661222 จบกิจทั้ง 4 อย่างมีปาฏิหาริย์ของพุทธ พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1o0ruFI3byYpFCoBywjkwt1niDSPoSN5t/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/162MAk6wmbn3mVFwjxqQVWYG5qwvNDVtM/view?usp=sharing
และ
ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/p59LmHyVp0 /
และ https://youtu.be/d-vJJm_pb3M
มีซับ
ลานเทียนอันหมานเป็นลานเอนกประสงค์เพื่อมวลมนุษย์
สมณะฟ้าไท… วันนี้วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม 2566 ขึ้น 10 ค่ำเดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
ตอนนี้ที่วารินเขาบอกว่าอุณหภูมิ 21 องศา ที่บ้านราช 19 องศา เขาบอกว่าจะหนาวไปถึงปีใหม่ ถ้าอยากมาฉลองหนาวก็มาที่บ้านราช จะมีฉลองหนาวตั้งแต่เช้าด้วยการเทปูน ถึง 21:00 น 22:00 น ถึงตี 1 ตี 2 ตี 3 มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ฉลองกันสนุกสนาน วัยรุ่นก็ทำไป คุยกันเจี๊ยวจ๊าวก็สนุก ก็ดี ทำงานแล้วสนุก
อาตมาเห็นโยมสันแกใส่รองเท้าแตะ ใส่เสื้อตัวเดียวขับรถ กับเด็กชายศีล ขับทั้งวันเลย ถามโยมสันว่าไม่หนาวหรือ เขาก็บอกว่าผมอยู่อย่างนี้แหละสมถะ เสียสละตลอดวัน มีการทำเป็นกะงานช่วยกัน สมานสามัคคี เป็นการฉลอง 90 ปีพ่อครูที่ถูกต้อง ฉลอง 30 ปีบ้านราช ฉลองแบบนี้สุดยอด ทำงานแบบ over time เป็นการฉลองที่มีคุณค่าประเสริฐ ได้เสียสละ
เด็กวัยรุ่นแทนที่จะไปเที่ยวกลางคืน เล่นโทรศัพท์ ก็มาเทปูนตั้งแบบ เปื้อนเปรอะไปด้วยปูนกระเด็นกระดอน เต็มที่ตามสมควรแก่ธรรมแต่ละคนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ทำเต็มที่ เป็นการฉลอง30 ปีราชธานีอโศกและ 90 ปีพ่อครู ทุกคนได้มาสร้างกุศลเต็มที่ ก็ไม่ได้คาดการณ์ไว้แต่มีมาก็ดี นี่คือการเฉลิมฉลองแบบโลกุตระ
ตอนฉลอง 60 ปีพ่อครู ไม่ได้ลื่นล้ม ถือว่าไม่ได้มา ได้ฉลอง 90 ปีนี้ไม่เหมือนกัน เรามาสร้างสรรค์เต็มที่ ทำอย่างเต็มที่ เปรอะเปื้อน ไม่มีใครบ่นมีแต่ความสนุกสนานรื่นเริงเบิกบาน เด็กวัยรุ่นแทนที่จะบ่น เขาก็ทำเต็มที่ด้วยความเบิกบานแจ่มใสของเขา ได้คุยกับเขาก็เห็นว่าเป็นการเสียสละที่มีคุณค่าที่ประเสริฐ ไม่ได้มีผลประโยชน์แก่ตนเองเป็นของส่วนกลางทั้งหมด คนร่วมกินร่วมใช้ร่วมสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่มีคุณค่าประเสริฐแก่ชีวิตที่ทำอยู่
การฉลองของชาวอโศกคือการฉลองแบบนี้ ไม่ใช่ฉลองก๋วยเตี๋ยวเส้นโน้นเส้นนี้เย็นๆร้อนๆ อันนี้เย็นเจี๊ยบเลย เย็นดีจัง และน้ำเราก็ประหยัดสบายมาก เพราะใส่เฉพาะปูนเท่านั้นตัวเราไม่ต้องอาบน้ำมาก อาบน้ำก็ประหยัด อาบน้ำ อาบหน้า อาบมือ อาบเท้าก็พอแล้ว พ่อครูไปให้กำลังใจแค่เดินเฉียดไปก็ถือว่าสุดยอดแล้ว
พ่อครูว่า… พูดแล้วมันอบอุ่นนะ พวกเรานี่สามัคคี ทำงานไม่ว่าเด็กเล็กผู้ใหญ่ ร่วมมือร่วมไม้กัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวที่เหนียวแน่น และมีความจริงใจด้วย สัจจะมันลึกตรงนี้ มันเป็นความจริงใจของคนจริง ที่มีทั้งปัญญามีทั้งความศรัทธา มีสมบูรณ์ และก็ทำเพื่อผลอันดีงาม ที่อ้างอิงเพื่ออาตมาก็อ้างไปเท่านั้นแหละ จริงๆก็เพื่อผลงานเพื่อสิ่งที่จะเป็นประโยชน์คุณค่าต่อมวลมนุษยชาติต่อไป
บ้านราช เราไม่มีลานที่กว้างๆที่เรียบร้อย ซึ่งมันจะเป็นสถานที่ที่เป็นจุดศูนย์กลาง ซึ่งจะสังเกตเห็นเมืองใหญ่ๆ เขาจะมีลานพวกนี้ นั้นในเมืองใหญ่ของประเทศต่างๆ เขาจะมีลานอเนกประสงค์ ตั้งแต่สนามหลวงจนถึงลานพระบรมรูป ลานคนเมือง ที่อุบลก็มีทุ่งศรีเมือง มันเป็นลานที่จะรวมคนสำคัญๆในเวลาสำคัญ ในเวลาที่ต้องใช้คนมารวม มันเป็นประโยชน์คุณค่าต่อมวลสังคม
ของเรา เราก็มีที่ที่เราจะใช้ประโยชน์ได้อีกหลายอย่าง ไม่ใช่เฉพาะมารวม ไม่ใช่เฉพาะรองรับคนเท่านั้น นอกนั้นจะเป็นประโยชน์ที่จะได้ใช้สอยอะไรอีก เดี๋ยวก็รู้ก็จะเกิดผลอย่างนั้นอย่างนี้
เริ่มต้นที่ SMS
_จากลูกเพื่อ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๖
น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
ขณะนี้ลูกได้ออกจากบ้านราชมาทำธุระ.. กราบขอโอกาสเล่าถึงสภาวะย้อนหลังรวมถึงช่วงตั้งแต่เดินทางขาออก ลูกโดยสารรถไฟตู้นอนมีสตรีท่านหนึ่งเดินมาขอสลับที่ โดยกล่าวว่าเขาไม่สะดวกจะใช้เตียงบนจึงอยากขอแลกกันและยินดีจะจ่ายค่าต่าง ช่วงที่เดินทางนั้นเนื่องจากจิตของลูกไม่แววไว เลยไม่ยินยอมแลก เหตุการณ์ผ่านไปก็คิดย้อนหลังว่า “เสียดาย ที่เราไม่ได้ช่วยเขา”
จากเหตุการณ์บนรถไฟ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการเสียสละ และทำประโยชน์ได้สูงสุดจะเกิดขึ้นไม่ได้ตราบที่ยังมีกิเลสครอบงำ เพราะจิตที่หมองขุ่นจะไม่แววไว ในการทำกุศล
