670101 พ่อครูเทศนาต้อนรับปีใหม่ 2567 เรื่องปฏิจจสมุปบาท ตอน 2 ราชธานีอโศก
ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/17FwjK1FjiPI8o5MynC7H10_AapQTqhF_/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true
ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1lkB_iLwGU2bgNx8ylpA-9gZoeteB0m3Z/view?usp=sharing
และ
ดูวิดีโอได้ที่ https://fb.watch/pily4P1YQL/
และ https://youtu.be/XsCVLv1oQFk
มีซับ
พ่อครูว่า…เจริญธรรมปีใหม่ทุกๆคน วันนี้วันจันทร์ที่ 1 มกราคม 2567 แรม 5 ค่ำ เดือนอ้าย ปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก
ได้รับพร ๕ (จักกวัตติสูตร)
อายุ จักยืนไซร้ เพราะอาศัย อิทธิบาท
อันมี ฤทธิ์อำนาจ หยุดชีวาตม์ มีให้มรณ์
วรรณะ จักสูงส่ง เพราะดำรง ศีลสังวร
หาใช่ สัญจกร ฐานันดร ศักดินา
สุขแท้ เกิดจากฌาน ที่เผาผลาญ นิวรณ์ห้า
สุขลวง เกิดเพราะข้า ฌานผลาญพร่า ทิฏฐกาล
โภคะ หมายเอาทรัพย์ ใช้สำหรับ จิตวิญญาณ
ผู้มี พรหมวิหาร ศฤงคาร บ่สำคัญ
พละ เพิ่มพลัง จิตที่หวัง จนนิรันดร์
วิมุต-(ต)จิตนั้น รับประกัน ความยืนยง
ดูกร ชนชาวพุทธ เหล่าโลกุต-(ต)รวงศ์
พรห้า นี้สูงส่ง อยากได้จง บำเพ็ญเอง
อโศก สัมปวังโก ๓๑ ธ.ค.๖๖
พ่อครูว่า… อายุ วรรณะ สุขะ โภคะ พละ คนจะอวยพรไม่ใช่มีแค่อายุ วรรณะ สุขะ พละ แต่มีโภคะด้วย
แต่ว่าโภคะนี้ เรียกว่าทรัพย์ แต่ว่า ทรัพย์ของพระพุทธเจ้าไม่ได้ หมายเอาโลกียทรัพย์ แต่หมายเอาอาริยทรัพย์ เป็นทรัพย์ที่ยิ่ง เป็นทรัพย์ที่เจริญ ก็อวยพรกันไปก่อน
ตัวอย่างการศึกษาในบวรอโศกที่อบอุ่น
_ครูและนักเรียนสันติฯ ได้มาอยู่กับพ่อครู….
24 ธันวาคม 2566
ครูและนักเรียนสันติฯ ได้มาอยู่กับพ่อครู ท่านสมณะ สิกขมาตุ และชาวบ้านราชเข้าสัปดาห์ที่ 3 แล้วค่ะ (8-24 ธันวาคม 66 รวม 17 วัน)
ครูและเด็กๆได้ทุ่มเทแรงใจ แรงงาน เทปูนสร้างลานสู่สูญร่วมกับพี่น้องบวรราชธานีอโศก ถวายหลวงปู่อย่างสุดกำลัง … ในช่วงท้ายๆ ก่อนเสร็จงาน รุ่นพี่และเด็กๆ ตัวตึงที่เป็นแม่ทัพ
นายกอง เป็นมือซ้าย มือขวา เท้าซ้าย เท้าขวา ช่วยงานท่านเมืองร้าง เด็กๆ เข้านอนตอนเช้าติดต่อกันประมาณ 2-3 วัน ดิฉันขี่จักรยานไปพบพวกเขาในช่วงเช้าที่ ที่พักชายและที่พักหญิง เด็กๆ บอกว่าอาเดชยังไม่ได้นอน และทำงานต่อ บางทีก็กินข้าวตอนเย็นทีเดียวเลย
ดิฉันไปพบท่านเมืองร้าง เห็นแต่ลูกตาขาวเด่นที่สุดบนใบหน้า ท่านเมืองร้างเริ่มอ้วนขึ้น เหตุเพราะทำงาน และงานยุ่งทั้งวัน ไม่มีเวลากิน จะกินอาหารตอนเสร็จงาน นั่นคือกินก่อนนอน … จะเป็นเช่นนี้เสมอมา … พี่น้องหลายคนห่วงใยท่านเมืองร้าง ฝากกราบเรียนหลวงปู่ช่วยบอกด้วยว่า …. ถึงเวลากินก็ให้กิน ถึงเวลานอนก็ให้นอน ….
ในขณะที่ท่านเมืองร้าง และพวกแม่ทัพนายกองช่วยกันเทปูนสร้างลานสู่สูญอย่างหามรุ่งหามค่ำ น้องๆ ม.1-2 เหมือนหนูร่าเริงเพราะ (แมวไม่อยู่) รุ่นพี่ไม่มีเวลามาช่วยครูดูแลป้องปรามพฤติกรรมเสี่ยงของน้องๆ กลุ่มหนึ่ง จึงเกิดโจรา 4 คน ไปลักขโมยของกินที่บ้านพี่น้องในชุมชนบวรราชธานีอโศก
โรงเรียน พี่ๆ ม.4-5-6 และคณะครูได้เตือนแล้วเตือนอีกว่า อย่างสร้างความเสียหาย เพราะจะเสียชื่อทั้งโรงเรียน งานนี้โจรา 4 ตัว ควบคุมพฤติกรรมตนเองไม่ได้ จึงสร้างเรื่องราวให้เสียหาย
ครูจุ๋มพูดกับเด็กๆ ว่า ป้าแมวให้บ้านเป็นที่เรียนแล้ว พวกเธอยังเนรคุณไปแอบขโมยฝรั่งที่ผู้ปลูกตั้งใจห่อไว้ถวายหลวงปู่ …. ป้าแมวยังบอกว่าไม่รู้ว่าเด็กที่เอาไปจะกินได้หรือไม่ … อย่าไปเอาโทษอะไรกับเด็กเลย …
ป้าตั๋งบอกว่า เด็กๆ พวกนี้ก็เหมือนลูกหมาลูกแมว บางคนก็ซนเหมือนลิง
ครูหญิงเริ่มมีอารมณ์ พูดด้วยเสียงอันดังว่า … ถ้าเป็นลิงจะไม่โกรธเลย … แต่นี่เป็นคนนะ … มีวุฒิภาวะมากกว่าลิง !!! … เกิดสงครามในใจและปะทุออกมาทางวาจาแล้วตอนนี้ ครูต้องไปสงบสติอารมณ์เรียนรู้เวทนา108 ปฏิบัติจรณะ15 แล้วค่อยมาช่วยกันคิดว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร
โจราอีกกลุ่มไปขโมยกินไข่ผู้ป่วยท่านหนึ่งที่ต้องฟื้นฟูร่างกายด้วยการกินไข่ ผู้ป่วยท่านนี้ก็บอกว่าอย่าไปเอาโทษอะไรรุนแรงนะ ขอให้ลงโทษไปตามลำดับ
ได้เห็นความเข้าใจที่มีต่อเด็กๆ ของพี่น้องที่ได้รับความเสียหาย ไม่คิดจะเอาเรื่องราว โรงเรียนต้องขอโทษด้วยที่ท่านได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมที่มีปัญหาของนักเรียน
