661218 ชำแหละลากไส้อัตตาของพญาครุฑและพญานาค รายการปรับทุกข์ปลุกธรรม #49 ราชธานีอโศก ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1JQuCAEUefbKSdT-cHFWanIAvBH0gFKyP/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1AGIQJzg6zx8xpsYV5kyEOpOTs6x49nnt/view?usp=sharing และ ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/o-UdH94uKx/ และ https://youtu.be/StTXb70D42s (มีซับ) พ่อครูว่า…วันนี้วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม 2566 ขึ้น 6 ค่ำเดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก มาเริ่มไกด์ที่นำพาบรรยายธรรมก็คือ SMS พ่อครูมาทำสภาวะ ปริญญา ที่แท้จริงของชีวิต ให้แก่มนุษย์ _รตอ. นพ. โพธิ สวัสดี . เรียนท่านพ่อครู ลดการใช้เสียงลงครับผม โรงเรียนสัมมาสิกขา ควร “ต้อง” มีจากอนุบาล-ยันมัธยม/ปวช./ปวส. และต่อยอดจาก ป.ตรี-โท-ถึงเอก ในอนาคต! เพราะนี่คือทางรอดเดียวของสังคมโลกครับผม!! ควรต้องมีในอนาคตครับท่าน พ่อครู พ่อครูว่า… ถ้าพูดเบาๆอาตมาว่ามันเหมือนไม่ได้พูด ก็เลยพูดเสียงดัง อาตมาเวลาบรรยายธรรมะจะเต็มเข้มคม มันก็เลยดูจะแข็ง อาตมาทำการศึกษาถึงแค่ปวส.ไม่คิดจะต่อไปถึงปริญญาตรี หรือเอาแค่อนุปริญญา จากนั้นจะเป็นปริญญาตรีโทเอก เราก็ไปต่อกับสถาบันอื่น เพื่อจะยืนยันว่า เพื่อรากฐานที่เรามีถึงปวส.หรือปวช.แล้วมาต่อ ได้ หรือแค่ ม.6 จะไปต่อตรีโทเอกที่สถานศึกษาของเราไม่ได้มีสิทธิบัตรที่จะประสาทสิทธิบัตรเป็นปริญญาพวกนี้ได้ เอาแค่นี้ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าก็ไม่จำเป็น อาตมาว่าไม่จำเป็น อันนั้นเป็นแค่การกำหนดสมมุติ ให้ค่าหรือให้ราคา ตามเกณฑ์ของสังคมเขา แล้วคุณก็รับรองกันโดยมีสถาบันรับรอง ทีนี้สถาบันของเรานี้ไม่ได้รับรองปริญญาตรีโทเอก แต่พวกเราจะสร้างสภาวะพฤติกรรม สมรรถนะความรู้ความสามารถ ใส่คน ให้เกิดสมรรถภาพสมรรถนะ ความรู้ ที่จะประพฤติกันจริงๆเป็นได้จริง ผลงาน ผลของพฤติกรรมพฤติการณ์ที่เราประพฤติจริงออกไป มันจะเกิดค่าหรือตีราคาได้ถึงปริญญาตรีปริญญาโทปริญญาเอกหรือไม่ ไม่ต้องตีราคา แต่มันเกิดจริงไหม พฤติกรรมของพวกเราที่มีความรู้ความสามารถ อยู่ในตนแล้ว มันก็ทำของเราไปตามเหตุปัจจัยเป็นองค์ประกอบ เป็นความรู้ความสามารถ ออกมาเป็นผลผลิต ลงไปในสังคมลงไปในมนุษยชาติ มันก็พอแล้ว มันก็เป็นความจริงอันนั้นเกิดขึ้นแล้ว ที่จะมีตราตั้งอะไรต่ออะไรอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่ต้องก็ได้ อย่างอาตมาไม่มีสักอย่าง โดยเฉพาะมาทางวิชาการทางโลกเขายิ่งไม่มี อาจจะมีอยู่ทางศิลปะมาบ้างนิดๆหน่อยๆแค่ปวส. เอามาใช้ทางนี้เขาก็ไม่คิดว่า มาเรียนศิลปะมาพูดอะไรทางธรรมะ แม้แต่วิชาการที่อาตมาพูดมันรวมวิชาการทางเศรษฐศาสตร์ ทางรัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ ศาสตร์ต่างๆนานา มนุษยวิทยาต่างๆนานาวิทยาศาสตร์ก็พูดไป บรรยายไป ที่ยังไม่ได้อธิบายหรือว่าขยายความมากมายนัก เพราะว่าไม่ค่อยได้ทำก็คือกระยาสารท ทำไม่ค่อยเป็นไม่ค่อยถนัด แต่รู้ว่ามันมีข้าว มันมีถั่ว มันมีงา มันมีอะไรต่ออะไร มีน้ำตาล มีแบะแซอะไรบ้าง ไม่เคยทำเองเลย มีแต่เด็กๆเห็นผู้ใหญ่ทำๆกันที่บ้านก็ทำ แต่เราก็ไม่ได้เป็นคนไปลงมือทำเองจริง มีแต่กิน กระยาสารท กินกับกล้วยไข่ ผู้ที่เห็นคุณค่าอาตมาก็มีผู้ไม่มีอคติ ผู้ไม่มีความลำเอียง ไม่ได้ติดใจอะไร มองสัจจะคือสัจจะ มองธรรมะคือธรรมะ เขามองเห็นเข้าใจมองออกเข้าใจได้ ก็ส่งเสริม แต่อาตมาเป็นคนอาภัพ มีวิบากก็ได้ประมาณนี้แหละ แต่เนื้อแท้สัจธรรมโดยเนื้อๆแก่นๆของสัจธรรมนั้น อาตมาทำไปตลอดเลย เขาจะตั้งตามประสาทางโลก ปริญญาตรีโทเอก หรือเปรียญ 1-9 ก็เรื่องของเขา แต่อาตมาไม่ได้ตั้ง อาตมาทำ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ โพธิสัตว์ ตามมาตรฐานพระพุทธเจ้า ไม่มีปัญหาอะไรอาตมาทำอยู่แล้ว ใหญ่ขนาดไหนจึงได้เที่ยวสงสารไปทั่ว _จันทู ปมา . กราบขออนุญาตฝากคำถามถึงพ่อครูด้วยค่ะ ขอกราบเรียนถามพ่อครูค่ะว่า ดิฉันมีปัญหาที่ตีไม่แตก แก้ไม่ตกอย่างหนึ่งคือ ความสงสาร พ่อครูว่า… อาการสงสารคือ อาการที่เห็นความหมุนเวียนของมนุษยชาติ เกิดอะไรอยู่ในนั้นหรืออยู่หมุนเวียนในวัฏสงสาร หมุนเวียนอยู่อย่างนั้นไม่รู้จักจบสิ้น ไม่รู้จักจบไป จบกิจก็ไม่เป็น เลิกราเป็นดินน้ำไฟลมไปเลยก็ไม่ได้ ไม่เหมือนพุทธ พุทธมีจบกิจ ศาสนาพุทธมีการสลายจิตนิยามเป็นดินน้ำไฟลมไปเลยได้ แต่ศาสนาอื่นเขาไม่สามารถทำได้ _เห็นใจ พ่อครูว่า… ความสงสารก็เลยมาเป็นความหมายว่า มันรู้สึกเห็นใจ เห็นใจจิตวิญญาณดวงอื่นๆหรือจิตวิญญาณในคนอื่นๆ ที่อยากช่วย สงสารคืออยากช่วย บางทีก็ช่วยตามประสา อย่างอาตมานี้ช่วยเพราะสงสารทั้งนั้น ตามที่อาตมามีความรู้ความสามารถตามประสาก็คือ ตามฐานานุฐานะ ของแต่ละบุคคลที่มีความรู้ความสามารถจะช่วยได้ มันเป็นธรรมดาสามัญของคน ตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงขั้นปรมัตถ์ถึงขั้นอรหัตตผล _ในชะตากรรมของสัตว์บางชนิดอย่างสุดซึ้งเหลือเกิน (จริงๆ แล้วก็เอ็นดู สงสารทุกชนิด ทุกตัวเป็นปกติในความรู้สึกอยู่แล้วค่ะ) เมื่อสัตว์นั้นได้รับความทุกข์ ทรมาน ถูกรังแก เบียดเบียนอยู่ ดิฉันจะรู้สึกสลดใจอย่างมาก พ่อครูว่า… มันจะมากจะหนักไปนะเอาทุกข์ทับถมตนเอง _ไม่อาจทนดูได้ ยิ่งตนเองได้เคยทำผิดพลาดล่วงเกินต่อสัตว์เหล่านั้น แม้ด้วยเจตนาดี แต่กลับเป็นผลร้ายกับสัตว์นั้นๆ อย่างไม่คาดคิด