670103 คนอยู่เหนือกาละต้องชนะปฏิจจสมุปบาท พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก ดาวโหลดเอกสารที่ https://docs.google.com/document/d/1AXYWxa1irF1JOi06cOfUIX3E19xsPq-L/edit?usp=sharing&ouid=101958567431106342434&rtpof=true&sd=true ดาวน์โหลดเสียงที่ https://drive.google.com/file/d/1MHbPoG4JG0wgJKQlIUogq2tN4fqB1yBl/view?usp=sharing และ ดูวิดีโอได้ที่ https://youtu.be/BriG2wk5xzk และ https://fb.watch/pk-amFKskf/ มีซับ สมณะเดินดิน… วันนี้วันพุธที่ 3 มกราคม 2567 วันแรม 7 ค่ำเดือนอ้ายปีเถาะ ที่บวรราชธานีอโศก ปีนี้เป็นปีมะโรงปีงูใหญ่ แต่เขาเรียกให้สวยงามว่าปีมังกรทอง ไม่รู้ว่าใครจะเป็นมังกรทองหรือจะเป็นกิ้งกืออยู่ที่กรรมคงไม่ได้อยู่ที่มะโรงมะเส็งอย่างที่ว่า ใครจะใช้ชีวิตให้มีคุณค่า ชาวอโศกปีนี้ถือว่าเป็นปีที่มีนัยยะสำคัญของพวกเรามาก เป็นปีที่เราจะเฉลิมฉลอง 90 ปีพ่อครู 30 ปีบ้านราชจะมีกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเลย ญาติติธรรมที่จะสั่งจองตั๋วเครื่องบินก็คงจองไว้ ปลายเดือนมกราคมจะเทปูนลานสู่สูญต่อ งานนี้อาตมาว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก ถ้าเราเอาเงินจ้างมันอาจจะเสร็จเรียบร้อยไปนานแล้ว แต่ถ้าสร้างด้วยมือเรา มันเป็นจิตวิญญาณที่ออกมาผนึกร่วมรวมกันเป็นงานที่ได้สร้างจิตวิญญาณ บ้านราชเราจะเดินไปได้มีการฉลองอย่างดีด้วยงานที่มีการร่วมรวมจิตวิญญาณ งานเทปูนสร้างลานสู่สูญจะเป็นสารตั้งต้นให้พวกเราจับทิศทางว่าความเจริญก้าวหน้าของบ้านราชจะเกิดจากการผลิตร่วมรวมทางจิตวิญญาณ เมื่อเสร็จจากงานพุทธาฯปลายกุมภาพันธ์ กลางเดือนมีนาคม จะมีงานฉลองอีก ฉลอง 88 ปี 8 เดือน 8 วัน ของคุณจำลอง ศรีเมือง ลุงจำลองอายุน้อยกว่าพ่อครู 1 ปี 1 เดือน ความจำของลุงเริ่มจำได้น้อยลง ต้องดูว่าคดียึดสนามบินจะออกหัวออกก้อยยังไง ต้นเดือนเมษายน จะเป็นงานปลุกเสกฯ คืองานเตรียมงานตลาดอริยะ หลังงานปลุกเสกก็จะเข้าสู่งานเพื่อฟ้าดิน ปีนี้เราจะเปลี่ยน Concept ของงานว่าไม่ให้ซ้ำกับงานปีใหม่ที่เราจะขายน้ำมัน น้ำตาลขายสินค้าอุตสาหกรรมเป็นหลัก เดี๋ยวคนจะเบื่อ เราจะเปลี่ยนทิศทางให้งานเพื่อฟ้าดินเป็นเหมือนงานเกษตรแฟร์ จะมีการให้องค์ความรู้เรื่องกสิกรรม ใครเป็นผู้คักแหน่ก็จะเชิญมาคุยมานำเสนอสิ่งต่างๆที่เป็นองค์ประกอบให้มีความสมบูรณ์น่าสนใจ สิ้นเดือนเมษายน ผ่านพฤษภาคมขึ้นเดือนมิถุนายน วันที่ 5 ก็งาน 90 ปีพ่อครู 30ปีบ้านราช จะไปสู่งานอโศกรำลึก นี่คือปีมังกรทอง นัยยะของมังกรทองคือเราจะใช้ชีวิตของเราอย่างไรให้มีคุณค่าและเป็นประโยชน์สูงสุดต่อมนุษยชาติ วันนี้ประชุมกสิกรรมเราได้ข้อสรุปว่า เราจะพยายามทำองค์ประกอบของส่วนต่างๆแหล่งเพาะปลูกของเราทำให้สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เราจะมีเรี่ยวมีแรง อันนี้จะสำเร็จได้ถ้าเรามีเรี่ยวแรงเพียงพอ ก็มาร่วมช่วยกัน รูปธรรมของกสิกรรม รูปธรรมของชุมชนของสัปปายะ 4 ที่พวกเราช่วยกันสร้าง จะเป็นเครื่องรองรับคำสอนโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้าที่พ่อครูพานำ พาทำ อาจารย์ดั่งชัยเสนอว่า พวกเราควรมาเป็นสารตั้งต้น ดูหน้าตาสารตั้งต้น อายุ 70 80 กันทั้งนั้นเลยที่จะมาช่วยกันขับเคลื่อน คิดว่าขับเคลื่อนหลักๆ 3 อย่างนี้ คือกสิกรรม พาณิชย์และการศึกษา 3 อย่างมันโยงกัน ถ้าขับเคลื่อน 3 อย่างนี้ให้สำเร็จจะเป็นองค์ประกอบของบุญนิยมที่สมบูรณ์ทีเดียว จะเป็นอย่างนั้นได้เราจะต้องเพิ่มอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา พ่อครูว่า… เจริญธรรมปีใหม่กว่า ทุกคน วันที่ 1 ก็ใหม่กว่าวันที่ 31 วันที่ 2 ก็ใหม่กว่าวันที่ 1 วันนี้วันที่ 3 แล้วก็ต้องใหม่กว่าอีก _ซึ้งซื่อ วิเชียร . ขอกราบนมัสการพ่อท่านด้วยสุดเศียรสุดเกล้าครับ ผมได้มีโอกาสไปช่วยสร้างลาน “ร่วมจิตสร้างรวมใจสูญ” หรือ “ลานสู่สูญ” ก็ได้ร่วมกับหมู่มิตรดี และหลานๆ นักเรียนสัมมาสิกขาน่ารัก อบอุ่นดีมากครับ ต่างคนต่างเอาใจใส่ช่วยกันดูแลไม่ให้เกิดเหตุอันตรายขึ้นกับร่างกายเป็นอย่างดีโดยการเดินตามตามมรรค ๘ ตลอดเวลา และผมได้ทำอัตตวาทุปาทานด้วยการปฏิบัติศีลอย่างจริงจัง และทำจรณะ ๑๕ วิชชา ๘ โดย ละโลกธรรม ๘ ให้ถึงจิต ผิดถูกอย่างไรขอให้พ่อท่านกรุณาชี้แนะด้วยครับ ขอกราบขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงยิ่งครับ พ่อครูว่า…ที่คุณพูดมาตามพยัญชนะหัวข้อก็แสดงว่าเข้าใจดีและปฏิบัติธรรมให้ดีเถอะ นั่งสมาธิอย่างไรให้จิตนิ่งครับหลวงพ่อ _ป้อหนาน บุญส่ง . นั่งสมาธิอย่างไรให้จิตนิ่งครับหลวงพ่อ พ่อครูว่า…ถามถูกคนแล้ว ตอบ นั่งทำสมาธิอย่างที่ตรงกับจรณะ 15 วิชชา 8 จิตจึงจะนิ่งอย่างถูกต้อง ตามพระพุทธเจ้า ถ้าไปนั่งสมาธิอย่างที่พวกที่เขาเข้าใจผิด นั่งสมาธิอย่างพระป่า หรือแม้แต่พระบ้านก็ตาม ทุกวันนี้อาตมาเชื่อมั่นเลยว่า แม้พระบ้านก็นั่งสมาธิแบบเดียรถีย์ นั่งสมาธิแบบเดียรถีย์คืออะไร คือนั่งสมาธิแล้วก็สะกดจิตลงไปให้มันหยุด หยุดอย่าคิด อย่านึก หยุด หนักเข้าก็ไม่ให้ได้ยินเสียง หลับตาแล้วไม่ให้ได้ยินเสียง ไม่รับรู้สึกภายนอกเลย เข้าไปอยู่ในจิต เฉย พยายามสะกดแบบ อาฬารดาบส อุทกดาบส ในสมัยโบราณที่พระพุทธเจ้าท่านบวชใหม่ๆท่านไปลองดูซิ จะมีอาจารย์ไหนเป็นอย่างไร ก็มาเจอ 2 องค์นี้ อาฬารดาบส ก็นั่งไปได้ฌาน7 อุทกดาบส ได้อรูปฌานเป็นฌาน 8 พระพุทธเจ้าก็รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องไม่ใช่ทาง ท่านก็ไม่เอา เพราะนั่งสมาธิอย่างนั้นน่ะ อย่างไรคือ อาฬารดาบส อุทกดาบส มันนิ่งไม่จริง มันนิ่งเพราะถูกกดข่ม ถูกฝึกให้มันนิ่งไปเฉยๆ แต่ถามว่า นั่งอย่างไรจิตนิ่ง ของพระพุทธเจ้านั้น นิ่งคือให้มาลืมตาปฏิบัติ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น แล้วก็เรียนรู้กิเลสด้วยโพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 หรือเรียกเต็มว่า โพธิปักขิยธรรม ให้รู้ทั้งภายนอกภายในเรียกว่ากาย กระทบแล้วก็มีกายนอก กายใน เกิดเวทนา เกิดจิต แล้วก็ทรงไว้ซึ่งธรรม ก็จัดการปฏิบัติกายในกายเวทนาในเวทนา จิตในจิต โดยรู้จิตในจิต แยกจิตในจิต ที่มันเกิดอยู่ที่เป็นเจตสิกอยู่ที่เวทนา