ทำธุระวันพฤหัสและศุกร์เสร็จ ได้ยินข่าวว่าทางสันติมีค่ายอุโบสถศีล ช่วง ศุกร์-อาทิตย์ พอดี ใจหนึ่งรู้สึกเหนื่อยจากการเดินทาง และทำกิจธุระหลายที่ แต่คิดว่าเป็นโอกาสที่ดีจะได้เยี่ยมชมและรู้จักพี่น้องที่สันติ (ครั้งแรกที่ได้เข้าไปภายในสันติอโศก) จึงตัดสินใจเดินทางมาร่วมค่ายที่สันติตั้งแต่ช่วงทำวัตรเช้าวันเสาร์ และทำกิจกรรมต่อเนื่องจนจบรายการวันอาทิตย์ ลูกมีความยินดีและคุ้มค่าที่ตัดสินใจมาเข้าค่าย เพราะ ได้รู้จักคบคุ้นกับผู้คน และสถานที่ ได้กิจกรรมที่ให้ประโยชน์
สถานการณ์.. การต่อสู้กับกิเลส (ตัวยึดที่เคยเล่ามาแล้ว) เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความคืบหน้าโดยรวมจิตปล่อยวางมากขึ้น แต่ยังไม่ใส สบาย หลายๆครั้งเกิดอาการเหนื่อย และเบื่อหน่ายมากค่ะ สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะลูกพิจารณาผลเสียของการยึดนั้น (การงานที่ลูกยึดนั้น เป็นกุศลที่ลูกมีฉันทะในการทำมาก ทำแล้วช่วยเพิ่มพลังอย่างมหาศาลให้แก่ลูก)
ช่วงแรกๆ พอคิดว่าจะตัดงานนี้ออกไป ก็เกิดแรงต้านภายในอย่างมาก เหมือนกับต้องตัดขุมพลังของจิตออกไปด้วย ถึงตอนนี้ยังมีแรงต้านนี้อยู่ แต่ลูกให้ทางออกกับตัวเองว่า ๑. “เราแค่ เสนอ… หากคนอื่นไม่สนอง เราก็จะตัดรอบ” (และต้องพยายามปล่อยให้ได้จริง) ๒. หากเขาเสนอ…เราค่อยสนอง ๓. เราไปทำงานกุศลแบบนี้ให้ที่อื่น หรือกลุ่มอื่นมีความต้องการให้ช่วย …พยายามไกล่เกลี่ยแนวทางนี้ เจ้าตัวยึดก็ยอมอ่อนลงให้บ้าง ไม่พยศเหมือนดังเดิม (คล้ายๆเกิดจุดสมดุลระหว่างคู่กรณีในกาละนี้)…
การต่อสู้ในสนามรบ (แม้เรารบกับตัวเอง) ลูกเห็นข้อดีของการอยู่ห่างจากฐานที่ตั้งปกติ คือ ให้เวลาพักจิตและเปลี่ยนมุมมองในสิ่งแวดล้อมอื่น เรียนรู้บุคคลใหม่ๆ อย่างการสู้รบ ก็ต้องมีทั้งรุกและถอยออกจากฐานเพื่อตั้งรับ (การออกห่างในลักษณะนี้ เป็นการหนีหรือไม่ และสมควรหรือไม่อย่างไรคะ) หรือเราควรต้องทุ่มโถม ยืนยัน ประจันหน้าอย่างเดียว
กราบขอพ่อเมตตาวิเคราะห์แนวทางการจัดการกิเลสที่กล่าวถึงข้างต้น และ ชี้แนะกลวิธีที่มีประสิทธิภาพเพื่อนำมาปฏิบัติ
น้อมกราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า… พูดมาเหมือนกับกลยุทธ์การรบทหารเลย เคยเป็นทหารมาชาติก่อนหรือเปล่า ต้องเรียนรู้ทีถอยทีรุกพวกนี้
ถูกต้องแล้วล่ะเอาอย่างทหารนั้นถูกแล้ว จะทุ่มโถมอย่างเดียวคงไม่ได้ ต้องดูองค์ประกอบรายละเอียดที่คุณวิจัยวิจารมานั้นดีแล้ว ทุ่มโถมอย่างเดียวแล้วหน้ามืดมันไม่บริบูรณ์
กลวิธีที่คุณอธิบายมาเองละเอียดดีมากแล้ว เอาอย่างที่ทำนั่นแหละ เพื่อนำมาปฏิบัติเอาอย่างนั้น
เด็กที่บอกว่าเชื่อมจิตได้เป็นจริงอย่างไร
_อนุวัฒน์เจ้าเก่า .
๑. พ่อท่านมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับกรณีของเด็กที่อ้างว่ามีการเชื่อมจิตสอนธรรม พระสาวกฟังธรรมเป็นจำนวน 1,250 รูป พพจ.เทศนาธรรมคงไม่ได้ยิน จึงอ้างว่าต้องใช้การเชื่อมจิต
พ่อครูว่า… ของเราในศาลาอยู่เป็นพันถ้าใช้เสียงของกล้าข้ามฝัน ไม่ต้องใช้ไมโครโฟนก็ได้ยิน แล้วยุคนี้ความหนาแน่นของบรรยากาศไม่เหมือนสมัยพระพุทธเจ้าที่มันโปร่งใสกว่านี้เยอะ พวกนี้พลังงานแสงเสียงอะไรอยู่ในบรรยากาศมันต่างกันมากเลย
เอาเถอะจะคิดละเอียดละเลียดอย่างนั้นบ้างก็คิดไป ไม่มีเรื่องอะไรมากหรอก
๒. แท้จริงแล้วเรื่องอภินิหารที่เกินธรรมชาติของมนุษย์นี้ เพื่อนแป้งเคยอธิบายว่าพระองค์เอาการระลึกชาติ การมีตาทิพย์ หูทิพย์ ดักใจรู้ใจสัตว์อื่นมาสอนในระดับอธิปัญญาสิกขา จึงไม่ใช่เรื่องแสดงอิทธิฤทธิ์ทางเจโตแต่อย่างใด ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมวิชชาทั้ง ๘ จึงเป็นเรื่องของอธิปัญญาสิกขา ทำไมไม่ใช่เรื่องของอำนาจจิต ตกลงพระพุทธเจ้าทรงนำมาใช้สอนอะไร มีขอบเขตให้แสดงได้มากน้อยเพียงใดครับ
พ่อครูว่า… ดีถามอันนี้มาดีฟังดีๆ คุณกำลังหมายใจอยากจะให้แสดงแบบอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ หรือจริงๆก็คืออาเทสนาปาฏิหาริย์ ซึ่งเป็นปาฏิหาริย์ อิทธิปาฏิหาริย์ก็ดี อาเทสนาปาฏิหาริย์ก็ดี สองปาฏิหาริย์นี้คือ
อิทธิปาฏิหาริย์เป็นการแสดงปาฏิหาริย์ที่เป็นความเก่งวิเศษที่มันเห็นเป็นรูปธรรมเลย เหาะได้เดินน้ำดำดินได้ อย่างนี้เป็นต้น เสกคนหนึ่งคนให้เป็นพันคนปุ๊บ อะไรอย่างนี้ ซึ่งเป็นความเก่งพิเศษในระดับสัมผัสได้ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นความเก่งพิเศษ ซึ่งมันเป็นเรื่องจริงๆแล้วซับซ้อน
มันไม่จริงหรอก มันเป็นอุปาทานที่ไปใช้ให้จิตของคนเป็นเช่นนั้นไปได้ชั่วคราว แต่ความจริงมันไม่ถาวรและไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทำ สรุปไว้ตรงนี้ว่าไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทำ เก่งให้ตายอย่างไรก็เป็นเรื่องไม่ควรจะทำ นี่เป็นเรื่องของทางรูปธรรม ที่สัมผัสเป็นแท่งเป็นก้อนเป็นรูปเป็นร่างเป็นอภินิหาร อย่างนี้
