปาเลสไตน์แม้จะไม่เห็นด้วยกับฮามาส แต่เมื่อถูกบีบบังคับเขาก็จะกลายเป็นฮามาส คนที่เดินไปเดินมาที่หนีไป คุณจะแยกได้อย่างไรว่าใครเป็นฮามาสใครเป็นปาเลสไตน์ ทำอย่างนี้เหมือนกับเพิ่มศัตรูให้มากขึ้น ให้พี่น้องอิสลามรอบข้างก็เป็นศัตรูของคุณไปหมด ตอนนี้เป็นเรื่องรณรงค์ไปทั่วโลกเลย ใครต่อต้านอิสราเอลให้ลุกขึ้นมาประท้วงในประเทศต่างๆ ประชาคมโลกก็รับไม่ไหว
ตอนนี้เขาจะเอาเครื่องสูบน้ำสูบน้ำลงท่อที่พวกฮามาสอยู่ข้างล่าง พวกอิสราเอลด้วยกันก็ไม่พอใจนายกคนนี้มากๆเลย เพราะตอนที่เขาอยู่นั้นรัฐบาลเหมือนปล่อยให้เขาเล่นเกมรัสเซียนรูเล็ต นั่งอยู่อย่างนั้นไม่รู้ใครจะถูกฆ่าไปก่อน คนที่ถูกฮามาสจับก็รอวันตาย นี้เขาจะเอาน้ำฉีดเข้าไปในอุโมงค์จะได้ตายกันหมด ดูสิ่งที่เขาทำ แบบนี้คนทั้งโลกรับไม่ไหว มันโหดร้ายเกินไป มนุษยชาติ ไม่น่าทำกันอย่างนี้
เป็นเรื่องอัตตาที่ยอมกันไม่ได้ ต้องเอาชนะให้ได้ แพ้ไม่ได้ ต้องเอาชนะ มีศัตรูรอบตัวอย่างนี้จะเอาชนะไปเพื่ออะไร แต่เห็นเลยว่าทิศทางที่พ่อครูพาพวกเราทำอย่างให้ลดตัวตนจนไม่มีตัวตน เราก็ไม่มีศัตรูกับใคร เราพร้อมที่จะบอกว่า ใครมายึดสันติอโศกก็ยึดไปเลย ตอนนั้นเรามีคดีความกับกระแสหลัก ยึดไปเราก็สร้างใหม่ เราก็ไม่ได้รบกับเขา เรามาทิศทางไม่เคยรบกับใคร มาลดตัวลดตนไปสู่ความหมดตัวหมดตน ทิศทางเป้าหมายที่เราจะมาฝึกฝนกัน วันนี้โชคดีที่พ่อครูเริ่มที่จะแข็งแรงมากขึ้น ก็ได้มาเทศน์ให้พวกเราฟัง อาราธนาพ่อครูครับ
เพราะไม่เข้าใจกรรมไม่เข้าใจชีวะ จึงมีแต่ชนะที่แต่แพ้ในที่สุด
พ่อครูว่า… เราก็พูดก็เห็นกันอยู่ว่า สังคมโลกไม่เข้าใจความหมายคำว่า ชีวะ ซึ่งก็แบ่งแยกเป็นชีวะในระดับเริ่มต้นจากพืช จนกระทั่งไปถึงจิต จิตนิยาม จนกระทั่งจากพืชไปถึงจิตที่เราเรียนแล้ว อาตมาก็กำลังแยกให้ฟัง แม้จากพืชมาถึงจิตหรือจากดินน้ำไฟลมมาเริ่มมาถึงพืช มันก็เพิ่มหน่วยแห่งความเป็นชีวะมา ละเอียดลออมา เท่าที่จะพออธิบายได้ ก็ค่อยอธิบายกันไป ละเอียดกว่านั้นก็ได้แต่ค่อยๆไปตามลำดับ จากหยาบไปหาละเอียดก่อน ก็ได้อธิบายให้ฟังไปเรื่อยๆ
เช่น จากมหาภูตรูปที่เป็นดินน้ำไฟลม เริ่มจาก ภูตะพวกนี้เข้ามาเจริญขึ้นเรียกว่า คามะ มาเป็น ภูตคาม จากนั้นเจริญเป็นพีชคาม จนจะเข้ากระแสที่เรียกว่าสภาวะของ จิต แต่ยังไม่ใช่จิตแท้ๆ เรียกว่าเจตภูต อย่างนี้เป็นต้น