จิตที่เป็น ราคะ สราคะก็รู้ ทำให้มันลดลงไปหรือหมดเรียกว่า วีตราคะ เหลือน้อยลงหรือหมด มันเป็นอโทสะ สโทสะ ทำให้มันน้อยลงหรือหมดเรียกว่า วีตโทสะ เป็นโมหะก็เหมือนกันทำให้มันลดน้อยลงหรือหมด พากเพียรทำตาม เจโตปริยญาณ 16 กิเลสลดจริงแล้ว จิตเราจะคล่องแคล่วว่องไวปราดเปรียวเลย นี่แหละคือ ถือว่าจิตนิ่ง จิตคล่องแคล่ว ว่องไว ปราดเปรียว ใสสะอาดบริสุทธิ์ ถูกต้องดีหมดเลยนี่คือจิตนิ่ง ในนัยยะสำคัญของพระพุทธเจ้าเพราะมันไม่ถูกอะไรกวน มันอิสรเสรี มันบริสุทธิ์ นี่เรียกว่า นิ่ง ภาษาธรรมะยิ่งยอดของพระพุทธเจ้า ถ้าไปกดให้จิตมันนิ่งๆ จิตมันเป็นธาตุรู้ ไปกดให้มันหยุดให้มันอยู่เฉยๆ มันก็ผิด ผิดธรรมชาติของจิต เพราะฉะนั้นจิตที่นิ่งของพระพุทธเจ้าจึงเป็นจิตที่มี กายปาคุญญตา และ จิตปาคุญญตา หมายความว่าจิตแคล่วคล่องว่องไว นี่คือจิตนิ่ง อาจจะได้ยินได้ฟังแบบนี้จากใครไม่ได้หรอก มาถามอาตมาอาตมาตอบให้ฟังจะได้ฟังที่อาตมาตอบให้ นี่คือการนั่งสมาธิแบบพระพุทธเจ้า ซึ่งไม่ต้องทำแต่แค่นั่งแต่ทำทั้งยืนเดินนั่งนอนทำได้ทั้งนั้นเลย จะทำอย่างไร จะให้ชาวพุทธ งมงายน้อยลง _อัมพร กุลศักดิ์ศิริ . จะทำอย่างไร จะให้ชาวพุทธ งมงายน้อยลงครับ พ่อครูว่า…ทำอย่างอาตมา อาตมาก็ทำอย่างไม่ได้ออมมือแล้วที่จะทำให้ชาวพุทธหยุดงมงายน้อยลงเหมือนกัน แต่แหม มันงมงายกันหนักมากเพราะศาสนาพุทธชาวพุทธได้เสื่อมไปมากในยุคนี้ อาตมาพูดย้ำซ้ำซากไม่รู้กี่ทีว่ามันเสื่อมจริงๆงมงายกันไปหนักเลย เห็นแล้วออกข่าวคราวกันเจ้านั้นเจ้านี้อย่างโน้นอย่างนี้ เกี่ยวกับจิตวิญญาณเกี่ยวกับอะไรต่ออะไรก็โอ้โหเป็นผีเป็นสางเป็นนรกเป็นสวรรค์อะไรต่ออะไรงมงายกันหนัก ไม่รู้จะทำอย่างไรอาตมาก็ไม่เก่งกว่านี้ อาตมาทำสุดเก่งแล้วนะ ไม่ได้ออมมือเลย ก็พยายามทำอย่างนี้แหละทำอย่างที่อาตมาทำพยายาม ใครจะเห็นว่าอาตมาทำนี่ดีก็มาช่วยกันทำอย่างนี้แหละช่วยกัน อย่างใครคิดว่าถูกต้องถือว่าอาตมาถูกต้องก็พาทำได้เต็มที่ประมาณนี้ อยังโลโกกับปโรโลโก โลกนี้โลกหน้าคือเช่นไร _สินพุทธ สุขพูล . กราบนมัสการ พ่อครูฯ ที่เคารพอย่างยิ่งครับ ผมฟังพ่อครูฯ เทศน์ ในคืนวันที่ 31 ธ.ค. 2566 ( คืนวันสิ้นปี 2566 ) พ่อครูฯ บอก ว่า โลกโลกียะ คือโลกเก่า หรือโลกนี้ โลกปัจจุบันนี้ ส่วนโลกโลกุตระ คือโลกใหม่ หรือโลกอื่น หรือโลกหน้า จะต่างกับโลกนี้ ผมเข้าใจได้ชัดเจน และได้ สภาวะนี้ครับ แต่ผมสงสัยว่า ทำไมพ่อครูฯ พูดเป็นโลกโลกียะ และ เป็นโลกโลกุตระ ส่วนในพระไตรปิฎก เขียนว่าโลกนี้คือ อยังโลโก ส่วนโลกหน้า คือ ปโรโลโก แต่คืนนั้น พ่อครูฯ ไม่พูดตรงจุดนี้ครับ ผมเลยสงสัยว่า โลกโลกียะ กับ อยังโลโก ความหมายอย่างเดียวกันใช่ใหมครับ ส่วนโลกโลกุตระ กับ ปโรโลโก ความหมายอย่างเดียวกันใช่ไหมครับ กราบขออภัยพ่อครูฯ ครับ ที่ถามเรื่องนี้ ผมขอถามให้ได้ความชัดเจนครับ กราบมนัสการครับ พ่อครูว่า…จะว่าใช่ก็ใช่ บาลีท่านใช่ว่า อยังโลโก คือ นี้ ปร แปลว่า อื่น ปโรโลโก คือ อื่น อันนี้กับอันอื่นต่างกันไหมล่ะ อันนี้กับอันอื่นจากนี้มันก็ต่างกัน ทีนี้ใครจะอธิบายคำว่า อื่น ได้ ถูกต้องสภาวธรรมสำคัญของพระพุทธเจ้า เช่น เขาบอกว่า โลกนี้ คือโลกที่ยังมีชีวิตกันอยู่ และอื่น เขาก็บอกว่าตายลง ตายลงชีวิตก็เลยไปอยู่ที่โลกอื่น ไม่ใช่ที่โลกที่อยู่กันอย่างนี้ นี่เขาก็จะเข้าใจกันตื้นๆง่ายๆแบบนี้เท่านั้น ส่วนใหญ่โลกนี้โลกอื่นหรือโลกนี้โลกหน้า มันคนละโลกกันเขาก็ว่างั้น คนละโลก แต่ความจริงอาตมาไม่ได้อธิบายอย่างนั้น เพราะอย่างนั้นไม่ต้องไปอธิบายนี่ จะว่ามันเป็นไหม มันก็ใช่ มันก็เป็น ก็เข้าใจอยู่ทุกคนแหละ มันไม่ต้องไปอธิบายไม่ต้องไปพูดถึงมันหรอก ที่ควรจะต้องพูดถึงก็คือนัยยะคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ ปรโลกหรือปโรโลโก โลกหน้าหมายถึงโลกอื่นที่เป็นอีกโลกหนึ่ง มันต่างไปที่เป็นโลกุตระ นี่ต่างหากล่ะ ที่โลกของศาสนาอื่นเขาไม่รู้จักเรื่องนี้ โลกุตระหรือโลกของคนอาริยะที่ไปเป็นโลกุตระ เรียกว่าเป็นผู้มีภูมิปัญญาและปฏิบัติได้ โลกุตระ คือ เป็นโลกของคนที่มีปัญญาหยั่งรู้กิเลสตนเอง แล้วก็ทำให้กิเลสตนเองลดได้หรือหมดได้จริง นี่คือโลกสำคัญ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และจริงๆด้วย ทำได้จริงๆ จนหมดสุขหมดทุกข์ จนทำให้ตนเองสลายจิตวิญญาณไปเป็นดินน้ำไฟลมด้วย ปรินิพพานเป็นปริโยสานได้ อธิบายไปหมดแล้วเคยอธิบายมาเยอะ _สู่แดนธรรม… ถ้าโลกหน้าอย่างที่พ่อท่านอธิบายมันสามารถพิสูจน์ได้ในชาตินี้ครับ พ่อครูว่า… ได้ ใช่ ถ้าโลกหน้าที่ตายไปแล้วไม่ต้องไปพูดกันเลย มันพิสูจน์กันไม่ได้ คุณตายไปแล้วแล้วคุณจะไปยังไงจริงๆมันคืออะไร ใครตายไปแล้วนี่ต่างคนต่างไปมันพิสูจน์ไม่ได้เลย แต่โลกนี้อยู่นี่แหละและก็ทำให้บรรลุโลกหน้าในปัจจุบันนี้ต่างคนต่างพิสูจน์กันได้ อย่างน้อยก็เราเองเป็นปัจจัตตังของเราบรรลุได้ ของคนอื่นไม่รู้ล่ะ จะได้หรือไม่ได้อย่างไร อย่างนี้เป็นต้น พ่อครูยุ่งอะไรกับการเมือง _พงศ์ผิดต่อชีวิต วิลา . ยุ่งอะไรการเมือง ปฏิบัติให้ถูกก็แล้วกัน พ่อครูว่า…แหม..น่าเสียดายเนาะ คุณไม่มาติดตามอาตมา ว่าอาตมายุ่งอะไรการเมือง โอ้โห..อาตมายุ่งการเมืองอยู่ไม่ใช่น้อยเลย ยุ่งกับการเมืองก็ไม่ใช่น้อยเลย ตกลงที่ว่ายุ่งอะไรกับการเมือง อาตมาก็ปฏิบัติไปตามการเมืองที่เขาเป็นกันอยู่ แล้วก็ไปช่วยกันเมืองยุ่งๆ ให้มันหายยุ่ง ดีไหม ถูกไหม อาตมาก็ทำถูกแล้ว พวกเราก็รับรอง เพราะฉะนั้น ง่ายๆ ยุ่งอะไรการเมือง เพราะการเมืองมันยุ่ง อาตมาก็เลยไปช่วยให้มันหายยุ่ง ตอบง่ายๆ ปฏิบัติให้ถูกนั้น อาตมาปฏิบัติได้ถูกต้องเหมือนกันนะ ถูกต้องคืออะไร คือทำให้การเมืองเขาได้รับการกระทบและมีผลบ้าง ช่วยการเมืองที่มันไม่ไหว เพราะฉะนั้นการเมืองที่อาตมาไปทำนี้มีผลพอสมควร แต่คนเขาเช็คผลไม่ได้กัน เขาเช็คผลไม่ได้ พวกเราก็ไม่ได้เที่ยวไปขี้ตู่หรือยึดถือว่าเราไปช่วยกันเมืองอย่างโน้นอย่างนี้ เราก็ไม่ได้ไปขี้ตู่อะไร ก็ให้เป็นไปตามธรรม ลำดับความเข้าใจเรื่องบุญของพ่อครูก่อนบวชถึงตอนนี้ _เพียรผ่องพุทธ กล้าจน . น้อมกราบนมัสการหลวงปู่ด้วยความเคารพอย่างสูง เรียนถามหลวงปู่ ก่อนหลวงปู่ผนวช มีความเข้าใจเรื่องบุญอย่างไรคะ?กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ พ่อครูว่า…เพิ่งจะมีคนถามอย่างนี้นะ ก่อนที่อาตมาจะมาบวชอาตมาเข้าใจบุญยังไม่ได้ตั้งหลัก ยังไม่ได้รู้ตัวอะไร อาตมาก็เข้าใจบุญตามที่โลกเขาพากันเข้าใจ บุญคือกุศล ก็เข้าใจอย่างนั้นตาม ลิงลมอมข้าวพอง เมาตามเขาไปอย่างนั้น ก่อนบวชก็เป็นอย่างนั้น แม้บวชแล้วใหม่ๆ อาตมาก็ยังไม่ได้ชัดเจนเรื่องบุญ ที่มันเป็นสุดยอดแห่งคุณสมบัติของศาสนาพุทธนะ ก็ไม่ได้เก่งไม่ได้รู้ทันที พอมาบวชแล้วพอรู้ตัวนิดหน่อยแล้วก็ยัง อีกนานกว่าจะค่อยๆลึกซึ้งค่อยๆซึมซับ ค่อยๆดึงเอาความรู้เก่า ที่อาตมาพูดว่าความรู้เก่าเพราะ ชาตินี้เกิดมาไม่มีอาจารย์และไม่มีใครอธิบายบุญไว้เลย อย่างนี้ ไม่มี แม้แต่ในพระไตรปิฎกก็ไม่ได้ขยายความ นอกจากคำของพระไตรปิฎก เช่น ปุญญาภิสังขาร หรือ ปุญญปาปปริกขีโณ หรือว่าอะไรต่างๆพวกนี้เป็นต้น อาตมาก็เข้าใจโดยพยัญชนะบัญญัติบาลีพวกนี้ว่า อ๋อ.. เข้าใจโดยสภาวะธรรม อาตมามีสภาวะธรรมเดิม เป็นสยังอภิญญารู้อันนี้แล้ว จึงนำมาเปลี่ยนแปลงความเข้าใจผิดของชาวพุทธ เรื่องบุญ เท่าที่มันค่อยๆเข้าใจและก็ลึกซึ้งขึ้นๆ มาจนถึงทุกวันนี้ ตามที่พวกคุณตามฟังมา อาตมาไม่รู้ระยะเวลา อาตมาไม่ได้กำหนดระยะเวลา _สู่แดนธรรม… ผมพอจำได้ว่ามันเป็นปีที่ท่านธัมมชโยหลอกคนให้มาทำบุญ แล้วพ่อท่านก็เลยต้องการทราบว่าบุญที่แท้จริงที่พระพุทธเจ้าหมายคืออย่างไรกันแน่ พ่อท่านก็เลยได้ไปพบในคำแปลของพจนานุกรม ฉบับภูมิพโลภิกขุ พ่อครูว่า… ใช่ เจอคำแปลในพจนานุกรมฉบับภูมิพโลภิกขุ ที่ท่านพระธรรมปาละแปลเอาไว้เป็นภาษาบาลีว่า สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ ปุญหรือปุญญะนี่ คือ สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ เป็นบาลี ซึ่งแปลว่าชำระ บุญนี่คือการชำระกิเลสให้สะอาดจากจิตสันดานทั้งหมด แปลว่าอย่างนั้น ฉะนั้นความหมายของบุญจึงชี้เฉพาะลงไปเลยว่า เป็นลักษณะคุณลักษณะของพลังงานที่เกิดบุญ พลังงานที่เกิดผลที่ชื่อว่าบุญนี้คือมันสามารถ พลังงานจิต เราทำใจในใจ ทำจิตในจิตของเราให้เกิดกำจัดกิเลสได้โดยมีฌานคือมีปัญญา แล้วก็มีประสิทธิภาพของบุญหรือฌาน เผากิเลส กำจัดกิเลสไปจนหมดได้ ซึ่งอาตมาก็เอามาอธิบายขยายความเป็นภาษาไทยให้ฟังแล้ว นี่ค่อยๆรู้มา ซึ่งหลายๆอย่าง อาตมาค่อยๆได้ไม่ใช่ว่ามาทันที ที่เป็นความเสื่อมของศาสนาพุทธ ตั้งแต่คำว่าสมาธิแต่แรกๆอาตมาก็รู้พอสมควร แต่ก็ไม่ลึกซึ้งพอ แต่ค่อยๆรู้ว่า สมาธิของพระพุทธเจ้าไม่ได้อย่างที่พูดกัน ยึดถือกัน ไปนั่งหลับตาเข้าสมาธิกัน แรกๆก็ไม่ลึกซึ้งพอก็ยังนั่งหลับตากับเขาอยู่บ้าง จนกว่ามาเข้าใจดีถึงว่า อ๋อ… สมาธินี่คือมันเป็นผล เป็นสมาหิโต ของพระพุทธเจ้า จึงได้มาขยายความเต็มรูป และกว่าจะสั่งสม สมาหิโต ที่เป็น อเนญชา ก็ต้องผ่าน ปุญญาภิสังขาร ผ่านอปุญญาภิสังขาร จึงจะเป็นอเนญชาภิสังขาร ตามอภิสังขาร 3 ปุญญาภิสังขาร คือการปรุงแต่งจิตจัดการจิตให้กำจัดกิเลสลดกิเลสได้จนกระทั่งกิเลสหมดอาสวะตามขั้น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นอรหันต์แล้วก็ อปุญญะ ไม่ต้องใช้บุญอีก พระอรหันต์คือผู้ไม่ต้องใช้บุญ หมดบุญ อปุญญะ แต่ผู้เข้าใจสภาวธรรมไม่ได้ก็ไปแปล อปุญญะว่าบาป เป็นพระอรหันต์ที่เรียกว่า อปุญญะคือพระอรหันต์ แล้วไปแปลว่าพระอรหันต์มีบาปอีก มันก็เจ๊งสิ เพราะฉะนั้นไม่มีบาปเลยนั่นแหละแน่นอนแล้ว กำจัดมาตั้งแต่อภิสังขาร 1 จนกระทั่งหมดบาป ถอนอาสวะหมด ก็เป็น อปุญญะ อภิสังขารอะไรก็เป็นอปุญญะ ไม่ต้องล้างกิเลสอีกแล้ว จิตจึงเป็นจิตสะอาดทุกกรรม กรรมนั้นจึงสั่งสมลงไปเป็น อเนญชาภิสังขาร คือเป็นจิตสะอาดที่สั่งสมลงไป เพราะฉะนั้นจิตจะ อเนญชา ไม่หวั่นไหวเพราะจิตตั้งมั่น จิตตกผลึก ควบแน่นเข้าไป เป็นจิตตั้งมั่นที่ยิ่ง อเนญชา ยิ่งอเนญชาๆๆ ไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องไปนั่งสะกดจิต จะสะกดจิตให้ไม่หวั่นไหว ไม่มีทางนิ่งได้ ตามที่ใครถามมาเมื่อกี้นี้ จะทำให้จิตมันนิ่งยังไง มันไม่สำเร็จ อย่างนี้สิสำเร็จถาวร สำเร็จยั่งยืนถาวรตลอดกาลเลย ได้แล้วได้เลย _Araya Sripairoj อารยา ศรีไพโรจน์ . ทำให้คนขวัญเสียด้วยคำด่า ถือว่า ทำปาณะ? พ่อครูว่า…ขวัญ เป็นภาษาไทย ขวัญเสียมันขนาดไหน ด่าให้ขวัญเสียอย่างไร _สู่แดนธรรม… หมายถึงขวัญเสียคือจิตมันตกร่วงจากความสำนึกดี พ่อครูว่า… แล้วถามเข้าหลักธรรมด้วยนะแล้วว่าอย่างนี้เธอทำ ปาณะให้ตกร่วงหรือเปล่า? โอ๊ ถามมาอย่างนี้อาตมาค่อยแคะคำภาษาคำถามนะ ถ้าทำให้ตกร่วงก็มันเป็นบาป เป็นปาณะแน่นอน ขวัญเสีย เสียมันก็ต้องตก เสียมันไม่ใช่ดี ถ้าคำว่าเสียภาษาไทยคำว่าเสียสละเป็นดีนะ แต่ขวัญเสียมันไม่ดี มันก็ทำปาณะให้ร่วง ให้ไม่เข้าท่า เออ ช่างสรรหามาถาม เพลงชีวิตหมายเลข 9 _เมตตา โพธิสุทธิ์ . กราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพบูชายิ่งค่ะ ได้อ่านหนังสือ “เงาฟ้าที่ท่าน้ำ” หน้า 27 เพลงชีวิตหมายเลข 9 “ถ้าสิ่งใดยิ่งน้อย และหายากแล้วรู้สึกว่า สิ่งนั้นยิ่งมีค่า และมีอำนาจสูง เช่น “เพชร” เช่น “เงิน” ของกระยาจก ณ โลกนั้น ก็คือ โลกียะ หรือ แดนปุถุชน ! ถ้าสิ่งใดยิ่งน้อย และหายาก แล้วรู้สึกว่า สิ่งนั้นยิ่งมีค่า และ มีอำนาจสูง เช่น “ความโลภ” เช่น “เงิน” ของมหาเศรษฐี ณ โลกนั้นแหละ คือ โลกุตระ หรือ แดนอาริยชน !” สองท่อนนี้ อ่านกี่รอบก็ยังไม่เข้าใจค่ะท่าน กราบรบกวนพ่อครูอธิบายขยายความให้ด้วยค่ะท่าน กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงยิ่งค่ะ พ่อครูว่า…สรุปง่ายๆ พวกเราเป็นเศรษฐีหรือเป็นกระยาจก… เศรษฐี เพราะฉะนั้นความรู้สึกที่เป็นกระยาจก แม้เขาจะร่ำรวยเขาก็ยังอยากจะได้มากขึ้นเขาก็คือเคลียร์จบ แต่คนที่มี อย่างพวกเราไม่รวย หายาก ก็หายากอยู่ไม่รวยก็หายากมีน้อย หายาก แต่จิตไม่ได้มีความโลภมาก ขยันหมั่นเพียรสร้างสรรค์ เพราะฉะนั้นคนที่จะเข้าใจสภาวะธรรมที่เป็นโลกุตระแบบนี้นี่ มันต้องชัดเจนทั้ง รูปธรรมและนามธรรม รูปธรรม เราก็มาเป็นคนจนจริงๆนามธรรมเราก็มาเป็นคนจนจริงๆ แต่เป็นคนที่ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ไม่เดือด ไม่ฟุ้งไม่อะไร ก็อยู่กับความเป็นจริงในสภาวะปัจจุบัน ขยันหมั่นเพียรสร้างสรรแล้วก็รู้ความจำเป็นของชีวิต