ป้า ผอ. (ดิฉัน) และ แม่กิ่ง (ผู้ปกครองนักเรียน) ไปพบผู้เสียหายเพื่อขอโทษและสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น ก็ได้รับความเห็นอกเห็นใจ ป้าแมวเจ้าของบ้านที่เปิดพื้นที่ให้เด็กๆ ได้เข้าไปนั่งเรียน เด็กนั่งเรียนไป ตาก็มองโน่นนี่นั่น เห็นฝรั่งคิดว่าลูกนี้คงน่ากิน จึงแอบขโมย ป้าแมวก็ฝากมะละกอให้ดิฉันนำมากินอีก 2 ลูก ผู้ป่วยท่านอีกท่านก็ย้ำอย่าไปทำโทษเด็กแรงนะ …
ในสถานการณ์แบบนี้ ดิฉันจึงเข้าใจว่าทำไม ผู้ปกครองที่มีลูกหลานเกเรสร้างพฤติกรรมเสียหาย จึงต้องเอาปี๊บมาคลุมหัวเดิน
ท่านเมืองร้างเป็นผู้มีสายป่าน (รักคน) ยาว … ถึงยาวมากๆๆๆ …. โจรา 4 คน เป็นเด็กต่ำกว่าเกณฑ์ 2 คน อีก 2 คน กำลังมีพฤติกรรมเสี่ยง ท่านเมืองร้างมีเหตุผลที่จะให้โอกาสเด็กต่ำกว่าเกณฑ์ จนที่ประชุมครูต้องยอมรับ เพราะท่านเมืองร้างและทีมงานการศึกษาเคยพิสูจน์ฝีมือในการให้โอกาส และพลิกชีวิตเด็กกลุ่มเสี่ยงผู้น่าสงสารมาแล้ว
ก่อน Christmas 1 วัน ป้าตุ๊กและลุงราวด์โน่บอกว่า ได้เห็นเด็กๆ ทุ่มเทในการทำงานตัวเป็นเกลียว หัวเป็นน็อต ทั้งสองท่านเกิดความประทับใจมาก คุณลุงราวด์โน่จึงแต่งตัวเป็น Santa Claus และขิมแต่งตัวเป็นกวาง Reindeer มาให้ของขวัญเด็กๆ ในวันนี้ 24 ธันวาคม 66
คุณลุงเล่าประวัติของตนที่ทำงานหนักมาตั้งแต่เด็กๆ เช่นเดียวกับภาพที่เห็นนักเรียนสัมมาสิกขาทำงาน และคุณลุงฝากข้อคิดให้กับเด็กๆ ว่า …. ในชีวิตจริงต้องทำงานหนัก เพื่อความก้าวหน้า และเป็นเกียรติภูมิของเราที่จะเห็นความสำเร็จ … จากนั้นลุงราวด์โน่ก็ให้ของขวัญแก่เด็กๆ ที่ทำความดี พร้อมกล่าว Merry Christmas …
และขออนุญาตคัดลอกข้อความบางตอนจากข้อเขียนของป้าตุ๊ก สิริมา เพื่อรำลึกถึงความดีที่พี่น้องและเด็กๆ นักเรียน ที่ร่วมกันสร้างลานสู่สูญถวายแด่หลวงปู่ ความว่า ….
…..คารวะ..’เธอ’..ผู้เสียสละ’..หลอมแรงรวมใจให้เป็นหนึ่ง
งานใหญ่จึงงามง่ายคล้ายดั่งฝันคือความจริงที่ยิ่งใหญ่คุณอนันต์ประโยชน์นั้นเพื่อผองชนใช่ตนเองคือดำริของ’หลวงปู่’ผู้เมตตาการศึกษาใช่เพียงพาให้เรียนเก่งเสียสละละความคร้านบ่ย่านเกรงขอมอบเพลงนี้มาบูชา’เธอ’
ในสนามรบเพื่อไปสู่สันติภาพแห่งนี้ ทีมงานครู เด็กๆ ผู้ปกครอง มีความอบอุ่น มีความผาสุก ซึ่งวัดจากพลังร่วมแรงร่วมใจกันทำงาน ที่มีการประสานสัมพันธ์ กลมเกลียว ถ้อยทีถ้อยอาศัย ในการอยู่ร่วมกัน แม้งานจะหนักและมีปัญหาเกิดขึ้นก็ตาม แต่ละคนได้ทำแบบทดสอบปฏิบัติบูชาถวายหลวงปู่ได้ผลดีระดับหนึ่ง เหลือสัปดาห์สุดท้าย ครู ผู้ปกครอง และลูกหลานทั้งหมดจะตั้งใจพัฒนาตน พัฒนางานให้ดีขึ้นว่าสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
กราบนมัสการมาด้วยความเคารพบูชายิ่ง
อาตั๋ง ทีมงานการศึกษา ผู้ปกครอง นักเรียนที่ทำดี และโจราอีก 4 ตน
พ่อครูว่า…ฟังไปก็น่าเอ็นดูนะ พวกเราก็อยู่อย่างนี้แหละเป็นครอบครัวใหญ่ อาตมาเรียกได้ว่าเป็นครอบครัวใหญ่ที่เราใช้ศัพท์เรียกกันว่าเป็นญาติธรรม เป็นครอบครัวใหญ่ เป็นญาติทางจิตวิญญาณ เป็นปู่ย่าตาทวด ลูกหลานเหลนกันอย่างแท้จริง โดยเฉพาะมีสาธารณโภคี มีทรัพย์สินรวมกันเป็นส่วนกลางทั้งหมด วัตถุ เป็นเศรษฐศาสตร์ที่สมบูรณ์สุดแล้วสำหรับพวกเราชาวอโศกที่ปฏิบัติตามธรรมพระพุทธเจ้า และก็มีผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ปรากฏการณ์จริง phenomenology ไม่ใช่เป็นของที่มีแต่ตรรกะเหมือนยูโทเปียของโทมัส มอร์
นี่เป็นเรื่องจริงเป็นเรื่องที่สำเร็จเป็นหลักสูตรทฤษฎีสำคัญของพระพุทธเจ้า ที่อาตมานำมาสถาปนาลงไปในยุคที่ศาสนาพุทธเสื่อมสุดแล้ว ไม่มีคำสอนพระพุทธเจ้าที่เป็นโลกุตระ ไม่มี เพราะฉะนั้นพระพุทธศาสนาในหมู่ใหญ่จึงไม่มีลักษณะอย่างพวกเรา ไม่มีเลย
พูดได้ว่าไม่มีเลย ที่จะเป็นอย่างนี้ เป็นสาราณียธรรม 6 อยู่กันอย่าง สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ทรัพย์สินเอามารวมกัน ลาภได้โดยธรรม ไม่ได้อย่างอธรรมด้วย ได้มาก็เอามารวมเป็นส่วนกลางใช้ร่วมกันกินใช้ร่วมกันเป็นสาธารณะโภคี ลาภธัมมิกา นอกนั้นส่วนตัวใครจะมีฐานจิตเท่าไรก็ปฏิบัติตนเองไปตามฐานานุฐานะ เป็นศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา รวมกัน ศีล 5 ก็สมานเสมอกับศีล 8 ศีล 8 ก็สมานเสมอกับศีล 10 ศีล 10 ก็เสมอสมานกับศีลที่สูง สูงขึ้นไปอย่างดีทีเดียว
เพราะฉะนั้น สังคมพวกเรานี้สังคมชาวโศกเรานี้ ที่เป็นสังคมอารยะแบบโลกุตระก็จะดำเนินไป เพราะได้ปักหมุดลงไปแล้วที่อาตมานำมาสถาปนาลงไปในยุคนี้ นี่นี่อาตมาพูดอย่างอาสโภ อย่างกล้าพูดอย่างเป็นสัจจะ ไม่ได้มีจิตอยากอวดโอ่อวดอ้างอะไร เพราะว่าธรรมะนี้เป็นของพระพุทธเจ้า อาตมาโอ้อวดอย่างไรก็เป็นของพระพุทธเจ้า ไม่ได้เท่หรอก เพราะอาตมาเอาของพระพุทธเจ้า จะเท่ก็พระพุทธเจ้านั่นแหละเท่ ไม่ใช่อาตมาเพราะอาตมาเอาของพระพุทธเจ้าลงมาสถาปนา