จาก เจตภูต ค่อยๆเจริญขึ้นไปอีก เจตภูตไปเป็นปาณะ จากปาณะไปเป็นเจตสิก เจตสิกไปเป็นสัตตะ จากสัตตะไปไปเป็นจิตวิญญาณหรือจิตนิยาม อย่างนี้เป็นต้น
ซึ่งเป็นพลังงานด้านจิต ไม่ใช่พลังงานด้านวัตถุหรือสสารเหมือนอย่างที่ไอน์สไตน์เขาค้นพบจุดสำคัญของพลังงานด้านสสารไปแล้ว
จุดสำคัญของพลังงานด้านนามธรรม ก็โครงสร้างที่เป็น E=mc2ของไอน์สไตน์ก็เอามาใช้ได้แต่มันละเอียดไปกว่านั้น เท่ากับ E=C(mc2 + A) นี่เป็นสูตรเต็มๆที่อาตมาเองได้นำมาอธิบายแล้ว แต่มันยังไกลยังยากคนยังไปไม่ถึง ถ้าคนทำได้ถึงขนาดนั้นนะ รับรองระเบิดโลกทั้งโลกแตกไปเลย
ซึ่งจะเป็น E=C(mc2 + A)
A ก็คือ mc2 ก็คือ บวกกันไปเรื่อยๆ ก็ทดเป็น C มาข้างหน้า มันก็จะยกกำลังซ้อนๆ ไปเรื่อยๆ หาที่สุดไม่ได้เลย ระเบิดโลกทั้งโลกแตกไปเลย ผู้ที่เข้าใจได้ก็คิดตามไป เป็นพลังงานหรืออะไรก็แล้วแต่แม้แต่จิตวิญญาณ หรือทางวัตถุ มีทั้งเพิ่มและลด
เพิ่มจะเป็นการสร้างสรรค์ก็ได้ เท่าที่ควร แต่ถ้ามันเกินขอบเขตแล้วมันจะเป็นการทำลาย พลังงานที่มากเกินก็คือทำลาย เพราะฉะนั้นคนที่รู้จักพลังงานและจัดการพลังงานได้เหมาะสมจึงใช้ความเจริญ ทำความเจริญได้อย่างเหมาะสม ไม่เอาไปทางทำลาย คนไม่รู้นี่นึกว่ามันเป็นอำนาจใหญ่เอาไปทำลาย แล้วทำลายจนกระทั่งโง่ โง่จนกระทั่งไม่รู้ว่าไปทำลายอะไร
มาทำลายชีวิต มาทำลายชีวะ แล้วก็ไม่รู้กรรม ไม่รู้วิบาก นี่พวกที่ศาสนาเทวนิยมเขาไม่รู้จักกรรมไม่รู้จักวิบาก เขาก็ทำกันอย่างที่เขาไม่รู้คืองมงาย มันเอาแต่กิเลส มันเอาแต่ชนะ แต่เขาไม่รู้กรรมวิบากที่เขาทำว่าเขาจะต้องมารับกรรมวิบากที่ต้องวนเวียนมาเล่นงานเขา ซึ่งมันเป็นนิยายพรหมลิขิตกันอยู่ไม่รู้กี่ร้อย กี่พัน กี่แสน กี่ล้านๆเรื่อง ที่ทุกวันนี้นักประพันธ์เขาเอามาร้อยเรียง เล่นกันไปสารพัด ซึ่งมันก็มีเหตุปัจจัยจากการผูกพยาบาทกัน รักกัน ชังกัน แก้แค้นกัน ดูดดึงกัน อะไรอยู่อย่างนี้แหละ มันไม่มีอื่นเลย
เพราะฉะนั้นการศึกษา ถ้ามาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าจะรู้จักสิ่งเหล่านี้ดีแล้วก็ไม่ไปทำสิ่งที่มันเป็นทุกข์เป็นร้อนกัน ชีวิตรู้จักความเกิดความตายที่มันหมุนเวียนอยู่ไม่รู้จักจบ
เทวนิยมมีการเกิดการตายกันอยู่ ตายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ตายตายแล้วก็เกิด แล้วก็รับวิบากทุกข์ๆๆ หลงว่าเป็นสวรรค์ แล้วก็เป็นทุกข์ แล้วก็หลงว่าเป็นสวรรค์ แล้วก็เป็นทุกข์ ยิ่งทุกข์หนักยิ่งขึ้น แต่เขาไม่รู้เรื่อง เขาไม่รู้เรื่องด้วยการเพิ่มกรรมเพิ่มวิบาก เขาก็ไม่รู้ เขาก็ทำกันไม่รู้จักจบ จะไปบังคับความรู้กันไม่ได้ ถ้าเขาไม่มีปฏิภาณปัญญาไม่มีบารมีพอจะมาทางโลกุตระ มาทางพุทธ เขาก็จะต้องวนเวียนรับวิบากกรรมอยู่อย่างนั้นนานนับชาติ นับชาติไม่ถ้วนเลย
