661215 พระอภิธรรมของ ฌาน และเวทนา 108 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1IT3E8TDaAUAjhEOCJwEJHbJIpmKVO-xI/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/16lk4qiFRI6AGGkC8j7r0ENq-D28VGVCO/view?usp=sharing
และ
ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/oXX5OJFn9I/
และ https://youtu.be/ob46ebCIvu0
มีซับ
สมณะฟ้าไท… วันนี้วันศุกร์ที่ 15 ธันวาคม 2566 ขึ้น 3 ค่ำเดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
ตอนนี้พูดถึงการเมืองประเทศไทย เขาก็บอกว่ามีพรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่เรารู้จักดี จ้องจะแก้มาตรา 112 และจ้องจะทำลายสถาบัน อีกพรรคหนึ่งก็ทำลายความยุติธรรม แก้กฎหมายแก้กฎกระทรวง
พ่อครูว่า… อยู่เหนือกฎหมายแสดงอำนาจอยู่เหนือกฎหมาย
สมณะฟ้าไท… มันเป็นสัญลักษณ์เป็นนิมิตหมายว่าโลกจะใกล้ถึงกลียุค แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเพราะว่ามีพรรคๆนึงเกิดขึ้นเรียกว่าพรรคโลกุตระ มีผู้นำที่ดีที่สุดในโลกเป็นหัวหน้าพรรคอยู่ เกิดท่ามกลางความเลวร้ายของมนุษย์ เพราะในประเทศนั้นก็มีคนที่เลวร้ายอยู่ในนั้นด้วย สิ่งที่ดีที่สุดและสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเกิดอยู่ในประเทศนั้นคู่กัน ให้โลกได้ศึกษาเรียนรู้
ธรรมะโลกุตระที่ผู้นำพาทำจึงเป็นสิ่งที่ยาก เพราะว่าคนเลวร้ายมาก เลวร้ายเป็นพรรคเลย และยังมีฆ่าฟันกัน ลูกฆ่าพ่อแม่ พี่น้องฆ่ากันเลอะเทอะ เยอะแยะมากมายในสังคม แทบจะไม่เป็นผู้เป็นคน
มีอาจารย์มหาวิทยาลัยเล่าให้ฟังว่า คนผู้ชายกับผู้ชาย มันไม่มีใครบริสุทธิ์ระหว่างผู้ชายกับผู้ชาย เสียพรหมจรรย์ให้กับผู้ชายด้วยกัน คือมันมั่วจนแบบน่ากลัว สังคมที่อยู่ปัจจุบันนี้ เขาบอกว่าไม่อยากให้ลูกเขาเข้าไปอยู่ในสังคมแบบนั้น แล้วคนไปอยู่ในมหาวิทยาลัยจะเป็นยังไง มันจะไปซึมซับเจตนารมณ์สังคมแบบนั้นเข้ามาจะเกิดอะไรขึ้น
อยู่ในสังคมโลกุตระดีกว่า อยู่กับชาวอโศกไปแล้วจะเจริญขึ้น จะช่วยเขาได้เหมือนกัน จะไม่ทุกข์ไม่เดือดร้อนมาก เพราะว่าของเขาเดือดร้อนกันแสนสาหัส ของเรานี้อยู่แสนจะ สบาย อิสระเสรีภาพ ทำหน้าที่ของเราไปสมควรแก่ธรรม วันนี้เราก็มาฟังธรรมจากผู้ที่นำโลกุตระสถาปนาลงในประเทศไทยได้ จนเป็นชุมชนสังคมโลกุตระเป็นปึกแผ่นที่จะนำพาศาสนาไปให้ถึง 5,000 ปีได้
พ่อครูว่า… เริ่มต้นจาก SMS อาตมาก็ได้ SMS มาเป็นไกด์เป็นตัวนำที่จะใช้อธิบายธรรมะไป ก็ใช้มาตลอดก็ได้ประโยชน์ เพราะไม่ใช่เราคิดเอาเอง ถ้าหากอาตมาเอาแต่ความคิดเราเองมาอธิบายมันก็จะไม่รู้ว่าแล้วคนฟัง เขาจับติดไหม เขารับรู้ด้วยไหม เขาจะเข้าใจตามเราไหม มันไม่มีอะไรจะยืนยันพิสูจน์ อันนี้มันเป็นเครื่องยืนยันพิสูจน์ ว่ามันสัมพันธ์กันมีจุดร่วมเชื่อมต่อกันขยายความกันได้ มันก็เป็นผลเป็นประโยชน์ที่ดี
คนยังไม่ถึง 777 ที่บ้านราช ยังต้องเผื่อพอ
_สว่างแสง ขวัญดาว . น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ พ่อครูคะ งานรวมศิษย์เก่า มีคนบอกว่าศิษย์เก่าหายหน้าไปนาน ยังไม่กลับมา ลูกได้เห็นว่าศิษย์เก่ากลับมา (พ่อครูไอตัดออกด้วย) การแต่งตัวเขาอาจจะตามยุคตามสมัย จะออกไปทางโลกียะอยู่บ้าง แต่สิ่งที่พวกเขาพูดและทำแสดงออกทางกิริยา แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่พ่อครูได้เคยอบรมสั่งสอนเขาไว้ มันไม่ได้หายไปไหน เป็นเหมือนเชื้อที่กำลังสังเคราะห์ตัว เป็นเหมือนไข่ที่กำลังฟักตัวค่ะ ลูกอยากให้กำลังใจศิษย์เก่า (พ่อครูไอตัดออกด้วย)รอว่าสักวันหนึ่งจะกลับมา อยู่ภายใต้ร่มเงาอโศกค่ะ ลูกขอกราบเรียนถามพ่อครูว่า พ่อครูคิดอย่างไรกับศิษย์เก่าคะ น้อมกราบนมัสการพ่อครูสุดเศียรสุดเกล้าค่ะ