จึงเกิดความทุกข์ เศร้าเสียใจเหลือเกิน อาการเช่นนี้เป็นอยู่หลายวัน ไม่อาจลืมได้ แม้ว่าท่านผู้รู้ จะช่วยแก้ปัญหานี้ให้ก็ตาม แม้จะขบคิด พิจารณาตามสัจจะของกรรมแล้วก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงตรรกะเท่านั้น จึงไม่อาจดับทุกข์ได้อย่างแท้จริง ขอพ่อครูได้กรุณาช่วยคลี่คลายปมปัญหาชนิดนี้ให้ด้วยค่ะว่าดิฉันจะต้องทำอย่างไรๆ จึงจะระงับดับสลายความรู้สึกนี้ได้ค่ะ เรื่องกิเลส ตัณหาอย่างอื่นๆที่เคยสู้รบกันมาก็ว่ายากแล้ว แต่เรื่องนี้ยิ่งยากมากๆ ค่ะ ขอกราบนมัสการขอบพระคุณพ่อครู ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งค่ะ พ่อครูว่า… ฟังดีๆ ตั้งรับ อาตมาจะยิงระเบิดใส่ให้ ใหญ่หรือคุณน่ะ ใหญ่นักหรือไง จะช่วยสัตว์ทั้งนั้น สงสารเอ็นดูอยากช่วยใหญ่ขนาดไหนที่คุณจะช่วยได้ อย่านึกว่าคุณน่ะ มีจิต โอ้โห! เห็นแก่สัตว์ทั้งโลก ไม่อยากให้สัตว์ใดมีทุกข์ แล้วคุณก็จะช่วยสัตว์นั้น คุณเป็นพระอวโลกิเตศวรหรือไง มันมากไป! สัตว์ทุกอย่างสัตว์ทุกตัว สัตว์ทุกชนิดทุกอย่างทุกตัว มีวิบากกรรมของเขา คุณอย่าไปเผือกกับเขามากนัก นี่คือคำตอบ เผือกมากไปแล้ว สัตว์ของเขาแต่ละตัวมีวิบากกรรมเป็นของๆตน คุณเอาตัวคุณให้รอดเถอะ จบ ตอบแล้ว ถ้าฟังขนาดนี้พิจารณาไม่ออก แล้วคุณยังจะเผือกมากอยู่ก็ แน่นอนคุณจะตายเพราะเผือก ระวังจะกินเผือกมากจนตาย ลีลาโพธิรักษ์ตอบธรรมะแบบนี้ นี่เป็นปรมัตถ์ลึกซึ้งนะ เข้าใจไหม โอ้โห ระวัง จริงๆเราไม่ได้เป็นคนใจดำหรอก พูดแล้วเหมือนว่าอาตมายุให้คุณใจดำ ไม่ใช่ ไม่ได้ใจดำ มันมากไป ความเอ็นดูเกื้อกูลหวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่นั้นดี แต่มากไปแล้วมันก็ตายสิเรา คุณใหญ่เท่าพระอวโลกิเตศวรหรือไง คุณจะทำให้ถึงขั้นนั้นหรือไง ไม่ได้ ต้องเอาให้ดูตัวเองให้พอเหมาะ ก็คิดว่าได้ตอบกันอย่างแรงแล้ว สภาวะอรหันต์แบบลืมตา _กระถิน สุขดี . กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงสุด ดิฉันขอเล่าประสบการณ์จากสภาวะจิตขณะหนึ่งให้พ่อครูฟัง และมีคำถามเจ้าค่ะ คือว่ามีขณะจิตอยู่ครั้งนึง พึ่งเกิดเมื่อไม่กี่วันนี้เอง จิตนั้นกลางๆ ไม่รัก ไม่ชัง ไม่โกรธ ไม่โลภ รู้สึกเบิกบาน สดชื่น ขณะจิตที่ว่านี้เกิดขึ้นแค่แป๊บเดียว ดิฉันเลยมีคำถามว่า หากเราจะรักษาจิตแบบนี้ให้ไปได้ตลอดวัน ตลอดไป ต้องทำอย่างไรหรือเจ้าคะ คือดิฉันรู้สึกติดใจสภาวะจิตแบบนั้นมากๆ พ่อครูว่า… ก็ดี จับอารมณ์ อารมณ์เบิกบานนะคุณบอกแล้ว เบิกบานสดชื่น ไม่รัก ไม่ชัง ไม่โกรธ ไม่โลภ มันเป็นจิตที่ ไม่มี 2 ไม่มีสภาพ 2 มันไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่โกรธ ไม่รัก ไม่รักไม่ชัง มันก็สบายกลางๆ จิตเป็นกลางๆ คุณก็พูดถูกมาทั้งนั้น แบบนี้แหละคือสภาพจิตของพระอรหันต์ ก็มีแต่ทำได้แบบใด ก็ทำแบบฤาษีอย่างหนึ่ง กับทำแบบพระพุทธเจ้าอย่างหนึ่ง ทำแบบฤาษีก็พยายามสะกดจิตให้มันไม่คิดไม่นึก แล้วก็พยายามระมัดระวังอย่าให้มันไป มี 2 สภาพ มีซ้ายมีขวา ให้มันอยู่กลางๆ เท่าที่เขาจะทำได้ในวิธีการนั่งหลับตา แล้วเขาก็ทำก็ตาม เขาจะรู้สึกว่ามันคือความรู้สึกที่เฉยกลางๆ เรียกด้วยศัพท์ว่า อุเบกขา แล้วเขาก็อธิบายแทรกเข้าไปอยู่ที่ฌาน 4 ของเขาอะไรอย่างนี้ ว่านี่เป็นอารมณ์ของฌาน 4 อุเบกขา ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีหนึ่งไม่มีสอง กลางๆ ถ้ามีสติรู้อยู่ถือว่าเป็นวิปัสสนา ถ้าดับไปเลยไม่ทุกข์ไม่สุข ดับปี๋ไปเลยเขาถือว่าเป็นสมถะ ดีไม่ดีก็ว่าเป็นนิโรธ ถ้าทางหลับตาเขาจะเลยเถิดไปทางหลับตา ดับสนิทเป็นนิโรธ แต่ถ้ากลางๆเขาก็ไม่เรียกว่าเป็นนิโรธ เพราะยังมีตัวรู้อยู่ยังไม่ดับ ความอวิชชาของเขานั้นเขาจะไม่รู้ว่าศาสนาพุทธไม่ได้นิโรธอย่างดับๆ แต่เป็นนิโรธอย่างรู้แจ้ง สว่าง เปิดหมดเลย ไม่ได้อยู่ในภพหลับตาด้วย แต่ลืมตาด้วย เพราะฉะนั้นพวกนั่งหลับตาที่บอกว่ามีนิโรธ สัมมานิโรธแบบพุทธนั้นไม่เกิดหรอก ไม่ได้หรอก เป็นโมฆะ นั่งหลับตานั้นพูดไปไม่รู้อีกเท่าไหร่ว่ามันโมฆะ มันทำเป็นของฤาษี ของพระพุทธเจ้าไม่มีหลับตา ถ้าเข้าใจจรณะ 15 วิชชา 8 มี อปัณณกปฏิปทา 3 โดยมีศีลเป็นหลักและปฏิบัติศีลสมาธิปัญญาไป อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิมุติ ไปเรื่อยๆ คุณก็จะได้ แต่ถ้าคุณไปนั่งหลับตาแล้วล่ะก็ ก็เท่านั้น มันก็โมฆะ เพราะฉะนั้นอย่างสมถะก็คือโมฆะหมด หรืออย่างหลับตาอย่างที่ทำกันส่วนใหญ่ในความเสื่อมของศาสนาพุทธเมืองไทย ไปปฏิบัติแบบหลับตา สายที่ถือว่าการปฏิบัติธรรมของพุทธต้องเป็นแบบนั้น มาเรียนรู้ที่เป็นสายเปิดๆ เรียนรู้แต่ในตำรามีแต่อัตตวาทุปาทาน การเรียนรู้ทุกวันนี้ที่เขาเรียนรู้อยู่เป็นอัตตวาทุปาทาน กันอยู่ทั้งนั้น เกือบทั้งนั้น จะว่าทั้งนั้นก็เดี๋ยวจะว่า บางคนไม่ได้ยึดวาทะ แต่ไปยึดการปฏิบัติประพฤติก็มีบ้าง แต่ก็เข้าใจทั้งหมด เลื่อมใส อัตตวาทุปาทาน ชำแหละ อัตตาทุปาทานของ พญาครุฑและพญานาค ขออธิบาย อัตตวาทุปาทาน ให้ละเอียดๆสักนิดนึง มันมี อัตตา อันนึง วาทะอันนึง อุปาทานอันนึง อุปาทาน คือการยึดติดด้วยอวิชชาไม่เข้าใจไม่รู้แต่ยึด แล้วไอ้ที่ยึดที่เรียนกันอยู่เป็นปราชญ์ ถือว่าเป็นปราชญ์เป็นผู้รู้ยิ่งใหญ่ในประเทศไทยในศาสนาพุทธ เขายึดได้แต่แค่ วาทะ เท่านั้น เป็น อัตตา ของเขา เป็นทั้งอัตตาด้วย ไม่ได้ออกนอกอัตตา ไม่ได้เป็นอนัตตาเลย ยึด ยึดอะไร ยึดวาทะ คือได้แค่บัญญัติ ได้แค่พยัญชนะ ได้แค่เรื่องราว ได้แค่คำพูด ไม่ได้เข้าไปถึง จิต เจตสิก รูป นิพพาน