นี่คือสิ่งที่เป็นอจินไตยที่ พูดไปเขาก็ไม่รู้เรื่องว่าอะไร คุณพูดอะไร ซึ่งก็น่าเห็นใจ เพราะไม่รู้จะทำยังไง มันบังคับกันไม่ได้
เพราะฉะนั้น ในศาสนาพุทธทุกวันนี้มันเป็นยุคเสื่อมที่อาตมานำความที่เป็นพุทธจริงขึ้นมาสถาปนาลงไปในความเสื่อมของพุทธศาสนา 2,500 กว่าปีมันเสื่อมไปหมดแล้ว เชื้อของโลกุตระ อาตมาต้องนำเชื้อของโลกุตระเข้ามาปลูกฝังนำพา ให้เข้าใจจนมาปฏิบัติกลับคืนเอาโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าคืนมาได้ มาสู่พวกเรา เป็นตัวยืนยันว่าปฏิบัติได้ จนกระทั่งถึงขั้นเป็นสังคม มีวัฒนธรรม มีจิตวิญญาณเป็นประธาน จึงมาเป็นอย่างนี้ได้ ถึงขั้นเป็นสังคมสาธารณโภคี สังคมสาราณียธรรม 6 ที่เป็นอยู่นี่ เพราะเกิดจิตจริงจิตเจริญเป็น สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ ขออภัย ไม่ได้ขยายความพยัญชนะบาลี พุทธพจน์ 7 นี้อีก เพราะว่าจะเสียเวลาจึงไม่พูดถึงเลย ขอผ่านไปก่อน พูดถึงมาหลายทีบ่อยแล้ว วันนี้ตั้งใจจะพูดอันอื่นไปให้มากขึ้น เตรียมมาพูดพอสมควร
ก่อนจะพูดก็เอา SMS ก่อน
SMS วันที่ 6 – 13 ธ.ค. 2566
ศาสนาพุทธไม่มีสวดอ้อนวอนร้องขอ แต่สวดมนต์อย่างไรให้ถูกพุทธ
_เปิ้ล บ้านไผ่ . คนที่ประสบเหตุการณ์ไม่ดีในชีวิต แล้วหาที่พึ่งด้วยการสวดบทพาหุง มหากา ซึ่งเป็นการอ้อนวอนร้องขอ ไม่ตรงกับหลักพุทธศาสนา แต่ทำไมเขาได้รับการช่วยเหลือจากผู้อื่น และปัญหานั้นก็คลี่คลายลง ถ้าผู้ใดทำตามนี้จะบาปหรือเปล่าคะ
พ่อครูว่า… งมงาย จะตอบว่าบาปมันก็จะดูแรง จริงๆมันไม่แรงหรอกแต่มันกินลึกกว่าบาป งมงายนี่ กินลึกกว่าบาป มันมืดบอดยิ่งกว่าบาปอีก ถ้าจะไปหลงแต่สวดอ้อนวอนร้องขอ หึๆ
อาตมาจำไม่ได้ที่พระพุทธเจ้าตรัสบริภาษคนที่สวดอ้อนวอนร้องขอแล้วจะได้รับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือร้องขอ อ้อนวอนร้องขอจากอะไรที่คิดว่ามันศักดิ์สิทธิ์มันจะมีฤทธิ์ สนองตอบให้แก่ตนเองได้ ตั้งแต่ร้องขอจากจอมปลวก ไปจนกระทั่งถึงต้นไม้ แม่น้ำ ลำธาร ไปจนกระทั่งถึงท้องฟ้า ถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่รู้ไม่เห็นตัว ไม่มีตัวมีตนอะไร นึกว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์