พ่อครูว่า… อาตมาทำงานเพื่อจะให้คนได้รับความรู้ได้รับธรรมะมาจริงๆมาเรื่อยๆ เมื่อมาเป็นศิษย์ก็จะได้รับการเรียนรู้ได้มรรคได้ผลจริงไป ถ้าได้มรรคได้ผลมาดีๆ มันก็จะมารวมกันอยู่มันก็จะไม่แยกไปไหนหรอก น้ำก็ไหลไปหาน้ำ น้ำมันก็ไหลไปหาน้ำมัน มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นก็ถ้าเป็นจริง ศิษย์เก่าที่ได้มีคุณธรรม มีสภาพจิตใจที่เจริญถึงขั้นที่จะต้องมา จะให้คิดอย่างไรก็มาสิ อาตมาก็ประกาศอยู่ตลอด บ้านราชจะมีพลเมือง มีประชากรกันไปถึง 777 คน นี่ก็พูดนานแล้วยังไม่ถึง ป่านนี้ก็ยังไม่ถึง 777
ยิ่งได้ไปถึงขั้นพันคน จะอยู่ได้ไหมในนี้พันคน ได้สบายมากมันอบอุ่นอิ่มเอมเกษมใสเลย เพราะพวกเรามีคุณธรรมของพระพุทธเจ้าจะเบียดเสียดกันอย่างไรก็ไม่ทะเลาะกัน มันไม่เหมือนไก่จับใส่เข่งมา มันก็จะจิกกันจนเข่งแตก แต่พวกเราปฏิบัติธรรมแล้วมันจะไม่ แม้จะถูกเบียดเบียน แม้จะถูกกดดันอะไรต่ออะไรบ้าง พวกเราก็มีความอดทน มีการอภัย มีการไม่ถือสา เห็นใจกันต่างๆนาๆ
ซึ่งคุณธรรมพวกนี้มันเป็นสัจจะ แล้วมันเป็นสัจจะที่แต่ละคนศึกษาดีๆแล้วจะได้ เพราะฉะนั้นคุณธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นคุณธรรมที่บริสุทธิ์ เป็นคุณธรรมที่สุดยอดบริสุทธิ์ มันเป็นเรื่องของความดีล้วนๆเลยที่มนุษย์พึงได้พึงมีพึงเป็น
มันจะดีเชิงไหนตามสมมติโลกของแต่ละกลุ่ม แต่ละที่เขาสมมุติกันก็ตาม เพราะมันมีคุณธรรมที่ยิ่งกว่าสมมุติเรียกว่าปรมัตถ์ ปรมัตถ์คือ บรม กับ อัตถะ คือเนื้อหาแก่นสารอันเป็นบรมสุดยอดยิ่ง มันเหนือชั้น มันมีทั้งสิ่งที่โลกมีก็ดีสุดในโลกด้วย และสิ่งที่ดีพิเศษอีกเป็นปรมัตถธรรม อยู่ร่วมอย่าง อิสระ สบาย สงบ อบอุ่น อิ่มเอม เกษมใส ใจเกื้อกูล และเพิ่มพูนการเสียสละ
ซึ่งเป็นคุณสมบัติหรือคุณธรรมที่สุดยอดแล้ว เพราะฉะนั้นเราจะได้ ได้คุณธรรมพวกนี้ ได้มากได้น้อย เริ่มจากน้อยไปนี่แหละ แล้วค่อยๆเพิ่มขึ้น อย่างพวกเราเกิดขึ้นมาในยุคนี้ เหมือนกันกับคนข้างนอกเขา แต่พูดอย่างไรเขาก็ไม่รู้เรื่อง
กับคนที่รู้เรื่องบ้าง ก็รู้เรื่องแต่เขาก็ยังชอบข้างนอกอยู่ หรือผู้ที่รู้ว่าดีแล้วแต่เขายังเข้ามาไม่ได้ จะมาไม่ได้ด้วยวิบากของเขาดึงเขาไว้ หรือจะมาไม่ได้เพราะเขาเองเขาก็ ยังไม่เต็มที่ มันยังไม่ถึงขีดที่จะมา เขาอาจจะมีเหตุผลว่ามันจะจริงหรือ… มันสวนกระแสกับโลกเขา มันเหมือนกับคนกระจอกๆมักน้อยสันโดษ แล้วยังแถมจะมาทำเก๋อีก จนกระทั่งจนยังจะมาเสียสละช่วยคนอื่นเขาอีก ยังมาให้คนอื่นเขาอีก มันยังไง
เพราะว่ามันไม่กลมกลืนสอดคล้องไปอย่างเดียวกัน มันทวนกระแส มันก็เป็นจริง เพราะฉะนั้นก็ต้องทำไปอีก อาตมาก็เลยได้รู้จักน้ำหนักของคุณธรรมที่มันพึงมีในตัวของพวกคุณทุกคน
ศิษย์เก่าก็ถือว่าเป็นผู้ที่ได้มาจะเรียกว่าเป็นลูกหม้อก็ได้ เป็นศิษย์เก่าได้มาศึกษา ได้มาเล่าเรียน ได้มาคบคุ้น ทุกวันนี้ก็แก่ขึ้น 40 50 อายุก็ย่างเข้าไปแล้ว เขาก็ยังไม่เข้ามา มีการระดมให้มา มีการจัดงานมารวมกันก็ได้ประมาณหนึ่ง ก็รู้สึกดีกันนะ มารวมกันก็ดี แต่มันก็ยังไม่มา เพราะฉะนั้นก็ยังเห็นได้ว่าก็ยังไม่ชัด ถ้าชัดมันก็ต้องมาสิอย่างพวกคุณนี่ชัดแล้วก็ไม่คิดจะไปไหน ก็อยู่ไปอย่างนี้แหละ แล้วก็เพิ่มภูมิ แต่ละวันเรามีอะไร กายกรรม วจีกรรมดีกว่านี้ยังมีอีก หรือแม้แต่มโนกรรม มโนของเรามันก็ยังไม่เจริญกว่านี้ที่จะมีพลัง ผลักให้กายกรรม วจีกรรมเป็นผู้ที่เพิ่มพูนการเสียสละ ไม่ขี้เกียจ ไม่อยู่นิ่ง รู้พักรู้เพียร ถึงเวลาพักเราก็พัก ถึงเวลาเพียรเราก็เพียร