และรู้จักพอ แต่เป็นคนมีวรรณะ 9 มีชีวิตอยู่สบายแล้ว สุภระ พัฒนาชีวิต สุโปสะ ด้วยโลกุตรธรรมได้ง่ายแล้วก็เป็นคนมากน้อย ก็ชัดเจนแล้วน้อยก็ดีแล้ว สันโดษ พอ นอกนั้นก็ขัดเกลาตนเอง สัลเลขะ ธูตะ การก็เจริญขึ้นเรื่อยๆคนที่มีปัญญาเห็นก็น่าเลื่อมใส ปาสาทิโก และอปจยะ ไม่สะสมแต่ขยัน วิริยารัมภะ พวกเรานี้แม้ใครจะขี้เกียจมาก่อน พอปฏิบัติธรรมแล้วจะขี้เกียจน้อยลง ขยันขึ้น ขยันขึ้น จริงๆ มันจะรู้สึกเราจะรู้สึกจริงๆ จะรู้สึกว่าเราทำไมขี้เกียจ ไม่ดีนะ ยิ่งมาอยู่กับหมู่กับฝูงพากันขยันไปเฉยเลย จริง นอกจากคนอายุมากคนป่วยมันก็เป็นไปตามธรรมมันจะเป็นลักษณะของธรรมชาติที่ดี มันจะพัฒนาขึ้นไปอย่างนั้นอย่างนั้น _กระถิน . กราบนมัสการเจ้าค่ะ เรียนสอบถามว่า การที่ลูกๆ เห็นด้วยกับการที่พ่อมีภรรยาน้อย และแม่ก็เห็นด้วย มีแต่ดิฉันคนเดียวเท่านั้นที่คัดค้าน และไปทะเลาะกับภรรยาน้อย ตอนที่ทะเลาะกันพ่อเข้าข้างภรรยาน้อย ดิฉันรู้สึกเหมือนเป็นแกะดำในบ้าน สอบถามปัญหาว่า คนที่สนับสนุนและตามใจพ่อจะบาปมากไหมคะ ปัจจุบันพ่อเสียไปแล้ว แต่ภรรยาน้อยยังมีชีวิตอยู่ เมื่อวานดิฉันก็เอาของปีใหม่ไปให้ ไปเยี่ยมเยียนเขา ดิฉันก็บอกแม่ว่า เราไม่ได้เกลียดเขา แต่เราไม่ชอบการกระทำที่ทุกคนในบ้านเชียร์ให้พ่อมีภรรยาน้อย ขอบพระคุณเจ้าค่ะ พ่อครูว่า… ดีแล้ว แต่ก่อนนี้ทะเลาะไม่ดี แต่ตอนนี้เอาของไปให้ดีแล้ว คุณก็ทำถูกแล้วล่ะ พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ส่งเสริม ส่งเสริมให้มีผัวเดียวเมียเดียว อย่าไปมีหลายผัว สำส่อนมันไม่ดี _แจ๊ว น้อมยอดธรรม…มีมิตรดีบอกแจ๋วเขียน (พ่อครูว่า เขียนเป็นตัวเป็นตนดีขึ้นมากอย่างกับเด็กป. 2 เขียนๆได้ตัวตรงมากเลย )เวลาพ่อตอบ เขาหลับ ตื่นตาตื่นใจ เข้าใจในคำตอบของพ่อครูผู้มีเมตตาจริงๆค่ะ ต่อมาดิฉันวันนั้นไปเผาพ่อตามพร เป็นอารามิกา พอขึ้นรถกลับบ้านราช จิตกิเลสผีๆ ก็ตามขึ้นรถมาด้วย มันบอกมาถึงจะไม่มาฟังธรรม ถึง 5 โมงเย็น ได้ยินเสียงมี สิกขมาตุสร้างฝันใหม่มาเทศน์ จิตแท้ๆก็เกิดไปฟังธรรมดีกว่าไปๆ สิกขมาตุสอน ถ้าเรามาฟังธรรมะช้าๆๆ จะได้มาเกิดช้าๆๆ ดิฉันจิตตั้งมั่นจะได้มาเกิดตามพ่อครู ปัจจุบัน กาละ เทศะ ฐานะ ฟังธรรมะมีสติเห็นเพื่อนหลับตา ผีนิวรณ์ 5 น่ากลัวมากค่ะ ถามว่า ที่เขียนมานี่มีวิชชา ปัญญา ฌาน พอใช้ไหมคะ พ่อครูว่า… อ้าว.. ใช้ได้ๆ ก็ดี สนุกสนานกันดี ชาวพุทธที่เข้าถึงแก่นแล้วไม่เปลี่ยนไปเข้าศาสนาอื่น _วิไลรัตน์ (ปิ๋ม) โสฬสจินดา . กราบนมัสการพ่อครูที่เคารพอยู่เหนือเกล้าอย่างสูงสุด แบบหาที่เปรียบมิได้ ขอเขียนมารายงาน และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการติดตามชมรายการของพ่อครูทาง YouTube จากประเทศสวีเดน และการปฏิบัติธรรมของตนเอง ดิฉันจะติดตามพ่อครูเทศน์เป็นประจำแทบทุกครั้งค่ะ ค่อนข้างจะยึดติดกับพ่อครู แต่เดี๋ยวนี้มีพัฒนาการขึ้นค่ะ รับฟังสิกขมาตุและสมณะท่านอื่นเทศน์มากขึ้นค่ะ วันก่อนพ่อครูเทศน์ว่า คนที่มาอโศกส่วนมากก็รู้ทั้งรู้แหละว่าที่นี่ดี แต่ที่อยู่ไม่ได้ ก็เพราะว่ากิเลสมันพาออก พอออกไป แล้วก็ไปมีเหตุปัจจัยทำให้ติดอยู่ตรงนั้นกลับมาไม่ได้ นี่คือกรณีของดิฉันค่ะ แต่ดิฉันดีใจที่สามารถติดตามฟังธรรมทาง YouTube ได้ ถึงแม้ดิฉันจะกลับมาอยู่ที่สวีเดนหลายปีแล้วก็ตาม ในรอบที่ 2 นี้ ดิฉันก็ไม่เคยทิ้งธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่พ่อครูได้นำมาสอนให้พวกเราได้เรียนรู้กัน และก็ถือว่าตัวเองมีความเป็นชาวอโศกอยู่ในสายเลือดคนหนึ่งค่ะ และก็เห็นการพัฒนาของตนเองในเรื่องจับอารมณ์ของตัวเองในเรื่องของความโกรธ ความไม่พอใจความอึดอัดใจได้ไวขึ้น และก็มาดูว่าจิตใจเรายึดอะไรก็พยายามไปวางไอ้ความยึดนั้น ดิฉันเคยเรียนอยู่ในโรงเรียนประจำคาทอลิกที่ประเทศอังกฤษเป็นเวลา 7 ปี ตั้งแต่ 11 ขวบจนถึง 18 ปี และตามกฎระเบียบของโรงเรียน นักเรียนที่อยู่ประจำตลอดเทอม โดยไม่ได้กลับบ้านวันเสาร์อาทิตย์ก็จะต้องไปนั่งฟังพิธีมิสซาทุกวันอาทิตย์ค่ะ ดิฉันก็เข้าไปฟังกับเขาแล้วก็ยังได้ร้องเพลงตามที่เขาพาทำ เพราะเพลิดเพลินในเสียงเพลงและการร้องเพลง แต่ศาสนาคริสต์ก็ไม่เคยจุดประกายแรงศรัทธาในจิตใจของดิฉัน ดิฉันคงมีบารมีเก่าถึงไม่ได้หลงไปเข้ารีตกับเขา ทั้งที่ตอนนั้นก็ไม่ได้เห็นว่าสิ่งที่เขาปฏิบัติกันในคณะสงฆ์หมู่ใหญ่ของพุทธในเเมืองไทยน่าเลื่อมใสเท่าไหร่ พอได้มาฟังธรรมที่พ่อท่านนำเสนอจึงเข้าใจว่านี่ใช่เลยศาสนาพุทธแท้ๆ ช่วงนี้ยิ่งพ่อท่านเทศน์เรื่องเทวนิยมกับศาสนาพุทธ คือศาสนาอเทวนิยมยิ่งเข้าใจอย่างไม่มีข้อสงสัยเลย เพราะไม่เคยเชื่อเรื่องพระเจ้ามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทั้งๆ ที่อยู่ในดงของคาทอลิกตั้ง 7 ปี แต่ตอนนี้ยิ่งเข้าใจลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม ว่าพระเจ้าก็คือตัวเราเองนั่นแหละที่ลดละกิเลสได้ แต่ถ้าเรายังมีตัวตนมีอัตตายึดในความดีของเรา ก็แสดงว่าเราก็ยังมีตัวตนอยู่ ยังไม่ได้ละตัวตน เพราะไม่ว่าศาสนาใดที่มีพระเจ้าหรืออัลเลาะห์ เขายังติดอยู่กับว่าทำดีเพื่อพระเจ้า หรือเพื่อพระอัลเลาะห์ เมื่อตายไปจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าหรืออัลเลาะห์ เขาไม่เข้าใจในเรื่อง บุคคลาธิษฐาน และธรรมาธิษฐาน ไม่มีใครอธิบายก่อนหน้านี้เลยนะคะว่า ตัวเรานั่นแหละคือพระเจ้า มันเหมือนกับเป็นการประกาศที่ยิ่งใหญ่มาก แล้วศาสนาพุทธก็ยิ่งใหญ่จริงๆ นั่นแหละค่ะ อยู่ที่สวีเดนนี่ ดิฉันมีเพื่อนที่สนิท 2 คน คนหนึ่งเป็นผู้หญิงชาวสวีเดน นับถือและศรัทธาในศาสนาคริสต์ของเขาอย่างแน่นแฟ้น เขาจะสวดมนต์อ้อนวอนพระเจ้า อีกคนหนึ่งเป็นคนไทยมุสลิม เขาทำละหมาดวันละ 5 ครั้ง แต่ดิฉันดูแล้วว่ามันเป็นการปฏิบัติแบบศีลลัพพตุปาทาน เพราะเขามักจะแสดงอาการโลภ โกรธ หลง ออกมาอย่างไม่มีความละอาย ทั้งสองคนนี่ค่อนข้างจะพยายามโน้มน้าวดิฉันให้เข้าไปนับถือศาสนาของเขา แต่ดิฉันก็พยายามเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะว่ารู้ว่าคุยกับเขาก็ไม่มีวันเข้าใจเรา แต่เราเข้าใจเขา (พ่อครูว่า… ประเด็นนี้แหละคือ พุทธ แต่ศาสนาอื่นเขาจะไม่เข้าใจเรา แต่เราเข้าใจเขาและเข้าใจเราสองอย่างเลย