_สู่แดนธรรม… มีอยู่บางพระสูตรครับที่บอกว่า ถ้าหากแม่น้ำคงคาชำระล้างบาปได้พวกปูปลาก็คงไม่มีบาปเลย
พ่อครูว่า… ไม่มีบาปทั้งนั้น ปูปลามันก็อยู่ตลอดชีวิตในแม่น้ำ มันก็ได้อาบน้ำมนต์อยู่ทุกวัน มันจะไปมีบาปอะไรล่ะเพราะฉะนั้นคนอยากจะลำบากก็คงจะลงไปจุ้มโผล่ จุ้มโผล่ ที่ชาวอินเดียเขาจุ้มโผล่จุ้มโผล่ในแม่น้ำคงคากันถือว่าได้อาบในแม่น้ำจะล้างบาป
ซึ่งมันงมงายกันจริงๆก็ไม่มีคำพูดใดชัดกว่านี้อีกแล้ว มันโง่งมงายมืดกันอยู่อย่างนั้น มันเป็นไปไม่ได้นะ ฉะนั้นถ้าจะไปมัวงมงายอยู่อย่างนั้น มันก็มืดอยู่อย่างนั้นไปอีกนานนนนนนนนนนน.. จนไม่รู้ว่าจะไปจบสิ้นตรงไหน เสียงนาน
มีผู้ค้นอันนี้มาบอกว่า “เปรียบเสมือนบุรุษโยนหินหนาใหญ่ลงไปในห้วงน้ำลึก หมู่มหาชนมาประชุมกัน แล้วสวดวิงวอน สรรเสริญประนมมือเดินเวียนรอบหินนั้นแล้วว่า “ขอจงโผล่ขึ้นเถิดท่านก้อนหิน ขอจงลอยขึ้นเถิดท่านก้อนหิน ขอจงขึ้นบกเถิดท่านก้อนหิน” แต่ก้อนหินนั้นจะไม่โผล่ขึ้น ไม่ลอยขึ้น ไม่ขึ้นบก เพราะเหตุแห่งการสวดวิงวอน สรรเสริญ ประนมมือเดินเวียนรอบของหมู่มหาชนนั้นได้เลย” พระไตรปิฎกเล่ม 18 ข้อ 599
พระพุทธเจ้ายืนยันสิ่งที่ท่านตรัสรู้ได้ชัดมากเลย แหม
พูดกับเทวนิยมเขาไม่รู้เรื่องเพราะเขาจะทำพิธีวนเวียนสวดมนต์อ้อนวอนอยู่นั่นแหละ เทวนิยม เพราะเขายังจมอยู่ในความมืดอันนั้น
“เราตถาคตมิได้กล่าวว่า อายุ วรรณะ(ผิวพรรณ) สุข ยศ สวรรค์ จะพึงได้มาเพราะเหตุแห่งการอ้อนวอน เพราะเหตุแห่งความปรารถนา ก็ถ้าอ้อนวอนแล้วได้
พ่อครูว่า… มันจะมีอายุยืนก็ไม่ใช่ด้วยการอ้อน คุณจะมีผิวพรรณทราม ผิวพรรณดีผิวพรรณหม่นหมองอะไรก็แล้วแต่ ได้เกิดจากการอ้อนวอน คุณจะได้สุขคุณจะได้ยศชั้นสรรเสริญก็ไม่ได้จากการอ้อนวอนสวดมนต์ ได้สวรรค์จะได้นรก คุณคงไม่สวดอยากได้นรกหรอก แต่คงสวดอยากได้สวรรค์แน่ แต่มันไม่ได้สวรรค์แน่”
พ่อครูว่า… นี่มันหักเหลี่ยมของพวกสวดมนต์อ้อนวอนเทวนิยมทั้งนั้นเลย
“ถ้าปรารถนาเอาแล้วก็ได้ ในโลกนี้ก็จะไม่มีใครเสื่อมไปจากสิ่งใดได้เลย ดังนั้น ผู้ใดต้องการอายุ ผิวพรรณ สุข ยศ สวรรค์ จึงไม่ควรอ้อนวอน ไม่ควรเพลิดเพลินสิ่งนั้นสิ่งนั้นๆ หากต้องการสิ่งนั้นๆ แล้ว พึงประพฤติปฏิบัติตน อันเป็นไปเพื่อสิ่งนั้นๆ เพราะผู้ใดเมื่อปฏิบัติแล้วย่อมเป็นไปเพื่อให้ได้สิ่งนั้นๆ และผู้นั้นย่อมได้ในสิ่งนั้นๆ”