พลังงานหรือเวลาที่เราจะเอาไปเสียไปในทางโลกโลกที่เขาพาเป็นเราก็เก็บมาหมดแล้ว มันก็ไม่มีเหลืออยู่ในพวกเราไอ้พวกนั้น เพราะฉะนั้นจะเอามากองทิ้งไปเฉยๆเลยวันๆหนึ่ง เราก็ออกกำลังทำงานทำการไปเท่านี้เท่านี้ เสร็จแล้วกลางคืนก็พัก มันก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร มันพอ เพียนหนักพักพอ มีเพียรหนักพักพอได้ มันก็จะได้ประโยชน์ได้งานได้การ ได้ขึ้นมาจริงๆ
อาตมาก็คิดอย่างนี้ก็ทำไปแต่เห็นว่า มันยังต้องเผื่อพอ มันยังต้องทำให้มากจนไว้ใจได้ เผื่อพอ อันนี้มันยังไม่ได้เผื่อพอเลย มันยังไม่เต็มที่ด้วยซ้ำก็ต้องทำต่อๆไปอีกก็เลยลากสังขารอยู่นี่ ยังไม่ยอมตาย ซึ่งก็มีเหตุผลหลายอย่าง อย่างที่พูดไปแล้วไม่ต้องพูดซ้ำหรอกวันนี้
การเจริญของการศึกษาสัมมาสิกขา ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา
_ใบฟ้า นาวาบุญนิยม กราบนมัสการพ่อครูด้วยสุดเศียรเกล้าฯ
สืบเนื่องจากงาน “รวมศิษย์เก่า ไหว้ครูบูชาพ่อ” ครั้งที่ ๑ “ณ แผ่นดินพุทธ”
กราบพ่อครูได้กรุณาทบทวนนิยาม ขอบข่ายของ “สัมมาสิกขา” ทั้งนี้ เพราะ “การศึกษาบุญนิยม” มีหลายระดับ หลายสาขา หลายรูปแบบ จึงเป็นที่มาของ “ปรัชญาการศึกษา ๓ ระดับ”
“ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา” “ศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชา”
“ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชา”
พ่อครูว่า… อยากให้อาตมาทบทวน ที่จริงก็บัญญัติภาษาที่ได้พูดไปแล้ว “ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา” “ศีลเคร่ง เก่งงาน ชำนาญวิชา” “ศีลเต็ม เข้มงาน สืบสานวิชา”
ซึ่งมันเป็นคุณธรรมหรือคุณภาพที่สูงขึ้น เจริญขึ้นเป็นลำดับๆ ก็คือ 3 ไตรสิกขานี่แหละ “ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา”
ศีล คือ ศีล แล้วก็เป็นจิต เป็นปัญญา ทีนี้คุณภาพของศีลเด่น ให้มีศีลชัดๆสูงขึ้นไปมันก็ศีลเคร่ง มันเคร่งหมายความว่าศีลเราเจริญขึ้นเป็นอธิศีล โดยที่เราไม่ต้องเคร่ง แต่คนอื่นจะเห็นว่าคนนี้มันเคร่งไป ถือศีลจนเคร่งอย่างนี้ เห็นไหมกลับกันเป็นสิริมหามายาเป็นความซ้อนกัน 2 ชนิด คนอื่นเห็นเราเป็นอย่างนี้ แต่เราเห็นไม่เป็นอย่างที่เขาว่า
เพราะฉะนั้นจะเป็นศีลเด่นหรือศีลเคร่ง ยิ่งศีลเต็ม อันที่ 3 มันก็ยิ่งชัดเจนว่า ศีลมันสมบูรณ์แบบครบถ้วนบริบูรณ์ เป็นศีลที่มีมรรคมีผลบริบูรณ์แล้ว
ศีลที่มีมรรคมีผลที่บริบูรณ์แล้วก็คือได้ชำระกิเลส ศีลนี้ทำชำระกิเลสจนจิตขึ้นเป็น อธิจิต ปัญญาก็เป็นธาตุรู้ ที่รู้ทั้งมรรคทั้งผล รู้ทั้งสิ่งที่เป็นวิมุตติญาณทัสสนะ คือมันหลุดพ้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วมันก็สะสม
ที่สะอาดบริสุทธิ์ ปริสุทธามันก็ยิ่งเจริญบริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น ปริโยทาตา สั่งสมลงใน มุทุภูตธาตุ นี่คือสิ่งที่มันเจริญทั้งเจโตและปัญญาอยู่ในนั้น ทั้งสองภาวะ เจริญที่ขึ้นก็เป็นกัมมัญญายิ่งไปทำกรรมกิริยาทำการงานมันก็ยิ่งดียิ่งเหมาะยิ่งควร ยิ่งเจริญขึ้นไปได้เรื่อยๆ ก็เป็นพลังงานที่ทำให้ชีวิตนี้มีประโยชน์คุณค่ามากขึ้น เราก็ยิ่งสะอาดบริสุทธิ์มากขึ้น ประภัสสรผ่องใสไปเรื่อยๆ
ฉะนั้นคำว่าศีลเด่น ศีลเคร่ง ศีลเต็มก็เป็น 3 ระดับของการเจริญของศีล
เป็นงาน เก่งงาน เข้มงาน เป็น 3 ระดับเหมือนกัน เป็น เก่งขึ้น เข้ม ได้เข้มข้นทำได้เต็มที่ ทำได้ดีงามมีสมรรถนะมีความสามารถ มีทักษะเจริญยิ่งๆขึ้น แล้วก็เป็นผู้ที่เป็นเนื้อเป็นแก่นของธรรมะ ชาญวิชา ชำนาญวิชา เชี่ยวชาญแล้วก็ชำนาญมากยิ่งขึ้น แล้วก็สืบสาน วิชา ก็เป็นตัวบอกถึงระดับแต่ละระดับ
ไม่ต้องไปพูดถึงมันก็มีอย่างนี้แหละ ไม่ต้องไปพูดถึงพยัญชนะพวกนี้มันก็เป็นอย่างนี้เป็นคุณสมบัติคุณธรรมในตัวพวกเรามีอยู่แล้ว ไปอยู่ มีไหมศีลเคร่งขึ้นไหม เก่งงานขึ้นมีไหม ชำนาญวิชามีขึ้นไหม …มี