เลย นี่คือ อัตตวาทุปาทาน ทวนอีกทีนึง คือเขาเป็นนักปราชญ์ เป็นนักศึกษา เป็นนักรู้ เป็นนักปฏิบัติธรรม เรียนรู้มากเลยนะ เก็บความรู้มา รู้หมด เป็นผู้รู้แล้วจริงด้วยเป็น learned man แต่เขาก็ได้แค่วาทะ ได้แค่ภาษา ได้แค่คำพูด เก่งมากแค่เรื่องราว เก่งหน่อยก็แค่เป็นเรื่องเป็นราว แล้วก็ลึกขึ้นไปในเรื่องราว ก็เป็นเรื่องราวของ ของเรื่อง นอก จิต เจตสิก รูป นิพพาน ของสักกายะของตนเอง เป็น ปทปรมบุคคล เป็นผู้รู้ธรรมะ รู้ธรรมบท รู้พุทธพจน์ก็มาก จำได้มาก สาธยายอยู่ก็มาก แต่ไม่ได้บรรลุธรรมเลยในชาตินั้นๆ ไม่ได้สลายอัตตา ไม่ได้รู้จักทะลุเข้าไปถึงอัตตาจนเป็นอนัตตา เป็นอาริยะ ถ้าหากอนัตตาก็มีอรหัตผลไปตามลำดับ โสดาบันก็มีอรหัตผลในโลกอบาย โลกต่ำ สูงขึ้นมาก็เป็นโลกกาม แล้วก็โลก รูปาวจร อรูปาวจร ก็หมด แต่นี่ไม่รู้อัตตา อัตตา มีอยู่ 3 ภาษา 1.โอฬาริกอัตตา 2. มโนมยอัตตา 3. อรูปอัตตา อัตตาทั้ง 3 นี่แหละเขาไม่รู้จักอัตตาเลยได้แต่วาทะ ตนเองเต็มไปด้วยอัตตา โดยปรมัตถ์ตนเองเต็มไปด้วยอัตตา ที่ได้ก็ได้แต่วาทะ แยกให้ดีนะ และตนเองมี โอฬาริก อัตตาอยู่เต็มบ้องเลยก็ไม่รู้ตัว โอฬาริก อลังการ อัตตาที่ยิ่งใหญ่มากเลย ใหญ่โตอลังการแบกลาภ แบกยศ แบกสรรเสริญ แบกความสุข เพราะตนเองมีความรู้ก็เลย คนมีความรู้นี่แหละเลย ได้ลาภจากความรู้ ได้ยศจากความรู้ ได้สรรเสริญจากความรู้ โลกียสุขจากความรู้ เสพสุขโดยไม่รู้จักสุขจักทุกข์ จมอยู่กับสุข ได้อย่างเต็มที่บริบูรณ์เกือบจะไม่มีขั้นเลยนะ ทุกข์น่ะ เอาเถอะได้ลาภจนกระทั่งเนียนคืออยากได้เมื่อไหร่ได้ ขอให้ออกปากเถอะ ไม่ต้องเรี่ยไร แล้วก็ทำเป็นว่าไม่สะสมด้วยเหมือนมหาบัว ไม่สะสมหรอกแต่เอาไปไว้ที่ประเทศไทยไปที่คลังประเทศไทย เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นจิ้งจกตุ๊กแกเฝ้าอยู่ ทั้งๆที่เขาสะพัดไปที่ไหนๆแล้ว ฟังให้ดีนะอาตมาอธิบายนี้ซับซ้อน ลึกซึ้งซับซ้อนมาก เพราะฉะนั้นนี่ไม่ได้ไปยึดทางนั้น แต่ไปยึดความรู้ว่าเป็นลาภ ยึดความรู้ว่าเป็นยศ มันซ้อนนะ มันซ้อนยิ่งกว่ามหาบัว มหาบัวยังเป็นวัตถุเป็นทองคำ แหม ดอลลาร์เสียด้วยนะ จะสะสมแบงค์บาทก็ไม่เอาสะสมดอลลาร์หัวสูงเสียด้วย แต่นี่ไม่ ความรู้เป็นลาภ ความรู้เป็นยศ ความรู้เป็นสรรเสริญ ความรู้เป็นสุข เป็นพญาครุฑ เพราะฉะนั้น สภาพปรมัตถสัจจะของพญาครุฑ หรือสภาพ ปรมัตถสัจจะของพญานาค 2 อย่างนี้ พญาครุฑคือหลงรู้ พญานาคคือหลงสภาวะ สภาวะอะไร สภาวะเป็นผู้ที่ดับ ดับได้สนิทดับได้นานถึงขั้นจมอยู่ใต้ก้นบาดาล แล้วก็จะดับไม่รู้สึกตัว จะรู้สึกตัวทีหนึ่งก็มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลก แต่ละองค์ พอพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก 1 องค์ จะลอยถาดมา เอาถาดทองคำมาแล้วก็โยนลงไป ตกลงไปกริ๊ก พอกริ๊ก ก็จะเกิดเวทนาให้รู้สึกตัวขึ้น นิดนึง ที่รู้นิดนึงอะไร ตัวพญานาคตัวนี้แกจะรู้ว่า อ๋อ.. พระพุทธเจ้าไ้ด้เกิดอีกแล้วเหรอจ๊ะ แล้วก็หลับดับดิ่งอยู่ใต้ก้นบึ้งของ จะเรียกว่าอะไรก็ไม่รู้มันลึกสุดลึกต่อไป จนกว่าพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปอุบัติ ความหมายก็คือในโลกนี้มีศาสนาพุทธ แต่ไม่รู้เลยว่าศาสนาพุทธคืออะไร รู้แต่ว่าพระพุทธเจ้าเกิดมาประกาศศาสนาพุทธ รู้เท่านั้น แล้วก็ดับ เฝ้า เป็นพญานาคเฝ้า เฝ้าความรู้ ความรู้ที่ถือว่าเป็นความรู้ที่สุดยอดก็คือพุทธศาสนานี่แหละอยู่อย่างนี้ นี่คือพญานาค ส่วนพญาครุฑนั้นเหินฟ้า ข้านี่แหละยิ่งใหญ่ ข้านี่แหละรู้ทั่ว ที่จริงอันเดียวนั่นแหละ ยึดทั้งคู่ เป็นอัตตาทั้งคู่ ทั้งพญาครุฑ ทั้งพญานาค คือจอมอัตตา เพราะฉะนั้น โอฬาริกอัตตา เต็มสภาพเป็นอัตตาที่อลังการ เป็นอัตตาที่โอฬาริก อัตตา แต่คนดูไม่ออก แต่อาตมาดูออกก็มาขยายให้ฟัง อัตตาของพญาครุฑก็อย่างหนึ่ง อัตตาของพญานาคก็อย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงอัตตาในระดับ มโนมยอัตตา ก็ต้องลด ต้องเรียนรู้ลดอัตตาตนเองจึงจะลดได้จริง จึงจะมาอยู่ในขั้นที่ 2 คือเรียนรู้อัตตาในสภาพที่ถูกต้องสภาวะสัจธรรมขึ้นมาเรื่อยๆ จนเป็นอาริยบุคคล ก็ลดกิเลสลงไปได้เรื่อยๆ มโนมยอัตตา อัตตาที่สำเร็จด้วยจิต มโนมยัง แต่ว่าสำเร็จด้วยจิต อัตตาที่ทำให้ตนเองบรรลุสำเร็จด้วยใจไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นยังงมงายยังมี โอฬาริกอัตตา อาตมาเห็นแล้วน่าสงสารทุกวันนี้ ผู้ที่เป็นปราชญ์ขออภัยต้องพูดอันนี้คำนี้ ผู้ที่เขายกย่องนับถือกันว่าเป็นปราชญ์ทางศาสนาพุทธทุกวันนี้ ที่อาตมายืนยันว่า เป็นยุคเสื่อมของศาสนาพุทธโลกุตรธรรมนี้ อย่างแท้จริง ผู้ที่เป็นปราชญ์ยุคนี้คือโอฬาริกอัตตา จมอยู่ในนั้น ยังไม่ได้เข้ามาหามโนมยอัตตาเลย เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปพูดถึงอรูปอัตตาที่จะ เหลืออัตตาสุดท้ายที่จะหมด โอย.. ก็พูดความจริงขึ้นมาก็เมื่อย อาตมาเมื่อยเพราะอาตมาเมื่อยจริงๆนะ ต้องแสดงธรรมะอยู่ทุกวันนี้เมื่อยจริงๆ เมื่อยเพราะลากขันธ์แล้ว 90 แล้ว ยังไม่แล้วนะยังไม่เต็ม วันที่ 5 มิถุนายน 2567 ถึงจะเต็ม 90 ขึ้น 91 ก็ลากขันธ์ไปให้มันได้ อาตมามุ่งมั่นจริงๆว่าจะให้ถึง 100 อายุนะ เกินกว่าได้ก็เอา แต่เอา 100 เป็นเป้าก่อน อีก 10 ปีเองนะทำไปเล่นไป ไม่นานนะ 10 ปี ความล้มเหลวของการศึกษาทั้งโลก คือไม่มี บวร บ้าน วัด โรงเรียน _กราบเรียนรายงานพ่อครู ถึงบรรยากาศเด็กๆ และทีมงานครูสันติฯ มาอยู่ที่นี่ครบ 1 สัปดาห์ ทีมงานครู และเด็กๆ ได้มาอยู่กับพ่อครู