ส่วนอาเทศนาปาฏิหาริย์คือปาฏิหาริย์เฉพาะทางจิตในจิต หยั่งรู้ใจคนอื่น ใช้จิตท่องโลก ไปหาของหาย ทำนายทายทักอะไรต่ออะไร อย่างเอาจิตไปใช้ ทะลุทะลวงอะไรได้ มันก็มีได้เป็นปาฏิหาริย์อีกอย่างหนึ่ง
อิทธิปาฏิหาริย์ก็มีจริงได้ อาเทสนาปาฏิหาริย์ก็มีจริงได้ แต่พระพุทธเจ้าไม่ส่งเสริม ไม่ส่งเสริมแถมปรับอาบัติด้วย ผู้ใดทำอาบัติทุกกฎ อาบัติทุกกฎก็คือที่ตั้งตั้งไว้แล้วที่บอกไว้แล้วอย่าทำ ห้ามทำเป็นกฎ เป็นกฎเกณฑ์อย่าไปทำ
_สู่แดนธรรม… ถ้าไม่มีจริงก็หนักกว่านั้น
พ่อครูว่า… ถ้าไม่มีจริงก็ปาราชิก ก็ไปหลอกคนหรือเป็นเรื่องไม่ดีเป็นปาราชิก แต่ถ้ามีจริงก็ไปตี หรือท่านห้ามไว้นี่คือถูกกฏ ที่จริงก็คืออย่าไปทำ
ในยุคพระพุทธเจ้า มีพระโมคคัลลานะกับพระปิณโฑล เหาะไปเอาบาตรที่เขาท้า เขาเข้าใจว่าถ้าเป็นพระอรหันต์ต้องเหาะได้ ถึงจะเชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ นี่เป็นความมิจฉาทิฐิที่ไปเอาอิทธิปาฏิหาริย์หรืออาเทสนาปาฏิหาริย์เป็นเครื่องตัดสิน
เช่น มหาบัวมีการหยั่งรู้จิตอย่างโน้นอย่างนี้ หลวงปู่มั่นมีความหยั่งรู้จิตอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องเอามาตัดสินความเป็นอาริยะของศาสนาพุทธใด นอกจากไม่ใช่แล้วขายขี้เท่อด้วย ไปเอาสิ่งที่ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าเอามาประกอบ ไม่ได้ไปดูถูกว่ามีจริงหรือไม่มีจริงนะ ไม่ได้ดูถูกว่าอิทธิปาฏิหาริย์หรืออาเทสนาปาฏิหาริย์นี้จะเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง ไม่ได้ไปดูถูก
แค่คุณจะมีจริงพระพุทธเจ้าบอกแล้วว่าห้าม สิ่งที่ปรามไว้เลยบอกไว้เลยเป็นหลักเกณฑ์เป็นวินัย ก็อย่าทำ ในเกวัฏสูตร
สิ่งนี้ถ้าไม่เข้าใจจริงมันก็พาออกนอกลู่นอกทางหมด เป็นเรื่องที่นำกิเลสเข้ามามากๆๆๆ เพราะฉันไปหลงทางอย่างอาจารย์มั่น มหาบัวไปหลงเหล่านี้เป็นฤทธิ์เป็นเดช หรือแม้แต่คนที่ไปหลงใหลว่าเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ เช่น บางคนอาจจะไปเชื่อว่าท่านมีฤทธิ์นะ ทำให้ลูกปืนยิงมาตั้งหลายร้อยลูกไม่ถูกฉันนี่ โอ้โห นับถือพ่อแม่ครูบาอาจารย์องค์นี้ที่สุดเลย เพราะเรารอดตายเพราะฤทธิ์เดชของอาจารย์องค์นี้ อันนี้แหละคือมิจฉาทิฏฐิที่ไม่ไปไหนรอดแล้ว งมงายแล้วก็มันเป็นเหตุผลของเหตุผลของลักษณะที่ไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เป็นเหตุเป็นปัจจัยของมัน มันเป็นไปได้ มีเหตุปัจจัยที่มันเป็นรูปนามทั้งหลายแหล่ที่มันไม่สมดุลหรือมันรอด มันแคล้วคลาดหรือมันอะไรก็แล้วแต่มันเป็นไปได้ แล้วก็ไปนึกว่าเป็นพลังอภินิหาร หรือเป็นปาฏิหาริย์ของครูบาอาจารย์หรือผู้มีฤทธิ์พวกนี้ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่ามันเชื่อถือไม่ได้ อย่าไปนับถือสิ่งเหล่านี้
เพราะฉะนั้น จะใช้คำว่าหูทิพย์ตาทิพย์อยู่ในพยัญชนะของโสตทิพย์ เป็นวิชชาข้อที่ 4 มีในวิชชา 8 1.วิปัสสนาญาณ 2.มโนมยิทธิญาณ 3.อิทธิวิธญาณ 4.โสตทิพย์ญาณ ก็แปลว่าหูทิพย์ ท่านก็อธิบายไว้ในวิชา 8 ข้อนี้
ข้อที่ 4 หูทิพย์นี้หมายความ ท่านอธิบายไว้เช่น ได้ยินเสียงดังมาจากที่ไกลเป็นเสียงกลอง เสียงอยู่ในตระกูลของกลอง ฟังดีๆนะตระกูลของกลอง เป็นกลอง เป็นตะโพน เป็นเปิงมาง เป็นบัณเฑาะว์ กลองเล็กๆก๊องแก๊ง ก๊องแก๊ง แม้แต่ได้ยินเสียงแต่ไกลๆไม่เห็นกลองไม่เห็นรูปกลองแต่ได้ยินเสียงทางโสตทางหู ได้ยินแล้วก็แยกออกได้ว่า เสียงนี้เป็นเสียงกลอง เสียงนี้เป็นเสียงเปิงมาง เสียงนี้เป็นเสียงเปิงมางหรือตะโพน บัณเฑาะว์ แยกเสียงได้ อย่างนี้ต่างหาก
ลึกเข้าไปอีกกว่านี้ ขออธิบายเสริม การแยกแยะสภาพ 2 ที่ต่างกัน กลองเหมือนกัน ลักษณะของกลองเปิงมาง ตะโพน อะไรก็แล้วแต่ จนถึงขั้นบันเฑาะว์กลองน้อย มันก็คืออยู่ในตระกูลของกลอง แต่มันไม่เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นสิ่งที่อยู่ในตระกูลเดียวกัน หรือเป็นสิ่งที่คล้ายกันเป็น 2 สภาพ เราก็สามารถแยกความต่างของ 2 สภาพนี้ออกได้ จาก อิตถีภาวะ กับ ปุริสภาวะ ออกได้อย่างนี้เป็นต้น
นี่คือธรรมะอันพิเศษ อันเฉลียวฉลาดที่มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ยิ่งใหญ่ สามารถแยกความต่างกัน โดยกำหนดรู้เลยว่าเป็นความต่าง ในสิ่งที่เป็น 2 คล้ายกันใกล้กันตระกูลเดียวกันแต่แยกได้ เช่นคำว่า เทวะแปลว่า 2 นี่รวมๆหมดเลย คำว่าเทวะนี่แปลว่า 2 ยิ่งใหญ่ที่สุดเลย
เพราะฉะนั้นใครจบคำว่า 2 ใครจบคำว่าเทวะ ใครจบคำว่าภาวะ 2 ที่แยกความต่าง จากอาการและนิมิต อาการ ลิงค นิมิต อุเทส อาการเป็นตัวสภาวะเคลื่อนไหวที่เป็น Dynamic นิมิตเป็นสภาวะที่เป็น Static อาการที่เกาะอยู่ การเป็นสภาพที่เคลื่อนไหวอยู่ แยกความต่าง ลิงคหรือเพศ ความต่างอันนี้ได้นี่เป็นความเจริญอันยิ่งใหญ่ทางความรู้ธรรมะที่มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ได้สูงสุด แล้วคุณก็จะรู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร เราก็เลือกเอาสิ่งที่ควร สิ่งที่ไม่ควรเราก็ไม่เอาไม่ทำ นี่คือการศึกษาธรรมะ