ผู้ที่เต็ม.. ทีนี้ศีลเต็ม เข้มงาน แล้วสืบประสานวิชาก็คือเป็นผู้ที่พัฒนาโพธิสัตว์ขึ้นเรื่อยๆ จบอรหันต์เป็นอรหันต์แล้วก็พัฒนาโพธิสัตว์ขึ้นไปตามลำดับ ๆๆ
ขยายความประมาณนี้ก็คงพอ ได้เนื้อได้หนังนะ
_SMS วันที่ 13 – 14 ธ.ค. 2566
พ่อครูยังตั้งใจทำงานไปอีกให้ถึง 70 ปี
_ซึ้งซื่อ วิเชียร . ขอกราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรสุดเกล้าครับ ตอนนี้ผมได้เข้ามาอยู่ที่เมืองหลวง คือราชธานีอโศกแล้วครับ และจะอยู่จนถึงปีใหม่ครับ และได้มาทำกสิกรรม เช่น ได้ไปถอนหญ้าที่ไร่สวนกระเทียมบรรยากาศดีมากครับ ได้รับอากาศที่บริสุทธิ์ต่างจากกรุงเทพฯ อย่างมากเลยครับ ที่ได้สูดอากาศบริสุทธิ์จากแผ่นดินพุทธดินแดน “สัปปายะ ๔” ที่ดีเยี่ยมสุดยอดเลยครับ และได้อ่านเวทนากับผู้คนสิ่งของ เป็นผัสสะเกิดอยู่ที่บ้านไม่เป็นเช่นนี้ ผมจะอยู่ช่วยงานตลาดอาริยะให้ดีที่สุด ต้องขอขอบพระคุณพ่อท่านที่ได้มาสร้างดินแดนแห่งนี้ขึ้นมาที่ได้ให้ลูกๆ ทุกคนได้มาปฏิบัติกับสิ่งจริงในแบบพุทธที่เป็น “โลกุตระ” สูงสุดดีเลิศ ซึ่งหายากในโลกใบนี้
กราบขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงยิ่งครับ
พ่อครูว่า… ตอนนี้ก็ใกล้จะถึงตลาดอาริยะแล้ว ก็ทยอยเอาของเข้ามาจัดสถานที่ งานตลาดอาริยะนี้ เราไม่ได้จัดมาหลายปีแล้วใช่ไหม
สมณะฟ้าไท… ปีที่แล้วก็จัดครับ
พ่อครูว่า… อ๋อ นึกว่าไม่ได้จัด เรานี่ขี้หลงขี้ลืม
พูดไปจะเป็นการยกย่องยกยอตัวเอง มันจะดูน่าเกลียดก็ไม่พูดมาก ก็ผ่านไป คนที่รู้คนที่เห็นก็จะเข้าใจเองคนไม่รู้ไม่เห็นก็ไม่เป็นไร
อาตมาพูดไปแล้วหลายทีก็สะดุดอยู่เหมือนกัน แต่ก็ได้พูดเปิดใจทุกอย่างแล้วว่า เรานี่มันยกตัวยกตนเบ่งข่มผู้อื่นมากอะไรต่ออะไรหลายอย่าง มันรู้สึกเป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่มันก็เป็นสัจจะที่เป็นจริง
เช่น อาตมาบอกว่า อาตมาเป็นผู้ที่มากอบกู้ธรรมะโลกุตระที่มันเสื่อมตามคำตรัสพยากรณ์ไว้ของพระพุทธเจ้าแล้วว่า ศาสนาพุทธคนชาวพุทธจะเสื่อมใน อาณีสูตร แล้วก็จะมีผู้มากอบกู้
ผู้จะมากอบกู้ก็ต้องมีคุณธรรมเพียงพอที่จะกอบกู้ได้ ถ้าหากไม่มีของจริงจะมาทำจริง มันเป็นไปไม่ได้ อาตมาก็มา เกิดมาชาตินี้จริงๆอาตมาไม่รู้ตัวหรอกว่าอาตมาเป็นใคร เกิดมาอาตมาก็เป็น ลิงลมอมข้าวพอง อยู่ 36 ปีอยู่กับโลกโลกีย์เขาแย่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข จะดีจะเด่นกับเขานะ ซึ่งมันก็พอได้
ทั้งๆที่อาตมานี่มันมีเครื่องพิสูจน์ว่าอาตมาก็จะเป็นฆราวาส จนกระทั่งมีฐานะยากจน เรียกว่าจน ตามประวัติ ก็จน ก็ก่อร่างสร้างตัวทำอะไรขึ้นมาเจริญขึ้นมาเห็นๆเป็นไปได้ แต่สุดท้ายก็มาถึงขีด หมดพลังงานของ ลิงลมอมข้าวพอง ก็ไม่เอาแล้วโลกียะ อยู่ทางโลกไม่เอา ก็มาทางนี้ตั้งแต่บัดนั้น
แล้วทำงานมาถึง 53 ปี ปีนี้ย่างปี 53 จะเต็ม 53 อยู่ เมื่อพฤศจิกายนที่ผ่านมา อาตมาบวช 7 พฤศจิกายน 2513 ปีนี้ 2566 มันก็เต็ม 53 ปี ขึ้นปีที่ 54 นี่มันเดือนธันวาคมแล้ว เพิ่งจะผ่าน 7 พฤศจิกายนมาเดือนกว่าเอง เลย 53 ปีมาเดือนกว่า
อาตมาก็มานึกถึงว่า ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านทรงงาน 70 พรรษา อาตมาก็มานึกว่าอาตมาจะทำน้อยกว่าท่านหรือ อาตมาทำ 53 ปีเองทำไมไม่ทำเติมให้ไปได้อีกสัก 17 ปี ถ้าหากเติมไปได้อีก 17 ปีอยู่ไปได้อีก 17 ปีมันก็ 70 ปีเท่าๆกันกับในหลวง ดูซิท่านทำ
ในหลวงท่านก็ทรงงานตามบารมีของท่าน ท่านเป็นทางรูปธรรม ท่านเป็นสายศรัทธาสายเจโต อาตมาเป็นสายปัญญา อันนี้ก็เป็นสัจจะที่พูดมาแล้วก็ย้ำยืนยันมา ก็ทำไปจริง