ท่านสมณะ สิกขมาตุ และพี่น้องชาวบ้านราช ตั้งใจปฏิบัติบูชาหลวงปู่ เนื่องในวาระปีใหม่นี้ และในวาระที่หลวงปู่จะมีอายุครบ 90 ปี เด็กๆ ตื่นตัวได้มานอกสถานที่ บอกง่ายมากขึ้น พยายามและพร้อมปรับตัว เพราะถ้าทำเสียหายคนเดียว ก็จะเสียหายกันทั้งโรงเรียน ทำให้ทีมงานครูมีความอบอุ่นใจที่อยู่กับเด็กๆ อาเดชวัยทอง เวลางานเข้าสิงก็จะแว๊ดโวยวายยย เมื่อครูและเด็กเข้าไปขัดจังหวะ พอโวยวายเสร็จก็จะใจอ่อน มีใจเห็นแก่เด็กและทีมงาน … เป็นแบบนี้เรื่อยมา …. ทำให้พวกเราทิ้งท่านเมืองร้าง (อาเดช) ไม่ลง (อาเดชเสนอชื่อตนเองกับดิฉัน ว่าเป็นเจ้าเมืองร้างแห่งคลอง 13 … เพราะคลอง13 มีบ้านร้างเป็นจำนวนมาก และอาเดชก็เป็นใหญ่เป็นโตที่นั่นอยู่คนเดียว ดิฉันก็เห็นด้วย จากนั้นก็เรียกอาเดชอีกชื่อว่า เจ้าเมืองร้าง หรือ ท่านเมืองร้าง ค่ะ) อาพลอย ยายน้ำดี ยายใหม่ อาปุ้ย นอนกับนักเรียนหญิงทั้งหมด ครูและเด็กต้องปรับรสนิยมให้ไปกันได้ เด็กๆ วัยรุ่น ฮอร์โมนกำลังทำงาน ร้อนง่าย ต้องเปิดพัดลมเบอร์แรงๆ ส่วนอากับยายวัยทอง ฮอร์โมนกำลังลดลง เจอพัดลมไม่ได้ มันหนาว ก็หาจังหวะ โอกาส ประมาณในคำพูดบอกเด็ก เด็กก็ยินดีให้ความร่วมมือ อาขวัญคุณพ่อป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลและดูแลแม่อยู่ที่เพชรบูรณ์ ก็ช่วยดิฉันจัด ตารางลงงาน ตารางเรียน ตารางวิถีชีวิตที่ใช้ร่วมกับนักเรียนบ้านราช-สันติ …. ทุกอย่างใหม่หมด .. ตั้งแต่นักบวช คุรุ ฐานงาน ห้องเรียน ฯลฯ …. คนจัดตารางหัวฟูเลยค่ะ (งานยาก ผัสสะนี้ได้เห็นและตัดกิเลส เกิดประโยชน์มาก) เหมือน conductor ที่ควบคุม จัดระเบียบ การแสดงดนตรีลูกทุ่ง คณะ ส.ไพรเมือง-สันติ เลยค่ะ ทีมงานคุรุและเด็กๆ มีบทฝึกอันเดียวกันคือ ปฏิบัติบูชาพ่อครู การมานอกสถานที่เป็นงานท้าทายว่าครูและเด็กๆ จะสามารถปรับตัว ลดกิเลส ทำประโยชน์และมีความผาสุกใด้ในทุกๆ สถานการณ์มากน้อยเพียงใด มีกิเลสตัวไหนที่ถูกผัสสะกระแทกออกมาให้เห็น ที่เราต้องกำจัด และได้เพิ่มสมรรถนะในการทำงานให้เชี่ยวชาญมากขึ้น เพื่อนำไปสู่การพึ่งตนเอง และเป็นที่พึ่งให้กับผู้อื่นได้มากยิ่งขึ้น ค่ะ กราบนมัสการมาด้วยความเคารพบูชายิ่ง อาตั๋ง ทีมงานครู และเด็กๆ นักเรียน 15 ธันวาคม 2566 พ่อครูว่า… อาตมาฟังรายงานแล้วยิ่งซาบซึ้งใจในธรรมะพระพุทธเจ้าที่อาตมานำมาสอน เป็นการเรียนแบบพุทธ ซึ่งมีบวร การเรียนแบบพุทธที่มีความเป็นบ้าน วัด โรงเรียน ไม่ได้แยกบ้าน ไม่ได้แยกวัด ไม่ได้แยกโรงเรียน ซึ่งเขาไม่ทำอย่างนี้กันมา การศึกษาเขานำมาจากทางตะวันตก ระบบแบบตะวันตก แยกโรงเรียนอยู่ในกล่อง แล้วก็แยกวัดหรือธรรมะต่างหาก เพราะฉะนั้น โรงเรียนของเขาก็คือเรียนในกล่อง เพราะฉะนั้นอยู่ในกล่องนี่มันห่างจากบ้าน มันไม่ได้เป็นบ้าน มันไม่รู้เรื่องของบ้าน ธรรมะก็ไม่ได้เรียน ก็เลยแยกบ้าน แยกวัด แยกโรงเรียน หรือแยกบ้าน แยกธรรมะ แยกโรงเรียน ก็ไปเรียนแต่ เรียนๆๆๆ อยู่ในกล่อง ขาดจากความเป็นสังคมหรือบ้าน ขาดจากความเป็นธรรมะอันเป็นคุณธรรมประจำมนุษย์ นี่คือความล้มเหลวของการศึกษาของโลก ลึกซึ้งนะอันนี้มันกินลึก เลยเอาแต่ปริญญา เอาแต่ประกาศนียบัตร เอาแต่จากไอ้ที่จะได้ในกล่องเท่านั้น สังคมไม่รู้ ธรรมะไม่รู้ เอาแต่กล่องได้ใบ เป็นดอกเตอร์ เป็นปริญญาตรีโทเอกหรือ Post Doctor อะไรก็แล้วแต่ แล้วก็ปูนบำเหน็จกันเอาอันนั้นแหละเป็นเครื่องชี้บ่งว่า นี่คือคนเจริญ นี่คือความล้มเหลวของสังคมทั้งโลก เพราะการศึกษาผิด การศึกษาขาด แยกบ้าน วัด โรงเรียน นี่เป็นความเห็นของอาตมานะ ทีนี้พวกเราชาวอโศกนั้น ชื่อว่าได้ธรรมะของพระพุทธเจ้า และปฏิบัติกัน มีอปัณณกปฏิปทา 3 น้อยหรือมากพวกเราก็มี ที่พูดมารายงานมา เด็กๆเล็กๆก็คงเกิดความรู้สึกจากสำรวมอินทรีย์ 6 แล้วก็ทั้งทำงาน ทั้งกินทั้งใช้เป็นการปฏิบัติธรรมอยู่ทั้งหมดเลย โภชเนมัตตัญญุตา มันเป็นชีวิตทั้งหมด แล้วก็ตื่นรู้ ชาคริยานุโยคะ แล้วปฏิบัติธรรมกันนี่ จรณะ 15 สัทธรรม 7 เป็นเครื่องชี้บ่ง ว่า คุณมีความเป็นจริง ของจิตของปฏิภาณปัญญาหรือไม่ ถ้าคนมีปฏิภาณปัญญาอยู่ในจิต คุณจะเกิดเจริญศรัทธา ถ้าคุณมีปัญญาปฏิภาณอยู่ในจิต คุณจะเจริญศรัทธา ที่เป็นตัวที่ 1 ของสัทธรรม 7 สัจธรรม 7 ตัวศรัทธาเป็นตัวต้น ตัวปัญญาเป็นตัวปลาย เพราะฉะนั้นผู้ที่เกิดศรัทธานี่ มีแต่ศรัทธาก็คือมีแต่ความซื่อบื้อ แต่ถ้ามีปัญญาเข้ามาร่วมในศรัทธาก็จะเกิดปฏิภาณไหวพริบ จะรู้ตนรู้โลก การเริ่มรู้โลก การเริ่มรู้ตนว่า ปัดโธ่เอ๋ย ตนเองขายขี้เท่อ ขี้เท่อที่ขายคืออะไร คือกิเลส แสดงกิเลสออก แสดงกิเลสโลภ แสดงกิเลสรักหรือโลภ แสดงกิเลสชัง แสดงกิเลสผลักหรือดูด ยิ่งเหมือนเราเองเป็นนักรู้ความรู้ว่าเออ ผลักคนนี้ เหมือนอย่างอาตมานี่ถูกท่านปราชญ์ทั้งหลายแหล่เขาผลัก ผลักอย่างแรงเลย ผู้ที่รู้สึกตัวสำนึกว่าตายๆๆ เราไปแสดงขี้เท่อผลักหรือดูดต่อผู้ที่เขาถูกต้อง จะมีหิริ จะมีโอตตัปปะ ลึกซึ้งนะ ธรรมะไม่ได้อยู่ในสัตว์ ธรรมะไม่ได้อยู่ในดินน้ำไฟลม ธรรมะไม่ได้อยู่ในพืช ธรรมะอยู่ในคน เพราะฉะนั้นเมื่อไปเพ่งคนผู้ใดที่มีพฤติกรรม แล้วไปมองพฤติกรรมของเขาว่าผิด หรือดูถูกว่าต่ำด้วย จะทำลายด้วย ผู้ที่รู้ว่าตัวเองผิดพลาดตรงนี้ จะรู้สึกไหม ถ้าเกิดปฏิภาณปัญญารู้ว่าโอ้โหตัวเองผิดจะรู้สึกไหม นี่แหละหิริจะเกิด สัจจะอันนี้เกิดจริง คนนี้จะเจริญ ถ้าสัจจะอันนี้ไม่เกิดจริงคนนี้ไม่มีวันเจริญ เพราะเขาจะไม่รู้ว่าตนเองมีสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้น คนที่รู้ว่าตัวเองผิดคนนั้นกำลังเจริญ แต่ก็แล้วแต่ คนที่รู้ว่าตัวเองผิด คนนั้นกำลังเจริญ จนกระทั่งแก้ไขที่ผิด ยอมรับความผิด แล้วเราก็ไม่ทำอีกแล้ว เราก็รู้จริง แล้วเราก็รู้ผู้อื่นว่าท่านไม่ได้ผิด เราก็ไม่ได้ผิด เราไม่ได้ทำผิด และจะเคารพที่ท่านทำถูก แต่ก่อนนี้เรานึกว่าท่านผิด ทั้งๆที่เรานั่นแหละผิด จนเราต้องมาทำตนเองเลิกผิด ก็เหมือนกับที่ท่านถูก เมื่อนี้คนนี้จะเคารพผู้ที่เคยเข้าใจผิด ฟังทันมั้ย นี่คือสัจจะที่วันนี้สาธยายสู่ฟัง อันนึง SMS วันที่ 15 – ธ.