เพราะฉะนั้น อย่าเที่ยวไปได้หลงใหลอภินิหาร หรือปาฏิหาริย์เลอะเทอะพวกนั้น เพราะฉะนั้นที่มาพูดถึงเรื่องเด็กที่มาแสดงหยั่งรู้เชื่อมจิตเป็นเรื่องเลอะเทอะ อย่าไปสนใจเลย
เด็กที่ว่านี้อาจจะมีเชื้อบารมีเก่ามาแล้วก็เป็นได้ และเชื้อบารมีเก่านี้แยกแบบมิจฉาทิฏฐิก็มาได้ สัมมาทิฏฐิก็มาได้ เริ่มต้นแนวๆที่ว่าเชื่อมจิตแล้วเขาอธิบายอย่างนี้ ขอถามพวกเราว่ามิจฉาทิฏฐิหรือสัมมาทิฏฐิ เป็นมิจฉาทิฐิแล้วแต่ต้น อย่าไปสนใจเลย ขออภัยที่พูดไปแล้วเหมือนไปดูถูกดูแคลนเด็ก ไปข่ม แต่ไม่อยากให้ไปหลงใหลในเรื่องเหล่านี้ มันมีสภาพกรรมวิบากติดมาเป็นสัญชาตญาณ ติดมาทางสัญญา มันก็มาเกิดตอนนี้ก็เอามาใช้ แต่สิ่งที่เอามาใช้เอามาแสดงออก คุณไม่มีความรู้ทางธรรมะที่เป็นสัมมาทิฏฐิ อันไหนเป็นโลกุตรธรรม อันไหนเป็นโลกียธรรม คุณไม่รู้ มันจะพาเลอะ พาเสียหาย เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ก็อย่าไปหลงใหลได้ปลื้มมากเลย อย่างหมอปลา อย่างนี้เป็นต้น ก็ไม่รู้จะทำยังไง มันก็ใช้อยู่ในโลก ส่วนใหญ่เขาใช้ด้วยนะ เพราะบางคนมีอวิชชาหรือคนที่หลงใหลในเรื่องพวกนี้ยังมีอีกเยอะ พวกที่รู้แท้ละเอียดลึกซึ้งถึงโลกุตรธรรม มันมีจำนวนน้อย เพราะฉะนั้นอาตมาพูดนี่จะปรามไว้
ไม่ได้ไปดูถูกดูแคลนหรอก เขาก็มีของเขา เขาก็ใช้ประโยชน์ของเขาไป แต่ว่าไม่ควรจะไปหลงใหลอย่างนั้น
_ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมวิชชาทั้ง ๘ จึงเป็นเรื่องของอธิปัญญาสิกขา ทำไมไม่ใช่เรื่องของอำนาจจิต ตกลงพระพุทธเจ้าทรงนำมาใช้สอนอะไร มีขอบเขตให้แสดงได้มากน้อยเพียงใดครับ
พ่อครูว่า… อำนาจจิตก็ที่บอกไปแล้วมันเป็นเรื่องที่ เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ มันเป็นอาเทศนาปาฏิหาริย์ ที่กำลังถามมาเรื่องเชื่อมจิตมันเป็นเรื่องของอาเทศนาปาฏิหาริย์ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องของศาสนาพุทธ ไม่สมควรจะไปวุ่นวายงมงายอะไรอยู่อย่างนั้น
ดี รายละเอียดพวกนี้เกิดขึ้นมาแล้วก็เอามาถามก็ได้ไขความสู่กันฟัง
จบกิจทั้ง 4 อย่างมีปาฏิหาริย์ของพุทธ
_Kru Sa ครูซะ . น้อมกราบพ่อครูด้วยความเคารพสูงสุดค่ะ จะขอกราบขอโอกาสนำเข็มพระธรรมจากที่สอบ ว.บบบ.ไปถวายคืน เพราะรู้ชัดแน่แล้วว่าเข็มพระธรรมได้ถูกกลัดไว้ที่จิตวิญญาณแล้ว แกะก็ไม่ออก😁ค่ะ เพราะสัมผัสถึงความสงบเย็นและเป็นประโยชน์ในชีวิตที่มีธรรมะเป็นแก่นใจ เป็นหางเสือ ชีวิตนี้คือการเรียนรู้ทางโลกให้เห็นธรรม
ลูกมาจากศาสนาอิสลาม ได้ฟังธรรมจากพ่อท่านและน้อมเอามาตรวจสอบขัดเกลาตัวเอง แม้สอบตกบ้าง แต่ก็ยังเรียนรู้ฝึกฝนอยู่ตลอดค่ะ สิ่งที่ยังโง่และสอบตกเสมอ คือความเศร้าความทุกข์จากการตายจากกัน แม้รู้ว่าเป็นกฏธรรมชาติ แต่ก็โดนเวทนาลากจูงสำเร็จ
ขอเรียนถามค่ะ ว่าจะปฏิบัติอย่างไรให้ผ่านโจทย์นี้คะพ่อครู น้อมกราบด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
พ่อครูว่า… ใช้ศัพท์ภาษาถูกหมดเป็นภาษาปรมัตถ์ที่ระบุถึงสภาวะธรรมทางจิต เช่น คำว่าเวทนา เป็นต้น มันเป็นสุขเป็นทุกข์อย่างที่พูดนี้เป็นความเศร้าเป็นทุกข์อะไรอย่างนี้
ก็ประเด็นการตายจากกัน แล้วก็เกิดความเศร้าความทุกข์ในการตายจากกัน อันนี้ก็ขออธิบายขยายความพอสมควรให้ฟัง
ไอ้เรื่องพูดง่ายๆว่า คนเราใครมันก็ตาย ไม่มีใครไม่ตาย การตายจากกัน ไอ้นี่ก็เรื่องจริง คนมันต้องตายจากกัน ไม่มีใครไม่ตายจากกัน แต่ศาสนาพุทธนั้นสอนลึกละเอียด ศาสนาเทวนิยมสอนแต่แค่ว่า ตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะพิพากษาเองว่าจะอยู่สวรรค์กับพระเจ้าหรือจะให้ลงนรก พระเจ้าเป็นผู้ทรงตัดสินเอง พระเจ้าจะเป็นคนตัดสิน และไม่มีใครรู้ ตายแล้วทุกคนก็นึกว่าตัวเองอ้อนวอนพระเจ้า เคารพพระเจ้า ยินดีต่อพระเจ้า นับถือบูชาพระเจ้าเต็มที่ เพราะฉะนั้นก็มั่นใจว่ายังไงๆพระเจ้าก็ต้องรักเรา ยิ่งศาสนาอิสลามแล้วละหมาดวันหนึ่งตั้ง 5 ครั้ง อะไรอย่างนี้ กราบถึงพระเจ้าตลอด ระลึก เป็นศรัทธาที่มั่นคงต่อพระเจ้าจริงๆแล้วเขาก็มั่นใจว่าเขาได้ขึ้นสวรรค์แน่ เพราะเขารักพระเจ้า เขาเคารพพระเจ้า เขานับถือพระเจ้า ไม่บกพร่องไม่น้อยลงเลย ให้ปฏิบัติอย่างไรๆ เพื่อที่จะแสดงออกถึงการรักพระเจ้า เขาทำหมด แต่เขาไม่ได้อ่านกรรม ไม่ได้อ่านพฤติกรรมทางกาย วาจา ใจ ของเขาเลย ไม่มีปรมัตถธรรมพวกนี้เลย ศาสนาเทวนิยม
เพราะฉะนั้นเขาถึงไม่รู้เลยว่า แม้แต่ศีลข้อที่ 1 การฆ่า เขายังฆ่ากันอย่างไม่ได้รู้เรื่องเลย ต้องชนะของข้า ไม่ได้เกี่ยวกับบาป พระเจ้าเป็นผู้ดูอยู่ทั้งนั้นจะฆ่ากันยังไงพระเจ้าก็เข้าข้างผู้ถูก แล้วต่างคนก็ต่างคิดว่าตัวเองถูก ตัวเองเป็นลูกพระเจ้าทั้งนั้น แล้วใครจะตัดสินว่าใครเป็นลูกพระเจ้าแท้ ไม่มีใครบอกได้ ก็เลยไม่ต้องพูดเลยตรงนี้ ทุกคนเป็นลูกพระเจ้าหมด