แล้วในสังคมประเทศไทยมีสิ่งนี้จริง ถ้ามันไม่จริงมันก็ไม่มีอะไรออกมาใช่ไหม แต่นี่มันจริงมันก็เลยมีอะไรออกมา แล้วมันก็มาเกิดผล มนุษย์มีได้เป็นได้ แล้วจะให้พูดยังไงใช่ไหม มันก็ยืนยันได้ มันก็ไม่มีภาษาจะพูดต่อไป เพราะเป็นภาษาโลกุตระ มันไม่ใช่โลกียะ มันก็ยาก แต่ก็พอเข้าใจได้ อย่างโดยเฉพาะพวกเรายิ่งเข้าใจ ยิ่งมั่นใจยิ่งชัดเจน
เพราะฉะนั้นก็สรุปตรงที่ว่า มันเรื่องจริงก็แล้วกัน เพราะฉะนั้นเมื่อความจริงเกิด ความจริงก็จะดำเนินไป ความจริงก็จะมีผลความจริงก็จะเกิดอะไรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขนาดนั้นมันก็ยังมีวิบากอยู่ในสังคม
ยกตัวอย่างชัดๆง่ายๆก็คือ กลุ่มชาวอโศกก็เป็นกลุ่มธรรมะ เป็นพุทธนะ กลุ่มส่วนใหญ่กระแสหลักก็เป็นพุทธ แล้วคนเข้ามานี่แน่นอน เขาก็บอกว่าศาสนาพุทธในเมืองไทยก็ต้องไปที่โน่นหมด ไม่ได้มาที่นี่ ใช่ไหม
เพราะฉะนั้นพวกเราจริงๆ โอ้โห มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถึงจะยากอย่างไรมันก็ไม่มีปัญหา เพราะมันมีแต่ปัญญา มันก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ยิ่งผู้ที่ชัดเจนถึงขีดเขตแล้ว ก็เหลือเขตที่จะต้องไปทุกข์ มันไม่มีทุกข์มันเลยเขตที่จะทุกข์ มันไม่ทุกข์ ดีไม่ดีมันออกสนุกด้วยซ้ำ ระวังจะคะนอง ดีไม่ดีแล้วมันจะเลยเถิด เลยกลายเป็นนอกเกินขอบเขตไปเป็นสุดโต่งหรือเป็นบ้าๆบอๆเลยเถิดไปก็ระวังบ้าง
เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เป็นสัจจะที่มีในเมืองไทยในประเทศไทย ในระยะเวลามันไม่มากหรอกที่เราทำกันมา
ที่อาตมาบอกว่า มันเสื่อมจริงๆไม่ได้พูดเล่น หลักฐานมีความจริงปรากฏพระพุทธเจ้าตรัสไว้ แม้อาตมายืนยันว่า อาตมาเป็น สยังอภิญญา ท่านก็ตรัสไว้เป็นผู้ที่รู้จักโลกนี้โลกหน้าจะมาประกาศ ปเวเทนตีตี สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
ก็ทำพิสูจน์ยืนยันกันมา 40-50 ปีป่านนี้ ยืนยันทั้งหลักฐานทางพฤติกรรมที่พาทำทั้งความรู้ความเห็น ที่บอกทั้งพวกเรารับรู้เข้าใจได้เอาไปประพฤติเกิดมรรคเกิดผลที่แท้จริง จนกระทั่งมีรูปธรรมของ สาราณียธรรม 6 เป็นกลุ่มมนุษย์ที่มาอยู่รวมกันเป็นชุมชนที่เป็นชุมชน สาราณียธรรม 6 อยู่ด้วยกันอย่าง สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม
และอยู่กันอย่างระบบสาธารณโภคี ลาภที่ได้โดยธรรม ก็หมายถึงสิ่งที่เป็นรายได้วัตถุก็ตาม ที่สร้างขึ้นหรือไปขายมาเป็นเงินทอง ซึ่งค่าจ้างพวกเราก็ไม่ไปหาเงินทอง ค่าจ้างแรงงานพวกเราก็ไม่มีรายได้ของค่าจ้างแรงงาน นอกจากได้เงินทองที่แลกกลับจากการขาย
ขายก็ขายทวนกระแสโลก ขายให้ต่ำได้ราคาต่ำที่สุดเป็นดีที่สุด มันจำนนหรือเหมาะควรก็เอากว่าหน่อย มีหลักเกณฑ์ทำกันอย่างจริงจังไม่ใช่พูดเล่น ยืนยันมาได้ทำมา อย่างการค้าการขายก็ทำมาตลอด 40-50 ปีไม่ได้หยุดหรอก แม้แต่ที่สุดทำมันชัดๆถึงตลาดอาริยะ ก็ทำกันจริงๆ ไม่ได้ทำเพื่อต้องการดัง ไม่ได้ต้องการดัง ไม่ได้ต้องการเด่น ไม่ใช่
ทำเพื่อให้รู้ว่าเราจะต้องทำจริง เสียสละจริง เกื้อกูลกันจริงๆ แม้ปลีกย่อยเราก็แจกจ่ายเท่าที่ทำได้ มันมีได้ อันนี้มันเป็นเรื่องของความจริงของมนุษย์ที่เข้าใจด้วยจิตวิญญาณแล้วก็ออกมาทางกายกรรม วจีกรรมเต็มใจตั้งใจ แล้วก็บันเทิงใจที่เราได้ทำสิ่งเหล่านี้
มันไม่ใช่เป็นทุกข์ มันไม่ได้เป็นทุกข์นะ จะบอกว่ามันเป็นสุขก็ได้เรียกด้วยอนุโลม ความหมายของมัน มันไม่ได้ทุกข์ที่เราได้ไปทำ นอกจากเราขี้เกียจก็ไม่ได้ไปทำ ถ้าไม่ขี้เกียจก็ขยันร่วมกันทำ มีอะไรเราพอทำได้ ไม่มีอะไรก็เก็บผักตาโก้งไปแจก คนจะเอาไหมนี่ มันเยอะเหลือเกิน หรือผักบุ้งก็เก็บไปแจกได้ทุกวันก็ว่ากันไป มันก็งามของมันเต็มไปหมด
ตัวอย่างของการปฏิบัติได้ส่วนแห่งบุญ เป็นเช่นไร
_สว่างแสง ขวัญดาว. น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุดค่ะ วันนี้ลูกเห็นชานมเย็นแล้วอยากกิน