อาตมาจะภูมิใจในตัวเองเท่านั้นว่าอาตมานำของพระพุทธเจ้ามาให้พวกเราเรียนรู้ตามและปฏิบัติได้เป็นจริงเป็นผลที่ต่างหากล่ะที่อาตมาจะภูมิใจ ถ้าเท่ก็ต้องของพระพุทธเจ้านั้นเท่ พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของสูตรนี้ เจ้าของทฤษฎีนี้ ใช่ไหม ก็จะยืนยงต่อไป สืบสานต่อไป จากยุคนี้ 2,500 ก็จะสืบสานยาวไป
ซึ่งเนื้อหาสาระจะมีความควบแน่นหรือว่ามีน้ำหนัก น้ำเนื้อที่สามารถรักษาความเจริญไป และมันก็จะต้องเสื่อมไป เจริญขึ้นแล้วมันก็จะเสื่อมไป จนกว่ามันจะเสื่อมไป มันจะยาวยืนไปอีก 2,500 ปี ไม่ถึงดีหรอก นี่มันเลย พ.ศ. 2500 มาแล้ว เป็น พ.ศ 2567 แล้ว มันเลย 500 มา 60 กว่าปีแล้ว ก็เหลืออีก 2,433 ปี นะ ก็จะยาวยืนไปถึง 5,000 บาท ตามเลขกลมๆ ที่จริงมันก็จะไม่เป็นตัวเลขกลมๆอย่างที่ว่าทีเดียว
ยังไม่รู้ได้ว่าเนื้อหาคุณภาพจะมีน้ำหนักน้ำเนื้อที่จะสืบทอดสืบสานต่อไปถึงอีก 4,000 กว่าปี มันจะไหวไหม ยังไม่รู้ แต่มันก็จะมีภาวะขึ้นๆไปแล้วจะค่อยๆเสื่อม ภาวะที่จะต้องอัตราการก้าวหน้าที่สูง แล้วจะเสื่อมไปอัตราการก้าวหน้าก็จะไม่ดิ่ง ไม่มากเท่ากับทางเสื่อม มันจะต่างกัน นี่ก็อธิบายอะไรต่ออะไรไปบ้างเล็กๆน้อยๆ
ตัวอย่างรายละเอียดการปฏิบัติธรรมในฆราวาสอโศก
มีอีกอันหนึ่งเขียนมาว่า
_กราบแทบเท้านมัสการพ่อครูด้วยความเคารพยิ่ง วันที่ 2 ธันวาคม ขออนุญาตกราบรายงานผลการปฏิบัติธรรม ก่อนจะรู้จักชาวอโศกก็ศึกษาจากสำนักอื่นๆบ้าง แต่กิเลสก็แค่สงบ วิกขัมภนปหาน เท่านั้น ไม่พ้นทุกข์พ้นสุข วนอยู่กับทุกข์โลภโกรธหลงแล้วๆเล่าๆ หาทางดับทุกข์ไม่เจอ
เมื่อรู้จักชาวอโศกปฏิบัติใหม่ๆ กิเลสภายนอกลดได้ มอซอ กินมังฯ ทำงานฟรี ไม่มีอบายมุข
ต่อมาเมื่อเข้าไปรับผิดชอบงาน ก็หลงไปกับการทำงานไม่ค่อยได้ฟังธรรม (พ่อครูว่า…ระวังนะ ผู้ที่เอาแต่ทำงานไม่ได้ฟังธรรม ) ทำใจในใจไม่เป็น ทำงานเป็นอย่างเดียว และเก่งงานขึ้นเรื่อยๆพร้อมอัตตาก็โตตามความเก่งไปด้วย หลงงานจนเสียอารมณ์ ไม่เกิดมรรคผลแต่อย่างใด จับกิเลสล้างกิเลสภายในยังไม่ได้ เพราะปฏิบัติไม่เป็นไปตามลำดับ
เริ่มปฏิบัติตาม อปัณณกปฏิปทา 3 ถือศีล แล้วก็สำรวมอินทรีย์ ไม่มองนอกตน ก็ลดการเพ่งโทษถือสาได้มากขึ้น จริงจังกับการลดละเรื่องการกินอยู่หลับนอน เรียนรู้ กวฬิงการาหาร ฝึกฝนแยกแยะเวทนาแท้เวทนาเทียม ตามรู้สุขทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ ในขณะเคี้ยวกลืน ค่อยๆรู้ตื่นมากขึ้น
เมื่อกระทบอายตนะ 6 วันไหนกินไม่ปรุงแต่งจะจับมโนสังขารได้ไวมาก ฝึกปรับภายในใจไปเรื่อยๆเมื่อกระทบสัมผัส เมื่อกระทบผัสสะแยกแยะว่า จิตเกิดวิปลาส 4 หรือไม่ เราเข้าไปยึดอะไรว่าเที่ยงว่าสุขไม่มีตัวตนเรื่องใด อะไรไม่ควร ได้บ้างในแต่ละวัน
ปฏิบัติธรรมผ่านการทำงานที่พร้อมไปกับการเฝ้ามองดูกิเลสที่เกิดขึ้นจากอายตนะ 6 ที่กระทบ แล้วจัดการกับกิเลสที่เกิดขึ้นจากการทำงานดุจแม่วัวกินหญ้าไปด้วย แล้วก็ชำเลืองดูลูกน้อยไปด้วย โดยไม่เคยหลบไปนั่งหลับตาแม้แต่ครั้งเดียว ค่อยๆเห็นกิเลสที่เกิดขึ้นและค่อยๆจัดการกับกิเลสลงไปได้เรื่อยๆ เกิดความเบาว่างภายในเกิดปิติ ใจก็สุขเย็น
เมื่อกระทบผัสสะก็รู้สึกขอบคุณโจทก์ที่ทำให้ได้ตรวจว่าหลุดพ้นในเรื่องนั้นๆหรือยัง ถ้ายังไม่หลุดพ้นก็ฝึกต่อจนกว่าจะไม่สุขไม่ทุกข์ แล้วโจทย์เดิมๆนั้นๆก็จะมาเรื่อยๆ จนกว่าเราจัดการได้ ไม่สุขไม่ทุกข์เรื่องนั้นได้ ซึ่งก็เป็นไปตามธรรมจริงๆ ไม่ต้องเรียกร้องไม่ต้องแสวงหาผัสสะมันจะมาเอง
เมื่อปฏิบัติตามหลัก อปัณณกปฏิปทา 3 ก็จะเกิดสัทธรรม 7 เกิดศรัทธาในผลที่ปฏิบัติได้ มีหิริโอตตัปปะในบาป แม้เล็กแม้้น้อย แม้ในจิตก็ละอาย (พ่อครูว่า… อาการหิริ อาการละอายเป็นตัวชี้บ่งความเจริญ มันไม่ใช่ละอายอย่างเหนียมๆ แต่มันรู้สึกว่า เรานี่ไม่ควร มันจะรู้สึก)
สิ่งใดเป็นอกุศลจ ะไม่ทำเลยเกิดพหูสูตมั่นคงในแนวทางที่ปฏิบัติชัดขึ้น มีวิริยะพากเพียรต่อเนื่องมั่นคงสติก็แววไวๆกับอายตนะ 6 เกิดฌานปัญญา จัดการกับกิเลสได้ทันท่วงทีตามลำดับ (ชนะมากกว่าแพ้) กิเลสหลบไปทันทีกระทบอายตนะ 6
(พ่อครูว่า… กิเลสหลบไปทันทีคือ ธรรมฤทธิ์ของปัญญาที่รู้เท่าทัน กิเลสหลบไปทันทีคือธรรมฤทธิ์ของปัญญาที่รู้เท่าทัน คือปัญญา อาตมาก็เคยอธิบายย้ำมันจะเป็นอย่างนั้นมันจะมีธรรมฤทธิ์)