ทางโน้นจะเข้าใจแต่ของเขาแต่เขาจะไม่เข้าใจอย่างเราเลย ของเรานี้เข้าใจของเขา เพราะฉะนั้นพุทธนี้เข้าใจคริสต์ เข้าใจอิสลาม)จะไปบอกเขาได้ยังไงว่าศาสนาพุทธของเราดีกว่าของเขา เหนือกว่าของเขา บางครั้งในหน้าที่การงานของดิฉัน ดิฉันจะเล่าให้เขาฟังว่าเจออุปสรรคต่างๆ เขาก็จะบอกว่าเดี๋ยวเขาจะสวดมนต์ให้พระเจ้าช่วยเรา หรือให้อัลเลาะห์ช่วยเรา ดิฉันก็ได้แต่ตอบว่าขอบใจนะ คนมุสลิมเคยพูดอยู่หลายครั้งว่า สักวันหนึ่งอัลเลาะห์จะเปิดใจพี่ปิ๋ม ดิฉันก็เงียบ เพราะใจอยากจะบอกว่า เออไม่ต้องเปิดใจหรอก เขาน่ะควรจะเปิดใจศึกษาศาสนาพุทธ ใจเราเปิดอยู่แล้ว แต่เราเห็นว่าศาสนาพุทธ ดีกว่าศาสนาของเขา แต่แล้วก็มีพวกชาวยุโรปที่มาสนใจในศาสนาพุทธ อย่างเช่น วัดป่านานาชาติของหลวงพ่อชา เขาก็มาหลงในนั่งสมาธิหลับตา ซึ่งก็เข้าไม่ถึงแก่นของศาสนาพุทธอยู่ดี ส่วนพี่ชายของคนที่ถืออิสลามซึ่งมีการศึกษาสูงกว่าเพื่อนของดิฉัน เขาชอบพยายามพูด เพื่อจะเอาชนะว่าศาสนาอิสลามดีกว่าศาสนาพุทธ แต่ดิฉันไม่เถียงกับเขาหรอก แต่ดิฉันก็บอกไปว่าไม่เป็นไรหรอก ทุกศาสนาก็สอนให้เป็นคนดีนั่นแหละ ดิฉันก็เห็นว่าศาสนาพุทธเหมาะที่สุดสำหรับดิฉัน ส่วนเขาเห็นศาสนาอิสลามเหมาะที่สุดสำหรับเขา ก็เลือกนับถือตามความพอใจ เราก็ยอมรับในความต่างก็แค่นั้นเอง และก็เคารพในทางเลือกของแต่ละคน พ่อครู ตามนั้นของเขาคือเราถอนตัวจากการเป็นคู่ชกของเค้า คุยกันชีวิตประจำวันและต่างฝ่ายต่างจะเอาชนะกัน ซึ้งใน ทุกสิ่งจบที่เราไม่พยายาม เรา ว่าเราไม่ได้เก่ง มุ่งกิเลส กราบนมัสการ อยู่ถึงสวีเดน ดู ไม่เกิดมาสูญเปล่าถ้าเอาธรรมะ สรุปค่ะ ดิฉันดีใจมากที่ได้มาเจอพ่อครู เพราะพ่อครูทำให้ดิฉันชัดเจนในเรื่องของเทวนิยมและอเทวนิยมอย่างลึกซึ้งค่ะ อีกอย่างหนึ่งการที่เรายอมได้มันก็จบค่ะ (พ่อครูว่า… เห็นไหมยอมได้มันจบ ถ้ายอมไม่ได้มันไม่จบ อย่างทักษิณยอมไม่ได้มันก็ไม่จบ) ดิฉันก็ไม่ไปเถียงกับเขาหรอกค่ะ ยอมให้เขาคิดตามนั้นของเขา คือเราถอนตัวจากการเป็นคู่ชกของเขาค่ะ ดิฉันเข้าใจเลยค่ะ ว่าสงครามศาสนามันก็สามารถเกิดขึ้นได้ จากความคิดเห็นที่ต่างกันในการพูดคุยกัน ในชีวิตประจำวัน แล้วต่างฝ่ายต่างจะเอาชนะกัน ดิฉันซาบซึ้งในคำพูดที่ว่า ทุกสิ่งจบที่เรา คือดิฉันไม่พยายามไปโน้มน้าวให้เขามาเข้าใจเรา เพราะดิฉันรู้ประมาณของตนเอง ว่าเราไม่ได้เก่งขนาดที่จะไปสอนเขาได้ แต่กิจที่ควรทำตอนนี้คือ มุ่งดูกิเลสตัวเองและลดละกิเลสตัวเองไปเรื่อยๆ จนกว่ากิเลสจะหมด ไม่ว่าจะกี่ชาติก็ตาม กราบนมัสการค่ะ พ่อครูว่า… ดีอยู่ถึงสวีเดนหลายปี หลายสิบปีก็ยังติดตามอยู่ ดูทาง youtube ตลอดก็ได้ประโยชน์ ชีวิตไม่มีอะไรหรอกชีวิต ถ้าไม่เอาธรรมะเกิดมาก็สูญเปล่า ถ้าเอาธรรมะชีวิตก็จะเกิดมาชาติหนึ่งชาติหนึ่งก็จะพัฒนา พัฒนาจิตวิญญาณเรานี่ มันจะเป็นอัตภาพของเรา ค่อยๆพัฒนาขึ้นไป จนกระทั่งสามารถจบเป็นอรหันต์ ถ้าจบเป็นอรหันต์แล้วคุณจะอยู่หรือไม่อยู่ก็เรื่องของคุณแล้วตอนนี้ อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาที่สุดยอด ว่าไปแล้ว คนอื่นเขาก็ว่าของเขาสุดยอด เขาเข้าใจของเราไม่ได้ก็ชัดเจนอยู่แล้วศาสนาอื่น ไม่ใช่จะเข้าใจได้ง่ายศาสนาพุทธ จนกว่าจะมาเป็นพุทธแล้วเราจึงจะรู้ว่าเขาเข้าใจเราไม่ได้ง่ายๆหรอก แต่เราเข้าใจเขา พอเป็นพุทธจริงๆแล้วหรือถ้าเป็นพุทธที่ไม่เข้าถึงแก่นก็จะเป็นไปเป็นศาสนาอื่นได้ ถ้าเป็นพุทธที่เข้าถึงแก่น โสดาบัน สกิทาคามี แล้วไม่มีทางไปเข้าศาสนาอื่น อันนี้เป็นนิยตะ เด็กมาฟังธรรมมาเล่นในศาลาก็ได้ซึมซับธรรมะ _น้อมกราบนมัสการค่ะ ดิฉันมีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อย ได้รับข้อมูลมาจากเพื่อนกลุ่มศีล5 ในวัด ว่า ช่วงนี้ไม่ค่อยไปฟังเทศน์ เพราะเจอผัสสะที่ศาลา เหตุการณ์มีอยู่ว่า ผู้หญิงท่านหนึ่งพาลูกเล็ก ที่กำลังซน ไปฟังธรรมที่ศาลา ในช่วงเย็น ด้วยความไม่รู้ความของเด็ก ลูกของเธอไปจับหัว ญาติธรรมท่านหนึ่ง ที่กำลังฟังธรรมอยู่ ญาติธรรมท่านนั้นโกรธมาก และ คว้ามือเด็กคนนั้นไว้ และบีบมือเด็ก เพื่อสั่งสอน สายตาเกรี้ยวกราด แม่เห็นท่าไม่ดี จึงรีบไปขอโทษ และเอาตัวลูกออกมา ก็ถูกญาติธรรมท่านนั้น ว่ากล่าวตักเตือน จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น คุณแม่ท่านนั้น จึงต้องระมัดระวังลูกมากขึ้น และตัดสินใจไม่พาลูกไปฟังธรรมที่ศาลา อีก ดิฉันเสียดายโอกาส ที่แม่เด็กจะได้ฟังธรรม และเด็กเล็กๆ จะได้ซึมซับธรรมะจาก พ่อครูค่ะ เพราะครอบครัวของดิฉันเองก็เคย ต่อสู้กับ สถานการณ์ความยากลำบาก จากการพาเด็กเล็กไปฟังธรรมที่ศาลาเช่นกัน แต่ก็ได้ต่อสู้กับผัสสะในศาลามาจนลูกโต และได้เห็นประโยชน์ ได้อานิสงส์จากการฟังธรรม กราบขอบพระคุณค่ะ พ่อครูว่า… อาตมาเคยพูดว่า เด็ก ลูกของเราหรือหลานของเราตัวเล็กที่มากับเรา เรามาฟังธรรมแล้วเด็กมันก็วิ่งเจี๊ยวจ๊าว พวกเราก็ปรามกันไปตามประสา อาตมาก็บอกว่าเด็กมันฟังไม่รู้เรื่องแต่มันได้ซึมซับ โดยบัญญัติโดยภาษาโดยอะไรก็แล้วแต่ มันก็ซึมซับเข้าไป ถึงขั้นออสโมซิส มันซึมลึกเข้าไป มันไม่เสียหลายหรอก เพราะฉะนั้นอาตมาถึงไม่ค่อยจะไปต้านว่า อย่าเอาเด็กเข้ามา ไม่เคยไปห้าม นอกจากมันจะซนมากก็พยายามบอกกันพวกเราก็รู้ ก็พยายามไม่ให้มันเป็นเช่นนั้น มันก็ไม่ค่อยดี อย่างนี้เป็นต้น ก็อย่างที่ค่อยๆเป็นมา ค่อยๆรู้ว่าเราควรจะประพฤติอย่างไรปฏิบัติอย่างไร ก็แม้แต่กับเด็กเล็ก เด็กโต สักกายทิฏฐิ กับอัตตานุทิฏฐิ ต่างกันอย่างไร _สายัญ …กราบนมัสการค่ะ ขอเรียนถามปัญหาค่ะ สักกายะทิฏฐิ กับ อัตตานุทิฏฐิต่างกันอย่างไรคะ พ่อครูว่า… สักกายทิฏฐิ กับอัตตานุทิฏฐิ ต่างกันอย่างไร มันก็มีพยัญชนะกำกับอยู่แล้ว กายะ มันมีคำว่า ทิฏฐิ เหมือนกันตัวท้ายคือความเห็นความยึดถือของตัวเอง ความเห็นบางคนก็ยึดแน่น อัตตานุทิฏฐิ นี่แหละเป็นตัวยึดแน่น ยึดเป็นอัตตาตามทิฏฐิของตน อนุ คือ ตาม ทิฏฐิ คือ ความเห็นความเข้าใจและก็เป็น อัตตา ยึดแล้ว ส่วน สักกายะ ไม่ใช่การยึด แต่เป็นการเข้าใจ ทิฏฐิคือการเข้าใจ อันนั้น เข้าใจแล้วยึด อัตตานุทิฏฐิ เข้าใจแล้วยึดเป็นอัต ส่วน สักกายทิฏฐิ คือให้ทำความเข้าใจว่า กายะคืออะไร ของตนเอง สักกะคือตนเอง กายะของตนเองคืออะไร เดี๋ยวนี้เพี้ยนไปหมดคำว่ากายเป็นภาษาไทยแล้ว