ค. 2566 สภาวะตัวอย่างของฌาน 1 2 3 4 _ลูกนิรนาม . กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งเจ้าค่ะ เมื่อวาน (๑๕-๑๒-๒๕๖๖) พ่อครูได้อธิบายฌาน ๑ ถึง ฌาน ๔ และเวทนา ๑๐๘ ลูกก็ได้นำมาทบทวนอีกครั้งและหลายๆ ครั้ง แล้วประมวลผลได้ว่า เมื่อตากระทบกับหัวไชเท้าปุ๊บ! สัญญาทำงานขึ้นทันที เวทนาเกิดความไม่ชอบใจ รังเกียจ ระลึกถึงตอนวัยเด็กแม่บังคับให้กินหัวไชเท้าทุกวัน จนเกิดอาการผลักไม่ชอบใจ รังเกียจ ทั้งกลิ่น ทั้งรส มันอยู่ในความทรงจำ ว่าจะไม่กินหัวไชเท้าอีกตลอดชีวิต แต่พอมาอยู่บ้านราชฯ ช่วงนี้หัวไชเท้ามีเยอะมาก และแม่ครัวก็ทำมาหลายเมนู มีหัวไชเท้าเป็นส่วนประกอบเจ้าค่ะ หนีไม่พ้น เกิดวิสังขารขึ้นมาในใจว่า หัวไชเท้าบ้านราชฯ ไร้สารพิษนะ ประโยชน์เยอะด้วย ถ้าไม่เชื่อไปถามอาจารย์กู (Google) ได้เลย แล้วแม่ครัวที่นี่ทำอาหารอร่อยด้วยนะ จะไม่ลองชิมเมนูแกงจืดหัวไชเท้าบ้างเหรอ? ใจหนึ่งมันผลักไม่อยากกิน (ใจที่อยู่ในอดีต) อีกใจก็อยากล้างตัวติดตัวยึด ความผลัก ตัวรังเกียจ หัวไชเท้า (ใจปัจจุบัน) เอาไงดี.. เอาวะพ่อสอนมาขนาดนี้แล้วจะไม่กินก็ไม่ใช่ลูกพ่อ (พ่อครู) อยากล้างอดีตต้องทำปัจจุบัน ตัดสินใจกินเลย ตักเข้าปากปั๊บ เนื้อนิ่มๆ กลิ่นหัวไชเท้าเข้าจมูก ความจำเดิมขึ้นมาทำงาน ไม่อยากกลืนเลย อีกใจลุ้นๆ เออ!! น่า กลืนๆๆ มันเข้าไป มันไม่ตายหรอกน่า พ่อบอกให้รู้ความจริงตามความเป็นจริง แล้วก็กินต่อไปจนหมดที่ตักมาด้วยความไม่เต็มใจเท่าไหร่ ณ เวลาที่ลูกคิดแบบนี้ลูกอยู่ในฌาน ๑ มีวิตก วิจาร อ่านเวทนา ๓๖ ในปัจจุบัน ทั้งเคหสิตะเวทนา และเนกขัมมสิตะเวทนา กำลังต่อสู้กัน พ่อครูว่า…โอ้โห เก่งจังเลยถูกต้อง ดีจังเลย ได้ผล สามารถอธิบายได้ถูกสภาวะหมดเลย _สุดท้าย เนกขัมมะ ชนะด้วยการลงมือกินแกงจืดหัวไชเท้าด้วยความโทมนัส เป็นเนกขัมมสิตะโทมนัสตลอดการกินจนเสร็จนี่คือลูกอยู่ในฌาน ๑ ใช่ไหมเจ้าคะ? ซึ่งจะก้าวไปฌาน ๒, ๓, ๔ ได้ลูกต้องทำซ้ำๆๆ ต่อเนื่องกันทุกวัน บ่อยๆๆ เพื่อที่ใจลูกจะไปถึงขั้นไม่ดูดไม่ผลักหัวไชเท้า ถึงจะเข้าสู่เนกขัมมสิตะอุเบกขาได้ฌาน ๔ และเวทนาปัจจุบันก็เป็น ๐ ได้ไปพร้อมกันเลยใช่ไหมเจ้าคะ? และเป็นไปได้ไหมคะ ว่าฌาน ๒ ปีติ จะไม่เกิด มันจะกลายไปเป็นโทมนัสที่มันลดลงคลายลงเป็นอุเบกขาได้เลย โดยไม่มีปีติเลยเจ้าค่ะ? ลูกเทียบสภาวะกับพยัญชนะได้มาแบบนี้ตรงไหนที่ไม่ถูกต้อง ลูกกราบขอคำชี้แนะให้ลูกด้วยเจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งเจ้าค่ะ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๖ พ่อครูว่า… ใน เคหสิตะจะมีโสมนัสก่อนแล้วโทมนัสทีหลัง ถ้า เนกขัมสิตะ จะโทมนัสก่อนแล้วโสมนัสทีหลัง ถูกต้องแล้วทำฌานเป็น ไปนั่งหลับตานั้นไม่มีหรอกฌานของพระพุทธเจ้าแบบนี้ ฌานได้จากการกินหัวไชเท้า เห็นไหม ฟังไว้เถอะถ้าคุณนั่งหลับตาสมาธิ ฌานสมาธิทั้งหลายแหล่ โมฆบุรุษทั้งหลายเอ๋ย นี่มาฟังสัจธรรมพระพุทธเจ้าที่เป็นจรณะ 15 วิชชา 8 มา เดี๋ยวอาตมาจะอธิบายฌาน 2 3 4 ต่อไป ฌาน1 อธิบายมาถูกต้อง เข้าใจหมดแล้วนะ โอ้โห ดีจังเลย ฌาน 1 นั่นแหละที่คุณอธิบายมาทั้งหมดคือวิตกวิจารณ์ของฌาน 1 ทั้งหมด ทีนี้ วิตกวิจารก็คือพลังงานที่มันเกิดทางจิต ที่มันสังเคราะห์สังขารกัน มี ปุญญาภิสังขาร จนกระทั่งทำให้กิเลสมันลด ในปัจจุบันนั้นก็ตาม คุณทำได้ นี่แหละเป็นสัจจะที่จะต้องปฏิบัติในปัจจุบันนี่แหละ กิเลสลดได้ ไม่ดูดไม่ผลัก คุณทำได้ เมื่อคุณสามารถทำให้กิเลสมันลดได้จริง แน่นอนตอนแรกมันฝืนมันก็โทมนัส มันฝืน พอทำได้แล้วมันจะโสมนัส พอทำได้ดียิ่งขึ้น ตัวโสมนัสนั้นพอปฏิบัติได้ทำได้มากขึ้น ชำนาญขึ้น ดีขึ้น โสมนัสมันก็เจริญขึ้นมากกว่าโทมนัส เนกขัมมะก็จะมีโสมนัสเจริญขึ้นกลบโทมนัสไปได้เรื่อยๆ ถ้าไม่หยุดโสมนัส โสมนัสก็จะกลายเป็นปิติ ดีใจมากขึ้นๆๆ ดึงไม่อยู่ระวังจะ เพลิด แล้วจะพาให้หลง เหลิงหลงเป็นอัตตาไปอีกได้ นี่คือเรื่องของจิต กิเลสมันร้ายกาจอย่างนี้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าถึงให้เดินฌาน 2 ปีติ ปิติก็อย่าไปหลงปิติก็อย่าไปหลง มันถูกสัจจะก็จะเป็นอย่างนี้มากหรือน้อยก็แล้วแต่ ส่วนมากไอ้ที่มันไม่ประสีประสาเพราะมันเคยมา เมื่อปฏิบัติธรรมมากี่ปาง คุณมีบารมีมากน้อยก็แล้วแต่ ถ้ายิ่งมีบารมีมากมันก็จะไม่เกิดมาก ยิ่งปฏิบัติถูกทาง พอปฏิบัติถูกทางเราเคยไปแล้วมันก็จะระงับง่าย ก็ปิติ เพราะฉะนั้นถ้ายังมีปิติก็ยังเป็นอุปกิเลสก็คือจิตมันฟู มันยินดีมันกลายเป็นสุข ก็ลดลงให้สงบเรียกว่า สุข เป็นฌาน ฌาน 3 มันก็จะสงบลง สงบลงเป็นวูปสโมสุข เป็นสุขที่จิตสงบลง ไม่ใช่สะกดจิตด้วย สงบไม่ใช่สงบด้วยการสมถะ สะกดจิต แต่สงบเพราะปัญญา สงบเพราะกิเลสรู้กิเลส กิเลสมันแพ้ปัญญา กิเลสมันก็ลดลง ปัญญา มันก็มีธรรมฤทธิ์ชนะไปเรื่อยๆจนเป็นฌานที่ 4 สะอาดบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา นี่คือฌานพระพุทธเจ้า เป็นอจินไตย