กิเลสจะหลบไปทันทีในขณะที่กระทบอายตนะะออกอย่างไม่ผิดเพี้ยนเลย สุดท้ายฟันธงได้ว่าทั้งสิ้นทั้งปวงล้วนเกิดจากอัตตาของเราเอง ล้มลุกคลุกคลานอยู่ในสนามรบกับกิเลสสู้ไม่ถอยตั้งตบะให้กับตนเองทุกวัน ในเรื่องกินอยู่หลับนอน(ไม่มีออกพรรษาหรือเข้าพรรษา) วันละนิดวันละหน่อยทำน้อยแต่ทำประจำ จนเอาอยู่กับเรื่องอาหารได้เกิน 60% ( ประเมินแบบกดคะแนน) เข้าไปอ่านเวทนาเทียมที่เกิดขึ้นได้เร็วขึ้น ว่าคำไหนเป็นเวทนาเทียม – แท้ รู้ความจริงตามความเป็นจริงได้มากขึ้นตามลำดับ ฝึกมองตนจนเป็นนิสัย ชัดเจนว่า ผัสสะที่เกิดขึ้นในแต่ละวันล้วนมาตรวจวิมุติของเราว่า หลุดพ้นจากทุกข์สุขในเรื่องนั้นๆ จนหมดอนุสัย ตามที่พ่อครูนำมาอธิบายขยายความหรือไม่
ซึ่งก็เป๊ะทุกอย่าง ขอบอกว่าเป๊ะทุกอย่าง โดยมี เจโตปริยญาณ 16 เป็นตัวตรวจเช็ค (พ่อครูว่า… อธิบายมานี่เข้าหลักเข้าเกณฑ์นะใครฟังตามที่เรียนรู้มาเรื่อยๆ จำหลักเกณฑ์ได้จะรู้ความจริง )
ผ่านมาหลายสิบปี ปัญญาก็แหลมคมขึ้นจัดการกับกิเลสในเวทนาได้ตามลำดับ เกิด ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ก็จะรู้ว่าเป็นอุเบกขาแล้วกับเรื่องเดิมๆเรื่องไหนยังไม่หมดก็จะรู้ว่ายังไม่หมด และอยู่กับปัจจุบันได้มากขึ้น กิเลสไม่สามารถออกมาทางวจีกรรมและกายกรรม เกิดแค่มโนก็สามารถจัดการลงได้และรู้ว่านี่คืออรูปอัตตา ที่เราต้องล้างออกให้หมด
วันนี้พ้นทุกข์พ้นทุกข์ได้มาพอสมควร และมีฉันทะเป็นกำลังที่จะวิริยะต่อไปอยู่กับปัจจุบันอย่างไม่สุขไม่ทุกข์ มรรคผลที่ได้วันนี้ล้วนมาจากการปฏิบัติธรรมตามแนวพระพุทธเจ้าที่พ่อครูนำมาอธิบายขยายความ แยกด้วยทั้งสิ้น จึงขอยืนยันว่าอยู่กับผัสสะนี่แหละ มีโยนิโสมนสิการเข้าไปอ่านเวทนา จัดการกับกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ก็จะรู้ว่าเรายังมีจิตวิปลาส 4 ในเรื่องใด โดยมี เจโตปริยญาณ 16 ตรวจว่าพ้นทุกข์พ้นสุข มีวิมุติในเรื่องนั้นๆหรือไม่ เมื่อกระทบอะไรก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง มีโยนิโสมนสิการ นี่เป็นธรรมะ 2 เรามีทำหน้าที่ให้เป็น 1 และจัดการให้เป็น 0 ไม่เกี่ยวกับคนอื่นอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น
การปฏิบัติธรรมของชาวอโศกเปรียบเหมือนมีแผนที่ให้เดิน เปรียบได้กับหัวข้อธรรมต่างๆในการปฏิบัติและมี GPS(พ่อครู ท่านสมณะ ) คอยบอกคอยบอกว่าเราถูกทางหรือไม่หากมา ผิดทาง GPS ก็จะบอกให้เราย้อนกลับไป อาจจะเสียเวลาบ้าง แต่ถึงเป้าหมายแน่นอนและมีความเจริญไปตามลำดับ
และขอบอกราชธานีอโศกนี่แหละเหมาะที่สุด เพราะนอกจากอาหารจะอุดมสมบูรณ์ไร้สารพิษแล้ว ผัสสะก็อุดมสมบูรณ์ (พ่อครูว่า… พวกเราหมอเยอะ ตำรวจเยอะ ) มีผู้เสียสละมากมายหลากหลายบิดรมารดา ที่ส่งใจให้เรา โดยตั้งใจก็ดี ไม่ได้ตั้งใจก็ดี ให้เรานำมาตรวจว่า ยังมีหรือไม่มีกิเลสในเรื่องนั้นๆหรือไม่ มาๆ อย่ารอช้า อยู่ไหนรีบมา เก็บเสื้อผ้าแล้วมาราชธานีอโศกกัน นิพพานนี่ดีนะ เป็นสุดยอดของความสุข เป็นสุขที่ว่างจากกิเลส กว่าจะได้นิพพานแต่ละเรื่องนี่ก็ยากนะ ใช้เวลามากต้องเพียรพยายามฝึกไม่ยึดล้มแล้วล้มอีกแต่ได้แล้วได้เลย
กราบแทบเท้าขอบพระคุณพ่อครูผู้เป็นพระอรหันต์นิยตโพธิสัตว์ที่มีเมตตาต่อสัตว์โลก พร้อมอบรมสั่งสอนแล้วสั่งสอนอีก มายาวนานถึง 53 ปีออย่่างไม่รู้เหน็ดหน็ดรู้เหนื่อย (พ่อครูว่า… อาตมารู้นะอย่าหาว่าอาตมาไม่รู้เหน็ดไม่รู้เหนื่อย อันนั้นให้เศรษฐาเขาเถอะ เศรษฐาเขาทำงานไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย แต่ อาตมารู้นะ ) กว่าลูกคนนี้จะเข้าใจเข้าถึงความเบาว่าง พ้นทุกข์พ้นสุขมาได้บ้าง สองบ้าง ก็ใช้เวลาหลายสิบปี
ลูกตั้งใจว่า ไม่ว่าชาตินี้ชาติหน้าหรือชาติไหน จะขอร่วมเดินตามรอยเท้าพ่อครูตลอดไปและตลอดกาล ขอตั้งจิตร่วมสืบต่อพระศาสนาจนครบ 5,000 ปี ตามกำลังความสามารถอันน้อยนิดที่มีอยู่
กราบแทบเท้านมัสการด้วยความเคารพบูชายิ่ง
นิรนาม บ้านราช (คนละคนกับชื่อลูกนิรนามนะคะ)
พ่อครูว่า… นี่เป็นตัวอย่างอ่านไปให้ฟัง เป็นตัวอย่างของคนที่มาเรียนรู้แล้วก็เข้าใจทฤษฎี เข้าใจระบบระเบียบกระบวนการ ของความรู้และปฏิบัติไปได้มรรคได้ผลอะไรต่อไป นี่เป็นตัวอย่างที่อาตมาอ่านให้ฟัง อย่างนี้แหละถูกต้อง ถูกต้องแล้ว ดีแล้ว ประเสริฐจริง เพราะฉะนั้นแต่ละคน แต่ละคน ฟังไปแล้วก็ตรวจสอบตัวเอง ตัวเองจะเอาจริงเอาจังอะไรแค่ไหนก็คิดดู แล้วทำได้อะไรแค่ไหนก็ตรวจสอบไป
เพราะฉะนั้นก็ ผู้ที่มาและฟัง วันนี้ก็ยังเป็นพัน นั่งฟังธรรมกันอยู่วันนี้วันที่ 1 ยังอยู่ครบแล้วก็จะอยู่กันอีกเท่าไหร่ยังไม่รู้ แต่ก็คงจะกลับๆกันไปไม่ใช่น้อย ผู้ที่จะอยู่เลย จะต่อหรือตั้งใจจะไปแล้วอีกงานก็จะมาก็แล้วแต่ ตัวใครก็ตัวใคร