พ่อครูว่า… ดีนะพวกเรารู้ตัวเองว่ากิเลสเกิดจริง อ่านออกว่ากิเลสเกิดขึ้นแล้ว มันเป็นสัจจะแต่การไปนั่งหลับตานั้นได้แต่คิดไปเป็นสัญญาระลึกว่าเกิดจริงมันไม่ใช่ มันไม่มีทิฏฐกาละ ไม่มีทิฏฐธรรม ไม่มีปัจจุบันชาติ คือการเกิดในขณะปัจจุบัน ยังมีตาหูจมูกลิ้นกายเปิดแล้วก็ใจกระทบสภาพ กิเลสมันก็เกิดทันทีที่ถูกกระทบในขณะนั้น
ซึ่งในปัจจุบันนี้มันทันทีทันใดว่ามันเกิดในขณะปัจจุบัน ถ้าผู้อ่านอ่านอาการของจิตที่เป็นกิเลสเกิดในจิตขณะที่มันเป็นปัจจุบันใดๆ อ่านไม่ออก คนนั้นก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รู้จักกิเลส เลยกำจัดกิเลสมันก็ไม่ได้กำจัด ยิ่งไปหลับตาแล้วหมดเลยโมฆะทิ้งไปเลย
ขนาดที่ลืมตาสัมผัสกิเลสมันเกิดนี่ ไม่ใช่รู้ง่ายๆถ้าไม่ได้ศึกษาฝึกฝนจริงๆไม่รู้หรอก นี่อย่างนี้รู้จักกิเลสเกิดอยากกิน
_ก็พิจารณาว่ามันเป็นของหวาน กินแล้วก็จะเสพและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
พ่อครูว่า… นี่เอาเรื่องสุขภาพมายังไม่ได้พิจารณาถึงกิเลสมันจะโต
_จนกิเลสความอยากกินมันหายไปเลย
พ่อครูว่า… มันมีปฏิภาณรู้ ปฏิภาณไหวพริบที่รู้ว่ามันอยากนี่รู้ว่ามันเป็นกิเลสเป็นตัวปฏิภาณปัญญาของคุณสว่างแสงขึ้นมา เอ๊ จะไปอ้างว่ามันเป็นภัยต่อสุขภาพก็ตามแต่ปฏิภาณมันรู้แล้วว่าไม่น่ากินนะ จนกิเลสมันหายไป
_ ลูกกราบเรียนถามพ่อครูว่า ถ้าอีก 4-5 วัน กิเลสมันกลับมาเกิดอีก จะเรียกว่านี้เป็นบุญได้ไหมคะ
พ่อครูว่า… ยัง ยังไม่เรียกว่าเป็นบุญ เป็นแค่ฌาน ฟังดีๆนะพลังจิตเป็นแค่ฌาน ยังไม่ถึงขั้นบุญ เป็นส่วนแห่งบุญกำลังเริ่ม ฌาน 1 เป็นต้น ฌาน 2 เป็นต้น แล้วจะขยายความฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3
ส่วนข้างบนขึ้นไปตามลำดับ คือยังไม่เต็มบุญยังไม่ถึงขั้นบุญเต็ม อาตมาเคยอธิบายมาหมดแล้วว่าฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 ก็คือกำลังทำการเผา บุญแท้ๆจะโผล่หน้าตรงฌาน 4
บุญแท้ๆจะโผล่หน้าตรงฌาน 4 ถ้าบุญได้ลงมือด้วยแล้วเป็นไง ตายไม่มีฟื้น เป็นเพชฌฆาตมือสุดท้าย บุญเสร็จ
เพราะฉะนั้นส่วนที่ยังไม่ถึงบุญตัวเต็มๆก็เป็นส่วนแห่งบุญ ปุญญภาคิยา หรือปุญญภาค เป็นส่วนแห่งบุญขึ้นไปตามลำดับๆ เป็นเสขบุคคล ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ใน มหาจัตตารีสกสูตร เป็นส่วนแห่งบุญ เป็นผลแก่ขันธ์เจริญขึ้นไปตามลำดับ ยังไม่เต็มบุญ
ขยายความแล้วนะ เป็นส่วนแห่งบุญ ถ้าเป็นบุญเต็มที่ จบ
_หรือว่าบุญนั้นเผากิเลสแล้วต้องเป็นนิพพานกิเลสไม่กลับมาเกิดอีกคะ
พ่อครูว่า… ใช่ ถ้าบุญได้ลงมือสำเร็จบุญ ส่วนแห่งบุญยังไม่จบ ถ้าสำเร็จบุญกิเลสไม่กลับมาเกิด และบุญก็หมดหน้าที่สำหรับอันนั้นเหตุนั้นกิเลสนั้น บุญนั้นทำงานกับกิเลสนั้นกิเลสนั้นตายแล้ว บุญก็ไปกับกิเลสเหมือนกัน นี่เป็นความลึกซึ้งของสัจธรรม ฟังให้ดีเถอะ
เผยแพร่ธรรมะโลกุตระต้องเป็นตามเหตุปัจจัย
_ / เรื่องการศึกษาที่เป็นอยู่ทุกวันนี้คนหนุ่มสาวที่ได้รับการศึกษา มีแต่จะพาชีวิตให้ตกต่ำลง
พ่อครูว่า… นี่ไปมองออกไปส่วนประกอบหนุ่มสาวก็ดีที่ศึกษากันอยู่
_ลูกขอกราบเรียนถามพ่อครูว่า ทำอย่างไรจึงจะให้การศึกษาแบบที่พ่อครูพาทำ ไปใช้ในโรงเรียนทั่วไปคะ
น้อมกราบนมัสการพ่อครูสุดเศียรสุดเกล้าค่ะ
พ่อครูว่า… ชักจะแหม..เกิดกิเลสมันเกิดตัณหา คุณสว่างแสงเกิดตัณหา บอกว่าตัณหาก็เป็นตัณหาอุดมการณ์ เป็นตัณหาดี อยากให้อย่างนี้มันเกิดขึ้นมาในวงการมนุษย์
คุณเอาไปใส่สิ ให้โรงเรียนเขาเอาไปทำ คุณเอาไปจะได้ไหมนี่ มันไม่ง่ายแม้เราจะเอาไปยัดเยียดมันก็ไม่เกิดผล ให้เขาค่อยๆเกิดอย่างมีภูมธรรมเห็นดีเห็นงามมาเอา มันค่อยๆเริ่มดีไปเรื่อยๆ
เขามีสำนวนว่า จะกินอาหารอร่อย ต้องใจเย็นๆ นี่สำนวนโลกีย์เขานะเอามาใช้บ้าง