เป็นฌานวิสัยที่เห็นแจ้งรู้ๆชัดเจน ทาง ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส โผฏฐัพพะกระทบภายนอก ที่เราพูดนี้มันเป็นรสทางลิ้นมากหน่อย ทางจมูกลิ้นกายเหมือนกันหมด ทุกอย่างที่สัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่อธิบายทางลิ้นมันจะครบได้เยอะ เป็นรสทางลิ้นจะครบ เห็นกิเลสได้ง่ายได้เยอะกว่า ตัวนี้ ผู้ที่ปฏิบัติฌานจึงไม่ใช่เป็นคนที่ทำสติอยู่ในภพอยู่ในภวังค์หรือไม่มีสติทางกายวาจา ไม่มีการรู้โลกรู้อัตตาไม่ใช่ ต้องมีโลกมีอัตตา มีภายนอกมีภายใน ทำงานเป็นกายกับจิต ทำงานเป็นกายเป็นจิต เพราะฉะนั้น ผู้ที่ปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้าจะต้องมีกาย คำนี้ก็พูดแล้วพูดอีก อธิบายแล้วอธิบายอีก กายนี่ มันเป็นคำที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่สามารถปฏิบัติแล้วไม่สัมมาทิฏฐิในความเป็นกายคือไม่มีภายนอก เป็นต้น ไปหลับตาไปมีแต่ภายใน พวกนี้ก็โมฆะ หรือพวกที่มีแต่ภายใน มีแต่ความลึกลับอยู่ในจิต มีจินตนาการเป็นต้น ไม่มีกายภายนอก ผู้นี้ก็โมฆะ ไปอยู่แต่ในจิตไม่มีกายภายนอกโมฆะไปหลับตา ผู้ที่ลืมตาแต่ไม่มีกายภายนอก ลืมตาไม่มีกายภายนอกเป็นยังไง คือเข้าใจว่าสิ่งที่เป็นความรู้ สิ่งที่เป็นสภาวธรรมทั้งหมดนั้น อยู่ที่ความรู้และความเป็น ความรู้และความเป็นที่สูงสุดนั้นคือความรู้ความเป็นของพระศาสดาสอนไว้ พระศาสดาของศาสนาเทวนิยมนั้น สูงสุดคือพระเจ้า พระศาสดาของศาสนาเทวนิยมไม่รู้ว่าพระเจ้าคือความรู้ ความจริง ที่ตนนั่นแหละมี แล้วจริงๆพระเจ้าก็คือความรู้และความจริงของตน ที่ได้สั่งสมมาตั้งแต่ไม่รู้ชาติไหนต่อชาติไหนและคนก็มาได้บ้าง จนมาแสดงออกคนมายอมรับนับถือได้เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่ง ในศาสนาเทวนิยมที่อวิชชาไม่รู้อัตตาไม่รู้ตัวตน แล้วตัวตนก็ได้เป็นพระเจ้าหรือพระศาสดา และตัวเองก็บอกว่าไม่รู้พระเจ้า ตัวเองไม่รู้ว่าตัวเองเป็นพระเจ้า พระเจ้าของตัวเองก็ไม่รู้ตัวเอง ก็เลยพลอยให้คนอื่นๆไม่รู้จักพระเจ้า ก็รู้แต่ศาสดา แล้วศาสดาก็ไม่รู้จักพระเจ้า ศาสดาก็เลยเอาความไม่รู้จักพระเจ้ามาสอนสาวก สาวกทั้งหมดก็เลยมีความรู้ ที่เป็นความรู้อันลึกลับคือพระเจ้า ความรู้อันลึกลับ เป็นความรู้อยู่ในความมืด หรือความรู้อยู่ในความคลุมเครือ ความรู้อยู่ในความไม่กระจะกระจ่างไม่เปิดไม่เผยในความเป็นคน คนเป็นคนมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ออกมาตื่นๆเต็ม เป็นสติเต็มร้อยทั้ง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่เมื่อมีสิ่งที่ไม่เต็มคน จะลึกลับทางแบบพระเจ้าหรือไปนั่งหลับตาไปปฏิบัติอีก กลายเป็นพญาครุฑ กลายเป็นพญานาคก็ตาม ไม่เต็มคนทั้งนั้น อธิบายพญาครุฑ พญานาคไปแล้วนะ นี่คือสิ่งที่ไม่สมบูรณ์ของธรรมะ แม้แต่ในศาสนาพุทธ จะเป็นพญานาคหรือเป็นพญาครุฑก็ไม่สมบูรณ์ทั้งคู่ จนกว่าจะมาจับสภาวะได้ว่า พระพุทธเจ้าบอกจุดปฏิบัติสูงสุดในศาสนาให้ เป็นฐานปฏิบัติ ในพรหมชาลสูตร ท่านก็ใช้คำว่าฐานะนี่แหละ เป็นที่ตั้ง เป็นแหล่งเป็นจุด สำคัญที่จะต้องปฏิบัติ หรือใช้ทำกรรมกิริยา เรียกเต็มๆว่ากรรมฐานะหรือกรรมฐาน กระทำกันตรงนี้ ทีนี้ตัวเหตุตัวจุดที่จะทำกรรมฐานนี่คือเวทนา เวทนา เรียนมันตรงนี้ แล้วจะรู้จักจุดจบ จุดจบที่สำคัญที่สุดคือ มนุษย์รู้ทุกข์รู้สุข แล้วก็รู้ว่า ทุกข์สุขนี่แหละเป็นผีหลอก เป็นมายาที่ร้ายแรง เมื่อจัดการให้จิตตัวเองหมดสุขหมดทุกข์ได้ จบเลย ทุกอย่างจบ จบคำนี้พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่า จบกิจ กตํ กรณียํ นารํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ เสร็จแล้วหมดเลย จบกิจหมดเลย เพราะฉะนั้นจบกิจ อาตมาได้พยายามแยกวิจัยมาให้เห็นให้ฟังหลายทีแล้ว จบกิจที่ 1 จบกิจตามสมมุติสัจจะ เขาสมมุติกันว่าอะไรดีในสังคมกลุ่มไหนก็ตาม เราก็ทำดีตามสมมุติของกลุ่มนั้นๆได้ อย่างเที่ยงแท้ นิยตะ ไม่ทำสิ่งที่มันไม่ดีหรือชั่วตามสมมุติมนั้นได้ นี่เป็นกิจที่ 1 ที่ทำได้ตามสมมุติสัจจะ เป็นโลกีย์ จบกิจที่ 1 ทำดีไม่ทำชั่ว อย่างนิยตนะ ไม่ใช่นิจจังด้วย นิยะตะคือเที่ยงแบบโลกุตระ ถ้านิจจังเป็นความเที่ยงแบบโลกียะ อธิบายขยายความมามากแล้ว เพราะฉะนั้นจบกิจข้อนี้เป็นเรื่องของโลกีย์ธรรมดาได้ จบกิจ 2 จบกิจโลกุตระ คือ ขั้นสุขทุกข์ จบกิจขั้นสุขทุกข์นี้ก็คือต้องรู้เวทนานี่แหละ นี่เป็นฐานปฏิบัติ ทำจิตให้รู้จักมายาตัวนี้ จนจิตไม่สุขไม่ทุกข์ คนเดายากมากเลยว่ามันไม่สุขไม่ทุกข์อย่างที่รู้ทุกข์อย่างนั้น ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ตื่นๆนี้อ่านเวทนาในเวทนาของตนได้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส อุเทส คือคำอธิบายที่อาตมาอธิบายชี้แจงอยู่นี้ ก็อธิบายอาการ ลิงค นิมิต ก็คืออธิบายความแตกต่างระหว่างอาการหรือนิมิตของจิตเจตสิกต่างๆ อาการจิต อาการเจตสิกของคุณ โดยเฉพาะอาการของเวทนาเจตสิก อาการมันเป็นอาการของความรู้สึก อาการของอารมณ์ คุณก็อ่านอาการนี้ออก เมื่อมันกระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบใน โอฬาริกอัตตา ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ทั้งหมดเลย โอฬาริกอัตตา คนที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองยังจมอยู่ในลาภ ตัวเองยังจมอยู่ในยศ ตัวเองจมอยู่ในสรรเสริญ แล้วก็กรึ่มอยู่กับสุขที่ตัวเองจมอยู่นั่นแหละ โดยอวิชชา นี่เป็นโลกธรรม 100% มันเสื่อมก็ทุกข์ มันเจริญก็สุข