อาตมาก็ทำงานไปจนอายุ 90 ปีนี้ 90 ขึ้น 7 เพราะอาตมาเกิด 2477 ปีนี้มัน 2567 ถ้ามัน 2577 ก็100 ปี เพราะฉะนั้นต้องพยายาม อาตมาตั้งใจจริงๆ จะพยายาม กระเสือกกระสน อีลาก อีเลื่อไป ไปให้ถึง 77 นี่มัน 67 ไปให้ถึง 77 ให้ได้ ถ้าถึง 5 มิถุนายน 77 ก็สมบูรณ์แบบ 100 ปีถ้วน เลย
5 มิถุนายน 2577 ก็พูดไป แล้วก็ทำ มันเป็นการท้าทายพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าถึงอิทธิบาทว่า อายุขัยนี้อาตมาพิสูจน์มาแล้วแหละแต่เพื่อพิสูจน์ให้ชัดเจนเลยว่า คนเรานี่ทุกวันนี้อายุคนทุกวันนี้มันสั้นแล้วใช่ไหม 100 ปีหายากแล้ว 90 ก็น้อย อายุ 60 70 ก็ถือว่าไม่ค่อยจะแน่นอนแล้ว เพราะฉะนั้นทางการก็ปลดเกษียณกัน 60 ตามสากลส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเมืองไทยอายุทั่วไปหรือทั่วโลก ทุกวันนี้ยุคนี้มันประมาณนั้น มันไม่เหมือนยุคหลายๆยุคที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส อยู่ในตำนานอยู่ในพระไตรปิฎกบอกว่าคนอายุตั้งหลายร้อยปี หลายพันปีก็ยังมี 80,000 ปียังมีเลย โอ้โห ไอ้อย่างนั้นเราคิดไม่ออกเลยเนาะ อายุ 80,000 ปีนี้
ปฏิจจสมุปบาท โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ตอน 2
มาต่อ อาตมาตั้งใจจะต่อ ปฏิจจสมุปบาทให้จบ อาตมาเขียนต่อไปแล้ว
ต่อจากเมื่อวาน … คนผู้สามารถมี“ปัญญา”รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความสุข-ทุกข์”และสามารถจัดการกับ“เหตุแห่งทุกข์”ให้หมดสิ้นไปได้อย่าง“เที่ยงแท้”เป็น“นิยตะ”ยั่งยืนตลอดไปจึงคือ “คนเจริญ”
คนชาวโลกียะ คือ คนที่ยังไม่มีความรู้ที่เป็น“อัญญ ธาตุ”เกิดขึ้นในจิตแม้แต่ 1 หน่วย ก็คือ ผู้ยังเป็น“โลกียชน” หรือปุถุชนเต็มตัว ยังไม่มีเครื่องชี้บ่งความเป็น“อาริยชน”
ถ้ามีบ้างแล้วก็มากขึ้นจนเพียงพอถึงขั้นที่จะ“เข้าใจ” ธรรมที่เป็น“โลกุตรธรรม”ได้ ขั้น“เข้ากระแส”ก็เริ่มเป็น“อาริยบุคคล”ขั้น“โสดาบันบุคคล” เพราะมีความรู้“อื่น”ขึ้นในจิต
“อื่น”คำนี้ ศัพท์บาลีว่า อัญญ ดังนั้น คนผู้ใดในจิตยังไม่มี“ธาตุ”ที่เป็น“อื่น”นอกไปจาก“โลกียธาตุ”ที่ตนมีอยู่เดิมแต่ไหนแต่ไรตามประสาของคนปุถุชน คนผู้นี้ก็มีแต่“เฉโก”
คนผู้นี้ยังมี“ความรู้”วนอยู่ในกรอบของ“โลกียะ”ไม่เจริญออกไปจากกรอบเดิมมาเป็นคน“โลกุตระ”ได้เลย
หรือไม่เจริญเป็น“อาริยบุคคล”ขึ้นมาเป็น“อื่น”ออกจากความเป็นชาว“โลกียะ”ได้ มีแต่ความรู้“เฉโก”เดิมๆอยู่
คนแบบ“โลกุตระ” คือ คนอย่างไร? มีอะไร“อื่น”ขึ้นมาเป็นเครื่องชี้บ่งสำคัญยิ่งไฉน? แบบไหนกันหรือ?
คนแบบ“โลกียะ” คือ คนที่ยัง“ไม่พ้นสุข-ไม่พ้นทุกข์” เพราะยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“จิต เจตสิก รูป นิพพาน” โดยเฉพาะ“นิพพาน”ที่เป็น“ความไม่มีสุข-ไม่มีทุกข์”ใน“เวทนา”
คนผู้จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“นิพพาน” ก็คือ ผู้มี“ความรู้”แบบ“โลกุตระ”ที่มี“ปัญญา”รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง”ถูกต้อง
“ความรู้”แบบ“โลกุตระ”คือ คนผู้หลุดพ้นจาก“อวิชชา”
คนผู้ยังมี“อวิชชา”อยู่ คือ คนยังไม่มี“ความรู้”ที่แปลกใหม่ขึ้น ซึ่งเป็นความแตกต่างจากความรู้แบบ“เฉโก” นั่นคือ มันเป็นความรู้แบบ“ปัญญา”หรือ“ญาณ”หรือ“วิชชา” อันเป็น“ความรู้”ที่เป็น“อื่น”จาก“เฉโก” ที่สามารถ“หลุดพ้น”
“เฉโก”คือ “ความรู้”ที่ยัง“อวิชชา” จึงยังไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ปฏิจจสมุปบาท”ได้เลย ก็ไม่สามารถ“ดับเหตุ”ที่มันเป็น“ปัจจัย”ทำให้“เกิดภพ-เกิดชาติ”สำเร็จ
จึงไม่สามารถ“ดับภพ-ดับชาติ”ให้ตนจนกระทั่ง“ไม่มีภพ-จบชาติ”เด็ดขาดได้
ไม่ว่า“ความเกิด”ของ“ความโง่”หรือ“ความไม่รู้” ไม่ว่า“ความเกิด”ของ“วิญญาณ”ที่เป็น“อัตตา”ของตน ทุกๆคนที่มีความเป็นคนนั้น มีสิทธิ์ทำได้ ไม่ว่า“คน”ในศาสนาใด ลัทธิไหน ก็มีสิทธิ์เช่นกันทั้งนั้น ไม่มีละเว้นเลยสักคน
เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงไม่ได้ปิดกั้นใครที่จะมาเรียนรู้ จนหมดกิเลส จนดับภพจบชาติ ไม่ปิดกั้นที่ใครจะมาเรียนรู้ฝึกฝน ให้สัมมาทิฏฐิเถอะแล้วสัมมาปฏิบัติจะได้มรรคผล
ถ้าคนผู้นั้นไม่สามารถเรียนรู้“ความเจริญ”เป็น“อาริยบุคคล”ให้“สัมมาทิฏฐิ”แบบ“โลกุตระ”ได้กันอย่างแท้จริง
ก็จะทำ“ความเกิด”ที่“เกิด”อยู่ คือ ผู้ยังมี“ชีวะ”ของตนอยู่ ซึ่งคนชาว“เทฺวนิยม”ที่ยังมีภูมิแค่“โลกียะ”หรือ “เฉโก”อยู่จะ“ตาย”ลง คือ ตายสิ้นลมหายใจไปแต่ละชาติ ร่างของคนผู้นี้ที่เป็นซากศพถูกเผา หรือถูกฝังทิ้งไว้ในโลกแล้ว คนผู้นี้ก็จะยัง“ตาย-เกิด ; เกิด-ตาย”วนเวียนอยู่ในกาล