อาตมาทุกวันนี้ก็ยังอยากจะให้อร่อยอยู่นะ เมื่อวานก็ปลุกเร้าให้ทำซุปหน่อไม้แซ่บๆมา อาตมาซัดเข้าไปแล้วคนเขาก็ถามพวกเรานี่แหละอยู่ข้างๆใกล้ๆ แล้วมันอร่อยไหมล่ะ
อาตมาก็ว่า..ไม่รู้สิมันก็ยังไม่ขึ้นมาไม่ชัดเจนว่ามันอร่อยๆ เขาก็คงทำเต็มที่มาตามฝีมือนะ อาตมาก็พยายามกินเข้าไปก็กินได้หลายคำ กินโน่นกินนี่อะไร โอ้โห อาหารอาตมาแต่ละวันมันเต็มโต๊ะ ถ้ากินหมดนั่นตายพอดี กินหมดโต๊ะที่เขาเอาอาหารมากิน มันเหลือเฟือ ก็พอเป็นไป ขนาดปรามเอาไว้นะถ้าปล่อยให้เอามาเต็มที่ไม่มีที่ไว้เลยมันไม่ได้
_สู่แดนธรรม… อยากรู้ พ่อท่านรับรู้รสชาติไหมครับ
พ่อครูว่า… อันนี้รับรู้รสชาติตามความเป็นจริงทุกอย่าง อาตมาก็บอกมาแล้วมันก็เป็นจริงก็พูดความจริงสู่ฟัง
ถ้าอาตมากินอาหารอร่อยได้จริงๆ โอ้โห อาตมาว่า อาตมาจะอายุยืนยาวขึ้นแน่ มันก็คือมันบำรุงขันธ์รูปขันธ์ มันก็ไปได้สบาย ใจมันก็ยังจะอยู่อยู่แล้วใจมันก็พยายามจะต่อภูมิภพพยายามจะให้อยู่ได้สัก 120 อะไรอย่างนี้เป็นอย่างน้อย 120 อย่างน้อย ตะกละนะนี่อย่างน้อยอะไรอย่างนี้มันก็ดีใช่ไหม มันก็จะได้สร้างสรรค์ธรรมะ
นี่มันก็มีอะไรขึ้นมา คนรับได้ คนที่คอยฟังคอยดูมันมีอยู่จริงเราไม่ได้ไปยัดเยียด เราไม่ได้ไปอวดอ้างอะไรหรอก แต่เราทำความจริงให้ปรากฏใช่ไหม คนที่เขามีดวงตา มีปฏิภาณไหวพริบ เขาก็ดูเอาเอง อันนี้เป็นสัจจะที่มันไม่ได้หนักหนา
ถ้าเราไปเกณฑ์คนมาเหมือนอย่างธัมมชโย เกณฑ์คนมาทำเล่นเหมือนละครลิเก แต่งเนื้อแต่งตัว เล่นลิเกไป มันจะได้เรื่องอะไร เสียเวลา เสียเงินทอง เสียทุนรอนอะไรเปล่าๆผลาญพร่าอวดอ้างใหญ่โตอะไร อย่างธัมมชโยหรือธรรมกายเขาทำ อันนี้เป็นตัวอย่างก็ขอบคุณธรรมกายเป็นตัวอย่างอันไม่น่าจะทำกันขึ้นมาให้อาตามาได้ใช้ประกอบการอธิบาย ซึ่งคนมันก็ทำอย่างนั้นฉิบหายผลาญพร่า มันจะเอาความใหญ่โตหรูหราฟรุ้งฟริ้งอวดอ้างกันทั่วโลก แล้วโลกทั้งโลกก็เป็นเทวนิยม เป็นโลกียะ มันก็สนับสนุนสิ ได้ถ้วยรางวัลเต็มไปหมด ทำใหญ่ ทำยิ่งอะไร ทำไมมันจะไม่ได้
ลองมาทำอย่างนี้สิ ลองดู ไม่มีใครเขาจะให้หรอกรางวัล มันทวนกระแสเขา เขาไม่มีภูมิจะให้หรอก ขออภัยต้องพูดความจริงคนในโลกที่เป็นเทวนิยมเขาไม่รู้หรอก อย่างนี้ที่อาตมาพาทำโลกุตระ เขาไม่รู้
เพราะฉะนั้น มันก็เป็นสัจจะ ที่อาตมาทำไปนี้อาตมาก็ทำไปตามสัจจะ อาตมามีความรู้ความสามารถที่สุดก็เท่าที่อาตมามีแล้วก็อาตมาก็ทำมาตลอดนี่ เก่งกว่าอาตมานี้ จะเก่งไปกว่านี้อาตมาก็ไม่รู้ อาตมาก็ว่า อาตมาทำเก่งสุดฝีมือแล้วนะก็ทำไปเท่าที่ เก่งกว่านี้ก็ทำไม่ได้ มันก็ทำได้เก่งเท่านี้ พยายามที่สุดแล้วนะ
_สู่แดนธรรม… ผมว่าผลที่จะเกิดขึ้นมันจะเป็นไปตามเหตุปัจจัยในอนาคตครับ ในปัจจุบันอาจจะยังไม่เห็นผล ทันตา
พ่อครูว่า… มันมีอยู่ข้างนอกมันค่อยๆไหลรวมซึมมาค่อยๆซึมไหลซึมลึกมาเรื่อยๆ ค่อยๆเปิดออกมา มันยังไม่เปิดก็ไม่มีมันมีซึมไหลซึมลึกมาเรื่อยๆ ก็เป็นไปตามจริง ไม่ต้องไปเร่งรัด ทำความจริงไป
ทำเหตุ อาตมาเคยใช้คำนี้ ทำเหตุให้ไปเรื่อยๆเป็นเหตุที่สัมมาทิฏฐิ ผลมันก็เป็นของมันเองมันก็จะเกิดผลตามจริง
พระอภิธรรมของ ฌาน และเวทนา 108
_จับใจ ธนะโภค . กราบนมัสการพ่อครูฯ ขอน้อมกราบเรียนถามดังนี้ค่ะ ศาสนาพุทธให้เชื่อชาตินี้ ชาติหน้า ชาตินี้เจอพระโพธิสัตว์ (พ่อครูฯ) ที่ให้ความรู้และการปฏิบัติธรรมอย่างสัมมาทิฏฐิ แล้วผู้ที่มาปฏิบัติด้วยก็สั่งสมการปฎิบัติอย่างสัมมาทิฏฐิ ชาติหน้าถ้าได้เกิดมาอีก การปฏิบัติจะง่ายขึ้นมั๊ยคะ
พ่อครูว่า… ใช่ไหม ก็เป็นจริงไม่ได้ตอบยากอะไรอันนี้ มันจะทำได้ ที่พระพุทธเจ้าท่านใช้สำนวนว่าได้ฌาน 4 โดยไม่ยาก ไม่ลำบากในฌานทั้ง 4 มันจะได้
ฌานก็คือพลังงานที่เป็นทั้งภาคมรรคและภาคผล
ภาคมรรค ก็คือภาคที่พัฒนาไปตั้งแต่ฌาน 1 วิตกวิจาร