และยิ่งมั่นใจว่าตัวเองประพฤติต่อพระเจ้า เคารพนับถือบูชาพระเจ้าละหมาด วันละตั้งหลายครั้งพระเจ้าก็ต้องรักเรามั่นใจเลย ความเชื่อของศาสนาทางเทวนิยม เอาความเชื่อเป็นหลักอย่างมากเลย ถือว่าตัวเองถูกด้วย ทุกคนก็ถือว่าตัวเองต้องถูกต้องดีใช่ไหม เพราะฉะนั้นพระเจ้าต้องเข้าทางเรา เพราะเราถูกเราดีนี่ แล้วใครตัดสินว่าใครถูกใครดีกว่ากัน ก็ไม่ได้มีการวิจัยกายกรรม วจีกรรมพฤติกรรมภายนอก
ยิ่งจิตวิญญาณมีเจตนา รายละเอียดถึงเวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ยิ่งไม่รู้เรื่องรายละเอียดพวกนี้เลย เขาก็ยิ่งวิเคราะห์วิจัยรายละเอียดอะไรควร อะไรไม่ควร อะไรถูก อะไรผิดไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นจึงประพฤติปฏิบัติอยู่อย่างนั้น ไม่รู้จักเรื่องของชีวะชีวิต ชีวะชีวิต ชีววิทยาของจิตวิญญาณ ชีววิทยาทางจิตเป็นวิทยาศาสตร์ ชีววิทยาที่เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต โอ้โห ศาสนาพุทธนี้ไปไกลมาก
อาตมาอธิบายธรรมะชีววิทยาเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตให้พวกเราฟังทุกวันนี้ ถึงขั้นแยกอาการของจิตตั้งแต่เป็นพลังงาน
พลังงานทางวัตถุเป็นอุตุ เป็นพลังงานของดิน น้ำ ไฟ ลม มหาภูตรูป 4 นี่เป็นเรื่องวัตถุแท้ๆ ไอสไตน์เรียนรู้แล้วก็เอามาใช้เป็นสูตร E=mc2 ใช้งานอยู่ในโลกทุกวันนี้บริบูรณ์แล้ว แต่รายละเอียดที่เข้าไปถึงจิตวิญญาณมนุษย์ที่ควบคุมรายละเอียดเป็นคุณธรรมที่ลึกซึ้งซับซ้อนอีกหลายชั้นมากเลย ในความเป็นชีวะ ชีววิทยาเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิต
ซึ่งอาตมาตอนนี้กำลังขยายความเป็นพลังงานทางวัตถุแล้วมันจะเริ่มจากมหาภูตรูป 4 ดินน้ำไฟลม พยายามมันจะเริ่มเลยในตอนต่อมา ขอไล่เป็นพยัญชนะ บาลี
จาก มหาภูตรูป 4 มาเป็น อหิจฺฉตฺตก แปลว่าเห็ด พลังงานมหาภูตรูป 4 จะกลายมาเป็นพลังงานเห็ด
จากเห็ด แล้วจึงจะมาเป็น ภูตคาม
จากภูตคาม แล้วจึงจะมาเป็น พีชคาม
จากพีชคาม มาเป็น เจตภูต
จากเจตภูต แล้วมาเป็น ปาณะ
ขอแวะตรงนี้นิดนึงพระพุทธเจ้าท่านห้ามไม่ให้ทำลายความเป็นพลังงานชีวะมาถึงขั้น ปาณะ เป็นศีล ข้อที่ 1 ปาณาติปาตา แล้วแปล หยาบๆว่าอย่าไปฆ่าสัตว์ ซึ่งมันเป็นสัตว์ขั้นไหน ชีวะขั้นไหน เดี๋ยวค่อยๆอธิบายกันอีกที
จากปาณะ ก็เป็นเจตสิก แล้วจึงจะเป็น สัตตะ แล้วจึงจะเป็นจิตนิยาม
จิตนิยามก็เป็นธาตุรู้ที่เต็มคนหรือเต็มสัตว์ สัตว์ชั้นต่ำเดรัจฉานก็ถึงขั้นจิตนิยามเหมือนกัน หรือจิตวิญญาณ จิตวิญญาณจะมีวิบากเต็มรูป พูดไว้อย่างนี้ก่อน กรรมวิบากเป็นเรื่องอจินไตยไม่ใช่เรื่องเล่นเป็นเรื่องยากมากเอาไว้ก่อน
เพราะฉะนั้นรายละเอียดที่อาตมาพูดใช้พยัญชนะภาษาทางวิชาการของศาสนาพุทธ ใช้คำบาลีพวกนี้ อาตมาค่อยๆอธิบายไปอยู่ในขณะนี้ ซึ่งต้องอธิบายไว้ ไม่เช่นนั้นมันก็ไม่ครบความเป็นพุทธศาสนา
อาตมาเป็นผู้กอบกู้พุทธศาสนา รายละเอียดพวกนี้ไม่มีคนที่จะมาอธิบายอย่างนี้หรอกในยุคนี้ ขออภัยพูดแล้ว ผู้ที่เขาไม่ศรัทธาอาตมาเขาก็จะรู้สึก ขออภัย อย่าเพิ่งอาเจียนเป็นโลหิตร้อนพุ่งออกจากปากนะ ขออภัยอาตมาไม่ได้เจตนาจะไปทำร้ายความรู้สึกของใคร อาตมากำลังบรรยายสัจธรรม
เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่สามารถรู้พวกนี้มันก็ไม่ละเอียดจริงๆ มันก็จะทำความสำเร็จให้ชีวะของตัวเรา ชีวะขั้นจิตวิญญาณ เป็นต้น ชีวิตขั้นจิตนิยาม จนสามารถนิพพาน จนสามารถหมดสุขหมดทุกข์เป็นขั้นต้นที่เรียกว่า จบกิจ และสามารถที่จะ ปรินิพพานไปได้ หรือไม่ปรินิพพานก็เป็นจิตที่ท่านตรัสไว้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าอยู่ในฐานะประมาณว่า อนาคามี ก็จะไปจมอยู่ในภพที่มันไม่ได้มาเกิดใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย คือไม่มาเกิดกับร่างที่เป็นสัตว์โลกที่มีจิตวิญญาณอยู่ในโลกนี้อีกต่อไปเพราะคนที่ไม่เข้าใจก็จะไปจมอยู่ในจิตวิญญาณซึ่งเป็นจิตวิญญาณนี้จะนานมากเลย ถ้าเผื่อว่ามีน้ำหนักถึงอนาคามีจริงก็จะไปอยู่ในสุทธาวาส 5 อีกนานแสนนานมากนับเป็นเวลาทางโลกที่คิดเป็นวินาทีเป็นนาทีเป็นชั่วโมงเป็นวันนี้ไม่หวาดไม่ไหว ถ้านับเป็นภาษาทางวิชาการว่าเป็นกัปๆ มหากัปไม่รู้กี่แสนกี่ล้านมหากัปไม่ไหวกว่าจะแปรสภาพรายละเอียด
ถ้าใช้ภาษาทางอนาคามีก็จะมีอะไร
๑. อันตราปรินิพพายี (ผู้เพียรทำปรินิพพานในระหว่างภพ)
๒. อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานด้วยสามารถ)
๓. สสังขารปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก ประกอบปุญญาภิสังขารในภพตนให้มากๆ)
๔. อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้การปรุงแต่งอภิสังขารให้มากนัก)