คนผู้นี้ยังไม่มี“ปัญญา”เป็น“โลกุตระ”บรรลุ“อรหันต์”
จึงยังไม่สามารถ“ตาย”ด้วย“นิพพาน 3”อันได้แก่ “สุญญต
นิพพาน-อนิมิตตนิพพาน-อัปปณิหิตตนิพาน”ไปจาก“กาล”ได้
อาตมานำคำว่ากาละให้เรียนรู้ พระพุทธเจ้าบอกว่า กาละกลืนกินสรรพสัตว์ ตายแล้วตายเล่าอยู่ในกาละ เทวนิยมจะออกไปจากกาละไม่ได้วนเวียนอยู่นิรันดร เขามีความรู้ว่า เขาจะไม่มาเกิดอีก เขาจะไปอยู่กับพระเจ้า
คนผู้นี้ก็ยังไม่สามารถทำที่สุด“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน” สลาย“จิตวิญญาณ”หรือ“อัตตา”ของตนไปได้ ก็ยังมี“เชื้อ(อุปาทิ)ชีวะ”อันเป็น“จิตวิญญาณ”หรือ“อัตตา” ที่สลาย “จิตนิยาม”ของตนไปสู่ความเป็น“ดินน้ำไฟลม”ไม่สำเร็จแน่
ไม่ว่า จะเป็นการตายของ“พระเจ้า” หรือการตายของ“อัตตา” หรือการตายของ“ความโง่(อวิชชา)” หรือการตายของ“กาย” หรือการตายของ“จิต” หรือการตายของ“ความรู้สึก(เวทนา)” หรือการตายใดๆก็ตาม ไปจาก“กาล”
คนผู้นี้ก็ตายอย่าง“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”ด้วย “การตาย”แบบ“นิพพาน 3”ไม่ได้
ถ้าไม่สามารถเรียนรู้“ความเจริญ”เป็น“อาริยบุคคล”ที่ “สัมมาทิฏฐิ”แบบ“โลกุตระ”ได้กันอย่างแท้จริง
“ความเกิด-ความตาย” หรือ“ความเกิด-ความไม่เกิดอีก” นั้นต้องมี“ปัญญา-ญาณ-วิชชา” จึงจะสามารถ“ตาย” ด้วย“นิพพาน 3”ทำ“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”สูงสุด
หากผู้ใดยังมี“อวิชชา”หรือมีแต่“เฉโก”ก็ยัง“ไม่พ้นความเกิดแล้วเกิดอีก-ตายแล้วตายอีก” วนเวียนไม่มีที่จบ
ผู้นั้นยังมี“อัตตา”หรือมี“สังขารหรือวิญญาณ”ของตน“เกิด-ตาย ; ตาย-เกิด”วนแล้วเวียนเล่า ลงนรก-ขึ้นสวรรค์ตามที่ตน“หลง”ใน“สมมุติธรรม”อันเป็น“อัตตา”อยู่ตลอดไป
พวกเรามีบารมีมาอยู่กับหมู่กลุ่มนี้ได้จะไม่ค่อยสุขค่อยทุกข์ขึ้นสวรรค์ลงนรกอย่างเขาหรอก แต่คนข้างนอกเขานรกหนักนะ นรกหนาเยอะแยะยิ่ง ต่างประเทศฆ่ากันเป็นเบื่อเขาไม่รู้สึกรู้สา
เมืองไทยนี่ไม่ได้เป็นแบบนั้น นี่กำลังเล่น หมากลี่กัน สังคมประเทศไทยโดยเฉพาะการเมืองกำลังเล่น หมากลี่กัน (เล่นซ่อนหา ) นี่ขณะนี้สังคมประเทศไทยกำลังเล่น หมากลี่
แม้แต่ในวงการศาสนา ธัมมชโยยังไปเล่นหมากลี่อยู่เลย
“ชีวิต”ของคนผู้นี้ก็จะวนเวียน“ตกนรก-ขึ้นสวรรค์”ไปในวัฏฏสงสารอยู่ในกาล ไปกับ“อวิชชา”ของตน “หลุดพ้นจากความวนเวียนอยู่ในกาลหรือวัฏฏสงสาร”ไม่ได้เลย
เพราะอะไร?
เพราะ“อวิชชา” เป็นปัจจัย จึงมี สังขาร
แต่คนผู้“อวิชชา” ไม่มี“ความรู้” ว่า
-
เพราะ “อวิชชา” เป็นปัจจัย จึงมี สังขาร
-
สังขาร เป็นปัจจัย จึงมี วิญญาณ
-
วิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมี นามรูป
-
นามรูป เป็นปัจจัย จึงมี สฬายตนะ
-
สฬายตนะ เป็นปัจจัย จึงมี ผัสสะ
-
ผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมี เวทนา
-
เวทนา เป็นปัจจัย จึงมี ตัณหา
-
ตัณหา เป็นปัจจัย จึงมี อุปาทาน
-
อุปาทาน เป็นปัจจัย จึงมี ภพ
-
ภพ เป็นปัจจัย จึงมี ชาติ
-
ชาติ เป็นปัจจัย จึงมี โศก ปริเทวะ ทุกขะ
โทมนัส อุปายาส
จึงต้องเป็นคนผู้มี“วิชชา”หรือมี“ญาณ-ปัญญา”ให้ได้
ผู้มี“วิชชา-ญาณ-ปัญญา”จึงจะมี“ความรู้” เป็นผู้“พ้นอวิชชาสวะ 8”ได้ ก็จะรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“การเกิด-การดับ”
จึงสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“การดับชาติ”ได้สำเร็จแท้ เพราะมี“ปัญญา 8” ก็“รู้จบ”ความเป็น“ชาติ 5” อันได้แก่
(1) ชาติ (2) สัญชาติ (3) โอกกันติ (4) นิพพัตติ
(5) อภินิพพัตติ
(1) ชาติ คือ การเกิด ทุกอย่าง ทุกชนิด มีความหมายกลางๆทั่วไป ไม่ว่า การเกิดของพลังงานที่เป็นไปของ“มหาภูต 4”วัตถุดินนำ้ไฟลม สสาร อวกาศ มหาจักรวาล ที่ยังไม่นับเป็น“ชีวะ”
ซึ่งแตกต่างจาก“การเกิด”ของ“ชีวะ” ที่เริ่มตั้งแต่ “เห็ด(อหิจฉัตตกะ)”แล้วก็“ภูตคาม-พีชคาม-เจตภูต-ปาณะ-เจตสิก-สัตตะ-จิตวิญญาณ-มนุษย์“มิลักขะ” จนถึงมนุษย์อารยะหรืออริยะแบบโลกียะ” อันยังไม่ใช่“อาริยะ”อยู่
จนกว่าจะมี“ความรู้”ขั้น“ปัญญา”รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“การเกิด”ของ“ชีวะ”ที่เป็นมนุษย์“อาริยะแบบโลกุตระ”
มนุษย์อาริยะแบบโลกุตระ จึงจะ“พ้นอวิชชาสวะ 8”
“อวิชชาสวะ 8” ได้แก่ (1) ไม่รู้ทุกข์ (ทุกเข อัญญาณัง)
(2) ไม่รู้เหตุให้เกิดทุกข์ (ทุกขสมุทเย อัญญาณัง) (3) ไม่รู้