พระไตรปิฎกเล่ม 18 ข้อ 599 และ เล่มที่ 22 ข้อ 43
พ่อครูว่า… ปฏิบัติให้ตรงเหตุเถิด คุณจะได้เป็นสิ่งนั้นๆโดยไม่ต้องอ้อนวอนร้องขอ ปฏิบัติให้ถูกเหตุเถอะและมีทั้งปริมาณและคุณภาพให้ครบ มันก็จะเกิดผลของมันเอง
ก็ขอขยายเพิ่มเติมซ้ำอีกว่า สวดอ้อนวอน สวดร้องขอนั้นเป็นลัทธิของเทวนิยม พุทธไม่มีการสวดอ้อนวอนร้องขอ เพราะฉะนั้นยุคทุกวันนี้ศาสนาพุทธมันเสื่อม เสื่อม อาตมาขอพูดย้ำๆ เสื่อมลงไปจนเหลือแต่แค่ศาสนาพุทธ มีแต่การสวดมนต์ ทำพิธีการอะไรก็มีแต่สวดมนต์ สวดมนต์ งมงายกับสวดมนต์จะเป็นฤทธิ์เป็นเดช อย่างธัมมชโย ธรรมกายนี่ให้สวดมนต์ล้านเที่ยวอะไรอย่างนี้ เวรจริงๆ สวดมนต์
ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าท่านสอนซ้ำแล้วซ้ำอีก เข้าใจไม่ได้ ว่า สวดมนต์นั้นเป็นการทำลายศาสนา ถ้าเข้าใจผิด สวดสังวัธยาย การสวดสาธยายพูดเป็นไทยง่ายๆ สวดโดยการสาธยายความรู้ความหมายของบทมนต์ มนต์แปลว่าคำสอนของพระศาสดา เอาคำสอนของพระศาสดามาอธิบาย
พระพุทธเจ้าท่านให้ใช้อธิบายทีละคน อย่านำคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่าธรรมบทมาอธิบายพร้อมกัน หรือสวดขึ้นพร้อมกันตั้งแต่ 2 คนต่อหน้า ฆราวาสหรือต่อหน้าผู้เป็น อนุปสัมบัน เป็นอาบัติ มุสาวาทวรรค ซึ่งเขาไม่เข้าใจกันแล้ว
ขออภัยต้องขอกล่าวย้ำอีกว่า เถรสมาคมที่สวดมนต์กันมาอันนี้อยู่ ไปพิธีการนั้นก็สวดมนต์ สวดมนต์ ถือว่าได้รับคุณความดี ได้รับกุศล ได้รับประโยชน์แล้ว มีเท่านี้ๆ ถ้าเลิกอันนี้ซะแล้วไม่มีแล้วศาสนาพุทธ ไม่เหลือ ทั้งๆที่ทำแล้วอาบัติ เพราะสวดเลย 2 คน บอกว่าอย่างน้อยต้อง 4 องค์ขึ้นไปพระต้อง 4 รูปขึ้นไป ถ้า 4 องค์ถือว่าเป็นการสวดงานศพ มันก็ต้อง 5 รูปขึ้นไป 6 รูปขึ้นไป ยิ่งมากเท่าไหร่เป็นแสนองค์ เหมือนอย่างธรรมกายเขาพยายามจะทำกัน ด้วยความโง่งมงาย มันก็ยิ่งพากันมาอาบัติกัน มันก็ยิ่งแย่กันใหญ่เลย
นอกจากสวดอย่างนั้นแล้ว เอาหลายคนมาสวดพร้อมกันต่อหน้า ..อาบัติ พระพุทธเจ้าท่านให้สวดที่พร้อมกันเรียกว่าสังคีติ ถ้ามาสวดต่อหน้าใครๆ ท่านให้สวดองค์เดียว นอกนั้นทุกคนฟัง
-
ผู้ไม่รู้ฟังเพื่อรู้
-
ผู้รู้แล้ว ฟังเพื่อที่จะยืนยันคำสอนพระพุทธเจ้าไว้ ยิ่งรู้ลึกซึ้งเลยว่าผิดเนื้อหา ก็บอกเนื้อหาไปด้วย แม้ไม่ได้เนื้อหาผิดแต่ผิดพยัญชนะก็ท้วงกันอย่าให้ผิดพยัญชนะ รักษาไว้เรียกว่าสวด สังคายนา คือสวดเพื่อตรวจสอบไว้รักษาไว้