๕. อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (สภาวธรรมไม่เป็นสองรองใคร หรือไม่เป็นน้องใครอีก แล้วปรินิพพานไว)
เรียกว่าสุทธาวาส 5 ศาสนาสายปัญญาอย่างอาตมาก็ดี อย่างพระพุทธเจ้าไม่เอา ไม่เอา ไปค้างอยู่อย่างนั้น แล้วไม่มีทวาร ตา หู จมูก ลิ้น กาย มาปฏิบัตินี้มันช้ามันแช่อยู่ไม่ไหว มันไม่ไหว มันไม่สำเร็จเด็ดขาด เอากันแบบลืมตาดีกว่า
เพราะฉะนั้นคำตรัสของพระพุทธเจ้าที่ว่าเราไม่ไปเกิดในสุทธาวาส 5 ที่ตรัสไว้ อาตมาก็สายพระพุทธเจ้าโดยตรง อาตมาก็ไม่เอา จะไปเกิดอยู่ไหนแดนพวกนี้ พยัญชนะสุทธาวาสเขาใช้คำว่า อวิหา อตัปปา สุทธัสสา สุทธัสสี อกนิฏฐา
ภาษาอนาคามีก็ใช้ อันตราปรินิพพายี อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้ทำปรินิพพานด้วยสามารถ) สสังขารปรินิพพายี อสังขารปรินิพพายี อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี
ภาษาแบบสุทธาวาสเป็นภาษาแบบเจโตส่วนภาษาแบบอนาคามี 5 นั้นเป็นภาษาแบบสายปัญญา ซึ่งมันคล้ายกันมากแต่จะไม่ลงรายละเอียด เราปฏิบัติไปเถอะแล้วถึงภูมิของเราไปอย่างนี้มันจะเป็นไปได้
เมื่อทุกคนเข้าใจว่า ทุกคนต้องตายต้องเกิด แต่ศาสนาพุทธนั้นสอนถึงความเกิดความตายที่สามารถที่จะรู้ว่า มันเป็นสามัญธรรมดา คุณก็พูดมามันเป็นธรรมดาต้องเกิดต้องตาย แต่ผู้ที่ไม่รู้การเกิดการตายเหมือนอย่างสายเทวะนิยมไม่รู้ แล้วก็ไปเชื่อทางนั้น
ที่นี้ทางสายเจโตสายพระเจ้า เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้มากกว่านี้ เขาก็จบแต่ว่ามันก็ยังเป็นอัตตาหรือยังเป็นอัตภาพ ไม่มีหมดสุขหมดทุกข์ ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีการหมดอัตตา เขาก็จะไปจมอยู่อย่างนั้นเพราะเขาไม่มีความรู้ต่อ
แต่ความจริงแล้ว จิตวิญญาณหรือจิตนิยาม มันไม่ไปจมกับพระเจ้าอย่างนั้นหรอก ไม่ว่าศาสนาเทวนิยมศาสนาพระเจ้าหรือศาสนาพุทธก็ตาม มันไม่เที่ยง แต่พระเจ้าเชื่อว่าเที่ยง พระเจ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนิรันดร สุขอย่างเดียว เป็นสุขนิยม อยู่กับพระเจ้าและพระเจ้าก็อยู่นิรันดรอยู่อย่างนั้น เป็นใหญ่เป็นโตอยู่อย่างนั้น เป็นผู้บัญชาการวิญญาณ และเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่งด้วย
ซึ่งมันไม่จริง จริงๆแล้ว
-
พระเจ้าไปห้าม กาละ ให้หยุด ห้ามพระอาทิตย์ ไม่ให้เดินทางไม่ให้เคลื่อนที่ ห้ามลูกโลกไม่ให้หมุน พระเจ้าทำไม่ได้ พระเจ้าแสดงตัวเองว่าเป็นเจ้าของทุกอย่างก็ทำได้สิ สั่งได้ ใช่พระเจ้าทำให้ โลกไม่หมุน ไม่พลังงานสังเคราะห์สังขารทั้งหมด พระเจ้าทำไม่ได้ แต่เขาจะไม่คิด เขาจะไม่เชื่อ เขาเชื่อว่าพระเจ้าทำได้ แต่แท้จริงแล้วทำไม่ได้
คนที่สามารถทำให้หมดจาก กาละเลย กาละ ศาสนาพุทธสอนว่า กาละกลืนกินทุกสรรพสิ่งทุกอย่าง และตัวมันเอง คือมันจะอยู่นิรันดร แล้วทำให้สัตว์ตายเกิด เกิดตาย กลืนกินก็คือตายเกิด เกิดตาย ตายเกิด ไม่มีจบสิ้น ให้คุณเก่งเท่าไหร่ นึกว่าคุณเที่ยงแล้วเป็นพระเจ้า เป็นพระศาสดา แล้วคุณจะไม่เกิดไม่ตาย อมตะนิรันดร ไม่เกิดไม่ตาย ไม่จริง
เพราะพิสูจน์ไม่ได้ถึงการเกิดการตาย แต่ศาสนาพุทธพิสูจน์ได้ถึงการเกิดการตายจากโลก จากอัตตา และจากกาล จากกาละ หมดสิ้นกาละเลย หมดสิ้นคืออะไร กาละก็อยู่สิ แต่อัตตาของเราเป็นดินน้ำไฟลมแล้ว หมดจิตวิญญาณ พระเจ้าเป็นเจ้าของจิตวิญญาณแล้วไม่มีใครจะสลายจิตวิญญาณได้ ตายแล้วต้องไปอยู่กับพระเจ้าพระเจ้าจะบงการให้อยู่สวรรค์อยู่นรกเอง ไม่มี 0 อย่างดีสุดก็อยู่สวรรค์กับพระเจ้า นิรันดรแล้วไม่เปลี่ยนแปลง เที่ยง
แต่ศาสนาพุทธไม่ต้องไปเที่ยงอยู่กับพระเจ้าหรอก ขบถต่อพระเจ้าเลย พระเจ้าบอกว่าจิตวิญญาณต้องนิรันดร จิตวิญญาณต้องเที่ยงตายแล้วต้องไปอยู่กับพระเจ้า ส่วนพระเจ้าจะจัดการอย่างไรก็เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ศาสนาพุทธบอกว่าไม่ไป จิตวิญญาณเป็นของฉันเป็นของเราเอง สลายจิตวิญญาณเป็นดินน้ำไฟลมไปเลย
พระเจ้าดูบัญชีก็บอกว่าทำไมคนนี้ไม่มา นี่เรียกว่าขบถต่อพระเจ้าเลย นี่ ศาสนาพุทธเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่ต้องมายืนยันพิสูจน์เราต้องเรียนรู้โลกตั้งแต่โลกอย่าง โลกอบาย โลกกาม โลกรูปราคะ อรูปราคะ จนหมดอรรุปราคะ จนไม่ต้องอยู่กับโลก สลายอัตตาเป็นดินน้ำไฟลมได้ คุณจะพ้นอรหันต์แล้วแล้วคุณจะสงสัยว่ามันพ้นได้อย่างไร
ที่จริงอรหันต์พ้นได้แล้วแต่ยังไม่ชัดเจน คุณจะเกิด พิสูจน์อีกกี่ชาติกี่ชาติ เพิ่มภูมิเป็นโพธิสัตว์สูงขึ้นๆ คุณก็จะรู้ความจริงว่า อ๋อ มันสลายได้อย่างนี้เองเพราะเรายังไม่สลายใช่ไหม เราก็จะรู้แล้วว่า อ๋อสลายได้อย่างนี้เอง คุณเป็นโพธิสัตว์ระดับสูงขึ้นหรือเป็นอรหันต์ระดับที่สูงขึ้น จากอรหันต์ระดับที่ 1 2 3 4 ขึ้นไปจนถึง 5 6 อรหันต์ระดับที่ 6 ก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือระดับที่ 9 ของพระโพธิสัตว์ระดับที่ 9 พอจะชัดเจนอย่างบริบูรณ์สมบูรณ์เลย อย่างนี้เป็นต้น