ความดับทุกข์ (ทุกขนิโรธ อัญญาณัง)(4) ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้
ถึงความดับทุกข์(ทุกขนิโรธคามินิยา ปฏิปทาย อัญญาณัง)
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
_สู่แดนธรรม… ว่าตอนนี้ผมกำลังวิจัยเรื่องก่อนเกิดทุกข์ครับ
พ่อครูว่า…
(5) ไม่รู้ในส่วนอดีต(ปุพพันเค อัญญาณัง) (6) ไม่รู้ส่วนอนาคต(อปรันเตอัญญาณัง) (7) ไม่รู้ทั้งส่วนอดีตและอนาคต (ปุพพันตาปรันเตอัญญาณัง (8) ไม่รู้ในปฏิจจสมุปบาทว่า สิ่งทั้งหลายอาศัยกันและกันเกิดขึ้น(อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปปันเนสุ ธัมเมสุ อัญญาณัง) ; [พระไตรปิฎก เล่ม 34 ข้อ 712]
ชีวะจะมีสัญญากำหนดเพื่อจะมีสัญญาสังขารมีการกำหนดรู้ธาตุที่มันต้องการแล้วก็เอามาปรุงแต่งตัวของมันแต่มันไม่มีเวทนา มีแค่รูปสัญญาสังขารสำหรับพืช
(2) สัญชาติ คือ การเกิดของสัญญาที่มีมาติดในภาวะชีวะนั้นๆ ตั้งแต่ ชีวะขั้น“เห็ด(อหิจฉัตตกะ)”
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
_สู่แดนธรรม… แต่ก่อนผมสงสัยว่า มหาภูตรูป จะกลายเป็นชีวะได้อย่างไร ผมก็เลยนึกถึงตอนเป็นเด็ก พอผมเอาน้ำใส่ขวดไว้ นานไปก็มีสีเขียวเกิดขึ้น ไปเรียนรู้ว่าทุกอย่างเกิดขึ้นจากอาโปธาตุ ชีวะเกิดจากน้ำนี่แหละ คราวนี้สปอร์เห็ดที่พ่อท่านหาคำศัพท์มาว่า อหิจฉัตตกะ ผมก็เลยพอเริ่มจับได้ว่า จากอุตุมาเป็นชีวะ สปอร์เห็ดตัวนี้ มันก็จะพัฒนาไป ภูตคาม ผมเลยให้นิยามของภูตคามว่า พืชอะไรก็แล้วแต่ที่ยังไม่แข็งแรง ถ้าย้ายมันก็ตาย เช่นเกิดจากราก กำลังเกิดจากลำต้น กำลังเกิดจากยอด กำลังเกิดจากเมล็ด กำลังงอกราก ถ้าย้ายมันตายเลย อันนี้มันมีภูตะของมันอยู่
แต่พีชคาม ถ้าย้ายไปมันก็เกิดได้อีก
พ่อครูว่า… อันนั้นคือภาวะการเกิดของพลังงานที่ สู่แดนธรรมพูดไป มาพูดถึงอวิชชา 8
“อวิชชาสวะ 8” ได้แก่ (1) ไม่รู้ทุกข์ (ทุกเข อัญญาณัง)
(2) ไม่รู้เหตุให้เกิดทุกข์ (ทุกขสมุทเย อัญญาณัง) (3) ไม่รู้
ความดับทุกข์ (ทุกขนิโรธ อัญญาณัง)(4) ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้
ถึงความดับทุกข์(ทุกขนิโรธคามินิยา ปฏิปทาย อัญญาณัง)
(5) ไม่รู้ในส่วนอดีต(ปุพพันเค อัญญาณัง) (6) ไม่รู้ส่วนอนาคต(อปรันเตอัญญาณัง) (7) ไม่รู้ทั้งส่วนอดีตและอนาคต (ปุพพันตาปรันเตอัญญาณัง (8) ไม่รู้ในปฏิจจสมุปบาทว่า สิ่งทั้งหลายอาศัยกันและกันเกิดขึ้น(อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปปันเนสุ ธัมเมสุ อัญญาณัง) ; [พระไตรปิฎก เล่ม 34 ข้อ 712]
(2) สัญชาติ คือ การเกิดของสัญญาที่มีมาติดในภาวะชีวะนั้นๆ ตั้งแต่ ชีวะขั้น“เห็ด(อหิจฉัตตกะ)”
เป็นต้นไป-ภูตคาม-พีชคาม-เจตภูต-ปาณะ-เจตสิก-สัตตะ-จิตวิญญาณ-มนุษย์อารยะหรืออริยะแบบโลกียะ และมนุษย์อาริยะแบบโลกุตระ
อารยะ เป็นทางเทวนิยม แต่อริยะเป็นทางพุทธนี้แต่เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นสายหลับตา ของชาวพุทธที่มิจฉาทิฏฐิในยุคนี้ ถ้าให้พวกหลับตากล้า ประกาศตัวเองเพราะชาวปฏิบัติสายพุทธทุกวันนี้ก็ยังเชื่อว่าต้องหลับตาปฏิบัติเป็นนิโรธจึงจะตัดกิเลสสิ้นอาสวะได้ เขาถืออย่างนั้นกันเขาจึงไม่กล้าประกาศ เพราะเขามิจฉาทิฏฐิเสื่อมแล้วเรียนพยัญชนะมามากมาย แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจชัด
เป็นต้นไป-ภูตคาม-พีชคาม-เจตภูต-ปาณะ-เจตสิก-สัตตะ-จิตวิญญาณ-มนุษย์อารยะหรืออริยะแบบโลกียะ และมนุษย์อาริยะแบบโลกุตระ เรียกกันว่า “สัญชาตญาณ” ซึ่งชีวะที่เริ่มมี“การกำหนดรู้”และเป็น“ความจำ”ใน“ชีวะ”ของตน คือ หน้าที่ของ“สัญญา”
ภูตคาม มันติดอยู่กับที่ จะเป็นในน้ำหรือบนบกก็ตาม
เพียงแต่ว่า “ชีวะ”ระดับ“เห็ด(อหิจฉัตตกะ)”เป็นต้นไป-ภูตคาม-พีชคาม-เจตภูต จะยังไม่มี“การผูกเวร” ไม่มี“กรรมวิบาก”ที่เกิดจาก“ความรัก-ความชัง” ยังไม่ยึดความเป็น“ตัวตน” อันมีการผูกมัดรัดรึง และมีการแก้แค้นโกรธเคือง ต่อเนื่องการข้ามชาติไม่รู้จักจบ เพราะไม่มี“ความรู้”ที่เจริญถึงขั้น“จิตนิยาม” จะยัง“ปัญญา-ญาณ-วิชชา”ที่เป็น“โลกุตระ”
นี้คือ “ชาติ”ของ“ชีวะ”ที่ระดับ (2) ที่ชื่อว่า “สัญชาติ”
และ“สัญชาติ”นี้ ยังมีได้“2 แบบ” คือ
(1)แบบ “สัญชาติ”ของ“ชีวะ”ระดับ“พีชนิยาม”กับ
(2)แบบ“สัญชาติ” ของ“ชีวะ”ระดับ“จิตนิยาม” ก็จะมี“สัญชาติ”ที่แตกต่างกัน
เช่น “พีชนิยาม”ก็จะมี“สัญชาตญาณ”ในความเจริญในกรอบของ“พืช” ที่ยังไม่มี“กรรมวิบาก” ไม่มีสุข-ไม่มีทุกข์