ลองฟังความหมายของฌานให้ดีๆ
วิตกวิจาร คือ สภาพ 2 ใช้พยัญชนะว่า วิตกคำหนึ่ง วิจารคำหนึ่ง
วิตกเป็น Static วิจารเป็น Dynamic
เป็นพลังงาน 2 วิตกคือสภาพที่เป็นเจโตหรือศรัทธา วิจารเป็นลักษณะของปัญญาทำงานร่วมกัน พิจารณาพฤติกรรม
สรุปรวมแล้วก็คือพิจารณาพฤติกรรม
วิตักกะก็คือ เริ่มเกิดจิตมาแล้วก็เริ่มดำริ เขาแปลวิตักกะว่า ตริ แล้วก็ตรอง วิจาร ตรองตริ ในสภาวะนี่แหละมันทำงานร่วมกันเรียกว่าฌาน
เพราะสภาพที่สัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย เกิดสภาพขึ้นมาแล้วจิตเราเกิดอย่างไร
ถ้าวิตักกะ มันมีกิเลสกามหรือกิเลสปฏิฆะร่วมมาด้วย เราก็วิจัยวิจาร วิจัยแล้วก็เห็นพฤติกรรมของกิเลส จาระ คือพฤติกรรม เห็น พฤติกรรมของกิเลสนั้นร่วมด้วย คุณก็ต้องแยกเอากิเลสออกมาอย่าไปเอาจิตมาทั้งหมดฆ่าดับไปเลยบื้อๆซื่อๆเหมือนพวกนั่งหลับตาไม่ได้เสียของ เอาแต่ตัวผี เอาแต่ตัวกิเลสดึงเอากิเลสมา
ดึงกิเลสลงมาได้ ไอ้กิเลสรู้ว่าปัญญา ความรู้โลกุตรธรรมเรียกว่าปัญญาคือธาตุรู้ที่ยิ่งใหญ่ เป็นวิชชาหรือเป็นปัญญาหรือเป็นญาณ ก็พูดแล้วไอ้กิเลสมันเห็นหน้าปัญญา มันวิ่งหูตูบหนีไป มันเป็นสัจจะ ถ้าคุณมาเป็นสีขาว ทับลงไปในสีดำ สีดำสีหม่นหมองสีเทามันก็หายไปถ้ามันมีพลังงานพอ มันก็เป็นธรรมชาติ อันหนึ่งเกิดอีกอันหนึ่งก็ต้องดับ เป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้นวิตกวิจาร เริ่มทำงาน ฌานที่ 1 ทำได้ขึ้นมาก็จะยินดีเป็นฌานที่ 2 มีปิติ ยินดีที่เราชัดเจน มันเป็นปัญญาที่เฉลียวฉลาดมีทั้ง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ฉฬายตนะ ครบใจด้วยเป็น 6
เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อธิบายนี้มันจะเกิดองค์ประกอบพร้อมทั้งการสัมผัสแตะต้องกิเลสเกิด ปัญญาซ้อนเห็น แล้วก็ปฏิบัติทำจิตในจิตให้กิเลสมัน เจโตปริยญาณ 16 ทั้งแถบ ก็จะแยกได้หมดเลย อันนี้ราคะ อันนี้โทสะ
อันนี้ปฏิฆะ อันนี้ ราคะ โทสะ โมหะ ทำให้ลดได้ไหม วีตะ ราคะโทสะโมหะ ลดได้ขั้นที่ 1 จากนั้นเป็น สังขิตฺตํจิตตํ วิกขิตฺตํจิตตํ
ไม่ดีได้หรือไม่ได้มันก็เป็น มหัคตะ อมหัตคะ
ดีขึ้นอีกได้หรือไม่เป็น สอุตระ ดีกว่านี้ยังมีอีกจนกระทั่งไม่มีดีกว่านี้อีกเป็น อนุตตรังจิตตัง
ก็มีเงื่อนไขว่าดีกว่านี้ไม่มีแล้วต้องเจโตก็เต็ม ปัญญาก็เต็มเรียกว่า สมาหิตะหรือวิมุติ อีกสองคู่ ถ้ามันยังไม่เป็นสมาหิตะ เป็น อสมาหิตะ กับอวิมุติ เป็นวิมุตแบบพระพุทธเจ้าที่มีญาณรู้สัจจะ รู้กิเลสหมดจริงจนกระทั่งรู้แน่นอนหมดจบครบ นี่เป็น เจโตปริยญาณ 16
มันรู้แจ้งเห็นจริงด้วยสภาวธรรม อาการ ลิงค นิมิต ของ จิตเจตสิกรูปสมบูรณ์แบบเป็นนิพพาน
รูปที่ถูกรู้เป็นรูป 28 หรือรูป 24 อุปาทายรูปที่ 24 ก็มีลักษณะต่างๆ ถ้าจะอธิบายไปอีกมันก็จะลึก อุปาทายรูป 24 ซึ่งน่าอธิบายไม่ได้ทบทวนกันมานาน
เหลือเวลาอีก 31 นาทีจะได้อธิบาย
ที่เราจะรู้จักรูปพวกนี้นี่ เราจะต้องปฏิบัติ ให้มีเวทนา 108 ถ้าคุณปฏิบัติธรรมแล้วมีเวทนาปฏิบัติแล้วเวทนานี้จะแยกออกถึง 108 แล้วน่ากลัว ฟังแล้วมันจะยากจังเลย มันไหวหรือ คนที่ฟังแล้วโอ้โห มันยากจังเลยตายๆๆ นี้มันไม่ไหวท้อเลย เวทนาตั้งร้อยแปด ฟัง 108 ก็มึนแล้วแค่จะไปจำภาษาตั้ง 108 ชนิด มันจะไหวเหรอ
ไหวสิ มันมีหมวดหมู่ให้เข้าใจง่ายๆ
ท่านแจกเป็นหลักๆ แล้วเป็นหมวดหมู่ ถ้ามีสภาวะก็ไม่ยาก แล้วสภาวะที่มีมันจะนำมาให้เรารู้จักพยัญชนะ เพราะอาตมาจะพูดซ้ำพูดซากไปเรื่อยๆ
เช่น 108 ฟังดีๆ หลายๆคนแล้วสภาวะยังไม่เต็ม แต่อาตมาจะพูดพยัญชนะและตัวหลักพวกนี้ไป จะออกไปได้เลยพวกเรานี่แหละ เรียนก็ศึกษาอย่างเราได้
-
เวทนา 2
-
เวทนา 3
-
เวทนา 5
-
เวทนา 6
-
เวทนา 18
-
เวทนา 36
-
เวทนา 108