ซึ่งความจริงเหล่านี้ผู้ที่ปฏิบัติแล้ว แล้วก็มีสภาพจริงของธรรมะพวกนี้ ไม่ได้เดาไม่ใช่อจินไตย แต่เป็นการรู้ได้ด้วยตนเป็นปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหิ รู้ได้ด้วยตนของตนเพราะมันเป็นอย่างนี้ บอกใครมันก็ยากเพราะเป็นอจินไตย ต้องมารู้ได้ด้วยตนเป็นปัจจัตตัง และคุณจะรู้เองว่านิพพานเป็นอย่างนี้ จนเป็นอรหันต์แล้วจะรู้ว่าปรินิพพานเป็นปริโยสานได้แล้วเป็นอย่างนี้ มันยังไม่ชัดคุณก็เกิดอีก เพราะเป็นอรหันต์แล้วเกิดอีกได้ ชัดขึ้นไปอีก ๆๆ
ถึงแม้ว่าจะไม่ชัด แต่คุณเชื่อว่าปรินิพพานแล้วสูญได้ คุณก็เรียนรู้การทำใจในใจ เวทนาในเวทนา ทำใจในใจ ทำให้เกิดการตายโดยสภาวะตายอย่างนิพพาน 3 ตายอย่าง 0 จิต เจตสิก รูป นิพพาน จิตสูญเป็นยังไง ไม่มีบวกไม่มีลบเป็นอรหันต์ รู้แล้ว
สุญญตนิพพาน ไม่ได้ตั้งนิมิตรอะไร อนิมิตนิพพาน ไม่ได้ตั้งใจอะไร ปัญญา อัปนิหิตตนิพพาน ก็ไม่ตั้งทั้งคู่ไม่ตั้งทั้งเจโตและปัญญา เป็นสุญญตนิพพาน
ภาษา สุญญตนิพพาน อนิมิตนิพพาน อัปนิหิตตนิพพาน ตายอย่างนิพพาน 3
ถ้าคุณตายอย่างนิพพาน 3 นี้ สมมุติว่าคุณเป็นอรหันต์ยังมีวิจิกิจฉา คุณก็ไปตกอยู่ในสุทธาวาสแล้วก็สลายไปเอง ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านบอกว่าไม่เอาเสียเวลา แต่ไม่กลับมาแน่ อนาคามีก็ไม่มาแล้ว คุณจะเป็นอนาคามีหยาบก็นานนนน ถ้าอนาคามีสูงหน่อยก็สั้นขึ้นสั้นขึ้น หรือเป็นอรหันต์ที่ไม่รู้ก็เป็นไปตามภาวะจริงของคุณ คุณมีภูมิถึงขั้นไหนมันก็ไป เมื่อไม่กลับมาก็คือตายแล้วไม่กลับมาเกิดอีกเป็นอนาคามี หรืออรหันต์ที่คุณได้แล้วก็ไม่กลับมาเกิดอีกแน่นอน อนาคามีก็ยังไม่กลับมา อรหันต์จะมาทำไม แต่ไอ้ที่มันไม่รู้เรื่องตายไปแล้วมันก็อยู่ในภพ ส่วนตัวของคุณ ตามบารมีของคุณ คุณจะอยู่อีกนานไม่นาน มันเอามาอธิบายกันไม่หวาดไม่ไหว
เพราะฉะนั้น การพิสูจน์ที่เอาความจริงมาพูดกันยาก พระพุทธเจ้าจึงให้พิสูจน์กันในปัจจุบันธรรม พิสูจน์กันเดี๋ยวนี้สิ จนกระทั่งคุณแน่ใจว่าคุณปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ตั้งแต่บัดนี้ แยกเป็นดินน้ำไฟลม โดยชัดเจนเลยว่า อ๋อ..ภาวะของอุตุ
อุตุนิยามหรืออุตุธาตุเป็นอย่างนี้ พีชธาตุเป็นอย่างนี้ จิตธาตุเป็นอย่างนี้ ทำได้ด้วยกรรม ทรงไว้ ธรรมะ ทรงสภาพไว้ตามกรรมที่เราสั่งสม เราทำได้คุณจะรู้จักกรรม รู้จักธรรมะ ว่าอย่างนี้ทำได้
เหมือนปัญญา นิรันดร์กุล บอกว่าทำได้แล้วก็ได้รางวัล ทำได้ เข่งทำได้ กิ๊ฟทำได้ สมมุติๆ ทำได้แล้ว ก็จะรู้เองว่าเราทำได้ อย่างนี้เป็นต้น มันไม่ได้ปิดบัง มันเปิดเผย แต่มันลึกซึ้งมันเป็นอจินไตย มันต้องรู้ได้ด้วยตน ต้องสันทิฏฐิโก ต้องเอาตัวเองนั้นเข้ามาปฏิบัติแล้วคุณถึงจะเกิดเป็นปัจจัตตัง แล้วคุ ณถึงจะรู้ได้เอง
คนรู้ตรงกันก็จะพูดกันเข้าใจว่า อ๋อ..อย่างนี้ของเราก็มี คุณก็มีเราก็มี มันก็จริง แม้จะอธิบายเป็นภาษายากแต่คนก็อธิบายได้ ถ้ามีพยัญชนะ มีความรู้ความสามารถ มีปฏิสัมภิทาญาณ สามารถแยกแยะเหมือนอย่างอาตมาอธิบายได้มาก เพราะอาตมาเป็นสายนี้โดยตรงอย่างนี้เป็นต้น
_สู่แดนธรรม… ปัญหาเรื่องความพลัดพรากหรือความตาย
พ่อครูว่า… เพราะฉะนั้นเราก็ศึกษาไปเถอะจากอิสลามมาศึกษาศาสนาพุทธจนป่านนี้ได้ความรู้ถึงขั้นนี้แล้ว มันไม่ง่ายหรอกที่เราแหม จะหมดความกังวลหรือว่าเข้าใจเรื่องการตายการเกิดแล้ว ไม่ต้องห่วงหาอาวรณ์กัน มันไม่ง่าย เพราะฉะนั้นต้องค่อยๆศึกษาไปไม่ต้องกลัวว่าเราจะไม่เข้าใจ ศึกษาไปอย่าใจร้อน ศึกษาไปปฏิบัติไปเรื่อยๆมันจะมีภูมิปัญญาที่จะรู้ได้ด้วยตนว่า จริงๆแล้วการตายการเกิดนี่ มันไม่ยิ่งใหญ่เท่าไหร่หรอกถึงขั้นอรหันต์ก็ชัดเจนแล้ว ถึงขั้นอนาคามีถึงขั้นไม่ต้องไปถึงอรหันต์ก็จะชัดเจนแล้ว ไม่กลัวแล้วตาย เกิด เกิดตาย
เพราะคุณเชื่อกรรมคุณเชื่อวิบากจนสามารถทำกรรมวิบากด้วยปัญญาของเราเองเลยกำหนดทำได้ ละชั่วประพฤติดี ทำแต่ดีไม่ชั่วอีก อันนี้เป็นแค่สมมุติด้วยเป็นโลกียะ ดีชั่วนี่เป็นโลกียธรรม เพราะฉะนั้นเราจะมาเกิดอีกชาติไหนชาติไหน มีสมมติอยู่กับสังคมไหนก็แล้วแต่ เราก็ไม่ทำชั่วกับเขา ทำแต่ดี เที่ยงแท้ นิยะตะด้วย นี่เป็นการจบกิจขั้นที่ 1 ที่อาตมาอธิบายไปแล้ว