ฟังความหมายที่ว่าพืชมันไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ไม่มีกรรมวิบากให้ดีๆ ไม่เช่นนั้นถ้าเราไม่เข้าใจไม่ชัดตรงนี้แล้ว เราจะมาแยกพืชแยกพลังงานจิตของเราเองให้เป็นแบบพืช ถ้าเราแยกเป็นพืชไม่ได้ พลังงานมีลักษณะคุณสมบัติแบบพืชเราทำไม่ได้ เราก็สิ้นทุกข์สิ้นสุขไม่ได้ สิ้นพยาบาท ผูกเวรผูกกรรมที่จะต้องรักรัดตรึงดึงดูดกันต่อเนื่องไม่ได้เราทิ้งไม่ได้ เราจะละไม่ได้ จะต้องมีกรรมมีวิบาก มีสุขมีทุกข์อยู่
ส่วน“จิตนิยาม”ก็จะมี“สัญชาตญาณ”ในความเจริญที่ยิ่งขึ้นถึงขั้น“สัตว์”มีการสะสม“กรรมวิบาก”และมีสุข-มีทุกข์
“พีชนิยาม”หรือ“พืช”ยังไม่มี“บาป”ไม่มี“บุญ” “พืช” มันมีแค่หน่วยกิตของ“กุศล(ดี)”ของ“อกุศล(ไม่ดีหรือชั่ว)”ขึ้นไปตามประสาของ“พืช” ที่มันยังมี“หน่วยกิต”ของพลังงานที่เป็น“ชีวะ”สะสมใส่“วิบาก”ของ“พืช”เอง เป็นธรรมชาติสามัญ
มันก็มีพืชแต่ละตัวแต่ละชนิดที่มันจะมีสัญญากำหนดรู้ยึดหรือไม่ยึด จะเอาหรือไม่เอา มันก็มีของมันเหมือนกัน
พลังงานปรุงแต่งกันหรือ“สังขาร”ที่เรียกว่า“ชั่ว(อกุศล)ว่า“ดี(กุศล)” แม้แต่พืชก็สะสมดีชั่วเหมือนกัน สะสมลงเป็น“ชีวะ”ขั้น“กรรมวิบาก”ก็ต้องเริ่มต้นจาก“ชีวะ”ระดับ“ปาณะ”
เพราะฉะนั้น สังขารหรือว่าพลังงานที่จะยึด ยึดในความเป็นชีวะที่จะเป็นกรรมวิบากมา มีทุกข์มีสุข มีรักมีชัง มีกุศลอกุศลพืชมันก็เริ่มต้นมีบ้างแล้ว แต่พอเป็นสัตว์มีรักมีชัง มีทุกข์มีสุข จากชีวะระดับ ปาณะ
ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ“ศีล”ไว้เป็น ข้อ 1 “อย่าไปทำให้พลังงานที่สังขารถึงขั้นปาณะตกล่วงหรือต่ำลง” อย่าไปทำ เพราะ“สังขาร”ขั้นนี้มันเริ่มเป็น“ชีวะ”ที่มี“กรรมวิบาก” ทั้งรักผูกพันกัน ทั้งชังแก้แค้น เข่นฆ่ากันข้ามชาติแล้ว
ไม่เหมือน“พลังงานชีวะ”ระดับ“มหาภูต 4”หรือแม้ที่เริ่มเป็นชีวะขั้น“เห็ด(อหิจฉัตตกะ)”-ขั้น“ภูตคาม-พีชคาม-เจตภูต”ซึ่งมันยังไม่มี“ตัวตน”ที่ยึดติดเป็นกิเลสขั้น“อุปาทาน” (เจตภูต จะเป็นขั้นที่ก้ำกึ่งที่จะมีตัวตน ยึดเป็นกิเลส)
แม้เป็น“ชีวะ”แต่มันยังไม่ยึดมั่นผูกพัน มีรักมีชัง จึงยังไม่มี“กรรมวิบาก”ผูกพันแก้แค้นเป็น“นิยายปุพเพสันนิวาส”
เพราะฉะนั้นพวกนี้มันยังไม่เป็นนิยายบุพเพสันนิวาส ใครเคยดูกันบ้างแล้ว อาตมายังไม่เคยดูเลย แต่ได้รับฟัง มันร่ำลือว่าได้เงินเยอะ ดังไปถึงต่างประเทศ
“พลังงานสังขาร”ที่เป็น“ชีวะ”ก็ต้องถึงขั้น“ปาณะ”ขึ้นไป จึงจะสะสม“กรรมวิบาก”ที่เป็นกิเลส“ผูกพัน”ยึดความเป็น“อัตตา” เริ่ม“ดูด-ผลัก”กันเป็น“รัก-ชัง”ขึ้นมามี“ตัวตน” มี“ของตน” จึงต้องระวัง“พลังงาน”เริ่มจากขั้น“ปาณะ”เป็นต้นไป ตามที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติเป็น“ศีล”ข้อ 1 ว่า “ปาณา ติ ปาตา เวรมณี” แล้วให้ปฏิบัติกันตั้งแต่“อย่าฆ่าสัตว์”ที่เป็น “สัตว์”ที่เริ่มมี“ร่างอันถึงขั้นเป็นกาย”กันไปทีเดียว
ขอยืนยันว่า “ร่างที่มีกาย”ทีเดียวนะ!
ปาณะนี่ เขาแปลว่า อย่าฆ่าสัตว์ ความจริงพลังงานนี้จะเรียกว่าสัตว์เต็มๆยังไม่ได้ ถ้าสัตว์จะใช้คำว่า สัตตะ แต่เป็นปาณะ ต้องเป็นเจตสิก มีสัตตะ แล้วจึงจะเป็นจิตนิยาม
_สู่แดนธรรม… ถ้าอย่างนั้นศีลข้อนี้จึงกำหนดความละเอียดลึกกว่าสัตว์
พ่อครูว่า… ลึกกว่า ฉะนั้นผู้ที่แปลปาณะว่าสัตว์นี่ ก็ยังเข้าใจ ปาณะ เป็นพลังงานอย่างที่อาตมาไล่นี้ไม่ได้ ขออภัยไม่ได้อวดเก่ง แต่เขายังไม่มีรายละเอียดรู้พลังงานในระดับที่กำลังอธิบายอยู่นี่ มันวิวัฒน์พัฒนามาตั้งแต่ มหาภูต เป็นเห็ด
_สู่แดนธรรม… ถ้าอย่างงั้นผมขอถามว่า ไม่ต้องเอามีดเชือดคอสัตว์ให้ตาย แค่ให้มันขวัญเสียก็ถือว่าทำให้ ปาณะให้ตกร่วงได้หรือยังครับ
พ่อครูว่า… ใช่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ชีวกสูตร ที่บอกว่าเป็นบาปไม่ใช่บุญเป็นอันมากเลยที่บอกว่า มีเจตนาไม่ดี ตั้งแต่ 1. ผู้นั้นกล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปนำสัตว์ชื่อโน้นมา” (อุทิศ, อุททิสสะ คือ เจาะจงมุ่งหมายไปที่สัตว์ชื่อนั้น) อุทฺทิสฺส ปาณํ อารภนฺติ หรือ สัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตุง (สญฺจิจฺจ ปาณํ ชีวิตา โวโรเปตา)
-
สัตว์นั้นเมื่อถูกเขาผูกคอนำมา ย่อมได้เสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นพูดอย่างนี้ว่า “ท่านทั้งหลายจงไปฆ่าสัตว์นี้”
-
สัตว์นั้น เมื่อกำลังถูกเขาฆ่าย่อมเสวยทุกข์โทมนัส
-
ผู้นั้นย่อมยังตถาคตและสาวกตถาคต ให้ยินดีด้วยเนื้อเป็นอกัปปิยะ ชื่อว่าย่อมประสพบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (ตถาคตํ วา ตถาคตสาวกํ วา อกปฺปิเยน อสฺสาเทติ อิมินา ปญฺจเมน ฐาเนน พหุง อปุญฺญํ ปสวตีติ)ชีวกสูตร ล.13 ข.60