ไปเข้าใจว่ากายคือสรีระ นั่นแหละมิจฉาทิฏฐิ เพราะฉะนั้นจะพ้น สักกายทิฏฐิ คือต้องเข้าใจให้ถูกว่า กาย ไม่ใช่สรีระ สรีระมันคือซากศพ มันคือร่างข้างนอก ไม่มีจิตวิญญาณร่วมด้วย สรีระไม่มีจิตวิญญาณร่วมด้วย ฟังดีๆนะตรงนี้ ภาษาอาตมาอธิบายเป็นภาษาไทยชัด สรีระไม่มีวิญญาณ ไม่มีจิตวิญญาณเข้าร่วม เป็นเฉพาะร่างอย่างเดียว หรือซากศพ หรือคนตายนี่คือสรีระ แต่ กายนี่ เป็นสรีระไม่ได้ เป็นเฉพาะร่างอย่างเดียวก็ไม่ได้ กายจะเป็นจิต เป็นมโน เป็นวิญญาณ ด้วยซ้ำ นี่คือศาสนาพุทธทุกวันนี้ คนเสื่อมจากศาสนาพุทธโดยเฉพาะคนไทย คำว่ากายเป็นภาษาไทย และไปแปลกายว่าสรีระ และแถมไปแปลว่า สรีระแปลว่าร่างกาย อ้าว.. ผิดซ้ำผิดเยอะผิดซ้อนเข้าไปอีก สรีระมันแปลว่าร่างก็ถูกแล้ว แล้วไปเอากาย คำผิดมาใส่เข้าไปอีกแปลเป็นไทยนะ เอาคำไทยที่ตัวเองก็ผิดแล้ว ผิดอย่างไร ผิดเข้าใจว่ากายคือสรีระ แล้วเอามาแถมซ้ำเข้าไปอีกว่าเป็นร่าง ๆ โอ้โห..เป็นร่างใหญ่เลย สรีระเลยเป็นร่างๆใหญ่เลย ซึ่งเอาคำว่ากายที่มันแปลว่าจิตนี้ไปใส่สรีระผิด มันก็เลยผิดซ้อน 2 เข้าไปอีก เพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถที่จะปฏิบัติธรรมบรรลุได้ ถ้าคำว่ากายยังไม่สัมมาทิฏฐิปฏิบัติธรรมอย่างไรก็ไม่บรรลุ เป็นข้อแรกของสังโยชน์ข้อที่ 1 เลย ต้องพ้นสักกายทิฏฐิ อย่างนี้เป็นต้น เมื่อไม่พ้น สักกายทิฏฐิ ก็ไปปฏิบัติธรรมโพธิปักขิยธรรม 37 ไม่ได้ โพธิปักขิยธรรม 37 ท่านเริ่มต้นก็คือ พิจารณา กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ฉะนั้นเมื่อเข้าใจกายในกายไม่ได้ ผิดไปแล้ว มันก็ไม่ต่อเนื่องไปถึงเวทนา ไม่ถึงจิต ไม่ถึงธรรม เพราะกายเป็นนึกว่าเป็นร่างเฉยๆ มีแต่กายภายนอก เข้าใจว่ากายคือร่างนี้ เข้าใจแต่กายภายนอกไม่มีจิตไปร่วมด้วยเลย แล้วมันจะไปเข้าไปถึงเวทนาในเวทนา เข้าถึงจิตในจิต ธรรมในธรรมได้อย่างไร เมื่อมันแยกแล้ว ฉะนั้นเขาจึงหลับตาสบายมากปฏิบัติธรรมเพราะเขาไม่เอานี่ข้างนอก จึงไปหลับตาปฏิบัติธรรมเฉยๆ ก็เลยไม่ได้เรื่องเพราะการปฏิบัติธรรมไม่มีกายไม่ได้ ใน อาริยบุคคล ท่านกำชับไว้เลยว่า ต้องสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จึงจะทำให้กิเลส อาสวะ สิ้นได้ เพราะฉะนั้น ปฏิบัติวิโมกข์ 8 ไม่มีกาย เพราะไปหลับตา พอเขาบอกว่าเข้าวิโมกข์ หรือเขาเรียกว่าเป็นสมาบัติด้วยนะ เข้าสมาบัติ สมาบัติ 8 หรือวิโมกข์ 8 แล้วไปหลับตาไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 นี้ด้วยกาย ไม่มีกายไม่มีภายนอก กายต้องมีทั้งภายนอกและภายใน ไม่แยกกันด้วย นี่แหละเข้าใจกันยาก ไม่แยกนะ เหมือนสุขกับทุกข์ไม่แยกกัน พวกเราเข้าใจแล้ว ถ้าจะดับก็ดับหมดเลย จะไม่ให้มีกายก็คือ คุณไม่มีทั้งความรู้สึก เพราะกาย กายจะต้องมีเวทนา เมื่อไปตัดกายออกแล้วเวทนาคุณก็ไม่มี ไม่มีผัสสะ ไม่มีข้างนอก คุณก็ไม่มีกาย คุณก็ไม่มีเวทนา ศาสนาพุทธนั้นต้องปฏิบัติที่เวทนาเป็นกรรมฐาน เป็นที่ตั้งแห่งกรรมฐาน เป็นที่ตั้งแห่งการปฏิบัติ เมื่อไม่มีเวทนา ไม่มีที่ตั้งแห่งการปฏิบัติ มันก็เลยโมฆะหมด เพราะศาสนาพุทธนั้น หัวใจคือสุขทุกข์ เรียนรู้ทุกข์นี่แหละ แล้วก็จะดับทุกข์ เมื่อดับทุกข์หมด สุขก็หมดไปด้วย เป็นอาริยสัจ 4 เป็นหัวใจของศาสนาพุทธ แต่เขามิจฉา มิจฉา มิจฉา คือ ไม่รู้ ถึงขั้นอวิชชา เพราะฉะนั้นถ้าอวิชชาเสียแล้วตั้งแต่อริยสัจ 4 ก็อวิชชาแล้ว เขาก็มิจฉาทิฏฐิไป 4 ข้อ แล้วยังจะไปแถมมิจฉาทิฏฐิในเรื่องส่วนที่เป็นอดีต ส่วนที่เป็นอนาคต และทั้งส่วนอดีตและทั้งอนาคต และก็ไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท คุณก็ครบพร้อมอวิชชาสวะ อวิชชาสวะ 8 เต็มๆเลย แล้วเยอะ เดี๋ยวนี้มีเยอะ อริยสัจ 4 เข้าใจกายกันไม่ได้ ปฏิบัติก็ไม่มีกายก็โมฆะไปแล้ว เพราะฉะนั้น ยิ่งไปเข้าใจส่วนอดีต ส่วนอนาคต หรือทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคตไม่ได้ ที่เข้าใจไม่ได้ก็เพราะไปหลงด้วย หลงส่วนอดีต หลงส่วนอนาคต แล้วก็ไปจมอยู่กับอดีตกับอนาคต เพราะฉะนั้นเขาไม่ได้เลย ผู้พ้นอดีต พ้นอนาคต ก็จะรู้ว่า อ๋อ.. อดีตกับอนาคตก็คือสภาพที่เป็น กาละชนิดหนึ่ง ที่มันไม่เป็นความจริง ไม่มีปัจจุบันชาติ เพราะฉะนั้นต้องมามีปัจจุบันชาติ มาเป็น ทิฏฐธรรม มาเป็นปัจจุบันชาติจึงจะเป็นความจริง แล้วทำความจริงนั้น ถ้าสัมมาทิฏฐิก็จะทำความจริงได้ทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต ก็จะรู้ชัดว่ามันต่างกันอย่างไร และมันจะเป็นที่สุดคือต้องเป็นปัจจุบัน ทำที่สุดให้กิเลสหมด จนกระทั่งจมีประสิทธิภาพของจิต ถ้าอะไรก็ตามแต่ มาถึงปัจจุบันจะเป็น 0 ทำให้กิเลสสูญได้ เพราะฉะนั้นอดีตทุกอดีตก็จะเป็น 0 จากที่ปัจจุบันของคุณมีประสิทธิภาพสมบูรณ์ เพราะฉะนั้นจนกระทั่งอนาคตจะมาอีกเท่าไหร่ เท่าไหร่ เท่าไหร่ ฉันก็จะทำอนาคตให้เป็น 0 ได้หมด เพราะฉะนั้นทั้งส่วนอดีตทั้งส่วนอนาคต หมด หมดฤทธิ์ อดีต อนาคตหมดฤทธิ์ เพราะปัจจุบันทำ 0 ได้หมดเลย นี่คือ คนอยู่เหนือ กาละ ที่ทำได้เช่นนั้นเพราะเข้าใจปฏิจจสมุปบาททั้งหมด เริ่มตั้งแต่อวิชชา เปลี่ยนเป็น วิชชา จะไม่ไล่อย่างอวิชชา ไล่อย่างอวิชชาคือตัวพยัญชนะทั้งหมด 11ตัวนั้น ลึก สุดท้ายผลของมันก็คือ โศกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะ เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นวิชชา เราก็รู้จักสังขาร รู้จักสังขารแล้วสามารถทำอภิสังขารได้ ทำอภิสังขาร 3 สำเร็จ วิญญาณก็สะอาด เราก็รู้จักนามรูป เพราะเราปฏิบัติต้องใช้นามรูป แม้มันจะไปสนิทกันเป็นอายตนะ รวมกันจนกระทั่งเขาเรียกว่าตัวเชื่อม อายตนะ มันเป็น 2 สภาพอยู่ด้วยกัน เพราะฉะนั้นในกลุ่มของสังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะคือกลุ่มหนึ่ง ที่อาตมาเคยอธิบายมาแล้ว เพราะฉะนั้นในปัจจุบันชัดเจนจริงๆเลย ก็เป็นวิชชานะ ก็มีผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน แล้วก็เป็น ภพชาติ เพราะฉะนั้นเมื่อมีผัสสะ มีเวทนา เรียนรู้สัมมาทิฏฐิหรือเป็นมิจฉา ก็จัดการกับตัณหาเวทนาที่มันมีตัณหาก็จัดการกับมันที่มันมีอุปาทานก็จัดการกับมันออกให้หมด ถ้ามันไม่หมดมันก็ ภพ มันก็กลายเป็นกามภพ หรือ จะเป็นรูปภพ อรูปภพอยู่ ถ้าสามารถทำได้หมด ภพก็หมดด้วย กลายเป็นวิภวภพ วิภวะ แปลว่า ไม่มีภพ ในขณะที่เรากำลังปฏิบัติ เรามีกามตัณหา เรามีภวตัณหา คือรูปตัณหากับอรูปตัณหา เราก็ล้างกามตัณหาให้หมด หมดแล้วก็ล้างต่อ รูปตัณหากับอรูปตัณหา หมดอีก ส่วนคำว่า วิภวะ คือ ตัณหาที่ไม่ต้องการ ภพ ก็เหลือกิเลสในรูปภพ อรูปภพกิเลสก็หมด กิเลสในภพต่างๆหมด จิตก็เป็นจิตวิภวตัณหา เป็นตัณหาอุดมการณ์ จะมาเคยอธิบายจนกระทั่งบอกว่าพระพุทธเจ้าก็มีวิภวตัณหา ตัณหาอุดมการณ์ ต้องการจะสอนคนสอนใคร พระโพธิสัตว์ก็มีวิภวตัณหาทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่คนเด๋อๆ ไม่อยากได้ใครดีอะไรไม่ใช่ เป็นความปรารถนาดีอย่างมีพลังด้วยมี ติพพัง มีแรงมีพลัง ต้องการให้คนได้ดี เพราะฉะนั้นเราจะเข้าใจที่อาตมาขยายความไปบ้างแล้ว ในปฏิจจสมุปบาท จนกระทั่งอยู่เหนือภพชาติ พอบรรลุอรหันต์แล้วก็เป็นผู้ที่ไม่มีปัญหาแล้ว จะดับภพจบชาติก็ทำได้ จะยังไม่ดับภพจบชาติเราก็ทำได้ จึงเรียกว่า ผู้อยู่เหนือภพชาติ ส่วน โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะ พระอรหันต์ตัดทิ้งแล้วไม่มีเลย เพราะฉะนั้นอาตมาก็เคยพูดมาแล้วว่าพวกเราจึงเป็นกลุ่มพวก อโสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาสะ แล้วมันยังเหลือความโศกความพิรี้พิไร ปริเทวะ คือ มีความทุกข์โทมนัสอยู่บ้าง คุณเข้ามาเป็นผู้พากเพียรปฏิบัติ อย่างสัมมาทิฏฐิเพราะเป็นพวกที่ อโศกะแล้ว สัมมาทิฏฐิ ไม่ได้งมงายกับพยัญชนะอยู่เท่านั้น สามารถจะเข้าใจสภาวะแล้วเอามาปฏิบัติ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รู้จัก จิต เจตสิก รูป นิพพาน สภาวะธรรมที่เป็นนามธรรมกับรูปธรรมทั้งนั้น ก็สามารถที่จะปฏิบัติธรรมมีมรรคมีผล สักกายทิฏฐิ ตกลงได้ตอบไปแล้วใช่ไหม อัตตานุทิฏฐิ ตอบไปแล้ว คือตัวที่ยึด ยึดทิฏฐิ เพราะฉะนั้น อัตตา ไม่ต้องนุทิฏฐิหรอก อัตตากับทิฏฐิที่ยึดอัตตา ทิฏฐิที่ยึดอัตตา เมื่อไม่รู้อัตตาก็ไปยึดอัตตาจนกลายเป็น โอฬาริกอัตตา ซึ่งเป็นผู้ที่น่าสงสารมาก โอฬาร อาตมาเคยอธิบายไปแล้วนะ อัตตาที่มโหฬาร อลังการ เพราะไม่รู้ อัตตวาทุปาทาน ไม่รู้การยึด ได้แต่วาทะ ได้แต่พยัญชนะ ได้แต่ความรู้ กลายเป็นพญาครุฑ ทุกวันนี้ แล้วยังได้รับความนับถือกันเป็นปราชญ์ของศาสนาพุทธ แต่ท่านก็เป็นผู้ อัตตวาทุปาทาน ไม่เข้าถึงเนื้อ แม้แต่อัตตาท่านก็ไม่เข้าไปแตะถูกอัตตาตัวเองเลย แต่ท่านเก่งวาทะ บัญญัติภาษา มากมาย แล้วท่านก็หลงในอันนั้นเลย อาตมาก็เคยพูดถึงท่านเยอะ ที่ท่านปราชญ์หลายผู้หลายคนหลายองค์ บวชเป็นภิกษุด้วย หลายองค์ เก่งพยัญชนะ เก่งภาษา เก่งบัญญัติทั้งนั้น อาตมาพูดสู้ท่านไม่ได้หรอก แล้วก็มีความรู้เท่าทันด้วย เขาพูดภาษาของพระเถระ ภาษาของอาจารย์ต่างๆที่ผิดเพี้ยนท่านก็รู้หมด แล้วท่านก็มาตีรวน แล้วก็มาเพี้ยนเข้าหาภาษาสมัยใหม่ของอาจาริยวาท แล้วท่านก็ไม่รู้ตัวเพราะท่านหลงอัตตา ตัวท่านก็มีอัตตา หลงอัตตา เพราะมีคนนับถือมาก เพราะไม่ได้มีความมั่นคงในจุดถูกต้องหรือจุดที่แน่นอนแล้ว มันไม่มี ในจิตมันไม่มีปฏิภาณปัญญารู้จักชัดเจน แล้วก็ได้มรรคได้ผล มันไม่มีจุดนิยตะ ไม่มีจุดเที่ยงแท้ มันก็เลยไหลไปตามโลกียะ ยิ่งความรู้มากก็ยิ่งไหลเพี้ยนไปตาม เยอะไป นี่อาตมาก็พยายามขยายสภาวธรรมสู่ฟัง เรื่องความไม่สัมมาทิฏฐิจริงๆ มันพาเลื่อนเปื้อนเลอะเทอะง่าย แล้วหลงว่าตัวเองมีเยอะด้วยนะ หลงว่าตัวเองได้เยอะ หลงว่าตัวเองรู้เยอะด้วย พระพุทธเจ้าท่านสรุปลงไปเป็น ปทปรมบุคคล ว่าเป็นผู้ที่ ธรรมะของพระพุทธเจ้าก็รู้มากท่องจำก็ได้มากแต่ไม่ได้บรรลุธรรมในชาตินั้น เมื่อไม่บรรลุธรรมในชาตินั้นจึงจะสามารถไปเก็บเอาขยะอะไรต่ออะไร ที่เป็นความรู้เลอะเทอะ แม้แต่ความรู้ของเทวนิยมก็เอามาบวก เอามาผสม แล้วก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเทวนิยม มันก็ไม่รู้จะช่วยยังไง สภาวธรรมเวทนา 108 ของพระอรหันต์ _ถึกไท..ขอพ่อครูได้โปรดอธิบายพระอรหันต์อย่างสมณะดินดี และสิกขมาตุผุสดี ว่าเป็นลักษณะอย่างไรครับ พ่อครูว่า… ให้อาตมาไปอธิบายคุณลักษณะของอรหันต์ของผู้อื่น อาตมาก็อธิบายความเป็นอรหันต์ของอาตมานั่นแหละ ถ้าเผื่อมีความเป็นอรหันต์ของผู้อื่นที่ตรงกับอาตมานั่นแหละของท่านดินดีหรือผุสดี ความเป็นอรหันต์นั้น คือ ผู้นั้นรู้จัก จิต เจตสิก รูป นิพพาน เหมือนกับใช้กำปั้นทุบดิน ก็ต้องรู้จิตเจตสิกตัวเอง แยกแยะจิตเจตสิกตัวเอง และเรียนแยกจิตเจตสิก ย่อยมาเป็นเจตสิก จิตนี่แหละต้องย่อยมาเป็นเจตสิก และโดยเฉพาะเจตสิกที่จะพาให้บรรลุนิพพานนั้นอยู่ที่เวทนา ฉะนั้นถ้าผู้ใดที่เรียนรู้เวทนาได้ อ่านเวทนาออก แล้วก็ปฏิบัติทำเวทนา 108 ได้ แยก มโนปวิจาร 18 ออก โดยรู้ไม่ยากว่า เวทนามันทุกข์สุขและไม่สุขไม่ทุกข์ หรือเวทนามันมีทุกข์ แล้วก็สุข หมดทุกข์สุขที่มันหยาบแล้วก็เป็นโสมนัส โทมนัส จนเป็นอันที่ 5 อุเบกขา เพราะฉะนั้นพลังงานหรือดีกรีของทุกข์สุขหมดไประดับโน้น เบาบางลงโสมนัส โทมนัสก็รู้ทำออกหมดจนหมดทุกข์หมดสุข ก็เป็นอุเบกขา เพราะ พระพุทธเจ้าไม่ใช่อุเบกขาเพราะสะกดจิต แต่อุเบกขาเพราะจิตสะอาดจากกิเลส จิตสะอาดจากกิเลสก็เป็นจิตกลางว่างเปล่า แล้วก็ทำแล้วก็แข็งแรงถาวรด้วย โดยปฏิบัติ มโนปวิจาร 18 เคหสิตะ 18 เนกขัมมะ 18 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อีก 6 แล้วตาก็ทุกข์ก็ได้สุขก็ได้ ไม่ทุกข์ไม่สุขก็ได้ หูก็ทุกข์ก็ได้สุขก็ได้ ไม่ทุกข์ไม่สุขก็ได้ ลิ้นกายใจก็เช่นกัน แล้วมันก็เป็นอย่างโลกียะคือ เคหสิตะ เพราะมันหลงสุขหลงทุกข์ เทวนิยมไม่ต้องพูดเลยเขาไม่มีทางหมด แม้แต่ชาวพุทธที่แยก มโนปวิจาร 18 ของเวทนาของตนไม่ได้ สัมผัสแล้วก็แยกเวทนาไม่ออกแล้วก็ไม่รู้จักว่าการทำออกคือเนกขัมมะ ก็ 18 ตัวเหมือนกันคือทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กับ ทุกข์สุขไม่สุขไม่ทุกข์ แต่อันนี้เป็นโลกุตระเอากิเลสออก จิตก็ใสสะอาดขึ้นมาเรื่อยๆๆๆ จนสุดท้าย กิเลสสะอาดบริสุทธิ์บริบูรณ์ด้วยเนกขัมมะ ซึ่งในเวทนา 108 อันนี้จาก 18 กับ 18 เป็น 36 พระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติตรวจสอบกาละ 3 อดีต 36 ปัจจุบัน 36 อนาคต 36 ซึ่งอธิบายผ่านมาเมื่อกี้นี้ ผ่านมา ปัจจุบันเป็นตัวยืนยันความจริง