ขั้นที่ 2 สุขทุกข์ ต้องอ่านสุขทุกข์ให้ออก เวทนาในเวทนาจริงๆ เมื่อดับสุขทุกข์ได้นี่แหละ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ อยู่ตรงนี้ พอเป็นอรหันต์ก็ เวทนาที่เป็นสุขเวทนา ทุกขเวทนาจนถึงโสมนัสเวทนาหรือโทมนัสเวทนา คุณจะเข้าใจอาการของจิตแบบนี้เลยว่า โสมนัสก็ไม่มี สุขทุกข์ก่อนโน้น ละก่อนได้แล้ว โสมนัสโทมนัสก็ละได้อีก เป็นอุเบกขา อธิบายทุกข์สุขก่อนนั้นได้ สำนวนที่ท่านแปลไว้ในพระไตรปิฎก ดับทุกข์ดับสุขก่อนๆนั้นได้ แล้ว ดับสุขทุกข์ในปัจจุบันที่ละเอียดได้อีก จนเป็นอุเบกขา คุณก็จะอ่านรู้ อาการ ลิงค นิมิต ว่าอุเบกขาเป็นอย่างไร มันไม่มีแล้วสุขทุกข์ มันไม่มีบวกไม่มีลบ มันกลางๆจริงๆ มีความรู้รอบ มีแต่ความเป็นพลังงานที่เราสามารถอยู่กับโลก โลกที่คุณหลุดพ้นแล้วตั้งแต่อบาย โลกอบายโลกกาม คุณหลุดพ้นแล้วก็ไม่บวกไม่ลบกับมันจริงๆ มันก็มีอยู่ในโลกนี้แหละตาหูจมูกลิ้นกายเราก็สัมผัสรับรู้ แต่เราลอยตัว มันไม่มีฤทธิ์อะไรกับเราที่จะไปแวะโน่นแวะนี่ที่จะไปเป็นสุขเป็นทุกข์หรือเอียงไปทางโน้นเอียงไปทางนี้ เป๋ มาถูกกระทบแรงๆก็ยังไป ถูกกระทบแล้วก็ยังมีผลอย่างนั้นอย่างนี้ไม่มีแล้ว แข็งแรงหรือไม่มีตัวตน ให้พลังงานของโลก มันเหมือนไม่ถูกกับเราเลย มันหลุดพ้นอย่างนั้น มันสุดยอดอย่างนั้น
ที่พูดนี้เป็นภาษาของปรมัตถ์ เป็นภาษาของจิตเจตสิกรูปนิพพาน เป็นภาษาของอาการของจิต โดยเฉพาะเวทนาเจตสิก
ฉะนั้น เรียนรู้นี่ เรียนรู้ที่เวทนาในเวทนานี่แหละ จะรู้เจโตปริยญาณ 16 จะรู้กายทั้งหลายแหล่ สามารถทำให้มันเป็นธรรมะที่สมบูรณ์แบบ โลกุตระสูงสุดได้ กาย เวทนา จิต ธรรม แล้วจะทำได้พิสูจน์ได้จริงๆ
เพราะฉะนั้น จะกลัว หมดกลัว มันไม่ลึกซึ้งอะไรเท่าไหร่หรอกเรื่องการเกิดการตาย เพราะฉะนั้นจะรู้ว่าเป็นธรรมดา และจะไม่เศร้าหมอง แค่เราพ้นจบกิจในระดับต้น ยังไม่ถึงขั้นหมดทุกข์หมดสุข
ขั้นต้นคือ เราทำแต่ดีไม่ทำชั่วเลย มั่นใจเลยว่า ถ้าไปหลงดีชั่วมันแค่สมมุติ คุณอยู่ศาสนาอิสลาม เขาบอกว่าทำดีเป็นเช่นนั้น คุณก็ทำตามสิ ทางโน้นยึดถือ ไม่ทำชั่ว แตกต่างตามคำสอนพระศาสดาคุณก็อยู่ได้แล้ว คุณมาอยู่กับพุทธ ดีเป็นยังไงของพุทธ ชั่วแบบพุทธยังไง คุณก็ทำดีแบบพุทธไม่ทำชั่วได้จริงๆ ซึ่งอาจจะต่างกันกับอิสลาม แต่นี่เป็นของพุทธ คุณก็ทำได้ ของอิสลามก็ทำได้ ของพุทธก็ทำได้ ตาม คุณอยู่โลกไหนก็โลกนั้น โลกอิสลามหรือศาสนาอิสลาม โลกพุทธคุณก็อยู่กับศาสนาพุทธก็กำหนดต่างกัน หลักเกณฑ์ที่ไม่ทำ อย่าทำนะ อย่างนี้ชั่ว บาปนะ อย่างนี้ทำอย่างนี้ คุณเรียกว่าบุญก็ตาม แต่ที่จริงบุญกับกุศลมันไม่ใช่อีก นี่ก็รายละเอียด อันนี้กุศล อันนี้อกุศลอย่าทำ อะไรอย่างนี้ เป็นต้น คุณก็ทำได้ดีพ้นแค่นี้คุณก็ไม่กลัวแล้วทุกข์ที่จะเกิดมา ที่จะต้องกลัวเศร้าหมอง กลัวมันจะเกิดมาเพราะไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา คุณเกิดอีกกี่ชาติคุณก็ไม่มีตกต่ำ คุณไม่มีสิ่งชั่ว คุณไม่ต้องลงนรก คุณไม่ต้องไปเดือดร้อนอะไรอีก มีแต่จะเจริญขึ้น เจริญขึ้น เจริญขึ้น เพราะฉะนั้นคุณจะตายเกิดจะตายเกิดอีกกี่ชาติมันก็คือความตายความเกิด
เพราะฉะนั้นคุณจะต้องไปทุกข์เศร้าหมองกับคนตาย มันก็ต้องตายต้องเกิด คุณไม่รู้ คุณไม่ศึกษาธรรมะก็แน่นอน คุณศึกษาธรรมะแม้จะหนีดีหนีชั่วคุณก็หนีไม่ได้ คุณต้องเวียนมาชั่วอีก ขออภัยพูดจริงๆ แม้แต่พระเจ้า แม้แต่ศาสดาของเทวนิยมคุณไม่พ้นชั่วหรอก ขออภัยที่พูดสัจธรรม คุณไม่พ้นหรอกเพราะคุณไม่รู้รายละเอียด จบกิจข้อที่ 1 คุณยังทำไม่ได้เลย เพราะคุณไม่รู้จัก จิต เจตสิก รูป นิพพาน คุณไม่รู้รายละเอียดของจิตเจตสิก รายละเอียดของสภาวะพลังงานทางจิตวิทยา ชีววิทยาที่อาตมาขยายไป คุณไม่รู้คุณทำไม่ได้ แต่พุทธนั้นทำได้ แม้แต่ยังเป็นๆยังไม่ตาย คุณจะทำให้จิตเป็นอุตุ คุณจะทำให้จิตเป็นพีชะ คุณจะทำให้จิตเป็นจิตนิยาม คุณก็ทำได้แล้วตอนเป็นๆ
อุตุเป็นยังไง อาตมาก็ขยายความรายละเอียดไปเยอะแล้ว นี่ก็ทวนอีกนิดหน่อย
อุตุมันคือเป็นธาตุพลังงาน มันไม่ใช่ชีวะ มันไม่มีสุขไม่มีทุกข์ มันไม่มีเศร้าไม่มีหมอง คุณกลัวเศร้าหมอง มันไม่มีแล้ว ทำจิตให้เป็นอุตุได้คุณก็ไม่มีปัญหา ไม่เป็นอะไร คุณก็ยังทำไปได้เรื่อยๆ ทำเป็นพีชะ ก็ไม่สุขไม่ทุกข์ อย่างพวกพืชที่มันไปเกี่ยวกับโลกนี้ คุณก็เป็นอุตุ โลกอบายนี้ เป็นอุตุแล้วไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่ไปยุ่งด้วย แม้จะไปเป็นพืชเราก็ไม่ไปยุ่งด้วย คุณทำได้พลังงานอย่างนี้ คุณจะรู้เอง ถ้ายังเป็นจิตอยู่ก็หยาบ กลาง ละเอียด เท่าที่คุณทำได้ก็หมดสุขหมดทุกข์
นอกจากหมดสุขหมดทุกข์ แล้วหมดการเกิด การตาย ที่จะอยู่ใน กาละ พระอรหันต์ที่หมดสุขหมดทุกข์แล้ว จนจะเข้าใจ กาละอย่างละเอียดสำคัญ อย่างที่อธิบายไปแล้ว อย่างจบกิจดีชั่ว จบกิจเป็นอรหันต์ จบกิจเป็นอรหันต์โพธิสัตว์ที่ยิ่งลึกไปเรื่อยๆ รู้จัก กาละ ทำกาละ จัดการกับกาละที่เราจะเกี่ยวข้องกับกาละ เราจะอยู่กับกาละอีกนานหรือไม่นาน มันเป็นสิทธิของเรา อยู่เหนือกาละ ตรงที่เราจะอยู่กับกาละหรือไม่ แต่เราไม่ไปทำลายกาละในมหาจักรวาล เอกภพนั้นทำไม่ได้ ไม่มีใครทำได้
-
จบกิจโลกีย์ธรรมดา
-
จบกิจขั้นโลกุตระ จบกิจขั้นสุขทุกข์
-
จบกิจต่อภพภูมิของอรหันต์และโพธิสัตว์
-
ก็คือทำกาละในมหาจักรวาลนี้