อยู่อย่างนั้นแหละ นั่นเป็นโลกธรรม อีกอันก็คือมาเรียกกันว่าเป็นกามคุณ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส (โผฏฐัพพะ) โลกธรรมนี้มันกว้าง มันใหญ่ มันมากกว่ากันนะ ส่วนกามมาถึงสัมผัสกับตัวเองแล้ว ต้องมีสัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะฉะนั้นคนที่ปฏิบัติ โลกธรรมก็ไม่รู้ กามก็ไม่รู้ เขาอาจจะมาเรียนรู้ว่า โลกธรรมมันกว้างมากก็เลยจับไม่ค่อยติด ก็เลยไม่รู้ตัวก็จมอยู่ในโลกธรรมง่าย ก็เลยมาถึงกามมันติดตัว เช่นผู้ที่เป็นปราชญ์เรียนรู้ศึกษานักรู้หรือปราชญ์ก็จะรู้กามนี้มากกว่า แต่มหาบัวนี้ โลกธรรมก็ไม่รู้ กามก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นจึงเปรอะหมดทั้งคู่ ซับซ้อน โลกธรรมก็ซับซ้อน นึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่มากเลย ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ครบ แม้แต่กามก็ครบ ติด ไม่รู้ว่าตัวเองติดสักอย่างเลย ทีนี้ ผู้ที่ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ก็รู้ยากแม้จะเป็นสายตื่นๆไม่หลับตาแบบมหาบัว ทางพวกเปรียญนักปราชญ์ว่างั้นเถอะ จมอยู่ใน ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ใกล้ตัวเรื่องกามก็ไม่รู้ ตั้งแต่ความเป็นกาย ถ้าคุณไม่รู้กาย คุณไม่รู้กาม ถ้าคุณมิจฉาในเรื่องกาย คุณไม่รู้กาม มันลึกซึ้งนะกาม สัมผัสลาภ มันก็กาย มันก็กาม สัมผัสยศมันก็กายมันก็กาม สัมผัสสรรเสริญมันก็กาย มันก็กาม มันเป็นความซับซ้อนที่ลึกซึ้งอาตมาขยายความให้ฟัง เพราะฉะนั้นเมื่อไม่รู้ ก็ถูกมันกินสิ แล้วตนเองก็ไม่รู้ตัวกินตัวเองถูกกิน พูดไปแล้วนะโลกธรรมกินตัวไปแล้ว กามก็ไม่รู้ตัวเพราะไม่มีความรู้ในกาย คือมีภายนอกกับภายใน กายไม่ขาดกันนะทั้งภายนอกและภายใน คุณลืมตาอยู่แท้ๆ คุณก็ตาบอดตาใส ลืมตานะพวกนี้ไม่ได้ไปนั่งหลับตาสะกดจิต แต่ก็หลงว่าถ้าจะปฏิบัตินิโรธก็ยังมีลึกๆอยู่ว่าต้องนั่งหลับตา สายเป็นปราชญ์เป็นพวกศึกษาทางพยัญชนะ ทางความรู้ข้างนอกนี่แหละ ลึกๆก็ยังนึกว่าต้องหลับตา ผู้ใดพอรู้แล้วว่าไม่ต้องหลับตาจะต้องลืมตาก็จะดีขึ้น ก็จะมาเรียนรู้ อปัณณกปฏิปทา 3 มีสำรวมอินทรีย์ 6 กระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็อ่านกิเลสตัวนี้แหละไปหลับตาทำไมมันไม่ใช่ของพุทธ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอน อันนี้ก็แปลแล้ว อปัณณกปฏิปทา แปลว่าข้อปฏิบัติที่ไม่ผิดศาสนาพุทธ ผู้รู้ท่านก็แปลไว้ให้แล้ว แต่ทุกวันนี้มันเสื่อมแม้จะเป็นปราชญ์ก็เสื่อมไม่รู้จริงๆ ก็ไม่ปฏิบัติเอาจริง ผู้ไม่ปฏิบัติเอาจริงก็เห็นๆอยู่แล้วว่า กายหรือกามนี่ บอกแล้วเมื่อกี้ว่าไปติด ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แบกเทิ่งๆอยู่ ก็ชัดๆอยู่แล้วว่าคุณยังจมอยู่ใน ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เพราะคุณไม่รู้กาย ไม่รู้การสัมผัสแตะต้อง แล้วคุณก็ใคร่อยากคือกาม ใคร่อยากใน ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้นที่จะรู้ เอาละ สมมุติว่ามีปฏิภาณดี มาเรียนรู้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส(โผฏฐัพพะ) ได้สังวรระวังตรงนี้ พยายามที่จะเข้าใจรส ไม่ว่าจะเป็นรสความสวยทางตา รสความไพเราะทางหู รสความชื่นใจทางจมูกทางกลิ่น รสความเอร็ดอร่อยทางลิ้น รสความชอบในการสัมผัสทางร่างกาย โผฏฐัพพะ สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งหรือสัมผัสอะไรก็แล้วแต่ คุณเกิดอารมณ์ คุณเกิดความสุข ชอบใจในสิ่งเหล่านี้ อาจจะพอรู้มาปฏิบัติบ้าง ก็ยังดี แต่ถ้าไม่ได้ปฏิบัติเลยคนผู้นี้ก็ไม่ได้อะไรเลย แต่ได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เต็มบ้อง เพราะไม่มีกาย ไม่รู้จักกาม ไม่ได้ปฏิบัติกาม ไม่ได้ออกจากกาม ไม่ได้เนกขัมมะเลย ทั้งที่บวชนี่ก็แนกขัมมะ อุปสัมบัน แล้วก็อธิบาย อุปสัมบัน ว่า ผู้ที่มาบวช นั้นมันเป็นภายนอกแต่สภาวะนั้น อุปสัมบัน คือผู้ที่มีภูมิอยู่ในขอบเขตที่จะรับฟังกันได้คือ อุปสัมบัน ส่วน อนุปสัมบัน ผู้ที่ไม่มีภูมิอยู่ในขอบเขตจะรับรู้ได้ แต่ไปแปลกันว่า อนุปสัมบัน ผู้ที่ไม่ได้นุ่งห่มจีวร เป็นเณรก็แล้วแต่ อาตมาก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงให้เขารู้ได้ เขายืนยันว่าอาตมาเข้าใจตื้น ตื้นก็ตื้น เขาลึกก็ลึกนะ ระวังจะลึกไปอยู่ที่ใต้บาดาล ระวังจะเหินฟ้าไปอยู่กับพญาครุฑกันไปก็แล้วกัน ก็เอาพยัญชนะนี่แหละจะหมายถึงพญาครุฑหรือพญานาคก็แล้วแต่ มาอธิบายสัจธรรม เข้าใจดีไหม เพราะฉะนั้นคนที่ไปหลงว่าพญานาคมีจริง แล้วก็หลงกันนั่นแหละคือมันงมงาย เป็นความเสื่อมของศาสนา นาค ก็คือ งู แล้วก็ไปอุปาทานงูทรงเครื่อง แต่งหงอนแต่งอะไรต่ออะไรให้ เพราะว่าไอ้ศิลปินมันแต่งให้เป็นพญา เป็นนาคใหญ่ก็ลองว่ามีพญานาคจริงๆอะไรกันไป ทั้งๆที่โดยธรรมะมันหมายถึงตัวไอ้โง่อยู่ใต้บาดาลดึกดำบรรพ์ที่ไม่รู้เรื่องนั่นแหละคือพญานาค พวกนี้ก็พูดกันยาก แม้จะไม่เป็นพุทธก็ได้ฟังกริ๊กหนึ่งพระพุทธเจ้าเกิดมาองค์หนึ่งแล้วก็หลับไปต่อ นอกนั้นคุณจะไม่รู้อะไรเลย โง่ดักดาน เป็นพญานาคอยู่ใต้ก้นบึ้งมหาสมุทร มหาอะไรก็แล้วแต่ลึกที่สุดอยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้นการอธิบายธรรมะที่อาตมาอธิบายสัจธรรมของพระพุทธเจ้าตามอนุสาสนี ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าจนถึงทุกวันนี้แล้ว มันก็ทำให้พวกเราได้รับมรรคได้รับผล เข้าใจ ปฏิบัติได้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า โลกยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็คือผู้ที่ยัง (พ่อครูไอตัดออกด้วย) _สู่แดนธรรม… วันนี้ได้ฟังพ่อท่านแสดงความจริงอันหลากหลาย ผมเคยจำไว้นะครับว่า พ่อท่านเคยบอกว่า พระอานนท์กับพระสารีบุตรนั้นต่างกันแต่ใช้คำศัพท์คล้ายกัน พระอานนท์นั้นพ่อท่านบอกว่า ท่านนั่นแหละสมควรได้รับคำว่าพหูสูต เพราะเป็นผู้ที่ศึกษาเก็บความจำไว้เยอะ ส่วนพระสารีบุตรนั้น ท่านมีความจริงอยู่เยอะ ท่านก็มีความจริงเป็นครั้งสมบัติของท่าน จึงใช้คำว่าพาหุสัจจะ ซึ่งคราวนี้พ่อท่านก็คงจะลืมไปอีก มีคนอีก 1 คนที่เขียน SMS มา รายการวิเคราะห์ของคนนี้จบหรือยังครับ พ่อครูว่า… จบก็ได้ _สู่แดนธรรม… จะมีคนส่งต่อจากคุณลูกนิรนามอีกครับ ทำทานอย่างแม้นิดแม้น้อยก็ไม่มีเอาคืน นี่คือบุญ _มิสเตอร์จอห์น . ด้วยความเคารพยิ่งครับ ผมได้ติดตามรับชมรายการผ่านทาง facebook และ youtube ทางมือถือ เพราะสะดวกและฟังย้อนหลังได้ทุกเวลา ธรรมะที่พ่อครูได้เทศน์ ยิ่งฟัง ยิ่งซาบซึ้ง ฟังย้อนหลังหลายตอน ยิ่งฟังซ้ำก็รู้สึกว่า ได้รู้เพิ่มขึ้นในสิ่งที่เคยรู้ และแม้เป็นคำเทศน์เดิมก็คล้ายกับว่า ได้ความเข้าใจที่เพิ่มมากขึ้น ลึกซึ้งขึ้น ต้องขอขอบคุณท่านสมณะ สิกขมาตุ และทีมงานหลายๆ ท่าน ที่ช่วยรวบรวมเทศน์ย้อนหลังหลายๆ ปี ให้ได้เข้าถึงง่ายครับ ผมมีปัญหาสอบถามดังนี้ครับ “ทานที่ให้แล้ว ต้องไม่มีสาเปกโข ถึงจะเข้าข่ายทานมัยที่เป็นสัมมาทิฏฐิ” ข้อนี้ผมเข้าใจได้ดี แต่ก็ได้รับรู้มาว่า อย่างไรก็ตาม ทานมีผลแน่นอน ดังนั้น เมื่อผมทำทานแล้ว (วัตถุทาน) ใจก็จะไม่หวังผล ไม่คาดหวังว่าจะได้กลับคืน ไม่คิดว่าจะสะสมไว้ใช้ภายหลัง แต่มันดันมีความรู้ว่า “ทาน” มีผลแน่นอน ขอพ่อครูช่วยชี้แนะ สั่งสอน วิธีการทำใจในใจว่า ทำใจอย่างไรให้ ทานแล้วสูญไปเลยครับ (อานิสงส์ที่ได้จากการทำทาน คือความโลภลดลง ความอยากรวยลดลงชัดเจนครับ และก็จะทำต่อไปครับ) กราบนมัสการ ด้วยความเคารพยิ่งครับ พ่อครูว่า…คุณยังแยกไม่ออกในกุศลกับบุญ ถ้าทานเป็นกุศล มันก็เป็นกุศล เพราะมันเป็นกุศล ทำทานนี่มันไม่เป็นอกุศลหรอก แม้คุณจะให้ทานด้วยใจไม่เต็มใจ ใจที่ไม่เต็มมันอกุศลอยู่หน่อยๆ แต่มันก็เป็นกุศล ทานนี่เป็นกุศลสำหรับคุณ ที่คุณไม่เต็มใจนี่คือความขี้เหนียว ความโลภ ความตระหนี่ของคุณต่างหาก กิเลสของคุณและคุณก็ไม่ปล่อย ทั้งๆที่คุณให้นะวัตถุ คุณให้ไปแล้วแต่ใจของคุณมันไม่ยอม ยังตระหนี่อยู่ว่า ของกู ของกู อยู่นั่นแหละ _สู่แดนธรรม… ทำแบบนี้ก็ยังได้ผลใช่ไหมครับ พ่อครูว่า… ยังได้ผลเป็นทานเป็นกุศล ทีนี้บุญก็คือคุณต้องล้างกิเลส ต้องรู้ว่า ทานก็คือการให้ ให้ก็คือให้ ให้ยังมีเราตามการให้ไปอยู่ ให้คุณยังมีกูไปกับให้ อันนี้ไม่มีอานิสงส์ แต่กุศลมันมีแล้ว เพราะฉะนั้น บุญคือตัดกิเลส ไม่มี สาเปกโข คือไม่มีอะไรเป็นตัวต่อจากจิต ทำทานแล้วศูนย์ ทำทานให้จิตก็จบศูนย์ _สู่แดนธรรม… อันนี้เขาว่าเขาเข้าใจ พ่อครูว่า… เข้าใจคุณก็ทำสิ เข้าใจแต่บัญญัติคุณก็ทำใจในใจตรงนี้แล้วจบเลย คุณรู้แต่บัญญัติก็คือคุณทำไม่เป็น คนรู้บัญญัติว่ารู้แล้วล่ะทำทานอย่ามี สาเปกโข อย่าให้มีตรงนี้แหละบัญญัติมันได้มันรู้แต่คุณทำใจในใจตรงจริงกับความเป็นจริงของความหมายอันนั้นไหมล่ะ ก็มีความสุขไงหมดกิเลสไงกำจัดกิเลสที่จะมีเรามีของเราไอ้นี่ก็ไม่ใช่ของเรา เราก็ไม่มี ทานก็ไม่มี ของเป็นกุศลอะไรก็ไม่มี เราก็ไม่มี แต่คุณยังมีเราเป็นของเราอยู่ _สู่แดนธรรม… ส่วนใหญ่คนเข้าใจว่าผลของทานคือการได้อิ่มบุญ พ่อครูว่า… นั่นแหละอิ่มบุญก็เป็นกิเลส เสริมเป็นอุปกิเลสซ้อน คือมันไม่มีอะไร เข้าใจคำว่า ไม่มี ไหม นิดหนึ่งน้อยหนึ่งก็ไม่มี ความไม่มีนี่แหละจบ ก็คือ 0 นั่นแหละอธิบายขยายความ 0 นิดนึงน้อยหนึ่งไม่มีก็คือ 0 _สู่แดนธรรม… แต่ผมเห็นว่ามันมีผลดีทางเศรษฐกิจ พ่อครูว่า… เอ้านั่น เป็นเรื่องของโลก ถ้าคุณเป็นคนทำทาน คุณเกิดมาคุณเป็นคนได้ให้นั่นแหละคือคุณจบเรื่องเศรษฐกิจ ถ้าคุณเกิดมาแล้วคุณก็จะเป็นผู้ที่ได้เอาหรือยังแลกกลับคืนอยู่ คุณไม่ใช่นักเศรษฐกิจที่สูงสุดหรอก นักเศรษฐกิจสูงสุดก็คือ ยิ่งเพิ่มพูนการเสียสละ นั่นแหละคือนักเศรษฐกิจชั้นหนึ่ง ไม่มีตัวกูของกู แล้วคุณจะไม่อยู่ไม่ได้ นั่นล่ะคุณยังตื้นอยู่ คุณหาที่อยู่ หาสังคมอยู่ หาพฤติกรรมของหมู่สังคมที่ไม่ต้องมีของตัวของตน เป็น 0 เลย มีแต่ของส่วนกลาง มาสิ มาศึกษาที่นี่นักเศรษฐศาสตร์ มาศึกษาที่อโศกนี่ จะเห็นเศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์ที่สูงสุดอันนี้ ในโลก ขออภัยพูดดังไป ในโลก ขออภัยที่พูดดังอีกแล้ว นี่แหละ เศรษฐศาสตร์ที่สูงสุดในโลก พูดเบาๆ _สู่แดนธรรม… พูดความจริงแค่พูดเบาๆก็ดังครับ ดังสนั่นด้วย พ่อครูว่า… ไม่เชื่อหรอกว่าจะดัง พวกหูตึงมันไม่ค่อยได้ยิน พวกหูตึงไม่ค่อยได้ยินหรอก ยิ่งอายุมากเท่าไหร่ยิ่งตึงมากเท่านั้นพวกหูตึง อะไรๆก็หย่อนหมด เหลือแต่หูที่ตึงขึ้นๆ เวลาหมดแล้วสำหรับวันนี้ก็เอาเท่านี้ก็แล้วกัน เจริญธรรมทุกคน Categories: ธรรมะพ่อครู, ศาสนาBy Samanasandin18 ธันวาคม 2023 Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:661215 พระอภิธรรมของ ฌาน และเวทนา 108 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศกNextNext post:661220 สภาวะบวร(บ้าน-วัด-โรงเรียน) ที่พ้นอัตตวาทุปาทาน พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศกRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024