ปัจจุบันถึงจะเป็นความจริง ถ้าไม่มีผัสสะไม่มี ทิฏฐธรรม ปัจจุบันชาติหรือปัจจุบันกาล ขณะที่ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง มันเป็นเรื่องอดีตเป็นเรื่องอนาคต เป็นเรื่องจิตอยู่ในภพ อยู่ในภวังค์ ขณะที่ตาคุณไม่กระทบสัมผัสข้างนอก คุณหลับตา มันจะมีความจริงตรงไหน กิเลสมันไม่ได้เกิดใน มันไม่ใช่กิเลสแท้แต่เป็นกิเลสสมมุติ กิเลสสัญญาไอ้กิเลสที่จำได้ไปคิดนั้นมันกิเลสจำได้ คิดในอนาคตคุณก็ปั้นกิเลสเข้าไปสิ คุณจะปั้นยังไงก็ได้กิเลสในอนาคตมันก็ฟุ้งซ่านไปได้สารพัด มันไม่มีกิเลสจริงนี่ เพราะฉะนั้น คนหลับตาปฏิบัตินั้น โมฆะจากศาสนาพุทธ มันไม่มีทางจะบรรลุอรหันต์กันหรอก เพราะฉะนั้นเสื่อมชัดเจนศาสนาพุทธในเมืองไทย ไปนึกว่าพวกหลับตาปฏิบัตินั่นแหละคืออรหันต์อย่างนี้เป็นต้น แล้วมาเจอโพธิรักษ์เข้า บอกปัดโธ่! ไอ้อย่างนี้มันจะไปเป็นอรหันต์ได้ยังไง โอ้โห..พูดจ้อยๆ ดีไม่ดีก็ไปเที่ยวได้ด่าเขา ว่าเขาไปหมด ก็ไม่ให้ว่าอย่างไร เขาพากันงมงายไปถึงขนาดนั้น อาตมาก็ไม่รู้จะว่ายังไง มันก็ต้องตำหนิ ก็ต้องว่า จะให้ไปชมได้อย่างไรมันผิด อาตมาไปชมคนผิด มันก็ไม่ถูกแล้ว มันก็แสดงถึงความโง่ของตัวเองแล้ว อาตมาไม่โง่พอจะไปชมคนผิดหรอก ชมคนถูก ก็ชมไปชมมาชมตัวเอง ชมพวกตัวเอง เพราะพวกเราถูกใช่ไหม ไอ้นั่นไม่ถูกจะให้ไปชม มันก็ไม่ใช่ ไปชมยังไงล่ะมันผิด นี่อาตมาก็พูดภาษาไทยนะ ฟังเข้าใจไหม ยวนไหม ไม่ได้ยวนย่าหรืออะไรพูดสัจจะพูดให้ฟัง สมณะดินดีหรือสิกขมาตุผุสดี นั้น มีคุณลักษณะ รู้จักเวทนาของตน ก็ทำให้กิเลสของตนเองเบาบางและลดได้ เมื่อลดได้แล้วก็เป็นคนไม่มีกิเลส เจ้าตัวเขาก็ บางทียังไม่ค่อยรู้ตัวเลย อย่าว่าแต่ใครเลยพระสารีบุตรเองยังไม่รู้เลย ไม่ใช่พระสารีบุตรไม่รู้ตัว พระสารีบุตรไม่รู้กิเลสของลูกศิษย์ ให้อาตมาไปรู้กิเลสของ ท่านดินดี ท่านผุสดี กระนั้นต้องคบคุ้นกัน ถ้าไม่คบคุ้นกันก็ไม่ได้ ขนาดพระสารีบุตรยังมีหลักฐานว่าลูกศิษย์ของท่านบรรลุอรหันต์แล้วพระสารีบุตรยังไม่ทราบเลย เพื่อนภิกษุก็เลยบอกว่าอาจารย์ ท่านองค์นี้ท่านบรรลุอรหันต์แล้ว มีอยู่พระสูตรหนึ่งอย่างนี้เป็นต้น มันไม่ง่าย ขนาดพระสารีบุตรนี้ยังเป็นได้ จะให้อาตมาไปชี้บ่งทีเดียวได้ยังไง แต่มันพอรู้ได้ คบคุ้นกัน พระพุทธเจ้าบอกว่าอาศัยความคบคุ้นกันจะเข้าใจ รู้ว่าคนนี้มีกิเลสหรือไม่มีกิเลส _สู่แดนธรรม… ส่วนที่อื่นเขารู้ได้ด้วยการเอาญาณไปส่องดูกันไม่สามารถรู้ได้ใช่ไหมครับ พ่อครูว่า… ไม่ได้เป็น โมเมชั่น โมเมสูตร พุทธเจ้าไม่เคยสอนอย่างนั้น ส่งจิตไปยังงั้น อย่างนั้นมันเป็นโมเม มันจะต้องรู้จักกายกรรม วจีกรรม เชื่อมไปถึงมโนกรรม แล้วเราก็จะพิจารณาได้ จาก กายกรรม วจีกรรม มันก็เชื่อมไปถึงจิตไปถึงประธานแสดงออกว่าอย่างนี้มีหรือไม่มี อย่างนี้เป็นต้น แต่คนที่บรรลุธรรมแล้วนี่ มันเข้าใจคนบรรลุธรรมยาก คนที่ยังเต๊ะท่าเหมือนกับอย่างไม่มีกิเลส คือคนที่ยังเต๊ะท่า คนที่กิเลสหมดแล้วไม่มีเต๊ะท่า จะอนุโลมปฏิโลมกับคนที่สัมพันธ์กัน คนนี้ คนนี้ มาเกี่ยวข้องกัน เราก็อนุโลมปฏิโลมคุยกันสัมผัสกัน ก็อนุโลมปฏิโลม จะมีรู้จักอนุโลมปฏิโลม เพราะฉะนั้นก็เหมือนกับคนมีกิเลสกับคนนี้คนนี้ เขาจะดูไม่ออกหรอก เขาจะอ่านตามอาการ ซึ่งผิด อ่านตามอาการ และยิ่งผู้ที่หมดกิเลสแล้ว ไม่มีตัวตน ใครจะว่ามีกิเลส ใครจะว่าอย่างไรก็ว่าไปสิ ก็เราไม่มีกิเลสแล้ว ไม่มีตัวตนก็ไม่มีปัญหาอะไร อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นอาตมาก็ตอบได้ประมาณนี้ก็แล้วกัน ปฏิบัติเองแล้วคุณจะรู้เองว่า อ๋อ..กิเลสมันเป็นเช่นนี้ กิเลสหยาบเป็นเช่นนี้ กิเลสละเอียดเป็นเช่นนี้ แล้วก็จะได้เข้าใจ _สู่แดนธรรม… อีกนิดนึงว่า บางคนก็ประเมินว่าพระอรหันต์จะต้องผิดพลาดไม่ได้ ใช้ข้อนี้ประเมินได้ไหมครับ พ่อครูว่า… พระอรหันต์ผิดพลาดได้ เพราะว่าเป็นการผิดพลาดนั้นเป็นกายกรรม วจีกรรม กายกรรม วจีกรรมนี่มันเป็นสมมุติข้างนอกเพราะฉะนั้นกายกรรม วจีกรรมตามสมมตินี่ บางทีพระอรหันต์เจตนาไม่เหมือน ค้านแย้งด้วย เพื่อที่จะดึงคนนั้น คนนั้นไป เพื่อที่จะดึงเขา เช่น โลกมันจะดึงเข้าไปหาโลก พระอรหันต์ก็จะถึงไปหาโลกุตระ มันค้านแย้งอย่างนี้เป็นต้น เข้าใจไหม เพราะฉะนั้นจึงจะไปเอากิริยา เอาภาคปฏิบัติประพฤติ กายกรรม วจีกรรม ของผู้บรรลุ แล้วก็ไปประเมินค่าตามโลกๆเขา มันจะไปได้ยังไง มันไม่เข้ากันหรอก เหลือเวลาอีกนิดหน่อย อาตมาก็อ่านกลอน การกำหนดรู้รูปนาม ๔ (มหานิทานสูตร) กิเลสในโลกหล้า อับประมาณ ตามเห็นด้วยอาการ จิตไซร้ ผู้เสพภพนั่งผลาญ- พร่าทิฏ-ฐธรรมเอย กิเลสแท้รู้ไว้ เถิดไร้สิทธิ์เห็น ลิงคะความต่างใช้ แยกเพศ จิตธาตุอันทรงเจต (ต)สิกไซร้ สัมผัสหกยังเหตุ ให้เวท-(ท)นาแฮ ทรงทิฏฐกาลไร้ ทิฏฐิไซร้หกสิบสอง นิมิตนั้นเปรียบด้วย เครื่องหมาย แยกรูปแต่ละกาย- กลิไว้ มีอาโลกผู้ฉาย แสงส่อง ผัสสะภายนอกให้ จิตใช้สังขาร สุดท้ายอุเทสใช้ ขยายความ ลักษณะกิเลสตาม ระดับไซร้ เสกขศึกษากาม(ม) ภพก่อน-เลยนา รูป-อรูปภายในให้ ศิกษ์ไซร้ภายหลัง อโศก สัมปวังโก ๓๑ ธ.ค.๖๖ ฐานข้อมูลจาก หนังสือคนจนที่มีแบบเล่ม ๒ หน้า ๗๘ สมณะเดินดิน… สรุปจบ Categories: ธรรมะพ่อครู, ศาสนาBy Samanasandin3 มกราคม 2024 Author: Samanasandin https://boonniyom.net Post navigationPreviousPrevious post:670101 พ่อครูเทศนาต้อนรับปีใหม่ 2567 เรื่องปฏิจจสมุปบาท ตอน 2 ราชธานีอโศกNextNext post:670105 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 3 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศกRelated Posts150401 จะพึ่งอะไรดี-พ่อท่าน-วัดมหาธาตุ28 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 2-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง7 พฤษภาคม 2024141026 จูฬสุญญตสูตร ตอนที่ 1-พ่อท่าน-วัดธาตุทอง4 พฤษภาคม 2024670224 พ่อครูเทศน์เวียนธรรมมาฆบูชา งานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ 48 ราชธานีอโศก24 กุมภาพันธ์ 2024670126 ตอบปัญหาเพื่อละอวิชชา 8 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก26 มกราคม 2024670117 ปฏิจจสมุปบาท ตอน 4 พุทธศาสนาตามภูมิ ราชธานีอโศก17 มกราคม 2024